ตอนที่ 32 เข้าใกล้
“ผู้กองขออณุญาติครับ”
“ว่าไงจ่า”
วิณณ์เข้ามาที่ สน. แต่เช้าเพื่อเคลียร์งานก่อนที่จะไปหาแม่ตะวันที่บ้าน เหตุเพราะนายวายุโทรมาบอกเขาไว้ว่าแม่ของตะวันมีเรื่องด่วนจะคุยด้วย
“ผู้กองครับ ผู้กำกับให้ผมมาเอาเมมโมรี่การ์ดจากผู้กองนะครับ”
“มาเอาเมมโมรี่การ์ด?”
“ใช่ครับ”
“เมมโมรี่อันไหน”
“ก็อันที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุ ที่คอนโดผู้กองนะครับ”
“เอาไปทำอะไร”
“ผมไม่ทราบหรอกครับผู้กอง แล้วผมก็ไม่กล้าถามด้วย” จ่าตอบกลับมาแบบเสียงอ่อย มันก็จริงยศแค่จ่าจะเอาอะไรไปกล้าตั้งคำถามกับยศนายพัน
วิณณ์หยิบเมมโมรี่การ์ดออกมาจากลิ้นชัก แกนี่มันตัวปัญหาซะจริง วิณณ์คิดในใจก่อนจะตัดสินใจยื่นให้ไป
“ขอบคุณครับผู้กอง ถ้าเสร็จแล้วผมจะรีบเอามาคืนครับ”
วิณณ์พยักหน้าตอบไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากได้ แต่ขนาดเขายังใช้เวลาตั้งนานกว่าจะรู้ว่าเมมโมรี่การ์ดมันมีสองหัว คนไม่สันทัดเทคโนโลยีแบบผู้กำกับด้วยแล้วก็ไม่น่าจะรู้เหมือนกัน และถึงแม้จะเห็นไฟล์รูปในนั้นไปก็ไม่มีอะไรผิดสังเกตุ สุดท้ายฝ่ายนั้นก็ต้องเอามาคืนเขาอยู่ดี การให้ไปจึงง่ายที่สุดจะได้ไม่เป็นที่สงสัย
วิณณ์เคลียร์งานเสร็จเกือบเที่ยงจึงเก็บของและเตรียมออกไปบ้านของตะวัน
“ผู้กอง ผู้กองครับ”
“ว่าไงจ่า”
“นี่ครับ ผู้กำกับให้ผมเอามาคืนให้ครับ”
“ใช้เสร็จแล้วเหรอ”
“ก็น่าจะแบบนั้นนะครับ”
วิณณ์รับคืนมาพลางสำรวจเมมโมรี่ในมือ ก่อนจะ เก็บเมมโมรี่ลงในกระเป๋าเสื้อ ‘อืม...ยังอยู่ปกติ แสดงว่าไม่รู้จริงๆซินะ’
“ขอบใจนะจ่า งั้นผมไปก่อน”
“ผู้กองจะกลับเข้ามาอีกไหมครับ”
“คงไม่แล้วละ มีอะไรด่วนโทรเข้ามือถือผมนะ”
“ครับผม”
ผมกับตะวันเดินต่อเพื่อจะไปที่รถ แต่เมื่อลงมาที่ชั้นหนึ่งก็ได้ยินเสียงคนโวยวาย เมื่อมองไปที่โต๊ะร้อยเวรก็เห็นคนกำลังมุงอยู่ สองสามคน
“คุณตำรวจมันเกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมลูกป้าถึงตาย ฮึก....ฮืออออ อยู่บนโรงพักแท้ๆ ฮืออออ”
“ก็ลูกแกมันเลวไง คนเขาถึงยังตามมาแก้แค้นมาฆ่าได้ถึงที่”
“แกอย่ามาว่าลูกนะ”
“ทำไม ทำไมกูจะว่าไม่ได้ เป็นแม่ภาษาอะไรหะ ถึงเลี้ยงให้ลูกมันเป็นโจรเป็นนักเลงได้ รอดจนมาถึงอายุเท่านี้ก็ถือว่าบุญแล้ว ถ้ารู้ว่ามันจะโตมาแล้วเลวแบบนี้นะกูเอาขี้เถ้ายัดปากให้ตายตั้งแต่เกินแล้ว”
“แก.....”
“ทำไม แกจะทำอะไร”
“ป้าใจเย็นก่อนนะป้า ลุงก็เหมือนกันอย่ามาทะเลาะกันบนนี้ เดี๋ยวก็ได้ถูกจับนอนกินข้าวแดงหรอก”
“ฮืออออออ”
“จะร้องให้ตายตามมันไปเลยหรือไง”
“ฮืออออออ”
“ป้าใจเย็นก่อนนะ ทางตำรวจเองก็เสียใจที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้บนโรงพัก ไอ้คนก่อเหตุมันก็ดันตายไปแล้ว จะสืบหาอะไรก็ลำบาก แต่ไม่ต้องห่วงยังไงตำรวจก็ต้องตามเรื่องนี้อยู่แล้วละ”
“แต่ลูกป้าตายไปแล้ว ยังไงก็คงไม่ฟื้นอยู่ดี”
“เออ เอ็งก็รู้นี่หว่าว่ามันตายแล้ว ทำยังไงก็ไม่ฟื้นขึ้นหรอก แล้วจะร้องไห้หาสวรรค์หอกง้าวอะไร”
“ลูกทั้งคนแกจะไม่ให้ฉันเสียใจเลยเหรอ”
“ลูกเสือลูกตะเข้ละไม่ว่า เลี้ยงให้มันมาทำร้ายพ่อแท้ๆ ได้”
“แกก็หยุดโทษลูกได้ไหม เพราะแกเองเอาแต่เมาไปวันๆ ถ้าไม่เมาลูกมันก็ไม่โมโหแล้วมาทำร้ายแกเหรอ”
“อีวรรณ!!!”
