ตอนที่ 4หลังกลับมาจากการออกหน่วยเคลื่อนที่กับกลุ่มเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเมื่อสองวันก่อน ผมได้กลับมาอยู่ในที่ๆคุ้นเคยทำงานตามปกติและดูเหมือนว่าใจก็เกือบปกติ เพราะมันไม่มีอาการกระตุกให้ผมตกใจเหมือนที่อยู่ที่โน่น แต่ไอ้อาการเหม่อลอยที่ผมไม่รู้ตัวและไม่เคยเป็นมันกลับมาเกิดขึ้นกับผมและอย่างตอนนี้
“เฮ้ยๆ ไอ้ฟินๆ มึงเป็นไรวะ ให้กูเรียกตั้งนาน”
ไอ้คนที่เรียกผมมันเป็นเพื่อนสนิทอีกคนในกลุ่มผมชื่อ “ไอ้ธี หรือ นายธีรนัย” มันเป็นหนุ่มตี๋อินเทรนด์มีผิวขาวกว่าสาวบางคนที่มันคบ ร่างสูงโปร่งพอมีกล้ามแต่สู้ผมกับไอ้วินไม่ได้หรอกและมันยังเคยบ่นน้อยใจตัวเอง มันสารพัดจะทำแต่กล้ามมันไม่ยอมขึ้น ส่วนนิสัยก็ร่าเริง พูดมาก แต่พอวันไหนไม่มีมันก็เหงาเหมือนกัน
วันนี้ผมนั่งทำงานอยู่ดีๆแม้จะแอบเหม่อไปบ้างมันก็มาแบบไม่ได้โทรมาบอกกันก่อนเลย มาถึงก็เจ้ากี้เจ้าการให้ ‘คุณพิมพ์’ เลขาที่แสนเรียบร้อยของผมหาเครื่องดื่มหาของว่างมาให้บ่นใหญ่ว่าเพิ่งตื่นและรีบมาหาผมทันที แต่ผมก็ไม่ได้ฟังหรอกว่ามันบอกว่ามาหาผมเพราะอะไร เพราะใจผมมันไม่อยู่กับตัวมารู้ตัวก็ตอนมันเรียกผมนั่นแหละ
“เอ่อ กูไม่เป็นไรแล้วมึงมาหากูทำไมแต่เช้า” หันไปสนใจมันหน่อยเดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เต็มใจคุยกับมัน
“ไม่เป็นไรได้ไงมึ้งงง ปล่อยให้กูคุยคนเดียวตั้งนานและกูก็บอกคุณมึงไปแล้วว่าที่มาหาเนี่ยเพราะมึงน่ะผิดนัดกูเมื่อคืนนี้” ธีมันชี้นิ้วมาเกือบจิ้มตาผมและหน้าบึ้งเหมือนโกรธกันสักร้อยชาติ
ผมทำหน้าแบบไหนไม่รู้แต่ที่รู้คือไอ้เพื่อนผมมันทำหน้าเซ็งจัดและทิ้งตัวเหมือนหมดแรงพิงพนักเก้าอี้พร้อมถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วผมไปสัญญิงสัญญากับมันตอนไหนกัน ไอ้ธีคงทนไม่ไหวโพล่งออกมาตามนิสัยใจร้อนของมัน
“กว่ามึงจะนึกออกกูได้เหี่ยวตายก่อนพอดี” พร้อมทำท่าหมดแรงกางแขนกางขาหัวเงยพ้นพนักพิงทำเอาผมอดหัวเราะกับความท่ามากของมันไม่ได้
“เออ หัวเราะได้กูค่อยโล่งใจหน่อยมึงทำหน้าเหมือนมีแต่ตัว แต่ใจไม่รู้ไปอยู่ไหนนะมึงน่ะไอ้ฟิน เฮ้อ สรุปมึงลืมนัดกูเมื่อคืนทั้งๆที่ตอนบ่ายเมื่อวานกูโทรมานัดมึงแล้วอ่ะนะ”
ผมจำได้นะว่ามันโทรมาเมื่อวานแต่จำไม่ได้ว่ารับปากตกลงจะไปไหนกับมัน จริงๆจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันคุยอะไรบ้างอย่าว่าแต่นัดเลย
