กอดดดดทุกๆ คนที่เข้ามาอ่าน
เอาตอนใหม่มาเสิร์ฟแล้วค่ะ
เนื้อหาตอนนี้อารมณ์พี่สหะแกจะเหวี่ยงนิดนึงนะคะ
***
บทที่ 4
ด้วยเป็นชนกึ่งเทพ วิทยาธรจึงอยู่ได้โดยไม่อยากอาหาร จะกินหรือไม่กินก็ไม่ตาย ดำรงอยู่ด้วยการบำเพ็ญตบะและอิ่มในผลแห่งสมาธิ แต่ด้วยยังมีรัก โลภ โกรธ หลง จึงยังติดในรส ทั้งรสดนตรี รสรัก หรือรสอาหาร
สหเดชะเกรงว่าน้องน้อยจะหิวโหย ด้วยเวลาผ่านมานาน ซ้ำยังถูกตัดขั้วจากต้นแม่มาก่อนเวลาอันควร แม้จะได้รับการรักษาจากพระอัศวินแพทย์แห่งสวรรค์ ทว่าเขาก็ไม่แน่ใจนักว่า ‘การรักษา’ นั้นรักษาอย่างไร และให้ผลอย่างไร มักกะลีผลผู้นี้แค่เพียงหายจากความเจ็บปวดทุกข์ร้อนอันเป็นผลจากการที่ถูกตัดจากต้นเท่านั้นหรือ หรือว่ามีอะไรมากกว่านั้น
มักกะลีผลอยู่ได้เพียงเจ็ดวันหลังจากสุกงอมและปลิดจากขั้ว แต่มักกะลีผลผู้นี้ถูกเขาตัดมาโดยความหุนหันไม่ยั้งคิด เชื่อว่าหากไม่ถูกตัดมาก็คงอีกไม่กี่วันก็จะสุกงอม ดังนั้นช่วงเวลาที่น้องน้อยจะคงความเยาว์แห่งรูปและสัมผัสก็คงนับไม่เกินสิบวัน นี่เป็นสิ่งที่เขาเข้าใจ ทว่าความจริงแล้วเป็นเช่นนั้นหรือไม่
พระอัศวินได้มอบวันเวลาให้ร่างกายนี้มากกว่านี้หรือไม่หนอ? สหะเดชะไม่ฝันแม้สักน้อยว่าจะกล้าเอ่ยถามท่านเทพในเรื่องนี้ หวังก็เพียงว่าด้วยญาณทิพย์แห่งองค์เทพทั้งสอง พระองค์จะช่วยให้ชีวิตของน้องน้อยยืนยาวมากกว่านี้
***
ร่างสูงใหญ่กำยำลอยเรี่ยพื้นดินมุ่งสู่สวนผลไม้ทางอีกด้านหนึ่งของเกาะลอยฟ้า สวนอยู่ไม่ไกลแล้ว ได้กลิ่นหอมของผลไม้สุกลอยแตะจมูก สหเดชะลอบยิ้มเอ็นดูเมื่อนึกถึงตอนเขาจะมาที่สวนนี้
เจ้ามักกะลีผลน้องน้อย ผู้ที่บัดนี้มีนามว่า รวีพิรุณ มองคล้ายจะเอ่ยอะไรออกมาเมื่อเห็นเขาขยับกายลุกขึ้นยืน
“พี่จะหาผลไม้มาให้เจ้า เจ้าท่าจะเหนื่อยและหิว หลังจาก...” ผ่านเรื่องไม่ดีมา ประโยคท้ายนั้นไม่ได้เอ่ยออกมา แต่ก็ผ่านผุดขึ้นมาในหัว “เจ้ารอพี่อยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”
“ไปหาผลไม้หรือ”
“ถูกต้อง เจ้ากินผลไม้ได้ใช่ไหม” แม้มักกะลีผลผู้นี้จะเป็น ‘ลูกไม้’ แต่ถ้าจะกินอะไรได้ ก็คงมีแต่อาหารบริสุทธิ์เช่นผลไม้เท่านั้นละ
“กิน?”
