ตอน 19
เช้าวันเดินทางแบบนี้ แม้ผมจะไม่ต้องรีบร้อนมากนัก แต่ก็เหมือนร่างกายจะรู้หน้าที่ของตัวเองดี ผมถึงได้มานอนลืมตามองเพดานอยู่แบบนี้ ครั้นนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อคืนไม่ได้นอนอยู่คนเดียว สายตาจึงหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของคนที่ในตอนนี้กำลังหลับใหลด้วยความอ่อนเพลีย ซึ่งผมลองคาดคะเนความน่าจะเป็นดูแล้ว ว่าเมื่อคืนนี้กว่าอีกฝ่ายจะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราก็คงใช้เวลาไม่นานนัก เนื่องจากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาเป็นเวลานานทำให้จันทร์ไม่อาจจะต้านทานได้
ผมขยับตัวเพียงเล็กน้อย จึงทราบว่าตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ฝ่ามือของเรายังคงกอบกุมกันแน่น คล้ายกับมันคือความอุ่นใจเดียวที่สามารถปลอบขวัญจากเรื่องราวเลวร้ายให้กลายเป็นฝันร้ายเพียงชั่วข้ามคืน
และนั่นก็ถือเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่า.. เมื่อคืนนี้ ไม่มีอัตลักษณ์ใดถือโอกาสตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตในรูปแบบของตัวเองผมเบนสายตาออกไปยังนอกหน้าต่างพบว่าท้องฟ้ายังคงมืดมิด บ่งบอกถึงช่วงเวลาเช้ามืดของวันใหม่ ผมจึงถือโอกาสนี้เริ่มใช้สมองคิดวิเคราะห์เหตุการณ์เมื่อตอนกลางดึกอย่างละเอียด โดยคิดย้อนไปถึงคืนวันที่จันทร์ล่วงล้ำเข้ามายังห้องนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งในคืนดังกล่าวผมยังจดจำความรู้สึกของตัวเองได้ดีว่ากำลังลุ้นระทึกมากแค่ไหน
และในคืนนั้นจันทร์ก็เอาแต่นอนมองหน้าผมอย่างชื่นชมก่อนจะปิดท้ายด้วยการแตะสัมผัสลงบนริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบาส่วนครั้งถัดมาก็เป็นอีกครั้งที่จันทร์สร้างความระทึกใจในยามค่ำคืน แต่กระนั้นผมก็ยังทำเนียนใส่อีกฝ่ายได้อย่างแยบยล ส่งผลให้ใครบางคนใจกล้าจนถึงขั้นใช้ปลายจมูกสูดดมกลิ่นกายของผมครั้งแล้วครั้งเล่า
จนผมคิดดีไม่ได้เลย..แต่ถึงอย่างนั้น เสี้ยวหนึ่งของความคิดก็สั่งให้ผมมองหาวิธีในการรับมือกระทั่งกลางดึกคืนวาน เกิดเหตุการณ์ที่อดีตเด็กชายผู้แสนขี้อาย บุกเดี่ยวเข้ามาหาผมถึงห้องพักเป็นครั้งที่สาม และครั้งนี้ก็อาจหาญมากกว่าครั้งใด
ส่งผลให้กว่าจะรู้ตัวอีกที.. ผมก็ถูกรุกไล่จนสัญชาตญาณดิบพลุ่งพล่านทว่าสถานการณ์เมื่อคืนวานนี้แตกต่างกับคืนก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยรุกไล่อีกฝ่ายจนสุดตัว แต่เมื่อคืนสติสตังขาดสะบั้นจนเกินจะควบคุม ทำให้ผมมองเห็นข้อแตกต่างอย่างชัดเจน ผมจึงรีบมุ่งประเด็นไปยังเรื่องราวอันน่าเศร้าสลด เนื่องจากหากจันทร์เป็นฝ่ายเริ่ม อาการแพนิคก็จะไม่เกิด แต่ถ้าหากผมคือฝ่ายเริ่มหรือตอบสนอง อาการแพนิคกลับทวีคูณอย่างรวดเร็ว
โดยที่เสี้ยววินาทีหลังจากการซักถามเสร็จสิ้น..ภาพของคุณชลวิทย์ก็แจ่มชัดอยู่ในหัวแต่กระนั้นกลไกการป้องกันตัวของมนุษย์จะมีประสิทธิภาพเพียงแค่นี้เหรอ? ผมคิดว่ามันไม่น่าจะใช่ เพราะเท่าที่ศึกษาจากเคสของคุณบิลลี่ มิลลิแกน เขาจะมีอัตลักษณ์สำหรับ ‘ควบคุมการออกโรง’ หรือพูดให้เห็นภาพก็คงจะเป็น.. การกำหนดให้ใครสักคนที่อาศัยอยู่ในร่างเดียวกันออกมารับมือกับเหตุการณ์ในขณะนั้น
