Chapter Seven.
กระจกบานใหญ่ภายในห้องแต่งตัวสะท้อนภาพร่างสูงซึ่งอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ เอียงคอไปด้านซ้าย ขณะที่ดวงตาจดจ้องรอยนั้นอย่างพึงพอใจ
ปินยกยิ้มยามไล้มือไปตามร่องรอยที่ใครบางคนทำเอาไว้แผ่วเบา
รอยของฝุ่น สัมผัสของฝุ่น ติดตรึงอยู่บนผิว...ทว่ายังไม่เท่ากับที่ตรึงอยู่ในความรู้สึก
“ยังไม่แต่งตัวอีกเหรอ เดี๋ยวสายนะ” เสียงพูดและเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาหารั้งให้ความสนใจของปารินทร์เปลี่ยนทิศทาง
“กำลังจะแต่งครับ”
“กำลังจะแต่งอะไร หน้าก็ยังไม่ได้ลงครีมบำรุง” คิ้วได้รูปขมวดมุ่นยามร่างเล็กเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนตัวสูง
“ผมแต่งตัวแป๊บเดียว”
“รีบเลย เดี๋ยวก็ต้องลงรองพื้นที่คออีก” ฝุ่นจับจ้องรอยจางๆ ที่ข้างลำคอของปินด้วยความเป็นกังวล แม้มันจะไม่ได้เด่นชัดนักแต่ก็ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้
สำหรับปิน ปารินทร์ แค่รอยยุงกัดยังเป็นประเด็น
“ความจริงผมไม่อยากปิดมันเลย” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับที่ท่อนแขนใหญ่รั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมกอด
“ได้ที่ไหนกัน”
“นั่นสินะ ได้ซะที่ไหน”
ปินถอนหายใจออกมาแผ่วเบายามสายตาที่ฝุ่นทอดมองคนตรงหน้าก็วูบไหวไปเล็กน้อย มือบางยกขึ้นมาวางแนบกับแก้มสาก สัมผัสอันแสนแผ่วเบาทำให้ปินยิ้มบางๆ รับรู้ถึงการปลอบประโลม
ระหว่างกันมีเพียงความเงียบและความรู้สึกผ่านแววตา ก่อนจะเป็นฝุ่นที่เอ่ยขึ้น
“แต่งตัวเถอะ จะได้รีบออกไปทานข้าว” สัมผัสจากมือและกายถอยห่าง บรรยากาศอึมครึมรอบตัวสลายไปด้วยบทสนทนาเรื่องอื่น
ฝุ่นหยิบชุดที่เตรียมไว้ส่งให้ปารินทร์ เจ้าตัวรับไปแล้วจากนั้นจึงเปลื้องชุดคลุมออกจากตัวเพื่อจะสวมใส่ ความเปลือยเปล่าทุกสัดส่วนทำให้คนมองเบือนสายตาไปทางอื่น ไม่ถึงกับเขินอายแต่ก็ไม่รู้จะจับจ้องทำไม
กระทั่งร่างกายแสนสมส่วนถูกปิดปังด้วยเสื้อผ้าแล้วร่างสูงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หน้ากระจกฝุ่นจึงก้าวตาม เอื้อมมือไปเปิดกระปุกครีม ตามด้วยการปาดเนื้อครีมลงบนใบหน้าที่แหงนขึ้นรอ
“สบายจัง” ปินเอ่ยขณะหลับตาพริ้มให้ร่างเล็กทาครีมให้
“ไม่เห็นว่าการทาครีมมันจะยากตรงไหน ทำไมถึงได้ขี้เกียจนัก” หากไม่ทาให้ก็ต้องคอยกำชับ ไม่อย่างนั้นปารินทร์จะเนียนไม่ทา ไม่ดูแลผิวหน้าตัวเองอะไรทั้งนั้น
“ยาก เหนอะหนะไปหมด ผมไม่ชอบเลย”
“ทีทาให้ทำไมสบาย”
“เพราะเป็นฝุ่นไงครับ” ดวงตาเรียวเปิดลืมขึ้นหนึ่งข้างยามริมฝีปากคลี่ยิ้ม
“ไม่ต้องมาพูด”
“ไม่ทากันแดดไม่ได้เหรอ ครีมนี่ก็สองตัวแล้วนะ” ปินรีบท้วงเมื่อเห็นว่าอีกคนหยิบหลอดครีมกันแดดที่เกลียดแสนเกลียดขึ้นมา
มันเหนียวจะตาย!
