“ถึงคุณพนิตที่รัก”
“ตอนผมเด็กๆ ผมเคยย้ายมาอยู่บ้านเช่าในแถบชานเมืองของกรุงเทพฯ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นสวนผลไม้อยู่ ใกล้กับบ้านเช่ามาผมมาเช่าอาศัยอยู่กับแม่ มีบ้านสวนของลุงกับป้าคู่หนึ่ง ทั้งสองคนใจดีมาก อนุญาตให้เด็กๆ อย่างพวกเราเข้าไปวิ่งเล่นในสวนได้ โดยมีข้อแม้ว่าห้ามเข้าไปเกินเขตที่กั้นไว้ เพราะเดี๋ยวมืดค่ำจะหากันลำบาก ไปเล่นกันทีไร คุณป้าก็มักจะมีผลไม้ฝากติดไม้ติดมือพวกผมกลับมาที่บ้านด้วย สำหรับผมแล้วมันเป็นความทรงจำที่แสนประทับใจที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้”
“ลุงกับป้าเจ้าของสวน มีลูกชายกับลูกสาวสองคน อายุเยอะกว่าผมทั้งคู่ ลูกชายเรียนจบมาได้สักปีสองปีแล้ว ส่วนลูกสาวเหมือนว่ากำลังเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายพอดี ดังนั้นพอไปเล่นที่บ้านสวนนั้นทีไร ผมจึงได้เจอพี่ชายที่เรียนจบแล้วอยู่เสมอๆ เขาตัวผอมๆ สูงๆ ไว้ผมยาวประบ่านิดๆ ผิวออกขาวเหมือนคนไม่ค่อยออกแดด ได้ยินคุณป้าเล่าว่า ลูกชายแกคนนี้เป็นนักเขียน เวลาพวกผมไปเล่นที่บ้าน พี่ชายคนนี้จะออกมานั่งดูพวกผมเล่นตรงชานบ้าน บางทีก็ออกมาช่วยลุงกับป้ารดน้ำต้นไม้ หรือตัดกิ่งไม้ ผมเห็นแล้วก็รู้สึกว่า พวกผมมารบกวนสมาธิการเขียนนิยายของพี่เขารึเปล่า เพราะเห็นว่านักเขียนชอบที่เงียบๆ วันหนึ่ง ตอนที่พี่เขากับลุงมาซ่อมชิงช้าที่แขวนอยู่กับกิ่งต้นไม้ใหญ่ในสวนที่เริ่มผุเพราะกาลเวลา ผมเลยถามพี่เขาไปว่าพวกผมมารบกวนรึเปล่า พี่เขาก็ยิ้ม แล้วบอกว่าเปล่า พี่ชอบ เด็กๆ มาเล่นกันที่บ้านดูแล้วสดชื่นดี เอาไปเป็นพล็อตเขียนนิยายได้ด้วย ผมเลยพูดออกไปว่า อยากอ่านนิยายที่เขาเขียนจัง”
“พี่เขาทำหน้าเขินนิดๆ แล้วบอกว่าพี่ก็กำลังหาคนช่วยอ่านอยู่ เพราะจะส่งให้สำนักพิมพ์พิจารณา ถ้าผมอยากอ่านเดี๋ยวจะเอามาให้อ่าน จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน แล้วหยิบกระดาษที่มีตัวพิมพ์ดีดเรียงกันด้านในมาให้ผม แล้วบอกว่า นี่ล่ะนิยายตอนแรกที่พี่จะส่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับรุขเทวดาน้อยในต้นโมก กับเด็กผู้ชายข้างหน้าต่าง ผมฟังแค่หัวข้อเรื่องก็รู้สึกสนใจขึ้นมาจริงๆ ผมชอบอ่านหนังสือนะ อ่านที่ห้องสมุดจนจะหมดแล้ว พอพี่ชายบอกว่าอยากจะให้ผมลองอ่านนิยายที่เขียน ผมก็ดีใจมาก คิดตอนนั้นว่าถ้าต่อไปพี่เขาได้กลายเป็นนักเขียนจริงๆ ผมจะมาขอลายเซ็น”
