เมา(รัก) 4หลังจากวันนั้น ผมไม่ได้เจอ ‘น้อง’ อีกเลย ทั้งๆที่อยู่โรงเรียนเดียวกันแท้ๆ
ผมพยายามจะลบภาพใบหน้าและรอยยิ้มละมุนตาออกไปจากหัว แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งที่ห้วงคำนึงว่างเปล่า ภาพวันฝนตกกลับคอยวนเวียนอยู่ในหัวเหมือนถูกกดรีเพลอยู่เรื่อยไป
“...เหี้ยภู” เสียงตะโกนข้างหูทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์
“นั่งใจลอยไปถึงดาวอังคารรึยังวะ” ไอ้อาร์มเดินมาทิ้งตัวนั่งทำหน้ากวนส้นอยู่ฝั่งตรงข้าม
“มีอะไรมึง” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ลมเย็นๆที่พัดมาแบบนี้นี่มันน่านอนสุดๆ
“จะมีอะไร วันนี้เจอเชรี่ยพี่มอสห้องหกสวนหลังโรงเรียนไง” จะว่าไปไอ้อาร์มมันทำตัวเหมือนเลขาผมเข้าไปทุกวัน ผิดกันก็แต่เรื่องที่มันคอยเตือนไม่ใช่การเข้าประชุมหรือนัดลูกค้า กลับเป็นนัดมีเรื่องกับชาวบ้าน
“ทำไมอีกวะ คราวที่แล้วกูก็ว่ากูเคลียร์ไปแล้วนะ” ผมเลิกคิ้วถามเชิงแปลกใจ เพราะพึ่งมีเรื่องกันไปเดือนก่อน เรื่องแบบนี้น่าสนุกก็จริง แต่บางครั้งมันก็น่าเบื่อ
“ไอ้พี่มอสไปยุ่งกับเด็กไอ้คี” ไอ้อาร์มหรี่ตาเมื่อพูดถึงชื่อนี้
อัคคี ใจร้อนสมชื่อ กล้าได้กล้าเสีย มุทะลุ แต่สิ่งที่ผมถูกใจและคบหากับรุ่นน้องคนนี้เรื่อยมาคือสัญญาลูกผู้ชายและน้ำใจที่มีให้กันมา
ผมกับไอ้คีเจอกันได้ยังไงหน่ะเหรอ เรื่องมันไม่พ้นเรื่องศักดิ์ศรีและสวนหลังโรงเรียน
“ไอ้ภูมึงมายุ่งกับตาลทำไมวะ” ตรงหน้าผมคือไอ้กรห้องสามที่ตะโกนใส่ผมด้วยความเดือดดาล
“กูไม่ยุ่งกับใครก่อนถ้าเค้าไม่ยอม” ผมได้แต่ตอบออกไปนิ่งๆ มีผู้หญิงมาเชิญชวนในผับ ใครจะปล่อยไป เราตกลงกันแค่คืนเดียวจบ และที่สำคัญตาลบอกกับผมว่าโสด ใครจะไปรู้ว่าตาลคบกับไอ้กรอยู่
“มึงหาว่าตาลยอมนอนกับมึงงั้นเหรอ ตาลไม่ใช่คนใจง่าย มึงอย่ามาหน้าตัวเมียโยนความผิดให้คนอื่น” พูดจบไอ้กรก็พุ่งเข้ามาทันที
“เดี๋ยวพี่” ไอ้กรที่พุ่งเข้ามาและผมที่ตั้งการ์ดรอต่างชะงัก
คนของฝั่งไอ้กรเข้ามาขวางไว้ ดูจากเครื่องแบบแล้วเป็นแค่เด็กม.ต้น
“ไอ้คี มึงห้ามกูทำไมวะ เห็นๆกันอยู่ว่าไอ้ภูมายุ่งกับเมียกู” ไอ้กรต่อว่ารุ่นน้องคนนั้นแล้วสะบัดแขนข้างที่ถูกจับไว้
“ผมว่า พี่โทรให้พี่ตาลมาเคลียร์เถอะ ดูๆไปแล้วเพื่อนพี่คนนี้คงไม่ได้โกหกหรอก” น้ำเสียงนิ่งๆของคนพูดและแววตาที่หรี่ลงคล้ายกำลังวัดใจผมอยู่
ไอ้กรล้วงมือถือออกมาโทรอย่างเสียไม่ได้ จากสายตาที่มันมองมายังคงเคืองผมอยู่มาก
พอตาลมาถึง ไอ้กรรีบจูงมือตาลเข้ามา
“ไง ตาล” ผมทักตาลยิ้มๆ
“ภู” ตาลดูอึ้งๆที่เห็นผม
“ตาลไอ้ภูบอกกรว่ามันไม่ได้ปล้ำตาล มันโกหกใช่มั้ย” ไอ้กรที่เห็นตาลชะงักหน้าซีด เอ่ยถามขึ้นมา ปลายน้ำเสียงที่ผมได้ยินแผ่วลงเหมือนคนหมดแรง
“ตาล เอ่อ...” ตาลได้แต่หลุบตาลง
“ตาล บอกกรสิว่ามันโกหก” ไอ้กรจับไหล่ตาลทั้งสองข้างให้หันไปสบตา
“ปล่าวหรอก ภูไม่ได้โกหก ตาลชอบภูมานานแล้ว” สิ้นเสียงตาล ไอ้กรแทบล้มทั้งยืน แขนทั้งสองข้างตกลงข้างตัว ตามันแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้
“ขอโทษนะตาล” คำพูดของผมทำให้ตาลที่มองมาอย่างรอคอยคำตอบเดินจากไปเงียบๆ ถ้าผมรู้ว่าตาลไม่ได้คิดว่าเราแค่สนุกกัน ผมคงไม่ตอบรับเธอในคืนนั้น
“กร กูขอโทษว่ะ กูไม่รู้ว่า...”
