จอมไตรซีรีส์(ดิน)ความรักไม่ใช่แค่คนสองคน END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จอมไตรซีรีส์(ดิน)ความรักไม่ใช่แค่คนสองคน END  (อ่าน 172321 ครั้ง)

ออฟไลน์ reborn23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
พออ่านเรื่องนี้  อยากเร่งวันเร่งคืนให้มันเร็วๆจัง 
อยากอ่านแล้ว

ออฟไลน์ สมุนไพร

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1581
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-3
นึกออกคำเดียวว่า "อิอิ"  :-[

ออฟไลน์ kitty

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +258/-7

ออฟไลน์ StillLoveThem

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +295/-10
...คุณปามนี่เหมือน จะเป็นคนใจลอย หรือเหม่อ เลยเนอะ ใครพูดอะไรด้วยแล้วแบบถามกลับ เพราะไม่ไ้ด้ฟัง
...เป็นบ่อยคนคุณดิน เริ่มชิน ครอบครัวนี้ท่าทางจะราบเรียบ ไม่มีปํญหาเหมือนคู่อื่นเค้ามั้ง โดยเฉพาะตัวแปรที่เป็น..ผู้หญิง
:laugh:

ออฟไลน์ minyoung

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 417
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
น่ารักมากเลย ตาหวานก็คงอยากให้พ่อกับแม่รักกันซะทีสินะ เลยไม่ยอมนอน อิอิ

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
นู๋ปามไม่กลัวนายดินอล้วใช่ป่าว

ELMI ELMA

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักจังเลยยยยยย สุขใจๆ  :m1:


รออ่านตอนต่อไปคะ  :a3:


ออฟไลน์ ladyzakura

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-0

เดี๋ยวรู้ตัวอีกทีก็ขาดไม่ได้อ่ะคุณปาม

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
อยากให้วันพุธมาถึงเร็วๆจัง

><!!

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
เปิดรับตัวเอง เป็นคนในครอบครัว จอมไตร แม้จะยังคิดมากอยู่เหมือนเดิมก็ตาม
ตอนนี้ติดกอด อีกหน่อยจะติดอะไรครับ คุณปาม  :z1:
+ 1 ให้เป็นกำลังใจครับ  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ สมุนไพร

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1581
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-3

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
มีไม้กับกลอนมาแจมด้วย

ออฟไลน์ JUPJIB

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +218/-0
ตอนที่ 7

เขาว่าความรักที่ไม่มีอุปสรรค ย่อมไม่อาจนับได้ว่าเป็นรักแท้

ปารมีอ่านประโยคสุดท้ายในหนังสือแล้วก็มาหวนคิดถึงตัวเอง สำหรับตนเองและวสุธาจะนับว่ารักกันได้ไหม เมื่อเรื่องของเรื่องมันไม่ได้เริ่มต้นจากความรัก จนตอนนี้ปารมีก็ไม่แน่ว่าได้รักไปแล้วหรือยังกันแน่

“ไอ้ที่ไม่รู้ไม่แน่ใจนี่นับเป็นอุปสรรคของความรักด้วยไหมนะ”

บ่นกับตัวเองอย่างไม่คิดอะไร แต่คนที่เข้ามาได้ยินกลับคิดไปไกลเสียแล้ว

กลอนที่แวะมาเที่ยวหาเพื่อนหยุดอยู่ข้างหลังเมื่อได้ยินเสียเพื่อนบ่น ก่อนจะถอยฉากหายไปเงียบๆ เปลี่ยนความตั้งใจ เดินออกจากบ้านใหญ่ไปที่โรงพยาบาลแทน

แน่ล่ะว่าที่ไปโรงพยาบาลนี้ กลอนไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือมีใครเจ็บไข้ได้ป่วยจนต้องไปเยี่ยมเยียนดูอาการหรอก

กลอนก็แค่คิดว่า บางทีเรื่องที่ตัวเองกำลังคิดจะทำอาจจะต้องมีที่ปรึกษา และดูเหมือนหมอเอจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

กลอนไปถึงโรงพยาบาลในไม่ช้า พร้อมทั้งบอกเล่าความคิดของตัวเองให้หมอเอฟัง

อุปสรรคนั้นนำมาซึ่งรักแท้ และหากไม่ได้รัก หมดรัก หรือรักกันไม่มากพอ ก็จะนำมาซึ่งความแตกแยก แต่มันเป็นเหมือนข้อพิสูจน์รักแท้ที่ดี ทั้งสองคนจึงไม่ลังเลเลยที่จะสร้างอุปสรรคให้กับวสุธาและปารมี

...........................................

สามวันหลังจากนั้น ทุกอย่างอยู่ในสภาวะปกติ หากเย็นของวันที่สี่นั้นเอง วสุธาก็ได้แต่นิ่งอึ้งเมื่อเห็นผู้มาเยือน

ผู้หญิงต่างวัยสองคนที่วสุธาไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก อย่างน้อยๆ ก็ไม่คิดว่าจะเจอด้วยการที่อีกฝ่ายมาหาเขาถึงบ้าน ทั้งสองคนมีผมสีทองออกน้ำตาลและดวงตาสีฟ้าอมเขียว ผิวขาวแตกต่างจากคนเอเชียอย่างเห็นได้ชัด

“สวัสดีครับคุณลิลลี่ คุณลูซี่ ไม่ทราบว่าถึงนี่มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

ใครได้ฟังคงเดาได้ไม่ยากว่าวสุธาไม่ได้ต้อนรับคนทั้งคู่นัก แม้ว่าทั้งคู่จะได้ชื่อว่าเป็นแม่และน้องสาวของภรรยาผู้ล่วงลับก็ตาม

ปารมีที่เดินตามออกมาพร้อมเด็กๆหยุดยืนมองผู้มาเยือนด้วยความสงสัย

หญิงสูงวัยที่วสุธาเรียกว่าลิลลี่ปรายตามองวสุธาอย่างไม่เป็นมิตร ก่อนประมองเลยมาถึงปารมีและเด็กๆ สายตาที่ไม่เป็นมิตรยิ่งกว่ามองมาที่ปารมี ก่อนจะอ่อนแสงลงยามจับจ้องไปที่เด็กทั้งสาม

“ทำไมฉันจะมาไม่ได้ ยายจะมาเยี่ยมหลานนี่มันผิดตรงไหน”

วสุธาหน้าตึงไปกับสิ่งที่ได้ยิน หากไม่ติดว่าเขาเองก็ยังให้เกียรติอีกฝ่ายในฐานะแม่ของเลวี่ วสุธาคงจะเชิญทั้งสองออกจากบ้านไปตั้งแต่เห็นหน้าแล้ว

“ผมไม่คิดว่าคุณจะมาเพราะอยากเห็นหลานหรืออยากเจอหลานอย่างที่ว่าหรอกนะครับ เพราะหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ คุณคงมาเสียนานแล้ว คงมาตั้งแต่เลวี่ติดต่อไปตอนพวกเขาเกิด หรือไม่ก็มาในตอนที่ผมติดต่อไปเรื่องเลวี่ ไม่ใช่อยู่ๆก็มาแบบนี้ๆ”

ย้อนได้ถูกจุดจนคนฟังหน้าเสียไปนิด ก่อนจะกลับมาเชิดใส่อย่างเดิม

ปารมีมองภาพเหล่านั้นอย่างไม่เข้าใจ แตกต่างจากเด็กๆที่ทำหน้า ‘เย็นชา’ ไม่ต่างจากพ่อตัวเองสักนิดเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“เข้าบ้านเถอะครับคุณปาม”

ปฐพีเอ่ยชวนโดยไม่สนใจจะเข้าไปไหว้หรือแนะนำตัวใดๆกับคนทั้งสอง ถึงแม้จะฟังภาษาอังกฤษที่ทั้งคู่ใช้คุยกันได้ไม่เข้าใจนัก แต่ปารมีก็พอจะเดาได้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร

“แต่ว่า....”