สหเดชะใช้มือลูบท้องตนเองเป็นเชิงสาธิต “มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตไม่ใช่เทพจะหิว เวลาหิวก็ต้องกิน เวลากินก็ต้องหยิบใส่ปาก” คนพี่ทำท่าหยิบลมใส่ปากแล้วเคี้ยวหยับๆ ให้น้องดู เคี้ยวนานจนลมละเอียดแล้วจึงกลืนลงไป “แต่เจ้าเป็นมักกะลีผล พี่ว่าคงกินเนื้อไม่ได้”
“ไม่เคยกิน” น้องน้อยตอบด้วยใบหน้าซื่อ ขณะในใจกำลังนึกไปถึงช่วงที่อยู่กับต้นแม่มักกะลีผล เขาจำได้ว่าเวลาฝนตกชอบกอบมือแล้วยื่นออกไปรองน้ำฝนมาใส่ปากเหมือนกัน นึกถึงความเย็นของน้ำไหลล่วงลงคอแล้วก็เผลอยิ้มเปี่ยมสุข ทำให้พี่ต้องเผลอยิ้มตาม
“ถ้าเช่นนั้นก็ลองกินดูสักหน่อย เดี๋ยวพี่จะไปเก็บผลไม้มาให้ พี่จะเลือกผลไม้ที่มีเนื้อเยอะ จะได้อิ่มนานๆ”
เอ่ยจบแล้ว สหเดชะหันหลังเตรียมกระโดดข้ามลำธาร ทว่าก็ต้องชะงัก ด้วยรู้สึกถึงแรงดึงจากด้านหลัง เขาหันกลับไปมอง เห็นรวีพิรุณกำลังยึดชายเสื้อของเขาอยู่ พลางมองเขาด้วยดวงตากลมโตสุกใส
“อะไรหรือ”
“ไป...ผลไม้”
“เจ้าอยากมากับพี่หรือ”
พยักหน้า
“อย่าเลย เจ้าอยู่ที่นี่เถิด พี่ไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมา”
ส่ายหัว ก้มหน้างุด มือที่จับเสื้อของเขาก็ยิ่งจับแน่นเข้า
สหเดชะรู้สึกหัวจิตหัวใจแทบละลาย
“พี่ไม่อยากให้เจ้าขยับมาก...” แล้ววิทยาธรหนุ่มก็ต้องกลืนคำพูดที่เหลือลงคอ ด้วยอีกฝ่ายเงยหน้ามอง ใช้สายตากลมโตสวยใสราวกับมีน้ำคลออยู่นั้นจ้องเข้ามาในตาเขาอย่างอ้อนวอน เอ จะว่าไป...เมื่อครู่เจ้าน้องน้อยก็วิ่งไปมารอบๆ สวนนี้โดยไม่แสดงทีท่าว่าเหน็ดเหนื่อยเลยไม่ใช่หรือ
“ได้ ถ้าเจ้าอยากมากับพี่ก็ได้”
เขาขยับจะย่อตัวลงเพื่ออุ้มรวีพิรุณขึ้นไว้ในอ้อมแขน ทว่าเจ้าตัวกลับถอยออกห่าง วิทยาธรหนุ่มถึงคราวจนแต้ม ด้วยไม่รู้จะทำเช่นไรดี ยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงย่อกายลงนั่งยองๆ หันหลังให้ เอี้ยวศีรษะมาบอก
“ขี่หลังพี่ก็แล้วกัน”
พูดพลางตบไหล่ตนเองดังปุๆ
เมื่อฝ่ายนั้นไม่แสดงท่าทีว่าจะขึ้นมาเสียที เขาจึงเอ่ยสำทับไปอีก “ถ้าเจ้าไม่ขี่หลังพี่ พี่จะทิ้งเจ้าไว้ตรงนี้แล้วนะ”
รวีพิรุณค่อยขยับกายเข้ามาใกล้ แล้วยกขาขึ้นมาวางพาดอยู่บนไหล่ของสหเดชะอย่างทุลักทุเล น้องน้อยทิ้งน้ำหนักตัวซึ่งก็ไม่ค่อยหนักเท่าใดนักนั้นลงโถมใส่สหเดชะเพื่อเตรียมจะยกขาอีกข้างขึ้นไปวางบนไหล่อีกด้านในลักษณะของเด็กขี่คอผู้ใหญ่ นี่มิใช่การขี่หลังแล้วนะเจ้า!