ซึ่งอัตลักษณ์ของ ‘คุณอาเธอร์’ จะรับหน้าที่ดังกล่าวร่วมกับอัตลักษณ์ของ ‘คุณเรเกน’ ที่เป็นผู้พิทักษ์ปกป้อง ดังนั้นหากร่างกายตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อันตราย รวมถึงต้องใช้ความฉลาดและเหตุผลเป็นสิ่งสำคัญ คุณอาเธอร์จะเป็นคนออกโรงควบคุมสถานการณ์ด้วยการเลือกสรรอัตลักษณ์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ ให้ออกมารับมือ แต่ถ้าหากเป็นสถานการณ์ที่อันตราย เช่น การใช้ชีวิตในคุก คุณเรเกนจะเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด
ดังนั้นในกรณีของจันทร์ ผมคิดว่าถ้าหากผู้กระทำคือคุณชลวิทย์จริงๆ เขาน่าจะโดนคุณนักเขียนจัดการไปนานแล้ว เพราะรายนั้นน่ะ แค่จันทร์ล่วงเกินผมด้วยการหอมแก้มเพียงครู่เดียวก็ถึงกับด่าทอผมจนเสียหาย
แต่ถ้าหากเป็นการข่มขืนกระทำชำเราล่ะ? คุณนักเขียนไม่กระทืบคู่กรณีจนตายเลยเหรอ ?พอคิดได้แบบนี้ผมก็อดจะนึกไปถึงช่วงเวลาที่น้องลีออกมาสู้รบปรบมือกับคุณชลวิทย์ไม่ได้ ซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ดอกสโนว์ดรอปส์ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเสริมสร้างความหวาดกลัว ดังนั้นอัตลักษณ์ผู้พิทักษ์ จึงถูกโยนมาให้สาวน้อยในชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่
แต่ก็แปลกอยู่อย่าง.. เพราะหลายวันที่ผ่านมา จันทร์สามารถควบคุมอัตลักษณ์ต่างๆ ไม่ให้ออกมาใช้ชีวิตได้
“เฮ้ย!” ความคิดทั้งหลายพลันกระจัดกระจายในทันที เมื่อใครบางคน จู่ๆ ก็แหกปากลั่น จนผมต้องออกท่าทางพร้อมกับส่งเสียง ชู่วๆ เพียงเบาๆ เพื่อให้เขาหยุดการกระทำที่อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในภายหลัง เพราะเวลานี้ร่างกายของจันทร์กำลังล่วงล้ำเข้ามายังห้องนอนของผม อีกทั้งยังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงเดียวกัน
หากคุณชลวิทย์ตื่นตกใจเพราะเสียงเมื่อครู่ขึ้นมา.. เกรงว่าทุกอย่างคงจบเห่แน่!“คุณนักเขียน ใจเย็นๆ นะครับ ไม่ต้องตกใจนะ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก สัญญาเลยครับ” ผมกล่าวพลางขยับตัวออกห่างจากอีกฝ่ายที่มีท่าทีแปลกไปจากเดิม ซึ่งท่าทีที่ว่าก็คือ ‘ความตกใจ’ และนั่นก็เป็นข้อสังเกตที่เห็นได้ชัดว่าปฏิกิริยาเมื่อครู่ราวกับเขาเพิ่งจะตื่นขึ้นมารับรู้เรื่องราวตรงหน้า ดังนั้นผมจึงอาศัยความเชื่อบางอย่างที่ได้มาจากการศึกษาเคสของคุณบิลลี่
เพราะเท่าที่ผมจำได้.. ‘คำสัญญา’ ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่ออัตลักษณ์อื่นๆ ค่อนข้างมาก “คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นผม ?” อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแตกต่างกับจันทร์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งน้ำเสียงดังกล่าวคล้ายกับน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่ เดาว่าเขาน่าจะอายุมากกว่าจันทร์พอสมควร แต่อาจจะน้อยกว่าผมไม่มากนัก
เนื่องจากสำนวนการเขียนดูสละสลวยเกินกว่าจะเป็นฝีมือของเด็กอายุ 15
ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจแต่อย่างใด เพราะเคสของ ‘คุณคิมโนเบล’ ยังมีอัตลักษณ์หนึ่งที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ แต่กลับพูดภาษาฝรั่งเศส และยังเขียนเป็นภาษาลาตินได้ ทั้งๆ ที่ตัวตนหลักสามารถพูดได้แค่ภาษาอังกฤษ
ดังนั้นสำนวนของคุณนักเขียน ย่อมไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใด “เพราะทุกอย่างที่เป็นคุณ..”
