ม่านไหมลายพยัคฆ์
บทที่ 9
เฉินหย่งหนานเรียกรถลากมาสองคัน คันหนึ่งสำหรับเขาและฟางซินผู้เป็นภรรยากับอีกคันหนึ่งสำหรับเหวินเป่าที่อยู่ด้านหลัง
ไม่ไกลกันนัก ภาพของเด็กหนุ่มในชุดเสื้อและกางเกงสีขาวบอบบางนั่งไหล่ลู่คอตกพร้อมกับใบหน้าเศร้าสร้อยนั้นทำให้หย่งหนานนึก
เป็นห่วงอยู่ไม่น้อยจนต้องคอยหันไปมองเป็นระยะ
“พี่รู้จักนางเอกชิงอี่ของครูหยางด้วยหรือคะ”
ฟางซินเอ่ยถามอย่างสงสัยขณะรถลากพาพวกเขากลับบ้าน หย่งหนานพยักหน้าพร้อมกับเล่าให้ภรรยาฟังถึงประวัติอันแสน
ขมขื่นของเด็กน้อยเมื่อแปดปีที่แล้ว
“ฉันนำเหวินเป่าไปฝากไว้ที่คณะงิ้วของครูหยางเพราะนึกไม่ออกว่าที่ไหนจะรับเลี้ยงเด็กในวัยนั้นได้ และเพราะสงครามทำให้
ฉันลืมเลือนเหวินเป่าไปสนิท นั่นก็เป็นความผิดของฉันเอง”
หย่งหนานถอนหายใจ เขานึกขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เขามีความคิดอยากจะพาฟางซินไปเปิดหูเปิดตาจนกระทั่งได้ช่วย
เหวินเป่าไว้อีกครั้ง มิเช่นนั้นหย่งหนานก็ไม่กล้าจะคาดเดาเลยว่าชีวิตของเหวินเป่าจะเลวร้ายไปกว่าในอดีตขนาดไหน
“ชีวิตของเด็กคนนั้นช่างน่าเห็นใจ แต่น้องคิดว่าพี่ไม่ควรโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ลืมนึกถึงเขา เป็นเพราะพี่กำลัง
ทำงานเพื่อชาติจนไม่อาจมุ่งสู่ใครเพียงคนใดคนหนึ่ง”
ฟางซินเอ่ยปลอบใจเมื่อเห็นสีหน้าสลดของสามี เธอยกมือขึ้นแตะไหล่และยิ้มให้อย่างเข้าใจ
“ตอนนี้ฟ้าก็ได้กำหนดให้พี่มาพบและช่วยเหลือเหวินเป่าอีกครั้งก็นับว่าเป็นวาสนา”
หย่งหนานสบตากับภรรยาด้วยความพึงใจอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าที่มาของชีวิตคู่จะเกิดจากความจำเป็นในหน้าที่ของชาติตระกูล
แต่ฟางซินก็ทำให้เขารู้สึกถึงความโชคดีที่ได้สตรีผู้มีสติปัญญาและจิตใจอันงดงามมาเคียงคู่
“หากฉันจะขอเลี้ยงดูเหวินเป่าตามที่เคยสัญญาไว้กับเขาเมื่อยามเด็กเธอจะว่ากระไรหรือไม่”
ผู้เป็นภรรยาส่ายหน้าพร้อมส่งยิ้มมาให้
“น้องจะว่ากระไรเล่าคะ บ้านเรือนของเราก็กว้างขวางจนน้องเหงา แค่เลี้ยงดูคนเพิ่มอีกสักคนไม่เห็นจะเป็นเรื่องเดือดร้อนอัน
ใด ดีเสียอีกน้องจะได้ฟังเพลงงิ้วเพราะๆทุกวันเมื่อพี่ไม่อยู่บ้าน”
รถลากจอดสนิทอยู่หน้ารั้วบ้านกว้างขวางปกปิดมิดชิดจากสายตาผู้คนภายนอกและมีทหารอารักขาอย่างเข้มแข็งทำให้เหวิน
เป่าถึงกับตัวสั่นเมื่อลงมาจากรถลาก หนุ่มน้อยกวาดสายตามองด้วยความตื่นตาเมื่อรู้ว่าตนเองกำลังอยู่หน้าบ้านของนายกรัฐมนตรีเฉินจิ้ง
เหอและหลานชายของเขา ภาพที่หย่งหนานยืนเคียงคู่อยู่กับภรรยาเมื่อรถลากมาถึงก่อนทำให้เหวินเป่าอดใจแกว่งไม่ได้ เขาไม่รู้เลยว่า
ชะตากรรมต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร
“โถ ตัวสั่นเป็นลูกนกเชียว”
