จอมไตรซีรี่ส์-คนมืดมนที่หลงรักคุณหมดใจ
ตอนพิเศษ : 1 ครึ่งแรก
“น่าสงสารเด็กนั่นจังเนอะ”
“นั่นสิ พ่อกับแม่มาเสียพร้อมกันแบบนี้แย่เลย”
เสียงคนในงานศพกระซิบกระซาบกัน ตลอดงาน ผมที่นั่งอยู่เฉยๆข้างๆโลงศพของพ่อกับแม่ได้ยินทุกอย่างชัดเจน พ่อแม่เสียไปแล้ว เเล้วผมยังจะเหลือใคร? ผมกวาดตามองไปรอบๆตัว มีแต่คนของบ้าน ‘จอมไตร’ ทั้งนั้น ‘พี่ชาย’ ทั้งสี่คนของผมนั่งอยู่บนเก้าอี้แถวหน้า ทั้งหมดนั่งนิ่ง ไม่ยิ้มแย้ม แต่ก็ไม่ร้องไห้ ใช่ ผมเองก็ไม่ร้อง เพราะพ่อสอนเสมอว่า ห้ามร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น และผมคิดว่าพ่อคงสอนพี่ๆไม่ต่างกัน
ผมมองพวกเขาแล้วนึกถึงคำพูดของลุงทนายความที่มาพร้อมกับผู้หญิงมีอายุคนหนึ่งเมื่อเช้า ก่อนจะออกมาที่วัด
“ต่อไปคุณไม้ต้องเข้าไปอยู่ในบ้านจอมไตร”
ผมอดใจหายไม่ได้ ก่อนหน้านี้ผมเคยอยู่กับแม่สองคนในบ้านหลังเล็กๆย่านชานเมือง ไม่มีคนใช้ ไม่มีพี่เลี้ยง เราอยู่กันสองคน นานๆครั้งพ่อจะมาหา มากินข้าวด้วย และนั่นจะเป็นวันที่ผมมีความสุขมากๆ
แต่ต่อไปนี้มันจะไม่มีวันเหล่านั้นอีกแล้ว เมื่อพ่อกับแม่ไม่อยู่บนโลกนี้อีกต่อไป ผมจะอยู่กับใคร พ่อบอกไม่ให้ผมร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น แต่แม่ให้ผมร้องไห้กับแม่ได้ แล้วตอนนี้ไม่มีแม่แล้ว ตอนที่ผมเสียใจมากๆแบบนี้ผมจะไปร้องไห้กับใคร
เวลาเลยเที่ยงมาเล็กน้อย ใกล้จะได้เวลาเผาร่างพ่อกับแม่ไปทุกที มันยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า ผมอยู่ตัวคนเดียว ไม่เหลือใคร บนโลกนี้ไม่มีใครที่รักผมอีกแล้ว
แล้ววันนี้ยังเป็นแรกที่ผมต้องเข้าไปอยู่ในบ้านนั้นจริงๆ ผมจะอยู่ได้อย่างไร
...........................
