Chapter Three.
ขาหมูถูกตุ๋นจนเปื่อยในน้ำต้มยำที่ถูกปรุงได้อย่างลงตัวเดือดปุดๆ อยู่ในหม้อ มือเล็กใช้ช้อนตักน้ำขึ้นมาชิมรสชาติเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ก่อนใบหน้าจะแสดงออกว่าพึงพอใจ ต่อมาเตาจึงถูกปิด ผักชีซึ่งถูกหั่นเตรียมไว้ในจานถูกลงโรยใส่ในหม้อเป็นลำดับสุดท้าย
ต้มยำขาหมู...ของโปรดปิน
หมับ
“อื้อ หอม” เสียงพูดข้างหูมาพร้อมกับท่อนแขนที่สอดมารัดรอบเอว ใบหน้าของปินซุกอยู่กับไหล่เล็ก เสียงเอ่ยแหบพร่าอย่างคนเพิ่งตื่น
“หอมก็รีบไปอาบน้ำ จะได้กินข้าว” ฝุ่นคนต้มยำในหม้ออีกเล็กน้อยจากนั้นจึงวางทัพพีลงบนจานข้างๆ เตา
“ง่วง” หมาน้อยงอแง
“ใครบอกให้เล่นเกมจนดึกดื่น”
“ก็นานๆ ผมจะได้พัก”
“แล้วสรุปนี่จะนอนต่อหรือกินข้าว”
คนถูกกอดหมุนตัวกลับไปหาคนด้านหลัง ขณะที่ปารินทร์ยังคงยืนตาปรือคล้ายกับจะหลับต่อทั้งอย่างนี้
“ฝุ่นทำต้มยำขาหมูแบบนี้จะนอนต่อได้ยังไง”
แม้จะพูดแบบนั้นแต่ดวงตาของคนง่วงก็ยังไม่ลืมขึ้น ฝุ่นได้แต่ส่ายหัวให้กับท่าทางที่เหมือนเด็กน้อยนี้อย่างอ่อนใจ มือเล็กยกขึ้นวางประกบแก้มของปินเอาไว้ทั้งสองข้าง
“ถ้าง่วงมากก็นอน ค่อยตื่นมากินก็ได้”
“ผมทั้งอยากนอนและอยากกินในเวลาเดียวกัน ทำยังไงดี” ดวงตาเรียวรีลืมขึ้นหนึ่งข้างพร้อมทั้งหัวเราะน้อยๆ ขณะที่ฝุ่นถอนหายใจดังเฮือก
“งั้นก็ไปกินในความฝัน” ประโยคนี้เรียกเสียงหัวเราะจากคนฟังให้ดังขึ้น
“ฮ่ะๆ ผมอาบน้ำก่อนดีกว่า จะได้รู้สึกตื่นกว่านี้”
“อืม” ฝุ่นรับคำ ทว่าคนที่บอกจะไปอาบน้ำกลับไม่ได้ผละออก ท่อนแขนที่ยังโอบรอบเอวกระชับขึ้นอีกจนร่างกายแนบชิดกันยิ่งกว่าเดิม จากนั้นปลายจมูกโด่งก็กดลงบนแก้มเนียนทั้งด้านซ้ายและขวา
“ตอบแทนสำหรับต้มยำขาหมู” ปินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ตอบแทนหรือเอาเปรียบกันแน่”
“ตอบแทนสิ หอมของปิน ปารินทร์ นักร้องซูเปอร์สตาร์เชียวนะ” พูดเองก็หลุดหัวเราะเอง
“ไม่เห็นจะอยากได้” ฝุ่นแสร้งทำหน้าเอือมระอาทั้งที่ข้างในนั้นกำลังยิ้ม
นั่นสิ ถูกปินหอมทั้งที่นี่นะ
“โธ่ แกล้งพูดเอาใจผมหน่อยก็ได้”
“เลิกเล่นแล้วไปอาบน้ำได้แล้ว”
ต้องทำเป็นพูดด้วยเสียงเข้มขึ้นเจ้าหมาตัวโตถึงได้ยอมปล่อยแล้วขยับถอยหลัง
“ไปจริงๆ แล้ว”
ฝุ่นมองตามแผ่นหลังกว้างไปกระทั่งลับสายตารอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นบนใบหน้า อีกหนึ่งวันหยุดของปินที่จะได้ใช้เวลาร่วมกันทั้งวัน เป็นอะไรที่ดีเหลือเกิน
ดีกว่าอยู่คนเดียวมากโขเลยล่ะ
‘หากได้ยินคำนั้น แล้วต้องสูญเสียทุกอย่าง
หากได้ฟังคำนั้น แล้วฉันไม่เหลืออะไร
หากว่าเธอรู้สึก อย่างที่ฉันวาดฝันเอาไว้
ต่อให้โลกต้องแตกสลาย ต่อให้โลกนี้พังทลาย
...ฉันยอม’“เพราะไหม ฝุ่นชอบหรือเปล่า”
“...”
