**พาพี่นิตที่รักมาส่งค่ะ
(อูวว... กำลังจะพ้นมรสุมสายลับ เหลือแค่งานเก็บนิดๆ)
--------------------------------------------
Out of order. ขออภัยในความไม่สะดวก ตอนที่21
เคยเป็นไหมครับ บางที... เขียนอะไรไปเรื่อยๆ มันจะมีช่วงที่นึกไม่ออก ผมน่ะเป็นบ่อยเลยล่ะ ก็ผมเขียนนิยายนี่นา นักเขียนนิยายไม่ได้นึกเรื่องออกตลอดเวลาหรอก ไม่งั้นจะมีคนทวงต้นฉบับไว้ทำไมล่ะ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้ ไม่ใช่การถูกทวงต้นฉบับ ไม่ใช่ว่าผมคิดนิยายไม่ออก
ผมคิดทางออกให้กับตัวเองไม่ได้ต่างหาก
“โจ...” ผมเรียกชื่อผู้ชายรูปหล่อที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ในสวนของผม อืม.. ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้ทำผิดสัญญาอะไรหรอก เขามาส่งผมที่บ้านตอนเย็นตามสัญญา แถมยังช่วยเก็บล้างกับข้าวบูดๆ บนโต๊ะ ที่พอเปิดประตูบ้านก็ได้กลิ่นทันทีจนสะอาด แล้วก็มายืนรดน้ำต้นไม้ให้ผมอีก เรียกว่าแย่งงานผมทำแทบหมดเลยทีเดียว
“มีอะไรหรือครับ?” เขาหันมาถามผม ผมปั้นหน้าเคร่ง แต่ในหัวยังนึกคำพูดดีๆ ไม่ออก
เอาล่ะ ผมจำได้ว่าเคยตกปากรับคำว่าจะไปเที่ยวอยุธยากับเขา แต่ว่า... มาคิดๆ ดูอีกที... ไปกับเขาสองคน อะไรจะเกิดขึ้นบ้างก็ไม่รู้ เกิดเขาพาผมไปแล้วไม่ยอมเอามาส่งกลับล่ะ? เกิดว่าเขาหาเรื่องค้าง เลือกโรงแรมที่มีแต่เตียงคู่ขึ้นมา แล้วถ้าผมต้องนอนเตียงเดียวกับเขาทั้งคืน เจอสถานการณ์แบบนั้น ผมหมดข้ออ้างแน่นอน... หรือว่านี่เป็นแผนที่สุภาพงษ์วางเอาไว้!
“พี่นิต?” สุภาพงษ์เรียกผม สงสัยเพราะเห็นว่าผมเรียกเขาแล้วก็ยืนอึ้งเอง เดี๋ยวนะ ขอเวลาผมคิดคำพูดสักครู่...
“อยุธยาพรุ่งนี้น่ะ ชวนกั้งไปด้วยสิ”
“?” ผู้ชายหน้าตาระดับเดียวกับพระเอกละครดังหลังข่าวเลิกคิ้วขึ้นหน่อยหนึ่ง “ทำไมล่ะครับ?”
“ก็... ไปเที่ยวกันหลายๆ คนสนุกดี” ผมว่า แล้วรีบสาธยายเหตุผลต่อ “ไปกันสองคน เกิดพี่หลับ แล้วใครจะชวนโจคุยระหว่างทางล่ะ แถม.. ไปกันหลายๆ คน จะได้มีคนช่วยถ่ายรูปด้วย เวลาทานข้าว แย่งกันทานก็อร่อยนะ”
สุภาพงษ์มองผมตาปริบๆ ก่อนจะพูดเสียงอ่อน “พี่นิตไม่อยากไปกับผมเหรอ?”
ผมรีบสั่นศีรษะ “เปล่า พี่แค่คิดว่าไปกันหลายคนสนุกดี อืม... พี่โทรชวนภูมิด้วยดีกว่า”
ผู้ชายตัวใหญ่ที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ ชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะยอมพยักหน้า “ก็ได้ครับ”
ผมนึกดีใจ เลยรีบพูดอีก “งั้นเดี๋ยวพี่โทรชวนภูมิ โจโทรชวนกั้งนะ แล้วเราค่อยออกไปทานมื้อเย็นกัน พี่เลี้ยงเอง”
สุภาพงษ์ยิ้มนิดๆ จากนั้นก็พยักหน้า ผมเลยรีบแจ้นเข้าไปโทรศัทพ์ในบ้านทันที
“ภูมิ นี่เราเอง พนิตนะ”
“อ้าว.. พนิต มีอะไรน่ะ” เพื่อนผมกรอกเสียงตอบกลับมา อันที่จริงผมชวนคนอื่นก็ได้ แต่เกรงใจสุภาพงษ์ เขาไม่รู้จักเพื่อนคนอื่นของผม แต่เขารู้จักภูมิวัฒน์ แถมยังเคยต่อยหมอนี่อีกด้วย นี่ถ้าไปด้วยกันเขาคงเกรงใจบ้าง ไม่น่าทำผิดซ้ำซากหรอก
“พรุ่งนี้ภูมิว่างรึเปล่า?”
ภูมิวัฒน์นิ่งไปพักหนึ่ง แล้วถามกลับมา “มีอะไรล่ะ?”
“เราจะชวนไปเที่ยวอยุธยา”
คราวนี้เขาตอบกลับมาเร็วทันใจ “ว่าง พนิตจะให้เราไปรับกี่โมง?”
“อืม...” คราวนี้ถึงคิวผมต้องนึกบ้าง “เจ็ดโมงมั้ง รถภูมิกับรถโจ รถใครนั่งได้เยอะกว่ากันน่ะ”
“หา?!” ภูมิวัฒน์ร้องเสียงแปลก “เดี๋ยวนะพนิต ไปกับใครน่ะ กับน้องโจเหรอ?”
“อืม.. ไปกันหลายๆ คนไง” ผมตอบ “เรากับภูมิก็ไม่ได้เที่ยวด้วยกันมานานแล้วนะ”
“...................”
“ภูมิ?”
“พนิต... เลือกมา จะไปกับน้องโจหรือไปกับเรา”
ผมอึ้งไปหน่อยหนึ่ง เพื่อนผมจะมามุกไหนอีกล่ะ “ก็ไปด้วยกันไง เราจะไปกับโจสองคนมันก็ไม่ค่อยดีใช่ไหมล่ะ ภูมิไปด้วยกันสิ”
“..................” เพื่อนผมเงียบไปอีก สักพักก็ครางออกมา “พนิต... ตกลงพนิตปลงใจกับน้องโจจริงๆ รึเปล่าน่ะ ไปเที่ยวกันก็ต้องไปแค่สองคนสิ เราไม่ไปนะ ยกเว้นพนิตจะไปกับเราสองคนเหมือนกัน”
ผมล่ะนึกอยากยกมือตบกะโหลกเพื่อนจริงๆ ถ้าอยู่ใกล้ๆ ผมจัดการไปแล้วนะเนี่ย “แล้วทำไมต้องไปกันสองคนล่ะ?”
ได้ยินเสียงเพื่อนสูดหายใจลึก “พนิต... แฟนกันไปเที่ยวด้วยกัน มันก็ต้องไปแค่สองคนสิ”
“เฮ้ย ยังไม่ใช่แฟนนะ” ผมว่า พลางนึกตกใจ นี่ผมกับสุภาพงษ์ยังไม่ใช่แฟนกันนะ ผมแค่คบหาดูใจกับเขาเฉยๆ
“ไม่ใช่แฟนแล้วเป็นอะไรน่ะ?”
“เป็น............” ผมตอบไม่ออก จะให้ใช้ศัพท์วัยรุ่นก็ดูจะฉาบฉวยไป ผมไม่ได้คบกับเขาเล่นๆ แบบนั้น แต่ก็ยังไม่ตกลงเป็นแฟนเหมือนกัน สุดท้ายผมเลยตอบเขาไปตามตรง “ภูมิ ไปเป็นกันชนให้เราหน่อยนะ เรากลัวโจจะแอบวางแผนทำมิดีมิร้าย”
“...................”
“ไปได้มั้ย?”
“ถ้าเราไป พนิตให้เราจุ๊บทีนะ”
“บ้าเรอะ!” ผมตวาดเพื่อนทางโทรศัพท์ “อายุสี่สิบกว่าเข้าไปแล้วนะ มาจุ๊บอะไรเล่า”
“งั้นไม่ไป”
“เออ ไม่ไปก็ไม่ไป” ผมชักมีน้ำโห จะให้ไปเป็นกันชนให้ ไอ้หมอนี่ดันจะมาชนผมเอง หาคนอื่นก็ได้ แต่พอจะวางโทรศัพท์ เขาก็รีบพูดขึ้นอีก “ล้อเล่น เราไปก็ได้ พรุ่งนี้กี่โมงน่ะ? ไปรถเราได้มั้ย เกรงใจน้องมัน”
นี่ล่ะเพื่อนผม พอทำท่าไม่สนใจ รีบมาง้อเชียว ผมหมั่นไส้ เลยตอกไปดอกหนึ่ง “ไหนว่าจะไปต้องไปกันสองคนไง”
“โธ่... พนิต... อย่างอนนะ... ตกลงจะให้เราไปเป็นกันชนให้อีกไหม?”
“อืมๆ” ผมรีบตอบตกลง เพราะกลัวเขาจะชิ่งหนีไปอีก ภูมิวัฒน์ยิ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่ ไม่สิ เขารู้เส้นผมดีต่างหาก เกิดเล่นตัวมากๆ เดี๋ยวเขาชิ่งหนีไปจริง ผมนี่แหละจะซวย
“งั้น... เจอกันที่ไหน”
“บ้านเราแล้วกัน เดี๋ยวเรื่องรถ เราคุยกับโจอีกที”
“ก็ได้... ไงก็โทรบอกเรานะ”
“อืม” ผมตอบ แล้ววางสาย พอดีกับที่สุภาพงษ์เดินเข้ามาในบ้าน
“พี่ภูมิไปรึเปล่าครับ?”
“ไป” ผมตอบทันที “ภูมิฝากมาถามว่า โจไปรถเขาได้มั้ย?”
“รถพี่ภูมิเก่าแล้วนะ” สุภาพงษ์ออกความเห็น ก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวผมโทรคุยกับพี่เขาอีกทีดีกว่า”
นั่น.... พูดเหมือนรู้จักกันดิบดีเลย เขาแค่เคยคุยกับภูมิวัฒน์ตอนที่มีเรื่องต่อยกันแค่นั้นเองไม่ใช่หรือ?
“แล้วกั้งไปรึเปล่า?”
“ขานั้นชวนอะไรไปหมดล่ะครับ” สุภาพงษ์ตอบผม จากนั้นก็กดโทรศัพท์ “ผมคุยกับพี่ภูมิแป๊บหนึ่งนะครับ พี่นิตจะทานอะไรครับ เลือกร้านเลย เดี๋ยวนั่งรถผมไป”
ผมกำลังจะอ้าปากบอก ว่าจะไปร้านใกล้ๆ นี่แหละ แต่เพราะสุภาพงษ์กดโทรศัพท์ แล้วเดินเลี่ยงไปทางอื่น ผมเลยได้แต่ยืนมองเขาคุยโทรศัพท์ตาปริบๆ อืม... หลังเขากว้างดีจริงๆ ใส่เสื้อเชิ้ต ยกโทรศัพท์แนบหูแบบนี้ เสื้อมันเลยแนบเนื้อเขา อืม.... ทั้งตึงทั้งแน่นขนาดนี้ เห็นแล้วอยากดีดชะมัด คงดังเพี๊ยะๆ เลยนะเนี่ย
ผมมัวแต่มองแผ่นหลังล่ำๆ ของสุภาพงษ์ เลยไม่ได้สนใจว่าเขาพูดอะไรกับภูมิวัฒน์ อันที่จริงผมไม่มีนิสัยแอบฟังใครคุยธุระ และสุภาพงษ์เองก็พูดเบาจนผมขี้เกียจเงี่ยหูฟัง เขาจะคุยอะไรกันก็ช่างเถอะ มีทั้งคุณากร ทั้งภูมิวัฒน์ไปด้วย ก็เหมือนผมมีข้ออ้าง ยังพอจะเอาตัวรอดจากเงื้อมมือสุภาพงษ์ได้แน่ๆ
อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าเขาจะฆ่าจะแกงอะไรผมหรอกนะ แต่ผมยังไม่พร้อม เขาเล่นรุกเอาๆ แบบนี้ ผมก็ต้องหาอะไรมาป้องกันตัวบ้าง...
เขาแค่สามสิบสี่ แต่ผมสี่สิบห้าแล้ว... เขายังอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ผมไม่ใช่แล้วล่ะ...
ขอเวลาผมอีกสักพักก็แล้วกัน
-----------------------------------------
ผมมองรถเก๋งสีขาวของสุภาพงษ์วิ่งหายลับออกไป พลางถอนหายใจเฮือก นึกดีใจที่เขาไม่อ้าปากขอค้างหรืออะไรแบบนั้น ก็แค่มาช่วยผมเก็บบ้าน รดน้ำต้นไม้ ทานข้าว แล้วกลับไปอย่างที่ผมหวัง แต่ไม่รู้สิ ทำไมใจผมมันเกิดรู้สึกหวิวๆ ขึ้นมา สงสัยเพราะอยู่กับเขาหลายวันล่ะมั้ง พอเขาไปแล้วก็เหงาอยู่นิดๆ เหมือนกัน
เอาน่ะ ผมอยู่มาตั้งปูนนี้แล้ว เรื่องเหงาแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมก็ได้พบเขาอยู่ดี
ผมเดินกลับเข้าบ้าน เงยหน้ามองนาฬิกา ยังไม่ดึกเท่าไหร่ แต่ถ้าให้เขียนนิยายตอนนี้สงสัยกว่าผมจะต่อเนื้อหาได้ คงดึก ดังนั้นผมจึงเดินไปเดินมาอยู่รอบสองรอบ แล้วคิดขึ้นว่าน่าจะเตรียมอะไรไปทานรองท้องบนรถพรุ่งนี้ ไปกันตั้งสี่คน ก่อนเจ็ดโมง นอกจากร้านสะดวกซื้อ คงยังไม่มีร้านอาหารอะไรเปิดนักหรอก
คิดดังนั้นแล้วผมเลยไปเปิดตู้เย็น มองไปมองมาก็ได้ความคิดว่าน่าจะทำข้าวผัดไป ทานง่าย ไม่เสียเร็ว หุงข้าวรอไว้คืนนี้ แล้วผัดพรุ่งนี้เช้าน่าจะทัน
ผมเลยจัดแจ้งตั้งหม้อข้าว แล้วรื้อปิ่นโตออกมาจากตู้ อืม... ปกติใช้ใส่ของไปวัด แต่นานๆ เอาไปเที่ยวบ้างก็ได้ เที่ยวครั้งล่าสุดของผมที่ต้องหิ้วปิ่นโตไปด้วยก็คงสมัยเป็นเด็กๆ โน่นล่ะมั้ง
ผมเผลอนึกถึงช่วงเวลาเก่าๆ สมัยผมยังเป็นเด็กชายพนิต รู้สึกวันนั้นจะไปเที่ยวทะเลกัน แม่ทำกับข้าวใส่ปิ่นโต ให้ผมกับน้องช่วยหิ้วนั่นหิ้วนี่ นั่งรถประจำทางกันไป แล้วต้องไปโบกรถคนแถวนั้นอีก ลำบากไม่เหมือนสมัยนี้ แต่ก็สนุกดี
ผมยิ้มกับตัวเอง พลางเลือกวัตถุดิบทำข้าวผัดในตู้เย็นมาไว้รวมกัน พรุ่งนี้จะได้หยิบมาจัดการได้เลย
คราวนี้ผมคงไม่ได้หิ้วปิ่นโตไปทานข้าวริมทะเล สุภาพงษ์อยากไปอยุธยา เขาคงอยากไปดูโบราณสถาน แต่คงจะทานข้าวที่นั่นไม่ได้ อืม.. อาจจะต้องทานบนรถกันก็ได้นะ.. อืม... แล้วสุภาพงษ์ที่เป็นคนขับรถจะทานยังไงล่ะ? ผมต้องป้อนเขารึเปล่า? แต่ไม่เอาดีกว่า คุณากรกับภูมิวัฒน์ก็ไป ขืนผมนั่งป้อนข้าวสุภาพงษ์คงน่าเกลียด ให้เขาจอดข้างทางแล้วทานดีกว่า
ผมเตรียมของทำข้าวผัดแล้วก็ไปอาบน้ำ ตอนหยิบเสื้อนอนออกมา นึกได้ว่าต้องเตรียมเสื้อใส่ไปพรุ่งนี้ด้วย เอาเสื้อแบบไหนดีนะเนี่ย
ผมมองดูในตู้เสื้อผ้า ใจจริงอยากใส่สีเทา แต่พรุ่งนี้ไปกันหลายคน แถมเป็นวันหยุด ผมใส่สีเทามันจะดูหม่นไปรึเปล่านะ งั้นเอาสีน้ำตาล... ก็ดูจะหลวมไปอีก มีสีขาวอยู่ เอาสีขาวดีกว่า เดินตากแดดจะได้ไม่ดูดแสงอาทิตย์ด้วย
เสื้อในตู้ผมมีไม่เยอะ แต่พอเลือกได้แล้วเงยหน้ามองนาฬิกาอีกที ก็สี่ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว ตายล่ะ นี่ผมเลือกเสื้อนานขนาดนั้นเลยเหรอ ผมรีบหยิบมาแขวนไว้หน้าตู้ แล้วลงไปปิดบ้าน ก่อนจะเข้านอน โดยไม่ลืมตั้งนาฬิกาปลุกกันพลาด
ผมอุตส่าห์เตรียมทุกอย่างไว้แล้ว ตื่นไม่ทันก็เสียดายเวลาแย่สิ
-----------------------------------------
ผมลุกขึ้นมาตั้งแต่ตีห้า โดยไม่ต้องรอให้นาฬิกาปลุก ก็บอกแล้วว่ากันพลาด ปกติผมตื่นเช้าอยู่แล้ว เพราะงั้น พอหกโมงกว่าๆ ข้าวผัดสารพัดผักของผมก็อยู่ในปิ่นโตเรียบร้อย แต่ผมยังไม่รีบซ้อนกันแล้วเอาใส่เถาหรอก รอให้เย็นอีกหน่อยก็ได้ ระหว่างรอข้าวผัดเย็น ผมก็เลยไปอาบน้ำ พอเดินออกมาก็ได้ยินคนมาเรียกที่หน้าประตู ผมรีบนุ่งผ้าเช็ดตัวแล้วหยิบเสื้อตัวใหญ่ๆ ใส่ทับ ก่อนจะออกไปดู
“พนิต!”
ฟังเสียงก็รู้แล้วล่ะว่าไม่ใช่สุภาพงษ์ แต่ผมไม่คิดว่าภูมิวัฒน์จะมาเช้าขนาดนี้ ผมเลยต้องออกไปเปิดประตูให้เขาในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวกับเสื้อตัวใหญ่ ภูมิวัฒน์เข้ามาแล้วมองผมขึ้นๆ ลงๆ “อย่าบอกนะว่าพนิตจะใส่ชุดนี้ไป?”
“ตลกไปล่ะภูมิ” ผมว่า “เราเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ภูมิมาเร็วไปนะ นั่งรอก่อนแล้วกัน”
“อืม ก็เช้าๆ รถไม่ติดน่ะ แท็กซี่ขับเร็ว ก็มาถึงก่อน นี่เรามาถึงคนแรกเลยใช่มั้ย?”
“อือ” ผมพยักหน้า “เพราะงั้น ห้ามรื้ออะไรในบ้านเราเล่นนะ เราไปเปลี่ยนเสื้อ เดี๋ยวลงมา”
ภูมิวัฒน์หัวเราะออกมา “พนิตไม่ต้องเปลี่ยนหรอก ไปทั้งชุดแบบนี้แหละ รับรอง น้องโจต้องดีใจแน่ๆ”
“.................” ผมถลึงตามองเพื่อน “ภูมิอยากมีปากไว้กินข้าวอีกมั้ย?”
คราวนี้เพื่อนรูปหล่อของผมรีบยกมือเป็นเชิงขอโทษทันที “ล้อเล่นน่า จะไปเปลี่ยนเสื้อก็ไปเถอะ เดี๋ยวเรานั่งรอรับแขกให้ ใครมาบ้างนะ?”
“โจกับกั้ง”
“อ้อ... น้องนักข่าวจอมตื้อคนนั้นเอง ฮะๆ” เพื่อนผมพูดพลางหัวเราะ ผมอดไม่ได้ต้องถามเขาไป “ทำไม? มีอะไรกับน้องเขาเหรอ?”
“เปล่าๆ” ภูมิวัฒน์สั่นศีรษะ “พนิตไปเปลี่ยนเสื้อเถอะ เอาหล่อๆ นะ อยากเห็นเพื่อนพนิตแต่งหล่อบ้าง”
“เอาแบบไปวัดพระไม่ไล่แล้วกัน” ผมว่า แล้วรีบชิ่งเดินหนีขึ้นไปชั้นบน เพราะกลัวจะเจอภูมิวัฒน์ทิ่มกับหอกปากอีก แต่ก็ไม่วายได้ยินเสียงเขาแซวอยู่ดี
“เอาแบบที่น้องโจเห็นแล้วกระโจนเข้าใส่เลยนะ”
อืม... นี่ถ้าผมยกราวบันไดขว้างใส่เขาได้ ผมทำไปแล้วนะเนี่ย พูดอะไรน่าเกลียดจริงๆ
ผมหยิบเสื้อที่เลือกไว้เมื่อคืนขึ้นมาสวม แล้วไปส่องกระจก อันที่จริงก็ไม่ได้อยากจะหล่ออะไรนักหนาหรอก แค่อยากรู้ว่าสุภาพงษ์เห็นแล้วจะเลี้ยวรถกลับรึเปล่า อืม.... ผมว่ามันก็พอดูได้นะ ผมอาจจะไม่หล่อเท่าภูมิวัฒน์ แต่ไปไหนยังไม่เคยมีใครไล่ ใส่แบบนี้ก็พอจะได้แหละ เสื้อผมก็ไม่ใหญ่ไม่เล็ก คอก็ไม่ลึก แขนสั้นปกติ.. สุภาพงษ์เห็นแล้วคงไม่กระโจนเข้าใส่หรอก... บ้าจริง ภูมิวัฒน์พูดอย่างกับเขาเป็นเสือหรืออะไรงั้นแหละ เขาก็แค่คนมือไวกว่าปกติ.... ชอบจับเนื้อต้องตัวผมเท่านั้นเอง
ก็เพราะว่าเขามือไวนี่แหละ ผมถึงต้องตามตัวภูมิวัฒน์มา ดีนะที่เพื่อนผมแค่ปากไว ไม่ได้มือไว เอามากันท่าคนมือไว้แต่ปากหนักนี่แหละ น่าจะเหมาะกันที่สุด
ขณะที่ผมคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย ก็ได้ยินเสียงภูมิวัฒน์ตะโกนขึ้นมา “พนิต น้องโจมาแล้วนะ เจ้าสาวแต่งตัวเสร็จรึงยัง?”
ผมล่ะอยากเอาตู้เสื้อผ้าทุ่มภูมิวัฒน์ เจ้าสาวอะไรน่ะ ข้างผมมีแต่ผมที่แต่งตัวอยู่ เขาช่วยปากไวดูกาลเทศะหน่อยได้มั้ย เดี๋ยวผมก็ไล่กลับบ้านหรอก
“จะเสร็จแล้ว ไม่มีเจ้าสาวหรอก” ผมตะโกนกลับไป พลางนึกแปลกใจว่าสุภาพงษ์มาถึงแล้วจริงหรือ ทำไมไม่ได้ยินเสียงรถเลยล่ะ ผมเลยชะโงกไปดูที่หน้าต่าง แล้วเห็นว่ารถเขาจอดอยู่หน้าบ้านแล้วจริงๆ
โอย.. ไม่ไหวเลยผม มัวแต่คิดอะไรฟุ้งซ่านจนไม่ได้ยินกระทั่งเสียงรถจอด แต่เสียงเครื่องรถเขาก็เบาอยู่นะ รถเขาเครื่องเบาเอง ไม่ใช่เพราะผมมัวแต่คิดถึงเขาจนหูไม่ได้ยินอะไรหรอก
“สวัสดีครับ” สุภาพงษ์กับคุณากรยกมือไหว้ผม ทันทีที่ผมเดินลงมาจากบันได ทำอย่างกับผมเป็นครูใหญ่ กำลังเดินมาตรวจแถวงั้นแหละ ผมยกมือรับไหว้ แล้วมองด้วยสายตาอึ้งๆ
ไม่ได้อึ้งว่าสองคนนี้ไหว้ผมอย่างกับเป็นครูใหญ่หรอกนะ แต่อึ้งกับ.. เอ่อ... ผู้ชายรูปหล่อสามคนที่อยู่ในบ้านผมต่างหาก
ที่จริงภูมิวัฒน์มาถึงบ้านผมก่อน แต่เพราะดันปากเสียตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าบ้านดี ผมเลยหมดอารมณ์จะชมความหล่อของเขา วันนี้เขาใส่เสื้อโปโลสีเทาอมเขียวตุ่นๆ หน่อย เขาใส่สีตุ่นนะ แต่พอบวกเข้ากับรูปหน้า หุ่น ทรงผมแล้ว ดูดีกว่าผมใส่สีชมพูซะอีก อืม... คนหน้าตาดีนี่ใส่สีอะไรก็ดูดีไปหมดจริงๆ
ส่วนคุณากร เขาใส่เสื้อยืดสีส้ม กับเสื้อเชิ้ตตัวสั้นๆ สีชมพู กางเกงยีสน์สีฟ้า สีตัดกันสุดๆ แต่.. พออยู่บนตัวเขา ผมกลับนึกถึงหนังสือแฟชั่นวัยรุ่น หน้าตาเขาหล่อแบบน่ารักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่งแบบนี้เลยเหมือนเด็กอายุยี่สิบกว่าๆ ทั้งๆ ที่ผมจำได้ว่าเขากับสุภาพงษ์รุ่นเดียวกัน แหม... แต่งมาเหมือนข่มคนอายุเยอะอย่างผมเลยนะเนี่ย
เอาเถอะ ผมมันปูนนี้แล้ว แต่งสีสดใสก็ใจไม่สู้ หุ่นก็ไม่ดี หน้าก็ไม่หล่ออย่างภูมิวัฒน์ แต่ผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้คุณากรนี่สิ.. เขาสวมแค่เสื้อยืดสีขาวธรรมดา กับเชิ้ตสีฟ้าอ่อนอีกตัวหนึ่ง แต่ทำไมถึงดูดีนักก็ไม่รู้ สุภาพงษ์ใส่อะไรก็ดูดีทั้งนั้นแหละ ทั้งหน้าเอย คางเอง คิ้วเอย จมูกเลย ผมมองทุกส่วนได้ไม่เบื่อจริงๆ นะเนี่ย อยากรู้ว่าตอนเขาอายุสี่สิบ จะยังรักษาความดูดีเอาไว้ได้อย่างภูมิวัฒน์รึเปล่า แต่ตอนเขาสี่สิบ ผมคงห้าสิบกว่าแล้ว... โอย ไม่อยากจิตนาการถึงสภาพตัวเองตอนนั้นจริงๆ นะเนี่ย
“พนิต?”
เสียงเรียกของภูมิวัฒน์ทำให้ผมรู้สึกตัว ตายล่ะ นี่ผมเผลอมองสุภาพงษ์ตาค้างอีกแล้วเหรอเนี่ย
พอรู้ว่าเผลอแสดงท่าทางน่าเกลียดออกไป ผมเลยแกล้งตีหน้าจริงจัง แล้วถือโอกาสกวาดตาดูเขาชัดๆ เสียเลย “แต่งมาอย่างกับจะไปถ่ายแบบแน่ะ”
สุภาพงษ์ทำหน้างงๆ ในขณะที่ภูมิวัฒน์ขำพรืด “อะไรน่ะ พนิตอยากถ่ายแบบน้องโจเหรอ มีกล้องมั้ย? เปิดห้องถ่ายเลยสิ สองต่อสองนะ รับรองน้องโจให้ถ่ายทุกส่วนแน่ๆ”
ผมถลึงตาใส่เพื่อน นึกเสียใจว่าน่าจะตบภูมิวัฒน์ให้พูดไม่ได้เสียตั้งแต่ตอนมา แต่เพราะพอเหลือบมาเห็นสุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ ผมเลยอ้าปากพูดอะไรไม่ออก เขาใช้ดวงตาสีดำสนิทมองผม แล้วพูดเสียงค่อย “ไม่เหมาะหรือครับ?”
เอ่อ... เหมาะสมทุกอย่างเลยต่างหากล่ะ ที่เขาแต่งไม่ต่างจากคนทั่วไป ถ้าจะบอกว่าไม่เหมาะล่ะก็ คุณากรสิหนัก สีอย่างกับลูกกวาด แต่นั่นแหละ เขาหน้าตาดี ท่าทางน่ารัก ใส่แล้วเหมือนนายแบบมากกว่าคนบ้า ส่วนผม.... เดินกับพวกเขาสามคน สงสัยกลายเป็นคุณพ่อ เอาน่า พ่อก็พ่อ ผมก็แก่จนเป็นพ่อคนได้อยู่แล้ว มีลูกอายุเยอะๆ คอยดูแลก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่