ไม่ทันได้แย้ง เด็กๆทั้งสามก็ดันตัวปารมีเข้าบ้านไปเสียก่อน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผู้มาเยือนทั้งสองมองด้วยความไม่พอใจยิ่งขึ้น

“นี่สอนหลานชายฉันยังไง นี่คงจะสั่งสอนให้คิดว่าตัวเองดีอยู่ฝั่งเดียวล่ะสิ”

หญิงสูงวัยเอ่ยอย่างไม่พอใจ วสุธาฟังแล้วยิ่งเพิ่มความเข้มในสายตาและน้ำเสียง

“พวกเราไม่ใส่ร้ายใครให้ลูกฟังหรอกครับ แต่เราไม่โกหก พูดแต่ความจริงก็เท่านั้นเอง”

หญิงสาวอีกคนที่เงียบมานานเดินออกมาข้างหน้ามองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่เขยท่เธอไม่อยากจะยอมรับด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ติดจะรังเกียจและดูถูกไม่ต่างจากผู้เป็นแม่นัก

“เราจะไม่อ้อมค้อม เราต้องการหลานทั้งสามคนกลับไปกับเรา”

วสุธามองหน้าอีกฝ่าย แล้วยิ้มเย็นส่งไปให้จนทั้งคู่ต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างลืมตัว

“พูดง่ายจังนะครับ อยากได้ก็จะมาพาไป แล้วผมต้องยกลูกๆของตัวเองให้ตามที่พวกคุณต้องการหรือไง พวกคุณเชิญกลับไปเถอะ ผมไม่รู้หรอกนะว่าอะไรหรือใครไปดลใจให้พวกคุณมา แต่ผมพูดตรงๆว่าที่นี่ไม่ต้อนรับพวกคุณ เชิญครับ ผมคงไม่ต้องให้ยามมาเชิญหรอกนะ”

คนฟังหน้าตึงไปทั้งคู่ อยากจะโวยวายแต่ไม่กล้าด้วยเกรงสายตาของอีกฝ่ายอยู่มาก ทั้งคู่ย่ามใจในช่วงแรกที่เหมือนวสุธาจะยอมอ่อนให้ แต่ทั้งคู่ไม่รู้หรอกว่า วสุธาเห็นว่าลูกชายตัวเองยืนอยู่จึงไม่อยากแสดงความก้าวร้าวต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นยายของลูกชายให้เห็น ไม่ใช่กลัวว่าจะเสียภาพพจน์ของตัวเอง แต่กลัวว่าลูกชายจะทำตามต่างหาก ขนาดวสุธาไม่เคยบอกเล่าอะไร ลูกชายทั้งสามยังรู้เลยว่าที่บ้านฝั่งแม่ของตนเองนั้นไม่ต้อนรับวสุธาและลูกๆนัก และนี่คือเหตุผลที่เด็กๆไม่สนใจผู้มาเยือนเลย แม้อีกฝ่ายจะกล่าวหาว่าเป็นเพราะวสุธา วสุธาก็ไม่คิดจะแก้ตัวด้วยไม่เห็นความจำเป็น

อยากเข้าใจยังไงเขาก็ไม่สนใจอยู่แล้ว ในเมื่อทั้งสองคนไม่ถือว่าเป็นครอบครัว ญาติ หรือเพื่อน  แล้ววสุธาจะต้องสนใจทำไมกัน

ทั้งสองคนจากไปโดยเร็วเมื่อวสุธาพูดจริงทำจริง เขาแจ้งยามให้มาเชิญทั้งคู่ออกไปและห้ามไม่ให้ทั้งสองคนเข้ามาในบ้านอีก ไม่ว่าใครจะบอกให้ปล่อยเข้ามาก็ห้าม นอกจากตัวเขาเองเท่านั้นจะเป็นคนอนุญาต วสุธาพูดประโยคแรกๆให้ผู้มาเยือนได้ยินอย่างไม่คิดเกรงใจ ส่วนอันหลังนั้นเขาบอกยามหลังจากที่ทั้งสองได้กลับไปแล้ว

จากนั้นก็เดินเข้าบ้านอย่างเอื่อยๆ เขาเงยหน้ามองพระจันทร์แล้วบ่นพึมพำเบาๆขอโทษหญิงสาวผู้เป็นที่รักซึ่งจากไปแล้ว

พอเดินเข้ามาในบ้านเห็นเด็กๆนั่งเล่นกันอยู่โดยมีตาหวานนั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างพอใจเมื่อโดนเหล่าพี่ชายหยอก ปารมีที่นั่งอยู่บนโซฟาหันมามองวสุธาอย่างไม่สบายใจแต่วสุธาก็หลบสายตาอีกฝ่ายแล้วเดินเลี่ยงไปทางห้องทำงาน

นั่นทำให้ปารมีอดขมวดคิ้วไม่ได้ และโดยที่เด็กๆไม่ทันรู้ตัว ปารมีก็เดินตามวสุธาไปที่ห้องทำงานเสียแล้ว

..................

ปารมีเคาะห้องเบาๆและไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาตก็เดินเข้าไปตามความเคยชิน วสุธาเพิ่งตั้งรูปๆหนึ่งลงบนโต๊ะทำงานก่อนจะหันหน้ามามองปารมี แล้วถอนหายใจออกมาเหนื่อยๆ

ร่างเล็กเหลือบสายตามองรูปที่อีกฝ่ายหยิบขึ้นมามองแล้วเห็นว่าเป็นรูปหญิงสาวที่กำลังยิ้มสวยส่งให้กล้อง หญิงสาวผู้เป็นที่รัก หญิงสาวที่แม้จะจากไปแล้วแต่ไม่เคยเลือนหายไปจากใจคนตรงหน้า หญิงสาวที่ทำให้วสุธาผู้เยือกเย็นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไม่ต้องการเหตุผล โกรธจนทำร้ายปารมีได้โดยไม่มีลังเลใจสักนิด หญิงสาวที่ปารมีเคยโดนตะโกนใส่หน้าว่า ‘ไม่มีทางมาแทนที่ได้’

ดูเหมือนวสุธาจะไม่รู้ตัวว่าปารมีกำลังคิดอะไร เพราะแค่พยายามควบคุมอารมณ์ตนเองให้เป็นปกติก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากแล้ว

“คุณปามมีอะไรหรือเปล่า”

คนโดนถามพยายามเก็บกักความรู้สึกประหลาดๆ ความเจ็บหน่วงๆในใจเอาไว้แล้วสบตาอีกฝ่าย

“ผมแค่อยากมาถามคุณให้แน่ใจว่าคุณไม่เป็นไร”

“ผมไม่เป็นไร”

ตอบโดยไม่ต้องคิดสักนิด ปารมีขบริมฝีปากแน่น

“คุณไม่เป็นไรแล้วทำไมถึงทำท่าแบบนั้น คุณคนนั้นเขาเป็นคุณยายของเด็กๆใช่ไหมครับ ดูเหมือนทั้งคุณและเด็กๆจะไม่ค่อยชอบเขานัก เขามาทำอะไรหรือครับ”

วสุธาถอนหายใจ พูดตรงๆว่าไม่อยากจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้ อย่างน้อยๆก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้

“เขาแค่มาเยี่ยม”

ตัดบทได้ไม่มีเหตุผลจนปารมีเริ่มจะโกรธนิดๆ ร่างบางนั่งลงตรงข้ามวสุธาก่อนจะจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ อย่างที่ไม่เคยทำ

“ถ้าแค่มาเยี่ยมทำไมกลับเร็วนัก ทำไมไม่เชิญเข้าบ้าน ทำไมไม่ให้เด็กๆเข้าไปทักทาย ผมไม่ได้โง่นะคุณ”

วสุธาหลบสายตาอีกฝ่าย ไม่อยากตอบคำถามและเหนื่อยเกินกว่าจะคิดว่าต้องพูดอย่างไรปารมีจึงจะเข้าใจ หากเพราะไม่ทันคิดเขาจึงพูดประโยคที่ทำให้ทั้งห้องเงียบลงไป ทำให้ปารมีหยุดถามเรื่องทุกอย่างอย่างที่เขาต้องการได้จริงๆ แต่มันเป็นการหยุดที่เกิดขึ้นเพราะความเสียใจ คนฟังเสียใจ คนพูดเองก็เสียใจที่พูดออกไป ประโยคเดียวของวสุธาที่ทำให้ปารมีลุกออกไปจากห้องอย่างง่ายดาย ประโยคที่ว่า

“คุณไม่ต้องรู้หรอก เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับคุณ”

................................................

