#02
ตลาดนัดมอในช่วงเที่ยง คราคร่ำไปด้วยฝูงมนุษย์ที่เดินเบียดเสียดกันจนแทบไม่มีพื้นที่หายใจ สำหรับมหาวิทยาลัยในเขตปริมณฑล ซึ่งห้างหรูที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไป 30 กิโลเมตร แหล่งอัปเดตแฟชันสุดชิกจึงต้องพึ่งพาตลาดนัดวันพุธแห่งนี้ไปโดยปริยาย ซึ่งก็ไม่น่าผิดหวังนัก เพราะพ่อค้าแม่ค้าพยายามหาของดีๆ เก๋ๆ มาขายกัน จนเป็นความยูนีคของแฟชันที่หาจากที่อื่นได้ยาก แต่บางทีเสน่ห์อันแสนพิเศษนี้ก็ดูจะพิเศษเกินไปนิด แบบถ้าเอาชุดนี้ไปใส่นอกเขตมหา’ลัย อาจเข้าข่ายคนบ้าไปเลยก็ได้
“เฮีย...แบบแขนสองข้างยาวเท่ากันไม่มีจริงๆ เหรอ” ร่างสูงโปร่งชูเสื้อตัวหนึ่งขึ้นขณะเจรจากับพ่อค้า
“แบบธรรมดามันก็ไม่เท่สิน้อง ดูที่พี่ใส่สิ สั้นข้างยาวข้างแบบเนี้ย แนวจะตาย” เจ้าของร้านหมุนตัวให้ลูกค้าพิจารณาเต็มที่ แต่ว่าที่ลูกค้ากลับเกาหัวแกร็กๆ ด้วยไม่เห็นความงามอย่างที่พ่อค้านำเสนอสักนิด
ภาคภูมิที่ยืนดูดกาแฟอยู่ข้างๆ สะกิดไอ้คนเรื่องมากแล้วกระซิบเสียงเบา “ไม่ชอบก็ไปดูร้านอื่นเถอะมึง”
ปรนัยส่ายหน้าก่อนอธิบาย “ผ้ามันดีเว่ยมึง เนี่ย...ปั่นเครื่องได้ ไม่หดด้วย ราคาไม่แพง”
“งั้นมึงก็ซื้อไปตัดแขนไป”
“แต่กูอยากให้แขนมันยาวมากกว่าสั้นง่ะ”
“ค่อยมาดูอาทิตย์หน้าเหอะ เผื่อเค้ามีมาขาย” ภูมิช่วยเสนอทางออก เพราะเขาสองคนเสียเวลาอยู่ร้านนี้เกือบ 10นาทีแล้ว และตอนนี้เขาก็เหงื่อท่วมตัว เหนียวเหนอะหนะจนเริ่มจะหงุดหงิดนิดๆ สุดท้ายก็ขอออกมารอหน้าร้านแทน
ขณะที่ไอ้ปอยังฉอเลาะกับพ่อค้าไม่จบไม่สิ้น เสียงทักทายจากพี่ๆ ปี 4 ที่เดินผ่านมาก็ดังขึ้น หนึ่งในนั้นคือสาวผมยาวที่มัดจุกยุ่งๆ ไว้กลางหัว ...พี่จ๋านั่นเอง
“ช็อปปิ้งกันเหรอ” จ๋าบอกลาเพื่อน แล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างรุ่นน้อง
“หวัดดีครับ” ภูมิผงกศีรษะทักทายรุ่นพี่อีกครั้ง สาวผมจุกตอบรับด้วยรอยยิ้ม หากสายตากลับมองไปรอบๆ เหมือนกำลังมองหาใครบางคน และไม่รอให้อีกฝ่ายถาม ภาคภูมิก็บอกออกมาทันที
“ไอ้ปออยู่ในร้านครับ” ตากลมโตของคนฟังแฝงแววเขินอายเล็กน้อย ก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้าไปในร้านและหยุดยืนข้างๆ รุ่นน้องที่ยืนเลือกเสื้ออยู่
“หน้าอย่างแกใส่อะไรก็ไม่หล่อขึ้นหรอกเว้ย” พี่จ๋าเปิดฉากแซวรุ่นน้องตัวโต เสียงคนโดนสบประมาทตอบโต้กลับอย่างสนุกสนาน ทำให้ภาคภูมิที่รออยู่ด้านนอกแอบถอนหายใจแรงๆ มือข้างหนึ่งเริ่มเขี่ยน้ำแข็งเล่นแก้เซ็ง
ภูมิไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องมายืนร้อนๆ หงุดหงิดกับเหงื่อไคลที่ไหลท่วมตัว ทำไมต้องมาคอยหลบคนที่เดินชนไปมา ทำไมต้องมารอ...รอคนที่อาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ตรงนี้ ถ้านี่คือ Dilemma ภูมิก็คิดว่ามันคงมีทางอื่นอยู่ แต่เขากลับตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่เลือกอีกทาง…