“…”
“ไม่เหมือนกับจันทร์ที่ผมรู้จัก” ผมตอบพลางอมยิ้ม ขณะที่จ้องมองไปยังเพดานอันมืดสนิท เพื่อทดแทนการเฝ้ามองใครอีกคนที่อยู่ร่วมห้อง
“…”
“คุณชื่ออะไรครับ ? ผมจิรภัทรนะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เมื่อสบโอกาสเหมาะ ผมก็เริ่มแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
“พีรวัตร” อีกฝ่ายตอบสั้นๆ ห้วนๆ ไม่มีความนุ่มนวลเหมือนกับจันทร์ ซึ่งคำตอบของเขาทำให้ผมนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่จันทร์เคยพูดถึงนักเขียนที่เป็นเพื่อนสนิทของคุณชลวิทย์
และในวันนั้นจันทร์ก็เอ่ยเรียกใครคนนั้นว่า..‘พี่พี’“คุณอายุเท่าไหร่ครับ ? ผม 30 แต่ก็ใกล้จะ 31 แล้วล่ะ”
“27”
“คุณมีพี่น้องหรือเปล่า ส่วนผมเป็นลูกคนเดียว แต่ก็ไม่ค่อยจะเหงาสักเท่าไหร่” ผมเริ่มถามคำถามต่อไป ขณะที่ตัวเองก็ต้องยอมแลกเปลี่ยนข้อมูลกับอีกฝ่าย
“ทำไม ?”
“ผมมีลูกพี่ลูกน้องที่สนิทอยู่หนึ่งคน มันชอบกวนตีนแล้วก็ชอบวุ่นวายกวนประสาทอยู่บ่อยๆ” ผมเฉลยพร้อมกับอมยิ้ม เมื่อนึกไปถึงไอ้บาสญาติผู้น้องที่สนิทสนมกันมาก จะมีก็แต่ช่วงนี้ที่เราห่างๆ กัน ซึ่งสาเหตุก็มาจากตัวผมที่เป็นฝ่ายปลีกตัวออกห่าง เพราะต้องการใช้เวลาทั้งหมดไปกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านกลางป่าสน
“ผมก็ลูกคนเดียวเหมือนกัน”
“แล้วคุณเหงาหรือเปล่า ?”
“ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ผมจะใช้เวลาไปกับการเขียนนิยายมากกว่า” ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พลางเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการยกมือทั้งสองข้างสอดเข้าใต้ศีรษะ ขณะที่สายตาก็มองตรงไปยังเพดานกว้างที่สะท้อนแสงสว่างจากภายนอกมากขึ้นทุกที ทุกที..
“แล้วเรื่องที่คุณเขียนมาจากประสบการณ์ของคุณเองหรือเปล่า ?” ผมเอ่ยถามอย่างตรงประเด็น
“ไม่หรอก ผมก็เขียนไปตามเรื่องราวที่เคยได้ยิน” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ผมนึกฉงนใจ
“หมายถึงยังไงครับ คุณได้ยินมาจากใคร ?”
“ก็หลายๆ คน” เขาตอบสั้นๆ โดยไม่คิดจะขยายความ ซึ่งคำว่า ‘หลายๆ คน’ ในที่นี้ ผมสามารถตีความได้ไหมว่า..
เรื่องราวที่เขาเขียน.. มันคือเรื่องราวที่ได้ยินมาจากอัตลักษณ์อื่นๆ “น้องลีน่ะเหรอ ?”
