เอิร์ธกับโซระ ตอน เส้นผมบังภูเขา [เอิร์ธ]
ถึงขั้นอาหารเป็นพิษไปแล้วครั้งหนึ่งโซระก็ยังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาขุนตัวเองต่อไป แต่อย่างน้อยก็ปรับปรุงวิธีการไปในทางที่ดีขึ้น เลิกกินแบบสักแต่จะยัด หันมาเลือกทานอาหารที่เป็นประโยชน์ เน้นโปรตีนอย่างเนื้อ นม ไข่ขาว และออกกำลังกายมากขึ้น อย่างตอนพักกลางวันก็ไปเล่นบาส หรือเย็นวันไหนที่ไม่มีเรียนพิเศษก็ออกไปวิ่งบ้าง
"เอิร์ธ~! เอิร์ธดูนี่สิ!" ใบหน้าใสคลี่ยิ้มกว้างพลางเดินกึ่งวิ่งมาทางผม
น่าเสียดายผิวขาวๆ ที่กลายเป็นสีคร้ามแดด ทว่าไม่ใช่สีแทนหรือสีน้ำผึ้ง แต่เป็นสีขาวอมชมพูเข้มจนเกือบจะแดงเถือกมากกว่า จนผมต้องคอยเตือนให้อีกฝ่ายทาครีมกันแดดบ้าง ไม่อย่างนั้นผิวของโซระอาจจะไหม้จนลอก ทั้งแสบทั้งคันทรมาน เหมือนอย่างที่เคยเป็นตอนช่วงงานกีฬาสี
"อะไรเหรอ" ผมถามยังไม่ทันจบประโยคโซระก็รีบอวดให้ดูรูปใบหนึ่งจากโทรศัพท์มือถือ เป็นรูปถ่ายของร่างเล็กในห้องนอน กำลังยืนตัวตรงแนบแผ่นหลังพิงกับกำแพง เมื่อซูมเข้ามาจึงเห็นรอยขีดข้างเสา กำกับวันที่และตัวเลข
"เอิร์ธเห็นไหม!? เทียบกับเดือนที่แล้วเราสูงขึ้นตั้งครึ่งเซนต์แน่ะ!"
น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจทำให้ผมกำลังจะคลี่ยิ้มตอบปนกึ่งขำกึ่งเอ็นดู 'ก็บอกแล้วว่าวัยอย่างพวกเรายังสูงขึ้นได้อีก'
แต่เมื่อหันหน้าไปกลับต้องเผชิญกับรอยยิ้มสว่างสดใสในระยะประชิด เมื่อโซระไม่เพียงแต่จะอวดรูปในมือถือ แต่ยังชะโงกศีรษะเข้ามาดูด้วย จนแก้มของพวกเราแทบจะแนบชิดกัน และเมื่อผมหันไปพร้อมๆ กับที่โซระหันมา จมูกของพวกเราจึงแทบจะชนกัน
วินาทีนั้น หัวใจของผมแกว่งวูบ
ผมได้แต่กลั้นหายใจพลางถอยใบหน้าออกมา ขณะที่โซระยิ้มเก้อเขินชั่วครู่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยแววตามุ่งมั่น
"อีกนิดเดียวเราก็จะสูงเท่าเอิร์ธแล้วนะ"
คำพูดนั้นไม่ใช่แค่การคุยโม้โอ้อวด เพราะจะว่าไปแล้วตอนนี้ความสูงของพวกเราก็ห่างกันอยู่แค่สองเซนต์ ถ้าโซระยังเล่นสูงแบบก้าวกระโดดอย่างนี้ สักวันผมอาจจะถูกแซงหน้าก็ได้
'เชื่อพี่สิ เอิร์ธสารภาพความรู้สึกกับโซระตามตรงเถอะ'
พี่ต้นเคยพูดกับผมแบบนั้น ให้กำลังใจด้วยน้ำเสียงหนักแน่น บอกว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปได้ด้วยดี ไม่รู้ว่าพี่เขาไปเอาความมั่นใจมากมายนั้นมาจากที่ไหน แต่เรื่องแบบนี้ ...ใช่ว่าพูดง่ายแล้วจะทำง่าย
ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีเหมือนพี่ต้นที่สารภาพรักแล้วได้สมหวัง
เอ่อ ควรเรียกว่าโชคดีหรือเปล่า? เพราะจนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังคงรู้สึกแบบเดียวกับวันแรกที่พวกเราพบกัน
'ผมคิดว่ารสนิยมของพี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่'
แต่เอาเถอะ เห็นพี่ชายมีความสุขผมเองก็ดีใจด้วย
ถือได้ว่าแผนการที่พวกเราสมรู้ร่วมคิดกันสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี แต่ถ้าจะมีเรื่องผิดแผนอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือ แทนที่ผมจะเบาใจว่ากำจัดศัตรูหัวใจออกไปได้ สุดท้ายกลับต้องมาเจอศัตรูที่อันตรายยิ่งกว่า แถมยังน่ากลัวกว่าเดิมหลายร้อยเท่า เพราะคราวนี้เป็นคนที่โซระรัก...
