ตอนที่ 23
นาฬิกาแผดเสียงร้องปลุกผมให้ตื่นขึ้นในเช้าวันเสาร์ที่อบอวนไปด้วยความขี้เกียจ แท้จริงแล้วเสียงเพลงนี้เป็นเสียงที่เจ้าของห้องตั้งปลุกไว้ในมือถือ คนที่ยังนอนอุตุไม่ยอมขยับตัวเพราะเมื่อคืนกว่าจะลากตัวมานอนได้นั้นปากเข้าไปเกือบตีสอง นับดูในใจแล้วช่วงเวลาที่ได้หลับพักผ่อนเพิ่งผ่านมาเพียงสี่ชั่วโมงเท่านั้น
ทุกเช้าวันเสาร์ต้นสนจะขับรถกลับบ้านที่อยู่อีกเขตในกรุงเทพฯ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเมื่อคืนผมดันเผลอรับปากว่าจะลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าไว้รอเจ้าตัวเลยตั้งปลุกไว้ให้ตั้งแต่หกโมง งั้นก็คงถูกต้องแล้วล่ะที่ผมตื่นนอนก่อน
คว้ามือถือมากดปิดเสียงเพลงผมก็ลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟัน เดินรำลึกถึงเมนูอาหารเช้าระหว่างเดินเข้าครัว หยิบผ้ากันเปื้อนมาใส่ก่อนเริ่มเตรียมวัตถุดิบอุปกรณ์
เช้านี้ผมจะทำซุปข้าวโพด
ปกติผมถนัดอาหารไทย แต่อาหารง่ายๆ อย่างซุปข้าวโพดลองอ่านวิธีทำจากอินเตอร์เน็ตแล้วน่าจะทำได้ไม่ยาก
เมนูนี้ผมเคยลองกินที่ร้านสเต็ก ไอ้เจนมันสั่งมาและถูกบังคับให้ลองชิม ผมว่ารสชาติมันติงต๊อง แต่กลายเป็นว่าหลังจากนั้นกลับติดใส่รสชาติจนต้องสั่งทุกครั้งที่ไป
มื้อเช้าของวันนี้เลยอยากให้ต้นสนลิ้มรสชาติติงต๊องในแบบของผมบ้าง
ผมเดินกลับเข้าไปในห้องนอนหลังจากจัดเตรียมวัตถุดิบเสร็จ ปลุกเจ้าของห้องให้ลุกไปอาบน้ำ ระหว่างรอต้นสนแต่งตัวจะได้ลงมือทำ ซึ่งคงเสร็จเวลาไล่เลี่ยกันพอดี ได้กินตอนมันร้อนๆ ย่อมอร่อยกว่าตอนเย็นชืด
ในห้องนอนยังเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ต้นสนซุกตัวขดอยู่ใต้ผ้าห่มเห็นเพียงกลุ่มผมสีดำโผล่ออกมา ถ้าเป็นเพื่อนสนิทอย่างไอ้ว่านไอ้เจนเห็นหลับสบายแบบนี้ผมคงนึกอยากปลุกด้วยการแกล้งแรงๆ แต่เพราะเป็นต้นสนเลยทำเพียงค่อยๆ ปืนขึ้นไปบนเตียง เลิกผ้าห่มออกแล้วฝังจมูกลงบนแก้มบวมๆ
"ตื่นได้แล้วขี้เซา"
ต้นสนขยับตัวยุกยิกก่อนลืมตาขึ้น พลิกตัวนอนหงายแล้วจ้องกันตาแป๋ว หน้าตาสดใสแบบนี้แสดงว่าตื่นอยู่แล้วสินะ
"ตื่นแล้วก็ไม่ยอมลุก"
"ขี้เกียจ"
"ไปอาบน้ำได้แล้ว" ผมดึงแขนให้ลุกขึ้นต้นสนก็ยอมลุกตามแต่โดยดี ลงจากเตียงแล้วยืนบิดขี้เกียจก่อนไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
"ทำมื้อเช้าเสร็จแล้วเหรอ"