ฟางซินเอ่ยอย่างเวทนา หญิงสาวก้าวเข้ามาและแตะไหล่เหวินเป่าอย่างอ่อนโยน
“เข้าไปในบ้านก่อนเถิดแล้วค่อยพูดจา”
เหวินเป่านึกเคืองตนเองที่วันนี้เขาเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อตัว ดวงตาเรียวหวานกลอกไปมาอย่างสับสนจนหย่งหนานต้องพยัก
หน้าให้ สายตาของหย่งหนานทำให้เหวินเป่าอุ่นใจขึ้นมาก
“มาเถอะเหวินเป่า เข้ามาในบ้านของเรา”
คำพูดของหย่งหนานเรียกความตื้นตันจนเอ่อท้นให้กับหัวใจดวงน้อย เหวินเป่าก้าวเดินตามแผ่นหลังกว้างที่เคียงคู่ไปพร้อม
ภรรยาอย่างไม่อิดออดอีกต่อไป เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าอนาคตจะเป็นเช่นไรขอเพียงแค่ตอนนี้ปลอดภัยอยู่ในความดูแลของชายชาติ
ทหารตรงหน้าแม้ว่าหัวใจของเหวินเป่าจะเจ็บแปลบอยู่บ้างเพราะสตรีผู้นั้น
“นั่งก่อนเถิด”
ฟางซินชี้ชวนให้เหวินเป่านั่งลงที่ชุดรับแขกเมื่อเดินมาถึงบ้านหลังเล็กที่สร้างแยกจากบ้านหลังใหญ่เยื้องอยู่ด้านข้าง แม้จะมี
ขนาดเล็กกว่าตัวบ้านที่เหวินเป่าเดินผ่านมาหากแต่มันก็ช่างใหญ่โตสำหรับเขา เหวินเป่านั่งบนเก้าอี้กลางโถงกว้างอย่างตื่นตาตื่นใจโดย
มีฟางซินยิ้มอย่างเอ็นดู
“ดูสิ น่าเอ็นดูราวกับลูกกวางหลงป่า ไม่ต้องหวาดกลัวไปหรอกเหวินเป่าที่นี่ปลอดภัยแน่นอน”
ฟางซินเอ่ยเรียกหญิงรับใช้และออกคำสั่งให้นำผ้าชุบน้ำมาทำความสะอาดใบหน้าของเหวินเป่าที่เลอะไปด้วยเครื่องสำอาง
และคราบฝุ่นคราบน้ำตา ระหว่างนั้นหย่งหนานนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เงียบๆ ช่วงนี้กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นเริ่มมีความระส่ำระสายเพราะฝั่ง
สัมพันธมิตรกำลังโจมตีอย่างหนักทั้งที่เกาะญี่ปุ่นและตามประเทศต่างๆที่ญี่ปุ่นบุกไปยึดครองเป็นฐานทัพ ทหารกองทัพญี่ปุ่นสูญเสีย
กำลังพลและประชากรเป็นจำนวนมากแต่รัฐบาลญี่ปุ่นก็ยังยืนกรานในสมรภูมิรบอย่างเหนียวแน่น
“เสร็จแล้วเหวินเป่า อุ๊ยตาย นี่เป็นผู้ชายแท้ๆทำไมถึงงดงามเช่นนี้นะ”
เสียงอุทานของฟางซินเรียกความสนใจของหย่งหนานจากหนังสือพิมพ์ในมือได้ เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มที่ใบหน้า
ปราศจากเครื่องสำอางของงิ้วเหลือแต่เพียงหน้านวลใส พลันหย่งหนานก็ถึงกับชะงักงันเมื่อแรกเห็น
กรอบหน้าเรียวได้รูป ผิวพรรณขาวนวลดูต่างไปจากชาวจีนทั่วไปอยู่บ้าง แต่ที่เด่นชัดคือเครื่องหน้าสมส่วนเหมาะเจาะราวกับ
จิตรกรฝีมือเยี่ยมปั้นแต่งออกมา คิ้วของเหวินเป่าโก่งโค้งรับกับดวงตาเรียวนัยน์ตาดำขลับ จมูกโด่งคมเป็นสันทำมุมกับริมฝีปากสีแดงระ
เรื่อโดยธรรมชาติ ความลงตัวนั้นทำให้หย่งหนานจ้องมองอย่างเผลอไผลในขณะที่เจ้าตัวเหวินเป่าได้แต่ก้มหน้างุดคางแทบจะชิดอกจน
หย่งหนานนึกอยากจะตรงเข้าไปเชยคางมนนั้นให้เงยขึ้นมาให้เขาได้จ้องมองเสียให้หนำใจ
“เอ่อ...”