“เฮ้ย กูสิต้องขอโทษ กูน่าจะเชื่อมึงตั้งแต่แรก...โทษทีว่ะภู” ไอ้กรฝืนยิ้ม มันตบบ่าผมเป็นเชิงขอโทษแล้วเดินจากไป
พวกห้องสามพากันทยอยเดินกลับไปเช่นกัน
“น้อง ขอบคุณมากนะ” ผมตะโกนบอกรุ่นน้องคนที่มาห้ามไอ้กร
ไอ้เด็กม.ต้นไม่ตอบอะไร นอกจากใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางข้างซ้ายแตะตรงหัวคิ้วเป็นเชิงตอบรับ
นับจากวันนั้น ผมก็ได้รู้จักรุ่นน้องคนนั้น มันชื่อว่าอัคคี
คุณคงเข้าใจใช่มั้ยครับว่าเราไม่ได้เป็นนักเลง แต่บางครั้งเรื่องมันวิ่งเข้ามาหาโดยที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ การรวมกลุ่มเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องคอยช่วยเหลือกันจึงเป็นเรื่องจำเป็น
“เด็กคนไหนของไอ้คี ได้ข่าวว่ามันพึ่งเลิกกับแฟนไม่ใช่เหรอ” เพราะเมื่อสามวันก่อนผมพึ่งไปนั่งกินเหล้าฉลองเป็นโสดกับมันมา
“ไม่รู้ว่ะ ได้ข่าวว่าคนนี้ใครก็ห้ามแตะ” แปลก เวลาไปเที่ยวผมไม่เห็นมันคอยหึงหวงเด็กในสต็อกคนไหน กระทั่งน้องพราวที่มันบอกว่าเป็นแฟน มันยังเฉยสนิท
“ออดดดดด” เสียงสัญญาณสิ้นสุดคาบสุดท้ายของวันทำให้นักเรียนหลายๆคนเก็บกระเป๋าและพุ่งตัวออกจากห้อง ผมและไอ้อาร์มก็เช่นกัน เราเดินไปสวนหลังโรงเรียนด้วยความรวดเร็ว
“กูไม่ให้ มึงจะทำไม” ผมได้ยินเสียงไอ้คีก่อนจะเห็นหน้ามันซะอีก
“มึงเป็นอะไรกับน้องเค้าวะ มึงมันก็แค่เพื่อน มีสิทธิ์อะไรมาห้ามกู” สิ้นเสียงไอ้พี่มอส มันกระโจนเข้าใส่ไอ้คีที่ยืนอยู่อย่างไม่ทันตั้งตัว
ไอ้คีเลยล้มลง มันตวัดขาเตะ ไอ้พี่มอสเสียหลักนอนหงายกับพื้น คีเตะอัดเข้าที่ท้องไอ้พี่มอสที่คู้ตัวนอนอยู่
เพื่อนไอ้พี่มอสเห็นท่าไม่ดีจะเข้ามาช่วย แต่พวกไอ้กร ไอ้ฟิวและพวกผมขยับเข้าขวาง ทั้งสองฝ่ายเลยได้แต่มองกันนิ่งๆ
“น้ำเป็นของกู ถ้าแค่นี้มึงยังแพ้ ก็อย่าสะเออะมายุ่งกับคนของกูอีก” ไอ้คีปัดฝุ่นกางเกงแล้วเดินตรงมาทางพวกผมที่ยืนอยู่
“ขอบคุณครับพี่” ไอ้คียกมือไหว้ก้มหัวน้อยๆ
“เออ ไม่เป็นไร ดูแลเด็กมึงดีๆแล้วกัน” ไอ้กรโอบบ่าไอ้คีให้เดินไปพร้อมกัน
พวกผมพากันเดินไปตรงฟุตบาทหลังโรงเรียนเพราะหลายคนจอดรถอยู่ตรงนั้น
“ไง จอม ทำไมวันนี้มาช้าวะ” ไอ้อาร์มทักไอ้น้องจอม เพื่อนกลุ่มเดียวกับไอ้คีที่พึ่งขี่มอไซต์มาจอดตรงข้างฟุตบาท
“ไปส่งเพื่อนมาพี่”
“เพื่อนหรือแฟนวะ” ผมถามมันยิ้มๆ
“หึๆ นู่น ลูกไอ้คี” ไอ้น้องจอมหัวเราะน้อยๆพลางพยักเพยิดไปทางไอ้คีที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่
“น้ำ อยากกินอะไร”
“โอเค ล็อคบ้านด้วยนะ คีกลับดึก”
“อืม แล้วจะบอกมันให้”
“จอม น้ำฝากบอกมาว่าพรุ่งนี้เอาข้าวต้มกุ้ง” ไอ้คีวางสายแล้วหันมาบอกไอ้น้องจอมที่พยักหน้ารับ