ซุนวู ปราชญ์แห่งพิชัยยุทธ์เคยกล่าวไว้ 'รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง'
ปัญหาคือ ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศัตรูคนนี้เลย
ถึงแม้จะเคยลองพยายามหลอกถามหลายครั้ง แต่โซระกลับกลบเกลื่อนไปได้ทุกครั้ง ทั้งๆ ที่ปรกติแล้วโซระเป็นคนอ่านง่าย มีอะไรในใจก็มักจะแสดงออกผ่านสีหน้าท่าทาง แต่คราวนี้ผมลองจับตาดูอยู่นานกลับไม่เห็นโซระมีท่าทีกับใครเป็นพิเศษ
"เวลาจีบใครเราควรทำยังไงบ้างเหรอ" คนที่ไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของคนอื่นบ้างเลยยังจะมีหน้ามาถาม
ด้วยความหงุดหงิดปนขุ่นเคืองผมจึงตอบส่งๆ ไปว่า "ชวนไปดูหนัง? ฟังเพลง? ให้ของขวัญ? ไม่รู้สิเราก็ไม่เคยจีบใครเหมือนกัน" ผมอยากจะแถมค้อนส่งท้าย แต่อีกฝ่ายกลับคลี่ยิ้มกว้างจนแก้มทั้งสองข้างกดเป็นรอยบุ๋ม
ถือโอกาสนั้นผมจึงลอบสังเกตการณ์ว่าโซระจะทำแบบที่ผมแนะนำกับใครบ้างหรือเปล่า แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นโซระจะลงมือทำอะไรสักอย่าง จนกระทั่งวันเสาร์หลังเลิกเรียนพิเศษ คนน่ารักและน่าโมโหในเวลาเดียวกันกลับมาชวนผมไปดูหนัง
"...ทำไม จะลองซ้อมดูก่อนเหรอ หรือว่าชวนคนนั้นแล้วไม่สำเร็จเลยมาชวนเราแทน" ผมเผลอตอบแกมประชด แต่พอเห็นอีกฝ่ายยิ้มเจื่อนก็อดเสียใจกับคำพูดของตัวเองไม่ได้
"เรียนเครียดมาทั้งวัน ไปดูหนังคลายเครียดบ้างก็ดีเหมือนกันนะ" ผมจึงปรับเสียงของตัวเองให้นุ่มนวลขึ้น และได้เห็นโซระยิ้มอย่างสดใสมากกว่าเดิม ผมจึงพลอยคลี่ยิ้มออกมาได้
ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก ทั้งๆ ที่อยากเห็นโซระยิ้ม แต่กลับไม่อยากแบ่งปันรอยยิ้มนี้ให้แก่คนอื่น
ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพื่อนที่แย่มาก ทั้งๆ ที่อยากเห็นเพื่อนมีความสุข แต่กลับต้องการขัดขวางความรักของโซระ
ปรกติแล้วเวลาที่โซระแอบชอบใครสักคนก็มักจะชอบไปป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้คนๆ นั้น ผมจึงลองตีวงผู้ต้องสงสัยให้แคบลง ตอนนี้บุคคลที่น่าสงสัยมากที่สุดจึงเป็นคนในชมรมบาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งที่ชื่อว่า 'วิน'
วินเป็นคนรูปร่างไม่สูงมาก หากแต่วิ่งได้เร็วและกระโดดได้สูงกว่าใคร บุคลิกกระฉับกระเฉง เปิดเผยเป็นกันเอง คล้ายกับ...รุ่นพี่ที่เป็นรักแรกของโซระ
"เอิร์ธจะลงเล่นด้วยเหรอ!?" โซระอุทานอย่างตกใจ
หลังจากผมนั่งสังเกตการณ์อยู่ข้างสนามได้พักใหญ่ บังเอิญมีเพื่อนคนหนึ่งถูกครูเรียกพบ ตำแหน่งในทีมฝั่งตรงข้ามของโซระจึงว่างลงและกำลังต้องการผู้เล่นเสริมพอดี
ผมพยักหน้ารับพลางขยับแว่นให้กระชับเข้ากับสันจมูก ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยสันทัดกีฬาทุกประเภท แต่นี่เป็นแค่การเล่นบาสระหว่างพักกลางวัน ไม่ใช่การแข่งขันจริงจัง จึงไม่จำเป็นต้องกังวลถึงผลแพ้ชนะมากนัก