เห็นการณ์เป็นดังนั้นวิทยาธรหนุ่มถึงกับร้องห้ามแทบไม่ทัน
“เดี๋ยวๆ ประเดี๋ยวก่อนเจ้า”
รวีพิรุณออกอาการงุนงง รีบผละออกทำให้เสียการทรงตัว ล้มผลึ่งก้นจ้ำเบ้า ร้อนถึงสหเดชะต้องพยุงให้ลุกขึ้น อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้
“มิใช่ให้เจ้าขี่คอพี่ เจ้าต้องกอดคอพี่” เขาจับแขนของน้องไปคล้องคอตน ใบหน้าสองคนเข้าใกล้กัน ตาจ้องตา สหเดชะเห็นความสุกใสของดวงตาน้อง มองเห็นแก้มอิ่มนุ่มนิ่มน่าสัมผัส มองใกล้แล้วใจเต้น ต้องกระแอมออกมา “พี่จะนั่งลง แล้วเจ้ากอดคอพี่นะ”
ว่าพลางทางนั่งลงหันหลัง แล้วรวีพิรุณก็ขยับเข้ามากอดคอ ร่างนุ่มๆ กดแนบเข้ากับแผ่นหลัง สหเดชะวาดแขนมาคล้องเอาท่อนขาของมักกะลีผลไปรวบตรงเอวของตนเอง แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน ได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจของฝ่ายนั้นว่า “เย้ย”
ร้องแปลกจริง
สหเดชะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยจากร่างที่เกาะติดกับแผ่นหลังของเขา เป็นกลิ่นหอมสดชื่น ไม่แรง ไม่ฉุนเกินไป หากผลไม้ยังไม่สุกบางชนิดจะมีกลิ่นหอม ก็คงจะเป็นกลิ่นเช่นนี้นี่เอง
ขณะใบหน้าเปื้อนยิ้ม ริมฝีปากเปื้อนเสียงหัวเราะเบาๆ สหเดชะก็แบมือออก พลันพระขรรค์ตีจากเหล็กกายสิทธิ์ก็ปรากฏขึ้นมา เขากวัดแกว่งพระขรรค์นั้นเบาๆ แล้วร่างของเขากับรวีพิรุณก็ค่อยๆ ลอยเลื่อนขึ้นจากพื้นดิน รวีพิรุณสูดลมหายใจดังเฮือก กอดคอเขาแน่นด้วยกลัว
นับแต่เขาอุ้มเจ้ามักกะลีผลเหาะเหินกลางอากาศมาหลายครั้ง เจ้าตัวไม่เคยมีสติรู้ตัวเลย สลบบ้าง หลับบ้าง ครานี้เป็นคราวแรกที่รวีพิรุณได้ลอยขึ้นไปในอากาศกว้างกับเขาขณะยังมีสติสำนึกรู้ตัวเต็มที่
สหเดชะลอยเลื่อนอย่างอ่อนโยน ไม่โจนทะยานไปด้วยใจร้อน ค่อยๆ ลอยเรี่ยเหนือยอดหญ้า เข้าไปใกล้ธารน้ำใสเรื่อยๆ พลางเอ่ยปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงรื่นหู
“ไม่ต้องกลัวนะรวีน้องเจ้า เจ้ากอดคอพี่ไว้ พี่ไม่ทำเจ้าหล่นดอก”
“ท่าน...ท่าน...ลอยได้!”