“พี่ถือเองๆ ไม่ต้องมาทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเลย ฮ่าๆ” หลัง 10 นาทีผ่านไป เสียงร่าเริงของพี่จ๋าก็เรียกให้ภูมิเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง จึงเห็นว่าในมือของเพื่อนสนิทมีถุงกระดาษสกรีนชื่อร้านนี้สองถุง ซึ่งพี่จ๋ากำลังแย่งถุงใบหนึ่งไปไว้ในมือตัวเอง
“แก่แล้วก็ยอมรับเหอะพี่ เดี๋ยวผมถือให้” ท่อนแขนแข็งแรงชูถุงเสื้อขึ้นเหนือศีรษะของรุ่นพี่ ทำให้เจ้าของเสื้อตัวจริงค้อนขวับก่อนจะเดินนำออกไป
“ตกลงกูซื้ออีกแบบมา” ปอเล่าให้เพื่อนที่เดินอยู่ข้างกันฟัง “แขนยาวเกือบเท่ากัน แต่ชายเสื้อหน้าหลังเสือกยาวไม่เท่ากันอีก แม่งเอ๊ย”
“ขี้เลียนแบบว่ะ” พี่จ๋าตะโกนกลับมาแซวคนข้างหลัง คนถูกแซวจึงเร่งเท้าเดินไปหา พร้อมคำตอบโต้ที่ไม่มีใครยอมลดให้ใคร ภาคภูมิมองภาพของผู้ชายกับผู้หญิงที่เดินแกล้งกันข้างหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่ไม่มีความรู้สึกใดใกล้เคียงกับความสุขแม้แต่นิดเดียว
“ปอ...” ภูมิสะกิดร่างสูงที่หัวเราะเสียงดังลั่นอยู่กับรุ่นพี่ คนถูกเรียกหันมามองและเลิกคิ้วเป็นคำถามเขาจึงพูดต่อ “กูไปก่อนนะ ร้อนว่ะ”
“อ้าว ไม่ไปกินปลาไข่ด้วยกันเหรอ” อีกฝ่ายร้องถามด้วยเสียงประหลาดใจที่เพื่อนสนิทยอมพลาดเมนูโปรดที่มันเฝ้ารอมาทั้งอาทิตย์
ภูมิส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะแยกตัวเดินออกมา ได้ยินเสียงเพื่อนสนิทตะโกนแว่วๆ ว่าเดี๋ยวเจอกัน แต่เขาก็ไม่มีอารมณ์จะตอบรับอะไรอีก
พี่จ๋ามองตามรุ่นน้องที่เดินแยกออกไป ตากลมโตมีแวววิตกเล็กน้อย “ภูมิโกรธไรเปล่าอะ”
รุ่นน้องที่เหลือเพียงคนเดียวหัวเราะเบาๆ “ไม่หรอก เดี๋ยวกลับภาคก็เจอมัน”
“เหรอ...แต่สีหน้ามันไม่ค่อยดีเลย”
“ไม่มีไรหรอกๆ แล้วนี่พี่จ๋าจะไปไหนต่อ เดี๋ยวผมจะไปหาอะไรกินหน่อย” หนุ่มรุ่นน้องเอ่ยถาม เมื่อนึกได้ว่าคนที่เดินอยู่ด้วยอาจจะมีธุระอะไรต่อ
“โอ๊ย! ชิลๆ วันนี้ไม่มีเรียน” อีกฝ่ายตอบ
“จริงดิ งั้นไปตลาดข้างในกันเลยมะ กลัวปลาไข่หมด”
“อยากกินอะไรเบอร์นั้น” พี่จ๋าแซวพร้อมเสียงหัวเราะ
ร่างสูงของรุ่นน้องฉีกยิ้มกว้างก่อนอธิบาย “ผมอะเฉยๆ แต่ไอ้ภูมิดิอยากกินมาก ต้องซื้อไปเซ่นมันหน่อย เดี๋ยวมันงอแง”
คนฟังพยักหน้าตกลง สะกิดใจนิดๆ ในถ้อยคำที่เด็กรุ่นน้องมีต่อเพื่อนอีกคน แม้ในตอนที่ต่อคิวซื้ออาหารที่ว่า คนตัวสูงก็มีเรื่องเล่าถึงเพื่อนสนิทไม่พัก
“พี่รู้ปะ ไอ้ห่าภูมินี่คลั่งปลาไข่มากกก มากแบบผมแทบจะพามันไปเลิกที่ถ้ำกระบอกอะ กินมาตั้งแต่ปีหนึ่ง จนตอนนี้แม่งน่าจะท้องแทนปลาไข่ไปละ”
พี่จ๋าหัวเราะตาหยีเมื่อได้ฟังคำเปรียบเทียบนั้น “ไอ้บ้า ภูมิมันจะท้องได้ไง”
“เออว่ะ...” ปรนัยพึมพำ “แต่ถ้ามันท้อง ลูกมันคงน่ารักเนอะ ดูหน้ามันดิ เวรี่คิวท์บอยโคตรๆ”
“นี่คิดไรกะมันปะเนี่ย ชมซะขนาดนี้”
พอถูกแซว ร่างสูงเลยทำท่าขนลุกขนพองชุดใหญ่ “โอ๊ย!! คิดไรแบบนั้น ขนลุก!!”