"ขอบใจนะเอิร์ธ กำลังขาดคนพอดี" วินเดินมาตบบ่าผมเบาๆ
จากนั้นเกมที่หยุดชะงักจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ต้องยอมรับตามตรงว่าผมไม่มีประโยชน์ในสนามมากนัก ได้แต่วิ่งไล่ลูกสีส้มกลมๆ อย่างมากก็แค่รับบอลมาแล้วส่งต่อ เท่านี้ก็ทำให้คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอย่างผมเริ่มหายใจผิดจังหวะ เหงื่อเริ่มซึมขึ้นมาบนหน้าผาก
ต่างจากวินที่กระโดดชู้ตลูกบาสลงห่วงไปแล้วหลายแต้ม ยิ่งกว่านั้นแต้มล่าสุดโซระเป็นคนส่งบอลต่อให้ เมื่อชู้ตเสร็จวินจึงวิ่งมาแปะมือกับร่างเล็กอย่างสนิทสนม โซระเองก็คลี่ยิ้มตอบอย่างร่าเริง
หยดเหงื่อที่ร่วงเข้าตาทำให้ภาพเบื้องหน้าพร่ามัว กลางอกบีบรัด อึดอัดจนผมแทบหายใจไม่ออก
"เอิร์ธ!!!"
เสียงตะโกนเรียกดังลั่นพร้อมๆ กับเงาสีดำที่พุ่งเข้ามากลางใบหน้า แต่สิ่งที่พุ่งชนให้ผมล้มลงคือแรงกระแทกจากด้านข้าง ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน ใครบางคนส่งบอลมาให้ พร้อมกับที่ใครอีกคนวิ่งเข้ามาแย่ง หากจะโทษว่าเป็นความผิดของใคร ก็คงต้องโทษการเสียสมาธิของตัวผมเอง
คราวนี้ภาพที่พร่ามัวไม่ได้มีสาเหตุจากหยดเหงื่อ หากแต่เป็นเพราะสิ่งที่ควรอยู่บนใบหน้ากลับไม่อยู่ในที่ที่ควรอยู่ ลางสังหรณ์เลวร้ายแล่นวูบเข้ามาพร้อมๆ กับเสียงอะไรบางอย่างถูกเหยียบดัง กร่อบ!
"เฮ้ย!? เอิร์ธ กูขอโทษ!" เพื่อนคนหนึ่งร้องอุทาน ผมเงยหน้าขึ้นหรี่ตามองแต่กลับมองเห็นใบหน้าของเขาได้ไม่ชัด ไม่สิ ต้องบอกว่าโลกทั้งใบกลายเป็นภาพเบลอ
ผมยังไม่มีกะจิตกะใจจะใส่ใจกับหัวเข่าและข้อศอกที่เริ่มเจ็บแปลบ ได้แต่พยายามเพ่งมองหาสิ่งที่ควรหล่นอยู่ข้างตัว ทว่าสิ่งที่เพื่อนคนนั้นหยิบคืนมาให้ กลับกลายเป็นแว่นที่กรอบบิดเบี้ยว เลนส์แตกไปหนึ่งข้าง
"เอิร์ธเป็นอะไรมากไหม!?" โซระรีบวิ่งเข้ามาหาอย่างร้อนรน ช่วยพยุงตัวผมขึ้นจากพื้นแทนเพื่อนอีกคนที่เคยอยู่ใกล้มากกว่า ก่อนจะสำรวจบาดแผลบนเนื้อตัวอย่างเป็นห่วง
"ไม่เป็นอะไรมากหรอก ทุกคนไปเรียนเถอะ" ผมตอบเมื่อได้ยินเสียงออดหมดเวลาพักดังขึ้นพอดี ลองฝืนลุกเดินออกจากสนาม ถึงแม้จะเดินกะเผลกอยู่บ้างแต่ก็พอทนไหว ปัญหาใหญ่คือซากแว่นในมือมากกว่า
"ไปทำแผลที่ห้องพยาบาลก่อนดีกว่านะ" วินพูดขึ้นเมื่อเห็นหัวเข่าและข้อศอกของผมมีเลือดไหลซิบๆ บาดแผลไม่ลึกแต่ก็ถลอกเป็นทางยาว
"วินไปเรียนเถอะ เดี๋ยวเราพาเอิร์ธไปเอง" โซระกล่าวอย่างเกรงใจ
"โซระไปเรียนเถอะ เราไปคนเดียวไหว" ผมพูดขัดขึ้นมา เพราะไม่อยากเป็นภาระของใครไปมากกว่านี้
"เอิร์ธมองเห็นทางเหรอ ไหนบอกมาว่านี่กี่นิ้ว" โซระโบกมือไปมาด้านหน้า ก่อนที่ผมจะเพ่งมองภาพพร่ามัวได้ว่าเป็นอะไร ร่างเล็กก็พูดต่ออย่างไม่รอฟังคำตอบ
"ขืนเดินสะดุดอะไรเข้าจะยิ่งได้แผลเพิ่มซะเปล่าๆ" พูดจบโซระก็พยุงให้ผมออกเดินโดยไม่ยอมฟังคำคัดค้านอีก
พอเดินมาส่งถึงห้องพยาบาล โซระก็ยังยืนยันจะนั่งรอจนครูทำแผลให้ผมเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะพยุงพาผมกลับไปยังห้องเรียน ทั้งๆ ที่ผมพยายามบอกหลายครั้งแล้วว่าเดินเองไหว โซระก็ยังจะมาหาว่าผมดื้อ ไม่รู้ว่าคนที่ดื้อน่ะใครกันแน่
แผลแค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็ก แต่การมองไม่เห็นนี่สิเรื่องใหญ่
หลังจากลองดัดแว่นให้กลับเข้าสู่รูปร่างเดิมก็พอจะใส่ได้ แต่เลนส์ข้างหนึ่งที่ร้าวแทบละเอียดก็ทำให้ผมมองเห็นภาพชัดเจนอยู่เพียงข้างเดียว ยิ่งเพ่งกระดานดำนานเข้าก็ยิ่งปวดหัว แถมแว่นเยินๆ ก็ยิ่งทำให้สภาพของผมน่าเวทนาเกินทน มีแต่คนมองมาอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายผมจึงตัดปัญหาด้วยการถอดแว่นเก็บใส่กระเป๋า ทนมองภาพเบลอเสียเลยยังจะดีกว่า
"โอ๊ย!" เอาเข้าจนได้ หลังเลิกเรียนผมเดินชนเก้าอี้ของใครบางคนที่ตั้งเกะกะขวางทางอยู่
"เห็นไหม แล้วแบบนี้จะกลับบ้านคนเดียวได้ยังไง เดี๋ยวเราไปส่ง" โซระดึงกระเป๋าจากมือของผมไปถือให้ ซ้ำร้ายยังจูงมือให้ผมเดินตาม ผมได้แต่ก้มลงมองมือของตัวเองที่ถูกเกาะกุมไว้ พลางมองแผ่นหลังของร่างเล็กเบื้องหน้า
โซระก็เป็นแบบนี้ ไม่เคยรู้ตัวเลยว่ากำลังทำให้ใครหวั่นไหว
ใจหนึ่งผมก็อยากกระชับมือให้แน่นเข้า แต่สมองก็ต้องสั่งตนเองให้ห้ามใจ และท้ายที่สุดเหตุผลก็เป็นฝ่ายชนะ เพราะถึงแม้จะเห็นภาพไม่ชัด แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าคนรอบข้างมองมาด้วยสายตาแปลกๆ เพราะโซระเล่นจูงมือผมตลอดทางไม่ยอมปล่อย แม้กระทั่งตอนนี้ที่พวกเราขึ้นมายืนบนรถไฟฟ้าที่มีคนจำนวนมากยืนเบียดเสียดกันอยู่
"โซระ..." ผมกระตุกมือของตัวเองเบาๆ แทนสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายปล่อยมือได้แล้ว
"หืม? อะไรเหรอ" คนที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยกลับยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้
ทั้งๆ ที่เดิมทีเราก็ยืนเบียดจนลำตัวชิดกันอยู่แล้ว ตอนนี้คางของโซระจึงแทบจะเกยอยู่บนบ่าของผม
"ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้" ทำเอาผมลืมไปเลยว่าอยากจะพูดอะไรกันแน่
"ก็เรากลัวเอิร์ธมองไม่เห็น" ต่อให้มองเห็นไม่ชัด แต่ฟังจากน้ำเสียงผมก็เดาว่าตอนนี้โซระกำลังยิ้ม และภาพรอยยิ้มจากความทรงจำก็ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน
"เอิร์ธ... เอิร์ธไม่คิดจะเปลี่ยนไปใส่คอนแทคเลนส์บ้างเหรอ" อยู่ดีๆ โซระก็ถามขึ้นมา ผมไม่รู้ว่าร่างเล็กกำลังมีสีหน้าแบบไหน แต่ก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองใบหน้าของผมอยู่
"คอนแทคเลนส์? ทำไมล่ะ" ผมทวนคำถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าไม่เคยลอง แต่ยังไงผมก็ไม่รู้สึกชินกับการติดสิ่งแปลกปลอมเข้าไปบนลูกตา ถึงแม้การใส่แว่นจะสะดวกน้อยกว่า แต่ก็สบายใจมากกว่า