เหวินเป่าหน้าร้อนผ่าวจนแก้มแดงซ่าน คำชมมากมายไม่หยุดหย่อนของฟางซินยังไม่เทียบไม่ได้กับตาคมที่จ้องมองราวกับ
พยัคฆ์หนุ่มแม้ว่าหย่งหนานจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เหวินเป่านึกอยากจะละลายหายไปต่อหน้าสายตานั้นนัก เขานึก
ขอบคุณที่ฟางซินหันไปพูดคุยกับหย่งหนานปันความสนใจจากชายหนุ่มไปได้บ้าง
“น้องชอบใจเด็กคนนี้เหลือเกินค่ะ”
ฟางซินมองหย่งหนานราวกับเป็นของเล่นถูกใจ
“เหวินเป่าทำให้น้องคิดถึงน้องชายที่ไม่ได้พบกันมานานแล้ว หากพี่ไม่ว่าน้องจะขอดูแลเหวินเป่าให้เองเมื่อพี่ไปทำงาน น้อง
จะให้เหวินเป่าช่วยดูแลเซียวจงลูกของเราและน้องจะสอนให้เหวินเป่าเรียนหนังสือด้วย พี่จะอนุญาตไหมคะ”
หย่งหนานเผยรอยยิ้มออกมา เขากุมมือฟางซินไว้ในความมีน้ำใจของภรรยา
“ฉันจะขอบคุณมากด้วยซ้ำที่เธอดูแลเหวินเป่าเช่นที่เธอบอก ฟางซิน เธอเป็นภรรยาที่ฉันภูมิใจมากนะ”
แม้จะเจ็บลึกอยู่ในหัวอกแต่เหวินเป่าไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าผู้หญิงตรงหน้าช่างมีจิตใจแสนประเสริฐจนเขามิบังอาจอิจฉา
ความโชคดีที่ฟางซินได้เคียงคู่กับวีรบุรุษของเขา เหวินเป่ามองเห็นแต่ความเหมาะสมคู่ควรโดยแท้จนต้องกดความรันทดไว้ให้ลึกที่สุด
เขาลุกจากเก้าอี้ลงมานั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นและคำนับจนหน้าผากติดพื้นห้อง
“ขอบคุณนายหญิงครับ ผมจะทำทุกอย่างที่นายหญิงสั่ง”
“อย่าเรียกว่านายหญิงเลยเหวินเป่า ฉันเองเห็นเธอเหมือนน้องชายคนหนึ่ง”
ฟางซินลูบไหล่บางที่สะท้านเพราะความตื้นตันด้วยความเมตตาแต่เหวินเป่าส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
“ขอให้ผมได้เรียกว่านายหญิงเถิดครับ บุญคุณของนายหญิงมากเกินกว่าผมจะคิดเป็นอย่างอื่น”
“งั้นก็ตามใจเถอะ อยากเรียกเช่นใดก็แล้วแต่สะดวก”
พูดจบฟางซินก็ไอออกมาชุดใหญ่จนหย่งหนานขยับเข้าไปประคองอย่างเป็นห่วง ตั้งแต่คลอดบุตรคนเดียวให้เขาฟางซินก็
อ่อนแอลงมากจนหย่งหนานเป็นห่วง
“ไอหนักเหลือเกินฟางซิน พรุ่งนี้ให้หมอฝรั่งมาตรวจดีไหม”
“อย่ายุ่งยากเลยค่ะพี่” ฟางซินฝืนยิ้มเมื่ออาการไอทุเลาลงแล้ว
“คืนนี้อากาศเย็นเท่านั้นเองและคงเป็นเพราะออกไปตากน้ำค้างด้วย น้องก็เป็นเช่นนี้จนน่ารำคาญอยู่แล้วขอตัวไปพักผ่อนก็
คงจะดีขึ้น คงต้องรบกวนพี่พาเหวินเป่าไปที่ห้องพักแทนน้องนะคะ เหวินเป่า พักอยู่ที่นี่ให้สบายเถิดนะ ถือเสียว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของ
บ้านนี้”
