Bite & Bondแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านผ้าม่านสีขาวผืนบางเข้ามาต้องเปลือกตาบังคับให้ผมผมบอกลาห้วงนิทราออกมาอย่างเสียไม่ได้ ดวงตากลมลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะเบนสายตาไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงผนังห้อง
เที่ยงแล้วเหรอเนี่ย
ผมใช้มือสองข้างเขี่ยขี้ตาออกสลับกับบิดขี้เกียจอยู่พักใหญ่ก่อนจะเปลี่ยนค่อยๆ พยุงร่างกายโงนเงนให้ลุกขึ้นนั่งตรงได้ในอีกหลายสิบนาทีต่อมา
นอนดึกทีไรแล้วเป็นแบบนี้ทุกที
แต่ก็นะ เรื่องแบบนี้มันเลี่ยงได้ที่ไหนกันล่ะ...
ผมขยับตัวไปทางซ้ายทีขวาทีอีกสองสามครั้งเพื่อไล่อาการงัวเงีย จากนั้นจึงเริ่มดำเนินกิจวัตรประจำวันอย่างที่ควรจะเป็นจนถึงประมาณบ่ายโมง จากนั้นการทำงานของผมก็เริ่มต้นขึ้น
การทำงานที่ผมรัก การทำงานในอาชีพที่ผมใฝ่ฝันมาตลอด...
หน้าจอคอมสว่างจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้า โปรแกรมสำหรับพิมพ์งานเอกสารที่เปิดค้างเติ่งไว้ตั้งแต่เมื่อวานดูเหมือนว่าจะมีที่ว่างมากกว่าตัวหนังสือ
น่าหดหู่ใจเสียไม่มี
ผมทิ้งแผ่นหลังลงพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีหมดแรงพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ตั้งแต่เรียนจบ นี่ก็ปาเข้าไปเดือนที่สามแล้ว ทั้งที่พยายามยื่นใบสมัครไปตั้งมากมายแต่สุดท้ายก็ดูเหมือนว่าจะชวดมันเสียทุกงาน สุดท้ายก็เลยทำได้แค่พยายามปั่นต้นฉบับนิยายระหว่างรอให้บริษัทสักแห่งติดต่อมา ฝันหวานเอาไว้ว่าถ้าสามารถเขียนนิยายที่ผู้คนชื่นชอบจนสามารถขายได้มากมายก็คงจะดี
แต่ก็นะ ฝันก็คือฝันนั่นล่ะ
ถึงแม่จะเคยเปรยขึ้นเป็นทำนองว่า ‘ถ้าไม่ไหวก็กลับมาอยู่บ้านเรานะลูก’ ก็เถอะ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ดันมาพบว่า ไอ้การบากหน้ากลับไปบอกพ่อแม่ว่าที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาเรียนถึงมหาวิทยาลัยในเมืองหลวงนั้นมันช่างเสียเปล่าน่ะเป็นเรื่องยากที่สุดเท่าที่คนๆ นึงจะทำได้เลย
งานก็หาไม่ได้ เงินเก็บก็ร่อยหรอลงทุกวัน ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาทำงานพิเศษช่วยอาจารย์ที่ห้องสมุดควบคู่ไปกับการรับเงินค่าเทอมจำนวนน้อยนิดจากพ่อแม่มาด้วยก็เลยพออยู่ได้แบบเดือนชนเดือน แต่พอจบแล้ว งานพิเศษตรงนั้นก็ต้องส่งต่อให้รุ่นน้องที่ยังเรียนอยู่เพราะคุณสมบัติที่ระบุไว้ก็คือ ‘งานพิเศษสำหรับนักศึกษา’ พอไม่เป็นนักศึกษาแล้วก็เลยทำต่อไม่ได้ ไอ้ครั้นจะไปหางานพิเศษข้างนอกทำตอนนี้มันก็ท่าจะลำบาก
ก็แหม ผมนอนน้อยกว่าเก้าชั่วโมงไม่ได้นี่นา แต่พวกงานพิเศษสำหรับผู้ใหญ่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นพวกงานร้านสะดวกซื้อช่วงกลางคืน ไม่ก็งานก่อสร้างช่วงกลางคืนเท่านั้น ถ้าขืนสมัครไปเดี๋ยวเขาคงโดนไล่ออกเพราะหลับในหน้าที่อยู่ดี
เอ๊ะ แต่อันที่จริง แต่ถ้าเป็นงานพวกร้านกาแฟหรือจะเป็นพวกงานร้านอาหารก็น่าจะพอไหวอยู่นะ ถึงตำแหน่งพาร์ทไทม์สำหรับผู้ใหญ่จะน้อย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่พยายามอะไรเลย
แผ่นหลังเล็กกลับมาตั้งตรงอีกครั้งในขณะที่กรอกข้อมูลค้นหาตำแหน่งงานลงในคอมพิวเตอร์ตรงหน้า
อย่างน้อยผมก็ควรเตรียมตัวเอาไว้บ้าง เผื่อว่าสักวันหนึ่งอาจจะโดนขอให้ออกไปอยู่ที่อื่นก็ได้...