คนผัวโมโหกับคำพูดเมียถึงกับขึ้นเสียงตะคอกเรียกชื่อพร้อมกับเงื้อมือจะตบ แต่ก็ถูกตำรวจเบรคไว้ซะก่อน
“ลุง ลุง จะทำอะไรคิดดีๆ ก่อนนะ ไม่งั้นผมจับลุงข้อหาก่อเหตุทะเลาะวิวาทบนโรงพัก ไม่เคารพสถานที่เลยนะ”
“แหม คุณตำรวจผมก็ขู่มันไปอย่างนั้นแหละใครจะไปทำจริงๆ กันละ”
แต่ดูจากสายตาแล้วถึงจะรอดจากโรงพักไปได้แต่ถึงบ้านไม่น่าจะรอด วิณณ์จึงเดินเข้าไปที่วงสนทนานั้น
“สวัสดีครับลุงกับป้าเป็นญาติของใครเหรอครับ”
“สวัสดีจ้ะ ป้าเป็นแม่ของโจ๊ก แล้วเอ่อ...คุณ”
“ผมผู้กองวิณณ์ครับ”
“ผู้กอง ลูกป้าตายแล้วจริงๆ เหรอคะ ป้าไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่กี่วันป้าก่อนป้ายังมาเยี่ยมมันอยู่เลย มันยังบอกว่าพอออกมาแล้วจะมาบวชให้ป้าตามที่ป้าขอ แต่.....ฮึกก”
ผู้เป็นแม่ร้องถามเสียงดังทันที
“ไปหวังอะไรกับไอ้ลูกเหลือขอพรรณนั้น รอให้มันมาบวชให้นะเหรอ ต้องรอเอ็งตายก่อนแหละมันจะได้มาบวชหน้าไฟให้นะเสะ”
“เอ่อ ลุงกับป้าอย่าทะเลาะกันเลยนะครับ ลุงก็ใจเย็นก่อนเถอะครับ ลูกตายทั้งคนแม่ก็ต้องเสียใจอยู่แล้วละครับ”
“เหอะ”
คนเป็นผัวตวัดน้ำเสียงไม่พอใจใส่ก่อนจะหันเดินออกไปรอนอกโรงพัก
“ป้าครับ ผมขอโทษนะครับที่เกิดเรื่องแบบนี้ทั้งที่อยู่บนโรงพักแท้ๆ แต่ผมสัญญาว่าจะทวงความยุติธรรมให้โจ๊กแน่นอนครับ ป้าอย่าคิดอะไรมากเลยครับกลับบ้านพักผ่อนเถอะนะครับ ส่วนเรื่องการจัดการศพของโจ๊กทางตำรวจคงต้องขอเก็บไว้ก่อนนะครับเพื่อรูปคดีนะครับ”
“แล้ว....แล้วป้าจะได้ศพลูกไปทำพิธีเมื่อไหร่ละจ้ะ”
“ผมจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุดนะครับ ยังไงรบกวนคุณป้ารอก่อนนะครับ”
“เหรอจ้ะ จ้ะ จ้ะ”
“ครับ”
“ป้าฝากคุณตำรวจด้วยนะคะงั้นป้ากลับก่อนนะคะ”
“ครับ สวัสดีครับ”
“สวัสดีจ้ะ”
ผมมองป้าแกเดินกลับออกไป ถึงแม้ผัวแกจะยังคงบ่นไม่หยุดแต่ทั้งคู่ก็เดินออกไปด้วยกัน
“นี่วิณณ์ จะไม่บอกป้าแกหน่อยเหรอ”“ไม่”
“ทำไมอะ น่าสงสารเขาออก”“ที่ไม่บอกก็เพราะความปลอดภัยของโจ๊กและของป้าเอง ตะวันอยากให้ป้าแกเป็นอันตรายเหรอถ้าเกิดพวกคนร้ายรู้ว่าโจ๊กยังไม่ตายแล้วมาทำร้ายแม่ของโจ๊กแทน”
“ไม่อะ ไม่เอาแบบนั้น”“เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะพูดกับใครไม่ได้ คนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี”
“อืม”[บ้านวิณณ์ :วายุ &ดาริน]“นี่คุณพี่วิณณ์กับพี่ตะวันเป็นยังไงบ้างอะ”
“.....”
“แล้วคดีที่พี่วิณณ์ทำอยู่อะไปถึงไหนแล้ว”
“.....”
“พวกเขาจะทำสำเร็จกันไหมนะ”
“.....”