"ก็..." พูดออกมาเพียงเท่านั้นแล้วโซระก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่
"เอิร์ธใส่แว่นดีกว่า อืม ใส่แว่นไว้น่ะดีแล้ว อย่าถอดแว่นให้คนอื่นเห็นเลยนะ" ประโยคท้ายๆ โซระบ่นอะไรงุบงิบงึมงำเหมือนพูดกับตัวเองคนเดียว ทั้งยังควานหาแว่นเยินๆ ของผมออกมาจากกระเป๋า ก่อนจัดการสวมให้เสร็จสรรพ
"มองเห็นข้างเดียวแล้วมันปวดหัว" เมื่อตั้งสติได้ผมจึงเอ่ยค้าน ตั้งท่าจะถอดแว่นออก แต่อีกฝ่ายกลับคว้ามือของผมไปกุมไว้ดังเก่า
"ก็ไม่เห็นต้องมองเลย หลับตาก็ได้ เดี๋ยวเราพาเดินเอง"
...พูดอะไรอย่างนั้น ไม่มีเหตุผลเลย
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะค้านอะไรต่อรถไฟฟ้าก็เปิดประตูยังสถานีที่ต้องลงแล้ว ผมจึงได้แต่เคลื่อนตัวตามแรงฝูงชน เดินตามการจูงมือนำทางของอีกฝ่าย และทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังของร่างเล็กอีกครั้ง
แว่นที่ร้าวข้างชัดข้าง ยิ่งทำให้สมองของผมสับสน และยิ่งทำให้หัวใจของผมหวั่นไหว
"ทำไมฝนต้องมาตกตอนนี้ด้วยเนี่ย" หญิงวัยกลางคนบ่นพึมพำพลางมองออกไปยังท้องถนนที่มีสายฝนสาดเทลงมาไม่หยุด
หลังเดินลงจากรถไฟฟ้าไม่ทันไรผมก็เห็นเมฆดำคืบคลานมาแต่ไกล ฝนปรอยๆ ตั้งเค้าชั่วอึดใจก่อนจะเทโครมลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาราวกับฟ้ารั่ว ทำให้คนจำนวนมากรวมถึงผมและโซระติดแหงกอยู่ในสถานี ไม่สามารถออกไปไหนได้
ตอนแรกผมกะจะลองโทรศัพท์หาแม่ให้ช่วยแวะมารับ พ่อกับแม่ของผมเป็นพนักงานบริษัท ส่วนใหญ่แม่จะเลิกงานตรงเวลาและกลับถึงบ้านแต่หัวค่ำ แต่ถ้าฝนตกหนักแบบนี้น่ากลัวว่ารถจะติด และก็เป็นอย่างที่นึกกลัว เพราะก่อนที่ผมจะโทรไปแม่ก็ส่งข้อความมาว่า 'รถไม่ขยับเลย กว่าจะถึงบ้านคงดึกแน่ๆ ถ้าหิวก็กินข้าวเย็นก่อนได้เลยนะไม่ต้องรอ'
ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเหลือบหันไปมองร่างเล็กด้านข้าง บ้านของโซระต้องนั่งรถไฟย้อนกลับอีกหลายป้าย ในขณะที่บ้านของผมต้องต่อรถสองแถวและเดินเข้าหมู่บ้านไปอีก
"โซระกลับบ้านไปก่อนเถอะ ไม่รู้ว่าฝนจะหยุดตกเมื่อไหร่" ผมครุ่นคิดก่อนตัดสินใจกล่าวออกมา เพราะไม่อยากให้โซระต้องลำบากไปมากกว่านี้
"ฝนซาพอดีเลย พวกเรารีบไปกันเถอะ" ไม่รู้ว่าไม่ได้ยินที่ผมพูดหรือแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินกันแน่ คนน่ารักที่บางครั้งก็ดื้อจนน่าโมโหกลับดึงมือผมให้ออกเดิน พอดีกับจังหวะที่ฝนซาลงไป เหลือเพียงหยดน้ำเม็ดเล็กประปราย คนบางส่วนยังคงรีรออย่างลังเล แต่อีกส่วนก็ตัดสินใจเสี่ยงเดินกึ่งวิ่งลุยฝนออกไปเช่นเดียวกัน
"โซระ" ผมพยายามเรียกรั้ง หากเจ้าของชื่อกลับไม่ยอมหันกลับมา หนำซ้ำปฏิกิริยายังเป็นไปในทางตรงกันข้าม มือที่เกาะกุมมือของผมอยู่กระชับแน่นเข้า ผมจึงจำต้องเดินตามแรงดึงไปอย่างปฏิเสธไม่ได้