โดนขอให้ออก...งั้นเหรอ
ดวงตาของผมกวาดมองไปรอบห้องด้วยสีหน้าหม่นหมอง ภาพความทรงจำในวันเก่าย้อนคืนกลับมาในหัวคล้ายต้องการย้ำเตือนว่าสถานที่นี้ไม่ใช่ที่ของผมเลย
นั่นสินะ สาเหตุที่ทำให้ผมได้มาอยู่ที่นี่น่ะ ย้อนกลับไปคิดถึงแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน
ในตอนนั้น ผมเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีที่เพิ่งเดินทางเข้ามาในเมืองหลวงด้วยตัวคนเดียวครั้งแรก การสอบติดมหาวิทยาลัยเป็นของแปลกในหมู่บ้านเขา แปลกพอๆ กับการเดินทางเข้าไปในเมืองหลวง เท่าที่จำได้ พวกผู้คนในหมู่บ้านไม่ค่อยเดินทางถ้าไม่จำเป็น สาเหตุคงเพราะอาชีพเกษตรกรรมนั่นล่ะ เรือกสวนไร่นาเหล่านั้นจำเป็นต้องมีคนดูแลและเฝ้าระวัง หากเสียหายไปก็อาจจะหมายถึงหายนะของชีวิตและครอบครัว
พวกคนคนหนุ่มในหมู่บ้านเอง ถ้าไม่เรียนกันที่มหาวิทยาลัยในเมืองใกล้ๆ ก็เลือกที่จะกลับมาทำงานช่วยครอบครัวหลังจากจบโรงเรียนมัธยมปลายกันเป็นส่วนใหญ่ ผมก็เลยกลายเป็นแกะดำที่น่าแปลกประหลาดใจ
ผมก็เลยกลายเป็นไอ้งั่งเพราะไม่รู้สักนิดว่าการเข้ามาเรียนในเมืองใหญ่แบบนี้ต้องทำอะไรบ้าง
วันนั้น เป็นวันที่กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่าฝนจะตกหนักที่สุดในรอบเดือน รถไฟจากรัฐโอเซน บ้านเกิดของผมเข้าเทียบท่าที่ชานชาลาในเวลาเที่ยงวันตรงตามกำหนดการในตั๋วพอดิบพอดีเป๊ะ ในชุมทางรถไฟใหญ่นั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ กว่าจะออกจากสถานที่นั้นมาได้ ผมก็ใช้พลังงานไปจนแทบหมดหลอด
รสบัสที่นั่งเคลื่อนที่ผ่านสถานที่สำคัญของประเทศที่เคยเห็นแค่เพียงภาพในหนังสือมาตลอดชีวิตที่ผ่านมา ตึกสูงระฟ้าจนแทบจะขึ้นไปแตะปุยเมฆเหล่านั้นก็ดูไม่ได้เกินจริงไปจากคำพูดของคุณลุงข้างบ้านที่เคยเล่าให้ฟังเลยสักนิด รถยนต์มากมายที่สัญจรไปมา ร้านรวงต่างๆ ที่เปิดไฟตกแต่งสวยงามเตรียมรับเทศกาลเฉลิมฉลองในฤดูใบไม้ร่วง
ภาพเหล่านั้นช่างแปลกตาและผมมั่นใจยิ่งกว่ามั่นใจว่า น้อยคนในเมืองโอเซนจะเคยเห็นทิวทัศน์เหล่านี้ ยิ่งในหมู่บ้านของผมยิ่งไม่ต้องพูดถึง
สวย...สวยจนจับใจ นี่สินะ ความศิวิไลซ์ของเมืองหลวง
‘สถานีถัดไป มหาวิทยาลัยเอียนเด สถานีถัดไป มหาวิทยาลัยเอียนเด กรุณาตรวจสอบสัมภาระของท่านก่อนลงจากรสโดยสาร ขอบคุณค่ะ’
เสียงเตือนที่ดังออกมาจากลำโพงทำให้ผมต้องละสายตาจากภาพวิวด้านนอกแล้วกุลีกุจอขนย้ายสิ่งของไปยืนรอบริเวณหน้าประตูรถเพื่อเตรียมลงในป้ายถัดไป
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ รถบัสก็หยุดลงพร้อมกับประตูที่เปิดออก วินาทีที่ได้เห็นมหาวิทยาลัยด้วยสองตาของตัวเองครั้งแรก
หัวใจของผม เต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาจากอกอย่างไรอย่างนั้น
“เอ๊ะ หอพักเต็มแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ หอพักของมหาวิทยาลัยเราต้องจองผ่านระบบออนไลน์เท่านั้น ซึ่งตอนนี้ระบบก็ปิดไปแล้ว และเราไม่มีนโยบายรับนักศึกษาเข้าพักเพิ่มผ่านการวอร์คอินค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”
ทำไม...ถึงกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ
“ถ้ายังไง นักศึกษาลองไปเดินดูที่เลคทาวน์ที่ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลดูนะคะ ที่เมืองนั้นมีหอพักนักศึกษาเยอะ ตอนนี้ก็น่าจะยังพอหาห้องว่างได้อยู่บ้าง”
เลคทาวน์...เมืองเล็กๆ ริมทะเลสาบที่อยู่กับมหาลัย เมืองที่ค่าครองชีพแพงหูฉี่พอๆ กับวิวทิวทัศน์ที่สวยเกินห้ามใจนั่นน่ะเหรอ...