คนปลายสายคงสำคัญไม่น้อย เท่าที่ได้ยิน คงเป็นเด็กไอคีที่ไอ้พี่มอสมันไปจีบ แต่ช่างเถอะ เพราะคืนนี้เราจะไปตั้งวงที่บ้านไอ้อาร์มกัน
ชีวิตผมเรื่อยๆ เฉื่อยๆจนกระทั่งถึงช่วงกีฬาสี ช่วงนี้เด็กม.ห้าวิ่งวุ่นเตรียมงานกันใหญ่ ผมเองที่เป็นหัวหน้าห้องจับพลัดจับผลูกลายเป็นประธานสีไปซะอย่างนั้น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่เลือกไอ้หน่องห้องแปด
คิดแล้วขี้เกียจ ผมเลยชวนไอ้อาร์มเดินไปรอประชุมเด็กม.สี่ที่ห้องห้า
พอเที่ยงยี่สิบ น้องม.สี่ก็เริ่มทยอยเข้ามาในห้องกันมากขึ้น พวกผมนั่งปรึกษางานกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะคุยกับน้องๆ
ผมพยักหน้าให้กับไอ้น้องจอมกับฟิวที่ยกมือไหว้เมื่อเห็นผม ไม่ยักรู้เหมือนกันว่ามันอยู่สีเดียวกัน ไอ้คีเองก็ยกมือไหว้ผมก่อนจะแตะไหล่คนข้างๆที่หันไปอีกทางให้เดินไปนั่งริมหน้าต่าง
ผมกวาดสายตาเพื่อประมาณจำนวนน้องๆ ไอ้อาร์มที่ก้มมองนาฬิกาสะกิดบอกให้ผมเริ่มประชุม
ผมพูดแนะนำเรื่องกิจกรรมตามที่ได้เตรียมไว้ พอผมพูดจบสายตาผมดันไปสะดุดเข้ากับ ‘น้อง’ คนที่อยู่ในห้วงคำนึงเสมอมา
ความรู้สึกซ่านในอกทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้
‘อยากรู้จัก’ ยิ่งมองผมก็ยิ่งอยากเข้าใกล้
“ภู มึงบ้าป่าววะ จู่ๆก็นั่งยิ้ม”
“อาร์ม กูอยากรู้จักน้องคนนั้นว่ะ” ผมหันไปพูดกับไอ้อาร์มที่หรี่ตามองอย่างจับผิด
“เออ เดี๋ยวกูจัดการให้” ไอ้อาร์มยิ้มมุมปากแล้วผละไป
ผมนั่งมอง ‘น้อง’ ที่กำลังคุยอยู่ในกลุ่มไอ้คี
แปลก ถ้าอยู่กลุ่มเดียวกับไอ้พวกนี้แล้วทำไมไม่เคยเห็น บางทีอาจจะเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน
ขณะที่ ‘น้อง’ กำลังขมวดคิ้วทำหน้าคิด สีหน้าค่อยๆเปลี่ยนเป็นอาการแปลกใจเมื่อไอ้สิน(ซินนี่) เดินเข้าไปกลางวง
ตากลมจ้องมองอย่างตั้งใจ มือที่ยกขึ้นมาปิดปากแต่ดวงตากลับปิดไม่มิดว่าเจ้าตัวกำลังยิ้ม และ‘น้อง’ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อจู่ๆไอ้สินเข้าไปจับมือจับหน้าให้หันซ้ายขวา
สีหน้าสลดชวนให้นึกเอ็นดูเมื่อไอ้สินหันไปพูดกับไอ้คี
และในวันนั้น ผมก็ได้รู้ว่าเจ้าของรอยยิ้มละมุนตาในวันฝนตกชื่อ ‘น้องน้ำ’
ความรู้สึกอุ่นๆที่แผ่ตรงหัวใจกลายเป็นเคว้งคว้างว่างเปล่าเมื่อผมได้รับรู้ว่าเด็กไอ้คีที่ไอ้พี่มอสจีบในวันนั้นคือน้องน้ำ
‘น้อง’ มีเจ้าของแล้ว
ทั้งๆที่รู้อย่างนั้น แต่ใจผมกลับไม่ยอมรับ
“จอม เด็กไอ้คีที่ไอ้พี่มอสจีบคือคนนี้รึป่าว”
“คนนี้แหละพี่ ทำไมเหรอ”
“พึ่งคบกันเหรอวะ ไม่เคยเห็น”
“เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ม.หนึ่งแล้ว อ้อ พูดให้ถูกเป็นลูกไอ้คีมากกว่า” ไอ้น้องจอมพูดแล้วหัวเราะ
“ทำไมวะ”
“พี่ของมันสองคนเป็นเพื่อนสนิทกัน ไอ้น้ำมันดูเด็กๆหน่อยไง ไอ้คีเลยต้องคอยช่วยดู”