“พี่เขาเขียนนิยายสนุกจริงๆ ผมเพิ่งเคยอ่านนิยายแฟนตาซีที่เขียนโดยคนไทยแล้วสนุกขนาดนี้เป็นครั้งแรก คือไม่ใช่ว่าคนอื่นเขียนไม่ดีนะ แต่ว่าของพี่เขาอ่านง่าย สนุกมากด้วย อ่านแล้วติดเลย หลังจากนั้นวันไหน ถ้าผมเลิกเรียนเร็ว ผมจะมาหาพี่เขาที่บ้าน เพื่อมาอ่านนิยายตอนใหม่ของเขา พี่ชายก็ดูจะชอบที่มีคนติดนิยาย บอกผมว่าเดี๋ยวได้พิมพ์เป็นเล่มแล้วจะซื้อให้ผมฟรีเล่มหนึ่ง ผมเลยบอกว่าไม่เป็นไร เพราะผมตั้งใจจะซื้ออยู่แล้ว ให้พี่ได้รวมเล่มเถอะ ผมจะรีบซื้อเลย”
“บางทีพี่เขาพิมพ์ให้ผมอ่านไม่ทัน ก็เล่าปากเปล่าให้ผมฟังเลยก็มี ท่าทางเขามีความสุขเวลาได้เล่าเรื่องที่เขาคิดไว้ในหัว ผมเองก็มีความสุขเหมือนกัน เพราะเรื่องที่เขาเล่าออกมาสนุกมาก อยากให้เขาเขียนออกมาไวๆ อยากอ่านนิยายของเขา ผมว่านิยายเขาสนุก อีกไม่นานเขาคงได้เป็นนักเขียนดังแน่ แต่แล้วก่อนหน้าที่ผมจะได้รู้ว่างานเขาจะได้ตีพิมพ์หรือไม่ ผมก็มีอันต้องย้ายบ้านตามแม่ไปอีกครั้ง”
“ย้ายไปบ้านใหม่มีเรื่องต้องทำเยอะแยะ อีกอย่างผมก็ขึ้นม.ปลาย เรียนหนักขึ้น ไม่ค่อยมีเวลาไปเล่นสนุกแล้ว แต่เวลาเดินผ่านร้านหนังสือ ผมยังแอบหวังจะได้เห็นเรื่องที่พี่ชายคนนั้นเล่าให้ผมฟัง ได้ขึ้นแผงหนังสือกับเขาบ้าง เวลาผ่านไป ในที่สุด ผมก็ได้เห็นหนังสือที่มีชื่อเรื่องคล้ายๆ กับที่พี่ชายให้ผมอ่าน และพอเปิดดูด้านใน ก็พบว่าเป็นเรื่องเดียวกันจริงๆ ผมดีใจมาก เพราะรู้ว่าพี่ชายได้เป็นนักเขียนกับเขาจริงๆ แล้ว เลยยอมตัดใจแคะกระปุกออมสินที่สะสมเอาไว้หลายปี เพื่อเอาเงินมาซื้อหนังสือ และตั้งใจว่าจะนั่งรถไปขอลายเซ็นพี่เขาที่บ้าน”
“แต่สุดท้าย จนผมเรียนจบม.ปลาย ก็ไม่ได้นั่งรถมาขอลายเซ็นพี่ชายคนนั้นสักที หลังจากนั้นเขามีงานออกมาอีกหลายเรื่อง ผมก็ตามซื้อทุกเรื่อง พยายามจะซื้อตั้งแต่วันแรกที่วางแผง มีพลาดไปบ้างเหมือนกัน เพราะสถานทางการเงินของบ้านผมตอนนั้นไม่ค่อยดี แต่สุดท้ายผมก็ซื้อมาจนครบทุกเรื่อง ตั้งใจว่าทำงานหาเงินได้เองเมื่อไหร่ จะไปหาพี่เขา เอาหนังสือทั้งหมดนี้ไปขอลายเซ็นอย่างที่ตั้งใจไว้เสียที”
“ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คณะนิเทศศาสตร์ ตอนนั้นผมได้เจอกับเพื่อนอีกคนซึ่งอยู่คณะเดียวกัน เขาชอบงานของพี่ชายเหมือนผม เราคุยกันถูกคอมาก จนในที่สุดก็คบเป็นแฟนกัน หลังจากนั้นตอนอยู่สักปีสี่ ผมก็ได้ข่าวมาว่าพี่ชายคนนั้นมีงานเปิดตัวหนังสือ และจะแจกลายเซ็นในงานด้วย ผมกับเพื่อนเลยหอบหนังสือไปที่งาน หวังว่าจะได้ขอลายเซ็นพี่เขาเสียที”
“พี่ชายคนนั้นดูเหมือนเดิมแทบไม่เปลี่ยน ผอมเหมือนเดิม แต่คงจะเตี้ยกว่าผมแล้ว ผมไม่รู้ว่าเขาจะจำผมได้ไหม ผมไม่ได้เจอเขานานมาก เจอครั้งสุดท้ายผมเพิ่งเป็นนาย แต่ตอนนี้ผมอายุเกินยี่สิบแล้ว ตัวก็ใหญ่ สูงด้วย ความทรงจำเดิมที่ผมจำได้คือพี่เขาเขียนนิยายสนุก เล่าเรื่องเก่ง แต่ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่า พอเห็นเขาอีกครั้ง หัวใจผมกลับเต้นแรงจนเกือบคุมไม่ได้ เขาเหมือนเดิม ยิ้มเหมือนเดิม พูดเหมือนเดิม แต่ใจผมสั่น ผมแอบมองเขาจากเก้าอี้แถวหลัง ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผมจะใจเต้นแรงกับนักเขียนในดวงใจของผมได้ขนาดนี้ แรงขนาดที่ผมไม่กล้าจะเอาหนังสือไปให้เขาเซ็นอย่างที่เคยตั้งใจไว้ ผมกลัวตัวเองเผลอกอดเขาไป กลัวจะเผลอพูดออกไปแบบคนรักษาสติไม่ได้ เลยต้องฝากแฟนที่ไปด้วยกันไปขอให้แทน”
“แรกๆ ผมแค่คิดว่าผมตื่นเต้นเพราะพี่ชายเป็นนักเขียนในดวงใจผม และผมเป็นคนที่ได้อ่านนิยายของพี่ก่อนได้ตีพิมพ์ แต่ว่าหลังจากวันนั้น ผมคิดถึงหน้าพี่ทุกวัน บางวันผมฝันว่าได้กอดพี่เอาไว้ บางทีก็ฝันน่าเกลียดกว่านั้น ผมรู้ตัวแล้วว่าผมไม่ได้ปลื้มพี่เฉพาะแค่ในฐานะนักเขียน แต่ผม... ผมคงหลงรักพี่อย่างไม่รู้ตัว ผมลบภาพพี่ออกจากหัวไม่ได้เลย ผมคิดถึงหน้าพี่ คิดถึงรอยยิ้มพี่ คิดถึงเสียงพูดเสียงหัวเราะของพี่ คิดถึงวันเวลาเก่าๆ ที่ผมเคยไปบ้านพี่ ให้พี่เล่านิยายให้ฟัง แต่ไม่รู้ว่าพี่จะจำผมได้รึเปล่า”