ไม่ไหวหรอก เงินที่มีอยู่ในกระเป๋าตอนนี้น่ะเช่าโรงแรมข้างนอกในแถบนี้นอนยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“เอ่อ ไม่ทราบว่านอกจากเลคทาวน์แล้ว พอจะมีที่อื่นอีกไหมครับ”
“ถ้าไม่ใช่เลคทาวน์เหรอคะ” เธอทำท่าครุ่นคิดก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ “ก็ต้องเป็นเมืองเฟนที่อยู่ห่างออกไปเกือบยี่สิบกิโลเลยล่ะค่ะ ฉันว่ามันไม่เหมาะหรอกนะคะ เมืองนั้นอยู่ไกลเกินไป ที่สำคัญ...”
เธอลดเสียงลงจนกลายเป็นเพียงเสียงกระซิบ
“เมืองนั้นอาชญากรรมชุกชุมเชียวค่ะ อย่าเสี่ยงดีกว่า”
สิ้นหวัง สิ้นหวังโคตรๆ
“ขอบคุณครับ”
“ยินดีค่ะ”
สุดท้ายแล้วผมก็ทำได้เพียงแค่พูดขอบคุณแล้วก็เดินจากมาเท่านั้นเอง
ผมทอดสายตามองสัมภาระมากมายที่กองอยู่ตรงทางเดินเข้าหอด้วยความสิ้นหวัง แต่เรื่องนี้จะให้ไปโทษใครอื่นก็คงไม่ได้ ถ้าขอเพียงแค่ผมหมั่นเข้าไปใช้บริการร้านอินเทอร์เน็ตในตัวเมืองถี่สักหน่อยก็คงจะรู้ข่าวเร็วกว่านี้
ช่างเถอะ รู้สึกเสียใจไปก็เท่านั้น อย่างไรเสียก็ไม่มีวันได้เข้าอยู่ในหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว สู้เอาเวลามานั่งคิดว่าจะทำยังไงให้คืนนี้ตัวเองมีที่ซุกหัวนอนดีกว่า
อา โจทย์ยากเกินไป ขอผ่านไปก่อนได้ไหมครับ...
ในขณะที่ผมกำลังนั่งถอนหายใจอยู่นั้น เสียงฟ้าร้องที่มาพร้อมกับสายลมกรรโชกที่พัดวูบผ่านหน้าไปทำให้ผมต้องรีบทำอะไรสักอย่างก่อนที่สายฝนจะสาดซัดลงมาจนสัมภาระทุกอย่างเละเทะไปหมด
แต่ว่า...จะไปไหนดีล่ะ
ให้กลับเข้าไปในสำนักงานหอพักก็คงไม่ได้ จะไปที่อื่นก็ไม่รู้ว่าควรหรือต้องไปที่ไหน
-ครืน-
แย่แล้ว แย่จริงๆ แล้วสิ ถ้าที่นี่เป็นโรงเรียนสมัยมัธยมก็แค่เอาตัวเองไปหลบในห้องสมุดจนฝนหยุดตกแล้วค่อยกลับบ้านก็ได้แท้ๆ ....เอ๊ะ...
ผมหยิบแผนที่มหาวิทยาลัยที่ปริ้นต์ติดมือไว้มากางออกพลางกวาดตามอง
ห้องสมุดของมหาลัยก็ไม่ได้ไกลจากที่นี่สักเท่าไหร่นี่นา
...ได้การล่ะ...