จริงสิ ผมลืมถอดผ้ากันเปื้อน แถมยังขึ้นไปคลุกบนเตียงเรียบร้อยแล้วด้วย
"ใกล้แล้ว"
"ทำอะไรให้กินอ่ะ"
"ไม่บอก ไปอาบน้ำได้แล้ว" ผมโบกมือไล่ ต้นสนยู่หน้าแต่ยังยอมทำตามที่บอก หยิบผ้าเช็ดตัวเดินเนิบนาบเข้าห้องน้ำไป
ก่อนจะกลับไปจัดการมื้อเช้าต่อผมยังมีภารกิจอีกอย่าง เปิดตู้เสื้อผ้าแล้วไล่มองไปทีละตัว ก่อนหยิบเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวผ้าหนาออกมา เป็นการป้องกันผิวกายที่ผมหวงแหนจากกรงเขี้ยวกรงเล็บ ถึงมันจะช่วยได้เพียงเล็กน้อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ผ่านมาจนถึงตอนนี้ทั้งหมาและแมวตัวแสบของต้นสนยังขยันสร้างร่องรอยให้เจ้าของเสมอ แม้จะไม่มีรอยแผลลึกเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับมาจากบ้านทีไรต้องได้เห็นรอยขีดเล็กๆ น้อยๆ เสมอ เตือนก็แล้วบ่นก็แล้ว เจ้าตัวก็ยังปกป้องลูกน้องทั้งห้าของตัวเองอยู่ดี
'มันเป็นสัตว์เลี้ยงก็ต้องเล่นกับมันดิ พอโตเดี๋ยวคงหยุดคึกเองแหละ'
ว่าทีไรก็มักพูดแบบนี้ทุกที
จัดชุดให้เสร็จเรียบร้อยผมก็เดินออกจากห้องนอน แต่อยู่ๆ ประตูห้องกลับเปิดออก ขาที่กำลังก้าวเดินชะงักค้าง หันไปมองผู้มาเยือนที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อน
ชายในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงสแลคยกยิ้ม เขาตัวสูงและภูมิฐาน ผมสีขาวที่ขึ้นแซมเป็นบางแห่งบ่งบอกถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมา ถ้าให้ผมเดาเขาคงอายุสักห้าหรือหกสิบปี หน้าตาจะว่าคุ้นก็คุ้นแต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน ถึงอย่างนั้นสติที่กระเจิดกระเจิงไปก่อนหน้านี้ยังกลับมารวมกันได้ทัน แทบไม่ต้องคิดให้ยุ่งยากก็พอจะเดาออกว่าชายผู้มาเยือนคนนี้เป็นใคร
"สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้อย่างนอบน้อมที่สุด ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาให้ได้
ชายผู้มาเยือนยังคงยกยิ้มบางๆ ไม่เปลี่ยนก่อนก้าวเข้ามาในห้อง เสียงทุ้มแหบหากแต่มีพลังที่เอ่ยออกมาทำใจผมวูบลงอย่างหาสาเหตุไม่ได้
"เธอคือปลื้มสินะ"
"ครับ" ผมขานรับหนักแน่น บรรยากาศในห้องเริ่มชวนอึดอัดเพราะตัวผมเอง ทั้งเกรงและกลัวแม้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ทำอะไรนอกจากยิ้มและเดินตรงเข้ามาหา
ใครจะไปคิดว่าคุณสาโรจน์พ่อของต้นสนจะโผล่มาในเวลาแบบนี้
