บทที่ 23
วันนี้ซินเธียตื่นเช้ากว่าปกติเนื่องจากมีนัดสำคัญกับโรงพยาบาล เด็กหนุ่มใช้แปรงสางเส้นผมยาวระบั้นเอวของตัวเองอย่างพิถีพิถัน เริ่มตั้งแต่ค่อยๆ แปรงจากปลายผมไล่ขึ้นมาทีละน้อย การทำแบบนี้อาจจะใช้เวลานานมากหน่อยขนาดที่ว่าคนตัวโตเข้าไปชำระกายในห้องน้ำจนแล้วเสร็จ ซินเธียพึ่งจะเริ่มสางผมฝั่งซ้ายของตัวเอง
ปกติแล้วมีคนช่วยชัดการให้ตลอดตั้งแต่สมัยอยู่ในแดนใต้ แคลร์คนสนิทที่ช่วยดูแลซินเธียมาตั้งแต่เด็กช่วยจัดการเรื่องส่วนตัวให้ทุกอย่างตั้งแต่เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมไปจนถึงงานจิปาถะ อาหารการกิน อำนวยความสะดวกทุกอย่าง พอมาคิดดูแล้วซินเธียค่อนข้างคิดถึงเด็กคนนั้นเหมือนกัน มันน่าเสียดายที่ไม่สามารถนำเธอติดตามมายังวินเทอร์ฟอลได้ ส่วนแมรี่หญิงรับใช้ของคฤหาสน์คิมที่แอชลีย์หามาให้ช่วยดูแลซินเธียเธอได้รับอนุญาตให้ลาพักผ่อนอยู่ที่บ้านเดิมในช่วงสิ้นปีแบบนี้ ฉะนั้นนอกจากพ่อบ้านกับแม่ครัวแล้วคงเหลือคนเก่าแก่อีกไม่กี่คน
แคลร์สำหรับซินเธียแล้วเป็นมากกว่าหญิงรับใช้ข้างกาย เธอเปรียบเสมือนพี่น้อง เราโตมาด้วยกันแม้ว่าเจ้าตัวจะมีอายุน้อยกว่าซินเธียสองปีก็ตาม
แคลร์เป็นลูกของหนึ่งในหญิงรับใช้ในวังกับทหารคนหนึ่ง หลังจากคลอดออกมาก็ถูกเลี้ยงดูในวังไปพร้อมกับการทำงานรับใช้เชื้อพระวงศ์ ด้วยความที่เด็กสาวคนนั้นเป็นโอเมก้าจึงถูกรับเลือกให้เป็นหนึ่งในคนข้างกายของซินเธีย อาจเพราะเราเหมือนกันเลยสามารถเข้าใจกันได้มากกว่าสาวใช้คนอื่นซึ่งเป็นเบต้าเสียส่วนใหญ่ ซินเธียสามารถพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเองได้กับอีกฝ่ายทันที บางครั้งไม่ต้องพูดออกมาแคลร์ก็จะเข้าใจและช่วยเตรียมวิธีรับมือให้ โดยเฉพาะในวันนั้น วันที่ซินเธียฮีทครั้งแรกก็ได้เด็กสาวคอยช่วยเหลือดูแลอยู่ไม่ห่าง
หลังจากนี้เราคงได้พบกัน แดนใต้มีธรรมเนียมอันเคร่งครัดเกี่ยวกับการกลับไปคลอดบุตรบ้านเดิมของภรรยา เรื่องนี้ซินเธียยังไม่ได้ปรึกษาคนเป็นสามี ทว่า ถึงอย่างไรหลังคลอดแล้วก็คงต้องพาเด็กคนนี้ไปพบท่านตาของเขาสักครั้ง ไม่รู้ขณะนี้คนที่นั่นจะเป็นอย่างไรบ้างตั้งแต่แต่งเข้าตระกูลคิมมาก็ไม่ได้รับข่าวสารจากธอร์นอีกเลย แต่เป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าบางทีท่านพ่ออาจจะยุ่งมากอีกทั้งการติดต่อระหว่างทั้งสองดินแดนค่อนข้างลำบากและใช้เวลาหลายวันกว่าจดหมายจะเดินทางไปถึง อย่างไรเสียหนึ่งในเหตุผลของงานวิวาห์ครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการกันซินเธียให้ออกห่างจากเรื่องราวในธอร์นอยู่แล้วเขาพอใจกับการเขียนจดหมายไปเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวัน เล่าถึงสิ่งแปลกใหม่ที่ได้พบใจในดินแดนแห่งนี้ไม่คิดมากว่าจะได้รับจดหมายตอบกลับหรือไม่ ไว้เราค่อยพูดคุยกันตอนกลับไปเยี่ยมก็ได้ ถึงเวลานั้นซินเธียจะนำเทียนหอมกับน้ำชาไปฝากท่านพ่อกับแคลร์ พวกเขาจะต้องชื่นชอบมากแน่นอน