แผนที่แผ่นใหญ่ถูกพับเก็บยัดลงกระเป๋าเสื้อตามเดิมก่อนที่มือสองข้างจะจัดการหยิบคว้าเอาสัมภาระทั้งหมดมาถือว่า แล้วผมก็เริ่มออกเดิน
มหาวิทยาลัยเอียนเดไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของประเทศ ไม่ใช่แม้กระทั่งมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่อยู่ในลำดับโหล่หรืออะไร จะเรียกว่ากลางๆ ค่อนไปทางบนก็คงจะได้ อันที่จริง ผมไม่ได้สนใจเรื่องลำดับของมหาวิทยาลัยอะไรนั่นสักเท่าไหร่หรอก สิ่งที่ผมต้องการจริงๆ น่ะ...
“เลโอนาร์ด เอียนเด”
ผมอ่านชื่อป้ายอนุสาวรีย์รูปปั้นขนาดเท่าคนจริงที่ตั้งอยู่ตรงหน้าอาคารสีขาวหลังใหญ่ด้วยความรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก ชายชราตรงหน้านี้ ไม่สิ ต้องเรียกว่า ท่านผู้นี้คือเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้ผมเลือกที่จะจากบ้านเกิดเมืองนอนมาไกลแสนไกลเพื่อมาอยู่ตรงนี้ ไอดอลเพียงหนึ่งเดียวที่ผมเคารพรักจากใจอย่างไร้ข้อแม้
เลโอนาร์ด เอียนเด นักเขียนผู้เลื่องชื่อ หนึ่งในผู้ร่างคำประกาศอิสรภาพทาสเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ทั้งก่อตั้งมหาวิทยาลัยที่เน้นศาสตร์ด้านวรรณกรรม ทั้งส่งเสริมให้ศิลปะของประเทศนี้เจริญขึ้นสู่จุดสูงสุดจนเป็นผลพวงให้อาชีพนักเขียนและศิลปินในประเทศเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้
ทำไมถึงได้เป็นคนที่น่าเคารพยกย่องขนาดนี้กันน้า
“นี่”
ในขณะที่ผมกำลังชื่นชมอนุสาวรีย์ของไอดอลอยู่นั้นก็พลันมีเสียงเรียกปริศนาที่ดังขึ้นจากด้านหลังจนผมต้องรีบหันขวับไปมอง
คนที่เอ่ยเรียกผมเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผมของเขาเป็นสีดำขลับรับกับตาสีเดียวกันที่ซ่อนอยู่หลังแว่นสายตา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชายคนนี้เป็นคนที่ค่อนข้าง...อืม...ดูดีอย่างที่หาไม่ได้ในหมู่บ้านที่ผมจากมา ผิวสีแทนของเขานั้นก็แปลกประหลาด มันทั้งสวยทั้งน่าดึงดูดพิกล แต่ที่สำคัญเหนือเสน่ห์เย้ายวนของสีผิวสวยนั้น ผมเผลออดสงสัยไม่ได้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ ในเมื่อลินเดียเป็นประเทศที่ค่อนข้างหนาว แถมเสียงอาทิตย์ก็ไม่ค่อยมี ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่เลยมีผิวขาวจัดค่อนไปทางซีดมากกว่าจะเป็นผิวสีแทนสวยสุขภาพดีแบบนี้
ท่าทางจะเป็นลูกคนรวยที่มีเงินไปนอนอาบแดดที่ประเทศทางใต้ซะละมั้ง
ผมค้อมหัวให้เขาเล็กน้อยเป็นการทักทายแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป อีกฝ่ายที่มีท่าทางเหมือนอย่างจะพูดอะไรสักอย่างเมื่อครู่นี้ พอเห็นหน้าผมก็ดันเงียบไปเสียเฉยๆ ซะอย่างนั้น
อะไรกันเล่า อยากพูดอะไรก็พูดสิ ทำท่าทางแบบนี้แล้วมันน่าหงุดหงิดแปลกๆ นะ
ในขณะที่ผมกำลังบ่นขิงบ่นข่าอยู่ใน จู่ๆ ในหัวมันก็ดันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เสียอย่างนั้น
ลูกคนรวย ผิวสีแทน ผมสีดำ ตาสีดำงั้นเหรอ...เอ รู้สึกเหมือนว่าจะเคยเจอคนที่มีลักษณะแบบนี้มาก่อนนี่นา...ใครกันน้า เหมือนจะเป็นใครสักคนที่เคยเจอเมื่อตอนเด็กๆ...