“ฝุ่น”
“หะ หือ” คนถูกเรียกสะดุ้งเล็กน้อยพลางดึงสายตาซึ่งไม่รู้ว่าโฟกัสอยู่ที่ไหนให้กลับมาสนใจใบหน้าของคนข้างตัว
“ผมถามว่าเพราะไหม ไม่เพราะเหรอ?”
ท่าทางนิ่งเงียบนั้นทำให้คนที่คาดหวังเริ่มใจแป้ว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน รู้สึกเหมือนประกาศผลสอบแล้วคะแนนออกมาน้อยทั้งที่คิดว่าตัวเองทำข้อสอบได้
“เพราะสิ เพราะมาก ดีมากเลย” ฝุ่นพูดจากใจจริง จากความรู้สึกทั้งหมดโดยไม่ได้อวยปินเลยแม้แต่น้อย
เสียงของดนตรี เสียงของปิน ทุกท้วงทำนองและเนื้อร้อง...มันดีมากจริงๆ
“ไม่ต้องกลัวว่าผมจะเสียใจ ถ้ามันไม่ดีฝุ่นก็พูดออกมาเลย ผมพร้อมฟัง” คราวนี้กลายเป็นฝุ่นที่ขมวดคิ้ว
“ที่พูดเนี้ยไม่ได้พูดเอาใจ เพลงมันเพราะจริงๆ...ทำไม ไม่เชื่อเหรอว่าพูดจริง” ปลายหางเสียงเข้มขึ้นคล้ายกับไม่พอใจจนปินต้องรีบเอ่ยเสียงเบา
“ก็ตอนแรกฝุ่นทำเหมือนไม่ชอบ”
“ยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“สรุปว่าเพราะใช่ไหม”
เมื่ออีกคนยืนยันว่าอย่างนั้นจึงลองถามย้ำเพื่อความมั่นใจ ความกังวลก่อนหน้านี้ค่อยๆ เบาบางลง
“อื้อ ก็ต้องเพราะอยู่แล้ว ทุกคนตั้งใจขนาดนี้”
เพราะอยู่ด้วยกันจึงเห็นถึงความตั้งใจอันมากมายของปิน และไม่ใช่เพียงแค่คนเบื้องหน้าแต่คนเบื้องหลังก็ทุ่มเทกับทุกรายละเอียดไม่แพ้กัน
“ผมก็ตั้งใจ”
“รู้แล้ว”
“งั้นขอรางวัลให้คนตั้งใจหน่อย”
ใบหน้าคนพูดขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาเปล่งประกายคล้ายกับลูกหมาตอนเห็นกระดูก ท่าทีดูทะเล้นจนฝุ่นถอนหายใจใส่
“เล็กๆ น้อยๆ ก็เอานะคนเรา”
“เอาหมดแหละ แม่สอนให้เป็นคนรู้คุณค่าของทุกอย่าง”
ฝุ่นถึงกับส่ายหัวให้กับคนที่ยกแม่ขึ้นมาอ้าง อ่อนใจกับความตอดเล็กตอดน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมตามใจด้วยการเคลื่อนหน้าเข้าไปจูบ เพียงแค่ริมฝีปากแตะกันเสียงดูดดึงก็ดังขึ้น สัมผัสอ่อนหวานดำเนินไปยาวนานกว่าที่ตั้งใจเพราะหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์
“พอเลย เดี๋ยวก็เลยเถิด”
มือบางดันอกปินเอาไว้นิดๆ เบรกจูบที่กำลังจะนำพาอารมณ์บางอย่างไปไกลให้หยุดอยู่เพียงเท่านี้
“แล้วเลยเถิดไม่ได้เหรอ”
เสียงเอ่ยถามเจือความเว้าวอน ดวงตาเรียวรีจับจ้องมองปากสีสดที่ฉ่ำไปด้วยน้ำสีใสจากตัวเองโดยไม่วางตา
“ก็ได้อยู่แล้ว แต่อยากให้พักผ่อนมากกว่า”
ประโยคนั้นทำให้ปินถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะดึงสายตาให้เลื่อนขึ้นไปสบกับคนพูด
“นี่ไง ผมพักอยู่”
“นอนให้เยอะๆ นอนชดเชยช่วงเวลาที่จะไม่ได้นอน”