“แสดงว่าอยู่กลุ่มเดียวกับพวกมึงตั้งแต่ม.หนึ่ง แล้วทำไมกูไม่เคยเจอ”
“เรื่องแถวสวนหลังโรงเรียนไอ้น้ำมันไม่เข้าไปยุ่งหรอกพี่ ไอ้คีมันก็ห่วง ตัวเล็กแบบนั้น ถ้าเห็นมันต้องเจ็บ ผมก็คงทนไม่ได้”
“แล้วน้องน้ำมีแฟนรึยังวะ”
“มันจะมีได้ไง พี่ไม่เห็นพี่มอสเป็นตัวอย่างเหรอ ใครเข้ามา พ่อมันก็ดักยิงทุกราย”
“ขอบใจว่ะจอม”
อย่างน้อยน้องน้ำก็ยังไม่มีเจ้าของ
เวลาเล่นบาสผมมักจะแกล้งขว้างลูกบาสไปตกตรงทางที่น้องน้ำนั่งอยู่เสมอ
“น้องน้ำ เก็บบอลให้หน่อยครับ” แม้ว่าผมจะจงใจขว้างบอลมาตกตรงนี้บ่อยๆ แต่น้องน้ำกลับไม่เคยเอะใจ น้องวิ่งไปเก็บบอลให้ผมที่ยืนคอยอยู่ทุกครั้ง ผมอยากจะหยุดแววตาที่จ้องมองรอคอยให้ผมรับลูกบอลคืนให้คงอยู่อย่างนั้น อยากให้นัยตาสีน้ำตาลเข้มสะท้อนแค่เพียงภาพของผม
แก้มเนียนถูกผมดึงแก้เขินทุกครั้งไป
ผมไม่สนใจคนที่เข้ามาหา ผมอยากให้คนตรงหน้ารู้ว่าผมแคร์เค้ามากกว่าใครๆ
“เฮ้ย ไอ้พี่ภู อย่าอู้ กลับเข้าสนามมาได้แล้ว”
แต่ผมก็รู้ว่าระหว่างเรามีอุปสรรคกั้นอยู่ตรงกลาง
“พวกมึง น้ำไปเข้าห้องน้ำนานว่ะ กูต้องไปทำฉากต่อ พวกมึงดูของๆตัวเองแล้วกัน” น้องผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับพวกไอ้คีขณะเรากำลังซ้อม
“แป้ง น้ำไปนานรึยังวะ” ไอ้น้องฟิวถามน้องแป้งด้วยท่าทางร้อนรน
“ซักครึ่งชั่วโมงได้แล้วมั้ง” น้องแป้งก้มมองนาฬิกาแล้วเงยหน้าขึ้นมาตอบพวกผมที่ชะงักมองอยู่
สิ้นเสียงน้องแป้ง ไอ้คีวิ่งออกไปทันที ทั้งไอ้น้องจอมและฟิวไปหยิบกระเป๋าเตรียมวิ่งตามไปแต่ผมรั้งมันไว้ก่อน
“ฟิว ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
“น้ำไม่ค่อยสบาย มันเป็นโรคกระเพาะ ไม่รู้ป่านนี้มันเป็นไงบ้าง วันนี้พวกผมขอเลิกก่อนเวลานะพี่” ไอ้น้องฟิวพูดจบก็รีบวิ่งตามพวกเพื่อนมันไป
อกมันหวิวๆ ความรู้สึกกลัวและเป็นห่วงแล่นเข้ามาจับใจ
“อาร์ม กูฝากกระเป๋าด้วย”
ผมรู้ว่าเรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวกับผม แต่ถ้าไม่เห็นกับตาว่า‘น้อง’ไม่เป็นไร ผมคงนอนไม่หลับ
พอผมวิ่งไปถึงห้องน้ำก็เห็นไอ้คีเดินหัวเสียออกมา
“กูหาน้ำไม่เจอ”
“มึงโทรหารึยัง” ไอ้น้องจอมถามพร้อมกับล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา
“โทรแล้ว น้ำไม่รับสายว่ะ”
“เฮ้ย น้ำไม่ได้เอามือถือไปด้วย” ไอ้น้องฟิวค้นกระเป๋าใบสีน้ำเงินที่ผมจำได้ว่าเป็นของน้องน้ำแล้วล้วงมือถือเครื่องหนึ่งออกมากดดู
“พวกมึง ไอ้กุ้งบอกว่าตอนมันล้างแปรงทาสีมันเห็นพราวมาบอกไอ้น้ำว่าพวกมึงมีเรื่องอยู่สวนหลังโรงเรียน” น้องแป้งวิ่งท่าทางกระหืดกระหอบเข้ามาบอกพวกผมที่กำลังจะออกตามหาน้องน้ำ
สิ้นคำน้องแป้งพวกผมก็วิ่งไปทางสวนหลังโรงเรียน