“ทำเอากูนั่งแก่วคนเดียวเพื่อนฝูงทิ้งไปหมดนัดใครก็ไม่มีใครว่างออกมากับกูยกเว้นมึงที่โทรมาแล้วตอบรับอืออออย่างเดียว แถมโทรมาตามสายก็ไม่ว่างหรือมึงมีแฟนวะ คุยกับแฟนจนไม่รับสายกู มึงรีบบอกกูมาเลยไอ้ฟิน”
“เปล่า กูไม่ได้มีแฟน” ทำหน้าตาจริงจังส่งให้ไอ้ธี แล้วผมจะทำไปทำไมก็ผมยังไม่มีแฟนจริงๆนี่หว่า ธีมองจ้องอย่างจับผิดพร้อมหรี่ตามอง
“เออ อย่าให้กูรู้ว่ามึงปิดเพื่อนสนิทแบบกูนะ แล้งนี่มึงเป็นอะไรนั่งเหม่อกูพูดก็ไม่ได้ฟังกูและไอ้ที่ตกปากรับคำเมื่อวานก็คงเป็นไอ้อาการแบบนี้ใช่มั้ย”
ผมก็ไม่รู้จะตอบคำถามไอ้ธียังไงเพราะก็เพิ่งเคยมีอาการแบบนี้และคนที่ทักก็ไม่ใช่แค่มันที่ทัก ยังมีคุณพิมพ์อีกคนที่บอกว่าตั้งแต่ผมกลับมาทำงานนั้นเอาแต่เหม่อใจไม่อยู่กับตัว ส่วนสาเหตุที่ทำให้ผมมีอาการแบบนี้ก็เป็นคนเดียวกับที่ทำให้ผมใจกระตุกนั่นแหละ แม้จะไม่มีอาการแรกแต่ไอ้อาการแบบนี้มันก็หนักพอกัน เพราะเมื่ออยู่คนเดียวสมองว่างใบหน้าที่ประดับยิ้มกว้างตาหยี่ใต้แว่นหนาจมูกโด่งก็ลอยเข้ามาทำเอาผมอยากยิ้มตามภาพในจินตนาการไปด้วย
“ไอ้ฟินๆ มึงไปหาหมอกับกูเถอะ น่ากลัวเป็นบ้า คุยกับกูอยู่ดีๆแป๊บเดียวสร้างโลกส่วนตัวกันกูออกมาซะงั้น แถมยิ้มซะกูผวา น่ากลัวชิบว่ะ” ธีทำหน้าตาสยดสยองกับรอยยิ้มของผม
ไอ้นี่มันเว่อร์ไปแล้วรอยยิ้มของผมเนี่ยไม่ว่าใครได้เห็นทั้งหญิงและชายก็เคลิ้มทั้งนั้น
“ถามจริงฟิน มึงไปเจอใครแบบตกหลุมรักไรแบบนี้ตอนไปต่างจังหวัดกับไอ้วินมันเหรอ ใครวะ” เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังขึ้นมา
“กูก็ไม่รู้ว่ะ มึงก็รู้ว่ากูไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้ แต่กูก็แค่รู้สึกดีที่ได้เห็นรอยยิ้มของเค้าว่ะ มันสดใสจริงใจต่างจากรอยยิ้มที่กูเห็นจากคนรอบตัวกู”
“อาการแบบมึงนี่มันอาการเหมืนคนโดนของ แบบรักปักอกมาว่ะ แต่ในเมื่อมึงยังไม่รู้ไม่แน่ใจคงต้องรอเวลาเท่านั้น”
“ก็คงเป็นแบบนั้นว่ะ เฮ้อ รู้จักกันมาก็นานแต่ทำไม เจอมิคคราวนี้ทำเอากูไปไม่เป็นเลยวะ”
“มิค! คนที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้คือ ‘หมอมิค’ เพื่อนกัสน่ะเหรอ” มันทำตาโตมากที่สุดเท่าที่ตาตี่ๆของมันจะทำได้
ผมจึงอดขำกับท่าทางของเพื่อนไม่ได้ ที่ผมบอกธีไปไม่ใช่เผลอหลุดชื่อมิคไปหรอกก็แค่อยากบอกเพื่อนให้รู้เพราะในกลุ่มเพื่อนสนิทที่พวกเรามีกันอยู่ห้าคนนั้นเราไม่เคยมีความลับต่อกัน มีปัญหาอะไรก็สามารถปรึกษากับพวกมันได้ทุกเรื่อง