ในขณะที่ผมกำลังตบตีกับความทรงจำในหัวของตัวเองอยู่นั้น หางตาก็พลันเหลือบไปเห็นชายแปลกหน้าอีกคนกำลังเดินดุ่มๆ เข้ามาอย่างหมายมาด
“เฮ้ เจเล็ต คนรู้จักเหรอ”
เอ๊ะ
คำพูดจากชายที่กำลังเดินเข้ามาทำให้ผมต้องหรี่ตามองชายตรงหน้าอย่างตั้งใจยิ่งขึ้นกว่าเก่า
เจเล็ต...เหรอ
“เฮ้ยๆ อะไรกันหมอนี่ เด็กใหม่ไม่ใช่เหรอ อย่ามาจ้องเจเล็ตสุ่มสี่สุ่มห้าสิวะ”
ผู้ชายคนนั้นเดินเอาตัวเข้ามาขวางระหว่างผมกับชายผมดำคนแรกด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรนัก ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่าตรงหน้าผมมีผู้ชายตัวโตผมทองที่กำลังยืนทำหน้าตาถมึงทึงแทนชายผมดำที่เอ่ยทักเมื่อครู่ไปเสียได้
ไม่เอาน่า จะมามีเรื่องตั้งแต่ก่อนมหาลัยเปิดแบบนี้ไม่ได้นะ
“เอ่อ ขอโทษครับ ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรหรอกนะครับ” ผมพยายามอธิบายพลางไหวมือไปมาเป็นการปฏิเสธ “แบบว่า...เขาแค่หน้าคล้ายเพื่อนสมัยเด็กของผมเฉยๆ น่ะครับ”
ชายหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่เลิกคิ้ว
“เพื่อนวัยเด็กเหรอ” แล้วเขาก็พลันหัวเราะออกมา “อย่ามาพูดให้ขำหน่อยเลยน่า”
เสียงหัวเราะนั้นเงียบลงก่อนจะถูกแทนที่ด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“นายน่ะดูยังไงก็เป็นเด็กใหม่ อายุคงน้อยกว่าพวกฉันสักสามสี่ปีอย่างต่ำ ที่สำคัญนะ...”
ปลายนิ้วชี้ใหญ่มุ่งตรงมายังผมอย่างจำเพาะเจาะจง
“พวกฉันไม่ค่อยนิยมคบค้าสมาคมกับพวกโอเมก้าสักเท่าไหร่น่ะนะ”
อึก
ความรู้สึกจุกอกที่พุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจทำให้ผมเผลอก้มหน้าต่ำลงพร้อมกับเอื้อมมือไปดึงคอเสื้อปิดปลอกคอสีดำของตัวเองโดยอัตโนมัติ
เรื่องชนชั้นอะไรนั่น ต่อให้มีกฎหมายออกมาก็ไม่ได้ช่วยอะไรสินะ
ฟันของผมขบเข้าหากันอย่างแค้นใจ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีพลังมากพอจะพูดต่อต้านอะไรออกไป
ไม่ใช่ไม่อยากสู้ แต่เพราะรู้อยู่แล้วว่าคำพูดที่มาจากคนต่ำกว่านั้นย่อมไม่ได้รับการรับฟัง
ตราบใดที่ผู้คนในประเทศนี้ยังยกย่องชื่นชมกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียวให้เหนือกว่าคนอื่นอยู่ ความเท่าเทียมระหว่างอัลฟ่า เบต้า และโอเมก้านั้นคงไม่มีวันเกิดขึ้นจริงได้แน่ สุดท้าย กฎหมายก็จะเป็นเพียงกระดาษที่ถูกทำให้ไร้ค่าโดยคนในสังคมของตัวเอง
น่าเวทนา...ประเทศนี้ช่างน่าเวทนาเหลือกะ...
“พูดมากเกินไปแล้วนะเมเน็ต”
เอ๊ะ?
“ป่านนี้แล้ว ยังใส่ใจเรื่องชนชั้นไร้สาระพวกนั้นอีกรึไง”
ผมค่อยๆ ลดมือลงจากคอเสื้อก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนพูดช้าๆ
“จะเป็นอัลฟ่า เบต้า หรือโอเมก้า ทุกคนก็มีหนึ่งชีวิตเท่ากันทั้งนั้นล่ะ อีกอย่าง...”
แล้วตอนนั้นเอง นัยน์ตาสีรัตติกาลของเขากับนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนของผมก็สบเข้าหากัน
“อัลฟ่าน่ะ ไม่สามารถอยู่โดยขาดโอเมก้าได้หรอก”
แล้วตอนนั้นเอง สายลมแห่งโชคชะตาก็เริ่มโหมกระหน่ำรอบตัวพวกเรา...
“อะ...”
เรื่องพวกนั้น ผ่านมากี่ปีแล้วนะ
“เอ...”