สำหรับคนทั่วไปแล้วใบชาถือเป็นสินค้าราคาสูง ยิ่งใช้กระบวนการในการผลิตพิถีพิถันมากเท่าใดราคาก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น แม้ว่าชาวแดนเหนือจะชื่นชอบดื่มชากันจนกลายเป็นวัฒนธรรม สำหรับครอบครัวที่มีฐานะไม่เลวก็จะมีกำลังในการซื้อใบชาคุณภาพดี แต่กับครอบครัวที่ฐานะปานกลางไปจนถึงยากจนมักจะเลือกซื้อชาในราคาต่ำซึ่งรสชาติกับคุณภาพก็จะแตกต่างกันพอสมควร
ท่านชายเหลือบมองคนตัวโตผ่านเงาสะท้อนบนกระจกซึ่งขณะนี้กำลังยืนกลัดกระดุมอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ทำตัวเป็นคนถ้ำมองอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องรีบหันกลับมาจัดการกับตัวเองเพราะกลัวถูกจับได้ หลังตรวจสอบความเรียบร้อยทุกอย่างจนมั่นใจแล้วถึงค่อยออกมานั่งรอบริเวณปลายเตียงหลังโต
วันนี้คนทั้งสองจะเดินทางเข้าเมืองจัตุรัสไวท์สแควร์ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการเดินทางราวครึ่งชั่วโมง สำหรับกำหนดการก็คือไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติสำหรับโอเมก้าเพื่อตรวจร่างกายและทำการฝากครรภ์
ซินเธียทั้งตื่นเต้นและกังวลไม่น้อยวันนี้เลยสามารถตื่นแต่เช้าโดยไม่ต้องเป็นธุระให้คุณสามีต้องปลุก ตอนนี้ก็แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมออกเดินทางมานั่งรออีกคนตาแป๋ว
ฝ่ายแอชลีย์ซึ่งรู้สึกถึงสายตาจับจ้องตามทุกการเคลื่อนไหวมาพักใหญ่ เขาอดทนผูกเนคไทให้เสร็จแล้วถึงได้เดินเข้ามาหาคุณแมวน้อย ในแววตาสีเงินคู่นั้นเต็มไปด้วยความหลากหลายหนึ่งในนั้นคือความกังวล แต่ไม่แน่ใจว่ากังวลเรื่องอะไร
“เป็นอะไร” เอ่ยถามพลางทรุดตัวลงนั่งข้างกัน
ซินเธียหันมามองคนข้างกาย ดวงตาสอดประสานจับจ้องเข้าไปราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่างในดวงตาคู่นั้น
“คุณแอชลีย์”
“หืม?”
“คุณ...” เอ่ยถึงตรงนี้แล้วเบนสายตาลงเล็กน้อยด้วยไม่กล้าจับจ้องอำพันคู่นั้น มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นกอบกุมบริเวณท้องน้อยเอาไว้ราวกับกำลังปกป้องบางสิ่งบางอย่าง “คุณยินดีกับเด็กคนนี้จริงๆ ใช่ไหมครับ”
ถึงเมื่อวานอีกฝ่ายจะให้คำตอบออกมาแล้วแต่ซินเธียก็ยังรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในห้วงฝัน กลัวว่าสิ่งที่ประสบพบเจอเมื่อวานนั้นเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดขึ้นมาเอง พอลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของวันถัดไปสิ่งนั้นมันก็จะจางหายไปคล้ายไม่เคยมีอยู่จริง ราวกับหมอกควัน
เลยอยากจะย้ำ
ให้ตัวเองตระหนักอย่างแท้จริง ว่านี่มิใช่ความฝัน
“...”