“ไม่ได้ ครีมกันแดดนี่สำคัญมาก บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ทาทุกวัน”
“มันเหนียวอะ ผมไม่ชอบ”
“เหนียวก็ต้องทน”
แล้วเนื้อครีมสีขาวก็ถูกป้ายลงบนใบหน้าให้ปินทำหน้าเหยเก ถึงคนทาจะเป็นฝุ่นแต่คราวนี้ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความไม่ชอบนั้นลงได้
“โอเค เสร็จแล้ว” ลงแป้งเด็กแบบใช้แปรงปัดผ่านใบหน้าหล่อเหลาอีกเพียงนิดก็เป็นอันว่าเสร็จสิ้น “เอียงคอหน่อย”
ฝุ่นบอกอีกคนยามมือกำลังเขย่าขวดรองพื้นของปินที่นานๆ ทีจะได้ใช้ไปด้วย
เป็นดารานักร้องก็แบบนี้ ต้องมีเมคอัพติดห้องไว้บ้าง
“ถ้าเหงื่อออกมันจะหลุดไหม” ปินถามขึ้นด้วยความสงสัยขณะนิ้วเล็กกำลังแท็บรองพื้นกลบรอยนั้นเบาๆ
“เดี๋ยวจะลงให้หลายๆ ชั้น คงไม่หลุดง่าย แค่อย่าเอามือถูก็พอ”
“จริงๆ มันก็ไม่ได้เห็นชัดขนาดนั้น ฝุ่นทำไม่แรง เหมือนรอยแมลงกัดมากกว่า”
“ยังไงก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน ถ้าพี่หวานรู้คงโดนไม่น้อย” ประโยคหลังถูกเอ่ยเสียงเบา
“ไม่เป็นไรหรอก ฝุ่นอย่ากังวลไปเลย รอยนี่วันสองวันก็จางแล้ว” มือหนาวางแนบกับเอวบางทั้งสองข้างแล้วรั้งคนที่เป็นกังวลเข้าหาตัว
“ต่อไปจะไม่ทำแล้ว” ฝุ่นเลื่อนสายตามาสบยามมือก็กดรองพื้นย้ำๆ ไปพร้อมกัน
“ต้องทำสิ แค่เปลี่ยนเป็นที่อื่นก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะ” คนชอบให้ทำพยายามเกลี้ยกล่อมก่อนจะได้รับสายตาเอือมระอากลับมา โดยที่ปารินทร์ก็เอารอยยิ้มเข้าสู้
แค่เปลี่ยนเป็นที่ที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้เท่านั้น ไม่ยากเลย
“ปวดคอเหรอ”
“เปล่าครับ ทำไมเหรอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นยามดวงตาที่เหม่อลอยออกนอกรถเบือนกลับมามองผู้จัดการส่วนตัวซึ่งนั่งอยู่เบาะข้างๆ มือที่แตะอยู่คอตัวเองถูกเลื่อนลงมาวางบนตัก
“ก็เห็นยกมือขึ้นลูบคอบ่อยๆ”
“ผมไม่ได้เป็นอะไร” ปินตอบพร้อมรอยยิ้ม ทว่าในความคิดกลับนึกถึงที่มาของรอยนี้ไม่หยุด
“ว่าแต่คิดเรื่องสัญญาของฝุ่นหรือยัง” คนที่กำลังจมอยู่กับความคิดหลุดออกจากภวังค์หนึ่งไปยังภวังค์หนึ่ง
สัญญาของฝุ่น...
“คิดแล้วครับ”
“คุณกรณ์เขาไม่อยากให้ต่อสัญญา คงกลัวว่าเราจะผูกพันกันมากกว่านี้”
“แล้วพี่หวานว่าไงครับ”
“พี่เห็นด้วย” --
เช้าวันหยุดปารินทร์ตื่นขึ้นมาด้วยความสดใส พลังงานถูกเติมจนเต็มหลอด ต่างจากร่างเล็กที่เป็นฝ่ายถ่ายเทพลังงานมาให้ซึ่งนอนหมดเรี่ยวแรงโดยยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น แขนและขากอดก่ายหมอนข้างพร้อมเอียงใบหน้าซุกซบ ผ้าห่มผืนใหญ่ปิดหน้าเล็กให้เห็นเพียงเสี้ยว แต่ถึงอย่างนั้นความน่ารักก็ยังฉายชัดในสายตาคนมอง
จะว่าอวยก็ใช่
ปินหัวเราะกับตัวเองพร้อมทั้งเกลี่ยปลายนิ้วไปตามแก้มเนียนเบาๆ
“อือ” ทว่าสัมผัสยุกยิกนั้นก็ยังทำให้คนหลับรู้สึกตัว นิ้วแกร่งจึงถูกดึงกลับ แต่เหมือนจะไม่ทันการณ์เมื่อเปลือกตาสีอ่อนขยับเปิดขึ้น
“ขอโทษครับ ผมทำฝุ่นตื่นเหรอ”
คนเพิ่งตื่นกะพริบตาเพื่อปรับการมองเห็น ความง่วงงุนที่มีสร้างความยากลำบากให้จนต้องหลับตาลงอีกครั้ง
ปินที่เห็นท่าทางนั้นจึงขยับเข้าไปกอด ลูบไล้แผ่นหลังบางภายใต้ผ้าห่มเป็นการกล่อมนอน
“นอนต่อนะ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกยามร่างเล็กก็ซุกกายเข้าหาแล้วแน่นิ่งไปอีกครั้ง