ทั้งที่ผ่านมาตั้งนาน ไม่รู้ทำไมผ่านที่จำได้ถึงยังชัดเจนอยู่ได้ขนาดนี้
“เอล...”
หรือบางที นี่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนว่าผมกำลังแก่รึเปล่านะ
“เอมานูเอล เฟอเรส!”
“ครับอาจารย์!”
เอ๊ะ เดี๋ยวสิ ผมเรียนจบแล้วนี่ มันจะไปมีอาจารย์ได้ยังไงล่ะ อีกอย่างผมก็ยังอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ด้วย เพราะฉะนั้น...
“ฮาน!”
ผมตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความหัวเสีย และเมื่อหันหน้ากลับไปเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลังหัวเราะจนตัวงอแล้วก็ยิ่งชวนหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
“ฮานเงียบเลยนะ!”
ไม่ว่าเปล่า ผมยังกระโดดผลุงจากเก้าอี้ไปดึงแขนเป็นเชิงปรามอีกคนเอาไว้ด้วย
แต่เหมือนว่าจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่น่ะนะ...
“ครับอาจารย์เหรอ ฮ่าๆ แสดงว่านี่แอบหลับในห้องเรียนบ่อยใช่ไหม”
โอ๊ย เขารู้ความลับของผมเข้าเสียแล้ว น่าอายเป็นบ้าเลย
“จะหลับหรือไม่หลับก็เรียนจบเหมือนกันล่ะน่า!”
“แต่ท่าทางเมื่อกี้นี่ตลกจริงๆ นะ”
“ฮาน!”
สิ้นเสียงของผมเขาก็ยกมือสองข้างชูขึ้นกลางอากาศเป็นเชิงยอมแพ้
“โอเคๆ ไม่ล้อแล้วก็ได้”
แล้วสีหน้าล้อเล่นเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นจริงจังในชั่วพริบตา
รู้สึกไม่ดีเลยแฮะ
“ฮาน มีอะไรรึเปล่า”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับมาในทันที นัยน์ตาสีดำไล่มองผมหัวจรดเท้าอยู่อึดใจก่อนจะเอ่ยปากออกมา
“เดือนนี้คุณไม่เห็นมาขอยาผมเลย”
ยางั้นเหรอ ยาอะไรกันล่ะ...
เอ๊ะ
ปากของผมค่อยๆ เปิดออกทีละนิดก่อนจะ...
“อ๊า! แย่แล้ว แย่แล้ว แย่แล้วแน่ๆ เลยฮาน” ผมว่าพลางเขย่าแขนเขาไม่เบานัก “ลืมกินยาอะ ลืมไปเลย แย่แล้ว แย่แน่ๆ เลย”
สภาพผมในตอนนี้ไม่ต่างจากหนูแฮมสเตอร์ที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอมุดเข้าไปในซอกที่มีเจ้าแมวลายเสือเป็นเจ้าถิ่นเลยสักนิด ใจของผมได้หล่นหายไปอยู่ตาตุ่มเป็นที่เรียบร้อยเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เผลอทำสิ่งผิดพลาดที่โง่เง่าที่สุดลงไป
ไอ้เจ้าบ้าเอมานูเอล ลืมอะไรไม่ลืม ดันลืมกินยากันฮีทเนี่ยนะ!
โอ๊ย แย่แน่ แย่แน่ๆ
ผมผละจากท่อนแขนใหญ่ของฮานก่อนจะพุ่งตัวไปยังปฏิทินตั้งโต๊ะที่กางอยู่ไม่ไกลนัก ปากกาสีน้ำเงินถูกหยิบขึ้นมาคำนวณความน่าจะเป็นลงบนกระดาษปฏิทินอย่างรวดเร็ว
วันนี้วันที่ยี่สิบห้า ปกติแล้วไข่ผมจะตกในช่วงวันที่สามสิบ
อา แย่จริง อีกห้าวันเท่านั้นเอง
ตามหลักการทำงานของยากันฮีท เป็นอันรู้กันโดยสากลว่าต้องกินก่อนวันไข่ตกสองอาทิตย์ ถ้ากินหลังจากนั้นประสิทธิภาพของยาก็จะลดลงเรื่อยๆ จนถึงไม่สามารถแสดงผลได้ ห้าวันที่เหลือ อย่างไรเสียก็คงไม่ทัน เพราะปกติแล้วฮีทของโอเมก้าจะเริ่มก่อนวันไข่ตกประมาณสามถึงห้าวัน นั่นหมายความว่าคืนนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าผมจะเริ่มฮีท และอาการฮีทก็คงจะเริ่มขึ้นและจะอยู่อย่างนั้นไปจนกว่าจะถึงวันที่เจ็ดเดือนหน้า
หมดกัน แผนหางานพิเศษทำ
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง
“ฮาน ผมขอโทษนะ แต่ตั้งแต่คืนนี้ไปผมขอ...”
อ๊ะ อะไรกันความรู้สึกนี้
ไม่นะ อย่าบอกนะว่า
ร่างกายที่จู่ๆ ก็รู้สึกร้อนขึ้นมาราวกับถูกเอาไปวางไว้บนเตาถ่านไร้ซึ่งเรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิง ขาสองข้างที่เคยพยุงตัวเองเอาไว้ก็พลันอ่อนแรงลงจนทำให้ตัวผมล้มพับลงไปกับพื้น
บ้า...บ้าชะมัด
“ไม่ทันแล้วล่ะเอล”
น้ำเสียงแบบนั้นของฮาน ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
ใบหน้าของผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนก้มหน้านิ่งที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลนัก กลิ่นหอมหวานแปลกประหลาดโชยออกมาคละคลุ้งไปทั้งห้องจนชวนปวดหัว นัยน์ตาของผมพร่าเบลอลงอย่างน่าสังเวท ผมพยายามหรี่ตาลงเพื่อให้สามารถมองคนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลผ่านม่านน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมาได้ชัดขึ้น
ผมอยากรู้ว่าเขาคนนั้น เพื่อนวัยเด็กของผมคนนั้น กำลังเป็นยังไง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเส้นทางที่พวกเรากำลังจะเลือกเดินต่อจากนี้ไม่อาจจะย้อนกลับได้อีกแล้วก็ตาม
แต่ถ้าเกิด...ถ้าเกิดว่าเขาอดทนพาตัวเองเดินออกไปได้ ถ้าเกิดว่าผมกับเขาไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตากัน ถ้าเกิดมันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด ฮานก็จะไม่เกิดอาการรัท และนั่นจะเป็นโอกาสให้ผมกับเขาสามารถเดินด้วยกันในเส้นทางสายเดิมได้
ถ้าโชคชะตาไม่ยอมรับ พวกเราก็คงจะสามารถเป็นเพื่อนกันต่อไปได้...
“เอมานูเอล เฟอเรส”
กลิ่นหอมคล้ายกลิ่นดอกมะลิคละคลุ้งไปทั่วห้องรุนแรงกว่าเมื่อครู่มากเสียจนผมเริ่มจะตั้งสติไม่อยู่เข้าไปทุกที
กลิ่นนี้ไม่ใช่กลิ่นของผม...ไม่ใช่กลิ่นของชาวลินเดียคนไหนทั้งนั้น กลิ่นดอกไม้เมืองร้อนแบบนี้ ไม่มีทางพบเจอได้ในสายเลือดของชาวลินเดียที่เป็นผู้คนในแถบเมืองหนาวแน่
เมื่อตระหนักถึงความจริงข้อนั้นได้ เปลือกตาทั้งสองของผมก็ปิดลงพร้อมกับมีคำพูดที่เคยได้ฟังเมื่อนานมาแล้วผุดขึ้นมาในหัว
‘โดยทั่วไปแล้ว อัลฟ่าสามารถปล่อยกลิ่นของตนเพื่อข่มศัตรูหรือแสดงอาณาเขตได้ แต่กลิ่นพวกนั้นน่ะต่างกับกลิ่นตอนที่อัลฟ่าเกิดอาการรัทอยู่มาก’เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ผมเริ่มเตรียมใจ
‘อาการรัทคืออาการที่อัลฟ่าสูญเสียการควบคุมตัวเองเนื่องมาจากกลิ่นและฮอร์โมนจากฮีทของโอเมก้า เมื่อไหร่ก็ตามที่อัลฟ่าเกิดอาการรัท กลิ่นที่แท้จริงของพวกเขาจะโชยออกมาในปริมาณที่เข้มข้นมหาศาล แม้เบต้าจะไม่สามารถรับรู้กลิ่นได้ แต่สำหรับโอเมก้านั้นเรียกว่าเป็นภัยร้ายมหันต์ กลิ่นนั้นจะทำให้พวกเธอ...เหล่าโอเมก้าทั้งหลาย ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ทั้งสติสัมปชัญญะก็จะถูกลบเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว และขอเตือนเอาไว้ตรงนี้เลยว่า อัลฟ่าที่กำลังเกิดอาการรัทนั้นเป็นอะไรที่อันตรายยิ่งกว่าเครื่องจักรสังหาร พวกเขาสามารถฆ่าคนได้ด้วยมือเปล่าถ้าต้องการ เพราะฉะนั้น เหล่าเบต้าและโอเมก้าผู้เป็นศิษย์ครูทั้งหลาย จงจำไว้ว่าอย่าได้เข้าไปยุ่งกับอัลฟ่าที่เกิดอาการรัทสุ่มสี่สุ่มห้าเชียว ถ้าเกิดเหตุร้ายอะไรก็จงแจ้งตำรวจไว้ก่อน เข้าใจไหม’หลังจากนี้ ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสของฝ่ามืออุ่นบริเวณลำคอ
‘แต่ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าพวกลูกศิษย์ตัวน้อย ถึงอัลฟ่ารัทจะดูน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วเหล่าอัลฟ่านั้นไม่ได้รัทกันง่ายๆ’นิ้วมือเรียวไล้ไปตามปลอกคอสีดำรอบคอของผมคล้ายต้องการจะหาที่ปลดล็อก แต่ผมรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ ปลอกคอของโอเมก้าถูกออกแบบมาให้คนใส่เท่านั้นที่สามารถถอดได้เพื่อป้องกันการโดนกัดคอจับคู่โดยไม่สมยอม
แต่ตอนนี้ มันไม่มีประโยชน์แล้ว
มือของผมเอื้อมไปแตะบริเวณด้านหลังของปลอกคอก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงแหบพร่า
“ปลดล็อก”
แล้วทันใดนั้นปลอกคอก็หลุดออกไป
ผม...ตัดสินใจแล้ว
‘จริงอยู่ที่อัลฟ่ากับโอเมก้าจะเรียกร้องหากันและกันระหว่างช่วงฮีทเพื่อการผสมพันธุ์ แต่จงจำไว้ ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่โอเมก้าฮีท อัลฟ่าจะต้องรัท และไม่ใช่ว่าการฮีทของโอเมก้าจะส่งผลต่ออัลฟ่าทุกคนเท่ากัน บางครั้งอาการฮีทของโอเมก้าเออาจจะไม่ได้ส่งผลต่ออัลฟ่าบีสักเท่าไหร่ แต่ในขณะเดียวกันอาการฮีทของโอเมก้าเอ อาจจะทำให้อัลฟ่าซีคลั่งและดุร้ายราวกับสัตว์ป่า หรือที่เราเรียกกันว่ารัทขึ้นมาได้ เหตุผลที่อัลฟ่าจะรัทขึ้นมานั้นมีอยู่เพียงแค่สองข้อเท่านั้น’
“ตัวเล็กของผม เอมานูเอลของฮาน”
เสียงที่กระซิบอยู่ข้างใบหูนั้นทั้งต่ำ ทั้งแหบพร่าจนคล้ายเสียงคำราม
‘ถ้าหากไม่เป็นคู่แห่งโชคชะตากัน อัลฟ่านั้นก็ต้องรู้สึกรักและหวงแหนโอเมก้าคนนั้นมาก แน่นนอนว่าไม่ใช่แค่ความรู้สึกรักและอยากปกป้องแบบทั่วไป การที่อัลฟ่าจะรัทขึ้นมาได้ทั้งที่ไม่ได้มีโชคชะตาเป็นตัวช่วย ความรู้สึกที่ใช้กระตุ้นมันต้องรุนแรงกว่าแค่ความรักธรรมดา และครูหวังไว้ตรงนี้ว่าคงไม่มีลูกศิษย์ของครูคนไหนจะต้องเผชิญหน้ากับกรณีที่สองนะ เพราะความรู้สึกแบบนั้นจะเรียกว่าความรักได้เต็มปากไหมก็ไม่รู้’สัมผัสอุ่นของหน้าอกแกร่งที่ทาบทับลงบนแผ่นหลังทำให้ร่างกายสั่นเทิ้มจนไม่อาจควบคุม
‘ความรักที่รุนแรงจนสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการรัทขึ้นมาได้ หากไม่บิดเบี้ยวจนผิดรูปร่างก็คงรุนแรงและบ้าคลั่งดั่งพายุหมุน หากวันหนึ่งมันระเบิดออกมา เมืองทั้งเมืองอาจจะราบเป็นหน้ากลองก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นเหล่าโอเมก้าทั้งหลาย...’ลมหายใจอุ่นร้อนถอยห่างจากลำคอของผมไปชั่วขณะหนึ่ง เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น
‘จงภาวนาให้ได้เจอกับคู่แห่งโชคชะตาแทนที่จะต้องเผชิญหน้ากับโซ่ตรวนแห่งพันธนาการที่แสนอันตรายนั้นเถอะ’แล้วคมเขี้ยวของหมาป่าคลั่งก็สลึกลงบนร่างผมลึกไปจนถึงแก่นวิญญาณ
*******************************************************************************