Chapter Ten.
“อยู่นู้นคิดถึงฝีมือฝุ่นเป็นที่สุด” ปินซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดขึ้นด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
กลิ่นต้มยำขาหมูลอยอบอวลทำให้น้ำลายไหล ไหนจะกลิ่นข้าวหอมกรุ่นที่มีควันลอยขึ้นจางๆ พาให้มือไม้ซึ่งถือช้อนส้อมเตรียมไว้แล้วขยับไปมาอย่างเริงร่า
“คิดถึงฝีมือมากกว่าคนอีกเหรอ” ฝุ่นแสร้งพูด ขณะที่คนฟังก็เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะหลุดหัวเราะ
“ไม่อยู่ด้วยกันสองอาทิตย์ฝุ่นกลายเป็นคนขี้เล่นไปแล้วเหรอ”
“คงติดคนแถวนี้มา”
ปินยกยิ้ม อาหารตรงหน้าถูกละความสนใจไปชั่วครู่เมื่อสายตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าน่ารัก
“ผมว่าเมื่อคืนก็บอกไปชัดเจนแล้วนะว่าคิดถึงฝุ่นแค่ไหน” ดวงตาเรียวรีทอความกรุ้มกริ่มจนฝุ่นต้องแสร้งทำสีหน้าเอือมระอา
“บอกแบบคนหื่นน่ะสิ”
“แต่ฝุ่นก็ชอบ?”
“กินข้าวได้แล้ว”
สุดท้ายคนที่เถียงไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนเรื่องด้วยการตักเนื้อขาหมูซึ่งถูกตุ๋นจนเปื่อยให้อีกคน ด้านปินเองก็ไม่คิดเซ้าซี้ประเด็นนี้ต่อเนื่องจากความหิว เมื่ออาหารเข้าปากเสียงพูดคุยก็เงียบลงทันใด
“ไปเรียนศิลปะแล้วชอบใช่ไหม” ปินถามขึ้นขณะดูผลงานของฝุ่นไปทีละชิ้น เพียงแค่เห็น คนซึ่งคุ้นเคยกับภาพวาดเป็นอย่างดีก็รู้ว่าคนวาดยังสลัดความเศร้าออกไปได้ไม่หมด
แม่บอกเสมอว่าภาพวาดมันหลอกความรู้สึกหรือความคิดของจิตรกร ณ เวลานั้นไม่ได้เลย
“อื้ม เหมือนได้ผ่อนคลายแล้วก็เยียวยาจิตใจ”
“ไว้ว่างๆ ผมจะพาฝุ่นไปเจอแม่”
ดวงตาโตมองหน้าคนพูดนิ่ง เหมือนเกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ แล้วปารินทร์ก็ระบายยิ้มบาง
“ระหว่างที่เติบโตและกว่าจะมาเป็นนักร้องผมเจอเรื่องมาเยอะมากมาย แล้วแม่กับศิลปะและดนตรีก็เป็นสิ่งที่ช่วยผมไว้”
“...”