ปารมีกลับมานั่งดูเด็กๆเล่นกับตาหวานเงียบๆ ไม่นานวสุธาก็ตามออกมาอีกคน ร่างสูงนั่งลงข้างปารมีอย่างที่เคยทำเสมอ แต่คราวนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่ปารมีจะหันมายิ้มให้ก่อนจะกลับไปสนใจเด็กๆต่อ คราวนี้ไม่เพียงไม่หันมามองหน้าวสุธาสักเพียงนิด ยังลุกขึ้นทันทีที่วสุธานั่งลงแล้วลงไปนั่งรวมกับพวกเด็กๆเสียอย่างนั้น

วสุธาถอนหายใจเบาๆ อันที่จริงเขารู้สึกเหนื่อยใจมากอยู่แล้วเมื่อเจอกับแม่ของภรรยาผู้ล่วงลับ แล้วก็ยิ่งต้องมาเหนื่อยเพิ่มเพราะต้องมาง้อปารมีอยู่ตอนนี้ แต่ทำอย่างไรได้ เมื่อวสุธาผิดเองที่พูดไม่คิด เขารู้ตัวว่าพูดไม่ดีออกไปจึงต้องการมาพูดทำความเข้าใจกับอีกฝ่าย แต่ปารมีไม่ได้ให้ความร่วมมือในการปรับความเข้าใจเลย แล้วยิ่งเห็นชัดเมื่อวสุธาพาตัวเองลงไปนั่งข้างล่างกับเด็กๆด้วย ปารมีก็ผุดลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องครัวทันที วสุธามองตามหลังบางๆนั้นไป กำลังคิดจะลุกขึ้นเดินตามแต่ก็หันมาเจอเหล่าลูกๆที่จ้องมองตัวเองอยู่ก่อนแล้ว

“มีอะไรครับ”

วสุธาพูดกับเด็กๆก่อนที่ปฐวีจะเป็นคนถามขึ้น

“คุณพ่อทะเลาะกับคุณปามหรือครับ”

วสุธาเอียงคอเหมือนจะถามว่าเด็กๆรู้ได้อย่างไร

“เมื่อกี้คุณปามบอกว่าวันนี้จะไปนอนกับพวกผม”

วสุธาหันขวับไปมองทางครัวแทบจะทันที เริ่มจะโกรธอีกฝ่ายขึ้นมานิดๆ ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เด็กๆจับได้ แต่เพราะอีกฝ่ายจะหนีเขาไปนอนห้องอื่นต่างหาก คิดว่าวสุธาจะยอมง่ายๆหรือไง

“ตกลงทะเลาะกันหรือครับ”

ธรณินลูกชายคนเล็กเอ่ยถามพลางส่งสายตาเหมือนคนจะร้องไห้มาให้

“เปล่าครับ พวกพ่อไม่ได้ทะเลาะกัน”

เด็กๆทั้งสามพยักหน้า ไม่สิ ต้องบอกว่าเด็กๆทั้งสี่ เพราะตาหวานเองก็โดนธรณินจับโยกคอเบาๆให้พยักหน้าไปพร้อมกัน

“งั้นคุณปามก็โกรธ”

“แต่เมื่อกี้คุณปามบอกว่าไม่ได้โกรธคุณพ่อนะ”

ดูเหมือนปารมีจะโดนซักมาก่อนแล้ว วสุธาฟังแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่าปารมีโกรธตนนั่นล่ะถูกต้องแล้ว

“ไม่ได้โกรธแล้วทำไมต้องไม่นอนกับคุณพ่อล่ะ ไม่ได้ทะเลาะกันด้วย”

ปฐพีทำหน้าคิดนิดๆก่อนจะหันไปบอกคนอื่นๆ

“คุณปามไม่ได้โกรธ แล้วก็ไม่ได้ทะเลาะกับคุณพ่อ แต่จะไปนอนกับพวกเราแถมยังไม่คุยกับคุณพ่อแบบนี้ สงสัยคุณปามต้องงอนคุณพ่อแน่ๆเลย””

หลังจากที่ได้ยินพี่ใหญ่สรุป เด็กๆอีกสองคนก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยตามความคิดนั้น  ก่อนจะหันกลับมามองคุณพ่อของตนที่นั่งเขี่ยแก้มตาหวานเล่นอยู่

“แล้วทำไมคุณพ่อยังไม่ตามไปง้ออีกล่ะครับ”

คนโดนถามแกมสั่งเลิกคิ้วขึ้นนิดๆด้วยความสงสัยว่าลูกๆของตนไปเอาเรื่องงอนง้อมาจากใคร

“เวลาอากลอนเดินหนีไป อาไม้จะพูดว่าโดนงอนอีกแล้ว อาไปง้ออากลอนก่อนนะครับ แบบเนี้ย แล้วก็รีบตามอากลอนไปเลย”

ปฐวีบอกพร้อมทำเสียงเลียนแบบอาตัวเองให้ดูเป็นการประกอบด้วย วสุธาส่ายหน้าช้าๆกับนิสัยของน้องชายคนเล็กที่ชอบแกล้งคนรักให้งอนก่อนจะไปง้อให้อีกฝ่ายมาคืนดีด้วย

เมื่อโดนลูกชายยุส่งแบบนี้ วสุธาก็พาตัวเองไปที่ห้องครัวเพื่อไปง้อคุณปามตามที่เด็กๆต้องการ แม้จะบอกกับตัวเองว่า ที่ตัวเองทำนี้ไม่เรียกว่าง้อแต่มันคือการมาอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจก็เถอะ

.....................................

ปารมีเหม่อมองไปที่หน้าต่างห้องครัวระหว่างที่รอน้ำร้อนเดือดเพื่อชงนมให้หลานชาย เขาไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าวสุธาได้เข้ามาอยู่ในห้องด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้สึกก็ตอนที่อีกฝ่ายเดินมาใกล้แล้วกดน้ำใส่แก้วเพื่อรอให้อุ่นสักนิดก่อนนำไปชง

ความเงียบเข้าครอบคลุมไปทั่วบริเวณ ปารมีอยากเดินหนีไปจากที่นี่แต่ก็ติดว่าคนตัวสูงกว่าที่กำลังทำท่าตั้งใจชงนมให้ตาหวานนั้นยืนขวางทางเอาไว้

“คุณจะไปนอนกับเด็กๆหรือ”

วสุธาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อนซึ่งแน่นอนว่าปารมีไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ

“ผมไม่ให้ไปหรอกนะ”

ปารมีค้อนควับทันทีที่ได้ยินที่อีกฝ่ายบอก ในที่สุดก็ทนไม่ได้จึงต้องเอ่ยปากพูดด้วย

“ผมจะไปนอนที่ไหนก็เรื่องของผม”

วสุธายิ้มนิดๆเพราะในน้ำเสียงที่ได้ยินนั้นไม่ได้เย็นชาห่างเหินเหมือนเมื่อตอนที่เขาไปตามกลับมาอยู่ด้วยกัน แต่ติดจะสะบัดๆสักนิดให้รู้ว่าไม่พอใจ หรือที่เด็กๆบอกว่าคุณปามของเด็กๆกำลังงอนจะเป็นเรื่องจริง

“เรื่องของคุณคนเดียวที่ไหนกัน คุณไม่นอนกับผมมันก็ต้องเป็นเรื่องของผมด้วยสิ”