“อืม” เขาตอบรับในลำคอเพียงเบาๆ โดยไม่แสดงอาการสงสัยว่าทำไมผมถึงล่วงรู้การมีอยู่ของอัตลักษณ์น้องลี ดังนั้นจึงเป็นคำตอบได้ดีว่าพวกเขารับรู้ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น
แต่ที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ.. ‘หลายๆ คน’ ในที่นี้ สามารถตีความได้ว่า.. ยังมีอีกหลายอัตลักษณ์ซุกซ่อนอยู่ และมันก็มากกว่า ‘สอง’ ใช่หรือไม่?การพบกันครั้งแรกที่นานที่สุดของผมกับคุณนักเขียนทำให้ผมยังไม่กล้าละลาบละล้วงมากนัก เพราะครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เขายอมพูดดีกับผม ดังนั้นผมอยากจะอาศัยช่วงเวลานี้ ทำความรู้จักกับเขาก่อน
เพื่อที่ในอนาคต เขาจะได้ให้ความวางไว้ใจในตัวผม“คุณเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าตัวตนของคุณ อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยใครสักคน ?” ผมเลือกถามอ้อมโลก แต่คนฉลาดอย่างเขาน่าจะเข้าใจความหมายทางตรงได้ไม่ยาก
“ผมเป็นนักเขียนและนักเขียนก็มีจรรยาบรรณ” คำตอบของเขาเล่นเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก
“คุณหมายถึงยังไง พูดตามตรง ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด”
“การหาข้อมูลที่ถูกต้องก่อนจะเขียนนิยายสักเรื่อง ผมคิดว่ามันคือความรับผิดชอบและเป็นจรรยาบรรณที่นักเขียนควรจะมี” คำตอบของเขาทำให้ผมเริ่มกระจ่างแจ้งและเห็นด้วยกับความคิดของเขา เพราะส่วนใหญ่นักอ่านจะจดจำได้ดีก็ต่อเมื่อ เรื่องนั้นๆ ถูกสอดแทรกอยู่ในหนังสือประเภทนิยาย
“แสดงว่าคุณก็เข้าใจโรค DID ?” ผมเลือกใช้ชื่อย่อของตัวโรคในการตั้งคำถาม เพื่อทดสอบว่าเขาเข้าใจสถานภาพของตัวเองดีแค่ไหน
“อืม” และคำตอบสั้นๆ ก็ไขความกระจ่างให้ผมได้อีกครั้ง
“ครั้งแรกที่คุณมีโอกาสออกมาใช้ชีวิตในแบบของคุณ มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ?”
“หลังจากที่เกิดเรื่องนั้น.. เรื่องที่เจ็บปวดที่สุด” เขาตอบอย่างเลื่อนลอยจนใจของผมรู้สึกเคว้งคว้างตามไปด้วย
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คือคนที่ได้รับความเจ็บปวดมากที่สุดใช่หรือเปล่า?” ผมทอดเสียงถามอย่างสั่นไหว เพราะอะไรหลายๆ อย่างที่ยังไม่อาจรู้แน่ชัด กลับทำให้ผมสะเทือนใจ ซึ่งอะไรหลายๆ อย่างที่ว่า ก็คือภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่ยังคงปะปนอยู่ในความทรงจำอย่างแจ่มชัด และทุกครั้งที่ได้นึกถึงผมก็มักเจ็บแปลบอยู่ในอก
เนื่องจากผมล่วงล้ำเข้าสู่อาณาเขตแห่งจิตใต้สำนึกของจันทร์อย่างเต็มรูปแบบแล้ว“ไม่หรอก ยังมีคนที่เจ็บปวดมากกว่านั้น” เขาปฏิเสธอย่างฉะฉาน
“คุณพอจะบอกผมได้ไหมว่าเขาเป็นใคร ?”
“คุณเคยเจอเขาแล้ว” คุณนักเขียนเฉลยเพียงแค่นั้นแล้วก็นิ่งเงียบไป คล้ายกับไม่อยากพูดถึงสักเท่าไหร่ ขณะที่ผมกำลังนั่งงงเป็นไก่ตาแตก
เพราะเท่าที่ผมจำได้ นอกจาก ‘น้องลี’ และ ‘คุณพีรวัตร’ ผมก็ยังไม่เคยเจอะเจอใครอีก แล้วทำไม..? เขาถึงบอกว่าผมเคยเผชิญหน้ากับใครคนนั้นแล้ว?ยิ่งคิดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่จะไปถามหาเอาความในตอนนี้ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะจู่ๆ คุณนักเขียนก็ตีจากไป และนั่นก็ทำให้การพักผ่อนของจันทร์เป็นไปอย่างเงียบสงบ คล้ายกับทุกๆ ตัวตนกำลังต้องการช่วงเวลาของการหลับใหล ซึ่งมันก็ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ จนกระทั่งคุณชลวิทย์ขับรถออกไปตั้งแต่ไก่โห่ จากนั้นเวลาในแต่ละวินาทีก็ค่อยๆ ก้าวเดินต่อไป ส่งผลให้ผมไม่อาจรีรอได้อีกต่อไป จึงเดินออกไปหยิบโพสต์อิทตรงคอนโซลรถเพื่อเขียนข้อความบอกใครอีกคนที่คงจะใช้เวลาพักผ่อนอย่างยาวนาน
ซึ่งระยะเวลาดังกล่าว.. อาจเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของเจ้าตัวก็เป็นได้ทว่าหลังจากผมได้พูดคุยกับคุณพีรวัตร ผมกลับรู้สึกว่า ‘คำสัญญา’ มีอานุภาพแรงกล้ามากจริงๆ เพราะมันทำให้ความเชื่อใจก่อเกิดขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยการเปิดใจ จึงทำให้ผมสามารถยอมรับกับตัวเองได้ว่า ผมเริ่มรู้สึกเบาใจในเรื่องความปลอดภัยของจันทร์ เพราะอย่างน้อยก็ยังมีใครอีกหลายคนพร้อมจะปกป้องจันทร์อยู่
และผมก็คิดว่าผม น่าจะเชื่อใจพวกเขาได้..หรืออย่างน้อย ก็ ‘เชื่อใจ’ จนกว่าผมจะสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่การเดินทางไปยังอำเภอสะเมิงกว่าจะถึงก็ประมาณบ่ายโมงกว่า เพราะผมออกจากบ้านกลางป่าสนช้ากว่าที่คิด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังถือโอกาสเข้าไปเช็คอินและนำสัมภาระไปเก็บที่ห้องพัก จากนั้นก็แวะหาอะไรกินรองท้อง เพราะช่วงสายผมซื้อแต่ของกินกระจุกกระจิกจำพวกแซนวิชที่มันโคตรไม่อิ่ม แต่ทว่าตอนนั้นผมกินอะไรไม่ค่อยลงถึงได้ละเลยตัวเอง
หรือพูดง่ายๆ ก็คือผมเครียดจนไม่อยากกินอะไรสักอย่าง แต่ที่ต้องกินก็เพื่อความอยู่รอดกระทั่งอิ่มท้องในยามบ่าย ผมก็มุ่งหน้าไปยังเส้นทางสู่บ้านวัดจันทร์ ซึ่งเป็นถนนลาดยางตัดผ่านป่าสน ท้องนา และลำห้วย โดยการเดินทางท่ามกลางธรรมชาติเคล้าเสียงเพลงบรรเลง นับว่าช่วยลดความตึงเครียดไปได้มาก
เมื่อถึงเขตบ้านอมลอง ผมกลับมองไม่เห็นแม้แต่เก๊กฮวยสักดอก เนื่องจากฤดูกาลของมันเริ่มตั้งแต่ปลายตุลาคมจนถึงกลางเดือนธันวาคม แต่เดือนที่บานเยอะที่สุดคือเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นเดือนที่ผมเคยมาเยือนที่นี่เมื่อนานมาแล้ว และอะไรๆ ก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะ พอคิดมาถึงตรงนี้ผมก็อดจะวาดภาพแห่งจินตนาการขึ้นมาไม่ได้ว่าในช่วงเวลานั้นผมกับจันทร์เคยเจอกันโดยบังเอิญบ้างหรือเปล่า แต่ถึงจะเคยผมก็คิดว่าอย่างไรแล้วเราคงจำกันไม่ได้