“ผมเชื่อว่าแม่จะช่วยฝุ่นได้เหมือนกัน”
“อื้อ” ฝุ่นยิ้มกลับ ก่อนจะหลุบสายตาลงมองผลงานตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหน้า จากนั้นจึงค่อยๆ เอนหัวพิงกับต้นแขนแกร่ง เปลือกตาปิดลงอย่างเชื่องช้า
“ขอบคุณ” ร่างเล็กเอ่ยคำสั้นๆ ที่แทนความรู้สึกมากมาย
ช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้ถ้าไม่มีปินก็ไม่รู้เลยว่าจะผ่านมันไปได้ยังไง
คนที่อายุน้อยกว่าแต่กลับเป็นผู้ใหญ่และแข็งแกร่งกว่าในเวลานี้ อาจเพราะปินผ่านอะไรมาไม่น้อยกว่าจะมาเป็นปิน ปารินทร์ที่ทุกคนรู้จัก
นั่นสิ ใครๆ ก็ต่างต้องพบเจอเรื่องที่ยากลำบากทั้งนั้น
“ไม่เป็นไรเลย ผมรู้ว่าถ้าเป็นผมฝุ่นก็จะอยู่ตรงนี้เหมือนกัน” มือหนาเอื้อมไปจับมือเล็กเอาไว้พลางสอดนิ้วประสานเข้าหา
“ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นหลักให้ปินได้ดีเท่านี้ไหม”
“เป็นสิ...ที่ผมผ่านหลายเรื่องมาได้ตลอดสามปีนี้ก็เพราะฝุ่นเหมือนกันนะ”
แล้วปินก็สัมผัสได้ถึงแรงกระชับตรงฝ่ามือ ฝุ่นไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีกแต่สัมผัสนี้ก็บ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง
ริมฝีปากได้รูปกดจูบลงบนกลางหัวคนข้างกายแนบแน่น
เราผ่านอะไรด้วยกันมาไม่น้อยเลย
--
“วันนี้ฝุ่นดูอารมณ์ดี”
คนที่แวะมาดูนักเรียนตัวเองวาดภาพกล่าวด้วยความแปลกใจ ขณะที่คนไม่รู้ตัวก็เลิกคิ้ว มองภาพซึ่งตัวเองยังวาดไม่เสร็จว่ามันมีอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายรู้
“มีรูปเกี่ยวกับท้องฟ้าและแจกันที่มีดอกไม้อยู่หนึ่งดอก”
“...”
“ตรงนี้มันบ่งบอกความรู้สึกข้างในของฝุ่นน่ะ” ใบหน้าคนฟังกดลงรับช้าๆ
“อืม...ก็อารมณ์ดีกว่าทุกวัน” พูดไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พาให้คนมองรู้สึกเหมือนโดนมนต์สะกดแล้วยิ้มตาม
“มีเรื่องอะไรดีๆ งั้นเหรอ”
“คนที่คิดถึงกลับมาแล้วน่ะ” ฝุ่นเอ่ยตอบพร้อมทั้งหันกลับไปวาดรูปต่อ ด้านคนได้ยินก็กลายเป็นยิ้มจืดเจื่อน คำถามที่หวาดกลัวถูกเอ่ยออกไปด้วยเสียงไม่มั่นคง
“หมายถึงแฟน?”
“ฝุ่นอยากวาดรูปต่อให้เสร็จ” ดวงตาคู่สวยเหลือบมามองเล็กน้อย ทั้งที่คนร่างเล็กพูดพร้อมรอยยิ้มแต่คนฟังก็ยังรู้สึกได้ว่าอีกคนต้องการความเป็นส่วนตัว
“อ้อ โทษที งั้นผมไม่กวนแล้ว” คุณครูหนุ่มขยับถอยห่าง ปล่อยให้คนเป็นนักเรียนจมอยู่กับภวังค์ต่อทั้งที่ในใจกำลังเกิดความวุ่นวาย
ฝุ่นมีแฟนแล้วงั้นเหรอ...
Pin : เลิกเรียนกี่โมง ผมจะไปรับ
ฝุ่นเบิกตาขึ้นนิดๆ อย่างแปลกใจเมื่อกดอ่านข้อความไลน์ซึ่งถูกส่งมาหลังจากที่วาดรูปเสร็จพอดี
Fhoon : ทำงานเสร็จแล้วเหรอ
Pin : ครับ
Fhoon : ไม่ต้องมาหรอก เดี๋ยวนักข่าวจำรถได้
เพราะสถานที่ทำงานอยู่ไม่ไกลที่พักนักวันนี้ปินจึงเอารถส่วนตัวออกไป
Pin : ผมเอารถพี่หวานมา แล้วให้พี่หวานเอารถผมกลับ
Fhoon : เล่นอะไร
Pin : ผมอยากไปรับฝุ่น แล้วก็มีที่ที่อยากพาไป
Fhoon : ไม่กลัวนักข่าวเห็นเหรอ
Pin : เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง
Pin : สรุปเลิกกี่โมงครับ ผมกำลังจะออกไป
Fhoon : ใกล้จะเสร็จแล้ว
Pin : โอเค งั้นฝุ่นส่งโลเคชั่นมาเลย
Fhoon : *ส่งสติกเกอร์
ฝุ่นโคลงหัวน้อยๆ เมื่อไม่รู้ว่าหมาแสนซนกำลังคิดจะทำอะไร
“ฝุ่นวาดภาพเสร็จแล้วเหรอ”
คนถูกถามเงยขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะพยักหน้ารับโดยที่ไม่ได้สังเกตว่าใบหน้าอีกคนไม่ได้ดูอารมณ์ดีเหมือนเคย
“เสร็จแล้ว”
“จะกลับเลยใช่ไหมครับ”
“น่าจะอีกสักพัก รอคนมารับน่ะ”
“งั้น...ไปรอที่คอฟฟี่ช็อปข้างล่างไหม เดี๋ยวผมรอเป็นเพื่อน”
“เอาสิ” ฝุ่นตอบรับง่ายๆ เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรเสียหาย
ร่างบางลุกขึ้นถอดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินไปล้างมือ ชำระคราบสีน้ำตามนิ้วออกให้เรียบร้อย จากนั้นจึงกลับมาเก็บของและรับภาพวาดซึ่งถูกม้วนให้เรียบร้อยแล้วมาใส่กระเป๋า
“ฝุ่นดื่มอะไรดี” เซนถามขึ้นหลังจากที่เอาของวางลงบนโต๊ะ
“ช็อกโกแลตปั่นหวานน้อยแล้วกัน”
“รับขนมอะไรไหม” ฝุ่นส่ายหน้าตอบ แล้วร่างสูงก็เดินไปทางเคาน์เตอร์เพื่อสั่งเครื่องดื่มจึงเหลือเพียงตัวเองที่นั่งรอ ไม่นานนักเซนก็กลับมานั่งลงฝั่งตรงข้าม
“ปกติแล้วหลังจากเลิกเรียนฝุ่นจะไปไหน”
“กลับห้อง ไม่ก็แวะซูเปอร์บ้าง”
“คราวหลังให้ผมไปเป็นเพื่อนได้นะ” คนฟังระบายยิ้มบางๆ
“เกรงใจเซนน่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ผมเต็มใจ”
“อย่าเลย”
“ถ้าฝุ่นยังไม่มีใคร...” ฝ่ามือคนพูดเอื้อมมาวางบนหลังมือเล็ก ก่อนฝุ่นจะเลื่อนมือออกในแทบจะทันใด
“เซนอย่าทำลายความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนของเราเลยนะ”
ประโยคของอีกฝ่ายไม่ถูกเอ่ยจนจบ มันถูกแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบและรอยยิ้มบางซึ่งไม่ได้จางหายไปจากใบหน้าของฝุ่น
ฝุ่นรู้ เพียงแต่พยายามทำเป็นไม่เห็นมาตลอด
“...”
“ให้มันคงอยู่แบบนี้เถอะ ฝุ่นจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
อาจดูใจร้ายแต่เชื่อเถอะว่าการพูดตรงๆ มันดีสำหรับคนตรงหน้าที่สุดแล้ว
แววตาคนฟังมีแววเจ็บปวดและผิดหวัง นานหลายนาทีกว่าเซนจะเอ่ยปากพูด
“ผมขอถามแค่คำถามเดียว”
“ว่ามาสิ”
“ฝุ่นมีคนรักแล้วเหรอ”
“ขออนุญาตเสิร์ฟนะคะ”
คำตอบนั้นถูกขัดด้วยพนักงานที่มาเสิร์ฟเครื่องดื่ม ระหว่างเอื้อมมือไปขยับแก้วมาวางตรงหน้าฝุ่นก็เอ่ยตอบ
“มีแล้วล่ะ”Rrrr
โทรศัพท์ที่ส่งเสียงร้องอยู่ในกางเกงถูกล้วงขึ้นมากดรับสาย
“ถึงแล้วเหรอ”
(ครับ อยู่ข้างหน้าแล้ว)
ตาคู่สวยเหลือบออกไปมองทางด้านหน้าตึก ด้วยความที่ร้านกาแฟเป็นกระจกใสจึงสามารถมองเห็นรถเก๋งที่แสนคุ้นตาจอดอยู่
“เดี๋ยวออกไป” แล้วฝุ่นก็กดวางสายก่อนจะเปิดกระเป๋าตังแล้วหยิบเงินแบงค์ห้าร้อยออกมาวาง
“ถือว่าเราเลี้ยงเซนแล้วกันนะ”
ร่างเล็กลุกขึ้นยืนโดยที่ไม่แตะต้องช็อกโกแลตปั่นแก้วนั้นเลยสักนิด
“ฝุ่น” คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เรียกเอาไว้ให้คนที่กำลังจะก้าวออกจากโต๊ะหยุดชะงัก
“...”