หากลูกน้องหรือเพื่อนฝูงได้มาเห็นวสุธาในรูปแบบนี้คงได้ตกใจไปตามๆกัน เพราะสำหรับคนอื่นๆ วสุธาไม่เคยพูดจาเข้าข่ายกวนประสาทเชิงหยอกเล่นแบบนี้เลยสักนิด แต่ถ้าถามปารมีเหรอ ต้องบอกว่าเห็นจนชิน

“หึ ตัวผม ผมจะไปนอนที่ไหนก็ได้ ไม่เกี่ยวกับคุณ”

โดนย้อนมาแบบนี้ วสุธาก็อดรู้สึกเจ็บนิดๆไม่ได้เหมือนกัน ดูเหมือนปารมีจะเอาคืนที่วสุธาว่าไปที่ห้องทำงานนั่นเสียแล้ว

ก็แน่ล่ะ วสุธาไม่รู้หรอกว่าปารมีเสียใจมากแค่ไหน สำหรับปารมีนั้นเขาเริ่มจะยอมรับว่าวสุธาและเด็กๆเป็นครอบครัว เริ่มจะวางตัวเหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันที่มีอะไรก็ปรึกษาหารือกัน เป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน และเพราะห่วงใยใส่ใจปารมีจึงมองเห็นท่าทางไม่สบายใจของอีกฝ่าย ที่เข้าไปถามถึงผู้มาเยือนใช่ว่าจะเพราะปารมีอยากสอดรู้เรื่องของวสุธาเสียที่ไหน เขาก็แค่เป็นห่วง เลยอยากแบ่งเบาเรื่องหนักอกของวสุธามาบ้าง ถึงแม้ปารมีจะรู้ตัวว่าไม่ใช่คนเก่งหรือฉลาดมากพอจะช่วยวสุธาแก้ไขปัญหา แต่ก็อยากให้วสุธาปรึกษา อย่างน้อยๆก็ให้ได้ระบายอะไรๆออกมากับตน ให้วสุธาได้สบายใจขึ้นบ้าง

แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าไม่ใช่เรื่องของเขา กันเขาออกไปให้ห่างแบบนั้น จะไม่ให้ปารมีเสียใจได้อย่างไร

ในขณะที่วสุธาสามารถก้าวเข้ามาใกล้ปารมีได้ทุกเมื่อเพราะแม้จะยังกลัวแต่ปารมีก็พยายามเปิดใจรับ แต่สำหรับวสุธาแล้ว เขากันปารมีไว้ ปิดใจเสียอย่างนี้ แล้วจะมาบอกว่าตนเป็นคนรักไปเพื่ออะไร

“เรื่องของผมคุณเข้ามาจัดการได้เต็มที่ กำหนดนั่นนี่ตามใจ แต่เรื่องของคุณผมไปยุ่งด้วยไม่ได้ แตะอะไรไม่ได้สักนิด ทำแบบนี้ คุณจะให้ผมคิดยังไง”

คนฟังนิ่งไป เริ่มคิดถึงการกระทำของตัวเองที่ผ่านๆมา วสุธาจัดการทุกอย่างให้ปารมีตามความคิดของตัวเองจริงๆอย่างที่อีกฝ่ายว่า แม้ส่วนมากปารมีจะเต็มใจและไม่ได้ต่อว่าอะไร แต่มีบางเรื่องอย่างเช่นเรื่องเงินหรือเรื่องของใช้ของอีกฝ่ายกับตาหวานที่ปารมีกับเขามักจะต้องเถียงกันแทบทุกครั้ง แต่มันก็มักจะไม่เป็นเรื่องใหญ่เพราะปารมีรู้ว่าเขาหวังดี และเขาก็รู้ว่าที่ปารมีต่อต้านก็เพราะเกรงใจและไม่อยากรบกวน

เป็นวสุธาเองที่มักพูดเสมอว่า เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เรื่องเกรงใจหรือรบกวนให้เก็บพับไปได้เลย และเพราะเหตุนี้ ปารมีถึงได้ยอมลงให้ทุกครั้ง

“ผมขอโทษ”

วสุธาถอนหายใจออกมาหลังจากที่พูดคำนั้น ทำให้ปารมีเริ่มโกรธจริงจังเพราะคิกว่าอีกฝ่ายขอโทษไปอย่างนั้นเองเพื่อให้เรื่องมันจบ ร่างบางตั้งใจจะเดินออกไปจากห้องครัวเสียเพราะไม่อยากพูดคุยกับวสุธามากไปกว่านี้ แต่วสุธาไม่ยอม

ก่อนที่จะได้เดินผ่านไปปารมีรู้ดีว่าต้องเข้าใกล้อีกฝ่ายมากแค่ไหน ปารมีถึงได้ยืนอยู่ในครัวไม่ไปไหนจนได้พูดคุยกับวสุธา แต่ในขณะนี้ ปารมีไม่คิดจะคุยเสียแล้ว หากเพราะต้องเดินเข้าใกล้นี่เองวสุธาจึงได้มีจังหวะคว้าร่างอีกฝ่ายเอาไว้ เขารั้งอีกฝ่ายด้วยการกอดทั้งตัวจากด้านหลัง ทำเอาคนโดนกอดที่กำลังโกรธๆตกใจจนลืมโกรธไปชั่วขณะ

“คุณ..ปล่อยนะ”

ยิ่งดิ้นมากเท่าไหร่ คนกอดก็ยิ่งกอดแน่นมากขึ้นเท่านั้น จนปารมีรู้ว่ายังไงก็หนีไปไม่พ้น จึงได้ยอมยืนนิ่งๆให้อีกฝ่ายกอดเอาตามใจ และเมื่อไม่ขัดขืน วสุธาก็คลายอ้อมกอดที่กอดเสียจนแน่นลงเล็กน้อย จนมันกลายเป็นอ้อมกอดเบาๆที่อ่อนโยน อ่อนโยนเสียจนปารมีลืมคิดจะหนีห่างไปแม้มีโอกาส

วสุธาซบใบหน้าลงที่ไหล่บางเงียบๆ แล้วทั้งห้องก็ตกลงสู่ความเงียบอีกครั้ง

“ผมขอโทษจริงๆ ในห้องทำงานนั่นผมไม่ได้คิดอย่างที่พูดจริงๆหรอกนะ”

น้ำเสียงของวสุธาจริงจังจนปารมีต้องนิ่งฟัง

“ผมแค่กำลังเหนื่อยและไม่อยากนึกหรือพูดถึงพวกเขา ผมไม่ได้ตั้งใจจะกันคุณออกไปจากเรื่องนี้หรอก”

ปารมีเองก็พอจะเข้าใจในจุดนี้ และเพราะเหตุนี้สำหรับเด็กๆจึงมองว่าปารมีแค่งอน ไม่ได้โกรธ ก็ปารมีแค่งอนและน้อยใจเท่านั้นเองจริงๆนี่นา

“ผมผิดที่ใช้คำพูดไม่คิดปัดไปง่ายๆแบบนั้น ทำให้คุณต้องเสียใจ”

เขารู้ว่าปารมีเสียใจ น้อยใจ เพราะปารมีไม่ได้ปิดบังอารมณ์ของตัวเองไว้เลย ทั้งสีหน้าและแววตาตอนที่อยู่ในห้องทำงานนั้น มันทำเอาเขาอยากจะย้อนเวลากลับไปไม่ให้ตัวเองพูดประโยคนั้นออกมา แต่ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่ทำได้มีเพียงมาขอโทษอีกฝ่ายในสิ่งที่ได้พูดไป และทำความเข้าใจกับอีกฝ่ายก็เท่านั้น

แม้จะยังเหนื่อย แต่วสุธาไม่อยากให้เรื่องมันค้างคา เขารู้ว่ายิ่งนานไปหากไม่คุยกันให้เข้าใจ เรื่องราวมันก็จะยิ่งมีแต่แย่ลง