เพราะเวลามันก็ผันผ่านมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ผมถึงได้หลงทางเพราะความมั่นหน้าอยู่นี่ไงผมปาดเข้าข้างทางพลางกางแผนที่ที่ไม่เหมือนชาวบ้าน เนื่องจากแผนที่ที่ดีที่สุดคือหนังสือนิยายของคุณพีรวัตร ซึ่งผมถ่ายข้อความสำคัญที่บ่งบอกเส้นทางเอาไว้ในโทรศัพท์ตอนก่อนจะออกจากโรงแรม จากนั้นผมก็เริ่มจับสังเกตทีละจุด แต่ทว่าบริเวณนี้กลับมีแต่ไร่เก๊กฮวยที่ยังไม่ออกดอก รวมไปถึงไร่นาอีกหลายแปลง และยังมีแต่ต้นไม้ใบหญ้าตลอดข้างทาง มิหนำซ้ำหากมองไกลออกไปจะเห็นภูเขาตั้งตระหง่านอยู่ทางขวามือ เพราะเส้นทางนี้ไม่ใช่เส้นทางที่นักท่องเที่ยวนิยม ซึ่งทุกอย่างมันก็เหมือนๆ กันหมด จนผมเริ่มตะแยกไม่ออกแล้ว ว่าผมควรจะเพ่งเล็งไปยังจุดใด เนื่องจากทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ซ้ำยังเป็นเครื่องบ่งบอกได้ดีว่าเรื่องเล่าจากความทรงจำของใครคนนั้น เกิดจากจิตไร้สำนึกที่ยังถูกกักขังอยู่ที่นี่เมื่อหลายปีก่อน
และเรื่องเล่าที่ว่า.. ก็มาจากอัตลักษณ์ของน้องลีผมถอดใจต่อการเทียบเคียงใดๆ เลยตัดสินใจขับวนต่อไปเรื่อยๆ เพราะถึงอย่างไรถนนมันก็ต้องมีทางออกอยู่แล้ว และนั่นก็ทำให้ผมได้พบเจอกับสิ่งมหัศจรรย์
ซึ่งสิ่งมหัศจรรย์ที่ว่าก็คือ..ทุ่งดอกเก๊กฮวย ใช่แล้ว เดือนกรกฎาคมแบบนี้จะต้องไม่มีไร่เก๊กฮวยที่กำลังบานสะพรั่ง ซึ่งแวบแรกที่ผมเห็นทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด และความคุ้นเคยที่ว่าก็ไม่ใช่เพราะไร่นี้คือไร่ที่ผมเคยมา แต่มันคือการเชื่อมโยงกับทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ ที่จู่ๆ ก็มาขยายพันธุ์ในประเทศไทย และจากคำให้การของคุณชลวิทย์ตอนสารภาพเรื่องแคปกราส์แบบจอมปลอม
ก็ทำให้ผมรับรู้ได้ว่า..ไร่เก๊กฮวยแห่งนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ท่ามกลางป่าสนเป็นแน่ “คุณป้าครับ ผมรบกวนสอบถามทางหน่อยครับ” ผมลงจากรถพลางเดินลุยแปลงเก๊กฮวยสีขาวที่กำลังส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ
“ว่าไงรึพ่อหนุ่ม หลงทางมาอีกรายแล้วสิ” คุณป้าที่ในคราแรกกำลังก้มหน้าเก็บดอกเก๊กฮวยลงตะกร้า ลุกขึ้นยืนพลางเช็ดมือบนเสื้อผ้าปอนๆ ของเธอ
“ผมมาหาคนในรูปน่ะครับ แต่ดูเหมือนว่าผมจะหลงทางเข้าให้แล้ว แถมผมก็ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเธอด้วย” ผมเอ่ยพลางยกยิ้มบางๆ ขณะที่คุณป้าแน่นิ่งไปหลังจากเพ่งพิจารณารูปที่ผมแอบเข้าไปถ่ายในห้องของน้องลี
“พ่อหนุ่ม คนในรูปเธอเสียไปนานแล้วล่ะ ส่วนที่ดินตรงนั้นกลายเป็นที่นาของใครป้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” คุณป้าตอบพลางตั้งท่าจะหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อ ขณะที่ผมก็ไม่รู้จะเอ่ยถามออกไปอย่างไรเพื่อให้ทราบว่าเมื่อหลายปีก่อนเคยเกิดอะไรขึ้นที่บ้านหลังนั้น อีกทั้งยังต้องงุนงงหนักมากที่พื้นที่ตรงนั้นกลายเป็นที่นาของใครก็ไม่รู้
ทั้งๆ ที่ในอินเตอร์เน็ตต่างก็พูดกันว่า.. ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้พื้นที่ตรงบริเวณนั้นเลย“ผมขอซื้อดอกเก๊กฮวยกลับไปฝากคนที่บ้านได้ไหมครับ ?”