“ผมขอโทษ...อาทิตย์หน้าทุกอย่างจะเหมือนเดิม”
“อืม แล้วเจอกัน” ฝุ่นทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น แล้วก็เดินออกจากร้านไปขึ้นรถโดยมีสายตาอาวรณ์มองตาม
“เหนื่อยเหรอ ทำไมเงียบ” ฝุ่นหันไปถามคนข้างตัวเมื่อรถเคลื่อนตัวออกมาได้สักพักแต่คนที่ปกติมีท่าทีเริงร่ากลับนิ่งเงียบ ดูผิดปกติจากที่เคยเป็น
“เปล่า”
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไว้กลับไปคุยกันที่ห้อง” คิ้วได้รูปขมวดมุ่น ขณะสายตาทอดมองเสี้ยวหน้าซึ่งไม่หันมาหากันเลยตั้งแต่ขึ้นรถ
“ไม่ไปไหนแล้วเหรอ”
“ไว้วันหลังแล้วกัน”
ฝุ่นดึงสายตาออกไปมองนอกรถพลางรับคำในลำคอเสียงเบา บรรยากาศระหว่างกันดูอึมครึมไม่สดใส และคนอายุมากกว่าก็เลือกจะให้เวลากับอีกคน ปล่อยให้ปินได้ตกตะกอนความคิดและอารมณ์ ทั้งยังให้เวลาตัวเองได้เตรียมรับมือเรื่องที่จะคุย
แกร๊ก
“ผมเห็นผู้ชายคนนั้นจับมือฝุ่น” ร่างสูงหมุนตัวกลับมาแล้วเอ่ยเข้าประเด็นทันทีที่ประตูปิดลง
ปินมาถึงแล้วสักพักเนื่องจากการเสิร์ชชื่อสถาบันที่ฝุ่นเคยบอก และด้วยเพราะรอบร้านกาแฟเป็นกระจกใสจึงเห็นเหตุการณ์ในนั้นเข้าพอดี
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเห็นว่าฝุ่นดึงมือออก” ฝุ่นเอ่ยด้วยความใจเย็น
“ก็เห็น แต่ผมก็ยังไม่ชอบใจอยู่ดี”
ใบหน้าหล่อฉายแววหงุดหงิด แผ่นอกกว้างสะท้านไหวเพราะแรงหายใจอย่างคนกำลังโมโห
โมโหหึง...
“มันไม่มีอะไรปิน ไม่มีอะไรเลยจริงๆ”
“เขาชอบฝุ่นใช่ไหม”
“...อืม แต่คุยกับเขาไปแล้ว มันไม่มีอะไรทั้งนั้น”
“ไม่ต้องไปเรียนอีก” เสียงทุ้มเอ่ยออกคำสั่ง
“ปิน” คนฟังผ่อนลมหายใจช้าๆ พลางเรียกให้เจ้าของชื่อตั้งสติและมีเหตุผลให้มากกว่าที่เป็น
“ผมไม่ให้ฝุ่นไปเรียนกับมันแล้ว”
“มีเหตุผลหน่อย บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร เขาเข้าใจดีแล้ว”
“จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ช่าง ยังไงผมก็ไม่ไว้ใจที่จะให้ฝุ่นไปอยู่กับคนที่ชอบฝุ่นสองต่อสอง”
“ฝุ่นกับเขาโตพอที่จะแยกแยะเรื่องนี้ได้”
“ฝุ่นดูรู้จักเขาดีจังเลยนะ”
“...” น้ำเสียงค่อนขอดนั้นทำให้ฝุ่นนิ่งเงียบ ข้างในเกิดตะกอนขุ่นๆ เนื่องจากสงสัยว่าปินกำลังคิดอะไร
ไม่ไหวใจเขางั้นเหรอ
“อยากเรียนกับเขามากเลยใช่ไหม”
“มันไม่ใช่แบบนั้น แค่คิดว่ามันก็ไม่ได้เสียหายอะไรถ้าเขาเข้าใจแล้ว”
“มันไม่ได้สำคัญว่าเขาเข้าใจไหม แต่สำคัญที่ว่าผมไม่อยากให้ฝุ่นอยู่ใกล้เขาอีก”
“ไม่เชื่อใจกันเหรอ” ร่างเล็กถามเสียงเบา ดวงตาโตมีแววตัดพ้อ
“...” และความเงียบจากคนถูกถามมันก็เป็นคำตอบได้ดี
“ทำไมทีฝุ่นยังเชื่อใจปินทั้งที่มีข่าวมากมายและปินก็ปฏิเสธการทำงานเพื่อกันไม่ได้เลย”
“...”
“ทำไมฝุ่นต้องเป็นฝ่ายเข้าใจปินอยู่คนเดียว” ฟันซี่คมกัดปากข้างในตัวเองจนความเจ็บเปลี่ยนเป็นชาหนึบ ดวงตาคมทอดมองใบหน้าคนพูดด้วยความเสียใจไม่แพ้กัน
เสียใจที่ได้ยินอย่างนั้น หากแต่ปินก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวกับอีกฝ่ายมากเหลือเกิน
“ผมมันเห็นแก่ตัวมากเลยใช่ไหม”
เมื่อไม่มีอะไรจะพูดมากกว่านั้นร่างสูงก็หมุนตัวไปเปิดประตูออกจากห้องโดยที่ฝุ่นรั้งเอาไว้ไม่ทัน ร่างเล็กค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง น้ำตาไหลลงรินรดแก้มอย่างเชื่องช้า
นี่เป็นการทะเลาะกันที่รุนแรงที่สุดเลยก็ว่าได้
ผ่านมากว่าค่อนคืนแต่ปินก็ไม่ได้กลับห้องมา และคนที่เป็นห่วงก็นั่งรออยู่บนโซฟาอย่างไม่อาจข่มตาหลับ โทรศัพท์ซึ่งพร่ำกดโทรออกก็ไม่สามารถติดต่อได้จนใจคนรอเริ่มร้อนรน
เขาเสียดินไปก็เพราะการติดต่อไม่ได้แบบนี้...
ฝุ่นยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาขณะสองมือยังคงกดโทรศัพท์ไม่หยุด ทว่าก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ กระทั่งสีเข้มของท้องฟ้าด้านนอกเปลี่ยนเป็นสีสว่าง คนที่รอคอยผล็อยหลับไปทั้งน้ำตา
ร่างสูงเปิดประตูเข้ามาในเวลาหกโมงเช้า ลมหายใจแห่งความเหนื่อยล้าถูกพรูออกขณะในหัวกำลังคิดว่าควรเอ่ยอะไรกับอีกคนเป็นอันดับแรก
กึก
สองเท้าแกร่งหยุดชะงักเมื่อเห็นฝุ่นนอนคู้ตัวอยู่บนโซฟา ก่อนปินจะรีบสาวเท้าตรงเข้าไปหา คราบน้ำตาที่ยังชื้นอยู่บนใบหน้าเนียนบ่งบอกว่าฝุ่นเพิ่งหลับไปและร้องไห้ตลอดทั้งคืน
ใจแกร่งเกิดความวูบโหวงขึ้นทันใด เหมือนมีบางสิ่งมาบีบรัดให้หายใจไม่สะดวก ความรู้สึกผิดเข้ามาแทนที่ พลันริมฝีปากก็โน้มลงแตะบนเปลือกตาสีอ่อนแผ่วเบา
“ผมขอโทษ” ปินกระซิบบอก ฝ่ามือหนาลูบแก้มเนียนไปมาแผ่วเบา จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วอุ้มร่างเล็กไปวางลงบนเตียงในห้องนอนเพื่อให้อีกคนได้นอนอย่างสบายตัว
กว่าคนที่หลับไปเพราะอ่อนเพลียทั้งกายและใจจะรู้สึกตัวตื่นก็เป็นเวลากว่าเที่ยง เมื่อฝุ่นเรียบเรียงสติแล้วพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนโซฟาก็กระวีกระวาดลุกออกจากห้องนอน หากแต่ความเงียบงันก็ทำให้นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ปินมีงานช่วงสาย อีกคนคงออกจากห้องไปแล้ว
ถึงจะรู้สึกวูบโหวงอยู่แต่ก็สบายใจขึ้นมาได้ว่าปินปลอดภัย
ฝุ่นเดินลากเท้ากลับเข้าห้องนอนช้าๆ กระทั่งทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงจึงเพิ่งสังเกตว่าบนโต๊ะข้างหัวเตียงมีกระดาษโน้ตถูกวางทับเอาไว้ด้วยโทรศัพท์
‘เสร็จงานแล้วผมจะกลับมาคุย...ขอโทษที่ทำให้ฝุ่นร้องไห้’ข้อความซึ่งถูกเขียนด้วยลายมือที่จำได้ดีปัดเป่าความไม่สบายใจออกไปกว่าครึ่ง มุมปากบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ จากนั้นลมหายใจก็ถูกสูดเข้าปอดลึก มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อต่อสายหาใครบางคน
--
“เป็นอะไรหรือเปล่า ดูปินเครียดๆ” คนเป็นผู้จัดการส่วนตัวถามขึ้นหลังจากที่ปินลงจากเวที งานที่สองของวันนี้เสร็จสิ้นแล้วเรียบร้อยในเวลาสามทุ่มเศษ
“ผมทำงานไม่ดีหรือ” ปินหันไปถามคนข้างตัวอย่างจริงจังขณะกำลังใช้สำลีเช็ดเครื่องสำอางบางๆ ออกจากใบหน้า
เขาเป็นมืออาชีพพอที่จะไม่เอาเรื่องงานมาปะปนกับเรื่องส่วนตัว หากมีเพียงเสี้ยวที่เป็นอย่างนั้นและทำให้งานไม่เต็มร้อยก็ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้
“เรื่องงานน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่พอไม่ได้อยู่บนเวทีปินก็เผลอคิด มีเรื่องอะไรบอกพี่ได้นะ”
“ไม่มีอะไรครับ ผมจัดการได้” เมื่อคนในความดูแลยืนยันว่าอย่างนั้นภาวิดาก็พยักหน้ารับ
“โอเค ถ้างั้นก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ จะได้กลับกัน”
ปินรับคำ เมื่อเช็ดหน้าเสร็จเรียบร้อยก็หมุนตัวเตรียมไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ทว่าผู้จัดการซึ่งเพิ่งนึกบางเรื่องขึ้นได้ก็เรียกเอาไว้
“เอ้อ...แล้วสรุปเรื่องสัญญาของฝุ่นว่ายังไง” คนถูกถามชะงัก ก่อนจะเอ่ยตอบในนาทีต่อมา
คำตอบที่ทำให้คนฟังเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ--
โทรทัศน์ถูกเปิดทิ้งไว้แต่คนที่นั่งอยู่ตรงหน้ากลับไม่ได้สนใจจะดูมัน ดวงตาคู่สวยจับจ้องเพียงเข็มนาฬิกา เวลาล่วงเลยจนเกือบจะเข้าสู่วันใหม่แต่ก็ยังไร้วี่แววคนที่รอคอย
กระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูแว่วๆ ร่างเล็กก็หยัดกายขึ้นโดยอัตโนมัติ สองขาเรียวก้าวตรงไปยังห้องครัวแล้วกลับออกมาพร้อมแก้วน้ำในมือ เมื่อคนสองคนเจอหน้ากันก็เหมือนถูกความเงียบโรยตัวเข้ามาปกคลุม เสียงจากโทรทัศน์ไม่อาจดังเข้ามาในโสตประสาท
“...ดื่มน้ำไหม” ฝุ่นเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนพร้อมทั้งเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าอีกคน ขณะที่ปินก็รับแก้วน้ำไปดื่มจนหมดโดยไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะหน้าโซฟา
“ถ้าฝุ่นอยากเรียน...”
“โทรไปยกเลิกคอร์สแล้ว” ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันยามช้อนสายตามองคนที่สูงกว่า “ขอโทษที่พูดแบบนั้น”
ฝุ่นเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด ตลอดทั้งวันที่ได้มีเวลาทบทวนเรื่องราวก็พบว่าตัวเองมีส่วนผิดไม่น้อย ทั้งยังพูดจาทำร้ายจิตใจปินเช่นกัน
“ผมก็ขอโทษ” ฝ่ามือใหญ่วางแนบกับแก้มเล็กยามกล่าวคำขอโทษด้วยแววตาเจ็บปวด
การทำร้ายจิตใจคนที่เรารักไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำก็เป็นเรื่องที่รู้สึกแย่ทั้งนั้น
“ไม่ได้โกรธ” ใบหน้าเล็กเอียงเข้าหามือหนาพร้อมทั้งปิดเปลือกตาลง ซึมซับความไม่สบายใจที่ค่อยๆ ถูกปัดเป่าออกไปจากหัวใจช้าๆ
“ขอโทษที่ทำให้ฝุ่นร้องไห้”
“เป็นห่วง...เมื่อคืนไปไหนมา”
ดวงตาโตเปิดลืมขึ้นขณะก้าวขาไปหาปิน ซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดอบอุ่น ยามท่อนแขนใหญ่ก็วาดโอบคนร่างเล็กเข้าหาตัว
“ผมแวะไปหาเพื่อน”
“เพื่อนคนไหน”
“ไอ้ทัตไง”
“ติดต่อไม่ได้...”
“ยอมรับว่าไม่พร้อมคุยกับฝุ่นเลยปิดเครื่อง กลัวว่าตอนนั้นยิ่งคุยแล้วจะยิ่งทะเลาะ” ปินอธิบายพร้อมทั้งกระชับแขนให้แน่นขึ้น
“ไม่เอาแบบนี้ แค่รับสายแล้วบอกว่าอยู่ไหนเฉยๆ ก็ได้”
คนฟังสัมผัสได้ถึงความสั่นเครือในน้ำเสียง คิ้วเข้มจึงขมวดมุ่น ก่อนริมฝีปากจะกดลงบนกลางหัวเล็กแผ่วเบา
“ครับ ต่อไปจะไม่ทำให้ฝุ่นเป็นห่วงอีก”
“ไม่ชอบเวลาทะเลาะกัน”
ฝุ่นกัดริมฝีปากเมื่อรู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไป ทว่าก็ไม่อาจห้ามปากได้ทั้งที่ปกติมักจะเก็บความคิดทุกอย่างไว้กับตัว
อาจเพราะถ้าไม่พูดก็กลัวคนตรงหน้าไม่เข้าใจ
“ผมก็ไม่ชอบ แล้วก็ยิ่งไม่ชอบที่กลับมาแล้วเห็นฝุ่นร้องไห้”
“...”
“บางทีก็เหนื่อยใช่ไหมกับการที่ผมเป็นปิน ปารินทร์ของใครๆ” ใบหน้าเล็กส่ายไปมาอยู่กับอกกว้าง
“ขอโทษที่พูดแบบนั้น” ฝุ่นเอ่ยประโยคเดิมซ้ำอีกครั้ง
“ผมรู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัว...ฝุ่นอยากจะใช้ชีวิตแบบที่ฝุ่นควรจะได้ใช้หรือเปล่า”
คนฟังรู้สึกใจวูบไหวก่อนจะผละใบหน้าออกห่างแล้วเงยขึ้นมองคนพูด
“ปินหมายความว่ายังไง”
“บางทีผมก็อยากจะคืนอิสระให้ฝุ่น”
“...”
“ให้ฝุ่นไม่ต้องมาอดทนอยู่ตรงนี้ กับคนที่แม้แต่จะจับมือฝุ่นข้างนอกยังทำไม่ได้”
น้ำตาหยดใสไหลลงตรงหางตา ร่างกายฝุ่นเย็นเหยียบอย่างกลัวคำพูดต่อไปที่จะออกจากปากของคนตรงหน้า
ข้อนิ้วแกร่งเกลี่ยเช็ดน้ำตาออกให้คนร้องไห้แผ่วเบา
“ผมจะไม่ต่อสัญญาฝุ่นแล้วนะ”“...”
“ฝุ่นมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องมาติดอยู่แค่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว”
TBC.
ฟิ้วววววววววว/วิ่งหนี
#secrecyลับรัก