นับว่าเป็นการต้อนรับแขกที่ประหม่าที่สุดในชีวิต ผมรวบรวมความกล้าเชิญพ่อของต้นสนไปนั่งที่โซฟา ยกน้ำมาเสิร์ฟแล้วก็ยืนเคว้งคว้างทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วครู่จนท่านเป็นฝ่ายทักขึ้น
"กำลังทำมื้อเช้าอยู่เหรอ"
"ครับ เพิ่งเตรียมของเสร็จ"
"แล้วต้นสนอยู่ไหน"
"กำลังอาบน้ำครับ"
คุณสาโรจน์พยักหน้ารับก่อนยกน้ำขึ้นมาจิบ หันมองรอบห้อง มุมปากยกยิ้มคล้ายพอใจ
จากคำบอกเล่าของต้นสนที่ผมได้ฟังมาไม่บ่อยนักที่พ่อแม่เจ้าตัวจะแวะมาที่นี่ อีกอย่างการมาครั้งนี้ผมไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน ไม่เคยได้ยินต้นสนพูดถึงเรื่องนี้ด้วย ให้เดาคงเป็นการมาแบบกะทันหันที่เจ้าของห้องเองก็ยังไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ถ้าตัดเรื่องผมโดนแกล้งออกไปน่ะนะ
"ไม่ได้มาเสียนาน ดูมีระเบียบขึ้นนะ"
"ครับ"
"เช้านี้ผมยังไม่ทานข้าวมา กะทันหันไปหน่อยแต่คงต้องขอร่วมโต๊ะอาหารด้วย ได้ใช่ไหม"
"ครับ ได้ครับ" ผมรีบตอบรับ ดูกระตือรือร้นจนน่าตลก แต่จะให้ทำตัวเอื่อยเฉื่อยในสถานการณ์แบบนี้คงไม่ไหว
"รบกวนด้วยนะ"
"ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ"
"ตามสบายเลย"
ผมค้อมหัวให้ก่อนผละออกมาอย่างนอบน้อมที่สุด เกร็งจนรู้สึกเหนื่อย อยากทำตัวให้สบายกว่านี้แต่ผมไม่เก่งเรื่องการรับมือกับผู้ใหญ่ที่ไม่สนิทนัก หากต้นสนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเมื่อไรบรรยากาศคงดีขึ้นกว่านี้
การมาอย่างกะทันหันของพ่อต้นสนทำให้ผมเริ่มหนักใจกับมื้อเช้า แค่ซุปข้าวโพดอย่างเดียวคงไม่อยู่ท้อง ต้องทำอะไรเพิ่มอีกสักเมนู แล้วไอ้ซุปข้าวโพดเนี่ยผมเองก็ไม่รู้ว่ากินกับอะไรถึงจะอร่อย จะให้กินคู่กับสเต็กเหมือนตอนไปกินที่ร้านก็ไม่ได้เสียด้วย
ผมเปิดตู้มองหาวัตถุดิบที่พอจะเอามาทำอะไรสักอย่างเพื่อทานคู่กับซุปข้าวโพด เจอขนมปังหนึ่งแถวที่ซื้อมาทิ้งไว้เมื่อวันก่อน จำได้ว่ามีเครื่องปิ้งขนมปังที่ไม่เคยเอาออกมาใช้อยู่ด้วย ไข่ไก่ยังเหลืออยู่หลายฟอง ทำแซนวิสกินคู่กันน่าจะพอไหวอยู่
"พ่อ!!" ได้ยินเสียงต้นสนดังมาจากห้องนั่งเล่น ตะโกนเสียงดังขนาดนี้คงไม่ต้องเดาว่าเจ้าตัวตกใจแค่ไหน
"พ่อยังไม่แก่ขนาดนั้น เรียกเบาๆ ก็ได้"
"มาได้ไง"
"ก็ขับรถมาน่ะสิ"
"ไม่ใช่ สนหมายถึงพ่อมาทำไม"
"พ่ออยากมาหาลูกชายบ้างไม่ได้เหรอ"