“เออนั่นแหละ มิคที่เป็นเพื่อนกัสแฟนไอ้วิน มึงเลิกตกใจได้แล้ว ไปๆ ไปหาไรกินกันมึงชวนกูคุยจนกูไม่ได้ทำงานแล้วเนี่ย”
“โฮ มึงโทษกูได้นะ ถึงกูไม่มามึงก็ไม่ได้ทำงานหรอก คงเอาแต่เหม่อคิดถึง ‘หมอมิค’ ใช่มั้ยล่ะ ฮ่าๆๆๆ”
หลังจากนั้นผมและไอ้ธีก็ออกมากินข้าวกันที่ร้านข้างบริษัท เอาง่ายไว้ก่อนเพราะผมกับมันก็ไม่ได้กินยากอะไรกันทั้งคู่อยู่แล้ว ระหว่างกินก็มีสายเรียกเข้าที่ผมตั้งเสียงพิเศษสำหรับเบอร์ที่โทรเข้ามานี้ไว้แล้ว และทำไมตอนที่ได้ยินเพลงนี้ดังขึ้นใจผมมันต้องกระตุกใจเต้นแรงเหมือนเจ้าของเบอร์อยู่ตรงหน้าด้วยนะ
“ครับมิค” แอบสูดอากาศเข้าปอดลึกๆกลัวคนปลายสายจับได้ว่าตื่นเต้น เหลือบมองไอ้ธีที่นั่งกินข้าวมันยังไม่ได้สนใจผมห่วงแต่ของกินตรงหน้ายังก้มหน้าก้มตาอยู่
“ฟิน นายว่างป่ะคุยได้ใช่มั้ย” ไม่ต้องถามแล้วครับถึงไม่ว่างผมก็เต็มใจคุยด้วย
“ฮึๆ ว่างครับมิคมีอะไรกับฟินรึเปล่า” ไอ้เพื่อนธีเมื่อได้ยินชื่อมิคจากปากผมมันเงยหน้าขึ้นมา ต่อมอยากรู้ทำงานทันที
“จะโทรมาบอกให้นายส่งรายชื่อรีสอร์ททั้งที่อัมพวาและก็ที่หัวหินมาให้ทางเมล์ด้วย หวังว่านายคงไม่ลืมใช่มั้ยที่เราให้หาตั้งแต่เมื่อคืนน่ะ”
เรื่องรายชื่อรีสอร์ทที่มิคโทรมาตามนั้นเราคุยกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วผมรับปากไว้ว่าจะลองหาให้ เรื่องมันมีอยู่ว่าตอนที่ผมไปออกหน่วยกันเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ดันนึกอยากไปเที่ยวอัมพวาเลยเอ่ยปากชวนฟิน กัส มิคไว้ และดูท่าทริปนี้จะมีเพื่อนๆอีกหลายคนไปด้วยแน่ๆ ซึ่งมันเป็นความตั้งใจของผมที่จะชวนเพื่อนสนิทไปอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้เอ่ยปากชวนเท่านั้นเองรวมทั้งไอ้ตี๋ที่นั่งตรงหน้านี้ด้วย
“ครับ ฟินหาไว้ให้แล้ว เดี๋ยวส่งไปให้มิคทางเมล์นะครับ แล้วมิคทานข้าวรึยังเที่ยงกว่าแล้วนะครับ” แอบส่งความห่วงใยไปให้คนน่ารักปลายสายซะหน่อย
“ยังๆ เนี่ยเพิ่งทำคนไข้เสร็จ หิวมากกก งั้นแค่นี้นะอย่าลืมส่งมาล่ะเดี๋ยวว่างจะได้เปิดดู”
“ครับ งั้นมิคไปทานข้าวนะ บาย”
“โหย มึงยิ้มกว้างจนจะถึงหูอยู่แล้วนั่น แล้วคุยเรื่องไรกันวะ” ธีแซวกลับมายิ้มๆแต่ความอยากรู้เรื่องของผมก็ยังมีอยู่
“อยากรู้เรื่องกูตลอดนะมึงน่ะ เออๆไม่ต้องทำหน้าเคร่งขนาดนั้น กูบอกแล้ว มึงไปเที่ยวอัมพวากับหัวหินกับกูมั้ย ตอนนี้มีไอ้ฟิน กัส มิค มายไปด้วย”
“ไปดิวะ กูจะพลาดเหรอแล้วไอ้ปรัชกับมนล่ะมึงจะชวนหรือให้กูชวน”
“มึงชวนล่ะกัน เรื่องที่พักกับแพลนเที่ยวเดี๋ยวกูกับมิคจัดการให้” ยักคิ้วกวนๆส่งไปให้มันหนึ่งที ธีเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ส่งกลับมา
“ดี งั้นกูก็สบายปล่อยให้มึงกับหมอมิคจีบกันให้พอ”
“ใครว่ากูจีบกัน ตอนนี้กูยังไม่ได้เริ่ม”
“ยังงี้ยังไม่เริ่มแล้วจะเริ่มเมื่อไหร่วะ กว่ามึงจะแน่ใจตัวเองและเริ่มจีบเค้าระวังหมาคาบไปแดกนะมึง กูขอเตือนถ้าคิดว่าเค้าพิเศษกว่าคนอื่นให้มึงเดินหน้าได้แล้ว”
‘ธี’ เพื่อนที่ดูภายนอกเหมือนเป็นคนขี้เล่นไม่จริงจัง แต่บทมันจะแนะนำก็ดูเข้าท่าเหมือนกัน จนผมเริ่มคิดกลัวว่าถ้าเกิดมีใครคิดเหมือนผมว่ามิคน่ารักและตามติดมิคขึ้นมาผมจะสู้ไหวไหมเพราะเราสองคนอยู่กันคนละที่และไหนจะยังความไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองอีก แต่ยอมรับว่าการได้พูดคุยใกล้ชิดกับมิคมากกว่าที่เราเคยเป็น ใจของผมมีความสุขกว่าที่เคย หรือผมคงต้องยอมรับแล้วล่ะว่าความรู้สึกที่ผมมีตอนนี้เค้าเรียกว่าการ ‘ตกหลุมรัก’ กันนะ ผมยอมรับว่ายังสับสนกับความรู้สึกของตัวเองใจหนึ่งบอกว่าใช่แต่อีกใจไม่อยากยอมรับมัน คงต้องปล่อยเวลาอีกนิดขออีกนิดให้ผมได้มั่นใจก่อน
“ขอบใจว่ะเพื่อน กูจะเก็บไปพิจารณา ฮึๆ” หัวเราะตบท้ายไม่ให้เพื่อนเครียดไปด้วย
หลังจากกินข้าวกับธีเรียบร้อยแล้วมันก็ขอตัวกลับไปทำงานของมันเพราะเตี่ยโทรตามให้เข้าโรงงานด่วน ที่บ้านมันทำโรงงานผลิตอะไหล่รถยนต์ขนาดใหญ่มีพี่น้องห้าคนทั้งหญิงและชาย ธีเป็นลูกชายคนกลางมีพี่ๆช่วยเตี่ยทำงานอยู่แล้วส่วนมันที่เพิ่งจบก็เข้าไปช่วยที่โรงงานอีกแรงบ้านนี้เค้าขยันกันทั้งบ้าน เพราะมักถูกสั่งสอนให้ขยันและยืนบนขาตัวเอง และมันก็เป็นคนทำงานจริงจังคนหนึ่งไม่แพ้พี่ๆมันเลย ส่วนผมแม้ไม่อยากรับหน้าที่ประธานบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในตอนนี้แต่ก็ต้องรับเพราะมันเป็นเหมือนความกตัญญูที่ผมต้องตอบแทน ‘คุณตา’ ที่ยอมรับเลี้ยงหลานที่เกิดจากลูกสาวที่ทำร้ายจิตใจท่านและหักหลังกันอย่างรุนแรงแบบผมมาเลี้ยง ผมนั่งทำงานอย่างมีสมาธิมากขึ้นกว่าเมื่อเช้าหลังได้คุยและส่งเมล์ให้มิคแล้ว จนได้เวลากลับบ้านโดยปกติชีวิตก่อนหน้านี้ผมจะนั่งอยู่ที่ทำงานจนใกล้เวลาออกเที่ยวนั่นแหละถึงจะออกจากบริษัท แต่วันนี้ผมไม่มีอารมณ์นึกอยากออกไปไหนเลยกลับ ‘บ้านของคุณตา’ ที่นับครั้งได้ที่ผมจะกลับเร็วแบบนี้
“สวัสดีครับตุณตา.........ผมขอตัวก่อนนะครับ” หลังทักทายคุณตาที่นั่งเล่นอยู่ที่ชุดเก้าอี้หน้าบ้านหลังใหญ่และเงียบอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี
จนผมต้องขอตัวเดินออกมาและจากหางตาเหมือนว่าคุณตาจะพูดอะไรกับผมแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปาก ผมจึงตัดสินใจเดินขึ้นห้อง เหตุการณ์แบบนี้ถือว่าปกติสำหรับผม ผมไม่ได้เกลียดหรือรู้สึกไม่ดีกับตาของตัวเองเพียงแต่ว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่แรกสายสัมพันธ์ย่อมบางเบาแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มี รูปการณ์มันเลยออกมาเป็นแบบนี้ ผมเข้าห้องแล้วจัดการกับตัวเองและลงมาทานข้าวบนโต๊ะที่ทอดยาวแต่มีคนร่วมโต๊ะแค่สองคน มันให้ความรู้สึกวังเวงดีแท้แต่ผมคงแก้ไขอะไรไม่ได้เพราะมันก็เป็นแบบนี้มาแต่แรกแล้ว และผมก็ไม่ได้เป็นคนเรื่องมากอะไรที่ต้องไปเปลี่ยนแปลงมัน เรานั่งทานกันเงียบๆสองตาหลานจนเรียบร้อย คุณตายกน้ำขึ้นดื่มนั่นเป็นเครื่องหมายว่าการทานอาหารมื้อนี้สิ้นสุดลงแล้วผมจึงรวบช้อนและดื่มน้ำตาม เตรียมตัวลุกออกจากโต๊ะแต่ต้องชะงักกับน้ำเสียงแหบนิดๆของคนสูงอายุที่นั่งอยู่
“วันนี้แกกลับเร็วกว่าปกตินะ แต่ก็ดีนานๆจะได้กินข้าวด้วยกัน” ยามพูดคุณตาก็ยังทำหน้านิ่งไม่เปลี่ยน
“ครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” คุณตามองหน้าผมนิ่งและพยักหน้าให้เหมือนเป็นคำอนุญาต
ผมจึงลุกเดินออกมากลับขึ้นห้องตัวเอง เมื่อกลับมาบ้านเร็วแบบนี้เหมือนเวลามันเหลือเยอะจนไม่รู้จะทำอะไร นั่งผ่อนอารมณ์ที่เก้าอี้นอนตรงระเบียงหน้าห้องกับอากาศที่เริ่มเย็นลงท้องฟ้ามืดและมีดาวบนฟ้าประปราย เฮ้อ วกกลับมาคิดถึงแต่หน้าคนน่ารักอีกแล้วอยากได้ยินเสียงจัง ว่าแล้วผมก็กดโทรหาคนที่คิดถึงทันที
“อืมมม ว่าไง ฮ้าววว โทรมามีไรอ่ะ” อ้าวนี่มิคหลับไปแล้วเหรอเพิ่งหัวค่ำเองนะ
“มิคครับหลับแล้วเหรอ ทำไมรีบนอนจังให้ฟินวางมั้ยครับจะได้นอนต่อ” ปากว่าอยากให้คนน่ารักนอนต่อแต่ใจยังอยากได้ยินเสียง
“ไม่เป็นไรคุยได้ ว่าจะตื่นอยู่แล้วหลับมาตั้งแต่เย็นหลังเลิกงานน่ะ มีไรเรื่องเที่ยวป่ะ” ใจคอเค้าจะมีแต่เรื่องเที่ยวใช่มั้ยเนี่ยไม่มีหรอกจะคิดถึงกันน่ะ นี่ผมจะงอนคนที่ไม่รู้เรื่องที่อยู่ปลายสายทำไมกัน
“ครับ เมล์ที่ส่งไปให้มิคได้ดูรึยัง” ต้องคุยเรื่องเที่ยวที่มิคสนใจไม่งั้นผมว่าผมคงไม่ได้ยินเสียงหวานที่คิดถึงต่อแน่
“ดูไปบ้างน่ะ ยังดูไม่ครบเลยคนไข้เยอะมากวันนี้ กลับมาเนี่ยสลบไม่รู้ตัว อ๊ากกก หิวจังนายมีไรอีกป่ะเดี๋ยวเราจะไปหาไรใส่ท้องก่อนน่ะ ไม่รู้กัสซื้ออะไรเผื่อมั้ย” มิคพูดไปก็บ่นหิวไปและดูท่าจะหิวมาก อดเป็นห่วงคนตัวเล็กไม่ได้ทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเองนะ ถ้าอยู่ใกล้เนี่ยจะไปรับออกมากินข้าวเลยด้วยซ้ำ
“งั้นมิคไปหาอะไรทานนะครับ เดี๋ยวฟินวางก่อนดีกว่า”
“อย่าเพิ่งงงง อยู่คุยกันก่อน บ้านมืดตื๋อเลยไม่รู้กัสไปไหน” ชะงักกับเสียงดังจากปลายสาย นี่หมายความว่ามิคอยู่คนเดียวและดูท่าจะกลัวความมืดซะด้วย
“ครับๆ ฟินยังไม่วางมิคค่อยๆไล่เปิดไฟนะ” เสียงเดินและเสียงเปิดสวิตช์ไฟดังขึ้น
“อ๊า ค่อยยังชั่ว นี่ไรเนี่ย ว้าวของกินเพียบเลย นี่ๆนายฟินแค่นี้นะ เราจะกินข้าวแล้ว” เสียงบ่นเบาๆเหมือนคุยกับตัวเอง และสุดท้ายมิคจะตัดสายผมทิ้ง
ดูท่าเจ้าตัวจะเจอของกินจนเลิกกลัวแล้วไอ้ผมมันก็หมดความหมายทันที นั่น!ผมยังไม่ทันตอบรับเลยตัดสายกันซะแล้วนี่ผมแพ้แม้กระทั่งของกินเหรอเนี่ย ผมมองโทรศัพท์ในมือนิ่งเพราะยังอึ้งกับคนปลายสายอยู่ แต่คิดถึงตรงนี้ทำเอาอดหัวเราะเสียงดังออกมาไม่ได้
“ฮ่าๆๆๆๆ”
ผมมั่นใจนะว่าตัวเองหน้าตาดีไม่เคยมีใครเมิน แต่ไม่นึกมาก่อนว่าจะโดนเมินจากคนที่เห็นของกินดีกว่าผม
ขณะที่ฟินหัวเราะก้องที่ระเบียงห้องตัวเองไม่ได้รู้ตัวว่ามีชายสูงอายุที่สนามหญ้ามองขึ้นมาอย่างแปลกใจกับเสียงหัวเราะที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ความแปลกใจเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากและขยายกว้างมากขึ้นตามเสียงที่ได้ยิน และรอยยิ้มนี้ฟินก็คงไม่เคยเห็นจากใบหน้าเหี่ยวย่นนี่เหมือนกัน
..................................................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ ^3^
ฟินยังไม่รู้ตัวเองว่าตกหลุม(รัก)จังเบ่อเร่อ ได้แต่เพ้อหามิค
ส่วนเรื่องคุณตาฟินเค้าก็รักนะคะแต่อย่างที่บอกไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่แรก
และเค้ารู้สึกผิดแทนแม่ตัวเองค่ะ เลยไม่กล้าคุยกับตาของตัวเอง
และตอนหน้าเจอหมอมิคได้เต็มๆเลยคะ
ปล.+1ให้ทุกเม้นนะคะ เจอมิคฟินอีกทีวันศุกร์ค่ะ
และขอ
รวบเลยยยยย