“เอ๊ะ นี่คุณถามอะไรไปทำไมไม่ตอบเลย หะ!”
“.....”
“อุ๊ยยย แหะๆ ก็ว่าอยู่ว่าทำไมถามอะไรไปทำไมไม่ตอบเลย”
ถ้าถามว่าทำไมวายุถึงไม่ตอบนะเหรอ ก็เพราะว่าที่ปากเขานะเล่นมีสก๊อตเทปพันเอาไว้ไม่ใช่แค่พันปากนะพันมันทั้งหัวเลย
“โอ๊ยยยยพรึ่ดดด ฮาๆ อย่ามองแรงแบบนั้นซิ เอาออกให้ก็ได้ ฮาๆ คนอะไรก็นั่งทนอยู่ได้เนอะ”
ปึด
ปึด
ปื้ดดดดด
น้ำตาไหลซิครับงานนี้ ผมหลุดไปกี่เส้นวะเนี่ยยย
ที่ผมต้องโดนแบบนี้ก็เพราะเล่นเกมแพ้คุณเธอนั่นแหละ คุณเธอเบื่อที่ต้องอยู่แต่บ้านเลยชวนกันเล่นเกมแล้วไอ้ผมเนี่ยเล่นเกมเก่งซะด้วยนะ แค่อิแค่เล่นอิแก่กินน้ำผมยังกลายเป็นอิแก่เลย งานนี้เหรอก็ไม่พลาด แพ้อีกตามเคย
“เบามือหน่อยก็ได้มั้งคุณ ผมหลุดไปกี่เส้นแล้วเนี่ย”
“ดี สม เอาให้หลุดหมดหัวเลย”
“คุณ ได้ติดต่อพี่วิณณ์บ้างไหม”
“ก็มี”
“แล้วพี่วิณณ์เป็นยังไงบ้าง”
“ตอนนี้ผู้กองเขายุ่งๆ นะ วันก่อนผมโทรไปหาก็ไม่ได้คุยอะไรกันเพราะต้องรีบเคลียร์งาน”
“เหรอ เป็นห่วงจัง”
“พี่คุณเก่งจะตาย ไม่ต้องห่วงหรอก”
“เก่งยังไงก็ห่วงอยู่ดียะพี่ชายทั้งคน”
“คร้าบบบ”
“อยากไปช่วยพี่วิณณ์จัง”
“หยุด คุณหยุดความคิดเดี๋ยวนี้เลย ไม่เข็ดเหรอผมถามจริง”
“ไม่”
“เหรออออ แล้วดูผลของการที่คุณดื้อกับพี่ชายคุณซิ”
“ชิส์”
“คุณไม่ต้องห่วงไปหรอกถึงผมจะรู้จักพี่คุณไม่นาน แต่ผมรู้ว่าพี่คุณนะเก่งอยู่แล้ว ถ้าเขามีเรื่องอยากจะให้พวกเราช่วยเขาก็บอกเองนะแหละ”
“อืมม”
ดารินไม่ปฏิเสธสิ่งที่วายุพูด ถ้าพี่ชายเธออยากให้ช่วยเขาจะบอกเอง แต่พี่ชายเธอทั้งคนจะไม่ห่วงเลยมันก็ใช่ที่
[บ้านตะวัน : วิณณ์]
“คุณป้าสวัสดีครับ”
“อ้าว ผู้กองมาแล้วเหรอคะ สวัสดีคะเข้ามาก่อนคะ” วิณณ์เอ่ยทักแม่ของตะวันที่กำลังทำงานอยู่ที่สวนหน้าบ้าน
“นายวายุโทรบอกว่าคุณป้าต้องการพบผม”
“ใช่จ้ะ” แม่ของตะวันเดินลงมานั่งกับผู้กองพร้อมกับยื่นแก้วน้ำให้
“คุณป้ามีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เรื่องตะวันนะจ้ะ”
“เรื่องตะวัน?”
“จ้ะ เอ่อ...ตะวัน เขาอยู่แถวนี้ไหม” วิณณ์พยักหน้าเบาๆ เป็นการตอบ
“เหรอ...ดีจัง ป้าคิดถึงตะวันจัง คิดถึงลูกมากเลยรู้ไหมตะวัน แต่แค่รู้ว่าตะวันสบายดีอยู่กับคนดีแบบผู้กองก็โชคดีแล้ว”
“คุณป้ามีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ป้าอยากจะคุยกับผู้กองเรื่องของตะวัน”
“....”