“นี่ห้องของคุณไม้นะคะ”
ผู้หญิงคนเมื่อวาน ท่าทางใจดี เธอแนะนำตัวว่า เป็นหัวหน้าแม่บ้านของที่นี้ และแน่นอน เธอเป็นคนเลี้ยงดูพี่ๆของผมมาตั้งแต่แม่ของพวกเขาเสียไป
“ขอบคุณครับ”
ผมตอบกลับ ก่อนจะขอตัว ผมอยากอยู่คนเดียว เธอท่าทางใจดี แต่ผมก็ไม่สนิทใจด้วย ก็ผมเพิ่งรู้จักเธอเมื่อวานนี้เอง
ผมมองไปรอบๆห้องที่ไม่คุ้นเคย ข้าวของๆผมถูกนำมาจัดไว้ในห้องนี้เรียบร้อย คล้ายกับห้องเดิมของผม แต่มันก็ไม่ใช่... ที่นี้ไม่ใช่ห้องผม... ไม่ใช่ที่ของผม ....ผมทิ้งตัวลงบนเตียงใหม่ ใช่ เตียงใหม่จริงๆ ทุกอย่างซื้อมาใหม่ ผมแน่ใจ ข้าวของทุกชิ้นในห้องนี้นอกจากที่เอามาจากห้องผม ทุกอย่างเป็นของใหม่ แปลว่าผมเป็นตัวน่ารังเกียจของบ้านรึเปล่า ข้าวของที่คนอื่นเคยใช้ถึงได้ไม่อยากให้ผมมาใช้ต่อ ผมคิดถึงแม่ แล้วก็คิดถึงพ่อ ผมจะอยู่ได้อย่างไรเมื่อไม่มีท่านทั้งสอง น้ำตาที่ไม่ได้ไหลออกมาเลยตั้งแต่ท่านทั้งสองเสียเริ่มรินไหล ผมไม่อยากเข้มแข็งสักนิด แต่เพราะพ่อสอน ผมจึงต้องเข้มแข็ง ตอนนี้ผมอยู่คนเดียว ผมร้องไห้ได้ใช่ไหม ผมร้อง ร้อง ร้อง จนหลับไป
.........................
เด็กเจ็ดขวบอย่างผมจะมีเวลาเศร้าเสียใจอยู่คนเดียวสักเท่าไหร่กัน วันถัดมาเป็นวันไปโรงเรียน และผมที่ต้องเข้าโรงเรียนใหม่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้หยุดเรียนแน่ๆ ผมแต่งตัวในชุดนักเรียนใหม่เอี่ยมของผม แล้วลงมาทานอาหารข้างล่าง
เสียงพูดคุยดูจะเงียบลงทันตาเมื่อผมก้าวเข้ามาในห้อง บนโต๊ะอาหารมีพี่ชายสี่คนของผมนั่งอยู่ พี่ชายสองคนแต่งชุดนักเรียนมัธยมด้วยเครื่องแบบคล้ายๆของผม ส่วนอีกสองคนอยู่ในชุดนักศึกษาที่ถึงแบบจะต่างไปมาก แต่สีก็ยังโทนเดียวกัน ก็แน่ละ ทุกคนเรียนในโรงเรียนเอกชนที่จอมไตรเป็นเจ้าของ ซึ่งมีชั้นเรียนตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิทยาลัยอยู่ในเครือ แม่ไม่อยากให้ผมเข้าโรงเรียนนี้ ด้วยเหตุผลว่า “ไม่อยากให้ลูกมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น”
แต่พ่อบอกผมว่า แม่กลัวว่าผมจะโดนแกล้งเพราะเป็นลูกของเมียคนที่สอง ....พ่อเรียกแม่ว่าเมียคนที่สอง ไม่ได้เรียกว่าเมียน้อยเพราะแม่ไม่ใช่ พ่อกับแม่รักและตกลงแต่งงานกันหลังจากภรรยาคนแรกของพ่อเสียไปสามปี พ่อกับแม่จดทะเบียนสมรสกันถูกต้อง
แต่แม่ไม่ยอมเข้ามาอยู่ในบ้านจอมไตร แม่ไม่อยากให้ใครคิดว่าแม่คิดจะจับพ่อ คิดว่าแม่อยู่กับพ่อเพราะเงิน แม่ไม่อยากให้พ่อกับลูกทั้งสี่คนอึดอัดกับคำว่าแม่เลี้ยง และแม่ไม่อยากให้ใครคิดว่าลูกของแม่ซึ่งก็คือผมจะมาแย่งเอาอะไรของพวกเขาไป พ่อบอกเสมอว่าแม่คิดมากไปเอง ทุกคนที่จอมไตรยินดีต้อนรับแม่และผมเสมอ แต่แม่ก็ยังไม่กล้า แม่ขอเวลา ขอมาจนกระทั่งแม่กับพ่อจากไป
“นั่งสิ”
พี่ดินซึ่งนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ เอ่ยพูดเสียงเรียบ ก่อนที่จะอ่านหนังสือพิมพ์ในมือต่อไป ในขณะที่คนอื่นๆ ยังคงกินข้าวต่อไปเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร
ผมนั่งลงตรงที่ว่างซึ่งมีสำรับเตรียมไว้ ผมคิดว่านี่คงเป็นที่นั่งของผม ข้าวต้มปลาหอมกรุ่นทำให้ท้องผมร้อง ทั้งๆที่ปากผมขมไปหมด มันไม่อยากอะไรทั้งนั้น แต่ผมก็ทนเสียงเรียกร้องของน้ำย่อยในกระเพาะไม่ไหว จำใจต้องกิน ผมชอบข้าวต้มปลาที่สุด แต่ก็ทานได้เพียงสองสามคำ มันไม่อยากกินอะไรเลยจริงๆ
..............