“ผมขอโทษและอยากให้คุณยกโทษให้ ผมจะไม่ทำมันอีก”

ถ้าปารมีพยักหน้าตกลงตอนนี้จะมีคนว่าปารมีใจอ่อนง่ายไปไหม แต่ถึงจะว่าปารมีก็ต้องยอมรับเท่านั้น เพราะเจ้าตัวพยักหน้ารับคำขอโทษของอีกฝ่ายไปเสียแล้ว

“ผมขอแค่คุณอย่าทำอีก อย่าพูดเหมือนผมกับคุณไม่เกี่ยวข้องกันอีก ผมไม่อยากรู้สึกแบบนั้น ไม่อยากคิดว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ”

วสุธากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกเมื่อได้ฟัง ไม่ใช่แค่ปารมีหรอก วสุธาเองให้ลองคิดว่าปารมีเห็นตนเป็นคนอื่น แค่คิดก็รู้สึกโมโหขึ้นมาแล้ว

“คุณปาม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าใครจะพูดหรือทำอะไร ขอให้คุณจำและนึกไว้เสมอว่าคุณเป็นคนรักของผม เป็นคุณปามของเด็กๆ เป็นครอบครัวของผมและเด็กๆ คุณเป็นหนึ่งในจอมไตร คุณมีพวกเราทุกคน”

ปารมีรู้สึกขอบตาร้อนผ่าว แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้ม มือเรียวยกขึ้นมาจับแขนของอีกฝ่ายที่กอดตนไว้ ทั้งคู่กอดกันอยู่อย่างนั้น และคงจะกอดกันนานกว่านี้หากเด็กๆทั้งสี่คนจะไม่เข้ามาในห้องครัว

“ตาหวานหิวนมแล้วครับ”

ปฐพีที่อุ้มตาหวานเข้ามาเป็นคนบอก พร้อมกับปฐวีที่จูงมือธรณินซึ่งกำลังขยี้ตางัวเงียเพราะง่วงนอน

วสุธาปล่อยตัวปารมีอย่างง่ายดายเมื่ออีกฝ่ายดันตัวออก

ใบหน้าเนียนเป็นสีแดงเรื่อเมื่อคิดว่าเด็กๆเห็นภาพตัวเองกอดกับวสุธา แต่เด็กๆกลับไม่พูดถึงเรื่องนี้กันสักคำ ซึ่งมันช่วยไม่ให้ปารมีเขินมากไปกว่านี้

สรุปแล้วปารมีกับวสุธาก็พาเด็กๆเข้านอนโดยที่ปารมียังคงกลับไปนอนที่ห้องเดิม ห้องของปารมีกับวสุธา

..............................................

มีต่อข้างล่างค่ะ

ออฟไลน์ JUPJIB

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +218/-0

บางทีเรื่องบางเรื่องไม่รู้อาจจะดีกว่า ปารมีคิดอย่างนั้นจึงไม่เซ้าซี้จะถามเรื่องคุณยายของเด็กๆอีก แต่พอปารมีไม่ถาม วสุธาเกิดอยากจะเล่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“คุณนอนแล้วหรือ”

วสุธาถามขึ้นมาในความมืด เขากอดร่างที่เล็กกว่าตนเอาไว้จึงแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้หลับไป แต่ก็เอ่ยถามขึ้นมาก่อน

“มีอะไรหรือครับ”

ถึงจะยังไม่ได้หลับ ปารมีก็ใกล้เข้าสู่ห้วงนินทราเข้าไปทุกทีแล้ว น้ำเสียงจึงงัวเงียจนวสุธาเงียบไปอย่างชั่งใจว่าควรจะพูดให้อีกฝ่ายฟังตอนนี้เลยดีไหม

“คุณลิลลี่น่ะ เป็นแม่ของเลวี่ ส่วนคนที่มาด้วยกันชื่อลูซี่เป็นน้องสาวของเธอ”

และเพราะไม่อยากปล่อยให้เรื่องมันค้างคานานไปวสุธาจึงตัดสินใจเล่าเสียตอนนี้ ซึ่งก็ทำให้ปารมีตาสว่างทันทีเมื่อได้ฟัง

“ผมกับเลวี่เจอกันตอนที่เธอมาเที่ยวที่เมืองไทย แล้วเราก็ยิ่งสนิทกันเมื่อผมไปทำงานที่ประเทศของเธอ”

เสียงที่เล่านั้นราวกับกำลังรำลึกภาพความหลัง

ความรักของวสุธากับเลวี่ไม่มีอะไรหวือหวา ทั้งสองคนเจอกัน คุยกันถูกคอ แล้วก็รักกันด้วยความเข้าใจ ทั้งสองคนไม่เคยหึง หวง หรือโกรธกันเลย สำหรับวสุธาแล้วจนตอนนี้เขายังหาใครที่เข้าใจเขาได้เท่าเลวี่ไม่เจอ นั่นทำให้เขาคิดว่าเขายังไม่รักใคร แม้แต่กับปารมีก็ตาม

ถึงแม้ว่าเอจะบอกว่าบางทีกับเลวี่มันอาจจะไม่ใช่รัก เพราะคนรักกันไม่จำเป็นต้องเข้าใจกันไปทุกเรื่อง แต่วสุธาไม่รู้ รู้แค่ว่าอยู่กับเธอแล้วสบายใจ จึงเหมาเอาว่านั่นเป็นความรัก

เขาไม่เถียงเอหรอก เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าอะไรคือรักไม่รักเหมือนกัน

แม้จะไม่แน่ใจว่ารักหรือเปล่า แต่ทั้งสองคนก็คิดว่าต้องคว้าเอาคนที่เข้าใจตัวเองที่สุดไว้ แล้วทั้งคู่ก็ตกลงแต่งงานกัน ด้วยความคิดที่ตรงกัน

แต่เรื่องราวมันไม่ได้เรียบง่ายและสวยงามไปเสียหมด

ที่บ้านของเลวี่เป็นผู้ดีเก่า เป็นคนมีหน้ามีตาและเคร่งในศาสนา เคร่งในความคิดแบบเก่าๆ

ทันทีที่เลวี่พาวสุธาเข้าบ้านเพื่อบอกเรื่องแต่งงาน ทั้งสองคนก็รู้แล้วว่าอุปสรรคได้เกิดขึ้นแล้ว

ที่บ้านของเลวี่ไม่สามารถยอมรับคนต่างชาติผิวเหลืองมาเป็นลูกเขยได้ นอกจากจะต่างชาติกันแล้ว ศาสนายังต่างกันอีก วสุธาไม่คิดจะเปลี่ยนศาสนา เลวี่เองก็ไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา แต่คนในครอบครัวของเธอไม่ชอบใจในเรื่องนี้

การแต่งงานถูกขัดขวาง แต่เลวี่บรรลุนิติภาวะแล้ว เธอโตเป็นผู้ใหญ่พอการขัดขวางเหล่านั้นจึงแทบไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากมันจะทำให้เลวี่รู้สึกเศร้าใจในบางครั้งก็เท่านั้น

แต่เพราะเธอมองโลกในแง่ดี เธอคิดว่าสักวันที่บ้านเธอต้องยอมรับได้แน่

เธอจึงไม่เลิกล้มการแต่งงาน และย้ายตามวสุธามาอยู่ที่เมืองไทย แม้ว่าจะโดนที่บ้านบอกว่าจะตัดขาดก็ตาม

เลวี่ไม่มีปัญหาในเรื่องของจิตใจเพราะเธอชอบทำให้ที่บ้านโกรธอยู่บ่อยๆอยู่แล้ว แต่เมื่อเวลานานขึ้น ตอนที่ฝาแฝดเกิดและเธอโทรไปบอก ไม่มีใครแสดงความยินดีกับการเกิดของเด็กชายตัวน้อยๆทั้งสอง นั่นทำให้เลวี่เริ่มคิดมาก แต่การเลี้ยงลูกชายฝาแฝดก็ทำให้เธอวุ่นวายเกินกว่าจะมีเวลาได้คิดถึงเรื่องนี้บ่อยนัก จนกระทั่งลูกชายคนเล็กเกิด เธอโทรไปบอกข่าวที่บ้านอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากเดิม ไม่มีใครสนใจเด็กชายที่เพิ่งลืมตาดูโลก และยังบอกเธอว่าหากเธอมีลูกอีก คราวนี้ไม่ต้องโทรไปบอกเพราะทางนั้นไม่อยากรับรู้