“พอเรียนจบ ผมก็ตั้งใจจะทำงานในวงการงานพิมพ์ แรกๆ ก็ไปสมัครเป็นผู้ช่วยฝ่ายธุรการ แล้วก็ศึกษาต่อด้านอักษรศาสตร์ ตอนหลังก็ได้เลื่อนมาเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการ เพราะเจ้าของสำนักพิมพ์ตอนนั้นชอบความเห็นของผมตอนเข้าประชุม หลังจากนั้นผมก็ทำงานเก็บเงินมาเรื่อยๆ หวังในใจว่าสักวันจะได้เจอกับพี่อีกครั้ง ในฐานะของคนในวงการเดียวกัน”
“สุดท้ายพอเก็บเงินและประสบการณ์มาได้เกือบสิบปี ผมก็ตัดสินใจเปิดสำนักพิมพ์ ตอนแรกว่าจะไปติดต่อให้พี่ชายคนนั้นมาเขียนเรื่องให้ แต่ก็กลัวว่าจะไม่มีเงินพอจ่ายค่าลิขสิทธิ์ เลยลองเปิดดูสักพัก พอเห็นว่าสำนักพิมพ์มีกำไรพอสมควรแล้ว ผมเลยเริ่มหาทางติดต่อพี่ชายคนนั้นเพื่อให้มาเขียนเรื่องให้”
“หลังจากงานแจกลายเซ็นวันนั้น ผมไม่ได้เจอพี่เขาอีกเลยถึงสิบกว่าปี เพราะฉะนั้น พอรู้ว่าพี่ยอมจะตกลงเจรจาทำสัญญากับผมที่บ้าน ผมเลยตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้ไปบ้านพี่ชายคนนั้นมาเป็นยี่สิบปีแล้ว สภาพจะเป็นยังไงบ้าง แล้วคุณลุงคุณป้าจะยังอยู่ไหม ถ้าเจอแล้วจำผมได้คงดี แต่ก็กลัวว่าพี่อาจจะไม่เซ็นสัญญากับผมถ้าจำผมได้ เพราะผมเคยเป็นเด็กข้างบ้านพี่ เคยไปฟังพี่เล่านิยาย จู่ๆ จะมากลายเป็นบรรณาธิการของพี่ พี่อาจจะรู้สึกกระอักกระอ่วนก็ได้”
“ผมคิดไปต่างๆ นานา ตอนแรกเกือบจะให้คนอื่นไปแทนแล้ว แต่คิดอีกที ผมตั้งใจมาเป็นสิบปี ว่าวันหนึ่งจะชวนพี่มาเขียนเรื่องให้ ผมมาถอยเอาตอนนี้คงเสียเปล่า เลยกลั้นใจไปบ้านพี่ ทั้งๆ ที่ไม่เคยไปมาตั้งยี่สิบปีแล้ว”
“บ้านหลังนั้นเปลี่ยนไปมาก สวนก็เล็กลงแล้ว บ้านก็ต่อเติมใหม่ ตอนผมจอดรถที่หน้าบ้าน ผมบอกตัวเองให้พยายามสงบเข้าไว้ ผมซื้อของฝากมาเยอะ ถ้าเจอคุณลุงกับคุณป้าผมจะแนะนำตัวเอง ท่านคงเมตตาเอ็นดูผม พี่ก็อาจจะไม่รังเกียจผมเท่าไหร่”
“แต่แล้วก็เป็นพี่ที่มาเปิดประตูบ้าน ท่าทางจำผมไม่ได้เลย เห็นพี่ทำท่าทางเป็นคนอื่นแบบนั้น ผมเลยทำตัวไม่ถูก ของที่ซื้อไว้ก็ต้องตั้งไว้ในรถ เพราะไม่รู้จะเริ่มอธิบายยังไง คิดเอาว่าเดี๋ยวเจอคุณลุงกับคุณป้าแล้วผมค่อยออกมาหยิบก็คงไม่น่าเกลียด แต่พอเข้าไปในบ้านพี่ ผมถึงได้รู้ว่าคุณลุงกับคุณป้าเสียไปแล้ว น้องสาวพี่ก็แต่งงานแล้ว ตอนนี้เหลือพี่อยู่บ้านหลังนี้แค่คนเดียว”