"พ่อกวนอ่ะ คือสนจะกลับบ้านอยู่แล้วเนี่ย แล้วจะมาทำไมไม่บอกก่อน"
"บอกก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ"
ผมฟังบทสนทนาของสองพ่อลูกอยู่เงียบๆ ในขณะที่กำลังสาละวนกับการเตรียมมื้อเช้า แอบอมยิ้มกับการหยอกล้อกับลูกชายซึ่งขัดกับภาพลักษณ์ที่ผมเห็นเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ไหนจะน้ำเสียงที่ฟังแล้วรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นนั้นอีก
ตั้งแต่รู้จักกันมาผมพอได้ยินเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของต้นสนมาบ้าง เป็นอั๋นที่เล่าให้ฟังหลังจากรู้ความจริงเรื่องโน้ตสั่งเสีย ส่วนจากปากต้นสนนั้นน้อยครั้งที่เจ้าตัวจะพูดถึง แต่จากที่ได้เผชิญหน้าผมว่าคุณสาโรจน์ไม่ได้ดูเป็นคนน่ากลัวเท่าไรนัก ถึงผมจะกลัวอยู่นิดหน่อยก็เถอะ
"สรุปพ่อมาทำไมครับ ตอบดีๆ นะ" บทสนทนายังคงดังให้ได้ยิน ต้นสนไม่ยอมจบประเด็นนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมสงสัยอยู่เหมือนกัน
"พ่อก็อยากมาดูสภาพการเป็นอยู่ของลูกบ้างไง"
อยู่ๆ ต้นสนก็เงียบไป ทำเอาผมสงสัยจนอยากจะวิ่งออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทิ้งให้ต่อมความรู้อยากเห็นทำงานได้ไม่นานนักต้นสนก็เริ่มพูดต่อ และกลายเป็นผมที่ชะงักแทน
"มาเพราะอยากเจอปลื้มใช่มั้ย"
น้ำเสียงที่ถามเรียบนิ่งไม่สื่ออารมณ์นัก ผมไม่ได้ยินเสียงพ่อของต้นสนตอบกลับมา ไม่รู้ด้วยว่าท่านกำลังทำหน้ายังไง และเดาไม่ถูกแม้กระทั่งสีหน้าของแฟนตัวเอง
"พ่อแค่อยากเห็นหน้าคนที่ทำให้ลูกเปลี่ยนไปแค่นั้นเอง" ทิ้งจังหวะอยู่สักพักกว่าจะได้ฟังคำตอบ เพราะชื่อของผมที่ถูกดึงไปเกี่ยวข้องจึงไม่สามารถทำใจให้สงบลงได้
"แล้วเป็นไงล่ะครับ"
ความเงียบคือสิ่งที่ได้รับ แม้ผมจะตั้งใจฟังคำตอบนั้นมากกว่าอาหารที่กำลังทำก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรอยู่ดี มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกกังวล
และอย่างกับรู้ว่ากำลังถูกแอบฟัง สองพ่อลูกพากันเปลี่ยนประเด็นสนทนาไปเป็นเรื่องอื่น ความเงียบแทนที่ด้วยคำหยอกล้อและเสียงหัวเราะ ความสงสัยทั้งหมดถูกทิ้งไว้ที่ผม
แม้อยากรู้ใจแทบขาดแต่ผมจำต้องปล่อยวางทุกอย่างแล้วตั้งใจทำมื้อเช้าให้ดีที่สุด ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของต้นสนแบบนั้น คำตอบจากคนเป็นพ่อคงไม่เลวร้ายเท่าไร