“แต่ต่อให้คุณไม่ยินดี เราไม่ถือสา”
จบประโยคนี้ซินเธียถึงสามารถลากสายตากลับไปได้อีกครั้ง เนิ่นนานกับการสอดประสานกันโดยไร้ซึ่งคำตอบใดใด จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังมาจากคนข้างกาย
“ขยับมาใกล้ๆ สิ”
ช่างเป็นคำตอบที่ทำเอาคนเฝ้ารอไปไม่เป็น แต่เพราะนัยน์ตาอำพันคู่นั้นซึ่งกำลังจับจ้องมาอย่างไม่วางตาเด็กหนุ่มถึงได้จำใจขยับกายเข้าไปอีกนิด แต่ระยะห่างนั้นก็คงยังไม่อาจทำให้อีกฝ่ายพอใจได้เขาถึงได้พูดซ้ำอีกหนึ่งครั้ง ผิดวิสัยคนไม่ชอบพูดซ้ำซาก
“มาใกล้ๆ”
แล้วพอขยับเข้าไปจนไหล่แทบจะชนกันอยู่แล้วซินเธียถึงได้รู้ว่าคนตัวโตเรียกเข้าไปหาด้วยจุดประสงค์ต้องการโอบกอดร่างตนเข้าสู่อ้อมแขน ใบหน้าด้านหนึ่งของเด็กหนุ่มซบอยู่บนซอกคออุ่นๆ เต็มไปด้วยกลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าเฉพาะตัวพาให้รู้สึกจิตใจสงบขึ้นหลายเท่าตัว
“คุณ...”
“ลองถามอีกรอบสิ”
“ครับ?” คราวนี้เงยหน้าขึ้นมองด้วยความฉงน แต่เพราะระยะอันชิดใกล้จนเรียกว่าแนบสนิทไปทั้งตัวนั้นทำให้ภาพตรงหน้าไม่สามารถมองได้ชัดเจน เห็นเพียงปลายคางของอีกฝ่ายเท่านั้น
แต่ถึงจะไม่เข้าใจอย่างไรซินเธียก็รีบเอ่ยคำถามแรกซ้ำอีกครั้งด้วยทราบดีว่าอัลฟ่าผู้นี้ไม่ได้มีความอดทนมากพอจะรอให้เขามัวแต่อมพะนำ
“คุณยินดีกับเด็กคนนี้จริงๆ ใช่ไหมครับ”
“ยินดีสิ” เสียงทุ้มชวนให้ใจระส่ำ พอได้ฟังในระยะประชิดแบบนี้อัตราความรุนแรงต่อหัวใจก็ยิ่งมีมากขึ้น “เขาเป็นลูกของเรานี่ ทำไมจะไม่ยินดีล่ะ” เอื้อนเอ่ยประโยคเรียบง่ายทว่าหนักแน่น
ลูกของเรา คำคำนี้ช่างเป็นคำที่ไพเราะที่สุด
ซินเธียหลับตาลงเพื่อใช้หัวใจในการรับฟัง และบันทึกทุกถ้อยคำเมื่อครู่จดจำเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
ไม่ต้องใช้คำพูดสวยหรูมากมายมาบรรยาย ไม่ได้อยากเห็นท่าทางแสดงยินดีจนออกหน้า แค่คำคำเดียวเท่านั้น แค่นี้หัวใจของเขาก็เป็นสุขมากจนแทบเอ่อล้นแล้ว
“อย่าได้คิดถามแบบนี้อีก เข้าใจหรือเปล่า” แอชลีย์ผละออกไปเล็กน้อยให้เราสามารถมองหน้ากันได้ถนัด มือใหญ่ยกขึ้นลูบไล้เส้นผมของคนในอ้อมแขนเล่น ท่าทางเพลิดเพลิน
แอชลีย์ดูพอใจกับเส้นผมยาวๆ ของซินเธียมาก เด็กหนุ่มสังเกตมาสักพักแล้ว เขามักจะจับมันทุกครั้งยามเมื่อมีโอกาสชิดใกล้กัน
“ซินเธีย”
“ครับ”
“จำสิ่งที่ฉันเคยพูดเอาไว้ในงานแต่งงานของเราได้ไหม” คำถามนี้ซินเธียไม่ได้ตอบออกไป เขารู้ว่ามันไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ แต่เป็นคำกล่าวที่ต้องการเพียงเกริ่นเรื่องราวเท่านั้น เขาจึงเงียบเพื่อรอฟังว่าใจความสำคัญแท้จริงแล้วคือสิ่งใด