“เอาสิพ่อหนุ่ม” คุณป้ากล่าวพลางกวักมือเรียกให้ผมเดินเข้าไปใกล้ จากนั้นท่านก็สาธิตการเก็บดอกเก๊กฮวยให้ผมดู ซึ่งท่านจะย้ำเสมอๆ ว่าต้องเก็บทีละดอก กระทั่งหลักสูตรเร่งรัดที่ไม่ได้ยากเย็นผ่านพ้นไป ผมก็เลือกมุมเหมาะๆ เป็นมุมฝั่งตรงข้ามของท่าน เพื่อที่เวลาถามจะได้คอยสังเกตปฏิกิริยาไปด้วย
“คุณป้าครับ ไม่ทราบว่าท่านเสียเพราะอะไรหรือครับ พอดีผมเพิ่งจะย้ายกลับมาอยู่ไทยได้ไม่นานก็เลยไม่ทราบข่าวนี้”
“ไฟไหม้น่ะ” สิ้นคำตอบของคุณป้า หัวใจของผมก็เต้นระรัวคล้ายกับเจอขุมทรัพย์ที่กำลังค้นหา
“แล้วลูกๆ ของเธอล่ะครับ ผมอยากติดต่อกับพวกเขา” ผมเอ่ยถามพลางก้มเก็บดอกเก๊กฮวยไปเรื่อยๆ ขณะที่หางตาก็คอยเหลือบมองท่าทางของคุณป้าที่ดูชะงักงันไปพักหนึ่ง
“ก็..”
“เสียยกครอบครัวนั่นแหละจ้ะ” ท่านกล่าวอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย บ่งบอกถึงท่าทีที่ไม่ค่อยอยากจะปริปากพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก อีกทั้งยังส่อแววพิรุธแบบแปลกๆ คล้ายกับว่ายังมีอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงกันอยู่ เพียงแต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แต่ที่แน่ๆ สองบ้านนี้จะต้องรู้จักแบบไปมาหาสู่กัน“…” ผมยกยิ้มแกนๆ ส่งไปให้คุณป้าด้วยไม่รู้จะต่อบทสนทนาอย่างไร เนื่องจากผมมั่นใจว่าภาพของผู้หญิงสวยๆ คนนั้นจะต้องเป็นภาพของคุณแม่ของจันทร์กับน้องลีแน่ๆ ซึ่งคนที่เสียไปก็มีแค่น้องลีกับคุณแม่
ส่วนจันทร์ในตอนนั้นล่ะ ไปอยู่ที่ไหน? แล้วเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่ายกันแน่!“คุณป้าปลูกต้นเก๊กฮวยยังไงหรือครับ ทำไมถึงออกดอกก่อนฤดูกาลเยอะขนาดนี้ ?” ผมเอ่ยถามเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ยังคงเป็นคำถามที่น่าจะช่วยให้ผมรับรู้อะไรไม่มากก็น้อย
“ความลับจ้ะ” คุณป้าตอบอย่างขี้เล่น ผมจึงย่นจมูกเพียงเล็กน้อยพร้อมกับยกยิ้มให้ท่านเพียงเบาๆ
“จริงๆ พี่ชายของป้าเป็นคนคิดค้นสูตรลับนี้ขึ้นมา”
“เก่งจังเลยครับ” ผมกล่าวชมจากใจจริง เพราะผมคิดว่ามันน่าจะทำได้ยาก ไม่อย่างนั้นเมืองไทยคงจะมีดอกไม้สวยๆ ทุกฤดูกาลไปแล้ว
“ใช่จ้ะ แต่ก่อนพี่ชายป้าเคยทำงานอยู่ที่ไร่ปานรวี”
“ไร่ในตัวเมืองเชียงใหม่ที่เปิดร้านอาหารด้วยใช่ไหมครับ ?” ผมเอ่ยถามพิกัดเนื่องจากชื่อไร่มันคุ้นหูเอามากๆ แล้วอีกอย่างไร่นี้ก็เหมือนจะเป็นไร่ของครอบครัวไอ้แนน
ซึ่งเพื่อนผมคนนี้ก็เป็นลูกผู้ดีเก่าเหมือนกับคุณแม่ของจันทร์“ป้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันจ้ะ แต่เขาไปทำงานที่นั่นไม่นานเท่าไหร่ อีกอย่างสูตรนี้พี่ชายป้าก็ช่วยกันคิดกับพวกหลานๆ” สิ้นคำอธิบายเรียบเรื่อยหัวใจของผมก็เต้นระส่ำไม่หยุด เมื่อตัวเองเริ่มเข้าใกล้เส้นชัยขึ้นมาอีกขั้น