ร่างหนาที่ส่วนบนเปลือยเปล่าเต็มใจอย่างยิ่งกับการจะนอนกอดอีกคนอยู่อย่างนี้แม้ตัวเองจะตื่นแล้ว กระทั่งผ่านไปสองชั่วโมงฝุ่นก็นอนเต็มอิ่ม ตื่นขึ้นมาได้แบบไม่มีอาการงัวเงียเช่นก่อนหน้า
“วันนี้เราจะทานอะไรกันดี” ปินเอ่ยถามคนข้างตัวหลังจากบ้วนฟองออกจากปากแล้วเรียบร้อย
“ปินอยากทานอะไร สั่งอาหารทะเลมากินดีไหม”
“ก็ดีนะ ไม่ได้กินอะไรจี๊ดจ๊าดนานแล้ว”
“งั้นก็รีบอาบน้ำ”
“ครับ~” หมาตัวโตรับคำพร้อมรอยยิ้ม ถึงจะรับปากแล้วแต่ด้วยนิสัยก็ยังอดแกล้งฝุ่นไม่ได้จึงใช้เวลาอาบน้ำนานไม่น้อย
การสั่งอาหารจากข้างนอกหลักการคือให้นำมาส่งที่ล็อบบี้แล้วพนักงานจะนำมาส่งบนห้องต่อ โดยชื่อที่สั่งจะใช้ชื่อปลอม หากเป็นการเก็บเงินปลายทางผู้ที่สั่งจะต้องโทรลงไปแจ้ง จากนั้นพนักงานจะจ่ายเงินให้ก่อนเพื่อป้องกันคนภายนอกรับรู้และเห็นหน้าของผู้ที่อาศัย
“ขอบคุณครับ” ฝุ่นกล่าวขอบคุณคนที่นำอาหารมาส่งถึงในห้องพร้อมทั้งให้ทิปอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะปิดประตูลง
“น่ากินมาก ท้องผมร้องเลย” เสียงทุ้มกล่าวด้วยความตื่นเต้นยามกวาดตามองอาหารบนโต๊ะหน้าโซฟาทีละอย่าง
ปินนั่งอยู่กับพื้น เป็นท่าทางที่ชอบนักหนาเพราะรู้สึกสบายกว่านั่งทานบนโต๊ะอาหาร
“หิวก็กินสิ”
“ผมรอฝุ่น” ร่างบางเดินมานั่งลงฝั่งตรงข้าม ได้เห็นอย่างนั้นปินจึงเริ่มลงมือทานข้าว
Rrrrr
ทว่ายังไม่ทันที่ข้าวจะเข้าปากเสียงโทรศัพท์ของฝุ่นที่วางไว้บนโซฟากลับดังขึ้น ปินทำหน้ามีคำถาม ยามที่ฝุ่นเอื้อมมือไปหยิบแล้วหยัดกายขึ้น
“กินก่อนเลยนะ” ดวงตาเรียวมองตามอีกคนไปขณะคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน
ไม่บ่อยนักที่โทรศัพท์ของฝุ่นจะมีสายเข้า และทุกครั้งก็มักดูมีเรื่องบางอย่าง เมื่อถามก็จะได้คำตอบว่าไม่มีอะไรไปเสียทุกครั้ง
ปึก
“ฝุ่น” ภาพโทรศัพท์ที่หลุดจากมือเล็กแล้วหล่นลงบนพื้นทำให้ปินรีบวางช้อนลง จากนั้นจึงรีบลุกขึ้นเดินไปหา ฝ่ามือใหญ่แตะลงบนไหล่เล็ก พอได้สัมผัสจึงรู้ว่าร่างกายฝุ่นสั่นแค่ไหน
“ฝุ่น เป็นอะไรหรือเปล่า” ปินหันหน้าไปมองก่อนจะพบว่ามีน้ำตาหยดลงบนแก้มเนียน “ฝุ่น! เป็นอะไร บอกผมสิ”
เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความร้อนรน รั้งร่างเล็กให้หันมาหา ถึงตอนนี้ฝุ่นถึงได้เริ่มมีสติ
“ปะ ปิน” เรียกชื่อคนตรงหน้าเสียงสั่น ความอ่อนแอที่มีพาให้กายทรุดจนต้องทิ้งตัวเข้าหาอ้อมกอดแกร่ง
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ทุกอย่างจะต้องโอเค”
แม้ไม่รู้ว่าคนในอ้อมกอดกำลังเจอกับเรื่องอะไรแต่ปารินทร์ก็เอ่ยปลอบไว้ก่อน มือใหญ่ลูบแผ่นหลังเล็ก สร้างความอุ่นใจให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้
“ฮึก” มีเพียงเสียงสะอื้นที่ตอบกลับมา
น้ำตาของฝุ่นยังคงรินไหลไม่ขาดสาย สองแขนรัดเอวสอบแน่น ใบหน้าซบกับอกกว้างราวกับเป็นที่พึ่ง นานหลายนาทีกว่าแรงสะอื้นไหวนั้นจะคลายลง
“ขะ ขอออกไปข้างนอกได้ไหม” ใบหน้าที่เปรอะด้วยน้ำตาผละออก คำร้องของถูกเอ่ยเสียงสั่น
ด้วยหน้าที่ของตัวเอง เวลาที่ปินมีจึงถือว่าเป็นเวลาทำงาน การจะออกไปข้างนอกดูเป็นการเอาเปรียบ ทว่าปินกลับไม่คิดอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ให้ผมไปด้วยไหม” ความอุ่นวาบแล่นเข้ามาในอกเมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่ได้คาดคิด แต่ถึงอย่างนั้นฝุ่นก็รีบส่ายหน้า
“ไม่ได้” เป็นครั้งแรกที่ปินรู้สึกว่าจุดที่ยืนอยู่มันน่าอึดอัด...
“ถ้าอย่างนั้นฝุ่นก็ตอบไลน์ผมบ้างนะ คอยบอกกันเป็นระยะว่าเป็นยังไง” ใบหน้าเล็กกดลงรับ “แล้ว...จะบอกผมได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
ความวูบไหวในแววตาและท่าทางนิ่งเงียบทำให้คนถามรู้ทันทีว่าอีกคนไม่สะดวกใจ
มันเป็นเรื่องส่วนตัวสินะ เรื่องส่วนตัวที่เขาไม่มีสิทธิ์รับรู้
โลกส่วนหนึ่งของฝุ่นที่ไม่มีทางได้เข้าไป...
“ถ้าฝุ่นไม่สะดวกจะพูดก็ไม่เป็นไร ว่าแต่รีบมากไหม กินข้าวสักสองสามคำก่อนไปได้หรือเปล่า” เวลาล่วงเลยมาจนเที่ยงกว่า ด้วยคิดว่าหลังจากนี้ฝุ่นคงไม่ยอมแตะอาหารจึงอยากให้รองท้องสักหน่อยก่อนไป
“แต่...”
“ทานสักหน่อยเถอะนะ ถือว่าผมขอ” ฝุ่นพูดไม่ออกเมื่อถูกเว้าวอนขอ สุดท้ายก็ทำได้เพียงพยักหน้าตกลง
ปินพาคนร่างเล็กกลับมานั่งที่เดิมพร้อมทั้งตักเนื้อปูและกุ้งลงใส่ให้ในจาน ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบช้อนแล้วตักอาหารป้อนให้จนถึงปาก
ฝุ่นชะงักไปเล็กน้อย แต่ด้วยเวลาที่เร่งรีบจึงไม่ว่าอะไรแล้วอ้าปากรับ ทานไปได้เพียงสามคำก็ส่งสัญญาณบอกว่าไม่ไหวโดยที่ปินเองก็ไม่คิดบังคับมากไปกว่านั้น
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกผมนะ” ปินเอ่ยย้ำก่อนฝุ่นจะออกจากห้อง
“อืม” เมื่ออีกคนรับคำร่างสูงก็ดึงคนอายุมากกว่าเข้าหาในอ้อมกอด กดริมฝีปากลงตรงข้างขมับ
“ผมอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรฝุ่นบอกผมได้เสมอ”
“ขอบคุณนะ” ฝุ่นซบหน้าหน้าลงกับไหล่กว้าง เปลือกตาปิดลงชั่วครู่ จากนั้นจึงผละออก
“ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี”
สัมผัสหนักแน่นกดลงบนหน้าผากเนียนทิ้งท้าย สองสายตามองสบกัน ต่อมาฝุ่นก็หมุนตัวกลับไปเปิดประตูแล้วก้าวออกจากห้องไป โดยมีสายตาแห่งความเป็นห่วงมองตามจนลับสายตา
[45 %]
--
“คนไข้เริ่มมีอาการไม่ตอบสนอง หัวใจเต้นอ่อนลง เราพยายามกันอย่างเต็มแล้วแต่เหมือนคนไข้จะอยากพักแล้วนะ”
“...” ถ้อยคำที่ได้ยืนจากหมอเรียกน้ำตาที่ไหลลงให้ร่วงพรูกว่าเดิม กระนั้นฝุ่นก็ไม่มีอาการสะอึกสะอื้น ระยะทางที่มาถึงจากคอนโดพอจะทำให้มีเวลาให้คิดและตั้งสติ
“หมออยากให้ฝุ่นเตรียมใจ ดินเขาอยากพักแล้ว ยื้ออย่างถึงที่สุดก็คงจะไม่เกินคืนนี้”
“มันไม่มีทางอื่นแล้วใช่ไหมครับ” เสียงที่เอ่ยถามแทบมีเพียงลม และคำตอบที่ได้รับก็คือการส่ายหน้าช้าๆ จากหมอที่ขึ้นชื่อว่าเก่งที่สุดทางด้านนี้
“ผมอยากอยู่กับน้อง...จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้าย”
“ได้สิ”
คุณหมอระบายยิ้มอย่างพยายามสร้างกำลังใจให้ญาติคนไข้ ก่อนฝุ่นจะพาร่างกายอันแสนอ่อนแรงไปเปลี่ยนชุดแล้วเดินเข้าห้องไอซียูไปนั่งอยู่ข้างเตียง
เตียงที่บนนั้นมีร่างของน้องชายตัวเองนอนอยู่ น้องที่เป็นญาติคนเดียวในชีวิต
ดินอายุน้อยกว่าสามปี หลังจากพ่อแม่เสียเราก็อยู่ด้วยกันสองพี่น้องมาอย่างยากลำบาก ต่างคนต่างทำงานอย่างหนัก กระทั่งวันหนึ่งระหว่างปั่นจักรยานไปส่งนมตามบ้านดินก็เกิดอุบัติเหตุถูกรถประสานงามาชน สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนักจนกลายเป็นเจ้าชายนิทรา อาการค่อยๆ ทรุดลงเพราะภาวะแทรกซ้อน แต่ถึงอย่างนั้นฝุ่นก็ยังยื้อชีวิตน้องอย่างสุดความสามารถ ทำทุกอย่างตลอดสามปีเพื่อให้ดินยังมีลมหายใจอยู่
ขอแค่ยังมีลมหายใจเท่านั้น...
แต่สุดท้ายน้องของเขาก็คงเหนื่อยเต็มทน ถึงเวลาที่แม้แต่เครื่องช่วยหายใจก็ไม่อาจยื้อเอาไว้ได้
“พี่รักดินนะ ขอบคุณที่เกิดมาเป็นน้องชายของพี่” เอ่ยพูดกับคนที่อยู่ได้ด้วยสายระโยงรยางค์ทั้งน้ำตา
น้องชายที่น่ารักของเขา...
--
แกร๊ก
“ฝุ่น”
ปินยืนรออยู่หน้าประตูด้วยความรีบร้อนเมื่อรออีกคนกระทั่งถึงตอนเช้า และสภาพที่ได้เห็นก็ทำให้เขาต้องรีบเข้าไปพยุงฝุ่นเอาไว้
“มัน...ไม่มีปาฏิหาริย์” ฝุ่นหลับตาลงยามร่างกายถูกพยุงไว้ด้วยคนร่างสูง
ดินจากไปแล้ว ไม่มีน้องชายเขาอยู่บนโลกใบนี้แล้ว
“ไม่เป็นไรนะไม่เป็นไร” ขณะที่ถึงปินจะไม่รู้เรื่องอะไรแต่ก็ปลอบประโลมคนอ่อนแอเท่าที่ตัวเองจะสามารถ
ฝุ่นสภาพแย่กว่าตอนออกไปมาก ใบหน้าอิดโรย ดวงตาดำคล้ำ ท่าทางอ่อนแรง เห็นแล้วใจก็เจ็บปวดไปด้วยกัน
ไม่อยากเห็นฝุ่นเป็นอย่างนี้เลย
“ฮึก” เสียงสะอื้นไห้ดังอยู่ข้างใน น้ำตารินไหลราวกับจะขาดใจ มือที่กำเสื้อของปินกำแน่นจนสั่น และเมื่อความเข้มแข็งที่พยายามรักษาพังทลายลงฝุ่นก็ปล่อยโฮออกมาทั้งหมด
ไม่เหลือใครแล้ว...นอกจากปินก็จะไม่เหลือใครอีกแล้ว
ร่างเล็กที่ร้องไห้จนหลับไปถูกอุ้มมาวางลงบนเตียง ใบหน้าที่เลอะด้วยคราบน้ำตาถูกเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น ดวงตาเรียวรีทอดมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ผมอยู่ตรงนี้นะคนดี” ปินกระซิบเสียงแผ่วยามกดปากแนบลงบนหน้าผากเล็กแผ่วเบา
--
วันต่อมา“ผมกลับมาแล้ว”
ประโยคเอ่ยบอกมาพร้อมกับท่อนแขนใหญ่ที่สอดรัดรอบเอวบาง คางแกร่งเกยอยู่บนไหล่ คนที่เหม่อมองไปยังท้องฟ้าอันมืดมิดด้านอกจึงเพิ่งรู้สึกตัว
“กลับมาแล้วเหรอ”
“อืม” ปินรับคำขณะพยายามทำตัวร่าเริงให้อีกคนไม่จมอยู่กับความเศร้าเกินไปนัก
เมื่อวานฝุ่นออกไปข้างนอกทั้งวัน ก่อนตอนดึกจะกลับมาด้วยสภาพที่ไม่สู้ดีนัก มาถึงวันนี้ก็ยังคงไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่เนื่องจากเมื่อคืนร้องไห้ตลอดทั้งคืน
“...”
“ผมหิวจังเลย มีอะไรทานหรือเปล่าหืม” ปินรีบพูดเมื่ออีกคนเหมือนจะกลับไปจมอยู่กับความคิดตัวเองเช่นเดิม และมันก็ดูเหมือนจะได้ผลเมื่อดวงตาแดงช้ำเลื่อนกลับมามองหน้ากันช้าๆ
“เดี๋ยวไปอุ่นให้นะ” ฝุ่นพูดอย่างเชื่องช้าพลางหยัดกายลุกขึ้นให้ปินต้องคลายอ้อมกอดออกแล้วเดินตาม
“วันนี้ฝุ่นทำอะไร”
“...” ไม่มีเสียงตอบรับจากคนข้างตัวเมื่อคนถูกถามเริ่มเหม่อลอยอีกครั้ง
“ฝุ่น!” คนเหม่อเกือบจะเดินชนเสา ปารินทร์จึงตะโกนเรียกพร้อมทั้งรั้งร่างเล็กให้พ้นจากตรงนั้น มือหนาทั้งสองข้างจับไหล่อีกคนเอาไว้นิ่ง
“ผมว่าฝุ่นไปนั่งดีกว่า เดี๋ยวผมหาข้าวทานเอง”
“แค่คิดอะไรเพลิน...” ฝุ่นได้แต่พูดเสียงเบา
“ผมรู้ว่าฝุ่นกำลังเศร้าแต่ฝุ่นอย่าเอาแต่เหม่อแบบนี้สิ ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้วจะแย่”
“...”
“ผมเป็นห่วงฝุ่น รู้ใช่ไหม” คนถูกเป็นห่วงมองใบหน้าของปินนิ่ง พลันน้ำตาก็ไหลมาคลอหน่วย
“อะ อื้ม”
“ฝุ่นยังมีผมอีกคน”
ปินจับมือเล็กมากุมเอาไว้ คราวนี้น้ำสีใสพรั่งพรูออกมาอย่างไม่อาจห้าม สุดท้ายฝุ่นจึงโถมกายเข้าหาคนร่างสูงทั้งตัว
“อย่าทิ้งฝุ่นนะ ฮึก อย่าทิ้งฝุ่นไป อะ อีกคน”
“ผมจะอยู่ข้างฝุ่นเสมอ” ร่างสูงทำได้เพียงปลอบโยนคนที่เพิ่งพานพบกับความสูญเสียอีกครั้ง
ความเจ็บปวดนี้ เขาจะช่วยแบ่งเบาเอาไว้เอง
--
1 สัปดาห์ผ่านไป “ฝุ่นกลับห้องหรือยัง”
“...ยัง” ปลายสายตอบเสียงเบา
“รีบกลับนะ ผมเป็นห่วง” คำว่าเป็นห่วงสร้างความอบอุ่นให้ใจอันหว่าเหว่ได้อีกครา
“อืม”
“งั้นเจอกันที่ห้องนะ”
“เดี๋ยวกลับแล้ว...จะรอ” ปินระบายยิ้มให้กับคำว่าจะรอนั้น
“ครับ”
เมื่อสายโทรศัพท์ถูกตัดไปลมหายใจหนักอึ้งก็ถูกพรูออก เส้นผมนิ่มปลิวตามลมไปด้านหลัง ก่อนฝุ่นจะเดินกลับไปซื้อปลามาปล่อยลงแม่น้ำตรงหน้าแล้วรีบกลับห้องไปรอใครบางคน
22.43 น.เสียงจากในโทรทัศน์ไม่ได้ลอยเข้าหูคนที่นั่งอยู่บนโซฟา ดวงตาคู่สวยเหม่อมองไปไกลอย่างที่ชอบเผลอตัว ยังดีที่จังหวะการก้าวเดินหนักๆ ทำให้ฝุ่นรู้สึกตัว ไม่อย่างนั้นคงโดนดุเช่นทุกครั้ง
“กลับมาแล้วเหรอ” ร่างเล็กหยัดกายขึ้นแล้วค่อยๆ เดินไปหาคนที่เพิ่งกลับห้อง
“ครับ” ปินตอบรับพร้อมรอยยิ้ม “ฝุ่นเป็นยังไง ไปวัดมาแล้วสบายใจขึ้นไหม”
ฝ่ามือใหญ่วางแนบลงบนแก้มคนตรงหน้า ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเบาๆ ยามเอ่ยถาม
“อืม” ฝุ่นรับคำ สภาพจิตใจอาจไม่ได้ดีขึ้นมากนักแต่ก็ยังดีขึ้นกว่าอาทิตย์ก่อน ความสูญเสียวูบโหวงยังคงฉายชัดในความรู้สึก ไม่มีคืนไหนไม่ร้องไห้ และมีอ้อมแขนแข็งแรงของปินที่คอยโอบกอดปลอบประโลมอยู่ทุกวัน
“วันนี้ทานข้าวกี่คำ ถึงเจ็ดอย่างที่ตกลงกันไว้หรือเปล่า” คนถูกถามพยักหน้ารับ
“กินเจ็ดคำ” ปินถอนหายใจให้กับคำตอบ
“กินเกินสักสองสามคำบ้างก็ได้” ฝุ่นส่ายหัวบ่งบอกว่าไม่สามารถ
“ลืมเอาน้ำมาให้” ร่างเล็กเบิกตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกขึ้นได้ ตั้งท่าจะหมุนตัวเดินไปเอา ทว่ามือหนารั้งเอาไว้เสียก่อน
“ไม่เป็นไร ผมไม่กระหายเลย”
“งั้นเดี๋ยวไปเตรียมน้ำให้อาบ”
“ผมอาบฝักบัวดีกว่า” คราวนี้ฝุ่นไม่มีอะไรจะพูด “ผมว่าฝุ่นไปนอนดีกว่านะ”
“ไม่ง่วง”
“ไม่ง่วงก็นอนเถอะ นอนไปนอนมาเดี๋ยวก็หลับเอง”
“แล้ว...”
“นะครับ เดี๋ยวผมอาบน้ำเสร็จจะตามไปนอนกอด” คนฟังคงรู้สึกดีกว่านี้หากไม่ได้เพิ่งพานพบกับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่
ร่างเล็กจึงทำเพียงแค่รับคำ ยอมเดินตามแรงรั้งเข้าไปทางห้องนอนโดยไม่อิดออด
“ร้องไห้ทุกคืนแล้ว วันนี้ฝุ่นอย่าร้องเลยนะ” ท่อนแขนใหญ่พาดมากอดร่างเล็กเข้าหาตัวขณะกระซิบบอกอย่างร้องขอ
“...” ฝุ่นพลิกกายกลับมาหาทั้งที่ดวงตาแดงก่ำ
“คนที่ฝุ่นคิดถึงเขาจะยังอยู่ตรงนี้ เสมอ และตลอดไป” ตรงนี้ที่ว่าถูกแตะด้วยมือหนา แม้ปินจะไม่รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังเจอกับเรื่องอะไรแต่บางคำพูดและอาการก็ทำให้เดาได้ว่าฝุ่นเพิ่งสูญเสียใครบางคนที่สำคัญไป
“ทรมาน...คิดถึงใจจะขาด” เปลือกตาสีอ่อนหลับลง ภาพของน้องชายไหลวนเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ
“วันนึงเวลาจะเยียวยาความทรมานนี้เอง ฝุ่นแค่ต้องอดทน” คนที่เคยสูญเสียคนสำคัญอย่างพ่อไปเข้าใจความรู้สึกนี้ดี
“ไม่อยากอดทนเลย”
“ฝุ่นห้ามพูดแบบนี้ ห้ามคิดอะไรบ้าๆ เด็ดขาด!” ปินตะโกนก้อง น้ำเสียงและท่าทางร้อนรนเป็นไปในทันที ความกลัวแล่นมาจับขั้วหัวใจเพราะคำพูดของอีกคน
ฝุ่นพูดเหมือน...
แม้แต่ฝุ่นเองยังแปลกใจกับปฏิกิริยาร้อนรนนั้น
“ไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตาย”
“ก็ฝุ่นพูดออกมาแบบนั้น”
“แค่บอกว่าไม่อยากอดทนไม่ได้หมายความว่าจะไม่อดทน”
“ฝุ่นสัญญานะว่าจะไม่คิดสั้น สัญญากับผม”
เป็นครั้งแรกตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ฝุ่นระบายยิ้มบางออกมาจากความรู้สึกข้างใน มือบางยกขึ้นมาแตะแก้มสากแผ่วเบา
“สัญญา” คำสัญญามาพร้อมกับสัมผัสอ่อนหวานบนกลีบปากได้รูป ลิ้นเล็กไล้อยู่บนปากอีกคนคล้ายกับจะเป็นฝ่ายปลอบโยน ก่อนความหวามไหวจะร้อนแรงขึ้นตามแรงดูดดึงของปลายลิ้น
อาทิตย์ที่ผ่านมาปินไม่แตะต้องและรบกวนกันในเรื่องแบบนั้น กระทั่งฝุ่นรู้สึกละอายที่ละเลยหน้าที่ ให้เรื่องส่วนตัวอยู่เหนือสิ่งที่ต้องทำ
“ฝุ่น ผมว่า...” ร่างสูงกำลังจะเอ่ยขัดแต่ปากก็ถูกทาบทับปิดกั้นคำที่จะพูด
เมื่อเห็นท่าทีจริงจังนี้ปินก็ยอมแพ้ ปล่อยให้ร่างบางปลุกเร้าทุกอย่างให้ตื่นเพริดพร้อมทั้งสานต่อทุกๆ สัมผัสที่ถูกเสนอมาอย่างเต็มใจ
--
“ฝุ่นโอเคหรือเปล่า ดีขึ้นบ้างไหม” มือเล็กถูกกอบกุมขณะที่บลูถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง
เขาพอจะทราบเรื่องมาบ้างจากการคุยโทรศัพท์กันทว่ายังไม่ได้เจอเพราะฝุ่นบอกว่าอยากใช้เวลาอยู่คนเดียว อีกคนเพิ่งจะตกลงรับคำชวนมาออกกำลังกายด้วยก็วันนี้
“นิดหน่อยน่ะ” คนถามถูกถามตอบเพื่อนด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน
“ถ้ามีอะไรให้เราช่วยก็บอกเลยนะ”
“ขอบใจบลูมากนะ”
“หรือว่าจะออกไปข้างนอกกันไหม ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง” บลูเสนอเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้คนของตัวเองและคนของฝุ่นไม่อยู่ในช่วงกลางวัน
“เรา...อยากไปวัด” สถานที่เดียวที่ฝุ่นนึกออกคือสถานที่ทางพุทธศาสนา ตลอดทั้งอาทิตย์ก็ไปมาแทบทุกวัน
“ได้สิ งั้นไปวัดก่อน หลังจากนั้นค่อยไปทานข้าวแล้วก็หาร้านขนมบรรยากาศดีๆ นั่งดีไหม”
ฝุ่นนิ่งคิด เห็นถึงความตั้งใจอยากทำให้รู้สึกดีขึ้นของเพื่อนแล้วก็ได้แต่พยักหน้าตกลง ทว่าก็ยังมีเรื่องสงสัย
“แล้วเรื่องออกกำลังกายล่ะ”
“เดี๋ยวค่อยออกวันหลังก็ได้ ขึ้นไปเปลี่ยนชุดกัน แล้วอีกครึ่งชั่วโมงมาเจอกันที่ล็อบบี้”
คนชวนคล้ายกับจะมีอาการตื่นเต้นกว่า ฝุ่นทำได้เพียงเดินตามแรงรั้งไปทางลิฟต์ แยกย้ายกันไปตามชั้นที่แต่ละคนอยู่จากนั้นจึงกลับมาเจอกันอีกครั้งแล้วออกเดินทางด้วยรถของบลู
(ทำไมไม่บอกฉันก่อนว่าจะออกไปข้างนอก) บลูเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ใบหน้าเศร้าสร้อยราวกับคนพูดยืนดุอยู่ตรงหน้า
“ขอโทษครับ...บลูแค่อยากพาเพื่อนมาทานข้าว”
(ฉันไม่ได้ว่าที่เธอออกไปข้างนอก แต่อยากให้บอกกันเพราะเผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้รู้)
“ต่อไปบลูสัญญาว่าจะบอกคุณก่อนทุกครั้ง”
(ครั้งนี้จะให้ฉันลงโทษไหม)
คำว่าลงโทษแปรเปลี่ยนใบหน้าที่เหงาหงอยเพราะถูกดุให้เป็นแดงซ่าน ความร้อนลามไล้ขึ้นมาตามตัว ในหัวพลันจินตนาการถึงวิธีการลงโทษที่รู้เป็นอย่างดีโดยไม่อาจห้าม
“...ครับ” แล้วก็ใจง่ายเหลือเกินที่รับคำยอมรับการลงโทษนั้นแต่โดยดี
(งั้นก็อย่ากลับดึกมากล่ะ ฉันเองก็จะรีบกลับไป...
ลงโทษเธอ)
ริมฝีปากได้รูปบิดยิ้มพึงพอใจ ดวงตาคมเป็นประกายวาววับดั่งราชสีห์ ปากการาคาแพงในมือใหญ่ถูกหมุนไปมาขณะกำลังคิดวิธีที่จะลงโทษเด็กน้อยของตัวเอง
“คะ ครับ” จังหวะคำที่ถูกเว้นจังหวะไปพาให้คนฟังสั่นไหวไปถึงเสียง
(ฉันต้องวางแล้ว แล้วเจอกัน)
“สวัสดีครับ”
สายถูกตัดไปแต่บลูยังคงคิดถึงบทสนทนาเมื่อครู่ กระทั่งนึกขึ้นได้ว่าหนีออกมาคุยโทรศัพท์นอกร้านโดยทิ้งให้ฝุ่นนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียวจึงรีบดึงสติกลับมาแล้วเดินเข้าไปในร้าน
“คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วเหรอ” ฝุ่นถามขึ้นยามเพื่อนทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“อื้ม ว่าแต่ฝุ่นยังตอบไลน์ไม่เสร็จอีกหรือไง” บลูถามกลับเมื่อเห็นว่าในมือของอีกคนยังถือโทรศัพท์เอาไว้ ระหว่างทางก็เห็นพิมพ์โต้ตอบกับใครสักคนอยู่เป็นระยะ
“เสร็จแล้วล่ะ” คนถูกถามตอบพร้อมรอยยิ้มบางเมื่อแจ้งเตือนปรากฏว่าปินส่งสติกเกอร์กลับมา
“เมื่อไหร่อาหารจะมาเสิร์ฟล่ะเนี้ย หิวจะแย่แล้ว”
“คงใกล้แล้วล่ะ” บลูมุ่ยหน้าเพราะความหิว
“ว่าแต่ได้ออกมาข้างนอกแบบนี้ฝุ่นสบายใจขึ้นบ้างไหม”
“อืม แต่ก็ยังคิดถึงอยู่ดี”
แม้จะเพิ่งแวะไปหาที่วัดก่อนมาที่นี่ทว่าความคิดถึงที่สลักอยู่ในใจก็ไม่เคยบรรเทาลงเลยแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรนะ ถ้าฝุ่นคิดถึงน้องเดี๋ยวเราพามาบ่อยๆ” ฝุ่นพยักหน้ารับด้วยความซาบซึ้งใจ
การได้เจอบลูเป็นอีกความโชคดีในชีวิตจริงๆ
“ขอบใจบลูจริงๆ นะ”
“อื้ม ไม่เป็นไรเลย...อ๊ะ เหมือนอาหารจะมาแล้ว เรามาทานให้พุงกางกันดีกว่า”
บลูมีท่าทีสดใสขึ้นอีกสามเท่าเนื่องจากพนักงานมาเสิร์ฟอาหาร พาให้คนมองระบายยิ้มตามถึงแม้บางเวลาจะเผลอแสดงความเศร้าออกมาให้คนอื่นเห็นบ้างก็ตาม
น่าเสียดายที่ไม่เคยได้พาดินมาร้านดีๆ แบบนี้เลยTBC.
ครบแล้วน้าาาา
ตอนนี้เฉลยสาเหตุของการมาทำงานนี้ของพี่ฝุ่น
แล้วก็แอบเอาคู่บลูมาตัดความเศร้าด้วย
อ่านเรื่องนี้ไม่ต้องคิดเยอะน้า
ทุกอย่างจะเป็นไปแบบไม่รุนแรงมาก
อ่านแบบแฮปปี้กันนะคะะะ
แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
ฝากแท็ก #secrecyลับรัก ด้วยฮับ