“แล้วพี่ก็รินน้ำมาให้ผม พูดกับผมเหมือนนักเขียนคนอื่นๆ ที่ผมเคยไปติดต่อ ผมที่พูดไม่ค่อยเก่งอยู่แล้วเกือบจะพูดไม่ออกเลย พี่จำผมไม่ได้จริงๆ ผมจำต้องเก็บคำพูดที่คิดจะมาพูดกับพี่ตั้งหลายสิบปีเอาไว้ในใจอีกครั้ง แล้วเจรจาทำสัญญากับพี่เหมือนกับนักเขียนคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่ใจผมเรียกร้องมากกว่านั้น”
“หลังจากนั้นผมก็พยายามหาเรื่องมาหาพี่ที่บ้านตลอด ด้วยหวังว่าจะได้คุยกับพี่ ได้มองหน้าพี่บ้าง... เวลาได้ยินพี่โทรไปที่สำนักงาน ว่าจะส่งต้นฉบับช้า ผมแอบดีใจลึกๆ เพราะจะได้หาข้ออ้างมาที่บ้านพี่ ผมชอบมองพี่เวลานั่งอยู่ตรงเครื่องพิมพ์ดีด ฟังเสียงแป้นพิมพ์กระทบกับแคร่พิมพ์ ผมว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ผู้ชายคนหนึ่งกับเครื่องพิมพ์ดีดเครื่องหนึ่ง สามารถร้อยเรียงตัวหนังสือออกมาเป็นเรื่องราวที่สุดสนุกไม่รู้จบ ผมแอบเลียนแบบสำนวนของพี่ หวังว่าพี่คงไม่โกรธผม”
“ผมอาจจะพูดไม่เก่ง เขียนหนังสือก็คงสนุกสู้นักเขียนนิยายไม่ได้ เรื่องที่ผมเขียนอาจจะดูไม่ตื่นเต้น แต่ผมไม่รู้จะบอกความในใจที่เก็บมาเป็นสิบๆ ปีให้พี่รู้อย่างไรดี ผมอยากบอกว่าผมรักพี่ รักนิยายของพี่ รักสิ่งที่พี่คิดอยู่ในหัว รักทุกอย่างที่เป็นพี่ ผมไม่สนใจว่าพี่จะอายุเท่าไหร่ จะหน้าตายังไง ผมรักพี่ ชอบพี่ อยากอยู่ใกล้ๆ พี่ อยากเป็นคนแรกที่ได้อ่านนิยายของพี่ ผมเป็นแฟนหนังสือของพี่ และผมก็อยากเป็นแฟนพี่ด้วย ผมพยายามเขียนถ้อยคำพวกนี้ออกมาเป็นตัวหนังสือ เพราะคิดว่ามันคงดูจริงใจกว่าคำพูดตะกุกตะกักของผม แต่ผมอยากให้พี่รู้ ถึงผมจะพูดไม่เก่ง และอาจจะปากไวไปบ้าง แต่ทุกคำที่ผมพูดและเขียน เป็นความจริงในใจผม ผมแอบรักพี่มานาน พี่เป็นคนในดวงใจผม และจะอยู่ในนั้นตลอดไป...”
“สุภาพงษ์ (โจ) น้องชายข้างบ้านที่เคยไปนั่งฟังพี่เล่านิยายทุกวัน”
ผมนั่งอยู่นาน กว่าจะทำใจเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายรูปหล่อตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ได้ พอหันไปก็เห็นเขาหน้าแดงจัด ขบปากนิดๆ “พี่นิตว่าไงครับ?”
ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นอึงอยู่ในอก ที่จริงมันเต้นดังตั้งแต่เริ่มอ่านกระดาษที่เขาส่งให้แล้ว
“พี่ว่ามันเป็นจดหมายนะ”
“ครับ....”
“จดหมายจากแฟนนิยาย....”
“ครับ..............”
ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เลยเอาหัวกระแทกอกเขาแล้วก็ค้างไว้แบบนั้นแก้อาย “โจไม่เขินบ้างหรือไงเนี่ย?!”
“ขะ... เขินสิครับ” เขาว่า แล้วรีบกอดผมเอาไว้ การกระทำช่างขัดกับคำพูดจริงๆ นะเนี่ย แต่ผมเขิน ผมขอเอาหน้ามุดอกเขาแทนแผ่นดินก่อนแล้วกัน
“พะ... พี่นิตจะรับรักผมมั้ย?”
“................” ผมได้แต่อ้าปากค้าง ไม่รู้จะตอบยังไง ได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงจนน่ากลัว เขาจะคาดคั้นคำตอบกับผมให้ได้เลยใช่ไหมนี่?! เขาจะรู้ไหม ผมตอบไม่ออก ผม.... ผมจะตอบยังไงดี.....
“พี่นิต....”
เอาล่ะ ก่อนที่หัวใจผมจะเต้นผิดจังหวะจนต้องสามส่งโรงพยาบาล ผมรีบจัดการทำให้เขาหยุดพูดก่อนดีกว่า
“โจ... พี่.....” พอเงยมาเห็นหน้าเขา เห็นสายตาของเขา คำพูดของผมก็พลันหายเข้าไปในคอเสียดื้อๆ ผมตั้งใจจะบอกเขาว่า หยุดตื้อผมได้แล้ว พอถึงเวลาเมื่อไหร่ ผมจะบอกเอง แต่ผมคงไม่บอก เพราะผมใจไม่ด้านพอ ผมอาย เขาจะเข้าใจไหม ผมทั้งอายทั้งกลัว จะให้ผมพูดไปได้ยังไง แต่เพราะดวงตาที่มองมาอย่างตั้งใจของเขา และหน้าตาจริงจังของเขา เลยทำให้ผมเผลอตัว....
“...............................”
ผมไม่รู้หรอกว่าผมพูดอะไรออกไปรึเปล่า แต่ผมรู้แค่ว่าผมแนบริมฝีปากของตัวเองเข้ากับริมฝีปากของเขา พยายามจะส่งกระแสจิตผ่านปลายลิ้นที่ค่อยๆ สัมผัสกันของเราให้เขาได้รู้ความในใจผม ไม่รู้ว่าจะสมกับที่เขาตั้งความหวังเอาไว้หรือเปล่า ผมพูดและเขียนได้ทุกอย่าง ยกเว้นความในใจของตัวเอง คงเพราะผมอยู่ตัวคนเดียวมานานเกินไป ผมยังหวั่นใจกับการเข้ามาของใครสักคน ผมยังไม่อยากจะยอมพลีให้เขาทุกอย่างในตอนนี้ เพราะฉะนั้น ขอผมกั๊กไว้อีกนิด เก็บไว้อีกหน่อย แล้วค่อยๆ ทยอยให้เขาไปเรื่อยๆ
ก็หวังว่าตอนที่ผมให้เขาไปหมดทุกอย่างแล้ว เขาคงไม่หนีจากผมไปไหน
หรือว่าผมจะเก็บเอาไว้ตลอดดี... เขาจะได้อยู่กับผมแบบนี้ตลอดไป
--------------------------------------------------
(จบ)
กรี๊ดดด!!!!!!!!!!!!!! หลังจากหายไป2เดือนค่ะ ฮ่าๆๆ (อ้าว เรื่องนี้ดองนานกว่ามือปืนเหรอเนี่ย อิฉันนับคิวผิด!!!<<ยังจะมีหน้ามาพูดอีก
)
สองเดือนผ่านไป... กลับมาด้วยคำว่า.. "จบ" (โดนคนอ่านทุกคนรุมกระทืบจนทะุลุไปถึงแอสการ์ด<<ยังจะแถไปได้
)
อย่าเพิ่งคิดว่าตาฝาด อย่าเพิ่งคิดว่าตัดจบ เพราะเรื่องนี้ "จบจริง!!" หลังจากที่ตัดสินใจจะจบมาตั้งแต่ตอนที่21-22 แต่ก็ลากยาวมรถึงตอนนี้จนได้ (ทำให้นึกหวั่นใจว่าจำนวนหน้าตอนรวมเล่มอาจจะพุ่งจนต้องแยกออกเป็น2เล่มแทนที่จะเป็นหนึ่งเล่มอย่างที่ตั้งใจไว้ตอนแรก<<คนอ่าน : ไม่อยากฟังโว้ย!!!)
ทุกคนใจเย็นๆ นะคะ เรารู้ว่าคุณพนิตน่ารัก.. และยังสดซิงกระทั่งบรรทัดสุดท้าย (อยากจะกราบประโยคตอนจบที่พี่นิตคิดจริงๆ มันเป็นตอนจบที่แม้กระทั้งอิฉันก็ยังคาดไม่ถึงมาก่อน โอ๊ย คุณพนิตตต คุณพนิตตตต!!!!!!
)
อันที่จริงเรื่องนี้มันเริ่มอย่างเรื่อยๆ เฉื่อยๆ และเฉื่อยมาโดยตลอด เฉื่อยจนกระทั่งเราเองยังสงสัยว่า มันมาได้ไงถึงตอนที่20กว่า แต่ทุกตอนพี่นิตช่างน่ารัก จนไม่อยากให้ลื่นหายไปไหน (คนหรือสบู่?) กระนั่น ขืนเรายังเขียนชิลๆ ต่อไป คาดว่านอกจาก2เดือนจะลงได้1ตอนแล้ว มันอาจจะไม่มีวันจบไปตลอดชาติ!!!
เพราะงั้นค่ะ!!! เพราะงั้นเลยต้องจบตรงนี้ที่นี่เลยค่ะ!!! (โดนสกายคิกกลางอากาศ
)
ส่วนตอนที่เหลือ อย่างเช่น งานหนังสือ หรืออะไรก็ตามแต่ที่เราอาจจะนึกได้หลังจากนี้ ก็คงจะไปอยู่ในรวมเล่มค่ะ
อนึ่ง.. รวมไปถึง.... ฉากที่ทุกคนตั้งตารอของเรื่องนี้
อันว่าพี่นิตจะรักษาความซิงของเขาไปได้ตลอดรอดฝั่งอย่างที่ตั้งใจไว้หรือไม่ หรือจะล้มพับกลางทาง หรือต้องไปทำตามคำแนะนำของแพทย์ (อะไรเนี่ย??) ทั้งหมดนี่ก็จะเป็นตอนที่ลงเฉพาะในรวมเล่มค่ะ^v^ (ยิ้มหน้าซื่อ)
กำหนดการรวมเล่มของเรื่องนี้ อาจจะอยู่ที่ปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้าค่ะ (ดูความสะดวกก่อนค่ะ เพราะตามคิวคือน่าจะต่อจากนกยูงแดง แต่ว่าอาจจะมีเหตุอื่นมาแทรกก็ได้)
ขอบคุณที่ให้การติดตามมาจนถึงบรรทัดนี้ค่ะ
Ju~oN
ปล. สงสัยโจอาจจะต้องเปลี่ยนคำนำหน้าจดหมายใหม่.. เป็น "คุณพนิตที่กั๊ก" แทน "คุณพนิตที่รัก" ฮ่าๆๆๆ (ว้าย แต่ยังไงโจก็รักใช่มั้ยล่า~~~ :impress2:X