เลวี่เสียใจมาก แต่เธอก็พยายามร่าเริง พยายามเป็นแม่ที่ดีของลูกๆต่อไป แต่มันปิดวสุธาได้ไม่มิด เมื่อเขาเป็นคนที่เข้าใจเธอที่สุด วสุธาพูดคุยกับเธอเรื่องนี้ แต่เธอก็เอาแต่บอกว่าไม่เป็นไร จนกระทั่งได้ข่าวจากเพื่อนเก่าว่าคุณปู่ของเธอเสียไปนานเกือบเดือนแล้ว ไม่มีใครในบ้านโทรมาแจ้งข่าวนี้แกเธอสักคน ไม่มีใครคิดจะบอกเธอ ทั้งๆที่คุณปู่เป็นเพียงคนเดียวที่อวยพรให้เธอในวันแต่งงาน แม้จะไม่ได้คุยด้วย แต่เธอก็รู้ว่าคุณปู่ต้องดีใจกับการกำเนิดของเหลนๆ เลวี่ขับรถไปสนามบินเพื่อบินไปบ้านเกิด แม้จะสายไป แต่เธอก็อยากไปเคารพสุสานของคุณปู่ หากเธอก็ไปไม่ถึง เกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง และเธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

“คุณคงเสียใจมาก”

เมื่อเล่าถึงตรงนี้ปารมีก็พูดขึ้นอย่างแผ่วเบา วสุธากระชับอ้อมกอด ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกช้าๆ

“ผมต้องเสียใจมากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เธอเป็นเหมือนผมอีกคนนึง”

ปารมีเม้มริมฝีปากแน่น ตัวตนของเลวี่ในใจของวสุธา เด่นชัดไม่เคยเลือนหายไปเลยสักนิดเดียว แล้วตัวตนของปารมีเล่า เคยปรากฏในใจของเขาบ้างสักครั้งไหม

“ผมโทรไปแจ้งข่าวเธอกับครอบครัวของเธอด้วยตัวเอง แต่พวกเขาก็ยังคงไม่สนใจ ผมจึงตัดสินใจตัดขาด ไม่ติดต่อกับทางนั้นอีก”

ปารมีพาตัวเองกลับมาในเรื่องที่วสุธากำลังเล่า แม้จะยังไม่หายสงสัย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรจะถามถึงเรื่องนั้น

“แล้วคุณยายกับคุณน้าของเด็กๆเขามากันทำไมครับ หรือว่าเขาจะเริ่มคิดถึงเด็กๆขึ้นมา คุณก็น่าจะให้เขาเจอเด็กๆนะครับ”

วสุธาส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

“ผมไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงถึงมา ถ้าคิดถึงเด็กๆผมก็ไม่ว่าหากอยากจะเจอ แต่พวกเขากลับมาบอกว่าจะมาพาเด็กๆไป ผมเลยบอกให้พวกเขากลับไปเสีย”

“เขาจะมาพาเด็กๆไปหรือครับ คุณคงไม่ยอมหรอกใช่ไหมครับ”

ปารมีลุกขึ้นนั่งและหันไปหาวสุธา ตั้งใจมองหน้าเพื่อให้แน่ใจในคำตอบที่จะได้รับ

“ผมไม่ปล่อยให้ใครมาพาลูกๆของผมไปหรอก”

 “ผม เอ่อ..”

ปารมีลงนอนเบาๆ และเริ่มละอายใจเล็กน้อยที่เขากล้าที่จะคิดกลัววสุธาจะยกลูกชายให้คนอื่น ปารมีน่าจะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้

“ผมขอโทษที่ถามอะไรไม่เข้าท่านะครับ”

“ไม่ต้องคิดมากหรอก ผมดีใจเสียอีกที่คุณเป็นห่วงเด็กๆขนาดนี้”

ว่าแล้วเอื้อมมือมาจับมือปารมีไว้พร้อมกับลูบเบาๆอย่างปลอบใจ

“ก็คุณบอกเองนิ่ครับ ว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ผมก็ไม่อยากให้ใครมาพรากครอบครัวของผมไปหรอก”

ถ้าตอนนี้สว่างอยู่ วสุธาคงได้เห็นว่าใบหน้าของคนพูดนั้นแดงขนาดนั้น

“ไม่ว่าจะพี่น้องผม เด็กๆทั้งสี่คน หรือว่าคุณ ผมก็จะไม่ให้ใครที่ไหนมาพรากไปได้ เชื่อผมเถอะ”

หลังจากพูดประโยคนี้ ต่อให้ไม่มีแสงใดๆ วสุธาก็ยังนึกออกได้เลยว่าใบหน้าของปารมีต้องแดงแน่ๆ

..........................................................

ถึงวสุธาจะยืนยันหนักแน่น แต่เขาก็ไม่สามารถห้ามคนอื่นไม่ให้คิดและลงมือทำอะไรที่เขาไม่ชอบได้

“นี่คือหมายศาลและนี่คือคำร้องครับ”

ทนายความประจำตระกูลจอมไตรยืนเอกสารให้วสุธา

เอกสารนั้นระบุวันที่ยื่นไว้เกือบสองอาทิตย์แล้ว โดยยื่นผ่านตัวแทนคือทนายความ แปลว่าทางบ้านของเลวี่คิดจริงจังและลงมือทำเรื่องนี้มานานก่อนเขาจะรู้ตัว วสุธาก้มหน้าอ่านเอกสารแล้วสายตาก็นิ่งมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเหตุผลที่อีกฝ่ายแจ้งแก่ศาลคือไม่เคยทราบเรื่องเด็กๆและเมื่อทราบทางเขาก็กีดกันไม่ให้พบ

“นี่มันโกหกชัดๆ”

วสุธากวาดสายตาลงอ่านเนื้อความเพิ่มขึ้เติม และมันก็ทำให้เขาแทบจะอยากฉีกกระดาษออกเป็นชิ้นๆ เรื่องที่บ้านจอมไตรมีแต่ผู้ชายถูกหยิบยกขึ้นมา ว่านั่นไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมในการเลี้ยงดูเด็กๆ แถมพี่เลี้ยงที่เลี้ยงดูเด็กๆก็ยังเป็นผู้ชาย และดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์กับเขาเกินกว่าเจ้านายและลูกน้อง

แล้วยังมีเรื่องของไม้และอมฤตที่มีคนรักเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่

แม้ใบหน้าของวสุธาจะยังนิ่ง แต่กระดาษในมือกลับเริ่มยับเล็กน้อย

“คุณวสุธาครับ”

ทนายความดึงกระดาษออกจากมือเจ้านายพร้อมเรียกชื่อเพื่อเตือนสติ ซึ่งก็ดูจะได้ผล วสุธายอมปล่อยมือจากกระดาษเหล่านั้นแต่โดยดี

“ผมไม่ต้องการขึ้นศาล เด็กๆเองก็คงไม่ชอบเหมือนกัน”

และคุณปามกับเพื่อนคงไม่ชอบมากๆ วสุธาคิดต่อในใจโดยไม่ได้พูดออกไป

“ผมทราบ ทางเราจะขอเลื่อนเวลาไต่สวนของศาลเพื่อหาหลักฐาน แล้วคุณก็จัดการในส่วนของคุณ ผมจะจัดการในส่วนของผม ผมขอตัวก่อน”

พูดจบทนายความก็ลุกออกจากห้องไป

...............................................................

วสุธากลับบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อนเล็กน้อย หลังจากทนายความออกไป เขาก็โทรตามน้องๆทุกคนมาพบเพื่อแจ้งเรื่องคำฟ้อง แน่นอนว่าน้องๆของเขาทุกคนโกรธมาก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่วสุธาต้องการ แม้จะรู้ว่าน้องๆต้องโกรธมากอยู่แล้ว ที่เขาต้องการคือแจ้งข่าวและให้ทุกคนระวังตัวในเรื่องนี้ โดยเฉพาะสองคนที่มีชื่ออยู่ในคำร้อง หลังจากนั้นทุกคนก็ออกจากห้องไปเงียบๆ

“คุณดูเหนื่อยๆนะครับ”

ปารมีเดินเข้ามาทัก ซึ่งวสุธาก็พยักหน้าพร้อมส่งเสื้อสูทให้อีกฝ่ายที่ยื่นมือมารับอยู่ก่อนแล้วถือเหมือนทุกวัน

“เรื่องเด็กๆหรือครับ”

“พวกเขาจะฟ้อง”

แม้วสุธาไม่อยากบอก แต่คิดดีๆแล้วเขาบอกเองเสียดีกว่าปารมีจะรู้เรื่องนั้นจากคนอื่น

“ครับ”

“เขาจะฟ้องเอาเด็กๆไป”

ปารมีหน้าเสียไปเล็กน้อย ร่างบางหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าวสุธา เมื่อปารมีหยุดเดิน วสุธาจึงหยุดเดินไปด้วย เขายิ้มออกมาเล็กน้อยเพื่อปลอบใจอีกฝ่าย ก่อนจะพูดให้ความมั่นใจอย่างน้อยๆมันคงจะทำให้ปารมีเลิกทำหน้าเศร้าเสียที เพราะวสุธาไม่ชอบเลยที่ปารมีทำหน้าเศ้ราแบบนี้

“แต่ผมไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นหรอก ตอนนี้ผมกำลังรวบรวมหลักฐานยื่นให้ศาลในวันนัดไกล่เกลี่ยครั้งแรก”

“ผม ... คุณดิน เรื่องผมกับคุณ”

“คุณรู้เรื่องมาก่อนแล้ว”

วสุธามองหน้าอีกฝ่ายซึ่งก็พยักหน้ารับแต่โดยดี

“กลอนมาปรึกษากับผมเรื่องนี้น่ะครับ”

คนฟังไม่ตำหนิเพื่อนของปารมีสักนิด เขาเข้าใจในความกังวลของอีกฝ่าย และที่มาปรึกษาปารมีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันและยังกำลังเผชิญกับเรื่องเดียวกันอยู่

“แล้วคุณคิดว่ายังไง”

“คุณดิน ผม... ผมไม่รู้สิ เรื่องของผม สร้างปัญหาให้กับคุณมากเลยใช่ไหมครับ”

ปารมีนั้นตอนที่ฟังกลอนพูดเขาได้แต่งนิ่งเงียบเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร จนเมื่อกลอนจากไปเขาก็ยังนั่งเงียบๆอยู่แบบนั้นเป็นนาน หากแม่บ้านไม่เข้ามาบอกว่าเด็กๆกลับมาแล้ว ปารมีคงนั่งอยู่อย่างนั้นไปอีกนาน

“ความจริงถ้าไม่มีเรื่องของผม อะไรๆมันคงจะดีกว่านี้ ถ้ายังไงผม...”

“คุณปาม”

วสุธาเรียกชื่ออีกฝ่ายเพื่อหยุดก่อนที่ปารมีจะพูดอะไรที่เขาไม่อยากฟังออกมา

“ผมจะไม่ปล่อยให้คุณกับตาหวานไปไหน ผมบอกคุณแล้วว่าผมจะไม่ปล่อยให้ใครมาพรากครอบครัวของผมไป ผมจะไม่ปล่อยให้ครอบครัวของผมหันหลังเดินหนีผมไปเองด้วย และคุณคือครอบครัวของผมจำได้ไหม”

ปารมีกำเสื้อสูทที่ตัวเองถืออยู่แน่น ก่อนจะเดินนำวสุธาเข้าบ้าน ซึ่งวสุธาคว้าแขนอีกฝ่ายไว้เพราะคิดว่าปารมีจะเดินหนี ความจริงมันก็ถูก ปารมีกำลังจะเดินหนี แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใดนอกจากความเขินอาย

“ผมยืนยันนะว่าคุณต้องอยู่ข้างๆผม ผมจะไม่ปล่อยคุณไปไหน”

แต่ปารมีก็ยังคงหลบหน้า วสุธาจึงจับแขนอีกข้างของปารมีไว้ ดึงรั้งให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน

“ผมรู้ว่าคุณค่อนข้างจะไม่สบายใจเรื่องของผม ผมหมายถึงเรื่องของเลวี่”

วสุธาพูดและเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาเขาจึงพูดต่อ

“ผมจะไม่โกหกหรอกว่ายังคิดถึงเธอ เราผูกพันกันมามันคงยากที่จะห้ามไม่ให้ผมนึกถึงเธอ แต่เธอจากไปแล้ว และคนที่ผมอยากให้อยู่ข้างๆผมตอนนี้คือคุณ”

ปารมีเริ่มบิดแขนเล็กน้อยเพื่อดึงแขนออกจากการเกาะกุม แต่มันไม่ได้ผล

“คุณอาจจะไม่เข้าใจผมได้เท่ากับที่เลวี่เข้าใจ ผมอาจจะไม่เข้าใจคุณได้เท่ากับที่เข้าใจเลวี่ แต่เลวี่ก็คือเลวี่ คุณก็คือคุณ คุณปามผมไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร แต่ผมไม่อยากปล่อยให้คุณไปไหน อยากยึดคุณไว้กับตัวเอง ผมมองคุณแล้วผมยิ้มได้ แค่คุณยิ้มให้ผมผมก็สบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็น และผมชอบที่จะได้กอดได้สัมผัสคุณ ผมไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกแบบไหนเพราะผมไม่เคยเป็น คุณพอจะรู้ไหมว่ามันคืออะไร”

ถ้าวสุธาจะพยายามก้มหน้ามองคนฟังสักนิดคงจะรู้ว่าปารมีกำลังอายและต้องการซ่อนใบหน้าแดงๆของตนเองไว้ ไม่ใช่การหลบหน้าอย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจสักนิด

“ผมไม่ชอบให้คุณร้องไห้ ไม่ชอบให้คุณเสียใจ มันทำเอาผมแทบจะทำอะไรไม่ถูก และถ้าเรื่องฟ้องร้องมันจะทำให้คุณต้องไปจากผม ผมก็จะไม่เลือกวิธีการอีกแล้ว”

ปารมีเงยหน้าขึ้นตอนนี้เอง ด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดของอีกฝ่าย แล้ววสุธาถึงได้เห็นว่าปารมีหน้าแดงขนาดไหน ก่อนจะยิ้มขำๆส่งให้ ขำทั้งตัวเอง ขำทั้งอีกฝ่าย

พอเห็นสีหน้ายิ้มๆปารมีถึงได้รู้สึกว่าตัวเองพลาด พลาดเสียแล้วที่เงยหน้าขึ้นมา

“คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ”

ปารมีหลบตาวาวๆที่จ้องมาอย่างเขินๆ พยายามบิดข้อมืออกอีกครั้งแต่ก็เหมือนอีกฝ่ายมีกาวติดเอาไว้ดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออก

“ว่าไงครับ”

ตอนนี้วสุธาปล่อยแขนปารมีแล้ว แต่กลับกุมมืออีกฝ่ายไว้แทน

“ผมไม่รู้”

วสุธานิ่วหน้ากำลังจะปล่อยมืออยู่แล้วเชียวหากปารมีไม่เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“คุณทำร้ายผม ตอนแรกผมโกรธ แต่ผมมาคิดไปคิดมา ผมคงเสียใจมากกว่าที่คุณทำร้ายผม”