“ผู้กองรู้ใช่ไหมเรื่องที่พ่อของตะวัน คุณอาทิตย์นะจ้ะ เขาจะส่งตะวันไปรักษาที่อเมริกา”
“ครับ”
“ป้าทัดทานไว้ไม่ไหวจริงๆ ป้าไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาบอกเพื่อไม่ให้ตะวันถูกส่งไป ครั้นจะให้ป้าบอกว่าวิญญานตะวันอยู่ที่นี่รอเวลาเพื่อที่จะกลับเข้าร่างป้าก็ไม่คิดว่าคุณอาทิตย์เขาจะเข้าใจ ขนาดแค่ป้าพูดว่าไม่อยากให้ส่งตะวันไปไกลขนาดนั้น ยังถูกหาว่าไม่รักลูกเป็นคนเห็นแก่ตัว”
“ทำไมคิดแบบนั้นละครับ”
“เขาคงคิดว่าป้ายังโกรธเขาอยู่เลยไม่ยอมให้ตะวันไป แต่มันไม่ใช่เลยป้าไม่เคยคิดแบบนั้นและป้าก็ไม่เคยสอนให้ลูกโกรธหรือเกลียดพ่อตัวเองเลย”
“คุณป้าอย่าคิดมากนะครับ ตะวันเองก็ไม่อยากให้คุณป้าคิดมาก ส่วนเรื่องที่ตะวันจะถูกส่งไปอเมริกา คุณป้าพอจะรู้ระยะเวลาไหมครับ”
“ลม น้องชายของตะวันนะคะ บอกว่าอย่างน้อยก็อีกสองอาทิตย์ แต่ป้าก็มีขอร้องลมเอาไว้นะคะว่าช่วยดึงเวลาให้เท่าที่จะทำได้”
“แล้วเขาไม่สงสัยเหรอครับ”
“สงสัยซิจ้ะ แต่เขาก็ไม่คิดจะถามหรอก ลมนะเห็นแบบนี้แต่เขาเป็นเด็กเจียมตัวมากเลยนะเขารู้สึกผิดมาตลอดกับการที่แม่เขาเป็นต้นเหตุให้ป้ากับคุณอาทิตย์ต้องเลิกกัน และเป็นต้นเหตุให้ตะวันต้องกำพร้าพ่อ แต่ป้าก็บอกเขาว่าไม่ใช่ความผิดของเขาและแม่หรอก มันเป็นความผิดในความไม่พอของมนุษย์และผิดที่ป้าเองอดทนกับมันไม่พอ”
“ไม่หรอกครับคุณป้า คนเราความอดทนมีไม่เท่ากันอย่าโทษว่ามันเป็นความผิดใครหรือแม้แต่โทษตัวเอง เพราะตะวันเองก็คงไม่อยากให้แม่เขาต้องจมอยู่กับความเศร้าแบบนั้น”
วิณณ์คิดแบบนั้นจริงๆ ตลอดระยะเวลาการสนทนาระหว่างเขาสองคนตะวันนั่งเงียบไม่พูดไม่จาไม่โวยวายเหมือนที่เคยจะเป็น ตะวันเอาแต่นั่งเงียบมองไปที่แม่ผู้หญิงคนเดียวในชีวิตของเขา เขาไม่รู้หรอกว่าตะวันคิดอะไรอยู่แต่เขารู้อย่างหนึ่งตะวันรักและห่วงแม่เท่าๆกับที่แม่เองก็รักและห่วงตะวัน
“ดูผู้กองเข้าใจตะวันดีจังบางทีอาจจะเข้าใจกว่าป้าที่เป็นแม่ก็ได้”
“ไม่หรอกครับ”
ดาราคิดแบบนั้นจริงๆ เธอไม่ได้อิจฉาวิณณ์แต่เธอมองผู้กองวิณณ์แบบรักและเอ็นดู ลูกชายเธอช่างโชคดีจริงๆ ที่เจอคนดีแบบผู้กองหรือจะเรียกว่าความโชคดีบนความโชคร้ายก็ได้
“ยังไงป้าฝากผู้กองด้วยนะคะป้าจะพยายามช่วยเท่าที่ทำได้”
“ขอบคุณนะครับ”
ดาราเดินออกมาส่งวิณณ์ที่หน้าประตู ในใจอยากจะพูดอยากจะถามถึงตะวันแต่ก็กลัวว่าจะทำให้ลูกต้องกังวลเธอไม่อยากให้ลูกเห็นว่าเธออ่อนแอ
“ตะวันแม่คิดถึงลูกจัง”
ดาราพึมพำตามหลังวิณณ์ไป โดยที่ไม่รู้ว่าถึงวิณณ์จะเดินไปแล้วแต่ตะวันยังยืนอยู่ข้างๆ และมองอยู่
“ผมก็คิดถึงแม่ครับ”วิณณ์กลับถึงคอนโดก็คว้าข้อมูลที่มีมาดูอีกครั้งเพื่อหาหลักฐานและความเชื่อมโยงของคนร้ายในคดีของพ่อและของเขา จะจับคนร้ายระดับใหญ่โตขนาดนั้นข้อมูลต้องแน่น
ลักษณะของคดีที่พ่อเขาทำก่อนจะตายมีรายละเอียดที่เหมือนกันแทบทุกอย่างกับคดีของเขา แหล่งที่มาของยาเสพติดต้องเป็นแหล่งเดียวกันแน่นอน ผู้ที่เกี่ยวข้องตามข้อมูลในเมมโมรี่การ์ดกับคำบอกเล่าของโจ๊กคือนายใหญ่ที่มีแบ๊คตำรวจใหญ่หนุนหลังอยู่ และตามที่เขาคาดไว้นายใหญ่ที่พูดถึงก็คือนายยงยุทธ และนายตำรวจหนุนหลังก็คืออาพงษ์ซึ่งทั้งสองคนคือเพื่อนสนิทของพ่อ