“เป็นหนึ่ง ไม่มีสอง”
“จะรักและดูแล ปกป้องหวงแหนตราบชั่วชีวิต”
คำกล่าวนี้ หนึ่งคนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่า หนักแน่นจริงใจ อีกหนึ่งเอ่ยทวนในใจราวกับต้องการสลักย้ำมิให้ลบเลือน
แอชลีย์โน้มตัวลงมาใกล้ ปลายจมูกโด่งจรดลงบนช่อผมสีจินเจอร์ในมือหนา สูดดมกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์เช่นเดียวกับริมฝีปากประทับลงบนจุดเดียวกัน ยามเมื่อนัยน์ตาสีอำพันเหลือบขึ้นมาสอดประสานกันด้วยแววตาล้ำลึกกักขังถ้อยคำมากมายบีบอัดอยู่ด้านในนั้น เป็นวินาทีเดียวกับที่เส้นผมบนมือค่อยๆ ไล้ผ่านตามแนวแปลายนิ้วถูกปล่อยทิ้งตัวลงตามแรงโน้มถ่วง
ช่วงเวลานั้นเอง ซินเธียเชื่ออย่างหมดใจว่าชายคนนี้จะทำตามคำสัตย์สาบานดังที่เคยกล่าวเอาไว้ไร้ซึ่งคำบิดพลิ้ว
เด็กหนุ่มยืดตัวขึ้นโดยไม่ละสายตาออกจากเจ้าของอ้อมแขน จรดจุมพิตตรงมุมปาก ผะแผ่ว บางเบาดังกลีบบุปผาร่วงลงแตะผืนน้ำ ลอยเคว้งอยู่ในธารากว้างใหญ่ไม่ต่างไปจากความรู้สึกของคนทั้งสองในขณะนี้
การกระทำดังกล่าวนับว่าต้องใช้ความกล้าและแรงใจมหาศาลเลยทีเดียว ไม่บ่อยนักกับการจะแสดงความรู้สึกของตัวเองออกไปผ่านทางภาษากายสำหรับซินเธีย หัวใจของเขาเต้นระรัวราวกับกลองหนังก้องสะท้านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย แต่ไหนเลยใครจะรู้ว่าแรงผลักดันในครั้งนี้ล้วนมาจากความเอ่อล้นภายในใจซึ่งอีกคนเป็นผู้มอบให้ จุดประกายความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่กระทำการดังสามีภรรยาหรือคนรักทั่วไปพึงมีต่อกันในยามปกติ
เมื่อผละออกมาแล้วนอกจากการกระทำของตัวเองก็เห็นจะมีสายตาร้อนแรงของคนตรงหน้าที่ส่งผ่านมาถึงกันราวกับจะแผดเผาให้หลอมละลายอยู่ในอ้อมกอด สองปรางแก้มแดงระเรื่อร้อนฉ่าจำเป็นต้องเบนสายตาออกมาแล้วพึมพำตอบคำถามก่อนหน้านั้นเสียงเบา
“อื้ม เราจะไม่ถามแบบนั้นอีก”
ด้วยเพราะการจัดการที่ดีของคุณพ่อบ้าน นัดหมายแบบส่วนตัวของคุณหมอซึ่งกำลังจะกลายมาเป็นแพทย์ผู้ดูแลประจำตัวในระยะเวลาตลอดการตั้งครรภ์ของซินเธียดำเนินไปอย่างราบรื่น เมื่อเดินทางมาถึงก็สามารถเข้าพบเพื่อตรวจได้ทันทีไม่ต้องเสียเวลารอ
“สวัสดีค่ะ”
เมื่อเข้ามาภายในห้องตรวจก็พบกับแพทย์หญิงหน้าตานุ่มนวลผู้หนึ่งอายุดูแล้วไม่เกิน 35 ปีกล่าวทักทายยิ้มแย้ม เธอเป็นอัลฟ่าผู้มากความสามารถและมากความสามารถจนได้กลายมาเป็นแพทย์เฉพาะทางตั้งแต่อายุยังน้อย
การตรวจช่วงแรกคือการสอบถามอาการทั่วไปและตรวจร่างกายเบื้องต้นอย่างที่คุณหมอเจอร์ราร์ดเคยทำ และผลก็ออกมาตามที่เขาเคยประมาณเอาไว้คือครรภ์นี้มีอายุได้ 10 สัปดาห์แล้ว แต่ครั้งนี้เพิ่มการตรวจผลเลือกรวมถึงปัสสาวะเข้ามาด้วย ซินเธียบอกเล่าอาการและความเปลี่ยนแปลงของตัวเองในตลอดช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้ อาเจียนอย่างหนัก หน้ามืดอ่อนเพลียง่าย และการนอนเยอะจนผิดปกติของตัวเอง
“เวลาการนอนของเขาเดี๋ยวนี้ราวๆ 10 -12 ชั่วโมงเลยครับ” แอชลีย์ช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติม เพราะอาการบางอย่างตัวคุณแม่เองคงจะสังเกตไม่เห็น “ช่วงก่อนทานมากกว่าปกติ แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นทานน้อยลงเพราะมีหลายอย่างที่ไม่ค่อยถูกปาก”
“ไม่เชิงไม่ถูกปาก แต่เรารู้สึกว่าทานแล้วมันเลี่ยนจนอยากคลื่นไส้” ข้อนี้ซินเธียเถียงผู้เป็นสามี “อาหารบางอย่างก็มีกลิ่นเหม็น”
อาการเหม็นอาหารนับเป็นเรื่องปกติแต่โชคดีที่ซินเธียไม่ค่อยประสบในด้านนี้นัก ส่วนใหญ่จะเป็นอาการเลี่ยนมากกว่าทานเลี่ยนจนทานต่อไม่ไหว
“เรื่องการนอนมากสำหรับคุณแม่นับเป็นเรื่องปกติค่ะ ช่วงเวลาประมาณนี้นับว่าดีมากแล้ว ช่วงนี้ต้องพักผ่อนให้มากหน่อยนะคะ ลดกิจกรรมที่ใช้แรงหรือสุ่มเสี่ยงกรกระทบกระเทือนเข้าไว้” คุณหมอเธอว่าแบบนั้น
“เรื่องอาการเป็นเรื่องสุดวิสัยค่ะ มันอาจจะลำบากไปสักหน่อยแต่หมอแนะนำให้คุณแม่พยายามทานมากๆ นะคะช่วงนี้เขากำลังต้องการสารอาหารจำนวนมากเพื่อเจริญเติบโต” ตรงประโยคเธอกำหลังหมายถึงเด็กน้อยในครรภ์ของคนไข้ “ระวังอย่าให้ท้องว่าง หมอแนะนำว่าให้กินทีละน้อยแต่กินเรื่อยๆ ก็ได้ค่ะ”
หลังจากนั้นเธอก็เอ่ยแนะนำอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กและคุณแม่ออกมาอีกหลายอย่าง อะไรที่ควร อะไรที่ไม่ควรล้วนถูกกล่าวออกมาหมด ซินเธียไม่ได้ฟังเพื่อปล่อยผ่านหูไปเรื่อยแต่เด็กหนุ่มเตรียมตัวสำหรับวันนี้มาอย่างดีโดยการพกสมุดประจำตัวที่ใช้บันทึกอยู่บ่อยๆ นำมาจดข้อมูลและข้อแนะนำต่างๆ ตามที่คุณหมอบอกกล่าวมาด้วยโดยไม่ปล่อยให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
“คร่าวๆ ก็ประมาณนี้นะคะ ผลเลือดก็ปกติดี ร่างกายท่านชายแข็งแรงไม่มีปัญหาค่ะ เอาล่ะเรามาดูเจ้าตัวน้อยกันดีกว่า”
ซินเธียถูกเชิญให้ไปนอนบนเตียงสำหรับตรวจ ข้างๆ มีเครื่องมือหน้าตาประหลาดตั้งอยู่สร้างทั้งความตื่นเต้นทั้งความกังวลให้กับว่าที่คุณแม่ไม่น้อยจนมือเย็นไปหมด หลังเอนตัวนอนราบลงไปคุณหมอก็กำลังจัดเตรียมเครื่องมือเพื่อทำการอัลตร้าซาวด์ เด็กหนุ่มหันไปหาคนตัวสูงซึ่งตามมายืนอยู่ข้างเตียงไม่ห่างพอได้เห็นแบบนั้นแล้วความกังวลก็ลดลงหลายส่วน