“ฝุ่นพูดซะผมเห็นภาพ” ปินทำหน้าขยาดพร้อมทั้งเอนตัวกลับมานั่งหลังตรง จากนั้นจึงทิ้งน้ำหนักไปยังพนักโซฟาด้านหลังอย่างหมดแรง
แค่พูดเรื่องงานก็เหนื่อยขึ้นมาทันใด
“ก็มันจริง เวลาทำงานได้นอนวันละกี่ชั่วโมงกัน...ดูแลตัวเองให้มากๆ ใช้ร่างกายหนักขนาดนี้สักวันจะป่วยเอา”
“ครับ แม่ครับ จะนอนแล้วครับ”
ถ้อยคำกึ่งประชดประชันนั้นได้รับสายตาเขียวปั๊ดตอบกลับ ฝุ่นมองแรงเสียจนคนพูดไม่อาจควบคุมความขันของตัวเองเอาไว้ได้
“ฮ่ะๆ เดี๋ยวผมเอาไอแพดไปเก็บแล้วเอาผ้าห่มกับหมอนออกมาปูนอนดีกว่า อยากนอนบนพื้น จะได้ดูทีวีไปด้วย”
การแกล้งคนร่างเล็กถูกหยุดไว้เพียงเท่านั้นก่อนปินจะเอ่ยไปอีกเรื่องพลางดึงตัวออกจากพนักโซฟาแล้วหยิบไอแพดมาไว้ในมือ
“เอาไอแพดไปเก็บเถอะ เดี๋ยวไปเอาผ้าห่มกับหมอนมาให้”
ไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ ปินรับคำด้วยการพยักหน้าจากนั้นจึงหยัดกายขึ้น ฉวยโอกาสที่อีกคนเผลอก้มลงไปหอมแก้มนิ่มเร็วๆ แล้วเดินไปทางห้องทำงานโดยมีเสียงบ่นดังตามหลังมาให้ได้ยกยิ้ม
“อื้อ แบบนี้จะเอาหมอนข้างมาทำไม” ฝุ่นส่งเสียงในลำคอพร้อมทั้งดิ้นน้อยๆ ทว่าแรงรัดรอบตัวก็ไม่ได้คลายออกแม้แต่นิดเดียว
“นั่นสิ มีฝุ่นหมอนข้างก็ไม่จำเป็นแล้ว”
คนที่นอนกอดหมอนข้างประจำกายเอ่ยตอบท่าทีสบายๆ สวนทางกับคนถูกกอดที่อึดอัดจนแก้มแดงเรื่อ
“ไม่เห็นต้องกอดแน่นขนาดนี้ หายใจไม่ออก”
“อ้าว อย่างนี้ต้องผายปอด”
ใบหน้าที่ตั้งท่าจะจู่โจมเข้ามาทำให้ฝุ่นรีบมุดหลบเป็นพัลวันพร้อมทั้งส่งเสียงโวยวายไม่หยุด
“หยุดนะปิน ถ้าไม่เลิกแกล้งจะงดจูบหนึ่งอาทิตย์”
กึก
“โอเคๆ บทลงโทษฝุ่นนี่โหดชะมัด” เพราะรู้ถึงความเด็ดขาดของอีกคนดีการแกล้งจึงชะงักราวกับถูกกดปุ่มหยุด
ปินคลายอ้อมแขนออกเหลือเป็นเพียงกอดหลวมๆ ให้ฝุ่นได้มีพื้นที่ในการหายใจมากขึ้น
จริงอยู่ที่อีกคนช่างเอาใจทั้งด้วยหน้าที่และนิสัยส่วนตัว แต่หากฝุ่นได้พูดคำไหนทุกอย่างจะเป็นไปตามนั้น ไม่มีอ่อนข้อ ฉะนั้นหากไม่หยุดคงไม่ได้จูบเจ้าตัวเป็นอาทิตย์จริงๆ
แบบนั้นได้ใจขาดตาย
“ก็ชอบแกล้งกันนัก” ฝุ่นบ่นทั้งยังหอบหายใจจากการดิ้นเล็กน้อย
“ฝุ่นน่าแกล้งนี่” หมาตัวใหญ่ยิ้มแฉ่ง
“น่ากงน่าแกล้งอะไรล่ะ จะนอนก็นอนจะดูหนังก็ดูหนัง ห้ามเล่นอีก เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับบบ”
ฝุ่นได้แต่ส่ายหัวด้วยความอ่อนใจแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเอียงหัวกลับไปซบอกกว้างของคนขี้แกล้งแล้วนอนดูหนังไปด้วยกันอย่างเงียบๆ
วันหยุดของซูเปอร์สตาร์ก็มีเพียงเท่านี้
--
เมื่อเพลงใหม่ถูกปล่อยออกไปตารางงานของปิน ปารินทร์ ก็หฤหรรษ์จนแทบไม่มีเวลาแม้แต่เข้าห้องน้ำ บางคราวก็ได้กลับมาพักที่ห้องชุดสุดหรูบ้างหากสถานที่ทำงานอยู่ใกล้ จึงยังพอมีเวลาเห็นหน้าฝุ่นให้ได้ชื่นใจนิดๆ แม้จะเป็นเพียงเวลาไม่กี่นาทีก็ตาม
“เดือนนี้ไม่มีวันหยุดนะ แต่พี่ก็พยายามจัดตารางให้ปินได้กลับไปพักที่ห้องบ่อยๆ นอนอยู่แต่ในรถแบบนี้คงเบื่อตาย”
“อืม” คนที่หลับตาพักอยู่ทำได้เพียงส่งเสียงรับในลำคอเพราะอ่อนล้าเกินกว่าจะพูดอะไร ขณะที่คนเป็นผู้จัดการก็ได้แต่มองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความเห็นใจ ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้
เป็นเวลากว่าเที่ยงคืนกับการเล่นดนตรีที่เพิ่งเสร็จสิ้น ปินไม่อาจกลับไปพักที่ห้องเนื่องจากสถานทำงานของพรุ่งนี้เช้าอยู่ไกลกันไม่น้อย ที่นอนในค่ำคืนนี้จึงต้องเป็นรถนอนซึ่งมีทุกอย่างครบครันอย่างที่เจ้าตัวแสนจะคุ้นเคย
“เดี๋ยวพี่ไปหาน้ำผึ้งมะนาวมาให้จิบ”
ปินได้แต่พยักหน้ารับ กระทั่งสัมผัสได้จากการเคลื่อนไหวว่าผู้จัดการลงจากรถไปแล้วจึงค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นพลางบิดขี้เกียจเพื่อคลายความเมื่อยล้าของร่างกาย
เหนื่อย...อยากคุยกับฝุ่น
รู้สึกแล้วก็ไม่รอช้าที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาอีกคน
“ทำงานเสร็จแล้วเหรอ” รอเสียงสัญญาณดังเพียงไม่กี่ครั้งปลายสายก็กดรับจนคนโทรหายกยิ้ม
“รอโทรศัพท์ผมอยู่เหรอ”
“...เปล่าสักหน่อย” เอ่ยปฏิเสธหากแต่เสียงกลับเบาลงอย่างไม่น่าเชื่อถือ
“แล้วนี่ทำไมยังไม่นอน” เพราะมีเวลาคุยไม่มากนักปินจึงไม่เซ้าซี้เรื่องนั้นต่อ
“ก็ยังไม่ง่วง”
“ทำไมยังไม่ง่วง”
“ก็ยังไม่ง่วง จะให้ว่ายังไงล่ะ” น้ำเสียงนั้นกระเง้ากระงอด บ่งบอกว่าคนถูกถามจี้เริ่มไม่พอใจ
ไม่พอใจที่กำลังจะถูกต้อนให้จนมุม
“นึกว่าที่ยังไม่ง่วงเพราะผม”
ใบหน้าของปินประดับด้วยรอยยิ้มบาง ขณะในหัวกำลังจินตนาการถึงสีหน้าของคนในสายไปพร้อมกัน
คิดถึง
“ไม่เกี่ยวสักหน่อย”
“คิดถึงผมไหม”
“...” คนถูกถามนิ่งเงียบไปหลายวินาที กระทั่งเสียงทุ้มต้องเอ่ยเรียกอีกครั้ง
“ฝุ่น”
“หืม”
“นึกว่าสายหลุดไปแล้ว”
“ยังอยู่”
“สรุปคิดถึงผมไหม” ปินถามย้ำเมื่อยังไม่ได้คำตอบ
“คำตอบก็เหมือนทุกครั้งที่ถามนั่นแหละ”
“ฝุ่นก็พูดสิ ต่อให้ไม่ต่างจากทุกครั้งผมก็ยังอยากได้ยิน”
“...คิดถึง”
เพียงเท่านั้นรอยยิ้มบางก็กลายเป็นกว้างขึ้นจนเต็มหน้า ถึงแม้จะได้ยินคำนี้ทุกครั้งที่คุยกันแต่ความอิ่มเอมก็มีมากไม่แตกต่างจากครั้งก่อนๆ เลยสักนิด
“ผมก็คิดถึงฝุ่นนะ”
ขณะที่คำตอบกลับซึ่งเป็นคำเดิมก็ยังคงทำให้ฝุ่นใจเต้นได้เหมือนทุกครั้งเช่นเดียวกัน
“วันไหนจะได้กลับห้อง” ฝุ่นถามเสียงเบา
“พรุ่งนี้ก็ได้กลับแล้ว”
“จริงเหรอ” น้ำเสียงนั้นเจือความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด
“อื้ม แต่คงจะดึกมาก ได้นอนสามสี่ชั่วโมงเหมือนเคย”
“เท่านั้นก็ยังดี”
“ฝุ่นว่ายังไงนะ” เพราะอีกคนพูดอยู่ในลำคอปินจึงถามขึ้นอีกครั้งเนื่องจากไม่ค่อยได้ยิน
“เปล่า ปินพักผ่อนเถอะ ทำงานมาทั้งวันแล้ว”
“อยากคุยกับฝุ่นมากกว่านี้ แต่จะไม่ไหวแล้ว เหนื่อยมาก”
คราวนี้ความเหนื่อยล้าถูกส่งออกมาผ่านทางน้ำเสียง มือก็นวดคลึงขมับไปในคราวเดียวกัน ยามที่ปลายสายก็รีบตอบกลับมาด้วยความเป็นห่วง
“รีบนอนนะ อย่าลืมกินวิตามินด้วย”
ฝุ่นยำเตือนด้วยเพราะรู้ว่าปินชอบละเลยการกินวิตามินบำรุงหากไม่บังคับ
“อื้อ ฝันดีนะครับ”
“ฝันดี”
เมื่อวางสายแล้วร่างสูงก็หยัดกายขึ้นเพื่อไปชำระร่างกาย หลังจากกลับออกมาก็พบเข้ากับผู้จัดการซึ่งนั่งรออยู่พร้อมแก้วน้ำเล็กๆ ในมือ
“จิบสักหน่อย คอจะได้ไม่แห้ง”
“ขอบคุณครับ” ปารินทร์รับมาพลางทรุดตัวนั่งลงบนพื้นที่สำหรับนอนในคืนนี้
“พี่เตรียมวิตามินไว้ให้แล้วนะ เสร็จแล้วอย่าลืมทานล่ะ”
ประโยคนั้นทำให้ปินชะงัก คิดถึงคนที่เพิ่งจะคุยกันแล้วก็ระบายน้อยๆ อยู่หลังขอบแก้ว
“ครับ” ผู้จัดการวัยกลางคนพยักหน้ารับก่อนจะหยัดกายขึ้นเพื่อไปพักในส่วนของตัวเอง
--
“วันนี้เรียนทำขนมอินทนิลไป แต่ทำไมทำวุ้นต่อล่ะหืม” น้ำเสียงอ่อนโยนจากครูผู้สอนทำขนมเรียกให้คนที่กำลังง่วนอยู่หน้าเตาละสายตาขึ้นไปมอง
“...” ฝุ่นเงียบ ครุ่นคิดกับการหาคำตอบอยู่ชั่วครู่
“คนรักชอบทานวุ้นเหรอจ๊ะ”
คำว่าคนรักทำให้คนถูกถามไปต่อไม่ถูก ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนไม่อาจอธิบายให้คนนอกเข้าใจได้จึงได้แต่ตอบคำถามนั้นออกไปเสียงเบา
คนรักเหรอ“...ครับ พอดีเขากลับดึก เลยอยากทำขนมที่สามารถกินแบบแช่เย็นได้”
ตอนกลับมาปินคงไม่มีเวลาแม้แต่จะทานอะไรเลยคิดว่าจะแช่เย็นไว้รอตอนเช้า เอาไว้ให้อีกคนเอาไปทานบนรถพร้อมข้าวกล่องที่จะเตรียมให้
“ที่มาเรียนทำขนมไทยเพราะเขาใช่ไหมหืม” คนสอนต่อด้วยรอยยิ้ม
“ครับ พอดีเขาชอบทานขนมไทย”
“ฝุ่นนี่น่ารักจังเลยนะ ถ้าอย่างนั้นครูไม่กวนแล้ว ใช้ครัวได้ตามสบายนะจ๊ะ เดี๋ยวครูจะไปช่วยดูแลเด็กอีกคลาสก่อน” ฝุ่นพยักหน้ารับ เมื่ออีกฝ่ายออกไปจากห้องจึงหันกลับมาสนใจการเคี้ยวผงวุ้นในหม้อต่ออย่างตั้งใจ
02.38 น.ร่างสูงที่เดินแต่ละก้าวอย่างเหนื่อยล้าถอนหายใจเฮือกยามมาหยุดอยู่หน้าห้อง เพียงเห็นบานประตูความเหนื่อยนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม ก่อนปารินทร์จะไม่รอช้าที่จะกดรหัสและสแกนนิ้วมือเพื่อเปิดประตูเข้าไป
ไฟในห้องสว่างโล่ เครื่องปรับอากาศทำงานเย็นจัด ทว่ากลับไร้เสียงของการเคลื่อนไหว สองขายาวจึงก้าวตรงไปทางห้องนั่งเล่น และภาพที่เห็นก็ทำให้เกิดรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
ฝุ่นนั่งหลับอยู่บนโซฟาโดยมีหมอนโลมาประจำตัวอยู่ในอ้อมแขนเหมือนเด็กน้อย
“อื้อ กลับมาแล้วเหรอ” เมื่อร่างกายลอยสูงขึ้นคนที่เผลอหลับไปก็รู้สึกตัวตื่นก่อนจะพบว่าตัวเองกำลังถูกอุ้มด้วยใครอีกคน
จุ๊บ
“ครับ” ปินประทับจูบลงบนริมฝีปากเล็กก่อนตอบกลับ
“ไม่ต้องอุ้มหรอก ปล่อยเถอะ”
“เดี๋ยวผมจะพาฝุ่นไปนอน” ปินไม่ฟังคำพูดนั้น โดยที่ขาก็ก้าวยาวๆ ไปทางห้องนอนด้วยจังหวะมั่นคง
“เดินเองได้”
“ฝุ่นอย่าดื้อสิ”
คำพูดพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ทำเอาถูกอุ้มถึงกับไปต่อไม่ถูก ดวงตากลมโตเลื่อนลงมองเพียงคอเสื้อ หัวใจเต้นถี่รัวขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากความคิดถึง
ประตูห้องนอนถูกเปิดด้วยความร่วมมือจากร่างเล็ก กระทั่งถึงเตียงนอนฝุ่นก็ถูกวางลงโดยที่คนอุ้มก็ทรุดตัวนั่งลงข้างกัน
“หิวหรือเปล่า” ปินส่ายหน้าตอบคนที่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “เดี๋ยวอาบน้ำให้”
ข้อเสนอนั้นคงถูกตอบรับในทันใดหากเป็นเวลาปกติ แต่นี่เป็นเวลาเกือบจะตีสาม อีกทั้งพรุ่งนี้ยังมีงานแต่เช้าปินจึงทำได้เพียงปฏิเสธ
“กลัวว่าจะไม่แค่อาบน้ำ ฝุ่นนอนเถอะ เดี๋ยวผมจัดการตัวเองแป๊บเดียว”
“แต่ว่า...” คำแย้งนั้นถูกดักทางด้วยจูบอ่อนหวานที่ทาบทับลงมา การกระทำซึ่งบ่งบอกชัดว่าปินไม่ต้องการให้พูดอะไรทำให้ฝุ่นได้แต่ลอบถอนหายใจแล้วตอบสนองจูบนี้กลับแทนการดูแลเรื่องอาบน้ำ
“ผมขออาบน้ำไม่นาน”
สัมผัสวาบหวามผละออกจากกันจนเกิดเสียงดังจุ๊บตามด้วยคำพูดของปิน จากนั้นร่างสูงจึงหยัดกายขึ้นแล้วสาวเท้าไปทางห้องน้ำเร็วๆ เนื่องจากพลังงานใกล้จะหมดลงทุกที
ฝุ่นมองตามหมาที่มีสภาพอ่อนล้าไปด้วยความเป็นห่วง แม้ความรู้สึกง่วงจะยังมีอยู่ทว่าก็ไม่อาจข่มตาลงได้หากปินไม่ได้เอนตัวลงเคียงกัน
เวลาหกโมงเช้านาฬิกาประจำกายก็เขย่าตัวปลุกเบาๆ ให้คนขี้เกียจตื่นรู้สึกตัว แขนยาวดึงร่างเล็กลงมากอด นิ่งงันได้เพียงห้านาทีเสียงเรียกก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ปิน เดี๋ยวสายนะ”
“อื้อ เหนื่อยจัง”
ฝุ่นได้แต่ทอดมองคนที่กอดตัวเองอยู่ด้วยความเห็นใจ หากแต่เป็นเพราะหน้าที่ที่ปินไม่อาจเลี่ยงจึงไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
“ค่อยไปหลับต่อบนรถนะ ตอนนี้ต้องตื่นแล้ว”
มือนิ่มไล้ไปตามกรอบหน้าแกร่งแผ่วเบาพร้อมทั้งเสยผมยุ่งเหยิงของคนที่ยังไม่ตื่นไปทางด้านหลัง
“อือ” เสียงตอบรับอย่างเหนื่อยหน่ายดังขึ้น ก่อนแทนแขนที่รัดแน่นจะคลายออกให้ฝุ่นได้ขยับตัวขึ้นมานั่ง ไม่นานนักปารินทร์ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งตาม
“จูบหน่อย” เด็กงอแงร้องขอทั้งที่ตายังเปิดลืมได้ไม่เต็มที่และฝุ่นก็แสนเต็มใจให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายร้องขอ
“มีพลังขึ้นบ้างหรือยัง” ร่างเล็กเอ่ยถามยามผละริมฝีปากออกห่าง
“นิดหน่อย”
เสียงถอนหายใจดังเฮือกมาพร้อมกับการขยับตัวลงจากเตียง ปินยืนจูนสติตัวเองอยู่ชั่วครู่กระทั่งอีกคนก้าวลงมายืนข้างกันแล้วสอดมือเข้าหาจึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ยังไม่ทันได้เอ่ยถามแรงรั้งจากคนข้างตัวก็ทำให้ต้องก้าวตาม สภาพคล้ายกับเด็กถูกพ่อแม่จูงพาไปที่ไหนสักแห่งเพราะกลัวหลง
ซึ่งสถานที่ที่ฝุ่นพาไปก็คือห้องน้ำนั่นเอง
“รีบอาบน้ำนะ เดี๋ยวเจ็ดโมงพี่หวานจะมารับ”
“อืม”
“วันนี้มีวุ้นเหมียวด้วย” ดวงตาเรียวรีเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อหลังจากทานข้าวเสร็จกล่องขนมก็ถูกหยิบมาวางลงตรงหน้า
เพราะปินคิดว่าจะไปนอนต่อบนรถข้าวกล่องของฝุ่นจึงถูกกินตั้งแต่อยู่ห้อง
“เอาไว้ทานบนรถนะ คนละกล่องกับพี่หวาน”
“ผมจะกินคนเดียวหมดเลย”
“อย่าขี้เหนียว” คนถูกว่าหัวเราะร่วน อยากหยิบขนมที่คนตรงหน้าทำให้มากินเสียเดี๋ยวนี้ทว่าก็ไม่มีเวลามากพอจะทำอย่างนั้น
“ผมต้องไปแล้ว” โทรศัพท์ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะสั่นครืดคราดบอกให้รู้ว่าเวลาระหว่างกันได้หมดลง
“อื้อ” ฝุ่นรับคำพร้อมทั้งถือกระเป๋าและถุงกล่องขนมไปส่งอีกคนที่หน้าประตู “ดูแลตัวเองด้วยนะ”
“ฝุ่นก็เหมือนกันนะ”
พูดจบก็โน้มตัวลงไปจูบหน้าผากเนียนทิ้งท้าย ก่อนจะรับของทั้งหมดมาไว้ในมือแล้วเดินออกจากห้องพร้อมรอยยิ้ม
--
ระหว่างคนที่ตัวเองดูแลไม่อยู่ฝุ่นก็สามารถทำทุกอย่างได้ตามที่อยากทำ โดยหนึ่งในสิ่งที่ควรจะทำอยู่เสมอก็คือการดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย
ห้องฟิตเนสส่วนกลางซึ่งมีไว้สำหรับ
พนักงานนั้นใหญ่โตและครบวงจร ด้วยเพราะแต่ละห้องต่างมีห้องออกกำลังกายส่วนตัวที่นี่จึงไม่ค่อยมีผู้คนนัก ฝุ่นเลยชอบนัดเจอ
เพื่อนเพื่อคลายความเบื่อจากการไม่มีอะไรทำอยู่บ่อยครั้ง
“คิดถึงจัง ไม่ได้เจอฝุ่นมาสักพักเลย”
ประโยคทักทายดังขึ้นเมื่อร่างเล็กในชุดออกกำลังกายเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“ใครกันล่ะที่ไม่ว่าง” คนไม่ว่างได้แต่ยิ้มแหย จากนั้นจึงทรุดตัวนั่งลงข้างกัน
“ก็ช่วงนี้คนของเราว่าง เลยไม่ค่อยมีเวลาได้เจอฝุ่นไง” คนหน้าหวานพูดเสียงอ้อมแอ้ม แก้มเนียนป่องทั้งสองข้างแดงเรื่อตามประสาคนขาวจัดที่ผิวขึ้นสีได้ง่าย
บลูคือคนซึงมีหน้าที่แบบเดียวกันและถูกฝึกมาด้วยกันจึงมีความสนิทสนมมาตั้งแต่ตอนนั้นกระทั่งถึงตอนนี้ หากให้ฝุ่นอธิบายถึงคนที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนก็คงต้องบอกว่าอีกฝ่ายมีความน่ารักอยู่มาก ทั้งหน้าตาและนิสัยที่แม้แต่คนแบบเดียวกันยังอดเอ็นดูไม่ได้
“แต่วันนี้ว่างใช่ไหม”
“อื้อ ว่างจนถึงวันเสาร์เลย”
“ดีแล้วล่ะ ออกกำลังกายเสร็จจะได้ไปนั่งเล่นที่ร้านกาแฟด้วยกัน”
นอกจากจะมีฟิตเนสแล้วยังมีร้านกาแฟเล็กๆ อยู่ในตึกนี้ เรียกได้ว่าที่นี่มีทุกอย่างครบครันโดยไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอก
“เอาสิ ว่าแต่ฝุ่นเถอะ ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ไม่เป็นยังไง เรื่อยๆ” ได้ยินคำตอบแล้วคนฟังก็ยิ้มรับอย่างสดใส
สดใสจนทำให้คนที่อยู่ใกล้อยากยิ้มตาม
“ดีจัง”
“บลูก็คงดีเหมือนกันสิ หน้าตาสดใสเชียว”
คำพูดดูไม่มีอะไร หากแต่ดวงตาของฝุ่นทอความล้อเลียนเล็กๆ ให้คนถูกมองเม้มปากเข้าหากันด้วยความขัดเขิน
“ก็นิดหน่อย ช่วงนี้เขาว่างเลยได้ดูแลบ่อยๆ น่ะ”
ฝุ่นยิ้มตามท่าทีของเพื่อนแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอ่ยเตือนอีกฝ่ายสักเล็กน้อย
“บลู...”
“หืม”
“อย่าแสดงออกให้มากล่ะ อย่าลืมว่าเราทำให้เขารู้ไม่ได้...โดยเฉพาะกับเบื้องบน”
เพียงเท่านั้นรอยยิ้มกว้างก็จืดจางลงกลายเป็นเพียงยิ้มบาง ทว่าคนที่รู้ว่าฝุ่นเตือนด้วยความหวังดีก็พยักหน้ารับ สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วปัดเป่าความรู้สึกขุ่นๆ ให้หายไป
“อื้ม เราไม่ลืมกฎสำคัญที่ว่าห้ามรักคนที่ตัวเองต้องดูแลได้หรอก”“...เราก็จะพยายามไม่ลืมเหมือนกัน”
คนทั้งสองต่างยิ้มด้วยความรู้สึกที่เข้าใจซึ่งกันและกัน
ห้ามไม่ได้หรอก รู้ตัวว่าห้ามกันไม่ทันแล้ว สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดจึงคือการพยายามไม่แสดงออกให้มากเกิน และไม่ให้เบื้องบนรู้อย่างเด็ดขาด
ระหว่างที่ดูแลอีกคนนี้ ถึงจะรักก็ห้ามพูดอะไรทั้งนั้น
TBC.
เซอร์ไพร์สสสสสส กลับมาแล้วค่า>////<
ยุ่งกับพี่หินนานจนใกล้จะเสร็จแล้วเลยมีเวลามาเขียนหมาปิน เย้ๆ
ใครคิดถึงกันก็คอมเมนต์มาหน่อยเร๊ว
ย้ำว่าเรื่องนี้คงไม่ม่ามากขนาดนั้น
ไม่ต้องกลัวท้องอืดกันนะคะ อิอิ
ฝากแท็ก #secrecyลับรัก
ฝากแฟนเพจ ฝากทวิตเตอร์ด้วยเนอะ
ถ้าอยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆ ต้องส่งกลจมาเยอะๆ น้า
เยิฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