“จะร้องไห้อ้อนวอนกูเหรอ มึงไม่ต้องมาบีบน้ำตา มึงมันมารยาร้อยเล่มเกวียน แย่งพี่คีมาจากพี่พราวไม่พอ ยังจะอ่อยพี่ภูของกูอีก” อารมณ์ผมปะทุขึ้นเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าคือ‘น้อง’ที่กำลังถูกทำร้าย
“พี่จำไม่ได้ว่าเคยเป็นของน้องตั้งแต่เมื่อไหร่นะครับ” ผมจ้องมองคนที่กำลังทำท่าจะต่อยน้องน้ำด้วยสายตาเย็นชา
ผมคงจะปราดเข้าไปช่วยน้องน้ำออกมาถ้าไอ้อาร์มไม่รั้งไว้
“น้ำ” เสียงไอ้คีทิ่วิ่งพรวดออกไปแต่ต้องชะงักเมื่อน้องพราวใช้มีดคัตเตอร์จ่ออยู่ตรงคอน้องน้ำ
“เข้ามาอีกสิคี” ผู้หญิงหน้าตาสะสวยแต่ยิ้มร้ายกาจที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำให้ผมต้องกลั้นหายใจเมื่อเธอกดใบมีดลงตรงผิวเนื้อขาวๆนั้น
“พราวคิดจะทำอะไรหน่ะ วางมีดลงซะ” ไอ้น้องจอมที่เดินไปจับไหล่เพื่อนมันไว้ตะโกนด้วยน้ำเสียงร้อนรน แต่ใจผมคงจะร้อนรนกว่า
“วางให้โง่หน่ะสิ”
สีหน้าที่ปิดไม่มิดว่ารู้สึกเจ็บปวด ทำให้ผมที่กำลังคิดหาทางต้องโพล่งบางอย่างออกไป
“น้องพราวครับ พี่ว่าใจเย็นๆก่อนดีกว่านะครับ มีอะไรก็ค่อยๆพูดจากัน” ผมพูดพร้อมกับค่อยๆเดินไปยืนข้างๆพวกไอ้คีที่อยู่ใกล้กับน้องพราวมากที่สุดในเวลานี้
หน้าของน้องซีดลงเรื่อยๆ ท่าทางที่พยายามประคองสติไม่ให้ล้มลงกับพื้น และริมฝีปากที่เม้มแน่น ยิ่งเห็นผมก็ยิ่งเจ็บ
“พราวปล่อยน้ำเดี๋ยวนี้” เสียงไอ้คีคำรามด้วยความโมโห
“รักมันมากใช่มั้ย งั้นแค่กรีดคอศพคงเละไม่พอ ต้องกรีดหน้ามันก่อนสินะ” น้องพราวพูดแล้วกดใบมีดตรงแก้มของน้อง
ความหึงหวงทำให้คนเราทำได้ถึงขนาดนี้ ผู้หญิงคนนี้คงบ้าไปแล้ว
น้องที่ท่าทางโงนเงนทำท่าจะอาเจียนออกมา
“พราว ใจเย็นๆนะ พราวอยากได้อะไรบอกพี่” ผมรีบเดินไปกั้นตรงกลางระหว่างไอ้คีและน้องพราวที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ ถ้าหากเราแรงกลับ คนที่เจ็บตัวคงไม่พ้นน้องน้ำ
“ดี แบบนี้ค่อยพูดกันง่ายหน่อย” น้องพราวแสดงสีหน้ายินดีเหมือนรอคำนี้มานาน ผมคิดว่าเธอคงต้องการบางอย่าง เพราะสิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือทำยังไงก็ได้ให้เธอปล่อยน้องน้ำให้เร็วที่สุด
“พราวต้องการให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ทำเหมือนว่าเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้น ห้ามใครแพร่งพรายเรื่องนี้เป็นอันขาด และต้องปล่อยพราวไป ห้ามแจ้งความ ห้ามกลับมาลอบกัดหรือยุ่งเกี่ยวกับพราวและเพื่อนๆของพราวที่อยู่ในที่นี้”
“มันชักจะมากไปแล้วนะ พราว” ไอ้คีคำราม แล้วกำมือแน่น ไอ้น้องจอมกับฟิวรีบเข้ามาล็อกตัวมันให้กลับไปยืนข้างหลังผมตามเดิม
ใช่ สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำมันมากไป มากเกินกว่าที่จะให้อภัย
“ทำไม ทำไม่ได้เหรอ” น้องพราวกดมีดลงกับแก้มใส แก้มที่ผมจับอยู่ทุกวัน เลือดที่ไหลซึมออกมากัดกร่อนใจของผมให้แสบร้อนจนแทบทนไม่ไหว
“ได้ แต่พราวต้องปล่อยน้ำก่อน” ในเวลานี้ สิ่งที่น้องพราวต้องการทุกอย่าง ผมจะหามาให้ ถ้าสิ่งนั้นจะทำให้ ‘น้อง’ ปลอดภัย
“ดี งั้นรับปากสิ” รอยยิ้มที่แสยะขึ้นอย่างพึงใจ แต่ในสายตาผมกลับน่ารังเกียจมากขึ้นทุกที
“ได้ พี่สัญญา”
ผมหันไปส่งสายตาคาดคั้นให้ทุกคนตอบตกลง
“กู จะพยายามทำให้ได้ สัญญา” ไอ้น้องจอมพยักหน้าน้อยๆให้ผมก่อนจะรับปาก
.....
“กูจะเอาหูไปนา เอาตาไปไร่แล้วกัน” ผมไม่ทันสังเกตมาก่อนว่าน้องแป้งก็ตามมาด้วย
“พี่รับปาก รีบปล่อยน้องน้ำเถอะครับ” จากสายตาไอ้อาร์ม ทำให้ผมหันไปมอง ภาพน้องที่ทรงตัวไม่อยู่กับอาการพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น ผมเจ็บลึกๆในอกจนต้องขบกรามแน่น
“เออ กูรับปาก ต่อไปนี้กูกับมึงอย่าได้มายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย”
สิ้นเสียงไอ้คี น้องพราวกับพวกหิ้วปีกน้องน้ำผ่านหน้าพวกเราที่ถอยให้เธอผ่านไปแต่โดยดี
“ปล่อย”
ร่างของน้องที่ร่วงลงกับพื้นเหมือนกับภาพช้า
ผมรีบวิ่งเข้าไปดูน้อง แต่คงช้ากว่าไอ้คีที่นั่งกอดน้องไว้แนบอก
“น้ำ น้ำ ได้ยินคีรึปล่าว” ไอ้คีเรียกน้องน้ำพลางเขย่าตัวน้อยๆ แต่ท่าทางน้องคงไม่ได้สติ
“จอมมึงบอกไอ้คีให้อุ้มน้องน้ำตามมา กูจะขับรถพาไปหาหมอ”
คราบเลือดบริเวณแก้มและคอของน้องทำให้ผมลนลานไม่มีสมาธิจะทำอะไรทั้งนั้น รู้ตัวอีกที ผมก็ขับรถมาจอดหน้าบ้านของตัวเอง
“ไอ้พี่ภู ทำไมไม่ขับไปโรงบาลวะ” ไอ้คีถามผมที่กำลังบีบขมับเรียกสติ
“พ่อ แม่กูเป็นหมอ รีบพาน้ำเข้าไปเถอะ”
ไอ้คีรีบเปิดประตูแล้วช้อนตัวน้องน้ำเดินตามผมเข้าไปทางคลินิก คนไข้ที่นั่งรอคิวต่างจ้องมองพวกเราด้วยท่าทางอยากรู้อย่างปิดไม่มิด
“พี่อ้อ ภูขอลัดคิวก่อนได้มั้ยครับ” ผมหยุดถามพี่พยาบาลที่ประจำอยู่ตรงเคาเตอร์
พี่อ้อเอี้ยวตัวมองไอ้คีที่อุ้มน้องน้ำอยู่ทางด้านหลังของผมและเดินผลักประตูบานพับเล็กๆสองบานที่กั้นระหว่างเคาเตอร์และห้องตรวจเข้าไป
“คุณแม่บอกให้พาไปรอในบ้านเลยค่ะ” พี่อ้อบอกผมแล้วผละไปจัดยาตามใบสั่งยาให้กับลูกค้าที่มายืนรอรับ
“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ขอบคุณแล้วเดินนำไอ้คีผ่านตัวคลินิกเข้าไปในบ้าน
ผมให้ไอ้คีวางน้องน้ำบนเตียงในห้องนอนสำหรับแขก
ใบหน้าขาวซีดเหมือนกับกระดาษ คราบเลือดแห้งเกรอะกรัง คราบน้ำตา และรอยช้ำตามตัว ทำให้หัวตาผมรู้สึกอุ่นๆขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ยิ่งมองผมก็ยิ่งร้อนใจจนต้องเดินออกมาตามพ่อกับแม่ที่คลินิก
“ภู พาเพื่อนไปรอแม่ที่ห้องรับแขกใช่มั้ยลูก” ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องตรวจก็เห็นแม่กำลังเตรียมกล่องอุปกรณ์
“ครับ แม่รีบไปดูน้องให้ภูเถอะนะครับ” ผมบอกแม่แล้วฉวยกล่องอุปกรณ์จากมือแม่มาถือไว้
“ใจเย็นๆนะภู ถึงมือแม่แล้ว น้องไม่เป็นอะไรหรอก” แม่ลูบไหล่ผมที่กำลังสั่น
ใช่ มือผมสั่นไปหมด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมกลัว กลัวว่าน้องจะไม่ลืมตา
แม่และพี่พยาบาลไล่พวกผมออกมารอนอกห้อง
“โหย พี่ จะขับกลับบ้านตัวเองทำไมไม่บอกวะ พวกผมขับไปโรงบาลโน่น นี่ ถ้าไอ้จอมไม่โทรหาไอ้คีจะรู้มั้ยเนี่ยว่าอยู่บ้านพี่” ไอ้น้องฟิวบ่นแล้วนั่งลงกับพื้นตรงทางเดินหน้าห้อง
“เออ โทษที กูลืมคิดว่ะ” ผมพึ่งนึกได้ว่าคนอื่นๆคงจะตามมาด้วย ทุกคนที่ตามไปที่สวนหลังโรงเรียนต่างอยู่รอดูอาการน้องน้ำ
“เป็นไงบ้างวะ” ไอ้อาร์มเดินเข้ามายืนพิงพนังถามผมนิ่งๆ
“แม่กูดูให้อยู่”
“พูดแล้วก็แค้นนะมึง ไว้พรุ่งนี้กูไปดักตบมันดีมั้ยเนี่ย” น้องแป้งพูดเสียงสูงด้วยอารมณ์เดือดดาล
“มึงจะสู้แรงเค้าไหวเหรอวะ” ไอ้น้องจอมถามท่าทางระอา
“โอ๊ะ นี่ใครคะ คุณไม่รู้จักน้องแป้งเหรอคะ กูจะไปกลัวไรมัน มึงก็ไปยืนเป็นแบ็คให้กูดิ”
“สาดดด กูนึกว่ามึงจะแน่”
“แน่ไม่แน่ กูก็ขอถีบมึงซักทีเถ๊อะ”
และก่อนที่มวยคู่เอกจะเกิดขึ้น แม่ก็เดินออกมาจากห้อง
“คุณน้า น้ำเป็นยังไงบ้างครับ” ไอ้คีปรี่เข้าไปถามแม่ผมทันที
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกจ้ะ เดี๋ยวไปเอายาที่เคาเตอร์ก็พากลับบ้านได้” รอยยิ้มของแม่ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจเสมอ
ผมขับรถพาน้องน้ำกลับบ้าน โดยมีไอ้คีนั่งอยู่เบาะหลังกับคนป่วย ส่วนคนอื่นๆต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน พวกไอ้น้องจอมกับฟิวจะกลับไปเอาเสื้อผ้าก่อนจะพากันมานอนบ้านน้องน้ำในคืนนี้
ไอ้คีที่นั่งอยู่เบาะหลังคอยบอกทางไปบ้านน้องน้ำให้กับผม
“เลี้ยวซ้ายข้างหน้ารึป่าว”
“ครับ”
“น้ำ ฟื้นแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง” ผมหันขวับทันทีที่ได้ยินว่าน้องฟื้นแล้ว
แต่ผมกลับรู้สึกหน่วงในใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
“น้ำ เป็นอะไร เจ็บตรงไหน บอกคีสิ” เสียงสะอื้นของน้องและแววตาห่วงใยที่ทั้งคู่มีให้กันทำผมจุกจนพูดไม่ออก
“น้ำ อย่าเงียบสิ คีใจไม่ดีเลย พูดกับคีหน่อยได้มั้ย”
“อย่าร้องไห้เลยนะน้ำ ไม่เป็นไรแล้วนะ น้ำปลอดภัยแล้ว คีอยู่ตรงนี้แล้ว คีไม่ให้ใครมาทำอะไรน้ำหรอก”
ผมไม่มั่นใจเลยซักนิดว่าสิ่งที่ไอ้น้องจอมพูดจะเป็นความจริง ในเมื่อท่าทางและแววตาของไอ้คีที่มีให้กับน้องน้ำเป็นแบบเดียวกับผม
“หลังข้างหน้านี้แหละครับ ตรงรั้วสีขาว” เสียงใสเครือเล็กน้อยจากการร้องไห้ รอยยิ้มกับตาโศกสลดคู่นั้นกลับทำให้ผมรู้สึกเศร้ายิ่งกว่าตอนที่ได้ยินเสียงร้องไห้
“น้องน้ำไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ”
“ครับ” จะให้ผมเชื่อได้ยังไงว่าไม่เป็นไร เพราะเจ้าตัวพยักหน้าด้วยท่าทางหงอยๆ
ผมจอดรถตรงลานหน้าบ้านของน้องแล้วหยิบปากกากับกระดาษที่มีอยู่แถวๆคอนโซลรถจดเบอร์โทรตัวเองให้กับคนที่นั่งมองอยู่
“นี่เบอร์พี่ ถ้าเจ็บตรงไหนก็โทรหาพี่ได้นะครับ”
ผมยังไม่กล้าขอเบอร์น้องเค้าเพราะไม่แน่ใจ แต่ผมยังอยากเป็นคนที่น้องนึกถึงเวลามีเรื่องเดือดร้อน
ยิ่งมองสบตา ผมยิ่งถอนสายตาไม่ได้
“ขอบคุณครับ ถ้าไม่ได้พี่ภูพาไปหาหมอน้ำคงแย่” น้องพูดกับผมแล้วยกมือไว้ ผมเลยนึกได้ว่าถุงยาวางอยู่บนเบาะข้างคนขับ
“เรื่องแค่นี้เอง เออ จริงสิ นี่ยาแก้ปวดกับยาทาแผล”
ท่าทางตั้งใจฟังผมอธิบาย ดูจริงจัง ตากลมที่จ้องเป๋งกระพริบปริบๆและคิ้วขมวดน้อยๆเหมือนมีคำถามในใจ
“พี่ภูครับ แล้วค่ารักษากับค่ายาเท่าไหร่เหรอครับ” เจ้าตัวถามไปพลางลนลานล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหากระเป๋าเงิน
“อ๋อ ไม่มีหรอกครับ” ผมยิ้มให้กับท่าทางซื่อๆนั้น
“เอ๋ คลีนิคนี้ไม่ต้องจ่ายตังค์เหรอครับ”
“ไม่ต้องครับ คลินิกพ่อพี่เอง ไม่ต้องจ่ายหรอก” หน้าตางงๆทำให้ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ง่า จะดีเหรอครับ” น้องน้ำก้มมองถุงยาสลับกับมองชื่อที่ปักอยู่ตรงหน้าอกข้างซ้ายบนเสื้อนักเรียนของผม
“ดีสิครับ ไม่ต้องเกรงใจหรอก” ผมรู้สึกเขินจนต้องแกล้งขยี้หัวน้อง
ความรู้สึกพองคับอกต้องแฟ่บลงเมื่อผมต้องกลับมาเผชิญกับโลกของความจริงที่ว่าคนที่อยู่ข้างๆน้องไม่ใช่ผม
“เดี๋ยว คี เอ่อ น้ำอยากยืนส่งพี่ภูก่อน”
“ไม่เป็นไรหรอก ไอ้พี่ภูมันกลับเองได้ ไม่ต้องรอส่งมันหรอก”
“ไปนอนพักเถอะครับน้องน้ำ เดี๋ยวพี่ก็ขับกลับแล้ว”
ผมต้องตัดใจ
“พี่ภูครับ วันนี้ น้ำขอบคุณมากๆเลย ขับรถกลับดีๆนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับน้องน้ำ พี่เต็มใจ”
ผมจะถลำลึกไปมากกว่านี้ไม่ได้
แต่หัวใจไปเร็วกว่าความคิดเสมอ
“เอ่อ น้องน้ำครับ”
“ฝันดีนะครับ”
“เหมือน....” “แต่กูขอให้มึงฝันร้ายโว้ย”
“หึๆ” น่าสมเพชใช่มั้ยล่ะ รักคนมีเจ้าของมันก็สมควรต้องเจ็บ
อิ๋งรู้สึกว่า ความในใจพี่ภูมันเยอะจัง ยิ่งแต่งยิ่งยาว คนอ่านคิดว่าไงบ้างคะ
@ คุณ atblueann ว๊ากกก ใจเย็นๆ วันนี้มาเยอะแล้ว หายคิดถึงกันนะคะ
@ คุณ yeyong ฝากเชียร์พี่ภูอีกตอนนะคะ อิอิ
@ คุณ iamnan หลังๆมาพี่ภูเค้าแอบสบตาหลายครั้งแล้วค่ะ
@ คุณต้นข้าว น้องร่มเหลืองคือน้องน้ำค่ะ เอ่อ มันอ่านแล้วงงๆป่าวคะ อ่านตอนนี้แล้วเคลียร์รึยังเอ่ย
คาเรกเตอร์รักเค้าข้างเดียวของพี่ภูนี่แต่งยากจริงๆ มีอะไรก็แนะนำกันได้นะคะ