ใช้เวลาไม่นานอาหารก็ใกล้เสร็จเรียบร้อยแล้ว กลิ่นอ่อนๆ ของซุปข้นส่งกลิ่นยั่วน้ำลาย ผมตักมันขึ้นมาชิม รสชาติติงต๊องเป็นที่น่าพอใจ นับว่าฝีมือไม่เลว
"ทำอะไรหอมจัง" ต้นสนในชุดที่ผมเลือกให้เดินเข้ามาในครัว ทำจมูกฟุดฟิดยิ้มร่าก่อนหยุดยืนอยู่ข้างกัน
"ซุปข้าวโพดกับแซนวิส"
"น่ากิน"
"แบบนี้คุณอาพอจะกินได้มั้ย" ผมถามอย่างเป็นกังวล แต่ต้นสนกลับขำ
"ทำไมเรียกคุณอา"
"หรือจะให้เรียกลุง"
"เรียกพ่อดิ"
เราเหล่มองกัน ก่อนต้นสนจะกระทุ้งศอกใส่สีข้างผม แค่คุยปกติก็เกร็งจะแย่ แล้วอยู่ๆ ให้ผมไปเรียกพ่อไม่โดนเชือดเลยหรือไง อีกอย่างผมยังไม่รู้เลยว่าคุณสาโรจน์รู้หรือเปล่าว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน
"ไม่เห็นต้องเขินเลย"
"ไม่ได้เขิน" ตอบปฏิเสธแล้วผมก็หมุนตัวหนีไปเตรียมถ้วยกับช้อนสำหรับใส่ซุป
"กลัวเหรอ"
"ก็คงงั้น" ผมยืดอกยอมรับ แม้จะบอกว่าแค่เกร็งแต่ความหมายของมันไม่ได้ต่างกันนัก
"ถึงจะดูดุแต่ไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอก"
"ครับๆ" ผมขานรับพลางตักซุปใส่ถ้วย
"เหมือนพ่อจะโอเคกับปลื้มอยู่นะ"
"โอเคยังไง"
เป็นประโยคบอกเล่าที่ชวนให้สงสัย ผมยกซุปข้าวโพดทั้งสามถ้วยไปวางที่โต๊ะ ก่อนกลับมาจัดแซนวิสใส่จาน
"พ่อรู้นะว่าเราเป็นแฟนกัน"
ได้รับรู้อะไรกะทันหันแบบนี้ถ้าผมถือจานแซนวิสอยู่คงปล่อยมันตกพื้นแตกแน่ๆ ต้นสนบอกกับครอบครัวด้วยอย่างนั้นเหรอเรื่องที่เราคบกัน
ผมควรรู้สึกดีใช่ไหมที่พ่อต้นสนไม่ได้มีท่าทีรังเกียจรังงอนอะไรในตัวผม
"พ่อยอมรับนะ แต่..."
ต้นสนเว้นจังหวะไว้ ผมเริ่มใจเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง ยอมรับก็ยอมรับสิ ทำไมต้องมีแต่
"ไม่ได้หมายความว่าจะยอมทำให้"
"ยังไง"
"ก็ว่าไปนั่น" พูดแล้วก็หัวเราะ
สรุปทั้งหมดที่ว่าทั้งหมดคือล้อกันเล่นใช่ไหม เรื่องที่คบกันก็ด้วย
"ขอโทษนะที่พ่อมากะทันหัน ไม่ยอมบอกด้วยว่าจะมา"
"ไม่เป็นไรหรอก" ผมไม่มีสิทธิ์ว่าอะไรอยู่แล้ว ห้องของลูกชายก็เหมือนห้องของพ่อแม่ ผมสิเป็นคนนอก
"มา เดี๋ยวช่วยยก หิวแล้ว" ต้นสนคว้าจานแซนวิสจากมือผมไปวางบนโต๊ะ ยิ้มร่าเริงมาให้ก่อนเดินออกไปที่ห้องนั่งเล่น