“ขออนุญาตนะคะ” พยาบาลผู้ช่วยกล่าวขออนุญาตด้วยความเกรงใจกับสายตาเคร่งขรึมของอัลฟ่าอีกคนซึ่งยืนอยู่อีกฝั่งของเตียงก่อนจะเลิกชายเสื้อของท่านชายขึ้นจนโชว์ผิวเนื้อเนียนสีน้ำผึ้งที่ขณะนี้หน้าท้องเริ่มนูนขึ้นแล้ว
“พอเปิดแบบนี้เห็นค่อนข้างชัดเลยนะคะเนี่ย” พยาบาลกล่าวขณะทาเจลลงไปบนหน้าท้อง ขนาดประมาณนี้นับว่าใหญ่กว่าอายุครรภ์จริงประมาณหนึ่ง
สัมผัสแรกของความเย็นทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย แต่พอชินแล้วก็กลับมาเป็นปกติ คุณหมอใช้เครื่องมือวนรอบผิวหน้าท้องสายตาจับจ้องไปบนเจอเล็กตรงหน้า พอมองตามแล้วทั้งสองสามีภรรยาก็รู้สึกสับสนเนื่องจากมองภาพเหล่านั้นไม่ออกเลยสักนิด เห็นเพียงแต่สีดำๆ เทาๆ เต็มไปหมด
“โอ้...” คุณหมอส่งเสียงออกมาคำหนึ่งแล้วพิจารณาภาพในจอเพื่อความแน่ใจก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “ดูเหมือนจะมีสองคนนะคะเนี่ย” แล้วรอยยิ้มก็กว้างมากขึ้นขณะชี้ภาพเพื่ออธิบายส่วนต่างๆ ของทารกในครรภ์
“เห็นไหมคะ ตรงนี้มีหนึ่งคนส่วนตรงนี้ก็มีอีกหนึ่งคนกำลังนอนกลับหัวอยู่...”
“ตรงนี้เป็นถุงน้ำคร่ำค่ะ ลองดูตรงสีขาวตรงนี้นะคะ คือตัวของเด็กๆ จุดกระพริบๆ ตรงนี้คือหัวใจ”
เธออธิบายอีกหลายอย่างแต่คำพูดเหล่านั้นแทบไม่เข้าหัวของซินเธียอีกต่อไปแล้ว ดูเหมือนสมองของเด็กหนุ่มจะเริ่มหยุดทำงานไปตั้งแต่ตอนได้ยินคุณหมอบอกว่ามีเด็กตัวเล็กๆ สองคนอาศัยอยู่ในตัวของตน
“ลูกๆ ตัวเล็กมากเลย” ซินเธียกำมือเอาไว้ตรงปากขณะดวงตาจังจ้องไปยังจอภาพเบื้อหน้า ถึงจะดูไม่ค่อยออกแต่แค่นี้ก็รู้สึกว่าหัวใจพองโตมากพอแล้ว
เด็กๆ ตอนนี้อาจเทียบได้กับองุ่นแดงลูกโตสองผลคุณหมอพูดเรื่องขนาดตัวทั้งสองคนว่ามีขนาดกี่เซนติเมตร และก็อีกหลายๆ อย่าง แต่ซินเธียคิดว่าตัวเองไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้อีกแล้วจนกระทั่งเขาได้ยินเสียงหัวใจของเด็กทั้งสองคนเป็นครั้งแรก
เสียงหัวใจเต้นระรัวมากแยกไม่ค่อยออกเลยว่านี่คือเสียงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นอย่างรุนแรง หรือเสียงหัวใจของลูกกันแน่ ยิ่งได้ฟังหยาดน้ำจากดวงตาทั้งสองข้างก็ยิ่งหลั่งริน
ไพเราะอะไรเช่นนี้
“เด็กๆ แข็งแรงดีนะคะ หัวใจของคนแรกเต้นประมาณ 171 ครั้ง/นาที ส่วนอีกคน 173 ถือว่าปกติดีทั้งคู่ค่ะสำหรับ 10 สัปดาห์”
“เสียงหัวใจพวกเขาเต้นแรงมากเลยนะครับ”
“สำหรับอายุครรภ์ประมาณนี้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติค่ะ อัตราการเต้นของหัวใจเฉลี่ยจะอยู่ที่ 175”