โชคดีที่พวกเราขึ้นรถสองแถวได้โดยไม่ต้องยืนรอนานนัก แต่ถึงอย่างนั้นเสื้อนักเรียนสีขาวก็เปียกเปื้อนเป็นจุดๆ ละอองน้ำเกาะพราวอยู่บนเส้นผมและแว่นร้าวๆ ผมจึงถอดแว่นออกมาเช็ดก่อนใส่กลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง
เมื่อภาพชัดเจนขึ้นผมจึงหันไปมองคนด้านข้าง สภาพของโซระเองก็เปียกฝนไม่ต่างกัน ทว่าเจ้าตัวกลับฉีกยิ้มแป้นแล้นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมจึงได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างจนใจ
โชคร้ายที่โชคดีไม่อยู่กับพวกเรานานนัก หลังลงจากรถสองแถวไม่นานฝนก็เริ่มกระหน่ำลงมาอีกครั้ง มาถึงขั้นนี้แล้วผมจึงทำได้แต่วิ่งลุยฝนต่อไปอย่างไม่มีทางเลือกอื่น
"ฮัดเช่ย!" ร่างเล็กจามออกมา สภาพของพวกเราในตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรไปจากลูกหมาตกน้ำ เนื้อตัวเปียกมะลอกมะแลก เส้นผมลู่ลีบลงแนบกับศีรษะ เสื้อขาวโปร่งบางมองทะลุเห็นไปถึงไหนต่อไหน ผมได้แต่เสมองไปทางอื่น
"โซระไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วกัน" เมื่อเข้าบ้านได้ผมจึงรีบเดินขึ้นไปหยิบเสื้อกับผ้าเช็ดตัวออกมาให้คนที่ยืนรออยู่ด้านล่าง โซระยื่นมือมารับก่อนจะเดินไปทางห้องน้ำอย่างไม่อิดออด
ความจริงสมัยก่อนโซระเคยมาเที่ยวเล่นที่บ้านของผมบ่อยๆ ผมเองก็เคยไปบ้านของโซระหลายครั้ง มาตอนหลังเป็นผมเองที่บ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายมาหา และก็ไม่พยายามไปที่บ้านของโซระอีก
ตั้งแต่ที่ผมเริ่มรู้ตัวว่า... คิดไม่ซื่อกับเพื่อนของตัวเอง
ผมรื้อหาแว่นเก่าของเมื่อสองสามปีก่อนออกมาใส่แทนชั่วคราว ถึงแม้สายตาที่สั้นลงจะทำให้มองเห็นภาพได้ไม่คมชัดเท่าเดิม แต่ก็ยังดีกว่าแว่นเยินๆ หรือตาเปล่าที่โลกทั้งใบกลายเป็นภาพเบลอไปหมด
"เอิร์ธมานั่งนี่สิ เดี๋ยวเราทำแผลให้" ถึงอย่างนั้นร่างเล็กก็ยังจะจูงมือผมเดินไปยังโซฟา ทำอย่างกับว่าผมมองอะไรไม่เห็น หรือไม่ที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านที่ผมคุ้นเคยมาตลอดทั้งชีวิต
ผมไม่อยากขัดใจอีกฝ่ายจึงเดินตามมานั่งลงอย่างไม่อิดออด พลางก้มมองแผลถลอกบนข้อศอกและหัวเข่าที่เกือบจะแห้งและตกสะเก็ดแล้ว แต่พอเจอฝนบวกกับอาบน้ำเข้าไปจึงกลายเป็นแผลสีม่วงช้ำที่มีเลือดซิบๆ ซึมออกมา สภาพไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่
"ซี๊ด" ผมเผลอสูดปากโดยอัตโนมัติเมื่อสำลีชุบแอลกอฮอล์เย็นๆ ทาบลงมาใกล้กับบริเวณปากแผล
"ขอโทษนะ! เจ็บมากไหม" โซระชะงักมือฉับพลัน ผมจึงรีบส่ายหน้าเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเป็นห่วง
"ไม่เจ็บหรอก โซระทำต่อเถอะ" ถึงแม้ว่าผมจะตอบอย่างนั้นร่างเล็กก็ยังคงขมวดคิ้วยุ่ง
"ถ้าเจ็บก็บอกนะ เราจะพยายามทำเบาๆ" โซระกล่าวก่อนจะเริ่มเช็ดแผลและทายาต่อไปอย่างเบามือ