ผมถอดผ้ากันเปื้อนวางพับไว้บนเคาน์เตอร์ในครัว มองสภาพตัวเองที่ยังอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแล้วอยากจะวิ่งไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ ทว่ายังไม่ทันขยับไปไหนต้นสนก็เดินนำคุณสาโรจน์เข้ามานั่งประจำที่ ผมเลยต้องเดินไปนั่งที่ว่างที่เหลืออยู่อย่างช่วยไม่ได้
ควันขาวลอยเอื่อยจากถ้วยซุป ผมไม่อาจละสายตาจากมันไปได้ มองคุณสาโรจน์ที่กำลังจับช้อน แต่แล้วต้องรีบหลบสายเมื่อโดนจ้องกลับมา
"หน้าตาน่ากินดี"
"ขอบคุณครับ"
คำชมที่ได้รับทำให้ผมใจชื้นขึ้นมา คุณสาโรจน์ตักซุปขึ้นมาเป่าแล้วส่งมันเข้าปาก สีหน้าไม่แสดงอาการหรือบ่งบอกรสชาติใดๆ ผิดกับลูกชายที่รีบยกนิ้วให้พลางขมุบขมิบปากบอกว่าอร่อย ก่อนคำถามของคนเป็นพ่อจะดึงความสนใจผมไปจากต้นสน
"ปกติทำกับข้าวทุกวันหรือเปล่า"
"เฉพาะวันที่ว่างน่ะครับ"
คุณสาโรจน์พยักหน้ารับ ตักซุปกินอย่างไม่เร่งรีบ รวมถึงคำถามที่ถูกส่งมาให้ผมตอบเรื่อยๆ ยังดีที่มันไม่ใช่คำถามน่าหนักใจนัก ไม่งั้นผมคงรู้สึกเหมือนนักโทษที่กำลังถูกสอบสวน
"เธอชอบทำอาหารเหรอ"
"ก็ไม่เชิงครับ ผมเคยช่วยแม่ทำกับข้าวบ่อยๆ แถมยังทำงานร้านข้าวแกง เลยคุ้นเคยกับการทำอาหาร"
"ทำงานที่นั่นมานานหรือยัง"
"ตั้งแต่ขึ้นปีสองครับ"
"ขยันดีนะ"
ผมยิ้มรับ ไม่รู้โดนประชดหรือถูกชมจริงๆ แต่ก็ยิ้มไว้ก่อน อาการเกรงกลัวที่มีตั้งแต่เจอหน้าเริ่มลดลงเมื่อได้พูดคุยมากขึ้น แม้ผมจะเป็นฝ่ายโดนซักอยู่คนเดียวก็ตาม
"วันนี้ก็ไปทำงานด้วยใช่มั้ย"
"ใช่ครับ"
"สนเล่าให้ฟังไปหมดแล้ว พ่อถามอะไรเยอะแยะ" ต้นสนที่เงียบฟังมานานขัดขึ้น ซุปในถ้วยเจ้าตัวพร่องไปกว่าครึ่ง ที่เงียบไปคงมัวแต่กินอยู่
"พ่อก็อยากคุยกับปลื้มบ้างไง"
"คุยแบบนี้ไม่เอาแล้วนะ ทีหลังจะมาก็บอกก่อน"
"บอกแล้วไม่สนุก"
"พ่อสนุกคนเดียวน่ะสิ"
ผมเห็นด้วยกับต้นสน หลังจากประมวลผลได้ตอนเห็นคุณสาโรจน์เปิดประตูเข้ามาใจผมเต้นแรงมากเพราะอาการตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก
บนโต๊ะอาหารบรรยากาศครื้นเครงขึ้นเมื่อสมาชิกเริ่มปรับตัวเข้าหากันได้ คุณสาโรจน์เลิกโยนคำถามใส่ผมเปลี่ยนไปบ่นเรื่องลูกชายแทน เป็นเรื่องที่ฟังแล้วต้องหัวเราะเพราะเหมือนที่ผมชอบบ่นต้นสนไม่มีผิด กลายเป็นว่าเจ้าของห้องโดนถล่มจนเละ ส่วนผมกับคุณสาโรจน์เข้าขากันได้เป็นอย่างดี
อาหารทุกอย่างบนโต๊ะถูกจัดการจนเกลี้ยงในเวลาอันเร็วรวด ผมเก็บถ้วยของทุกมารวมกันเพื่อยกไปไว้ที่อ่าง ตอนนี้เองที่คำชมที่ผมอยากได้ยินที่สุดออกมาจากปากแขกคนสำคัญ
"อร่อยดีนะ"