“อ่า... ” ซินเธียยังคงจับจ้องหน้าจอไม่ยอมละห่างแม้จะกำลังคุยกับคุณหมออยู่ก็ตาม น่าแปลกทั้งที่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เราได้รับรู้ถึงการมีตัวตนของพวกเขาแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นความรู้สึกรัก ผูกพันกลับก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
เป็นความรู้สึกไร้ซึ่งคำอธิบาย ไร้ซึ่งเหตุผล
“สำหรับครรภ์แฝดการดูแลอาจต้องละเอียดอ่อนกว่าครรภ์ปกติหน่อยนะคะ อาหารที่ทานก็ต้องเพิ่มปริมาณคุณแม่ต้องพยายามทานให้มากๆ เพื่อให้เพียงพอสำหรับเด็กสองคน” แพทย์หญิงอธิบาย
“เพราะแบบนี้หรือเปล่า เราถึงได้แพ้ท้องมาก” ซินเธียเอ่ยถึงข้อสงสัยออกไปอย่างไม่ค่อยแน่ใจ ช่วงที่ผ่านมาเด็กหนุ่มลำบากมากจริงๆ กับอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรง
“มีส่วนค่ะ อาการแพ้ท้องมีสาเหตุมาจากที่ ฮอร์โมน HCG ซึ่งมีค่อนข้างสูงอยู่แล้วพอยิ่งเป็นแฝดปริมาณก็จะยิ่งมากขึ้นส่งผลต่ออาการแพ้ค่ะ”
“แบบนี้นี่เอง เข้าใจแล้วครับ”
เขาพยักหน้ารับและฟังคำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับการดูแลตัวในครรภ์แฝดนี้ในระหว่างนั้นก็รอให้คุณหมอเช็ดทำความสะอาดเจลบนผิวท้องไปด้วย
“ขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้งนะคะ คุณพ่อคุณแม่ทั้งสอง” หญิงสาวระบายรอยยิ้มยินดีจากใจจริงให้กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มจากซินเธียกลับคืนไป เขากำลังจะพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง อีกเดี๋ยวต้องออกไปรับยาบำรุงหลังจากตรวจเสร็จ ทว่าก็ต้องชะงักเพราะคนตัวสูงที่ยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน
“แอชลีย์?”
ซินเธียเอ่ยเรียกสามีเบาๆ แสดงสีหน้าประหลาดใจแต่ก็เหมือนอีกคนไม่ได้ยินกันเสียอย่างนั้นเขาเลยเอื้อมมือไปจับแขนอีกคนเพื่อสะกิดเรียก
“คุณแอชลีย์”
“หื้ม” คนที่คล้ายพึ่งได้สติรีบก้มลงมองตามทิศทางของเสียงหัวคิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม ใบหน้ายังคงมีแววสับสนอยู่หลายส่วนก่อนหันไปมองสลับระหว่างจอภาพที คุณหมอที และสุดท้ายก็ภรรยาตัวน้อยที่นั่งจับต้นแขนตัวเองอยู่
“เสร็จแล้วครับ เราไปรับยากันเถอะ”
“อ้อ... อืม ไปสิ” ชายหนุ่มช่วยประคองคนบนเตียงให้ค่อยๆ ขยับลงมายืนกับพื้นจนกระทั่งตอนหันไปลากับคุณหมอสองแขนที่ช่วยโอบประคองกันก็ยังไม่ยอมผละจากไปทำเอาคนมองอย่างซินเธียแอบขำกับภาพนั้นไม่น้อย
ก็ตอนที่เรียกน่ะ คุณพ่อเขาเอาแต่จ้องภาพบนจอไม่แม้แต่กระพริบตาเลยน่ะสิ
TBC