ตอนที่ 27
แสงแดดอ่อนๆในยามเย็นสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวพริ้วไหวไปตามแรงลม ส่วนผมกำลังนอนกอดหนังสือหลับอยู่บนโซฟา เอาจริงๆผมรู้สึกตัวตื่นสักพักใหญ่ๆแล้วตั้งแต่คุณท่านกลับมาถึงบ้าน เพียงแต่ความขี้เกียจทำให้ผมยังคงหลับตานิ่งอยู่ที่เดิม
เมื่อได้ยินเสียงล้อกระเป๋ากระทบบันได ผมจึงลืมตาตื่นขึ้นมองคุณท่านที่กำลังยกกระเป๋าเดินทางลงมาจากชั้นสอง “ชั้นทำให้ตื่นรึเปล่า”
“เปล่าครับ คุณจะไปไหน”
“มีประชุมด่วนที่สิงคโปร์”
“เดินทางปลอดภัยนะครับ”ผมลุกจากโซฟาเดินออกไปส่งเขาที่หน้าบ้าน คุณท่านทำท่าลังเลหันมามองผมหลายครั้งขณะที่ยกกระเป๋าขึ้นรถ
“คุณลืมอะไรรึเปล่าครับ ให้ผมไปเอาให้ไหม”
“ลืมเอาเธอไปด้วย”ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว คุณท่านไปทำงาน ไม่รู้จะตามไปทำไม
“ไม่เอาดีกว่าครับ ผมไปก็เป็นภาระเปล่าๆ”
“ชั้นไม่อยากทิ้งให้เธออยู่บ้านคนเดียว ชั้นเป็นห่วง”
“คุณไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ เดี๋ยววันเสาร์อาทิตย์ผมไปเล่นกับแฝดก็ได้”เสาร์อาทิตย์นี้ชวนคุณชัยพาแฝดไปสวนสนุกดีกว่า
“ไม่ได้!”คุณท่านปฏิเสธทันทีแบบไม่ต้องคิด เดี๋ยวนี้หวงผมแม้กระทั่งกับเด็ก “ชั้นให้เวลา 5 นาทีไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ชั้นจะรอที่รถ”
สิ้นคำสั่งประกาศิตของคนเอาแต่ใจ สุดท้ายผมก็ตกกระไดพลอยโจนมานั่งอยู่บนเครื่องบินส่วนตัวเหนือน่านฟ้าประเทศสิงคโปร์จนได้ ผมเกาะขอบหน้าต่างมองแสงไฟที่ส่องระยิบระยับจากภาคพื้นดินด้วยความตื่นเต้น ความสวยงามของแสงไฟยามค่ำคืนเหมือนดวงดาราที่ส่องประกายบนพื้นดิน
“ไม่กลัวความมืดแล้วเหรอ”ผมสั่นหัวปฏิเสธ ตั้งแต่กินยาตามที่คุณหมอสั่งและไปทำจิตบำบัดเป็นประจำ อาการผมก็ดีขึ้น แต่คุณหมอสั่งว่าห้ามหยุดยาเองเด็ดขาดถึงแม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม ต้องกินยาต่อเนื่องอีกเป็นปี สารเคมีในสมองถึงจะกลับมาเป็นปกติ
“สงสัยจะหายกลัวเพราะคุณซื้อบ้านที่มีแต่กระจก ตอนกลางคืนนี่วิวดี๊ดี ดำมืดไปหมด”ผมหันไปพูดหยอกคุณท่าน แต่ดูเหมือนคนตัวสูงจะไม่เล่นด้วยกับผม สีหน้าเขาฉายแววกังวลอย่างชัดเจน
ฝ่ามือหนาลูบบนศรีษะผมอย่างแผ่วเบา “ชั้นลืมคิดเรื่องนี้ไป ชั้นขอโทษ เธอหายกลัวแล้วจริงๆรึเปล่า”
“ผมไม่ค่อยกลัวแล้วจริงๆครับ”คุณท่านดึงผมไปกอดแนบอก เกยคางไว้บนศรีษะผม “ถ้าไม่สบายหรือรู้สึกไม่ดี พริ้มต้องรีบบอกชั้นรู้ไหม ห้ามเก็บไว้คนเดียวเด็ดขาดเลยรู้ไหม”
“ครับ”ผมรับคำอย่างว่าง่าย คุณท่านประทับจูบลงมาที่ข้างขมับแทนของขวัญเด็กดีที่เชื่อฟัง
“หิวไหม มื้อเย็นอยากทานอะไร”
ตาผมเริ่มเป็นประกายขึ้นมาเมื่อนึกถึงมื้อเย็น มีอาหารอย่างหนึ่งที่ผมอยากกินแต่ไม่รู้ว่าคุณท่านจะพาไปกินรึเปล่า
“ว่าไงครับ อยากทานอะไร”
“ข้าวมันไก่สิงคโปร์”คุณท่านหัวเราะขำพร้อมกับลูบศรีษะผมอย่างอารมณ์ดีหลังจากฟังคำตอบ
“มาตั้งไกล อยากทานแค่ข้าวมันไก่เนี่ยนะ?”