"ขอบคุณครับ" ผมค้อมหัวให้ ปากยิ้มไม่หุบขณะขนจานไปเก็บ
คำนี้คำเดียวที่คนทำอาหารอย่างผมอยากได้ยิน คือคำที่คนกินบอกว่าอาหารของเรานั้นมัน 'อร่อย'
เวลาล่วงเลยมาเกือบแปดโมงหลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ สองพ่อลูกเตรียมตัวกลับบ้าน ต้นสนหอบงานกลับไปทำอย่างเคย ผมเดินไปส่งทั้งคู่ที่หน้าประตู ยกมือไหว้คุณสาโรจน์อย่างนอบน้อมเพื่อบอกลา
"สวัสดีครับ"
"ว่างๆ จะแวะมาใหม่"
"ครับ" แต่คราวหลังบอกล่วงหน้าหน่อยก็ดี ผมอยากจะพูดต่ออยู่หรอก แต่ก็ทำได้เพียงคิดใจใน
"กลับก่อนนะ" ต้นสนโบกมือพลางยิ้มแย้มแจ่มใสมาให้
ผมค้อมหัวให้คุณสาโรจน์อีกครั้ง โบกมือบ๊ายบายให้ต้นสน มองสองพ่อลูกเดินเคียงคู่กันไปจนถึงหน้าลิฟต์ผมถึงกลับเข้ามาในห้องแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก
การพบกันครั้งแรกนับว่าไม่แย่นัก ผมได้โชว์ฝีมือการทำอาหาร ได้พูดคุยเลือกเปลี่ยนความคิดแม้จะไม่มากนักก็ตาม คุณสาโรจน์เองก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจผมเท่าไร ถ้าสิ่งที่แสดงออกมานั้นคือความจริง
จะว่าไปแล้วมันก็มีเรื่องให้น่าคิด หากตอนนี้ผมกับต้นสนยังเป็นเพื่อนกัน ความสัมพันธ์ไม่ได้ลึกซึ้งถึงขั้นนี้ตัวผมจะรู้สึกเกรงกลัวกับการเผชิญหน้าขนาดนี้ไหม แต่ลองคิดดูอีกที ถึงแม้ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน ความกล้าหาญของผมก็ยังมีเพียงน้อยนิดไม่ต่างจากเดิม
เพราะถึงแม้ไม่ได้มีคำว่าแฟนกับกำสถานะของความสัมพันธ์ แต่ในความรู้สึกของเรานั้นมันเกินคำว่าเพื่อนธรรมดามานานมากแล้ว
ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อของแฟน หรือพ่อของคนที่ชอบ เวลาได้เจอมันก็ยังอดตื่นกลัวไม่ได้อยู่ดี
TBC
จากการทายชื่อต้นสนตอนที่ผ่านมารื่นเริงมาก ฮา แต่ยังมีใครทายถูกเลยค่ะ
นี่ถ้ายังไม่มีใครเดาถูกจนกว่าจะลงเรื่องจบเราจะเอาไปใช้เล่นเกมแจกของละนะ ฮ่าๆๆ
ส่วนตอนนี้น้านนนนน ได้เวลาเปิดตัวคุณพ่อตากันบ้าง น่ารักใช่มั้ย(ใช่เร๊อะ!!)
จากนี้เหลืออีกห้าตอนก็จะจบแล้วน้า เรานับปฏิทินมาแล้ว
ต่อไปนี้จะลงทุกวันอังคารกับศุกร์ บทสุดท้ายจบช่วงปีใหม่พอดี
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า
ช่วงทายชื่อต้นสน (ยังจะเล่นต่อ ฮา)
คำใบ้
-ขึ้นต้นด้วย ส.เสือ
-สองพยางค์
-มีพยัญชนะสามตัว
ใครว่างๆ ไม่มีอะไรคิดก็มาเล่นกันได้น้า