ฟางซินเอ่ยจบก็สั่งให้สาวใช้ประคองตนก้าวเดินไปยังห้องนอน ทิ้งไว้เพียงหย่งหนานและเหวินเป่าให้นั่งเงียบกันอยู่ในห้อง
โถง ครั้นเมื่อได้อยู่เพียงลำพังกันอย่างแท้จริงเหวินเป่าก็ถึงกับหายใจขัด เขาไม่กล้าสบตาของหย่งหนานเลยจริงๆ
“อากุย”
เสียงนุ่มอย่างไม่เคยใช้กับใครมาก่อนดังขึ้นจนเหวินเป่าสะดุ้งโหยง เขาเหลือบตามองหย่งหนานอย่างกล้าๆกลัวๆจนกระทั่ง
เจ้าของเสียงนุ่มคลี่ยิ้มบางๆเหวินเป่าก็แทบละลายไปกับพื้นห้อง
“ลุกมานั่งด้วยกันตรงนี้เถิด”
“ตะ แต่ว่า นายท่าน”
“มาเถิดน่า อย่ากลัวจนตัวสั่นแบบนี้สิ”
เหวินเป่าลุกขึ้นจากพื้นและก้าวมานั่งบนเก้าอี้ตัวติดกันกับหย่งหนานอย่างขลาดๆ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีอาทรหัวใจของเหวิน
เป่าก็ยิ่งปวดแปลบ
“ฉันขอโทษที่ไม่ได้ไปรับเธอตามที่สัญญาไว้ เธอจะยกโทษให้ฉันได้หรือเปล่า”
หนุ่มน้อยเงยหน้าทันควันด้วยความตกใจ เหวินเป่าส่ายหน้าเร็วๆและรีบพูดละล่ำละลัก
“อย่าโทษว่าเป็นความผิดของนายท่านสิครับ แค่บุญคุณที่ให้ชีวิตผมใหม่ถึงสองครั้งผมก็ไม่รู้จะตอบแทนพระคุณของนาย
ท่านได้หมดหรือเปล่าในชาตินี้”
สีหน้าของเหวินเป่ายิ่งสร้างความเอ็นดูในหัวใจของชายชาติทหารอย่างไม่เคยเกิดกับผู้ใด เขามองใบหน้าตื่นตกใจของเหวิน
เป่าด้วยความยินดีที่หนุ่มน้อยไม่ได้ก้มหน้าก้มตาใส่เขาอีกแล้ว
“ไหนลองเล่าให้ฉันฟังทีสิว่าแปดปีที่เราไม่ได้พบกันเธอผ่านอะไรมาบ้าง”
หย่งหนานถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองจนเหวินเป่าคลายความตื่นเต้น จากนั้นเหวินเป่าก็เล่าฉากชีวิตตั้งแต่หนีความเลวร้าย
จากทหารญี่ปุ่นไปอยู่ในค่ายทหารกลางป่าเกือบหกเดือน ก่อนจะกลับเข้ามาในเมืองและใช้ชีวิตอยู่ในโรงงิ้วเป็นทั้งตัวประกอบและกุลีจน
กระทั่งเมื่อเยี่ยไป๋ซานหนีไปจากคณะงิ้วและเขาต้องขึ้นแสดงแทนเพื่อนรุ่นพี่โดยไม่ทันตั้งตัว
“พี่ไป๋ซานน่าสงสารมาก ผมเข้าใจที่พี่เขาหนีไปแต่ไม่นึกว่าตัวเองจะต้องมารับบทแทน ถ้าวันนี้ฟ้าไม่ส่งนายท่านมาอีกครั้ง
ชีวิตของผมก็คงไม่ต่างอะไรจากพี่ไป๋ซาน”
หยาดน้ำคลออยู่ในหน่วยตางามจนหย่งหนานยิ่งนึกสงสาร เขากล่าวขอบคุณฟ้าอยู่ในใจที่ดลใจให้เขาไปได้ถูกจังหวะ
ใบหน้านวลกลั้นน้ำตาจนชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะดึงไหล่บางนั้นเข้าหาและโอบไว้เพื่อปลอบโยน การกระทำของหย่งหนานที่มีแต่ความ
จริงใจและอบอุ่นทำให้เหวินเปล่ากล้าที่จะซบหน้ากับบ่ากว้างและร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น
มีต่ออีกนิด...