วิทยาธรหนุ่มหัวเราะหึๆ “พี่เป็นอากาศเทวดา เป็นพวกอยู่แดนฟ้าชั้นต้น ต้องลอยได้อยู่แล้ว เจ้าเห็นพระขรรค์นี่ไหม พิทยาธรจะไปไหนมาไหนต้องใช้พระขรรค์ กวัดแกว่งทีเดียวก็ลอยขึ้นฟ้าได้”
“พิทยาธร...” น้องเอ่ยตามอย่างกับนกแก้วนกขุนทอง
“อืม พิทยาธรหรือวิทยาธรก็เรียกได้ พี่เป็นพิทยาธรผู้ชาย ส่วนวิทยาธรผู้หญิงนั้นเรียกวิทยาธรี”
“วิทยาธรีหรือ”
“ถูกต้อง วิทยาธรผู้หญิง อย่างนารีผลนั่นปะไร มีแต่ผู้หญิง ส่วนเจ้าเป็นชาย...เหมือนพี่”
แม้ไม่เห็นหน้า แต่สหเดชะกลับรู้สึกได้จากอาการเกร็งของร่างกายเด็กหนุ่มว่าการกล่าวถึงพวกพ้องของรวีพิรุณคือการเปิดปากแผล จึงรีบเอ่ยอธิบายต่อไป
“ไปไหนมาไหนพี่ใช้พระขรรค์เหาะไป ส่วนวิทยาธรีจะติดปีกติดหางเหาะไปเหมือนนางกินรีเพราะไม่มีพระขรรค์”
“กินรี?” น้ำเสียงตอนท้ายคำออกจะสูง
“เจ้าสนใจหรือ คราวหลังพี่จะพาไปเที่ยวเมืองชาวกินรี”
“รวี...อยากไป”
ยินคำน้องแทนตัวเองด้วยนามที่เขาเพิ่งตั้งให้ หัวใจมันออกจะพองๆ อยู่นา “เจ้าอยากไปพี่ก็จะพาไป อยู่กับพี่นานๆ พี่จะพาดูให้ทั่วแดนฟ้า”
รวีพิรุณไม่ตอบคำ สหเดชะมิได้ซักไซ้ ปล่อยให้ความเงียบเป็นเอก รับรู้เสียงลมพัดกิ่งไม้ในสวนป่าเสียดสีเป็นสำเนียงกระซิบกระซาบอ่อนโยน เขาค่อยๆ ลอยเลื่อนไปสู่กลางธารน้ำ
สหเดชะเอ่ยกระซิบกับใบหน้าของรวีพิรุณซึ่งยื่นเข้ามาใกล้
“รวี พี่จะพาเจ้าเหาะขึ้นไปสูงๆ เจ้าจะได้เห็นแดนฟ้ากว้าง กอดพี่แน่นๆ นะ”
สิ้นคำพี่ น้องจึงเพิ่มแรงกอดที่คอ กระชับช่วงขาเข้ากับเอว
“เอาละนะ”
สหเดชะควงพระขรรค์เป็นวงกลม ทันใดนั้นก็ราวกับมีกระแสลมอันรุนแรงกระแสหนึ่งพุ่งเข้ามาพยุงใต้เท้า ลมพัดอู้ ยอดหญ้าลู่ไปเป็นแถบ ผิวน้ำกลายเป็นคลื่นกระจายออกไปสู่ตลิ่งธาร
แล้วร่างสองร่างก่ายซ้อนก็พุ่งทะยานเป็นแนวตั้ง ตรงดิ่งขึ้นไปสู่เวิ้งฟ้าอากาศเบื้องบน
***
ราวกับกระแสน้ำสายหนึ่งพุ่งจากตาน้ำขึ้นไปบนอากาศเป็นเส้นตรง ร่างสองร่างก็พุ่งขึ้นไปในเวิ้งฟ้า ราวกับลูกธนูถูกปล่อยจากแล่ง รวีพิรุณกอดคอวิทยาธรแน่น แนบใบหน้าเข้ากับคอของอีกฝ่าย หลับตาปี๋ไม่มองสิ่งใดทั้งสิ้น
“อื๊อ” นี่คือเสียงเดียวที่ออกมาจากปากของมักกะลีผลหนุ่มน้อย
ลมพัดเอาผมนุ่มยาวให้ปัดป่าย ลมนี้ยิ่งขึ้นสูงไปยิ่งเย็น
รวีพิรุณรู้สึกราวกับว่าการพุ่งทะยานขึ้นฟ้าจะไม่สิ้นสุดเอาง่ายๆ มันช่างยาวนานเสียจริงๆ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือกอดร่างของอีกฝ่ายให้มั่นที่สุด ขืนปล่อยแม้แต่น้อยนิดมีหวังร่วงลงไปแน่ๆ อกใจของเขาแทบจะกระดอนออกมาด้านนอกเสียให้ได้
แล้วรวีพิรุณก็รู้สึกว่าการ ‘เหาะ’ ของวิทยาธรผู้นี้ค่อยๆ ช้าลงๆ สุดท้ายจึงหยุดนิ่งอยู่กับที่ กระนั้นเขาก็ยังกอดอีกฝ่ายไว้แน่นไม่ยอมคลาย
ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ อยู่ข้างหู จึงค่อยๆ หยีเปลือกตาเปิดขึ้นดูหน่อยหนึ่ง เห็นเสี้ยวหน้าคมสันกำลังยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มนั้นแบะให้ปากเปิดเล็กน้อย เห็นฟันขาวสะอาดสวย
“ไม่ต้องหลับตาแล้ว” ฝ่ายนั้นเอ่ยออกมา ราวกับจะรู้ว่าเขาหลับตาปี๋มาตลอดทางจากด้านล่าง “ลองมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเจ้าสิ”
รวีพิรุณลืมตาขึ้นเต็มตาอย่างกล้าๆ กลัวๆ คางที่วางกับไหล่วิทยาธรค่อยๆ ยกขึ้น แล้วเขาก็มองไปทางทิศหนึ่ง
“ทางนี้คือที่พระสูรยาทิตย์ท่านทรงรถออกส่องแสงให้โลก”
คนบอกไม่ได้ชี้ให้ดู ทว่าหันร่างไปมองอยู่แล้ว ทิศนั้นสว่างโพลงด้วยแสงแห่งตะวันกล้า เมฆขาวลอยเรี่ยอยู่ทั่วไป แสงส่องกระทบหมู่เมฆจนคล้ายกับเกลี่ยไว้ด้วยทองคำ มันช่างเป็นภาพที่งดงามเหลือเกิน ผู้ชื่นชอบแสงแดดเช่นมักกะลีผลนั้นมองเมฆเกลี่ยสีทองด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ส่วนด้านนี้” คนพี่หันร่างไปตามทิศ พอหันมาด้านนี้ วิทยาธรหนุ่มก็ก้มศีรษะกระทำความเคารพอย่างสูง “เจ้าเห็นแสงสีขาวไกลลิบๆ นั่นหรือไม่”
“อื้อ แสง...สว่างกว่าแสงแดด”
“หึๆ แน่ละว่าสว่างกว่าแสงแดด ตรงนั้นเป็นยอดเขาไกรลาส ผาเผือกที่ประทับองค์อิศวรกับพระแม่อุมา พระอิศวรหรือพระศิวะ...ท่านเป็นหนึ่งในพระตรีมูรติ”
“พระตรีมูรติ”
“ท่านเป็นมหาเทพสามองค์ พระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม”
“ทำไมแสงอยู่ไกลจัง”
“ฮ่าๆ เจ้าเข้าใจถามนะ แสงอยู่ไกลเพราะผาเผือกอยู่ไกลจากที่นี่มาก ผาเผือกอยู่ที่หิมาลัย เป็นขุนเขาอันศักดิ์สิทธิ์”
“หิมาลัยหรือ”
“ถูกต้อง หิมาลัยอยู่ไกลจากที่นี่มาก” สหเดชะชี้ปลายพระขรรค์ลงล่าง แล้วร่างทั้งสองก็ค่อยๆ ลอยต่ำลงไปทีละน้อยโดยไม่ทำให้คนเกาะหลังรู้สึกตัว
รวีพิรุณยังคงมองแสงสว่างสีขาวเรืองอันไกลลิบนั้นอยู่ด้วยความยำเกรง แล้วทันใดนั้นเองพวกเขาก็หายเข้าไปในกลุ่มเมฆใหญ่ มองไปทางใดก็มีแต่สีขาว เขาจึงหลับตาปี๋อีกรอบ
คนตัวใหญ่ราวกับจะหัวเราะทุกครั้งยามเขาปิดตา พอได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ ทุ้มขึ้นมา รวีพิรุณจึงเปิดเปลือกตาขึ้น แล้วเขาก็เห็นภาพบางอย่างที่ทำให้ต้องเบิกตากว้าง มองไปทางนั้นทางนี้ด้วยตะลึง
บัดนี้พวกเขาลอยตัวอยู่เหนือเทือกเขาสูง ทอดตัวทะมึนอยู่ด้วยความเขียวครึ้มของป่าเขา ไอสีขาวลอยขึ้นมาเกาะกันเป็นกลุ่มอยู่เหนือยอดเขาบางแห่ง มักกะลีผลมองตามไปก็ไม่เห็นว่าเทือกเขานี้จะไปสิ้นสุดที่ใด