“หลานของคุณป้าต้องเก่งมากแน่ๆ เลยครับ ไม่เหมือนกับหลานของผม วันๆ ไม่ค่อยอยู่กับบ้านสักเท่าไหร่ โน่นแน่ะไปตามหาได้จากในห้าง” ผมกล่าวพลางยกยิ้มซึ่งเรื่องที่ผมพูดล้วนมีแต่ความจริง เพราะหลานของผมมันดื้อจริงๆ แต่ก็ดีที่มันไม่ได้ทำตัวเหลวไหล เพราะอย่างน้อยก็หายหัวไปเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ ทำเอาเจอหน้าพี่พลอยทีไรพี่แกบ่นให้ผมฟังตลอด
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกจ้ะ เจ้าวิทย์มันหัวดีแค่เรื่องเกี่ยวกับดอกไม้นี่แหละ” คุณป้ากล่าวอย่างถ่อมตัว
“แล้วหลานของคุณป้าไปไหนล่ะครับ ผมอยากจะเห็นหน้าคนเก่งสักหน่อย เผื่อจะได้ประจบขอสูตรลับกับเขาบ้าง”
“ย้ายไปอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่แล้วล่ะจ้ะ ไม่ค่อยได้กลับมาที่นี่หรอก” สิ้นคำตอบของคุณป้า ก็เหมือนกับว่าทุกความสงสัยถูกลากเส้นเชื่อมโยงเข้าหากันโดยที่ผมแทบไม่ต้องเอ่ยถามอะไรอีก
เพราะผมมั่นใจว่า ‘วิทย์’ ที่มีพรสวรรค์ในเรื่องการเพาะพันธุ์ดอกไม้จะต้องเป็น ‘คุณชลวิทย์’ ที่ผมรู้จักอย่างแน่นอน゚゚❀゚゚
[edit 18/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]
สรุปใครทำน้องจันทร์ แล้วใครคือคนที่รับความเจ็บปวดของทุกๆ คน แล้วออกมาตั้งแต่ตอนไหนนะ ?
ปล. สำหรับข้อมูลในตอนนี้ บางอย่างเราหาอ่านมาจากหนังสือเล่มหนึ่งที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคุณบิลลี มิลลิแกน เราเพิ่งไปซื้อมาได้เมื่อวานนี้สดๆ ร้อนๆ เพราะเราเพิ่งรู้ว่ามันมีหนังสือเล่มนี้อยู่ เอาไว้เราเขียนเรื่องนี้จบค่อยให้เครดิตและแนะนำคนที่สนใจอีกที ส่วนสาเหตุที่เราซื้อมาอ่านเพราะเราอยากรู้บางอย่างที่ทางเน็ตไม่มีบอก และเราก็ได้ข้อมูลยิบย่อยมาเยอะแยะ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่อยู่ลึกลงไปจากบทความที่หาอ่านมา แต่ทั้งนี้ตัวละครของเราก็ดีไซน์ขึ้นมาเอง ที่แตกต่างกันคือบิลลีจะจดจำเรื่องราวเลวร้ายได้ (แต่เรายังอ่านไม่จบเล่ม ไม่แน่อาจจะคดีพลิกได้) แต่ช่วงเวลาของเขาจะหยุดอยู่แค่ความทรงจำครั้งสุดท้าย คือมันจะไม่ปะติดปะต่อกัน เพราะบุคลิกอื่นได้เอาเวลาของเขาไป แต่ของน้องจันทร์ เราตีความเอาจากบทความหนึ่ง (med.mahidol.ac.th) ที่เขียนเอาไว้ 'เมื่อผู้ป่วยต้องเจอกับเหตุการณ์ที่รุนแรงจึงมีกลไกป้องกันตัวเองเกิดขึ้น และตัดขาดจากตัวเอง ตัดขาดจากความทรงจำของตัวเอง เพราะรู้สึกไม่ชอบและไม่ยอมรับในตัวตนของตัวเอง จึงแสดงออกในอัตลักษณ์ที่แตกต่างออกไป' ส่วนการพูดคุยกันของแต่ละบุคลิก เดี๋ยวไว้เราจะเขียนถึงในตอนต่อๆ ไป แต่ที่แน่นอนคือพวกเขาพูดคุยกันได้ โดยที่บุคลิกหลักจะไม่รู้เรื่องด้วยเลย และไม่เคยรู้ว่ามีอัตลักษณ์อื่นๆ ซุกซ่อนอยู่
และเราก็คิดว่า ช่วงตั้งแต่การรักษาเป็นต้นไป เราอาจจะขอไล่อ่านหนังสือให้จบก่อน ตอนนี้เราอ่านของบิลลีอยู่ แต่กะว่าจะอ่านของคิมโนเบลด้วย แต่หนังสือยังสั่งมาไม่ได้เลย เพราะตอนนี้ข้อมูลที่เราได้มาบางส่วนยังไม่กระจ่างมากเท่าไหร่