และหลักฐานสำคัญอีกชิ้นคือคลิปวีดีโอในเมมโมรี่การ์ดที่เขาหาแทบตายแต่สุดท้ายคนที่เจอคือตะวัน เขาไม่รู้ว่าคุณแอนไปได้คลิปนี้มาได้ยังไงแต่มันทำให้เขารู้ว่าคนที่ทำให้พ่อเขาตายก็คือเพื่อนรักทั้งสองคน
วิณณ์มองตะวันที่ยืนอยู่ที่ระเบียงตั้งแต่กลับมาจากบ้านแม่ก็เอาแต่เงียบพอเข้าห้องมาก็ไปยืนอยู่ที่ระเบียงไม่พูดไม่จาอีก
“ตะวัน”
“หืม”“อย่าคิดมากซิ”
“รู้เหรอว่าคิดอะไร”“ทำไมจะไม่รู้ แค่เห็นหน้าก็รู้แล้ว”
ผมพูดพลางเอื้อมมือไปโยกหัวคนตัวเล็ก ทำไมผมจะไม่รู้ละตะวันกังวลเรื่องภารกิจที่จะทำไม่สำเร็จและเมื่อไม่สำเร็จการกลับเข้าร่างก็ยากขึ้น และไหนพ่อจะรีบหาทางส่งตะวันไปรักษาที่อเมริกาอีก การห่างกันระหว่างกายหยาบกับวิญญาณจะมีผลอะไรไหมไม่มีใครบอกได้ แต่เหนืออื่นใดตะวันเป็นห่วงแม่
“ไม่ต้องห่วงหรอก วิณณ์จะรีบสะสางเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดจะไม่ให้ใครพาตะวันไปไหนได้ เข้าใจไหม”
“สัญญานะ”“สัญญาครับ”
“ขอบคุณ ขอบคุณนะที่อยู่ข้างๆ กัน คอยช่วยเหลือกัน”ไม่ต้องขอบคุณหรอกตะวัน ที่ทำไปทุกอย่างเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่แค่คิดว่าจะไม่ได้เจอตะวัน ไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของตะวัน มันก็รู้สึกสั่น หวั่นไหวในใจไปหมดแล้ว
เขาคงทนไม่ได้ถ้าต้องเป็นแบบนั้น
วิณณ์ได้แต่คิดในใจไม่ได้พูดออกไป
.
.
.
“นายครับ ของพร้อมแล้วครับ”
“เออดี พวกมึงนัดแนะเวลากันให้ดีละ อย่าให้แผนแตกได้เข้าใจไหม”
“ครับนาย”
หนึ่งในลูกน้องคนสนิทรับปากผู้เป็นนายโดยไม่คิดสงสัย หึ ใครไม่สงสัยแต่คนอย่างไอ้เอ็มสงสัย ไม่รอช้าเอ็มจึงเอ่ยถามขึ้น
“นาย”
“.....”
“นายไม่คิดว่ามันเร็วไปหรือครับ ถ้าเราเริ่มส่งของกันอีกครั้ง”
“ยังไง”
“ก็เรื่องที่ตำรวจกำลังตามเราอยู่ตอนนี้ ถ้าพวกเราเคลื่อนไหวมันจะไม่ทำให้พวกตำรวจสงสัยเหรอครับ”
“ก็อาจจะรู้”
“....”
“แต่ถ้ากูบอกว่าทำได้ ก็คือทำได้ มึงไม่ต้องกังวลหรอกแค่ทำงานตัวเองให้เรียบร้อยเป็นพอ”
“ครับ”
คิดเหรอว่าคนอย่างไอ้เอ็มจะไม่รู้ แบ็คหลังนายคงเปิดทางให้ซินะนายถึงไม่กลัว หึ.....อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้าไอ้วิณณ์รู้มันจะเป็นยังไง
.
.
.
.
.
.
Rrrrrrrr
“ว่ายังไงจ่า”
[ผู้กองครับ สายเรารายงานมาว่าอีกสองวันจะมีการลักลอบขนยาขึ้นเรือไปทางใต้ครับ]
“ที่ไหน”
[โกดังร้างท่าเรือเขต 18 ครับ]
.
.
.
ท่าเรือเขต 18“ผู้กองแบบนี้มันจะดีเหรอครับ เราไม่ได้รายงานผู้บังคับบัญชาแถมยังพากันมาโดยพลการแบบนี้ มันจะมีความผิดเอานะครับผู้กอง”
“จ่ากลัว?”
“มันก็ต้องมีแหละครับ”
“ผมอนุญาติให้จ่าและคนอื่นๆ กลับได้ ผมเองก็ไม่อยากให้พวกคุณเดือดร้อน”
“ได้ไงละครับผู้กองผมไม่ทิ้งผู้กองไว้คนเดียวหรอกครับ ถ้าผู้กองอยู่ผมก็จะอยู่”
“ใช่ ถ้าผู้กองอยู่ ผมก็อยู่ด้วย”
“ผมด้วย”
“ผมด้วย”
จ่าเติมจ่าอ๊อด จ่านัยและจ่าเพิ่มตัดสินใจอยู่ช่วย วิณณ์เองรู้ดีการพากำลังตำรวจออกมาโดยไม่แจ้งผู้บังคับบัญชามีความผิดทางวินัย แต่เขาก็พร้อมรับผิดชอบในการกระทำของตัวเองอยู่แล้ว
พวกวิณณ์แอบเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ข้างโกดังร้างตามที่สายรายงานจนเวลาล่วงเลยมาจนถึง 22.00 รถกะบะสองคันพร้อมคนขับแล่นเข้ามาจอดหน้าประตูโกดัง
บรื้นน เอี๊ยดด
“พวกมันแค่สองคนอย่างนี้สบายมาก”
“จ่าเติมผมว่าไม่ใช่แล้วละ”
“ทำไมละจ่าอ๊อด?”