“นี่คือยอดเขาวินธัย แดนฟ้าชั้นต้น หรือจาตุมหาราชิกา”
รวีพิรุณมีดวงตากลมโตราวกับผลไม้ลูกใหญ่ๆ ทีเดียว อ้าปากหวอมองภาพที่เห็นด้วยไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
“เจ้าเห็นใช่ไหม” บุรุษผู้นั้นเอี้ยวหน้าพยายามมองเขา “นี่ละคือนครแห่งพิทยาธร พิทยานคร”
นี่อาจเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยแห่งแรกที่เจ้ามักกะลีผลหนุ่มได้มาพบเห็น ในแสงแดดอันอาบอยู่ในทุกอณูอากาศ รวีพิรุณมองเห็นเกาะใหญ่บ้าง ย่อมบ้าง ลอยอยู่ในที่ต่างๆ กัน ในระดับความสูงต่างๆ กัน บนเกาะนั้นบ้างก็มีปราสาทใหญ่โตสวยงามปลูกสร้างไว้ บ้างก็เป็นเพียงปราสาทเล็กๆ ทว่ามีหมู่ไม้ขึ้นอยู่เต็มไปหมด บ้างก็เป็นพื้นที่โล่งปลูกดอกไม้นานาพันธุ์
เกาะเหล่านี้มิได้อยู่ใกล้ชิดกันเท่าใดนัก ทว่าเมื่อมองจากกึ่งฟ้าเช่นนี้ก็สามารถมองเห็นพิทยานครแผ่ขยายออกไปจนสุดตามองเห็น รวีพิรุณไม่ทราบว่าจะมีเกาะอยู่จำนวนเท่าใดแน่ คงจะมากกว่าจำนวนเพื่อนๆ ของเขาที่โคนต้นแม่มักกะลีผลแน่ๆ มองไปทางนั้นก็มีแต่เกาะ มองไปทางนี้ก็มีแต่เกาะ อยู่ไกลกันบ้าง อยู่ใกล้กันบ้าง แทบว่าจะเต็มน่านฟ้าเหนือยอดเขาวินธัยนี้
“เทือกวินธัยนี้ใหญ่กว้าง พิทยานครเป็นเพียงนครเล็กๆ เท่านั้นหนา แดนนี้ยังมีนครกลางหาวของชาวยักษ์ และนครโลหะของชาวกุมภัณฑ์ ยังชนรากษสอีกเล่า...พวกเขามีนครซ่อนเร้นอยู่กลางป่าลึกที่ใดสักแห่ง มิมีผู้ใดรู้ที่ตั้งแน่นอน แต่ที่ไม่ไกลจากพิทยานครก็คือนครแห่งชาวกินรีนี่อย่างไร หากเจ้าพร้อมเมื่อใดพี่จะพาเจ้าเหาะไปชม”
วิทยาธรผู้นี้แม้น้ำเสียงจะทุ้ม ทว่าก็พูดได้เรื่อยเจื้อย...ทอดน้ำเสียงน่าฟัง ยามใดเอ่ยวาจากับรวีพิรุณก็จักใช้น้ำเสียงเช่นนี้ทุกคราวไป ราวกับว่ามักกะลีผลเป็นเด็กตัวน้อยที่ฟังภาษาไม่เข้าใจ ยามนี้รวีพิรุณฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ได้ยินคลับคลาว่ารากษส กุมภัณฑ์ ชาวยักษ์ จดจำใส่ใจไว้ว่าอยากจะไปดูชมเสียให้ได้ ทว่าตอนนี้ขอชมเมืองชาวพิทยาธรก่อนก็แล้วกัน
ด้วยแสงทิพย์หรือพระสูรยาทิตย์ส่องสว่างกระจ่างตา จึงทำให้พิทยานครราวกับจะส่องแสงมลังเมลือง ยามหนึ่งคล้ายเป็นแสงสีขาว อีกยามคล้ายมีประกายทองระยิบระยับอยู่กลางอากาศ เป็นภาพที่งดงามที่สุดที่รวีพิรุณเคยเห็นมา สองคนก่ายกายซ้อนอาบอยู่ในแสงอุ่นและลมเย็นสบาย มองนครซึ่งลอยตัวอยู่ด้านล่างอยู่นานหลายอึดใจ ภาพนี้จะจารไว้ในทรงจำของรวีพิรุณ หลับตาลงเมื่อใดก็จะยังเห็นภาพอันวิเศษนี้อยู่ไม่คลาย
***
(อ่านต่อคอมเมนต์ล่างค่ะ)