“งรื้อ คุณท่านอย่ามาขำผมนะ ก็วันก่อนที่เราดูรายการเที่ยวสิงคโปร์ด้วยกัน เขาพาไปทานข้าวมันไก่ มันดูน่าทานมากเลยนี่ครับ”
“ตามใจ”
“คุณหมีน่ารักจังเลยน้า”ผมซบหน้าลงกับบ่าคุณท่าน
“ว่าอะไรนะ”
“ฮื่อ ผมเปล่าพูดอะไรสักหน่อย”
ใช้เวลาบินชั่วโมงกว่าๆ ล้อเครื่องบินก็แตะรันเวย์สนามบินนานาชาติชางงีในที่สุด
ทันทีที่ก้าวลงจากเครื่อง รถลีมูซีนคันหรูก็จอดรออยู่แล้ว คุณท่านให้รถลีมูซีนไปส่งที่โรงแรม หลังจากเก็บของเสร็จ เราสองคนก็สละเรือ ไม่ใช่ละ สละรถลีมูซีนจอดทิ้งไว้ที่โรงแรม แล้วเลือกเดินมากินข้าวมันไก่ร้านดังซึ่งอยู่บน food court ในห้างที่ไม่ไกลจากโรงแรม
ผมเดินมองสองข้างทางไปเรื่อยเปื่อยแบบเด็กที่ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ไม่เคยพบเคยเจอ “พริ้ม! ระวังรถ!”คุณท่านตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดังพร้อมกับวิ่งมาดึงแขนผมไว้ไม่ให้โดนรถชน ผมว่าเมื่อกี้ตอนผมข้ามถนนไฟก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วนะ
“เดินระวังหน่อยสิ ถ้าโดนรถชนขึ้นมา ชั้นจะทำยังไง”ผมหันไปมองหน้าคุณท่านที่กำลังดุผมอยู่อย่างงงๆ ถ้าผมโดนรถชนก็พาไปโรงพยาบาลไง ทำไมจะต้องถามว่าทำยังไง คนแก่นี่งงจริงๆ
หน้าตาหมีดุกับคิ้วที่ขมวดจนผูกเป็นโบว์แบบนี้ ท่าจะไม่ดีแล้ว…เหมือนพายุใหญ่กำลังจะก่อตัวเป็นเฮอริเคน “ขอโทษครับ งั้นเราเดินด้วยกันดีกว่าเนอะ”ผมคว้ามือคุณท่านมากุมแล้วดึงแขนเขาให้เดินไปข้างหน้าพร้อมกัน คุณท่านยอมเดินตามผมมา นิ้วของเราสอดประสานกันไว้เหมือนกับจังหวะก้าวเดินของเราที่เป็นจังหวะเดียวกัน
ผมหันไปยิ้มให้คุณท่านที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่จางๆ
โชคดีแค่ไหนที่อ้อนแล้วเขาหายโกรธ
ผมหลงรักช่วงเวลาแบบนี้
ร้านข้าวมันไก่สิงคโปร์เจ้าดังมีคนต่อคิวยาวเหยียด เรายืนรอนานมาก ผมบอกให้คุณท่านไปนั่งรอที่โต๊ะก่อน เดี๋ยวผมเข้าคิวซื้อให้เขาก็ไม่ยอม ระหว่างรอก็แอบกังวลนิดๆว่าเขาจะหมดความอดทนเมื่อไหร่
“มองหน้าชั้นหลายรอบแล้วนะ”
“ก็ผมกลัวคุณโมโหที่รอนานนี่”
“ตอนนี้ยังนะ”
“แต่อีกสิบนาทีก็ไม่แน่ใช่ไหมครับ”คุณท่านหัวเราะเสียงดังทันทีที่ผมพูดจบประโยค เหมือนครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เขาดูผ่อนคลายเวลาอยู่กับผม
“กินชานมไข่มุกไหม ชั้นจะไปซื้อให้”ผมมองหน้าคนที่เอื้อนเอ่ยวาจาเสนอด้วยความแปลกใจ ผีตัวไหนเข้าสิงเขากัน
“รบกวนคุณเปล่าๆ”
“ไม่ต้องห่วง ชั้นคิดค่าจ้างสมราคาแน่”ผมได้แต่ถอดถอนหายใจ ‘ค่าจ้าง’ที่ว่าคงทำให้ผมฟ้าเหลืองทั้งคืนแน่
หลังจากคุณท่านไปซื้อชานมไม่นานก็ถึงคิวสั่งอาหารของเรา ผมสั่งไก่มาจานนึง ข้าวมันสองจานและซุปไก่ตุ๋นอีกหนึ่งอย่าง อิ่มกลิ้งตายกันไปข้าง
ผมเลือกที่จะนั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง นั่งมองผู้คนมากมายเดินเบียดเสียดกันบนถนน ชีวิตของคนที่นี่ดูวุ่นวายไม่ต่างอะไรไปจากกรุงเทพเลยสักนิด
ผมนั่งรออยู่นานจนควันร้อนของซุปไก่เริ่มจางลง คุณท่านถึงกลับมาพร้อมชานมไข่มุกมันม่วง เครื่องดื่มยอดฮิตในเวลานี้ “ทำไมไม่ทานก่อนละ”
“ผมรอคุณ”คุณท่านยิ้มเอ็นดู
“ถ้าวันหลังหิวก็ทานก่อนเลย ไม่ต้องรอ”เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยนจริงๆ ทีเมื่อก่อนผมกินขนมก่อนกินข้าวยังไม่ได้เลย ต้องรอกินพร้อมเขา