“นู่นน”
พวกเราหันไปตามที่จ่าอ๊อดบอก
“ท่าทางงานจะเข้า”
เรือยอร์ชขนาด 7ที่นั่งสีขาวลำหนึ่งกำลังแล่นเข้ามาจอดเทียบท่าพร้อมกับคนบนเรืออีกสามคน
“ไม่ใช่ตัวต่อตัวแล้วละจ่า”
“มากกว่าเราแค่คนเดียวจะกลัวทำไมจ่าอ๊อด”
“ไม่ได้กลัวแต่ไม่อยากประมาท ผู้กองเอาไงดีครับ” จ่าอ๊อดหันไปถามวิณณ์
“ดูลาดเลาไปก่อน”
เมื่อกลุ่มคนบนเรือลงมาสมทบกับคนด้านล่างก็พากันเดินเข้าไปภายในโกดัง โดยได้ขับกะบะคันแรกที่จอดอยู่ด้านหน้าเข้าไปด้วย วิณณ์ทำท่าทางให้จ่าอ๊อดกับจ่านัยแยกไปด้านซ้าย จ่าเพิ่มไปด้านขวา ส่วนเขากับจ่าเติมรอดูสถานการณ์อยู่ด้านหน้าโกดัง
“แน่ใจนะ ว่าจะไม่กลับไปรอที่คอนโด”
“หึ” ตะวันตอบพร้อมกับส่ายหน้าหวือ
“อยากจะอยู่ก็ได้ แต่ห้ามทำอะไรให้เป็นห่วง เข้าใจไหม”
“คร้าบ เข้าใจแล้วครับคุณผู้กอง”“เอ่อ ผู้กองพูดกับใครเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกจ่าไปได้แล้ว ระวังตัวไว้ด้วยละ”
“ครับ ครับ”
จ่าเติมที่ยังไม่ทันได้เดินไปไหนถึงกับยืนเกาหัวแกร๊กๆ เพราะตัวจ่าเองมั่นใจว่าได้ยินผู้กองพูดแน่นอน แต่ว่าพูดกับใครนี่ซิ
ภายในโกดังค่อนข้างมืด แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรที่จะเห็นว่าข้างในเกิดอะไรขึ้นบ้าง สองคนแยกไปทำอะไรสักอย่างที่ท้ายกะบะน่าจะเป็นของที่จะขนย้ายกันคืนนี้ สองคนแยกกันไปดูลาดเลารอบๆโกดัง
“ผู้กองว่าพวกมันทำอะไรกันอยู่ครับ”
“นั่นน่าจะเป็นของที่เตรียมขนกันคืนนี้”
“แต่พวกมันรออะไรกัน ทำไมยังไม่เคลื่อนย้ายกันอีก”
วิณณ์เองก็สงสัยพวกมันน่าจะรีบขนของไปกันได้แล้วแต่ก็ยังนิ่งอยู่เหมือนกับรออะไรอยู่
“ผู้กองหรือเราจะเข้าไปรวบตัวพวกมันตอนนี้ดี”
“ใจเย็นจ่า เราไม่รู้ว่าพวกมันจะมีเพิ่มอีกไหมรอดูสักพัก”
แล้วก็เป็นอย่างที่วิณณ์คิดพวกที่อยู่โกดังแค่มาเตรียมการณ์รอ เมื่อมีรถเบนซ์ที่ทั้งตัวรถและฟิล์มดำมืดไปทั้งคันแล่นเข้ามาจอด
“ทะเบียนมันคุ้นๆ ว่าไหมครับผู้กอง”
“......”
กก-XXXXเลขทะเบียนมันเหมือน....
"ไอ้คนขับหน้ามันคุ้นว่าไหมครับผู้กอง"
"...."
"นั่นมันไอ้เอ็มนี่ครับผู้กอง"
"อืม"
เมื่อรถจอดสนิทคนด้านหน้าข้างคนขับรีบวิ่งลงมาเปิดประตูให้คนด้านหลัง ทันทีที่ประตูเปิดและคนที่ก้าวลงมาก็ทำให้จ่าเติมถึงกับอึ้ง เขาสองคนรู้จักดี เพราะคนที่ลงมาก็คือคนเดียวกับที่เจอที่โรงพยาบาลวันที่น้องสาวเขาถูกทำร้ายและมาเยี่ยมในฐานะเพื่อนของพ่อ
นายยงยุทธ
“ผู้กองนั่นมัน...”
“อืม”
“ผู้กองทำเหมือนรู้อยู่แล้ว” วิณณ์ที่สงสัยมาก่อนหน้านี้แล้วจึงไม่แปลกใจอะไร
“ผมแค่คาดการณ์เอาไว้บ้างแล้ว”
“เพื่อนของผู้กำกับทำเรื่องแบบนี้ ถ้าท่านรู้เข้าคงโกรธแน่ๆ”
“หรืออาจจะรู้เห็นด้วยอยู่แล้ว”
“ผู้กองว่าอะไรนะครับ”จ่าเติมร้องถามเพราะได้ยินไม่ถนัด
“ไม่มีอะไร”
“แล้วนี่เราจะเอายังไงต่อละครับ”
“จับให้ได้ทุกคนและยึดของกลางให้หมด”
วิณณ์กับจ่าเติมเดินไปสมทบกับนายตำรวจที่เหลือด้วยจำนวนคนที่น้อยกว่าเขาต้องวางแผนและรอบคอบให้มาก เพราะชีวิตของตำรวจทุกคนสำคัญที่สุดคนร้ายแยกเป็นสองกลุ่ม สองคนเฝ้าและสังเกตุการณ์อยู่ด้านนอกรอบโกดัง พวกด้านในแยกกันขนของจากรถกะบะทั้งสองคันลงไปยังเรือ จัดการคนสองคนด้านหน้าไม่น่าจะยากอะไรเขาแค่ต้องดึงความสนใจพวกมันให้ออกมาห่างจากพวกนั้น
ปึกกกกก
วิณณ์ขว้างไม้ไปทางด้านหลังโกดัง
“เฮ้ยยย เสียงอะไรวะ”
คนร้ายสองคนพยักหน้าให้กันก่อนจะพากันเดินตามไปหาที่มาของเสียง
จ่าอ๊อดตามหลังและจัดการคนร้ายที่แยกไปทางซ้าย กลับมาสมทบกับวิณณ์ที่แยกไปจัดการคนทางขวา เมื่อจับตัวได้ก็จัดการโยนขึ้นรถตำรวจไปโดยให้จ่าเพิ่มเป็นคนเฝ้าเอาไว้
“หวานหมู ไอ้พวกนี้ฝีมืออ่อนชะมัด”
“อย่าเพิ่งดีใจไปจ่า พวกข้างในยังมีอีกเพียบ อย่าประมาท”
“รับทราบครับ”
แกร๊กๆ
“เฮ้ย ไอ้พวกข้างนอกนะ หายหัวไปไหนหมดวะ ให้ดูต้นทางเสือกหายไปไหนหมด”
“มีอะไร” เสียงนายยงยุทธ
“ก็ไอ้พวกข้างนอกนะซิครับนายใช้ให้มาเฝ้า มันดันหายหัวไปหมด”
นายยงยุทธกลับลูกน้องอีกสองคน ออกมาดูเหตุการณ์ด้านนอกโกดัง
"แล้วไอ้เอ็มมันไปไหนของมันวะ...มึงไปดูพวกมันซิ มึงก็ไปช่วยมันด้วย”
“ครับนาย”
นายยงยุทธแบ่งลูกน้องสองคนให้ไปตามหาคนที่หายไป และอีกสองคนรออยู่กับเขาที่โกดัง
“คราวนี้เราต้องเงียบกว่าเมื่อกี้ พวกเราไม่ว่าคนใดคนหนึ่งถ้าจับพวกมันได้แล้วให้พาพวกมันไปรวมกันที่ด้านนอก”
“ครับ ว่าแต่ไอ้เอ็มมันหายไปไหนครับผู้กอง”
"นั่นซิ" วิณณ์เองเพิ่งสังเกตหลังจากที่ส่งนายยงยุทธแล้ว เอ็มก็ขับรถไปและก็ไม่กลับเข้ามา
วิณณ์ให้จ่าอ๊อดและจ่านัยเฝ้าที่ด้านหน้าโกดัง ส่วนเขากับจ่าเติมตามคนร้ายสองคนออกมา เมื่อสบโอกาสจึงอาศัยจังหวะจัดการคนที่เดินรั้งท้ายได้ แต่มัยยังไม่เงียบพอ เมื่อคนที่เดินหน้าหันกลับมาเตรียมพร้อมเหนี่ยวไกปืนในมือ จังหวะนั้นจ่าเติมใช้กิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ฟาดไปที่มือและย้ำลงไปที่ตัวอีกสามสี่ทีจนคนร้ายแน่นิ่ง
"ขอบใจนะจ่า"
"ครับผม"
พวกเขาลากคนร้ายสองคนมารวมกันที่รถโดยไม่ถึงเสี้ยวนาที
ปัง ปัง ปัง
เสียงปืนดังขึ้นสามนัดตามหลัง
“ไปจ่า”
วิณณ์รีบวิ่งไปตามเสียงปืน เสียงดังมาจากทางท่าเรือด้านหน้าของโกดังและเจอเข้ากับจ่าอ๊อดที่วิ่งมาอีกทาง เมื่อมาถึงเหตุการณ์ตรงหน้ากำลังชุลมุนได้ที่พอดี จากมุมที่เห็นจ่านัยหลบอยู่บนเรือที่จอดอยู่โดยมีพวกของนายยงยุทธยิงสกัดและค่อยๆ ถอยร่นเพื่อเข้าไปในโกดัง
“ผู้กองครับ”
จ่าอ๊อดวิ่งมาสมทบกับวิณณ์
"เกิดอะไรขึ้นจ่า"
"ลูกน้องของนายงยุทธคนหนึ่งออกมาจังหวะที่จ่านัยกำลังสำรวจเรืออยู่มันเลยเห็นครับ"
ปัง ปัง
“เอาไงดีครับผู้กอง มันสาดกระสุนมั่วไปหมด”
“ผมจะอ้อมไปด้านหลังเพื่อสกัดไม่ให้พวกมันเข้าไปในโกดังได้ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่มันเข้าไปโกดังได้เราจะเสียเปรียบทันที ส่วนจ่าอ๊อดกันทางนี้อย่าให้พวกมันหนีออกไปข้างนอกได้ จ่าเติมหาทางไปช่วยจ่านัย จ่าเพิ่มผมว่าคุณกลับไปอยู่ที่รถคอยเฝ้าอย่าให้หนีไปได้”
“ครับ"
"ครับ"
"แล้วเราจะไม่เรียกกำลังเสริมเหรอครับ”
“เรียกซิ อีก 10นาทีผมจะเป็นคนโทรแจ้งเองว่าเกิดเหตุยิงกันที่โกดัง 18”
ตำรวจต่างมองหน้ากันเพราะ งง ว่าทำไมไม่เรียกวอเข้าศูนย์ไปซึ่งมันจะเร็วกว่าการโทรแจ้งแน่นอน แต่วิณณ์ก็ไขข้อข้องใจทันที
“ถ้าพวกเราขอกำลังเสริมไป ทางนั้นต้องรู้ว่าเราทำโดยไม่ได้รับอนุญาติ ผมพาพวกคุณมาผมต้องรับผิดชอบ”
“ครับ”
เสียงปืนยังคงดังอย่างต่อเนื่องซึ่งดังมาจากทางฝั่งของนายงยุทธ ดูท่าจ่านัยจะต้านได้อีกไม่นานผมวิ่งไปทางด้านหลังของโกดัง พร้อมกับกดโทรศัพท์เข้าสถานีตำรวจในนามของพลเมืองดีนิรนามแจ้งว่ามีเหตุยิงกันที่ท่าเรือร้าง
ผมมาถึงด้านหลังโกดัง พยายามสอดส่ายสายตาซ้ายทีขวาทีเผื่อจะมีทางเข้าอื่น
“วิณณ์”.
.
“วิณณ์”“ตะวันอย่าเพิ่งเล่น”
“วิณณ์”พร้อมกับแรงเขย่าที่มากขึ้น
“อะไร?มีอะไรตะวัน”
“นั่น”ผมหันไปดูตามที่ตะวันชี้ให้ดู
กิ่งไม้หลายกิ่งที่ถูกหักและนำมาวางทับๆ สุมๆ กันเหมือนจะวางมั่วๆ แต่มันดูจงใจเกินไปวิณณ์เดินเข้าไปและจัดการรื้อกิ่งไม้พวกนั้นออกเข้าจึงเห็น
ช่อง
ช่องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ขนาดมันพอให้คนหุ่นขนาดเขามุดเข้าไปได้ เมื่อดูว่าทางสะดวกดีแล้ววิณณ์จึงมุดเข้าไป จากจุดที่เขาลอดเข้าไป มันไปโผล่ที่ด้านข้างของรถคันที่ไว้ใช้ขนของพอดิบพอดี วิณณ์เปิดผ้าคลุมออกเพื่อดูว่าอะไรที่อยู่ข้างใต้นั่น
ยา
อาวุธ
“ครบเครื่องเรื่องเลวจริงๆ”
วิณณ์พึมพำกับตัวเองไม่แปลกที่พ่อเขาจะไม่ยอมก้มหัวให้กับเรื่องพวกนี้ แต่แปลกที่พ่อเขาเป็นเพื่อนกับคนพวกนี้ได้ยังไง แต่ก็อย่างว่าใครจะรู้ว่าคนเราจะดีไปแค่ไหน และจะเลวได้ถึงไหน
“วิณณ์ เป็นอะไรหรือเปล่า”“ไม่เป็นอะไร ไปกันเถอะ”
วิณณ์สลัดความคิดทิ้ง ตอนนี้เขาต้องสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้ามากกว่าเพราะเขาเป็นคนพาคนอื่นมาเดือดร้อนเขาต้องรับผิดชอบ เขาหลบไปทางด้านหลังของรถเพื่อดูตำแหน่งที่เขาจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เสียงของกระสุนปืนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
เพราะมัวแต่สนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้เขาลืมระวังตัว
“เฮ้ย.....หยุด”Talk : ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ...........ขอโทษ และขอโทษ
ขอโทษผู้อ่านนิยายทุกท่านจริงๆ ค่ะ เนื่องจากช่วงที่หายไปมีเหตุขัดข้องประเดประดังเข้ามาจนไม่สามารถมาอัพนิยายต่อได้ แต่ตอนนี้เรากลับมาแล้วพร้อมแล้ว
ได้โปรดอย่าเพิ่งโกรธ อย่าเพิ่งเกลียด อย่าเพิ่งทิ้งกันน้าาาาา _/\_ กลับมาอ่านกันเถอะจร้าาา