เป็นครั้งแรกที่ผมนั่งลีมูซีนไปโรงเรียน ที่โรงเรียนเก่า ผมนั่งรถตู้รับ-ส่งนักเรียนไปโรงเรียน ผมชอบรถตู้พอประมาณ และที่บ้านจอมไตรก็มีหลานคัน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ใช่รถตู้ ซึ่งน่าจะดูดีมากกว่า รถคันนี้ก็หรูดี แต่มันไม่เวอร์เกินไปหน่อยหรือ
พี่ดินกับพี่น้ำลงจากรถไปก่อนเมื่อถึงจุดหมาย ทั้งสองคนเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นที่ๆถึงก่อน ผมรู้ว่าที่จริงทั้งคู่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในต่างประเทศ แต่ถูกเรียกตัวกลับมาเมื่อพ่อเสีย บริษัทต้องการคนดูแล แม้ว่าพี่ดินจะอายุเพียง 18 และพี่น้ำ 17 แต่ทั้งคู่ก็ได้รับการสั่งสอนทางธุรกิจมาตลอดชีวิต และช่วยงานเล็กๆน้อยๆมาตั้งแต่จำความได้ เข้าฝึกงานตั้งแต่ขึ้นม.ต้น และแน่นอน พี่ลมกับพี่ไฟที่นั่งอยู่บนรถกับผมตอนนี้ก็ได้รับการสั่งสอนมาแบบเดียวกัน
มีแต่ผมเท่านั้นที่ได้รับการเลี้ยงดูมาแบบธรรมดา ไม่เข้าใจในเรื่องธุรกิจสักนิด ไม่ต้องแปลกใจที่ผมรู้เรื่องของพี่ๆดี พ่อเล่าให้ฟังเสมอ แม่เองก็ชอบคุยให้ผมฟังเรื่องพี่ๆ แม่บอกว่ายังไงเขาก็เป็นพี่ชายผม ทุกๆคนเป็นพี่ที่น่าภาคภูมิใจของผม และผมรู้สึกภูมิใจจริงๆทุกครั้งที่พ่อเล่าว่าพี่ๆทำอะไรได้ดี เสียใจ เศร้าใจไปด้วย หากพี่ๆผิดพลาด ผมไม่ปฏิเสธว่าอยากรู้จักทุกคน รู้สึกผูกพันกับทุกคนแม้จะไม่เคยเจอกัน แต่ดูเหมือนพี่ๆไม่ได้คิดเหมือนผม....
พี่ลมกับพี่ไฟกำลังคุยกันถึงการประชุมเย็นนี้ ฟังดูเหมือนจะเป็นการประชุมเร่งด่วน เนื่องจากพ่อเสียไป และดูเหมือนมีคนต้องการเข้าแทรกแซงในช่วงนี้ ผมนั่งเงียบๆ มองไปนอกหน้าต่างเหมือนไม่ได้สนใจอีกสองคนบนรถที่กำลังสนทนากันอยู่ แต่หูกลับฟังอย่างตั้งใจ พร้อมกับคิดตามเท่าที่สมองของเด็กเจ็ดขวบจะเข้าใจได้ น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ผมไม่เห็นวี่แววความกังวลหรือหวั่นใจในน้ำเสียงของทั้งคู่สักนิด เหมือนกำลังสนุกมากกว่า เป็นความสนุกของทั้งคู่ที่ดูน่ากลัวชอบกล
ไม่นานก็มาถึงโรงเรียนของทั้งคู่ ทั้งสองคนลงไปโดยไม่ได้พูดอะไรกับผมสักคำ ที่จริงตั้งแต่พี่ดินพูดคำว่า ‘นั่งสิ’ เมื่อเช้าที่โต๊ะอาหาร ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรกับผมอีกเลย และแน่นอน ผมไม่ได้พูดอะไรกับใครทั้งนั้นด้วยเช่นกัน
ก็จะให้ผมไปพูดอะไรกับพวกเขาล่ะ เขาคุยในเรื่องที่ผมไม่รู้เรื่องเลยสักนิด เรื่องธุรกิจอะไรนั่น มันเหมือนกันผมออกนอกโลกของพวกเขา ย้ำความจริงว่าผมอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครใส่ใจหรือสนใจ
เมื่อมาถึงโรงเรียนของผม คุณครูรีบกุลีกุจอมารับผม คงเพราะผมเป็นจอมไตรล่ะมั้ง อย่างนี้สิแม่ผมถึงไม่ชอบใจ ผมเริ่มเข้าใจนิดๆ
ผมนั่งเรียนเงียบๆ ในห้องเรียนที่ดูจะสนใจสมาชิกคนใหม่ของบ้านจอมไตรเหลือเกิน ไม่ใช่ผมที่คนอื่นสนใจ แต่เป็นจอมไตรต่างหาก ผมนั่งคิด... พยายามปลงให้ได้เพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องควบคู่กันมาอยู่แล้ว ผมเคยนั่งเรียนอย่างสบาย คุยเล่นกับเพื่อนได้อย่างสนิทใจ แต่ในที่ใหม่นี้ ผมไม่มีความคิดอยากคบค้ากับใครทั้งนั้น ผมระแวงว่าคนที่เข้ามาสนิทกับผมจะมีจุดประสงค์อื่น มิน่าแม่ถึงพอใจให้ผมใช้นามสกุลของแม่ตอนเข้าโรงเรียน แล้วผมก็นึกถึงพี่ๆ พวกเขาเองก็ต้องเคยรู้สึกอย่างผมแน่ แต่พี่ๆผมเข้มแข็งทุกคน ถึงได้ผ่านเรื่องแบบนี้ไปได้สินะ
พักเที่ยง.....
“นาย.....เป็นจอมไตรคนใหม่สินะ”
เด็กผู้ชายสามสี่คนมาล้อมผมไว้ ผมเงยหน้าขึ้นมอง ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะพยักหน้ารับ
“ดี งั้นนายมาเป็นลูกน้องฉันได้”
เด็กคนเดิมยังพูดอย่างอวดดี ทำท่าราวกับตนเก่งกาจและยิ่งใหญ่ ผมมองท่าทางเด็กๆแบบนั้นขำๆ ผมรู้ว่าอายุเท่ากัน แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงทำอะไรงี่เง่าแบบนี้
“ไม่เป็นไร ขอบคุณ”
ผมบอกแล้วลุกขึ้น ตั้งใจจะเลี่ยงออกไป
“หึ นายอย่าหยิ่งเพราะถือว่าเป็นจอมไตรนะ พ่อนายตายไปแล้ว จอมไตรกำลังจะจบ”
เด็กคนนั้นขวางทางผมไว้และพูดในสิ่งที่ผมเกือบจะทนไม่ได้ขึ้นมา
“หุบปากของนายซะ ตอนที่นายยังมีโอกาสทำด้วยตัวนายเอง”
ผมพูดลอดไรฟัน จ้องหน้ากลับไปให้รู้ว่าผมกำลังโกรธจริงๆ คนอื่นๆเริ่มถอยหนี แต่เด็กปากดียังยืนอยู่ที่เก่า ท่าทางเหมือนกลัว แต่ก็ยังงี่เง่าพอจะต่อปากต่อคำ
“นายคิดว่าบ้านตัวเองใหญ่รึไง พ่อฉันกำลังจะยึดจอมไตรมา นายจะไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน”
ผมเริ่มเข้าใจในที่สุด บทสนทนาเมื่อเช้าของพี่ลมกับพี่ไฟ เรื่องเดียวกันสินะ
“พี่ฉันไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้นแน่”
ผมพูดด้วยท่าทางมั่นใจ เด็กคนนั้นหัวเราะขึ้นมาทันที
“พี่นาย.... ไก่อ่อนทั้งนั้น พ่อฉันบอกว่า เด็กเมื่อวานซืน ไม่มีปัญญาทำอะไรหรอก”
ผมเริ่มกำหมัดแน่น แต่เด็กตรงหน้าก็ยังไม่หยุดปาก
“พ่อฉันบอกว่า พี่นายโง่ ไม่มีทางทำอะไรได้หรอก เก่งแต่ปาก ที่จริงคงโง่กันทั้งบ้าน พ่อนายด้วยไง 555 ถึงได้ตายไปโดนทิ้งลูกเมียน้อยอย่างนายไว้แบบนี้”
เท่านั้น ความอดทนก็หมดไป กำปั้นถูกเหวี่ยงไปข้างหน้า กระทบใบหน้าอีกฝ่ายเต็มๆ และการทะเลาะวิวาทก็เริ่มขึ้น อีกฝ่ายตัวใหญ่กว่าผม แต่ผมมั่นใจว่าผมไม่มีทางแพ้ไอ้บ้าปากดีตรงหน้าแน่นอน
...........................
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
พี่ไฟวิ่งเข้ามาในห้องครูใหญ่มองผมที่ยืนนิ่ง กับเด็กชายอีกคนที่น้ำตานองหน้า สลับไปมา
“นายทำบ้าอะไรเนี่ย”
พี่ไฟเดินตรงมา สำรวจดูตามตัวผมและพูดเสียงดังจนเป็นตะโกน ผมกัดริมฝีปากแน่น ผมไม่ผิด ผมเชื่อแบบนั้น แต่พี่ไฟไม่ถามผมสักคำ มาถึงก็ว่าผมเลย .....เขาคงเกลียดผม
ผมสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมและวิ่งออกมาจากห้องนั้น ไม่มีใครตามผมมา ก็แน่ล่ะ เขาไม่แคร์หรอกว่าผมจะอยู่ที่ไหน
ผมวิ่งออกมานอกโรงเรียนในจังหวะที่ยามเผลอ เดิน เดิน เดิน ไปเรื่อยๆ ผมไม่อยากกลับไปที่โรงเรียน ไม่อยากกลับบ้าน ไม่มีที่ไหนที่ผมอยากไป ไม่มีที่ไหนให้ผมอยู่ ไม่มีใครรักผมหรือต้องการผมอีกแล้ว ผมเดินจนเหนื่อย เลยมาหยุดพักหน้าซุปเปอร์มาเก็ตที่หนึ่ง ร้อนก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย แต่ผมก็ไม่ร้องไห้
“มาคนเดียวหรือ”
เสียงใสๆดังขึ้น แก้วน้ำเย็นถูกยื่นมาให้ผมพร้อมรอยยิ้ม
.....TBC......