ผมพยายามนั่งนิ่งๆ ไม่นิ่วหน้าแม้จะแสบอยู่บ้างเล็กน้อย จนกระทั่งทำแผลเสร็จเรียบร้อยจึงค่อยหายใจได้ทั่วท้องมากกว่าเดิม
"อ่ะใช่ เรามีอะไรจะให้เอิร์ธด้วย" ระหว่างเก็บกล่องยาโซระก็พูดโพล่งขึ้นมาราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนจะหันไปคว้ากระเป๋านักเรียนมารื้อหาอะไรบางอย่าง
"อะไรเหรอ" ผมถามอย่างสงสัย สักพักถุงกระดาษใบหนึ่งก็ถูกยื่นออกมาตรงหน้า
"ของขวัญ" ร่างเล็กพูดพลางคลี่ยิ้มกว้าง
ผมได้แต่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ของขวัญ? เนื่องในโอกาสอะไร? ยังอีกตั้งหลายเดือนกว่าจะถึงวันเกิดของผม
จังหวะนั้นเอง สิ่งที่โซระเคยถามและผมเคยตอบพลันฉายแวบเข้ามาในความคิด
'เวลาจีบใครเราควรทำยังไงบ้างเหรอ'
'ชวนไปดูหนัง? ฟังเพลง? ให้ของขวัญ?'
ชวนไปดูหนัง... ให้ของขวัญ...
ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหน จนกระทั่งประโยคถัดมาดึงผมกลับออกมาจากความคิดฟุ้งซ่าน
"ก็หลายวันก่อนเอิร์ธเคยให้เรายืมปากกาไง จำได้ไหม"
"...อย่าบอกนะว่าทำหาย"
ที่แท้ก็แค่ซื้อมาคืน ผมคิดในใจพลางก้มมองปากกาในมือ
ความรู้สึกของผมในตอนนั้นคงคล้ายกับฟองสบู่ที่พองลมลอยละล่องในอากาศ เสี้ยวนาทีถัดมากลับแตกวับหายไป เหลือเพียงความวูบโหวงกลางอก แยกแยะไม่ออกว่าเป็นเพราะความโล่งใจ หรือว่าความผิดหวัง...
"เปล่าซะหน่อย! เรายังเก็บปากกาของเอิร์ธเอาไว้อย่างดีเลยนะ เลยซื้อปากกาด้ามใหม่มาแลกกันไง ก็...เราอยากเก็บไว้เป็นเครื่องราง... เอ่อ ก็...เอิร์ธเรียนเก่ง เผื่อว่าเราจะทำข้อสอบได้บ้าง เผื่อจะสอบติดที่เดียวกับเอิร์ธไง"
ปรกติแล้วผมค่อนข้างเป็นคนหัวไว แต่ข้อความที่เชื่อมโยงไปมาอย่างสับสน กำลังทำให้สมองของผมปั่นป่วน
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีอัตราการแข่งขันสูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่สิ นั่นไม่ใช่ใจความสำคัญ คำพูดของโซระแฝงความหมายอะไรไว้ ผมไม่กล้าคิด ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองอีกครั้ง กลัวว่าทุกอย่างจะพังทลาย
"เอิร์ธ... ไม่ชอบเหรอ"
ผมอาจจะก้มมองปากกาอยู่นานเกินไป โซระจึงเอ่ยถามด้วยเสียงลังเลแผ่วเบา ทว่าผมก็ยังคงทำได้แค่เพียงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้เส้นผมที่เริ่มแห้งหมาดๆ ร่วงลงมาปรกบนใบหน้า ปกปิดความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ข้างใน และกำลังจะเอ่อล้นออกมา
"ชอบสิ..."
กว่าจะรู้ตัวผมก็หลุดพูดคำหนึ่งคำ โชคไม่ดีเลยที่ตอนนั้นโซระเอื้อมมือมาปัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิงของผมไปทัดข้างหู ทำให้สายตาของพวกเราประสานกันเข้าพอดี
ว่ากันว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ
เมื่อไม่เหลือม่านใดๆ ขวางกั้น ความรู้สึกจึงสะท้อนผ่านกระจกใส
"เราชอบ..."