“ขอบคุณนะครับ”ผมเอ่ยขอบคุณแล้วหยิบแก้วชานมมาดื่ม ส่วนเครื่องดื่มของคุณท่านหนะเหรอครับ อย่าได้คิดเชียวว่าผู้ชายแบบเขาจะมาดื่มเครื่องดื่มหวานๆแบบนี้ อเมริกาโน่จากแม่เงือกเท่านั้นแหละที่เขาเลือก
“อร่อยไหม”
“อร่อย คุณชิมไหม”คุณท่านส่ายหน้าปฏิเสธแล้วเริ่มทานข้าว ผมตักไก่ใส่จานให้เขาก่อนจะเริ่มทานข้าวของตัวเอง เหมือนคุณท่านจะชะงักไปแต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความ ผลเลยปล่อยเบลอไม่ถามอะไรแล้วตั้งใจกินข้าวของตัวเอง
กินจนอิ่มจุกแทบกลิ้งได้ ไก่ในจานก็ยังไม่หมด “คุณท่าน ใส่ห่อกลับบ้านดีไหม”
“ไม่ดี ชั้นไม่อยากให้เธอกินของค้างคืน”
“แต่…”
“ไม่มีแต่”จบประเด็น เลิกเถียงได้ ผมลุกจากโต๊ะด้วยความอาลัยอาวรณ์ ไก่จ๋า…พี่พริ้มลาก่อยยยยย
เราออกมาเดินย่อยอาหารกันที่ถนนสายชอปปิ้งสายหลักของสิงคโปร์ ข้าวที่ทานไปยังไม่ทันเรียงเม็ด คุณท่านก็ลากผมไปชอปปิ้ง เข้าร้านนั้นออกร้านนี้จนบรรดาถุงเสื้อผ้ารองเท้าจากแบรนด์ดังมากมายล้นมือจนผมถือไม่ไหว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเขาจะหยุดซื้อ
ผมหิ้วข้าวของมากมายที่เขารูดบัตรซื้อไปจนปวดนิ้วไปหมด สุดท้ายผมยอมพ่ายแพ้เอ่ยขอร้องเขา “คุณ วันนี้ซื้อแค่นี้ก่อนได้ไหม พรุ่งนี้ค่อยมาซื้อใหม่”
“อีกร้านนึง”เขาพูดจบก็เดินลิ่วไปเข้าร้านนาฬิกาแบรนด์ดังจากฝั่งยุโรป ผมนี่รีบวิ่งตามแทบไม่ทัน ถ้าไม่เสียดายเงินแทนคุณท่านนี่ผมแทบจะอยากเอาของทั้งหมดทิ้งไว้ตรงนี้แล้วเดินกลับโรงแรมคนเดียว
ผมเดินตามหลังคุณท่านเข้ามาในร้านนาฬิกา เลือกมุมสงบในการนั่งรอ ด้วยสภาพอากาศเย็นๆและความเหนื่อยล้าจากการเดินทางทำผมเกือบเคลิ้มหลับ แต่ในขณะที่กำลังเคลิ้มหลับ สัมผัสเย็นเยียบที่ข้อมือทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาซะก่อน
“ชอบไหม”ผมมองนาฬิกาสีเงินเรือนหรูที่มีหน้าปัดประดับเพชรด้วยความรู้สึกงุนงง สงสัยคุณท่านไม่อยากลองเองเลยให้ผมลองแทน “เหมาะกับคุณดีนะครับ”
“เหมาะกับชั้นเหรอ”ผมพยักหน้า ไม่เหมาะคุณท่านจะเหมาะกับใคร ดูก็รู้ว่านาฬิกาเรือนสีเงินเรือนนี้ วัสดุไม่น่าจะทำจากเงินแน่ๆ แต่น่าจะทำจากสิ่งที่แพงกว่านั้น อย่างเช่นแพลตตินัม
“I would like to have a big one also”หลังจากที่คุณท่านสั่งพนักงาน นาฬิกาอีกเรือนที่ดีไซน์เหมือนกันแต่หน้าปัดขนาดใหญ่กว่าก็มาปรากฎบนข้อมือคุณท่าน
ผมว่าผมเดาได้แล้วละ“คุณ ผมไม่เอานะ มันแพงเกินไป”
“ไม่เอาก็โยนทิ้ง”
“จะโยนทิ้งทำไมละคุณ ยังไม่ได้จ่ายเงินเลย คืนเขาก็ได้”
“ไม่ได้”ผมมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ นาฬิกาบ้าอะไรแค่เอามาลองถึงกับคืนไม่ได้ แต่ก่อนจะโวยวายไปมากกว่านั้น ผมเลือกที่จะหันมาพินิจพิจารณาดูนาฬิกาบนข้อมือตัวเองอีกทีถึงได้เข้าใจว่าทำไมคืนไม่ได้
นาฬิกาที่สลักชื่อผู้ซื้อแล้ว ร้านไหนเขาก็ไม่รับคืนทั้งนั้นแหละ ขายต่อก็ไม่ได้เพราะคงไม่มีใครอยากใส่นาฬิกาที่มีชื่อคนอื่นอยู่บนตัวเรือน ถ้าผมไม่เอา ทางออกเดียวของนาฬิกาเรือนนี้คงเป็น ‘โยนทิ้ง’ แบบคุณท่านว่า
“ขอบคุณครับ”ผมยกมือไหว้ขอบคุณเขาอย่างยอมจำนน
“ซื้อให้แล้วก็ต้องใส่รู้ไหม หน้าปัดนาฬิกาทำจาก sapphire ใส่ให้ตายยังไงก็ไม่มีรอยขีดข่วน”ยิ่งฟังเขาพูดแล้วผมยิ่งรู้สึกผิด เพราะคำพูดของผมแท้ๆที่ทำให้เขาต้องเสียเงินซื้อนาฬิกาแพงๆให้
“ชั้นให้เพราะอยากให้ ไม่ได้คิดว่ามันมีมูลค่าเท่าไหร่”เขาพูดจบแล้วจูงมือผมออกจากร้าน
มือขวาของเราสองคนใส่นาฬิกาแบบเดียวกัน รุ่นเดียวกัน ต่างกันแค่ขนาดหน้าปัดนาฬิกา ผมแอบได้ยินพนักงานกระซิบกันว่านาฬิกาเรือนของผมเป็นนาฬิกาที่ถูกสั่งทำขึ้นพิเศษตามความต้องการของลูกค้า ส่วนเรือนของคุณท่านเป็นเรือนที่ทางบริษัทผลิตเพิ่มเพื่อให้ลูกค้าเลือกว่าชอบขนาดหน้าปัดนาฬิกาแบบไหนมากกว่ากัน
จริงๆตอนแรกคุณท่านคงตั้งใจแค่มารับนาฬิกาเรือนของผม แต่พอผมบอกว่ามันเข้ากับเขา เขาถึงยอมซื้ออีกเรือนกลับมาด้วย
นาฬิกาที่มีคู่เดียวบนโลก…นาฬิกาของเรา
.
.
.
“อื้อ…”ผมลุกจากเตียงด้วยความงัวเงียที่ถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้าทั้งๆที่เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบรุ่งสางแล้ว คุณท่านที่กำลังผูกเนคไทด์ด้วยความเร่งรีบเดินมาหาผม “ชั้นมีประชุมทั้งวัน บัตรเครดิตกับเงินวางไว้ให้ที่หน้าทีวีแล้ว จะไปไหนก็ระวังตัวรู้ไหม ห้าโมงเย็นเจอกันที่โรงแรม”พูดจบเขาก็หอมแก้มผมหนึ่งทีก่อนจะคว้ากระเป๋าเอกสารเดินออกไป
ผมที่สติยังไม่เข้าร่างล้มตัวลงนอนต่อจนกระทั่งพระอาทิตย์เลยหัวไปถึงได้ตื่นขึ้นมา หลังจากอาบน้ำแล้ว ผมพึ่งสำเหนียกได้ว่าตัวเองไม่มีเสื้อผ้าใส่เลยสักชุด เมื่อคืนก็ไม่ได้ใส่ เวรกรรมแล้วทีนี้
ก่อนที่จะสติแตกไปมากกว่านั้น สายตาผมก็เหลือบไปเห็นถุงชอปปิ้งเมื่อวานที่วางเรียงเป็นตับของคุณท่าน ขอยืมใส่ก่อนสักชุดนึงแล้วกัน ผมเล่นจ้ำจี้มะเขือเปราะแปะเหมือนตอนเด็กๆเพื่อเลือกถุงที่จะขโมยมาใส่แล้วโดนโกรธน้อยที่สุด
“จ้ำจี้มะเขือเปราะแปะ กะเทาะหน้าแว่น พายเรืออกแอ่น อาบน้ำท่าไหน อาบน้ำท่าวัด เอาแป้งที่ไหนผัด เอากระจกที่ไหนส่อง เยี่ยมๆ มองๆ นกขุนทองร้องวู้ววว~”เอาเลย เอาถุงนี้นี่แหละ
หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว ผมก็ออกไปหาอะไรทานแถวโรงแรม โรงแรมที่ผมพักตั้งอยู่ใจกลางเมืองในย่านเศรษฐกิจ มีศูนย์การค้ามากมายล้อมรอบ
ผมเลือกที่จะเดินไปเรื่อยๆเพื่อหาร้านอาหาร ในระหว่างทางที่เดินผมเหลือบไปเห็นร้านติ่มซำข้างทางที่มีพนักงานออฟฟิศต่อแถวเข้าคิวค่อนข้างยาว ต้องเป็นร้านนี้แหละที่อร่อย พนักงานออฟฟิศมักจะมีความสามารถในการหาร้านอาหารที่ราคาไม่แพงมากแต่รสชาติดี
ระหว่างที่สั่งอาหารผมก็อดนึกถึงคุณท่านไม่ได้ ทานข้าวคนเดียวไม่เห็นอร่อยเลย
หลังจากทานอาหารกลางวันอิ่มตอนเวลาเกือบบ่ายสอง ผมก็เดินไปเรื่อยๆจนถึงริมอ่าวมาริน่า ผมใช้เวลาที่ได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจมองครอบครัวที่พ่อแม่พาลูกมาปิคนิค คิดแล้วก็อดนึกถึงครอบครัวที่เหลืออยู่คนเดียวของผมไม่ได้
ไม่รู้ว่าตอนนี้น้องจะเป็นยังไงบ้าง กำลังทำงานหนักอยู่หรือเปล่า ได้นอนพักผ่อนบ้างไหม มีอาหารดีๆกินหรือเปล่า
นับตั้งแต่วันนั้นที่เราทะเลาะกันถึงขั้นที่ผมปฏิญาณว่าจะตัดขาดความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง สุดท้ายผมก็ทำไม่ได้ตามที่ลั่นวาจาไว้ ผมยังคงโอนเงินให้น้องทุกเดือนเหมือนที่ผ่านมา เพียงแต่ลดจำนวนลงให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตของเด็กมหาลัยทั่วไป ถ้าเขาใช้เงินอย่างรู้คุณค่า เขาก็จะสามารถอยู่ได้จนถึงสิ้นเดือนได้สบายๆ
คิดแล้วก็แอบน้อยใจไม่ได้ ให้ไปเท่าไหร่เขาก็ไม่เคยรับรู้ พี่ชายคนนี้คงเป็นได้แค่ตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่
ผมนั่งมองผู้คนรอบตัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดถึงได้รู้สึกตัว พอเหลือบมองนาฬิกาก็อดตกใจไม่ได้ หกโมงกว่าแล้ว...ถ้าคุณท่านกลับมาแล้วไม่เจอผมนี่เรื่องยาวแน่
ผมรีบวิ่งกลับโรงแรมแบบไม่คิดชีวิต เสื้อเชิ้ตสีครีมที่แอบยืมคุณท่านมาใส่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทันทีก้าวเข้ามาในโรงแรม พนักงานต้อนรับหน้าประตูก็มองหน้าผมอย่างพิจารณาก่อนจะยกวิทยุสื่อสารขึ้นพูดอะไรกับใครสักคนซึ่งผมไม่มีเวลาจะสนใจฟัง ผมรีบวิ่งไปแสกนคีย์การ์ดเพื่อกดลิฟท์ขึ้นไปหาคุณท่านที่ห้อง แต่ดูเหมือนว่าลิฟท์จะไม่เป็นใจ รอนานแล้วก็ยังไม่มาสักที
ในระหว่างที่รอ ผมได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบพื้นหนักๆ พอหันไปมองก็พบว่าเป็นคุณท่านที่รีบวิ่งมาด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ เนคไทด์ที่ผูกไว้อย่างดีเมื่อเช้าถูกเหวี่ยงหายไปไหนไม่รู้ เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่ถูกรีดไว้เรียบกริบมีร่องรอยยับย่น ส่วนกระดุมเสื้อก็ถูกปลดออกเช่นกัน
“คุณท่านผมขอ…”ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยคำขอโทษจบ ร่างทั้งร่างของผมก็ถูกรวบเข้าไปจนจมอก
“อย่าหายไปแบบนี้”ผมลูบหลังคุณท่านเบาๆ เสียงหัวใจที่เต้นระรัวจากอกข้างซ้ายของคุณท่านดังออกมาจนแทบทะลุอก
“ผมขอโทษ”
คุณท่านไม่พูดไม่จากับผม หันไปขอบคุณพนักงานของโรงแรมแล้วก็พาผมขึ้นห้อง
ผมมองมือตัวเองที่ถูกคุณท่านกุมไว้ไม่ยอมปล่อยด้วยความแปลกใจ อะไรทำให้เขากุมมือผมแน่นขนาดนี้ ทำเหมือนว่าถ้าปล่อยมือแล้วผมจะหายไปเหมือนฟองอากาศ แต่ในที่สุดเขาก็ยอมปล่อยมือเมื่อเข้ามาในห้อง
คุณท่านยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเหมือนคนกำลังระงับอารมณ์แล้วเขาก็เดินเข้าห้องนอนไปทิ้งให้ผมยืนนิ่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นด้านนอก
ถูกโกรธอีกแล้ว…แต่ครั้งนี้ความผิดผมเต็มๆ
ถ้าไม่นั่งเหม่อจนลืมเวลา คงไม่ทำให้เขาต้องวุ่นวายตามหา
ผมออกไปนั่งริมระเบียงมองวิวยามค่ำคืนของประเทศสิงคโปร์ เหมือนกรุงเทพเลย…ช่างเป็นเมืองที่วุ่นวาย ในขณะที่ผมกำลังเหม่อมองวิว คุณท่านเข้ามาสวมกอดจากทางข้างหลัง
ผมยกมือขึ้นจับแขนเขาที่โอบเอวผมไว้ไม่ยอมปล่อย เขาไม่ยอมเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา เอาแต่นิ่งเงียบ “ผมขอโทษที่หายไปโดยไม่บอก ขอโทษที่ทำให้คุณวุ่นวายตามหาผม”
“อย่าหายไปแบบนี้อีก”น้ำเสียงของเขาสั่นไหวเหลือเกิน คงไม่ได้คิดว่าผมหายไปเพราะหนีไปฆ่าตัวตายในต่างแดนหรอกนะ ผมดึงแขนเขาออกแล้วหมุนตัวกลับไปจ้องมองเขา
ดวงตาสีสวยที่ผมเคยชอบสั่นไหวจนน่ากลัว บางทีเขาอาจจะคิดแบบนั้นจริงๆ คิดว่าผมหายไปและจะไม่มีวันได้ผมกลับคืนมา
“สัญญาว่าจะไม่หายไปจนกว่าคุณจะเป็นฝ่ายไล่…”ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยจนจบประโยค เขาก็ก้มลงมาปิดปากผมด้วยรสจูบร้อนแรง แรงจนเป็นปากแตกเหมือนต้องการลงโทษ คุณท่านไล้เลียรอยเลือดบนริมฝีปากแล้วประทับริมฝีปากค้างไว้เนิ่นนาน ไม่ยอมผละออก
เขาเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงทำร้ายกันไม่ยั้งมือ “ขอบคุณที่ไม่ทำร้ายผม”
“ใครว่า…เด็กไม่ดีต้องโดนลงโทษ”
.
.
.
คุณเคยมีแฟนไหมครับ? คำถามนี้อาจจะดูเจ็บปวดไปสักนิด แต่ถ้าคุณไม่เคยมีแฟน คุณคงไม่เข้าใจคำว่าสะโพกคราก ฟ้าเหลืองมันเป็นยังไง
ผมตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงของอีกวันด้วยอาการปวดเมื่อยเนื้อตัวไปทั้งร่าง ‘เอาไม่อยู่’ จริงๆกับผู้ชายคนนี้
“ตื่นแล้วเหรอ”ลืมตาขนาดนี้คงยังไม่ตื่นมั้ง “ไม่ต้องมามองตาขวางเลย เด็กดื้อก็ต้องได้รับบทเรียนซะบ้าง”
“หึ!”ผมอดทำเสียงประชดไม่ได้ กลั้นใจคลานเข่าลงจากเตียง “โทษทีที่ของชั้นใหญ่ เดินขาถ่างเลยนะ”ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงหันหลังไปชูนิ้วกลางใส่หน้า แต่นี่เป็นคุณท่านไงเลยทำไม่ได้
ผมมองสภาพร่างตัวเองในกระจกที่ดูไม่จืด มีแต่รอยจูบประพรมทั่วทั้งร่าง แม้แต่โคนขาด้านในก็ไม่เว้น แถมสิ่งที่น่าเกลียดที่สุดคือการที่เขาปล่อยเจ้าลูกชายหลายพันล้านตัวไว้ในร่างผมจนมันหยดย้อยเป็นคราบสีขาวขุ่นตามโคนขา
ไอ้คนแก่ลามก! เห็นทีจะต้องเห็นดีกันวันนี้แหละ
“นี่คุณ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”ผมออกไปยืนกอดอกต่อหน้าคุณท่านในร่างที่ยืมชุดเขามาใส่อีกนั่นแหละ
“เรื่องอะไร”
“คุณสดกับผมอีกแล้วนะ”
“เรื่องนี้เราเคยคุยกันไปแล้วนี่”
“แต่คุณกับผมยังไม่เคยตรวจเลือด”
“ใครว่า”พูดจบเขาก็หยิบผลเลือดจากในโทรศัพท์มาเปิดให้ดู ใบผลเลือดมาจากโรงพยาบาลที่ผมพักฟื้นรักษาตัวหลังจากกรีดข้อมือตัวเอง ผลบอกว่าผลเลือดเราเป็นลบทั้งคู่ นี่แอบเจาะเลือดผมไปตรวจตั้งแต่เมื่อไหร่
“นี่คุณ!”ผมโกรธเขาจนหมดคำจะพูด ทำแบบนี้มันริดรอนสิทธิส่วนตัวกันชัดๆ
“มานี่มา”ไม่ว่าผมจะโกรธเขายังไง สุดท้ายผมก็ยอมเดินไปนั่งข้างเขาอยู่ดี
“หน้างอคอหักเป็นปลาทูเลย”
“คุณนี่มัน…”
“ผัวเธอไง”
“หยาบคาย”คุณท่านหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี และในระหว่างนั้นเสียงท้องของผมก็ร้องดังขึ้นประหนึ่งพสุธากัมปนาทเลยทีเดียว ข้าวเย็นเมื่อวานก็ไม่ได้กิน ข้าวเช้า ข้าวเที่ยงของวันนี้ก็เช่นกัน
“Chilli crab ร้านนี้น่าทานจังเลย เนอะ”ไม่อยากจะเนอะด้วยหรอก เกลียดการที่คนเจ้าเล่ห์หยิบมือถือมาไถอวดรูปอาหารขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของประเทศสิงคโปร์หลังจากที่ผมท้องร้อง
โกรธก็โกรธ หิวก็หิว
“ไม่อยากไปทานเหรอครับ ว้า…นี่ชั้นกะจะพาไปทานร้านดังติดอันดับหนึ่งเลยน้า น่าเสียดายจังที่เด็กแถวนี้ไม่อยากไป”
“งรื้อออ…”ผมหันไปร้องประท้วง เห็นวี่แววว่าจะแพ้เขาอีกแล้ว
“อยากไปทานเหรอครับ อยากไปต้องทำไง”คนเจ้าเล่ห์แตะนิ้วชี้เบาๆที่ข้างแก้มในเชิงเรียกร้อง ทำขนาดนี้ไม่รู้เลยว่าต้องการอะไร
“คุณมันคนขี้เอาเปรียบ”
“เห็นด้วยนะ ทำไงได้ละมีผัวขี้เอา”
“นี่คุณ!!!”คุณท่านหัวเราะอย่างอารมณ์ดีที่เห็นผมโมโห เบื่อคนแก่ที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นจริงๆ
“ไปครับไป ไปทานข้าวกัน อย่าพึ่งโมโหหิว”
.
.
.
ร้านอาหารหรูริมทะเลเป็นจุดหมายของเราสองคนในวันนี้ ผมนั่งมองแสงสีเสียงริมอ่าวอย่างตื่นตาตื่นใจระหว่างรอสั่งอาหาร
“พริ้มอยากทานอะไรครับ”
“อะไรก็ได้ คุณสั่งเลย”คุณท่านหันไปสั่งอาหารสองสามอย่างพร้อมกับสั่งบริกรให้เปิดแชมเปญมาขวดนึง
“ห้ามเมานะคุณ ผมแบกคุณกลับโรงแรมไม่ไหวนะ”
“ระดับนี้แล้วใครเขาเมากัน”ไม่ทันที่ผมจะเอ่ยปากเถียงคุณท่านต่อ เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนา
“ว่าไง”
“อยู่สิงคโปร์”
“ก็นั่งอยู่ด้วยกัน”หื้ม? ใครโทรมาถามถึงผมนะ พี่ธิวาใช่หรือเปล่า
“เออหน่า จัดการปัญหาชีวิตมึงให้เรียบร้อยก่อนเถอะ”
ผมเงยหน้าสบตาคุณท่าน อยากถามใจจะขาด แต่คิดว่าไม่ถามคงดีกว่า แค่รู้ว่าพี่ธิวายังมีลมหายใจไม่ได้ล้มหายตายจากไปไหนก็พอแล้ว
“ไม่อยากรู้รึไง”คุณท่านถามเหมือนต้องการจะหยั่งเชิงผม
“ถ้าคุณอยากให้รู้เดี๋ยวคุณก็บอกเอง”
“ดื่มสิ”ผมหยิบแก้วแชมเปญที่คุณท่านรินให้มาดื่มอย่างว่าง่าย รสชาติแชมเปญชั้นดีมีความหวานละมุ่นนุ่มลิ้น ต่างไปจากเหล้าราคาถูกที่ผมเคยดื่มเพื่อเก็บจำนวนดริ๊ง
“เมื่อกี้ธิวามันโทรมา ตอนนี้มันบินไปเคลียร์ธุรกิจใหม่ที่ทำกับเพื่อนที่อเมริกา คงต้องอยู่ยาวจนกว่าบริษัทจะเป็นรูปเป็นร่าง ส่วนเรื่องคุณพ่อเธอไม่ต้องเป็นกังวลเพราะมันทะเลาะกับคุณพ่อจนบ้านแตกไปแล้ว”
“บ้านแตกแล้วไม่ต้องกังวลนี่นะครับ?”ผมถามคุณท่านที่เริ่มมีตรรกะผิดเพี้ยน นี่คุณเมารึเปล่าเนี่ย
“ดีจะตาย ได้ทำอะไรอิสระตามใจ ไม่ต้องคอยกังวลว่าครอบครัวจะคิดยังไง”ระหว่างเล่าคุณท่านก็จิบแชมเปญไปด้วยท่าทีสบายๆ
“พี่ธิวาโอเคจริงๆเหรอครับ”รู้สึกไม่ดีเลยที่ทำให้พี่ธิวาต้องทะเลาะกับครอบครัวเพราะผม
“กังวลแทนมันเรื่องอะไรละ? เรื่องเงิน? เรื่องบ้าน? เรื่องมรดก?”
“คุณท่าน! คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้กังวลเรื่องของนอกกายพวกนั้น”ที่ผมห่วงมากที่สุดตอนนี้คือ ความรู้สึกของพี่ธิวาตังหาก
“ตอนพวกชั้นจบม.ปลาย เราได้เงินขวัญถุงกันคนละก้อน จำนวนมันไม่มากแต่ก็ไม่น้อย เพียงพอให้คนๆหนึ่งตั้งตัวได้ ธิวามันเลือกเอาไปลงทุนซื้อหุ้นสายการบิน ทำให้ตอนนั้นมันกลายเป็นผู้บริหารสายการบินที่เด็กที่สุดในโลก ดังนั้นเธอไม่ต้องห่วงว่ามันจะไม่มีกิน ตอนนี้มันก็แค่ขาดความสบายบางอย่างที่ครอบครัวเคยซัพพอร์ตให้เท่านั้นเอง”
“ที่โดนยึดบ้านก็เพราะเหตุผลนี้เหรอครับ”
“ไร้สาระ!”เอ้า! ถามแค่นี้ก็โดนดุ
“ชั้นถามจริง เธอไม่รู้จริงๆเหรอว่าทำไมมันต้องขายบ้าน”ผมนั่งนิ่งเงียบ ผมจะไปรู้ได้ไง ผมไม่ใช่พี่ธิวาสักหน่อย ตกลงพี่ธิวาขายบ้านไม่ใช่โดนยึดบ้านงั้นเหรอ
“ธิวามันสั่งห้ามชั้นพูด แต่ดูเธออยากจะรู้เหลือเกิน ชั้นจะบอกให้ก็ได้ ไม่มีใครทนอยู่ในบ้านหลังที่เคยมีคนฆ่าตัวตายได้หรอก แค่เดินเข้าบ้าน ภาพเลือดที่เจิ่งนองอยู่เต็มห้องน้ำก็วนเวียนกลับมาหลอกหลอนแล้ว”
“คุณพูดเหมือนเห็นภาพนั้นเองกับตา”
“แล้วเธอคิดว่าชั้นจะเห็นไหมละ”ไม่ต้องถามต่อให้มากความ คนแบบคุณท่านรู้ทุกเรื่องที่อยากรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเขาจะเก็บเรื่องพวกนั้นมาใส่ใจรึเปล่า
“ไม่ต้องมาทำหน้าหมาหงอย ก็เป็นซะแบบนี้ถึงไม่อยากบอก”
“ผมทำพี่ธิวาเดือดร้อน”
“หยุดโทษตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะพริ้ม ไม่งั้นชั้นจะจับเธอมาตีให้ก้นลายกลางร้านอาหารนี่เลย”
“คุณท่าน!”
“Excuse me,sir Would you mind me serving the food?”
“No,please”
ผมนั่งมองอาหารตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มจนจุก ไม่มีความอยากอาหารเลยสักนิด
“พริ้มมานั่งนี่”คุณท่านคงเห็นผมท่าทางไม่ดีเลยเรียกผมไปนั่งข้างๆ ผมซบหน้าลงกับต้นแขนเขา ปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมา ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่ผมรู้สึกเสียใจ เสียใจที่การกระทำโง่ๆของผมส่งผลให้คนอื่นเดือดร้อนกันเป็นวงกว้าง
ถ้าจิตใจผมไม่อ่อนแอ…คำพูดของคุณพ่อพี่ธิวาคงไม่กระทบใจผม
ถ้าผมใช้สมองสักนิด…ผมคงไม่เลือกแก้ปัญหาด้วยการทำร้ายตัวเอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใด การเลือกจบชีวิตตัวเองลงคือทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับผมในวันนั้น
คุณท่านปล่อยให้ผมร้องไห้เท่าที่ผมต้องการ ไม่มีคำถาม ไม่มีถ้อยคำปลอบใจออกมาให้รำคาญ
“ขอผ้าเช็ดหน้าหน่อย”ผมชี้นิ้วไปที่กระเป๋าเสื้อของคุณท่าน
“ไม่รู้จักพก”คุณท่านบ่นผมแต่ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าให้ ผมแบมือขออยู่นานเขาก็ไม่ส่งให้
“เงยหน้ามองชั้น”และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คุณท่านบรรจงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้ผม โดนดูแลแบบนี้มันก็ซึ้งอยู่หรอก แต่เช็ดแบบนี้มันสั่งน้ำมูกไม่ได้ ผมดึงผ้าเช็ดหน้าในมือคุณท่านมาแล้วจัดการสั่งน้ำมูกให้โล่งจมูก
“สกปรก!”ผมยิ้มขำกับท่าทางรังเกียจของคุณท่านเลยแกล้งเขาโดนการเอาจมูกไปถูไถที่ต้นแขน
“ออกไปไกลๆเลย”คุณท่านใช้นิ้วชี้ดันหน้าผากผมให้ถอยห่าง พอเป็นน้ำมูกละมาทำรังเกียจ ทีเมื่อคืนยังทำมากกว่านี้เลย
“อาหารเย็นชืดหมดแล้วเนี่ย”บ่นจบคุณท่านก็เรียกบริกรให้มาเอาอาหารไปอุ่นอีกรอบ
“คุณท่าน”
“อะไร”คุณท่านตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงรำคาญ แต่ผมไม่กลัวหรอก
“ขอบคุณนะครับ”
“อื้อ”
ผมแอบมองคุณท่านด้วยความขอบคุณ
โชคดีที่มีเขาเคียงข้างในวันนี้…ผมเลยก้ามข้ามความอ่อนแอได้ไม่ยากจนเกินไป
ตอนนี้เป็นตอนที่ยาวมากจริงๆ
เหมือนทุกอย่างจะดำเนินไปในทิศทางที่ดี (เหรอ)
5555555555
เราไม่ควรทำให้นักอ่านทุกคนหวาดผวาไปมากกว่านี้ เดี๋ยวจะเป็นไบโพล่ากันก่อนที่นิยายจะจบ
ฝาก #พริ้มกับdaddy ด้วยค่ะ