วสุธาลูมมืออีกฝ่ายเบาๆราวกับกำลังส่งผ่านคำขอโทษมาให้

“ผมรู้ว่าคุณแค่ต้องการรับผิดชอบ แต่ถ้ามันจะทำให้คุณต้องติดอยู่กับผมไปตลอด ผมก็คิดแค่ว่ามันก็ดีแล้ว ผมคิดมากเรื่องคุณเลวี่จริงๆ รู้ว่าตัวเองไม่มีทางแทนที่เธอได้ แต่แค่คุณคิดเรื่องของผมสักนิด ผมก็ดีใจแล้ว”

ตัวปารมีนั้นไม่ได้ต้องการทั้งหมดเพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ วสุธาไม่มีทางลืมเลวี่ภรรยาเก่า และเขาเองก็ไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายลืมเธอไป ถึงอย่างไรเธอก็เป็นแม่ของเด็กชายทั้งสามคนที่ปารมีรักและเอ็นดู อย่าว่าแต่วสุธาเลย แม้แต่ตัวปารมีเองก็ยังนึกถึงเธอและชื่นชมเธออยู่เสมอที่มีลูกชายน่ารักๆได้ถึงสามคนแบบนี้

“ผมถึงจะกลัวคุณไปบ้าง แต่ผมก็ชอบอยู่ใกล้คุณนะ แล้ว... แล้วก็ชอบที่คุณกอดผมไว้ด้วย”

ตอนนี้ถึงปารมีจะหันหน้าหนี วสุธาก็มองได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังหน้าแดงเอามากๆ

เขารวบตัวปารมีมากอดไว้ ไหนๆอีกฝ่ายก็ชอบที่เขากอดเหมือนๆกับที่เขาชอบกอดอีกฝ่าย แล้วทำไมเขาจะไม่รีบกอดปารมีไว้เล่า

มือบางยกขึ้นช้าๆก่อนจะกอดเขาตอบแล้วเจ้าตัวก็ซุกหน้าเข้ากับอกเขาอย่างที่ไม่เคยทำ วสุธารู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจ

ตอนนี้เขารู้ตัวแล้วว่าไม่ใช่แค่ชอบที่จะได้สัมผัสอีกฝ่าย เขาชอบที่อีกฝ่ายสัมผัสเขาด้วยเหมือนกัน

“ท่าทางจะอาการหนักนะเรา”

วสุธารำพึงกับตัวเองเบาๆ ดีที่ปารมีไม่ได้สนใจฟังนัก

“เห็นไหมบอกแล้วว่าคุณพ่อกับคุณปามต้องรักกัน”

“แล้วทำไมไม่เห็นพูดว่ารักเลยล่ะ”

“ก็บางทีการกระทำสำคัญกว่าคำพูดไง”

“แต่พวกคุณพ่อเอาแต่พูดกันนิ่ ไม่ได้ทำอะไรนอกจากยืนกอดกันเนี่ย”

“งั้นก็บางทีคำว่ารักก็ไม่จำเป็น”

“แต่นินอยากกอดด้วย ตาหวานก็เหมือนกันใช่ไหมครับ”

ประโยคที่เถียงกันช่วงแรกๆวสุธาแน่ใจว่าเป็นของสองฝาแฝด ส่วนประโยคสุดท้ายเขาก็แน่ใจอีกเหมือนกันว่าเป็นของลูกชายคนเล็ก

ปารมีดันตัวเขาออกก่อนจะเดินหนีไปหาเด็กๆ ซึ่งวสุธาก็เดินตามไปเงียบๆพร้อมกับส่งสัญญาณไม่ให้พวกเด็กๆพูดอะไรขึ้นมาอีก

ปารมีรับตัวตาหวานไปอุ้มไว้ ก่อนที่ธรณินจะชูมือสองข้างเป็นสัญญาณให้คุณพ่ออุ้มตัวเองขึ้นไปบ้าง ปฐพีกับปฐวีเดินไปจับมือปารมีกับวสุธาไว้ ก่อนจะพากันเดินเข้าบ้านไปจริงๆ

ใครเห็นคงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าภาพเหล่านี้ช่างเป็นภาพครอบครัวสุขสันต์ ซึ่งก็เป็นครอบครัวสุขสันต์จริงๆนั่นแหละ

แม้วสุธาจะแอบเคืองลูกๆนิดหน่อยที่มาขัดจังหวะ แถมครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กมาขัด แต่เอาเถอะ อย่างน้อยๆเด็กๆก็มาทำให้เขาแน่ใจ แน่ใจว่าตัวเองรักอีกฝ่ายโดยที่อีกฝ่ายก็รักไม่ต่างกัน บางทีคำว่ารักมันก็ไม่ได้สำคัญเสียทีเดียวอย่างที่เด็กๆว่าไว้ หากเขาก็คงต้องหาโอกาสพูดคำนี้กับปารมีสักครั้ง  แต่คงไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่เด็กๆกำลังเจื่อยแจ้วให้ฟังถึงเรื่องที่โรงเรียน ตอนที่ปารมียิ้มรับเรื่องเล่าของพวกเด็กๆ

สำหรับวสุธาและปารมี แม้จะโดนขัดจังหวะไปบ้าง แม้จะหมดความเป็นส่วนตัวไปนิด แต่ก็ไม่ได้คิดรำคาญหรือยุ่งยากใจ เพราะพวกเด็กๆสำคัญสำหรับทั้งสองมาก รักของพวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นแค่กันและกันได้ เพราะสำหรับทั้งคู่แล้วความรักมันไม่ใช่แค่คนสองคน


จบแล้วค่ะ

ออฟไลน์ nokkaling

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ MRchai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 286
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
จบแร้วเหรอ อยากอ่านอีก

ออฟไลน์ kitty

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +258/-7

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
 :L2:  อบอุ่นมากกกกกกก

iDistort

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
จบแบบไหนจบเรื่องเลยเหรอ
กำลังสนุกเลยนะ
ทำไมมันสั้นจัง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ploylw_chery

  • บุคคลทั่วไป
จบแล้ว  :L2:.....สนุกมากเลยค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
 :L2:  :pig4:

ขอบคุณคนเขียนมากๆ เลยค่ะ

ออฟไลน์ Zurruz

  • สาววายพันธุ์ยัน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
หา 7 ตอนเองหรอค่ะ TAT อยากอ่านต่อจังค่ะ ฮืออ

ขอตอนพิเศษนะค่ะ นะค่ะ ๆ วันนี้วันเกิดเค้าน๊า T [] T

ขอร้องล่ะ Please!!

ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
หะ..เหอออ จบเรื่องหรอคะ?
เอาจริงง่ะ เรายังอยากอ่านต่อยู่เลยอ่า.  :m17:

ออฟไลน์ NOoTuNE

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +317/-15
 :o8:

ความรักคือความเข้าใจ


ความรักคือการร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ว่าจะเกิดอะไร สองคนนี้ก็ผ่านมันไปได้แน่นอน


ขอบคุณนะคะ  :กอด1:

shockoBB

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
จบแล้วเหรอ  :z3:

น่าจะต่ออีกหน่อยนะ

ออฟไลน์ StillLoveThem

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +295/-10
.....อ้าว อ้าว ลงท้ายไม่สวยนะ จบตอน หรือจบเรื่องเนี่ย
.....อย่่าเพิ่งจบเน้อ กำลังสนุกเชียว แต่คิดภาพจูงมือกันเข้าบ้านแ้ล้ว
.....่นี่มัน happy ending  นี่หว่า ยังไงเนี่ยยยยยยยยยยย
:laugh:

lasom

  • บุคคลทั่วไป
รักกันแบบเบาๆ อุ่นๆ :กอด1:ครอบครัวสุขสันต์จริงๆคู่นี้

ออฟไลน์ gupalz

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +604/-20
จบและหรอเนี่ย
อยากจะรู้เรื่องฟ้องศาลอ่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด