[แจ้งข่าวP31]Out of order ขออภัยในความไม่สะดวก24จบP28:17/6/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวP31]Out of order ขออภัยในความไม่สะดวก24จบP28:17/6/55  (อ่าน 319713 ครั้ง)

ออฟไลน์ pochu52

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1328
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-0
พี่นิตค๊า พี่แขวนพระรอดเหรอคะ เก็บไว้ที่ไหนคะหนูขอยึดไว้ชั่วคราว เพราะน้องโจค้างอีกแล้ว 55555

ออฟไลน์ ชินจัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 307
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0

ออฟไลน์ 1st prince

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ออฟไลน์ aiwjun

  • aiwjun
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อ๊า ย ย ย  ....อยากอ่านตอนต่อไปแล้วป่านนี้พี่นิตเป็นเช่นไรบ้าง    :-[

ออฟไลน์ aloney

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-4

RanJeri

  • บุคคลทั่วไป
หายไปนานคิดถึงจังเลยยยยยยยยยยยยยยย :sad4:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

ออฟไลน์ 1st prince

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
อยากอ่านมาก

//กรีดร้องวันละ 3 เวลา  :serius2:

ออฟไลน์ jaijaY

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
คิดถึงพี่นิตกับน้องโจด้วยคนค่ะ หายไปนานจังเลยน้าาาา ~~

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ขอเวลาเคลียร์งานก่อนนะคะ

น่าจะได้อ่านตอนใหม่กันภายในเดือน6นี้ค่ะ^^

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Alone Alone

  • ขอตายในอ้อมกอดฮยอกแจ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
จะรอนะคะพี่จู

ป.ล.จะรอฉากคุณ บ.ก.หื่นกว่านี้ อิอิ

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
ตามอ่านทันแล้ววววววววว
พี่นิตกับน้องโจน่ารักที่สุดดดดดดดดดด  :o8:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
 Out of order. ขออภัยในความไม่สะดวก ตอนที่24 (จบ)

            ทริปไปอยุธยาแบบมึนๆ งงๆ ของผมจบลงอย่างสวัสดิภาพ ผมยังคงรักษาสิ่งที่เก็บเอาไว้มาได้ตั้งสี่สิบห้าปีได้ตลอดรอดฝั่ง ความจริงมันก็เป็นแค่การเที่ยวอย่างธรรมดา ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ทว่า....

           

“.............................” ผมนั่งมองส่วนว่างเปล่าราวสิบบรรทัดสุดท้ายบนกระดาษที่สอดอยู่ในแคร่พิมพ์อย่างคนคิดไม่ตกมาราวครึ่งศตวรรษ อันที่จริงแล้วกำหนดส่งต้นฉบับของผมตอนนี้เหลืออีกสามวัน ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะผมเขียนเรื่องส่วนใหญ่เอาไว้ในสมุดจดพล็อตตั้งแต่ไปค้างที่คอนโดฯของสุภาพษ์แล้ว ถึงอย่างนั้น พอกลับมาจากอยุธยา แทนที่ผมจะปิดต้นฉบับที่เหลืออีกแค่ไม่กี่บรรทัดได้โดยไว กลับกลายเป็นว่า ผมใช้เวลาสี่วันหมดไปกับการนั่งมองกระดาษเปล่าในช่วงสุดท้ายของตอน โดยไม่ได้พิมพ์อะไรลงไปเลยแม้แต่ตัวเดียว เพราะอะไรน่ะหรือ....

            ?!

            เสียงรถยนต์ที่แล่นผ่านหน้าบ้านทำเอาผมสะดุ้ง และชะเง้อมองออกไปโดยอัตโนมัติ พอไม่เห็นว่ามีรถยนต์คันสีขาวมาจอดหน้าบ้าน ผมก็ลงมานั่งปุบนเก้าอี้หน้าเครื่องพิมพ์ต่อ ให้ตายสิ ผมต้องคอยชะเง้อมองรถทุกคันที่แล่นผ่านหน้าบ้าน เป็นแบบนี้มาสี่วันแล้ว ตั้งแต่กลับจากอยุธยาวันนั้น

            แต่ไม่เคยมีรถยนต์คันสีขาวที่มีผู้ชายรูปหล่อเป็นคนขับ มาหยุดจอดที่หน้าบ้านผมเลย...

            สุภาพงษ์มาส่งผมที่บ้าน ทานอาหารเย็นกับผม แล้วก็ลากลับไป จากนั้นก็ไม่โผล่มาที่บ้านผมอีกเลย ทั้งๆ ทีผมเองก็อนุญาตแล้วว่า ให้เขามาที่บ้านผมได้ ถ้าเขาอยากมา

            หรือว่าเขาไม่อยากมาบ้านผมแล้วนะ?!

            ผมคิดไม่ตก ไม่รู้สิ อันที่จริงมันไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ควรเก็บเอามาใส่ใจอะไรเลย สุภาพงษ์อาจจะไม่ว่างมาหาผมก็ได้ ก็เขามีงานต้องทำหลายอย่าง ไหนจะจัดการงานที่สำนักพิมพ์ ไหนจะต้องหาข่าวให้แฟนเก่าเขา ผมคงรู้สึกไปเองว่าเขาอยากจะมาหาผมอยู่ตลอด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ปกติเขาก็จะมาหาผมเฉพาะช่วงที่ใกล้ส่งต้นฉบับเท่านั้น... แค่เกือบสัปดาห์ละครั้งเท่านั้นเอง

            แต่ว่านี่มันสี่วันเข้าไปแล้วนะ.....?!

            ผมเพียรบอกตัวเองให้พยายามคิดเนื้อหาช่วงจบของพ่อกระแตตอนล่าสุดได้แล้ว แต่สมองก็ยังนึกวนเวียนไปถึงเรื่องสุภาพงษ์อยู่ดี นี่ผมเป็นอะไรไปนะ กระวนกระวายแค่เพราะเขาไม่มาหา ทั้งๆ ที่ผมออกปากไปแล้วแท้ๆ ว่าจะมาหาเมื่อไหร่ก็ได้ เขาคงไม่ว่าง เขาคงติดงาน แต่... โทรหาผมบ้างก็ยังดี

            ไม่รู้ว่าผมละสายตาจากแป้นพิมพ์ดีดและกระดาษที่อยู่ในแคร่พิมพ์ ไปจ้องอยู่ที่โทรศัพท์บ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ บางทีผมควรจะโทรหาเขา... แต่จะโทรไปเพื่ออะไรกันล่ะ.... บอกให้เขามาหาผมหรือ?

            นี่ผมเป็นอะไรไปแล้วนะเนี่ย?!!

            ผมรีบละสายตาจากโทรศัพท์บ้านกลับมายังแป้นพิมพ์ดีดโดยไว พอเห็นว่ามองกระดาษเปล่าต่อไปคงไม่ช่วยอะไรแน่ เลยหยิบต้นฉบับที่พิมพ์เสร็จไปก่อนหน้านี้ขึ้นมาอ่านใหม่ซ้ำอีกครั้ง ถึงอย่างนั้น พอรู้สึกตัวอีกที กระดาษต้นฉบับยังอยู่ในมือผม แต่สายตาผมมองไปที่โทรศัพท์อีกแล้ว

            แย่แล้ว กำหนดส่งเหลืออีกแค่ไม่กี่วันเอง... ผมควรทำไงดีนะ?

            ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินไปที่โทรศัพท์ เพราะคิดแล้วว่าขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ผมต้องส่งต้นฉบับไม่ทันแน่ๆ เพราะฉะนั้นผมควรจะโทรหาสุภาพงษ์ บอกเขาว่าผมอาจจะส่งต้นฉบับของตอนนี้ไม่ทัน... สาเหตุก็เพราะ.........

            ผมเปิดสมุดโทรศัพท์ ตั้งใจจะหาเบอร์โทรศัพท์มือถือของสุภาพงษ์ เพราะปกติผมโทรเข้าไปที่สำนักพิมพ์ตลอด หลังจากเปิดจนหมดเล่ม พลิกแล้วพลิกอีก ผมจึงค้นพบว่า ผมไม่ได้จดเบอร์โทรศัพท์มือถือของสุภาพงษ์เอาไว้เลย

            เอาไงดีล่ะผม.. โทรเข้าออฟฟิศไปบอกอรนภาดีมั้ย ว่ารอบนี้ผมของดส่งต้นฉบับ ทำแบบที่เคยทำทุกครั้ง อรนภาคงรู้หรอกว่าผมไม่สะดวกส่งต้นฉบับจริงๆ

            แต่ขณะที่ผมกำลังจะกดโทรศัพท์เพื่อโทรไปที่สำนักพิมพ์ สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือที่วางสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะใกล้กัน

            อืม... จำได้ว่าสุภาพงษ์เคยโทรเข้าโทรศัพท์เครื่องนี้นี่นา เห็นว่าโทรศัพท์มือถือจะจำเบอร์โทรเข้าออกได้ งั้นผมลองใช้โทรศัพท์มือถือโทรหาเขาดีกว่า

            ผมเปลี่ยนใจวางโทรศัพท์บ้านแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแทน พยายามกดปุ่มนั้นปุ่มนี้อยู่นานก็ไม่เห็นอะไรปรากฏขึ้นบนหน้าจอเสียที เห็นคนขายบอกว่าเดี๋ยวนี้โทรศัพท์มือถือพอไม่ใช้งาน หน้าจอจะปิดเองเพื่อประหยัดแบ็ตเตอรี่ เวลาจะใช้ก็ต้องกดปุ่มปลดล็อก แต่ผมกดแล้ว ทำไมไม่มีอะไรสว่างขึ้นมา หรือว่าผมจำผิดปุ่มกันนะ?

            ขณะที่ผมกำลังตั้งหน้าตั้งตาเปิดโทรศัพท์มือถืออย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงใครบางคนก็ดังขึ้นตรงหน้าประตูรั้วบ้าน

            “พี่นิตครับ!”

            ผมสะดุ้งเฮือก แทบทำโทรศัพท์หลุดมือ พอตั้งสติได้ก็วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ แล้วรีบกุลีกุจอออกมาเปิดประตูรั้วทันที

            “สวัสดีครับ” ผู้ชายรูปหล่อที่ไม่ได้เห็นหน้ามาตั้งสี่วันยกมือไหว้ผม แล้วยิ้มชนิดยากจะสังเกตเห็นตามแบบของเขา ผมมัวแต่ดีใจเลยเผลอตัวพูดออกไป

            “พี่กำลังจะโทรหาโจเลย หายไปไหนมาตั้งสี่วันเนี่ย”

            สุภาพงษ์เบิ่งตาขึ้นนิดๆ เขาหน้าตาดี ทำอะไรก็ดูดีทั้งนั้นแหละ จากนั้นเขาก็พูดออกมา “พี่นิตอยากเจอผมหรือครับ?”

            ผมกะพริบตา รู้สึกตัวขึ้นมาเสียทีว่าพลาดท่าอีกจนได้ หัวใจเต้นตึกๆ อย่างห้ามไม่อยู่ เลยรีบจูงมือเขาเข้าบ้าน ผู้ชายรูปหล่อตัวใหญ่คนนั้นเดินตามผมมาอย่างว่าง่าย แถมรีบจับมือผมแน่นอีกต่างหาก

            เอ่อ... ผมพลาดอีกแล้วสินะเนี่ย?!

------------------------------------

            พอเข้ามาในบ้านเรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบไปรินน้ำมาให้เขา แล้วถามแก้เก้อไปว่า “แล้วโจมาหาพี่ทำไมน่ะ กำหนดส่งต้นฉบับยังเหลืออีกตั้งสามวันแน่ะ”

            สุภาพงษ์รับแก้วน้ำพ่วงมือผมอีกเช่นเคย เขาช้อนตามองผม แล้วจับแก้วพร้อมมือผมไว้แน่น “ก็พี่นิตบอกว่า ให้ผมมาหาเมื่อไหร่ก็ได้”

            เฮ้ย! ผมพูดแบบนั้นกับเขาจริงๆ หรือ? จำได้ว่าผมพูดไปทำนอง ‘ถ้าเขาว่างหรือเบื่อ จะมาหาผมก็ได้’ นี่นา? หรือว่าเขาเบื่อ?

            พอเห็นผมเงียบ สุภาพงษ์เลยพูดต่อ “พี่นิตอยากเจอผมไม่ใช่เหรอครับ?”

            เดี๋ยวนะ ใครอยากเจอ?! ผมเกือบจะพูดออกไปแล้ว ดีที่นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที ผมโพล่งออกไปอย่างคนลืมตัวว่าอยากเจอเขา และสี่วันที่ผ่านมา ผมก็ไม่มีอันได้ทำอะไรเพราะมัวแต่เงี่ยหูฟังเสียงรถเขา

            โอ๊ย! นี่ผมเป็นอะไรไปแล้วนะเนี่ย

            สุภาพงษ์วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ขยับสองมือมาจับมือผมเอาไว้เต็มๆ “นั่งก่อนสิครับ”

            เดี๋ยวนะ นี่มันบ้านผม ผมสิต้องเชิญให้เขานั่ง แต่... เขาก็นั่งอยู่แล้ว แถมเขาแค่ออกแรงดึงนิดๆ ผมก็ขาอ่อนยวบ ลงไปนั่งข้างเขาเสียง่ายๆ เท่านั้นไม่พอ ดึงผมให้นั่งบนเก้าอี้รับแขกในบ้านของตัวเองเรียบร้อย สุภาพงษ์ก็ขยับมือมาโอบเอวผมไว้อย่างกับคนรักกันแน่ะ

            เล่นเอาหัวใจผมเต้นดังจนหูอื้อไปหมดเลยล่ะ

            “พี่นิต” สุภาพงษ์กระซิบ แล้วขยับหน้าเข้ามาใกล้หน้าผม ผมกลัวหน้ามืดเพราะระยะใกล้ชิด เลยรีบเอื้อมมือไปคว้าแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะมาขวางไว้ “โจ ดื่มน้ำก่อนสิ!”

            สุภาพงษ์กะพริบตาปริบๆ มองผ่านแก้วน้ำมายังผม จากนั้นก็ยกมือขึ้นรับมือผมพร้อมแก้วน้ำไปดื่มพอเป็นพิธี แหม... คนอะไร ขนาดตอนดื่มน้ำยังดูดีเลย

            พอดื่มน้ำเสร็จ เขาก็จัดแจ้งเอาแก้ววางไว้จนเกือบจะสุดขอบโต๊ะอีกฝั่ง แล้วดึงผมไปนั่งบนตัก เดี๋ยวนะ! นี่ผมไม่ใช่เด็กๆ ที่จะมาร้องโยเยขอนั่งตักคุณพ่อนะเนี่ย เขาจะให้ผมนั่งตักไปทำไมกัน

            ขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากบอกเขา สุภาพงษ์ก็ขยับหน้าเข้ามา แล้วแย่งผมพูดได้อย่างไม่น่าเชื่อ

            “พี่นิตคิดถึงผมใช่มั้ยครับ?”

            ผมอ้าปากค้าง คือกำลังนึกจะตอบคำถามเขาอยู่นะ แต่สุภาพงษ์สิ ไม่ให้โอกาสผมแก้ตัวบ้างเลย พอผมอ้าปากค้างได้สักสองวิฯ เขาก็รีบขยับปากมาปิดปากผมไว้

            โอ๊ยตายแล้ว! ผมอยากจะเป็นลมตอนนี้จริงๆ นะเนี่ย

            ผมรีบยกมือขึ้น ตั้งใจว่าจะผลักสุภาพงษ์ออก แต่เพราะเขาตัวใหญ่ไปแน่ๆ แทนที่จะผลัก ผมเลยทำได้แค่เอามือยันอกเขาไว้แทน ยันไว้นานๆ มือมันชักเมื่อย ผมเลยแอบพักเอาไว้บนไหล่เขาชั่วคราว

            แหม... ก็ไหล่เขากว้างขนาดนี้ ผมวางมือไว้ไม่หนักหนาสาหัสเท่าไหร่หรอก

            สงสัยสุภาพงษ์จะเข้าใจว่าผมเมื่อยจริงๆ จูบผมได้สักพัก เขาก็รีบกดผมให้นอนลงบนเก้าอี้ เอาล่ะ ผมอาจจะเกือบหน้ามืดก่อนหน้านี้ แต่ไอ้การที่เขากดผมให้นอนลงแบบนี้ ใช่ว่าจะทำให้ผมหายหน้ามืดหรอกนะ

            แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอามือออกจากไหล่เขา สุภาพงษ์ก็ขยับเข้ามาใกล้ จูบผมซ้ำอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มล้วงมือเข้ามาในอกเสื้อผม

            เดี๋ยวนะ! ตกลงนี่เขามาหาผมทำไมเนี่ย?!

            ผมเริ่มดิ้นทันที ให้ตายสิ! เขาฉวยโอกาสชะมัด แค่เข้าบ้านมา ดื่มน้ำไปแค่อึกเดียว ก็ทำท่าจะจับผมกดกับเก้าอี้ยาวเสียล่ะ อายุก็ตั้งเยอะแล้ว ทำไมไม่รู้จักยับยั้งอารมณ์บ้างนะ

            พอผมเริ่มดิ้น สุภาพงษ์ก็ขยับออกอย่างคนเพิ่งรู้สึกตัว ก่อนจะพูดก้บผมด้วยหน้าแดงจัด “ขะ.. ขอโทษครับ!”

            เห็นเขาพูดแล้วทำหน้าตาสำนึกผิดเสียขนาดนั้น ผมที่ง้างมืออ้าปาก เตรียมจะตบเขาสักเพี้ยะ แล้วค่อยด่าเขาสักคำ ก็มีอันมือไม้อ่อน ปากอ้าไม่ออกไปเสียเฉยๆ เราสองคนมองหน้ากันในสภาพคนหนึ่งนอนคร่อมอีกคนอยู่บนเก้าอี้ยาวด้วยความกระอักกระอ่วนอยู่นาน ในที่สุด สุภาพงษ์ก็เป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน

            “เอ่อ... โทรศัพท์พี่นิตอยู่ไหนเหรอครับ?”

            เขาเปิดช่องให้แบบนี้ ผมไม่พลาดที่จะรีบฉวยไว้ “อยู่บนโต๊ะ” จากนั้นผมก็รีบไถลตัวออกมาจากสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที พลางยกมือทาบอกตัวเอง

            เกือบไปอีกแล้วไหมล่ะ!

            ผมเดินงุดๆ ไปหยิบโทรศัพท์ แล้วรีบพูดเพื่อเบนประเด็นต่อทันที “โจดูให้พี่หน่อยสิ พี่พยายามเปิดมันมาตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ทำไมเปิดไม่ติดก็ไม่รู้”

            สุภาพงษ์รับโทรศัพท์พร้อมมือผมอีกเช่นเคย จากนั้นเขาก็เอาไปกดอยู่ครั้งสองครั้ง แล้วเงยหน้าขึ้นมา “แบ็ตหมดครับ ผมตั้งใจจะมาชาร์ตให้พี่นิตพอดี”

            “อ้อเหรอ” ผมรีบพยักหน้า แต่นึกแอบเขินอยู่ในใจ บ้าจริง แบ็ตเตอรี่หมด.. ดีนะที่เขามาเสียก่อน ไม่งั้นอีกสักพักผมอาจจะเอาไปให้ที่ร้านดู ถ้าไปเพราะแค่แบ็ตหมดแบบนี้ อายเด็กที่ร้านแน่ๆ

            “พี่นิตจะโทรเข้าเบอร์มือถือผมหรือครับ?” ผู้ชายรูปหล่อถาม ขณะที่ก้มลงเสียบสายโทรศัพท์ให้ผม ผมพยักหน้า แล้วพูดแก้ตัวทันที “พี่จะโทรบอกโจว่า พี่อาจจะส่งต้นฉบับพ่อกระแตของรอบนี้ไม่ทันนะ”

            “อ้าว ทำไมล่ะครับ?” คราวนี้สุภาพงษ์หันมามองผมด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่คนซึ่งมีอาชีพบรรณาธิการอย่างเขาทำทันที

            “ก็พี่เขียนไม่ออก”

            “แต่พี่นิตเขียนจะจบตอนแล้วนี่ครับ” เขาว่า ผมทำหน้าลำบากใจ “พี่เขียนตอนจบไม่ได้สักทีน่ะ”

            สุภาพงษ์มีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันที “พี่นิตมีเรื่องอะไรกังวลใจรึเปล่าครับ? ก่อนหน้านี้เห็นพี่นิตบอกว่าตอนนี้เสร็จทันแน่นอนนี่ครับ”

            ผมมองหน้าเขา ไม่รู้จะโมโหหรืออะไรดี ผมรู้ว่าผมบอกไปแบบนั้น ก็ตอนนั้นผมมั่นใจจริงๆ ว่ามันจะเสร็จทัน ผมเขียนเอาไว้ตั้งเยอะแล้วแท้ๆ แต่เขาจะรู้ไหมล่ะ ก็เพราะผมมัวแต่รอให้เขามาหาตั้งหลายวัน เลยไม่มีสมาธิจะเขียนตอนจบเสียที พอจะเขียนทีไร ความคิดผมก็วกไปนึกถึงเสียงของเขา หน้าของเขา รอยยิ้มและลมหายใจเวลาที่เขาขยับเข้ามาใกล้ผม ยังไม่นับสัมผัสน่าอายที่เขาทำกับผมอีกหลายต่อหลายครั้ง

            แล้วแบบนี้ผมจะมีสมาธิเขียนได้ยังไงล่ะ!!

            “พี่นิตไม่สบายเหรอครับ?” จู่ๆ สุภาพงษ์ก็ทักขึ้น ผมมองหน้าเขา แล้วร้องออกไปอย่างแปลกใจ “หา?”

            “ก็พี่นิตดูหน้าแดงๆ เป็นไข้รึเปล่าครับ?”

            ผมยกมือจับหน้าตัวเอง ก็รู้สึกว่าร้อนจริงๆ แต่ผมไม่เจ็บคอ ไม่มีอาการจะแสดงให้เห็นว่าเป็นไข้ก่อนหน้านี้เลยนี่นา

            “เอ.... พี่ไม่รู้สึกว่าจะป่วยเลยนะ” ผมพูดหลังจากจับหน้าตัวเองได้สักพัก สุภาพงษ์มองผม แล้วพูดตอบ “อืม... หน้าพี่นิตหายแดงแล้วครับ....... บางที.......”

            เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ.. แต่ก็ดันเงียบไปเฉยๆ ผมเลยต้องถาม “บางทีอะไรน่ะ?”

            สุภาพงษ์ทำหน้าเหมือนลำบากใจจะพูด แต่พอเห็นผมจ้องอย่างจริงจัง เขาเลยจำต้องพูดออกมา “คือผมคิดว่า หรือบางทีพี่นิตอาจจะเขิน”

            “หา?!” คราวนี้ผมร้องเสียงหลง “พี่จะเขินทำไมน่ะ?”

            “ก็พี่นิตเพิ่ง....” บรรณาธิการรูปหล่อของผมพูดค้าง แล้วก็หน้าแดงขึ้นมาเอง “ก็พี่นิตเพิ่ง... เพิ่งถูกผมจูบบนเก้าอี้นี่ครับ”

            !!!

            ผมไม่รู้จะทำไง เลยยกมือตีไหล่เขาดังเพี๊ยะ “ทะลึ่งไปแล้ว พี่ไม่ได้เขินเรื่องนั้นสักหน่อย”

            “?” สุภาพงษ์ทำหน้าแปลกใจ แล้วถามต่อ “แต่ว่า.... ปกติพี่นิตจะเขินนี่ครับ”

            โอ๊ย! เป็นใครใครมันก็เขินทั้งนั้นแหละ จู่ๆ มาถูกบรรณาธิการตัวเองจูบถึงบ้าน ใครมันจะหน้าด้านทำเฉยๆ ได้ล่ะ แต่ที่ผมเขินเมื่อตะกี้น่ะ มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจูบผมบนเตียงจริงๆ นะ

            ผม....

            “พี่นิต” สุภาพงษ์ขยับเข้ามา แล้วตวัดแขนโอบผมไว้อีกครั้ง “หรือว่าพี่นิตคิดถึงผมจนเขียนเรื่องไม่ออก”

            “!!!” ผมทนไม่ไหว ต้องตีแขนเขาแรงๆ

            “โอ๊ย!” ผู้ชายหน้าตาดี หุ่นชวนฝันที่อ้าแขนกอดผมไว้สะดุ้ง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยผมง่ายๆ แต่อย่างใด ได้ยินเสียงเขาพูดขึ้นต่อ “พี่นิตคิดถึงผมใช่ไหมครับ?”

            “โจปล่อยพี่นะ!” ผมรีบตวาดใส่เขา ผลักไสเป็นการใหญ่ แต่เหมือนยิ่งผลัก แขนเขาจะยิ่งรัดแน่นขึ้น นี่เขาฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรือไงนะ “ปล่อยนะ!”

            สุภาพงษ์ตระกองกอดผมเอาไว้ เหมือนคนกลัวนกปีกหักที่ตกลงมาจากต้นไม้จะบินหนีไปไหน จากนั้นก็ดันผมให้กลับไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วพูดด้วยเสียงตื่นเต้นไม่สมกับหน้านิ่งๆ ของเขาเลย

            “ขอโทษนะครับ ที่ผมหายไปหลายวัน”

            อ้อ รู้ตัวเหมือนกันนี่

            ผมหยุดผลักไสเขา แล้วหันหน้ากลับมามอง “โจเงียบไปไหนตั้งหลายวันน่ะ? งานที่ออฟฟิศยุ่งหรือ?”

            “ก็ไม่เชิงครับ” บ.ก.หนุ่มของผมตอบ แล้วทำท่าเขินๆ แบบที่สังเกตอยากอย่างที่เขาชอบทำประจำนั่นล่ะ จากนั้นก็พูดต่อ “ผมมีอะไรอยากให้พี่นิตอ่าน”

            ว่าแล้วเขาก็เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเอกสารที่หิ้วเข้ามาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะรับแขกมาเปิด แล้วหยิบกระดาษออกมาสี่ห้าแผ่น

            “รบกวนพี่นิตช่วยอ่านหน่อยได้มั้ยครับ?”

            ผมเลิกคิ้ว รู้สึกแปลกใจขึ้นมาจริงๆ นี่ตกลงเขาไม่ได้มาทวงต้นฉบับ หรือมาหาเรื่องถึงเนื้อถึงตัวผม แต่กลับเอาอะไรมาให้ผมอ่านหรือนี่ ผมยื่นมือไปรับมา พอเห็นหัวข้อก็เลิกคิ้วมองเขา แต่ถูกเขาชิงพูดขึ้นก่อน

            “พี่นิตอ่านก่อนนะครับ อย่าเพิ่งพูดอะไรนะ”

            เห็นเขาทำหน้าทั้งเขิน ทั้งดูตื่นเต้นขนาดนั้น ผมก็ขัดเขาไม่ลง เลยก้มหน้าก้มตาอ่านกระดาษสี่ห้าแผ่นที่เขาหยิบมาให้อย่างตั้งใจ

            กระดาษพวกนั้นถูกเขียนด้วยลายมือไม่ใช่ตัวพิมพ์ ท่าทางเหมือนถูกคัดขึ้นใหม่ ตัวหนังสือเป็นระเบียบเรียบร้อยดี ตอนแรกคิดว่าเป็นกระดาษถ่ายเอกสารธรรมดาเสียอีก แต่พอดูชัดๆ เป็นกระดาษพิมพ์ลายบางๆ สีครีมอ่อนๆ มีกลิ่นหอมนิดๆ ด้วยแน่ะ นี่เขาคิดจะหว่านเสน่ห์ให้ผมผ่านกระดาษหรือไงนะ

            แต่เขาคงไม่รู้หรอก แค่นี้ผมก็แอบหลงเขาจะแย่แล้ว เขาไม่ต้องใช้กระดาษอบน้ำหอมให้ผม ผมก็ใจเต้นทุกทีที่เห็นเขาอยู่แล้วล่ะ

            เนื้อความในกระดาษชุดนั้นมีอยู่ว่า


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
            “ถึงคุณพนิตที่รัก”

            “ตอนผมเด็กๆ ผมเคยย้ายมาอยู่บ้านเช่าในแถบชานเมืองของกรุงเทพฯ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นสวนผลไม้อยู่ ใกล้กับบ้านเช่ามาผมมาเช่าอาศัยอยู่กับแม่ มีบ้านสวนของลุงกับป้าคู่หนึ่ง ทั้งสองคนใจดีมาก อนุญาตให้เด็กๆ อย่างพวกเราเข้าไปวิ่งเล่นในสวนได้ โดยมีข้อแม้ว่าห้ามเข้าไปเกินเขตที่กั้นไว้ เพราะเดี๋ยวมืดค่ำจะหากันลำบาก ไปเล่นกันทีไร คุณป้าก็มักจะมีผลไม้ฝากติดไม้ติดมือพวกผมกลับมาที่บ้านด้วย สำหรับผมแล้วมันเป็นความทรงจำที่แสนประทับใจที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้”

            “ลุงกับป้าเจ้าของสวน มีลูกชายกับลูกสาวสองคน อายุเยอะกว่าผมทั้งคู่ ลูกชายเรียนจบมาได้สักปีสองปีแล้ว ส่วนลูกสาวเหมือนว่ากำลังเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายพอดี ดังนั้นพอไปเล่นที่บ้านสวนนั้นทีไร ผมจึงได้เจอพี่ชายที่เรียนจบแล้วอยู่เสมอๆ เขาตัวผอมๆ สูงๆ ไว้ผมยาวประบ่านิดๆ ผิวออกขาวเหมือนคนไม่ค่อยออกแดด ได้ยินคุณป้าเล่าว่า ลูกชายแกคนนี้เป็นนักเขียน เวลาพวกผมไปเล่นที่บ้าน พี่ชายคนนี้จะออกมานั่งดูพวกผมเล่นตรงชานบ้าน บางทีก็ออกมาช่วยลุงกับป้ารดน้ำต้นไม้ หรือตัดกิ่งไม้ ผมเห็นแล้วก็รู้สึกว่า พวกผมมารบกวนสมาธิการเขียนนิยายของพี่เขารึเปล่า เพราะเห็นว่านักเขียนชอบที่เงียบๆ วันหนึ่ง ตอนที่พี่เขากับลุงมาซ่อมชิงช้าที่แขวนอยู่กับกิ่งต้นไม้ใหญ่ในสวนที่เริ่มผุเพราะกาลเวลา ผมเลยถามพี่เขาไปว่าพวกผมมารบกวนรึเปล่า พี่เขาก็ยิ้ม แล้วบอกว่าเปล่า พี่ชอบ เด็กๆ มาเล่นกันที่บ้านดูแล้วสดชื่นดี เอาไปเป็นพล็อตเขียนนิยายได้ด้วย ผมเลยพูดออกไปว่า อยากอ่านนิยายที่เขาเขียนจัง”

            “พี่เขาทำหน้าเขินนิดๆ แล้วบอกว่าพี่ก็กำลังหาคนช่วยอ่านอยู่ เพราะจะส่งให้สำนักพิมพ์พิจารณา ถ้าผมอยากอ่านเดี๋ยวจะเอามาให้อ่าน จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน แล้วหยิบกระดาษที่มีตัวพิมพ์ดีดเรียงกันด้านในมาให้ผม แล้วบอกว่า นี่ล่ะนิยายตอนแรกที่พี่จะส่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับรุขเทวดาน้อยในต้นโมก กับเด็กผู้ชายข้างหน้าต่าง ผมฟังแค่หัวข้อเรื่องก็รู้สึกสนใจขึ้นมาจริงๆ ผมชอบอ่านหนังสือนะ อ่านที่ห้องสมุดจนจะหมดแล้ว พอพี่ชายบอกว่าอยากจะให้ผมลองอ่านนิยายที่เขียน ผมก็ดีใจมาก คิดตอนนั้นว่าถ้าต่อไปพี่เขาได้กลายเป็นนักเขียนจริงๆ ผมจะมาขอลายเซ็น”

            “พี่เขาเขียนนิยายสนุกจริงๆ ผมเพิ่งเคยอ่านนิยายแฟนตาซีที่เขียนโดยคนไทยแล้วสนุกขนาดนี้เป็นครั้งแรก คือไม่ใช่ว่าคนอื่นเขียนไม่ดีนะ แต่ว่าของพี่เขาอ่านง่าย สนุกมากด้วย อ่านแล้วติดเลย หลังจากนั้นวันไหน ถ้าผมเลิกเรียนเร็ว ผมจะมาหาพี่เขาที่บ้าน เพื่อมาอ่านนิยายตอนใหม่ของเขา พี่ชายก็ดูจะชอบที่มีคนติดนิยาย บอกผมว่าเดี๋ยวได้พิมพ์เป็นเล่มแล้วจะซื้อให้ผมฟรีเล่มหนึ่ง ผมเลยบอกว่าไม่เป็นไร เพราะผมตั้งใจจะซื้ออยู่แล้ว ให้พี่ได้รวมเล่มเถอะ ผมจะรีบซื้อเลย”

            “บางทีพี่เขาพิมพ์ให้ผมอ่านไม่ทัน ก็เล่าปากเปล่าให้ผมฟังเลยก็มี ท่าทางเขามีความสุขเวลาได้เล่าเรื่องที่เขาคิดไว้ในหัว ผมเองก็มีความสุขเหมือนกัน เพราะเรื่องที่เขาเล่าออกมาสนุกมาก อยากให้เขาเขียนออกมาไวๆ อยากอ่านนิยายของเขา ผมว่านิยายเขาสนุก อีกไม่นานเขาคงได้เป็นนักเขียนดังแน่ แต่แล้วก่อนหน้าที่ผมจะได้รู้ว่างานเขาจะได้ตีพิมพ์หรือไม่ ผมก็มีอันต้องย้ายบ้านตามแม่ไปอีกครั้ง”

            “ย้ายไปบ้านใหม่มีเรื่องต้องทำเยอะแยะ อีกอย่างผมก็ขึ้นม.ปลาย เรียนหนักขึ้น ไม่ค่อยมีเวลาไปเล่นสนุกแล้ว แต่เวลาเดินผ่านร้านหนังสือ ผมยังแอบหวังจะได้เห็นเรื่องที่พี่ชายคนนั้นเล่าให้ผมฟัง ได้ขึ้นแผงหนังสือกับเขาบ้าง เวลาผ่านไป ในที่สุด ผมก็ได้เห็นหนังสือที่มีชื่อเรื่องคล้ายๆ กับที่พี่ชายให้ผมอ่าน และพอเปิดดูด้านใน ก็พบว่าเป็นเรื่องเดียวกันจริงๆ ผมดีใจมาก เพราะรู้ว่าพี่ชายได้เป็นนักเขียนกับเขาจริงๆ แล้ว เลยยอมตัดใจแคะกระปุกออมสินที่สะสมเอาไว้หลายปี เพื่อเอาเงินมาซื้อหนังสือ และตั้งใจว่าจะนั่งรถไปขอลายเซ็นพี่เขาที่บ้าน”

            “แต่สุดท้าย จนผมเรียนจบม.ปลาย ก็ไม่ได้นั่งรถมาขอลายเซ็นพี่ชายคนนั้นสักที หลังจากนั้นเขามีงานออกมาอีกหลายเรื่อง ผมก็ตามซื้อทุกเรื่อง พยายามจะซื้อตั้งแต่วันแรกที่วางแผง มีพลาดไปบ้างเหมือนกัน เพราะสถานทางการเงินของบ้านผมตอนนั้นไม่ค่อยดี แต่สุดท้ายผมก็ซื้อมาจนครบทุกเรื่อง ตั้งใจว่าทำงานหาเงินได้เองเมื่อไหร่ จะไปหาพี่เขา เอาหนังสือทั้งหมดนี้ไปขอลายเซ็นอย่างที่ตั้งใจไว้เสียที”

            “ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คณะนิเทศศาสตร์ ตอนนั้นผมได้เจอกับเพื่อนอีกคนซึ่งอยู่คณะเดียวกัน เขาชอบงานของพี่ชายเหมือนผม เราคุยกันถูกคอมาก จนในที่สุดก็คบเป็นแฟนกัน หลังจากนั้นตอนอยู่สักปีสี่ ผมก็ได้ข่าวมาว่าพี่ชายคนนั้นมีงานเปิดตัวหนังสือ และจะแจกลายเซ็นในงานด้วย ผมกับเพื่อนเลยหอบหนังสือไปที่งาน หวังว่าจะได้ขอลายเซ็นพี่เขาเสียที”

            “พี่ชายคนนั้นดูเหมือนเดิมแทบไม่เปลี่ยน ผอมเหมือนเดิม แต่คงจะเตี้ยกว่าผมแล้ว ผมไม่รู้ว่าเขาจะจำผมได้ไหม ผมไม่ได้เจอเขานานมาก เจอครั้งสุดท้ายผมเพิ่งเป็นนาย แต่ตอนนี้ผมอายุเกินยี่สิบแล้ว ตัวก็ใหญ่ สูงด้วย ความทรงจำเดิมที่ผมจำได้คือพี่เขาเขียนนิยายสนุก เล่าเรื่องเก่ง แต่ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่า พอเห็นเขาอีกครั้ง หัวใจผมกลับเต้นแรงจนเกือบคุมไม่ได้ เขาเหมือนเดิม ยิ้มเหมือนเดิม พูดเหมือนเดิม แต่ใจผมสั่น ผมแอบมองเขาจากเก้าอี้แถวหลัง ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผมจะใจเต้นแรงกับนักเขียนในดวงใจของผมได้ขนาดนี้ แรงขนาดที่ผมไม่กล้าจะเอาหนังสือไปให้เขาเซ็นอย่างที่เคยตั้งใจไว้ ผมกลัวตัวเองเผลอกอดเขาไป กลัวจะเผลอพูดออกไปแบบคนรักษาสติไม่ได้ เลยต้องฝากแฟนที่ไปด้วยกันไปขอให้แทน”

            “แรกๆ ผมแค่คิดว่าผมตื่นเต้นเพราะพี่ชายเป็นนักเขียนในดวงใจผม และผมเป็นคนที่ได้อ่านนิยายของพี่ก่อนได้ตีพิมพ์ แต่ว่าหลังจากวันนั้น ผมคิดถึงหน้าพี่ทุกวัน บางวันผมฝันว่าได้กอดพี่เอาไว้ บางทีก็ฝันน่าเกลียดกว่านั้น ผมรู้ตัวแล้วว่าผมไม่ได้ปลื้มพี่เฉพาะแค่ในฐานะนักเขียน แต่ผม... ผมคงหลงรักพี่อย่างไม่รู้ตัว ผมลบภาพพี่ออกจากหัวไม่ได้เลย ผมคิดถึงหน้าพี่ คิดถึงรอยยิ้มพี่ คิดถึงเสียงพูดเสียงหัวเราะของพี่ คิดถึงวันเวลาเก่าๆ ที่ผมเคยไปบ้านพี่ ให้พี่เล่านิยายให้ฟัง แต่ไม่รู้ว่าพี่จะจำผมได้รึเปล่า”

            “พอเรียนจบ ผมก็ตั้งใจจะทำงานในวงการงานพิมพ์ แรกๆ ก็ไปสมัครเป็นผู้ช่วยฝ่ายธุรการ แล้วก็ศึกษาต่อด้านอักษรศาสตร์ ตอนหลังก็ได้เลื่อนมาเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการ เพราะเจ้าของสำนักพิมพ์ตอนนั้นชอบความเห็นของผมตอนเข้าประชุม หลังจากนั้นผมก็ทำงานเก็บเงินมาเรื่อยๆ หวังในใจว่าสักวันจะได้เจอกับพี่อีกครั้ง ในฐานะของคนในวงการเดียวกัน”

            “สุดท้ายพอเก็บเงินและประสบการณ์มาได้เกือบสิบปี ผมก็ตัดสินใจเปิดสำนักพิมพ์ ตอนแรกว่าจะไปติดต่อให้พี่ชายคนนั้นมาเขียนเรื่องให้ แต่ก็กลัวว่าจะไม่มีเงินพอจ่ายค่าลิขสิทธิ์ เลยลองเปิดดูสักพัก พอเห็นว่าสำนักพิมพ์มีกำไรพอสมควรแล้ว ผมเลยเริ่มหาทางติดต่อพี่ชายคนนั้นเพื่อให้มาเขียนเรื่องให้”

            “หลังจากงานแจกลายเซ็นวันนั้น ผมไม่ได้เจอพี่เขาอีกเลยถึงสิบกว่าปี เพราะฉะนั้น พอรู้ว่าพี่ยอมจะตกลงเจรจาทำสัญญากับผมที่บ้าน ผมเลยตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้ไปบ้านพี่ชายคนนั้นมาเป็นยี่สิบปีแล้ว สภาพจะเป็นยังไงบ้าง แล้วคุณลุงคุณป้าจะยังอยู่ไหม ถ้าเจอแล้วจำผมได้คงดี แต่ก็กลัวว่าพี่อาจจะไม่เซ็นสัญญากับผมถ้าจำผมได้ เพราะผมเคยเป็นเด็กข้างบ้านพี่ เคยไปฟังพี่เล่านิยาย จู่ๆ จะมากลายเป็นบรรณาธิการของพี่ พี่อาจจะรู้สึกกระอักกระอ่วนก็ได้”

            “ผมคิดไปต่างๆ นานา ตอนแรกเกือบจะให้คนอื่นไปแทนแล้ว แต่คิดอีกที ผมตั้งใจมาเป็นสิบปี ว่าวันหนึ่งจะชวนพี่มาเขียนเรื่องให้ ผมมาถอยเอาตอนนี้คงเสียเปล่า เลยกลั้นใจไปบ้านพี่ ทั้งๆ ที่ไม่เคยไปมาตั้งยี่สิบปีแล้ว”

            “บ้านหลังนั้นเปลี่ยนไปมาก สวนก็เล็กลงแล้ว บ้านก็ต่อเติมใหม่ ตอนผมจอดรถที่หน้าบ้าน ผมบอกตัวเองให้พยายามสงบเข้าไว้ ผมซื้อของฝากมาเยอะ ถ้าเจอคุณลุงกับคุณป้าผมจะแนะนำตัวเอง ท่านคงเมตตาเอ็นดูผม พี่ก็อาจจะไม่รังเกียจผมเท่าไหร่”

            “แต่แล้วก็เป็นพี่ที่มาเปิดประตูบ้าน ท่าทางจำผมไม่ได้เลย เห็นพี่ทำท่าทางเป็นคนอื่นแบบนั้น ผมเลยทำตัวไม่ถูก ของที่ซื้อไว้ก็ต้องตั้งไว้ในรถ เพราะไม่รู้จะเริ่มอธิบายยังไง คิดเอาว่าเดี๋ยวเจอคุณลุงกับคุณป้าแล้วผมค่อยออกมาหยิบก็คงไม่น่าเกลียด แต่พอเข้าไปในบ้านพี่ ผมถึงได้รู้ว่าคุณลุงกับคุณป้าเสียไปแล้ว น้องสาวพี่ก็แต่งงานแล้ว ตอนนี้เหลือพี่อยู่บ้านหลังนี้แค่คนเดียว”

            “แล้วพี่ก็รินน้ำมาให้ผม พูดกับผมเหมือนนักเขียนคนอื่นๆ ที่ผมเคยไปติดต่อ ผมที่พูดไม่ค่อยเก่งอยู่แล้วเกือบจะพูดไม่ออกเลย พี่จำผมไม่ได้จริงๆ ผมจำต้องเก็บคำพูดที่คิดจะมาพูดกับพี่ตั้งหลายสิบปีเอาไว้ในใจอีกครั้ง แล้วเจรจาทำสัญญากับพี่เหมือนกับนักเขียนคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่ใจผมเรียกร้องมากกว่านั้น”

            “หลังจากนั้นผมก็พยายามหาเรื่องมาหาพี่ที่บ้านตลอด ด้วยหวังว่าจะได้คุยกับพี่ ได้มองหน้าพี่บ้าง... เวลาได้ยินพี่โทรไปที่สำนักงาน ว่าจะส่งต้นฉบับช้า ผมแอบดีใจลึกๆ เพราะจะได้หาข้ออ้างมาที่บ้านพี่ ผมชอบมองพี่เวลานั่งอยู่ตรงเครื่องพิมพ์ดีด ฟังเสียงแป้นพิมพ์กระทบกับแคร่พิมพ์ ผมว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ผู้ชายคนหนึ่งกับเครื่องพิมพ์ดีดเครื่องหนึ่ง สามารถร้อยเรียงตัวหนังสือออกมาเป็นเรื่องราวที่สุดสนุกไม่รู้จบ ผมแอบเลียนแบบสำนวนของพี่ หวังว่าพี่คงไม่โกรธผม”

            “ผมอาจจะพูดไม่เก่ง เขียนหนังสือก็คงสนุกสู้นักเขียนนิยายไม่ได้ เรื่องที่ผมเขียนอาจจะดูไม่ตื่นเต้น แต่ผมไม่รู้จะบอกความในใจที่เก็บมาเป็นสิบๆ ปีให้พี่รู้อย่างไรดี ผมอยากบอกว่าผมรักพี่ รักนิยายของพี่ รักสิ่งที่พี่คิดอยู่ในหัว รักทุกอย่างที่เป็นพี่ ผมไม่สนใจว่าพี่จะอายุเท่าไหร่ จะหน้าตายังไง ผมรักพี่ ชอบพี่ อยากอยู่ใกล้ๆ พี่ อยากเป็นคนแรกที่ได้อ่านนิยายของพี่ ผมเป็นแฟนหนังสือของพี่ และผมก็อยากเป็นแฟนพี่ด้วย ผมพยายามเขียนถ้อยคำพวกนี้ออกมาเป็นตัวหนังสือ เพราะคิดว่ามันคงดูจริงใจกว่าคำพูดตะกุกตะกักของผม แต่ผมอยากให้พี่รู้ ถึงผมจะพูดไม่เก่ง และอาจจะปากไวไปบ้าง แต่ทุกคำที่ผมพูดและเขียน เป็นความจริงในใจผม ผมแอบรักพี่มานาน พี่เป็นคนในดวงใจผม และจะอยู่ในนั้นตลอดไป...”

“สุภาพงษ์ (โจ) น้องชายข้างบ้านที่เคยไปนั่งฟังพี่เล่านิยายทุกวัน”

            ผมนั่งอยู่นาน กว่าจะทำใจเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายรูปหล่อตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ได้ พอหันไปก็เห็นเขาหน้าแดงจัด ขบปากนิดๆ “พี่นิตว่าไงครับ?”

            ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นอึงอยู่ในอก ที่จริงมันเต้นดังตั้งแต่เริ่มอ่านกระดาษที่เขาส่งให้แล้ว

            “พี่ว่ามันเป็นจดหมายนะ”

            “ครับ....”

            “จดหมายจากแฟนนิยาย....”

            “ครับ..............”

            ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เลยเอาหัวกระแทกอกเขาแล้วก็ค้างไว้แบบนั้นแก้อาย “โจไม่เขินบ้างหรือไงเนี่ย?!”

            “ขะ... เขินสิครับ” เขาว่า แล้วรีบกอดผมเอาไว้ การกระทำช่างขัดกับคำพูดจริงๆ นะเนี่ย แต่ผมเขิน ผมขอเอาหน้ามุดอกเขาแทนแผ่นดินก่อนแล้วกัน

            “พะ... พี่นิตจะรับรักผมมั้ย?”

            “................” ผมได้แต่อ้าปากค้าง ไม่รู้จะตอบยังไง ได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงจนน่ากลัว เขาจะคาดคั้นคำตอบกับผมให้ได้เลยใช่ไหมนี่?! เขาจะรู้ไหม ผมตอบไม่ออก ผม.... ผมจะตอบยังไงดี.....

            “พี่นิต....”

            เอาล่ะ ก่อนที่หัวใจผมจะเต้นผิดจังหวะจนต้องสามส่งโรงพยาบาล ผมรีบจัดการทำให้เขาหยุดพูดก่อนดีกว่า

            “โจ... พี่.....” พอเงยมาเห็นหน้าเขา เห็นสายตาของเขา คำพูดของผมก็พลันหายเข้าไปในคอเสียดื้อๆ ผมตั้งใจจะบอกเขาว่า หยุดตื้อผมได้แล้ว พอถึงเวลาเมื่อไหร่ ผมจะบอกเอง แต่ผมคงไม่บอก เพราะผมใจไม่ด้านพอ ผมอาย เขาจะเข้าใจไหม ผมทั้งอายทั้งกลัว จะให้ผมพูดไปได้ยังไง แต่เพราะดวงตาที่มองมาอย่างตั้งใจของเขา และหน้าตาจริงจังของเขา เลยทำให้ผมเผลอตัว....

            “...............................”

            ผมไม่รู้หรอกว่าผมพูดอะไรออกไปรึเปล่า แต่ผมรู้แค่ว่าผมแนบริมฝีปากของตัวเองเข้ากับริมฝีปากของเขา พยายามจะส่งกระแสจิตผ่านปลายลิ้นที่ค่อยๆ สัมผัสกันของเราให้เขาได้รู้ความในใจผม ไม่รู้ว่าจะสมกับที่เขาตั้งความหวังเอาไว้หรือเปล่า ผมพูดและเขียนได้ทุกอย่าง ยกเว้นความในใจของตัวเอง คงเพราะผมอยู่ตัวคนเดียวมานานเกินไป ผมยังหวั่นใจกับการเข้ามาของใครสักคน ผมยังไม่อยากจะยอมพลีให้เขาทุกอย่างในตอนนี้ เพราะฉะนั้น ขอผมกั๊กไว้อีกนิด เก็บไว้อีกหน่อย แล้วค่อยๆ ทยอยให้เขาไปเรื่อยๆ

            ก็หวังว่าตอนที่ผมให้เขาไปหมดทุกอย่างแล้ว เขาคงไม่หนีจากผมไปไหน

            หรือว่าผมจะเก็บเอาไว้ตลอดดี... เขาจะได้อยู่กับผมแบบนี้ตลอดไป

--------------------------------------------------
(จบ)

กรี๊ดดด!!!!!!!!!!!!!! หลังจากหายไป2เดือนค่ะ ฮ่าๆๆ (อ้าว เรื่องนี้ดองนานกว่ามือปืนเหรอเนี่ย อิฉันนับคิวผิด!!!<<ยังจะมีหน้ามาพูดอีก :fire:)

สองเดือนผ่านไป... กลับมาด้วยคำว่า.. "จบ" (โดนคนอ่านทุกคนรุมกระทืบจนทะุลุไปถึงแอสการ์ด<<ยังจะแถไปได้ :beat:)

อย่าเพิ่งคิดว่าตาฝาด อย่าเพิ่งคิดว่าตัดจบ เพราะเรื่องนี้ "จบจริง!!" หลังจากที่ตัดสินใจจะจบมาตั้งแต่ตอนที่21-22 แต่ก็ลากยาวมรถึงตอนนี้จนได้ (ทำให้นึกหวั่นใจว่าจำนวนหน้าตอนรวมเล่มอาจจะพุ่งจนต้องแยกออกเป็น2เล่มแทนที่จะเป็นหนึ่งเล่มอย่างที่ตั้งใจไว้ตอนแรก<<คนอ่าน : ไม่อยากฟังโว้ย!!!)

ทุกคนใจเย็นๆ นะคะ เรารู้ว่าคุณพนิตน่ารัก.. และยังสดซิงกระทั่งบรรทัดสุดท้าย (อยากจะกราบประโยคตอนจบที่พี่นิตคิดจริงๆ มันเป็นตอนจบที่แม้กระทั้งอิฉันก็ยังคาดไม่ถึงมาก่อน โอ๊ย คุณพนิตตต คุณพนิตตตต!!!!!! :call:)

อันที่จริงเรื่องนี้มันเริ่มอย่างเรื่อยๆ เฉื่อยๆ และเฉื่อยมาโดยตลอด เฉื่อยจนกระทั่งเราเองยังสงสัยว่า มันมาได้ไงถึงตอนที่20กว่า แต่ทุกตอนพี่นิตช่างน่ารัก จนไม่อยากให้ลื่นหายไปไหน (คนหรือสบู่?) กระนั่น ขืนเรายังเขียนชิลๆ ต่อไป คาดว่านอกจาก2เดือนจะลงได้1ตอนแล้ว มันอาจจะไม่มีวันจบไปตลอดชาติ!!!

เพราะงั้นค่ะ!!! เพราะงั้นเลยต้องจบตรงนี้ที่นี่เลยค่ะ!!! (โดนสกายคิกกลางอากาศ :z6:)

ส่วนตอนที่เหลือ อย่างเช่น งานหนังสือ หรืออะไรก็ตามแต่ที่เราอาจจะนึกได้หลังจากนี้ ก็คงจะไปอยู่ในรวมเล่มค่ะ

อนึ่ง.. รวมไปถึง.... ฉากที่ทุกคนตั้งตารอของเรื่องนี้

อันว่าพี่นิตจะรักษาความซิงของเขาไปได้ตลอดรอดฝั่งอย่างที่ตั้งใจไว้หรือไม่ หรือจะล้มพับกลางทาง หรือต้องไปทำตามคำแนะนำของแพทย์ (อะไรเนี่ย??) ทั้งหมดนี่ก็จะเป็นตอนที่ลงเฉพาะในรวมเล่มค่ะ^v^ (ยิ้มหน้าซื่อ)

กำหนดการรวมเล่มของเรื่องนี้ อาจจะอยู่ที่ปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้าค่ะ (ดูความสะดวกก่อนค่ะ เพราะตามคิวคือน่าจะต่อจากนกยูงแดง แต่ว่าอาจจะมีเหตุอื่นมาแทรกก็ได้)

ขอบคุณที่ให้การติดตามมาจนถึงบรรทัดนี้ค่ะ

Ju~oN

ปล. สงสัยโจอาจจะต้องเปลี่ยนคำนำหน้าจดหมายใหม่.. เป็น "คุณพนิตที่กั๊ก" แทน "คุณพนิตที่รัก" ฮ่าๆๆๆ (ว้าย แต่ยังไงโจก็รักใช่มั้ยล่า~~~ :impress2:X

ออฟไลน์ ooopimmyooo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
อะ อะ อัพแล้ว-0-

มาพร้อมตอนจบซะด้วย
คุณพนิตน่ารักตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆ
เขินนนนนนนนนนนนนนนน ><

ryoko_chan

  • บุคคลทั่วไป
"คุณพนิต...ขี้กั๊ก..."

สงสัยพี่นิตจะเก็บความซิง ไว้ชิงโชคซะล่ะมั้งคะงานนี้
ประมาณว่าใครเก็บได้นานที่สุดอาจจะได้รางวัลใหญ่ เป็นบ้านเดี่ยวใจกลางเมือง พร้อมผู้ชายหน้าตาดี นามว่าโจ...อะไรทำนองนี้
ฮ่าาาาาาาา ฝันเฟื่อง-"-

ฮื้ออออออออออออออออออออ ถึงพี่นิตจะยังซิง
แต่ตอนนี้มันก็หวานจนบรรยายไม่ถูกเลยนะคะ
นั่นสินะคะ พี่นิตขาเก็บไว้นานเลยก็ได้ค่ะ หลอกให้เด็กมันอยากอยู่อย่างนั้นแหล่ะค่ะ
จะได้กลายเป็นลูกไก่ในกำมือพี่นิต ว่านอนสอนง่าย เลี้ยงก็เชื่อง...ไม่มีใครจะไปน่ารักมากกว่าโจแล้วล่ะค่ะ
แค่จูบหวานๆสักจูบหนึ่งจากพี่นิต โจเค้าก็ฝันหวานไปสามวันสิบวันแล้วล่ะค่ะ

แต่งานนี้ต้องบอกว่าพี่นิตเป็นเอามากจริงๆ ฮ่าฮ่า
สับสนในตัวเองแบบบอกไม่ถูก คนอ่านก็ชักจะสับสน งง งวย ตามพี่นิตไปติดๆ
ก็รู้นะคะว่าหลงโจ แต่คราวนี้ ชะเง้อคอรอรถเก๋งสีขาวจนไม่เป็นอันเขียนนิยายนี่ก็ไม่ไหว

คุยกับคุณคนแต่งมากๆคนรู้สึกขำทุกครั้งที่เจอประโยคไหนที่
มีลักษณะทำนองใกล้เคียงกัน มันแบบ ใช่เลยอ้ะ!!!
พี่นิตก็น่ารัก คนเขียนก็น่ารักขนาดนี้ คนอ่านก็ติดงอมแงมล่ะค่ะ><

กลับไปที่จดหมายบอกรักของคุณโจโจ้...(ขอเรียกอย่างนี้เพราะเกิดอาการหมั่นไส้แบบไร้สาเหตุ เอ๊า?)
ฮ่าาาาาาาาา ล้อเล่นล่ะค่ะ
ก็แหม่...คุณพนิตที่รัก..ฮื้อ...ถ้าลองมีคนมาพูด คุณพริ้มที่รัก ใกล้ๆเป็นหนูหนูคงใช้มือหรือไม่ก็เท้ายันก่อนเป็นอันดับแรก
โทษฐานที่ทำให้ขนลุกขนพองในยามวิกาล(?) ฮ่าาา เริ่มไร้สาระเข้าไปทุกที

แต่เป็นโจ...ให้อภัยค่ะ แค่หน้าตาก็ผ่านแล้ว...(หลายมาตรฐานจริงๆเธอคนนี้ ก๊ากๆ)

ให้อารมณ์โจพาหนูนั่งไทมืแมชชีนที่ไปยืมมาจากโดราเอม่อน ย้อนกลับไปสมัยหนังยังเป็นสีน้ำตาลหม่นๆแล้วต้องพากษ์เสียงเอานะ่ค่ะ
มันให้ฟีลนั้นจริงๆนะคะกับคำว่า "คุณพนิตที่รัก" เนี่ย...จะว่าหมั่นไส้ก็หมั่นไส้ไอ้ประโยคนี้เนี่ย
แต่ถ้าถามว่าเขินมั๊ย?

เขินมากกกกกกกกกกกกกกกก

 :-[

ไม่ไหวจริงๆมานั่งเขียนบอกความในใจคนแก่อ่ะ!
แล้วดูคนแก่ก็ ซึ๊นนนนนซึน...โหววววววววววววว กว่าจะยอมรับรักคุณสุภาพงษ์ได้
ก็ได้ลวนลามซึ่งกันและกันไปหลายรอบแล้ว...โฮ่ๆ

แหม่ แค่ได้เสียกันเพิ่มมาอีกนิดนึงไม่เสียหลายยยย
เอาเป็นว่าชิงโชคได้รางวัลเมื่อไหร่(ที่เคยกล่าวเอาไว้ข้างต้น) ก็สละความซิงเลยนะคะ!
คราวนี้ไม่ได้สงสารโจ แต่สงสารพี่นิต เดี๋ยวสนิมเกาะแล้วใช้งานไม่ได้ขึ้นมาแย่เลย เดี๋ยวได้ซิงทั้งชาตินะคะ (หือ??)

ฮ่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

ชอบตอนนี้จริงเล้ยยยยยย><

ติดตามรอค่าาาาาา ท้ายปีเลยเหรอเนี่ยยยยยย แต่ไม่เป้นไรค่ะรอได้ ไม่ว่าจะปีหน้าก็รอได้ค่ะ..เดี๋ยวนี้เวลามันผ่านไปเร็ว
อิอิ ยังจำความรู้สึกตอนแรกที่อ่านเรื่องนี้ครั้งแรกได้อยู่เลยค่ะ รู้สึกจะสักเกือบๆปลายปีที่แล้ว
เพราะรู้สึกว่าจะมาอ่านเรื่องนี้เอาก็ตอนที่ ผ่านไปได้สัก สองสามตอนแล้ว (หรือเปล่า?) น่าจะใช่ๆ

อ่ากลับไปดู อ่านทีเดียวห้าตอนรวดต่างหาก แถมตอนนั้นยังแอบใช้ยูสเพื่อนเม้นท์อยู่เลย ฮ่าฮ่า

จะว่าไปแล้วนะคะ...ถ้าลองเอาอายุของตัวละครในนิยายคุณจูออนมารวมกัน
หนูว่าย้อนเวลากลับไปสมัยสุโขทัยได้ไม่ยากเลยนะคะ ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆแบบเรื่อยๆ เปื่อยๆ สบายๆ มีใจเต้นบ้าง(ตามจังหวะหัวใจของพี่นิต)
อ่านเรื่องนี้แล้วมีความสุขจริงๆค่ะ!

RanJeri

  • บุคคลทั่วไป
จบแล้ว พี่นิตก็มีพัฒนาน่ะเนี้ย มีทั้งจะโทรหาก่อน แถมเริ่มจูบก่อนอีกต่างหาก :laugh:

พี่นิต เขียนไม่ออกพูดไม่เป็นก็ใช้ภาษากายก็ได้น่ะ  :-[

ขอบคุณสำหรับเรื่องน่ารักๆค่ะ :กอด1:

ออฟไลน์ bluerose

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
จบซะแล้ว ขอบคุณมากนะค่ะ ที่เขียนเรื่องดีๆแบบนี้ขึ้นมาให้อ่าน เป็นเรื่องเรื่อยๆ ที่ประทับใจมากจริงๆค่ะ

ออฟไลน์ misso

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
ไม่ได้ดูชื่อตอน เห็นแต่วันที่อัพเดท พอเจอคำว่าจบนี่เหวอไปเลยแฮะ

จบแล้ว o22

ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว

อ่านตอนนี้แล้วก็เปรียบเทียบคุณพนิตกับคุณไพฑูรย์อยู่ อ่านไปพยายามหาจุดแตกต่างระหว่างสองคนนี้เพราะความสูงวัยของทั้งคู่มันทำเค้าสับสนอยู่เรื่อย :o8: ..กำลังอ่านบันไดเล่มสองอยู่น่ะค่ะ ยังไม่จบเลย เดี๋ยวจบแล้วจะมาเล่าความรู้สึกให้ฟังนะคะ แอบแซว เล่มหนึ่งเนื้อเรื่องหลักน้อยกว่าบันทึกนายนพรัตน์กับตอนพิเศษอีกง่ะ

กลับมาที่คุณพนิตใหม่ จนจบเรื่องคุณพนิตก็ยังรักนวลได้ตั้งแต่ต้นยันจบ เอะใจกลับไปอ่านชื่อเรื่อง โถ นายโจเอ๋ย สงสัยจะไม่สะดวกจริงๆล่ะจ้ะพ่อคุณ  :laugh:

ขอบคุณค่ะ :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Cc-kun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
เอ้อะะ

จบแบบนี้สมกับเป็นคุณพนิตจริงๆ

แหม่ อ่านมาทั้งเรื่องไม่ใช่แค่โจคนเดียวแล้วมั้งที่มือไว

เพราะพี่นิตก็...ไวเหมือนกัน

หุๆๆ

ออฟไลน์ akiko

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 620
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
เป็นตอนจบ ที่ตัดฉับๆๆๆ จริงๆๆ แต่ไม่เป็นไรรอเล่ิมรวมได้  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

อ่านไปอ่านมากลายเป็นว่าตอนนี้เริ่มหลงรักคนแก่แล้วซิ

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ pure_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
อ่านเจอคำว่า จบ มันยัง งงๆ
เลยออกไปหน้าแรกแล้วเข้ามาใหม่

ก็จบจริงๆ นี่

จบแล้วเหรอ จบแบบคนอ่านคนนี้ยัง งงๆ
เด่วขอไปซัดมาม่าต้มยำกุ้งให้สมองปรี๊ดก่อนแล้วมาอ่านใหม่ดีกว่า

มัน อึ้งๆ งงๆ บอกไม่ถูกอ่ะ ว่า จบ จริงๆ แล้วเหรอ เอ๊ะ !!!



ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
แอบช็อคเบา ๆ ที่เปิดมาเจ๊อะกับคำว่าจบ !!!

แต่จบได้สมกับเป็นพี่นิตจริง ๆ
เรื่องนี้ใส ๆ เรื่อย ๆแต่น่ารักมากกกก

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ

ออฟไลน์ Alone Alone

  • ขอตายในอ้อมกอดฮยอกแจ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
อืม จบ อืมๆๆ ห๊ะ!!!!

(ตอนอ่านอารมณ์นี้จริงๆ นะพี่จู)

อยากกรีดร้อง อยากให้พี่นิตมีอายุยืนยาวกว่านี้ (เอ๊ะ)

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
กลับมาแล้ว :mc4:
จบแล้ว :z3:
กลับมาพร้อมคำว่า "จบ" นี่รู้สึกมึนงงสุดขีด :laugh:
พี่นิตทำร้ายจิตใจนักอ่านอย่างจัง :a5:
พี่เก็บความซิงมาตั้งสี่สิบกว่าปี  o13
ขอให้เสร็จโจ :m20:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ดันมาหยุดตรงจุ๊บพอดี  :m16: พี่นิตจะลังเลอาไร้ แค่ปล่อยไปตามหัวจายยยก็แค่นั้นอ่ะ  :z2:

ออฟไลน์ sunshine538

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
เห็นพี่นิตอัพแล้วแทบกรีดร้อง

แต่พอเห็นคำว่า จบ ก็แทบโหยหวน ม่ายยยยยยยยยยย :a5:

ตอนแรกไม่อยากอ่านเลย กลัวจบจริงๆ  :z6: (แล้วแกจะกลัวไปทำไมฟระ !!  คนเขียนโดดถีบ)

พออ่านแล้ว ...ดีใจที่ได้อ่าน ตอนนี้น่ารักสุดยอด พี่นิตไม่ไหวแล้ว ฮา!!!!

ตอนนี้เพิ่งกลางปี รอปลายปีถึงจะได้อ่านเล่มพร้อมตอนพิเศษใช่มั้ย ใช่มั้ย ใช่มั้ยยยยยยย

ใช่ก็ใช่ เราจะรอรูปเล่มนะคะ  :call:

ขอบคุณสำหรับเรื่องใสๆ ที่แสนน่ารักค่ะ

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
จบด้วยการสารภาพรักที่แสนน่ารักโดยที่พี่นิตไม่เป็นลม  อิ อิ

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
จบเลยเหรอ กริ้ดดดด ไม่จริงงงงง
 :z3: :z3: :z3:
แถมพี่นิดโดนน้องโจหม่ำอยู่ในหนังสือเท่านั้น ฮือ ๆ น้ำตาไหล TT^TT

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด