บทที่ 1 @เรือนเศรษฐีเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล
กลิ่นยาไทยคลุ้งตลบอบอวลเต็มห้อง เสียงผู้คนกระซิบกระซาบไต่ถามถึงร่างที่นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนที่นอน รูปร่างที่แบบบางอยู่แล้วยิ่งแทบจมลึกลงไปบนฟูก ใบหน้าซีดขาวหลับตาพริ้มเหมือนคนนอนหลับไปเสียเฉยๆ หากเป็นเวลากว่าสามวันแล้วที่ไม่ยอมตื่น หัวอกคนเป็นแม่ปิ่มว่าจะขาดใจ มือหนึ่งจับมือบุตรชายโทนคนเดียวไว้มั่น อีกมือก็คอยยกชายผ้าแถบซับบริเวณหัวตาป้อยๆ ป้องกันมิให้หยาดน้ำตาตกต้องผิวหน้าบุตรชายด้วยเกรงจะเป็นลางร้ายเสีย
“ลูกต้องไม่เป็นไรนะแม่นะ อย่าเพิ่งวิตกตีตนไปก่อนไข้ ทั้งหมอไทยหมอฝรั่งต่างก็คิดเห็นตรงกันว่าเจ้ากาลเพียงอ่อนเพลียไปเท่านั้น อีกกะเดี๋ยวก็คงฟื้นคืนสติ”
“ใครมันแอบเอามะยมแช่อิ่มให้ลูกข้ากิน หาตัวพบหรือไม่ ข้าจะลงหวายมันเสียให้หลังขาด ท่านเจ้าประคุณที่วัดใหญ่สั่งไว้เสียเป็นหนักหนา ห้ามมิให้ลูกข้าได้รับทานสิ่งของอันมีเมล็ด แล้วอ้ายอีคนใดกล้าฝ่าฝืนคำสั่งข้า!!!”
บ่าวไพร่ที่นั่งตัวสั่นงันงกได้แต่ก้มหน้าคางชิดจรดอกมิกล้าเงยสบตาผู้เป็นนาย มีเพียงนางปริกบ่าวต้นห้องของคุณหนูกาลที่กล้าเอ่ยตอบเสียงตะกุกตะกัก
“เป็นคุณหนูหักหาญจะเอาให้ได้อย่างใจเจ้าค่ะ บ่าวห้ามแล้วห้ามอีก แต่คุณหนูเธอกลับทุบตีบ่าวแล้วขืนแย่งไปจนได้ เพียงคำเดียวเท่านั้นเจ้าค่ะ คุณหนูก็สำลักหน้าแดงแล้วลมตึงลงแน่นิ่งไปเจ้าค่ะ” ท้ายเสียงกระอืดๆน้ำตาเข้าน้ำตาออกอยู่เป็นพักกว่าจะจบเนื้อความ
ได้ยินความดังนั้น คุณมารตี เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล ก็ส่ายหน้า ด้วยรู้อยู่เต็มอกว่าบุตรหัวแก้วหัวแหวนของตนนั้นดื้อรั้นเพียงใด อารมณ์หรือก็ร้ายเป็นที่หนึ่ง ไม่ได้ดั่งใจอะไรก็ตรงเข้าทุบตี ดูร่องรอยฟกช้ำบนตัวนางปริกก็พอจะเดาเรื่องได้ ก็กว่าจะได้ลูกคนนี้มา เธอกับสามีเที่ยวได้บนบานศาลกล่าวไปทั่วกว่าจะมีลูกกับเขาสักคนก็ช่างยากเย็น มิหนำซ้ำพอเกิดมาร่างกายก็อ่อนแอขี้โรคเสียอย่างนั้น เธอจึงทั้งรักทั้งตามใจ มีอะไรก็ทูนหัวทูลเกล้าให้เสียทุกอย่าง ตาหนูจึงออกจะเป็นเด็กเอาแต่ใจไปอยู่บ้าง หากความเอาแต่ใจในหนนี้ช่างชวนให้หวาดวิตกนัก ด้วยคาบเกี่ยวพัวพันกับชีวิตน้อยๆ ของเจ้าตัวเสียนี่ ฟื้นขึ้นมาล่ะแม่จะหยิกให้เนื้อเขียวเชียวเจ้า
“น้องก็อย่าพึ่งไปคาดคั้นหาความอันใดกับพวกบ่าวไพร่มันเลย เอาเวลาไปจัดเตรียมสั่งพวกในโรงครัวให้ดูแลเตรียมหุงหาข้าวปลาไว้ให้ถึงพร้อมจักเป็นการดีเสียกว่า เพลาที่เจ้ากาลฟื้นคืนสติมา จักได้จัดสำรับให้ลูกมันได้”
เศรษฐีอำนาจ เศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลเอ่ยปากเบี่ยงเบนความสนใจของภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ไอ้ความโศกเศร้านั้นตัวเขาก็มีแน่ หากความที่เป็นเสาหลักของเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลแห่งนี้ ทำให้เขาต้องยืนหยัดฝืนข่มความหม่นหมองกลืนลงท้องไป นึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งพระคุณเจ้าที่วัดใหญ่พร่ำเตือนว่าอย่าให้เจ้ากาลได้รับอันใดที่มีเมล็ดก่อนอายุ ๑๘ เป็นเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งใหญ่ วันนี้เป็นวันที่บุตรชายของตนจะมีอายุครบกำหนดพอดี เหตุก็ดันมาเกิดล่วงหน้าเพียงสามวัน ลูกพ่อเอ๋ย...ทำไมจึงดื้อรั้นจนได้เรื่องเยี่ยงนี้
คุณมารตียกชายผ้าแถบขึ้นซับน้ำตาตรงบริเวณหัวตาอีกครั้ง ขยับกายเตรียมสั่งการบ่าวไพร่ในเรือนครัว หากแรงกระตุกในอุ้งมือทำให้หยุดชะงัก เหลียวมองใบหน้าลูกรักบนฟูกก็เห็นเปลือกตาขยับไหวก่อนที่แพขนตางอนยาวจะสั่นระริกขยับลืมตามองด้วยความงุนงง
“ลูกกาลฟื้นแล้ว คุณพี่เจ้าคะ ลูกฟื้นแล้ว”
น้ำตาไม่รู้จากที่ไหนไหลทะลักลงนองหน้าคุณมารตีพรากๆ หากริมฝีปากกลับยิ้มกว้างอย่างสมใจ ทางนึงลูบหัวลูบหูบุตรชายอย่างทะนุถนอม ทางนึงก็ตะโกนเรียกสามีเสียงหลง
“เป็นอย่างไรบ้างลูก เจ็บปวดตรงที่ใดบอกแม่เถิด แม่จักเร่งให้หมอเข้ามาดูอาการ”
กาลกระพริบตาปริบรับรู้ได้ถึงสัมผัสอ่อนโยนบริเวณศีรษะและรู้สึกได้ถึงความรักความเอาใจใส่ที่ทุกคนในห้องนี้มีให้กับเขา เพียงแต่...ที่นี่มันที่ไหนกันวะ!!
ผู้คนรอบข้างล้วนแต่งกายประหลาด ผู้หญิงมีทั้งนุ่งซิ่น นุ่งโจง ไว้ผมปีกก็มี ทรงดอกกระทุ่มก็มา ผู้ชายไม่ใส่เสื้อ นุ่งโจงกระเบน ใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอแล้วตลบไปห้อยชายไว้ด้านหลัง แม่เจ้า!! ดูจากสภาพแล้วยุคเดียวกะพี่ขุนไกร น้องดาวเรืองชัดๆ หลวงตาจ๋า ที่นี่ที่หนายยย
“เป็นเยี่ยงไรบ้างล่ะฮึเจ้ากาล เอ้อ..ไอ้ลูกคนนี้นอนหลับไปสามวันตื่นขึ้นมาก็ไม่พูดไม่จา จ้องมองคนนู้นทีคนนี้ทีตาปริบๆ ตอบคำถามให้แม่เอ็งเขาชื่นใจหน่อยสิเล่า เขานั่งเฝ้าเอ็งมาสามวันกับอีกสองคืนไม่เป็นอันกินอันนอนแล้ว”
“แหม คุณพี่ก็ช่างเย้านัก ตัวคุณพี่เองก็เร่งหามดหาหมอพามารักษาลูก เดินเข้าเดินออกเรือนเสียจนธรณีประตูแทบสึก ใครกันเล่าที่รับสำรับได้เท่ากับแมวดม ถ้าอิฉันไม่คอยคะยั้นคะยอ ป่านนี้คงมีคนล้มหมอนนอนเสื่อเพิ่มมาเสียอีกคนก็มิรู้”
สองคนผัวเมียกระเซ้าเย้าแหย่กันไปมา บรรยากาศชื่นมื่นที่ลูกรักฟื้นคืนกลับ แต่ไอ้คนบนเตียงนี่สิ งงเป็นไก่ตาแตก อย่าบอกนะว่าเขาย้อนอดีตกลับมาแบบในหนัง แล้วชีวิตต่อจากนี้จะเป็นยังไง แต่ก่อนจะไปนึกถึงชีวิตในอนาคต จะตอบคำถามสองคนผัวเมียนี่ยังไงดีวะ เมื่อกี๊ยังคุยเล่นกันจี๋จ๋า พอเขาเงียบนานๆ เข้าบรรยากาศในห้องก็พลันอึดอัดขึ้นตามไปด้วย กาลอึกๆ อักๆ อยู่อีกพัก ก่อนจะตัดสินใจยิ้มหวานอันป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวส่งเป็นทัพหน้านำไปก่อน ตามด้วยการเอ่ยปากพูดเสียงฉาดฉาน
“เอ่อ..หนูขอถามอะไรหน่อยได้ไหมจ๊ะ”
“หืม ตื่นมาก็ประจบพูดจาหวานหูเชียวนะ จะถามสิ่งใดเล่าเจ้า”
“คือ ที่นี่ที่ไหนเหรอจ๊ะ?”
สิ้นคำถามความโกลาหลก็พลันบังเกิด คุณมารตีเบิกตาโตเป็นลมล้มพับไปบนที่นอนบุตรชายนั่นเอง ข้างฝ่ายเศรษฐีอำนาจก็ตะโกนเรียกหาบ่าวไพร่ให้ไปตามทั้งหมอไทยหมอเทศให้จ้าละหวั่น ทั้งเรือนตกอยู่ในความวุ่นวาย นายบ่าวเดินสวนกันให้ขวักไขว่
หลังจากใช้ไฟฉายตรวจดูการตอบสนองของม่านตาเสร็จสิ้น นายแพทย์หนุ่มใหญ่ก็หันมาไล่เรียงถามเหตุการณ์โดยละเอียดอีกครั้ง
“พอคุณกาลสำลักเม็ดมะยม ใครเป็นคนมาพบเจอครั้งแรกกระนั้นรึ”
ต้นห้องควบตำแหน่งพี่เลี้ยงที่ชื่อนางปริกคลานตุ้บตั้บออกมาด้านหน้า หน้าตาสงบสำรวมเตรียมตอบทุกข้อคำถามมิให้ตกหล่น ด้วยเกี่ยวข้องกับอาการป่วยไข้ของคุณหนูที่เธอรักยิ่งจะให้มีข้อผิดพลาดหาได้ไม่
คุณหมอขยับแว่นตาที่เลื่อนตกลงมาให้เข้าที่ถามเสียงเนิบช้า
“ถ้าอย่างนั้นแม่ปริกเล่ามาโดยละเอียดดูอีกที ใจเย็นๆ ค่อยๆ เรียบเรียงถ้อยความ หากหาสาเหตุเจอ เราจักได้เร่งทำการรักษาคุณกาลเธอได้ถูกเหตุ”
นางปริกหลับตารวบรวมสติสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนค่อยๆ เรียงลำดับเหตุการณ์อย่างละเอียดลออ
“ตอนนั้นเป็นเพลาบ่ายแก่ๆ เจ้าค่ะ อิฉันกำลังนำมะยมแช่อิ่มไปเก็บที่เรือนครัว คุณหนูกาลเธอกลับมาจากโรงเรียนเร็วนัก พอเธอเห็นเธอก็เอ่ยปากอยากชิม อิฉันบอกว่าไม่ได้ เธอก็ตรงเข้ามายื้อแย่งได้ไปไม้นึง ยังไม่ทันที่อิฉันจะเอ่ยปากห้ามปราม เธอก็เอาเข้าปากเสียแล้ว” เล่าถึงตรงนี้นางปริกก็นึกเสียใจที่ทัดทานคุณหนูกาลไว้ไม่ทัน คิดแล้วยังใจหาย ถ้าคุณหนูเธอไม่ฟื้นขึ้นมาเล่า...
“เล่าต่อเถิดแม่ปริก อย่ามัวคิดถึงสิ่งผิดที่ได้ผ่านไปแล้ว” ท่านเศรษฐีอำนาจเอ่ยกระตุ้นเตือนอย่างเข้าใจ
“อิฉันเห็นคุณหนูเธอยังพอมีสติอยู่จึงได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยการกอดจากทางด้านหลังใช้มือประสานกันดันมือขึ้นบริเวณใต้ลิ้นปี่ อัดเข้าท้องซ้ำๆ ขึ้นด้านบน เพื่อให้เม็ดมะยมหลุดออกมา แต่ก็หายอมหลุดไม่ จนคุณหนูเธอหมดสติไปเจ้าค่ะ”
“แม่ปริกทำถูกต้องตามหลักการทุกอย่างแล้วจงอย่าวิตกกังวลไปเลย แม่ปริกมีสติดีมากในสถานการณ์ฉุกละหุกเช่นนั้น แล้วคุณกาลเธอหมดสติไปนานเท่าใดรึ”
“๑ นาที ๔๒ วินาทีเจ้าค่ะ อิฉันจับเวลาไปด้วย เร่งตามบ่าวไพร่มาพาคุณหนูขึ้นเรือนไปด้วย”
“อืม ก็นับว่านานพอควร ท่านเศรษฐีขอรับ กระผมใคร่ขอวินิจฉัยว่า ที่คุณหนูฟื้นขึ้นมาครานี้แล้วจำสิ่งใดไม่ได้ สาเหตุมาจากการที่ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอตอนที่สิ้นสติไป สมองจึงสูญเสียความทรงจำขอรับ”
เอิ๊กกก เสียงเรอเพราะโดนลมสว้านตีขึ้นจุกอกของคุณมารตีเรียกสติของบ่าวไพร่คนอื่นๆ ที่นั่งนิ่งตะลึงงันกับคำวินิจฉัยของคุณหมอให้กลับมามีสติกับปัจจุบันแล้ววิ่งหายาลมยาหอมส่งให้ภรรยาเจ้าของเรือนกันให้มือเป็นระวิง
คุณมารตีที่พึ่งฟื้นจาการเป็นลมแทบจะเป็นลมซ้ำไปอีกรอบ ในหัวอกบีบรัดเจ็บปวดเสียยิ่งนัก
“หนูกาล หนูกาลลูกแม่ อพิโธ่อพิถัง เวรกรรมอันใดเล่าลูกเอ๋ย กว่าจะได้เกิดมาก็ยากเย็น ร่างกายรึก็กระเสาะกระแสะสามวันดีสี่วันไข้อยู่เนืองๆ นี่มาสูญเสียความทรงจำอีกลูกเอ๋ย”
ผู้เป็นมารดาพิลาปรำพันไปกอดจูบลูบหัวไปด้วยความสงสารท่วมท้น สองมือประคองแก้มลูกชายพินิจพิจารณาพลางสูดหายใจเข้าเรียกสติ ปากแกมคิ้วคางนี่ก็ลูกแม่ จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แม่จำเจ้าได้ก็พอแล้ว
เวลาดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของคุณมารตีด้วยไม่เคยคุ้นกับสัมผัสโอบกอดเช่นนี้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมามีแต่หลวงตาเป็นผู้ปกครองเพียงคนเดียว อีกทั้งยังเป็นชายด้วยกันทั้งคู่จะให้มากอดรัดฟัดเหวี่ยงมันก็ออกจะขัดเขิน พอมาเจออ้อมแขนของมารดา (ของคนอื่น) ก็กระอักกระอ่วนใจได้แต่ค่อยๆ เบี่ยงตัวออกมา
ดีที่คุณหมอบอกว่าเขาความจำเสื่อม (แน่ล่ะ ถามอะไรก็ตอบไม่ได้ซักอย่างนี่) ตกลงนี่มันยุคสมัยไหนกันแน่หว่า การแพทย์ก็ดูเจริญก้าวหน้าดี อย่าพึ่งไปคิดเลยก็แล้วกันไอ้กาลท่าทางจะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานค่อยๆ คิดหาลู่ทางไปก็แล้วกัน ว่าแต่ตอนนี้หิวชะมัด ขอข้าวพวกคุณๆ เขากินก่อนดีกว่า ดูท่าทางจะรักลูกที่เป็นเจ้าของร่างนี่มากอยู่ ข้าวซักจานน่าจะพอหามาให้ได้ล่ะเนอะ ด้านได้อายอดเว้ย คิดเสร็จก็ยื่นมือไปสะกิดท่อนแขนของคนตรงหน้าพร้อมทั้งเอ่ยปากเรียก
“คุณๆ”
แม่ของเจ้าของร่างผงะไปครู่ใหญ่ก่อนจะส่งยิ้มมีเมตตามาให้กาลได้ใจชื้น
“เรียกคุณแม่ซิเจ้า”
“คุณแม่จ๋า..หนูหิว เอ่อ พอจะมีข้าวให้หนูซักจานไหมจ๊ะ”
คุณมารตีใจอ่อนวูบทันที นานหนักหนาแล้วที่บุตรชายไม่ได้พุดจาประจบออเซาะฉอเลาะเธอเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะก้มลงจูบกระหม่อมด้วยความมันเขี้ยว ยิ่งเจ้าตัวดีมีอาการอายหน้าแดงนางก็ยิ่งยิ้มแย้มเบิกบาน
“โตเป็นหนุ่มแล้วให้แม่หอมมิได้หรือเจ้า ดูสิเขินเป็นนางอายเชียว”
“น้องก็ไปแกล้งลูก ลูกบ่นหิวอยู่หนา เร่งจัดสำรับก่อนเถิด”
คนบ้านนี้ปรับตัวปรับอารมณ์กันเก่งแฮะ เมื่อครู่ยังออกอาการตกอกตกใจกันจะแย่ พอทำใจได้ว่าลูกความจำเสื่อมแน่นอนแล้วก็หันมาพูดคุยหยอกล้อกันได้เหมือนเดิม
เสียงประมุขของบ้านสั่งการให้เตรียมหากับข้าวกับปลามาให้ลูกรัก ทำเอาบ่าวไพร่อมยิ้มกันแก้มตุ่ย น้อยครั้งนักที่ท่านเศรษฐีอำนาจจะเป็นยุ่งเกี่ยวกับอาหารการกิน นี่คงเป็นเพราะบุตรชายเป็นคนเอ่ยปากว่าหิวจึงลงมือสั่งเองเป็นการใหญ่
“พ่อก็ชักจะหิวแล้วเหมือนกัน ไม่ได้นั่งเปิบข้าวพร้อมกันพ่อแม่ลูกมานานแล้ว มาๆ แม่รตีปล่อยลูกออกจากอกมาเปิบข้าวเสียพร้อมกัน เสียดายที่ไม่รู้ว่าเจ้าจักฟื้นวันนี้เลยมิได้สั่งให้อ้ายมีไปซื้อเป็ดย่าง โฟร์ ซีซั่น ที่เจ้าชอบมาเตรียมไว้”
กาลกำลังหิวจนตาลายจึงไม่ทันได้ฟังอะไรทั้งสิ้น ลุกจากเตียงสี่เสาได้ร่างกายโอนเอนเล็กน้อย แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการกิน ยังคงก้าวเดินไปตามทิศทางที่มีกลิ่นอาหารลอยมาอย่างใจจดจ่อ เกือบมาเสียท่าอีตรงสะดุดธรณีประตูเซหลุนๆ นี่แหละ บ่าวไพร่อมยิ้มปิดปากหัวเราะกันคิกคักๆ หาดูง่ายเสียเมื่อไหร่ คุณหนูกาลคนที่เดินเหินศีรษะตรงแน่วหลังไหล่เชิดสง่าวางท่าสูงศักดิ์อยู่ตลอดเวลาจะมาเสียกิริยาเช่นนี้
เสียงหัวเราะกระซิบกระซาบดังลอดเข้าหูมา แต่กาลไม่มีเวลาไปสนใจ นาทีนี้เขาหิวจนท้องไส้แสบไปหมด ใครจะพูดจะนินทาอะไรก็ช่าง ไอ้กาลจะแหลกช้างได้ทั้งตัวอยู่แล้ว จนเมื่อคุณมารตีปรายตามองบรรดาบ่าวไพร่ด้วยหางตา เสียงซุบซิบนินทาก็เงียบลงในทันใด
“หนูกาล เดินช้าๆ หน่อยซิเจ้า หิวเพียงไรก็อย่าลุกลี้ลุกลนนักไม่งามตาเอาเสียเลย” ปากพูดเหมือนตำหนิติติงหากมือประคองให้บุตรชายก้าวข้ามธรณีประตูโดยสะดวก
พอก้าวเท้าพ้นธรณีประตูออกมากาลถึงกับผิวปากวิ้ว เรียกฝ่ามือที่ต้นแขนได้ครั้งหนึ่ง ก็จะไม่ให้ถูกอกถูกใจอย่างไรไหว ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือชานเรือนกว้างโปร่งสบายตา นอกชานปลูกไม้กระถางออกดอกเล็กสวยงามที่เห็นวงอยู่ใกล้กระถางตะโกดัดนั่นน่าจะเป็นอ่างปลา... ปลาเผา วิวทิวทัศน์บริเวณนอกชานไม่สามารถฉุดรั้งนายเวลาให้ชื่นชมได้อีกแล้ว เมื่อสายตาปะทะเข้ากับปลาเผาตัวเขื่องที่ใส่ถาดรองด้วยใบตองตั้งเด่นเป็นสง่าบนยกพื้นที่ชานเรือน
“วันนี้มีแต่เครื่องไทยนะเจ้ากาล เครื่องฝรั่งพวกในเรือนครัวจัดหาให้เจ้าไม่ทัน ทนฝืนรับสำรับไปเสียครั้งหนึ่งก่อนเถิดเจ้า วันพรุ่งพ่อจะให้เขาจัดหามาให้ใหม่”
ท่านอำนาจนั่งลงข้างบุตรชายรีบเร่งสาธยายรายการอาหารด้วยกลัวบุตรชายจะไม่โปรดปราน
“มีเนื้อเค็มต้มกะทิ รสออกเปรี้ยวเค็มน่าจะคล่องคอนัก”
“หรือจะเป็นยำทวายดีลูกออกรสเปรี้ยวหวานรสไม่จัดนัก พึ่งฟื้นขึ้นมากินรสจัดนักจะเสาะท้องเอาได้” คุณมารตีก็ไม่ยอมน้อยหน้าเลื่อนจานยำทวายไปให้บุตรชายชิม
อาหารละลานตาที่อยู่เบื้องหน้าจัดมาในจานชามสีเขียวอ่อนดูหรูหราตะการตา (มาทราบเอาทีหลังว่าสีเขียวอ่อนๆ อย่างนี้คุณแม่ท่านว่าเรียกศิลาดล) สำรับหลากหลายประดามีดูวิจิตรบรรจงจนกาลไม่กล้าหยิบจับ ผักสลักรูปใบไม้ที่จัดวางเคียงมากับชุดน้ำพริกกะปิแลดูอ่อนช้อยงดงาม กวาดตาดูจนทั่วแล้วไอ้เจ้าปลาเผาที่เหล่ไว้ตอนแรกท่าจะธรรมดาสุด มองซ้ายมองขวาหาช้อนส้อมไม่มี มีแต่ช้อนกลาง เอาวะ!!! มือนี่แหละ อุปกรณ์กินข้าวที่มีมาแต่กำเนิด เอื้อมแขนยาวไปกลางวงตรงเป้าหมายที่เล็งไว้แล้วก็
“เพี๊ยะ!!” มือเรียวของคุณมารตีฟาดเข้าให้ที่ต้นแขนบุตรชายทันที
คุณมารตีเลื่อนชามล้างมือโรยกลีบกุหลาบหอมกรุ่นให้บุตรชาย หากเมื่อเห็นตาแป๋วที่จ้องตอบมาก็นึกเอ็นดูนัก เอ... ความจำเสื่อมนี่จำวิธีการดำเนินชีวิตและกินข้าวกินปลามิได้เชียวรึ แต่เอาเถิดหนา เหมือนมีลูกแดงมาให้ดูแลใหม่ตั้งแต่แรกเริ่ม ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป คงได้สนุกกันพิลึกล่ะ
“ล้างมือก่อนสิเจ้า หนูกาล หลงลืมสิ่งใดก็ลืมได้ หากกิริยามารยาทไซร้ จงอย่าให้พร่องไปเชียวหนา หากเจ้าจำมิได้ จงดูตามแม่ให้ดี”
พูดจบคุณมารตีก็ใช้นิ้วมือจุ่มลงล้างในชามเพียงข้อนิ้ว หาแช่ลงไปทั้งมือไม่ จากนั้นจึงหยิบผ้าที่อบร่ำวางไว้ด้านข้างยกขึ้นเช็ด ลงมือแกะเนื้อปลาเลาะก้างออกอย่างรวดเร็ว วางลงในจานบุตรชายแล้วชักชวนให้เปิบข้าวไปพร้อมกัน
กาลเฝ้ามองตาม นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลางบีบข้าวให้ไม่เกินข้อนิ้วแรก จากนั้นจึงส่งประคองเข้าปาก ท่าทางอาจดูเก้กังไปบ้าง เม็ดข้าวร่วงหล่นไปบ้าง หากช่างน่าเอ็นดูนักในสายตาของมารดา
กว่ามื้ออาหารจะผ่านพ้นไป ก็เล่นเอาลุ้นกันจนเหนื่อยทั้งคนกิน ทั้งคนเอาใจช่วย ระหว่างบ่าวไพร่ลำเลียงสำรับอาหารไปเก็บ แล้วนำของหวานล้างปากขึ้นวางรอท่า ท่านอำนาจนึกครึ้มในอกยิ่ง จึงเรียกตัวนายพุดขึ้นมาแสดงฝีมือเป่าขลุ่ยให้ได้สำราญรับขวัญบุตรชาย
“ใครว่างไปตามตัวเจ้าพุดมาที นี่มันรู้หรือยังเล่าว่านายน้อยทูนหัวทูนเกล้าของมันฟื้นแล้ว เรียกให้มันมาเป่าขลุ่ยให้ข้ากับลูกฟังสักเพลงสองเพสงซิ”
“กระผมอยู่นี่ขอรับ”
สิ้นเสียงขานรับ ชายไทยรูปร่างสูงใหญ่ ผีวสีคร้ามเข้มนุ่งเพียงโจงกระเบน เสื้อแสงไม่ใส่ โชว์กล้ามเนื้อสวยงามเรียงเป็นลอนชัดเจน นับรวมได้ทั้งสิ้น 6 มัดก็คลานเข่าเข้ามาคุกเข่าลงเบื้องหน้าเวลา
สายตาที่เงยขึ้นสบ แฝงไปด้วยความห่วงหาเว้าวอนระคนทุกข์ร้อนเป็นกังวล ทำให้กาลรู้สึกสงสัย ในแววตาของคนคู่หนึ่งนั้นสามารถบอกอารมณ์ได้หลากหลายขนาดนี้เชียวหรือ ว่าแต่... อีตาพุดนี่ชักยังไง คนพ่อเรียกหา กลับมานั่งส่งสายตาให้คนลูกเสียอย่างนั้น
“อุบ๊ะ! เจ้าพุด ข้าเป็นคนเรียกเอ็งหนา หาใช่คุณกาลของเอ็งเรียกหาไม่ คุณรตีดูมันนะ ไม่มีชายตาแลพี่สักนิดเชียว”
เสียงเย้าแหย่หัวเราะคิกคักหาได้สอดแทรกเข้าไปทำลายบรรยากาศจ้องตากันของทั้งสองคนได้ หนึ่งจ้องอย่างสงสัยใคร่รู้ระคนงุนงง หนึ่งจ้องจับตาอย่างกับจะกลืนกินลงท้องก็มิปาน จนท่านอำนาจอดรนทนไม่ไหว จึงได้ใช้ไม้เท้าเคาะพื้นเรียกสตินายพุด หลังจากกระแอมเรียกจนเจ็บคอแล้วยังมิมีทีท่าจะได้ยิน
“ท่านอำนาจประสงค์ฟังเพลงใดเล่าขอรับ กระผมจะเล่นให้สุดฝีมือเทียว”
“สุดแล้วแต่เอ็งเถิด ข้าแค่ขออาศัยฟังเพียงเท่านั้น” ท่านอำนาจค้อนประหลับประเหลือก ด้วยรู้ว่าเจ้าพุดคงเล่นให้คุณหนูกาลฟังเป็นหลักเป็นแน่แท้ ผู้อื่นทำได้เพียงอาศัยใบบุญเท่านั้น
มือยกเลาขลุ่ยขึ้นจรดริมฝีปาก หากตาคมดุคู่นั้นยังจับจ้องที่จุดหมายมิให้คลาดสายตา ท่วงทำนองแผ่วพลิ้วดังขึ้น เสียงดนตรีสูงๆ ต่ำๆ เป็นทำนองที่กาลรู้สึกคุ้นหูเหลือเกิน ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลายสบายใจอย่างมาก ขนาดไม่ใช่คนมีความรู้เรื่องดนตรีอย่างเขา ยังฟังออกว่าทำนองเพลงที่เล่นวนซ้ำๆ โน้ตเดิมๆ แต่ทำไมยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเพราะอย่างนี้นะ ผู้ชายคนนี้เก่งจริงๆ คนบนเรือนเงียบกริบฟังพี่ท่านซะเพลินเลย หาว... พออารมณ์ผ่อนคลายก็เริ่มง่วงงุน นึกถึงเรื่องพระอภัยมณีตอนเป่าปี่ให้พี่พราห์มทั้งสามฟังจนหลับ คงมีอารมณ์ประมาณนี้ล่ะมัง
“เจ้าพุดเอ๋ย เป่าขลุ่ยเสียจนคุณหนูของเอ็งหลับไปเสียแล้วกระมัง ไปๆ พอก่อนเถิด พานายเอ็งเข้านอนเถิดไป เดี๋ยวข้ากับคุณรตีจะนั่งชมจันทร์ย้อนรอยสมัยหนุ่มสาวกันสักครู่ โอ๊ย! จะหยิกพี่ทำไมเล่าจ๊ะน้องรตี พี่รักแต่น้อง จึงอยากชมจันทร์คู่กับน้องเสียหน่อย น้องจงภูมิใจที่พี่มิคิดอยากชมจันทร์กับสาวที่ไหนนอกจากแม่รตีเท่านั้นนะจ๊ะ”
“ก็ลองพี่อำนาจหนีไปชมที่อื่นกับคนอื่นสิ หึๆๆ อิฉันไม่เอาไว้แน่เจ้าค่ะ”
“อูย... กลัวแล้วจ้ะเมียจ๋า นี่แค่พูดเล่นพี่ยังขนลุกซู่ๆ เลย แม่เจ้าประคุณเอ๋ย”
สองหนุ่มสาว (วัยดึก) หยอกล้อคิกคักกันไปมา พยักหน้าให้พุดที่เอ่ยปากลาขอพาคุณหนูเข้าห้องไปที ก่อนจะกลับไปหัวร่อต่อกระซักกันต่อ
พุดประคองร่างผอมที่ยิ่งผ่ายผอมมากกว่าเดิม เพราะนอนหมดสติมาสามวันลงบนฟูกนอน ปลดมุ้งลงเหน็บชายให้เรียบร้อยกันยุงและแมลงบินเข้ามารบกวน เสร็จแล้วจึงนั่งแปะลงบนพื้น เอื้อมมือเกลี่ยไรผมที่รุ่ยร่ายระข้างแก้มทัดใบหูให้เรียบร้อย
“ทูนหัวของพี่เอ๋ย ป่วยไข้ไปคราวนี้หัวใจพี่เจ็บนัก เรื่องดื้อดึงน่ะยกให้เชียวนะเจ้า พร่ำบอกพร่ำเตือนกันมาเท่าไหร่แล้วว่าห้ามกินของมีเมล็ด เจ้าก็ยังฝืนกินจนได้ หากเจ้าเป็นอะไรไปแล้วพี่จะอยู่เยี่ยงไร ยามที่เจ้าเจ็บลงไปนอนแดดิ้นบนพื้น ใจพี่แทบขาดรอนๆ ยิ่งตอนเจ้า... เจ้าหยุดหายใจไป พี่แทบอยากกลั้นใจตาม”
เสียงสั่นเครือเจือสะอื้นทำให้คนที่กำลังเคลิ้มๆ หลับ งัวเงียสลึมสลือฟัง จับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง รับรู้ได้เพียงความเสียใจอย่างสุดซึ้งที่แผ่ออกมาจากร่างสูง สัมผัสแผ่วเบาที่ลูบบนศีรษะ ให้ความรู้สึกอุ่นสบาย จนต้องขยับถูไถเข้ากับฝ่ามืออย่างติดใจ หากความสงสัยก่อนนอนเกี่ยวกับชื่อเพลงยังรั้งสติอันน้อยนิดไว้ให้เอ่ยปากถามทั้งๆ ที่ก้าวขาเข้าสู่แดนนิทรารมย์ไปแล้วข้างหนึ่ง
“เพลงเมื่อกี๊เพลงอะไรจ๊ะ”
เสียงงึมงำถาม เรียกความแปลกใจให้พุดยิ่งนัก เพลงโปรดตัวเองแท้ๆ ยังจำมิได้ โถ... พ่อคุณของพี่ ใบหน้าคร้ามแดดก้มลงแอบสูดดมความหอมบริเวณกกหูก่อนกระซิบเสียงเบา
“Canon in D ของ Johann Pachelbel ที่เจ้าชอบอย่างไรเล่า”
เสียงระรัวกระซิบชื่อเพลงสำเนียงเจ้าของภาษา ทำให้คนที่ตาปิดฟังไม่เข้าใจ ฟังคล้ายๆ ชื่อเพลงคนดีหรืออะไรสักอย่าง จึงปล่อยความสงสัยแล้วพาตัวเองดำดิ่งลงสู่ความฝันอันแสนหวานต่อไป
(มีต่อค่ะ)