ผมพูดได้เพียงเท่านั้นก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงบีบแตรดังขึ้นจากหน้าบ้าน ราวกับเสียงระฆังที่ทำให้ซินเดอเรลล่าตื่นจากภวังค์ คลายเวทมนต์ให้รถม้ากลับคืนสู่สภาพฟักทอง ความฝันสวยหรูแตกสลายกลายเป็นขี้เถ้าก้นครัว
"เดี๋ยวเราไปเปิดรั้วให้แม่ก่อน เอ่อ ขอบใจนะสำหรับปากกา เรา...ชอบมาก"
ความรู้สึกเดิมประดังเข้ามาหาผมอีกครั้ง ทั้งผิดหวัง ทั้งโล่งใจ ทั้งอยากด่าตัวเองที่ขี้ขลาด พร้อมๆ กับอยากด่าตัวเองว่าเกือบจะทำอะไรลงไป ผมยังไม่พร้อมจะเสียความสัมพันธ์ในตอนนี้ ถ้าหากทั้งหมดเป็นแค่ความคิดเข้าข้างตัวเอง
"สวัสดีครับ" เมื่อแม่ของผมเดินเข้ามาในบ้าน โซระจึงรีบลุกขึ้นไหว้ทักทาย
"อ้าวโซระ สวัสดีลูก ไปยังไงมายังไงไม่เห็นมาเที่ยวที่บ้านซะนาน" แม่รับไหว้พร้อมรอยยิ้ม ด้วยความที่โซระเป็นคนน่ารัก ช่างพูดช่างเจรจา แม่ของผมจึงค่อนข้างเอ็นดูโซระมาก บางครั้งเวลาที่มาร่วมโต๊ะอาหาร ยังคุยกันยาวกว่าที่แม่คุยกับผมและพ่อรวมกันทั้งอาทิตย์ซะอีก เพราะทั้งพ่อและผมไม่ใช่คนที่ช่างพูดมากนัก
"กินอะไรกันแล้วหรือยัง แม่ซื้อกับข้าวมาหลายอย่าง ไม่ต้องรอพ่อแล้วล่ะป่านนี้ยังอยู่บนทางด่วนอยู่เลย" แม่พูดพลางเดินเข้าไปล้างมือในครัว ผมจึงเอาถุงพลาสติกที่ถือลงจากรถไปวางบนโต๊ะ โซระจึงเดินตามเข้ามาช่วยแกะกับข้าวใส่จาน
ระหว่างมื้ออาหารแม่ก็ยังชวนโซระคุยอีกหลายอย่าง ในขณะที่ผมถนัดเป็นผู้ฟังมากกว่า
"น้ำท่วมเกือบมิดฟุตบาท แม่นึกว่ารถจะดับกลางทางซะแล้ว ยังดีที่ลุยน้ำเข้ามาถึงบ้านจนได้ แล้วนี่โซระจะกลับยังไง ให้แม่ไปส่งที่รถไฟฟ้าไหม แต่ฝนยังตกหนักอยู่เลย ไม่รู้จะหยุดเมื่อไหร่ แม่ว่าคืนนี้โซระค้างที่นี่ดีกว่าไหม"
ประโยคสุดท้ายทำให้ผมแทบสำลักกับข้าวที่ยังไม่ทันได้กลืนลงไป เมื่อหันกลับไปมองคนข้างๆ ก็ได้เห็นโซระคลี่ยิ้มกว้าง
"ถ้าอย่างนั้นผมขอโทรศัพท์ไปบอกที่บ้านก่อนนะครับ ยังไงพรุ่งนี้ก็ไม่มีเรียนพิเศษด้วย ผมจะได้ไปร้านแว่นเป็นเพื่อนเอิร์ธ" ก่อนที่ผมจะได้คัดค้านอะไรโซระก็ตอบรับขึ้นมา จากนั้นหัวข้อสนทนาจึงกลายเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นวันนี้ เรื่องที่โรงเรียน การเรียน การสอบ สารพัดสัพเพเหระ แม่คุยกับโซระเพลินจนไม่ได้สนใจท่าทางอึดอัดใจของผมเลยด้วยซ้ำ จนผมชักไม่แน่ใจว่าลูกชายของแม่คือคนไหนกันแน่
หันไปมองต้นเหตุของความเครียด คนน่ารักก็ดันส่งยิ้มมาให้ ทำให้ผมยิ่งเครียด
แล้วคืนนี้ผมจะนอนหลับลงได้ยังไง!?
-----------------
คู่นี้ก็จะออกแนวน่ารัก แอบมองตากันไปมาเป็นปลากัด 55555