พี่จ๋าปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นแบบไม่เข้ากับหน้าตาสวยๆ ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“ตอนภาพนิ่งพี่แม่งก็ ‘สายป่าน’ อยู่หรอก พอขำทีมโนภาพพังทลายเลย ฮ่าๆๆ”
หญิงสาวร่างเล็กที่หลายต่อหลายคนทักว่าหน้าตาคล้ายนางเอกสุดอินดี้ยักไหล่ แล้วแกล้งทำหน้าลิงใส่คนที่ยืนอึ้ง ก่อนจะหลุดขำกันทั้งคู่
ปอกับพี่จ๋าแยกกันที่หน้าตลาดในเวลาเกือบบ่ายสอง ร่างสูงโปร่งหอบข้าวของพะรุงพะรังกลับมาที่ห้องภาควิชา แต่เมื่อเปิดประตูห้องประชุมเข้าไป กลับพบเพียงรุ่นน้องปีสองนั่งอ่านหนังสือกันอยู่ ไร้วี่แววของเพื่อนสนิท เขาเดินออกจากห้องนั้นมาเคาะห้องพักอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน หลังได้รับคำอนุญาต จึงเปิดประตูและยื่นหน้าเข้าไปด้านใน
“ขอโทษครับ ไม่รู้ว่าอาจารย์ติดธุระ” ผู้มาเยือนบอกน้ำเสียงเกรงใจ เมื่อเห็นว่ามีเด็กรุ่นน้องนั่งคุยกับอาจารย์อยู่ คนถูกรบกวนโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ปรนัยเลยรีบเอ่ยคำถามของตัวเองออกไป “จารย์กฤตเห็นภูมิมั้ยครับ”
อาจารย์หนุ่มขวัญใจนักศึกษาขมวดคิ้วเล็กน้อย “วันนี้ยังไม่เห็นเลยนะ”
หลังขอบคุณอาจารย์เรียบร้อย ร่างสูงก็โทรหาบุคคลผู้สูญหายทันที ทว่าสัญญาณที่ดังยาวๆ นั้นกลับไม่มีคนรับสาย แม้จะเว้นระยะไปหลายนาทีแล้วก็ตาม จนสุดท้ายนิ้วเรียวก็กดหาเบอร์ของคนที่น่าจะช่วยเช็กได้อีกคน
พอปลายสายกดรับ เสียงทุ้มก็เอ่ยถามเข้าประเด็น โดยไม่มีการเซย์เฮลโหลใดๆ ทั้งสิ้น “เฮ้ยสิปป์ มึงอยู่หอปะ”
หลังอีกคนตอบว่าใช่ เขาจึงบอกถึงวัตถุประสงค์ทันที
“มึงดูห้องไอ้ภูมิให้หน่อยดิ ระเบียงเปิดปะ” คนที่เขาโทรหาคือเพื่อนที่เลือกปรัชญาเป็นวิชาโท ซึ่งห้องพักอยู่ตรงข้ามกับห้องไอ้ภูมิพอดี แบบที่ถ้าออกมาตากผ้าพร้อมกัน ก็สามารถตะโกนทักทายกันได้
“เปิดเหรอ โอเคขอบใจมาก” นิ้วเรียวกำลังจะกดวางสาย แต่ก็นึกขึ้นได้ “เฮ้ย! กูขอยืมชีทปรัชญาเทคโนหน่อยดิ เดี๋ยวอีกสิบนาทีไปเอานะ”
เสียงกดกริ่งหน้าห้องดังรัวๆ สามครั้งติด ทำเอาคนที่นอนกลิ้งอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียงต้องรีบลุกไปเปิดประตูอย่างหัวเสีย ใครมากดวะ ทำไมไม่เคาะประตูธรรมดา รู้มั้ยว่ากดครั้งนึงค่าไฟขึ้นที 7 บาทเลยนะ อย่าให้...
“เชี่ยปอ!!” เจ้าของห้องในชุดเสื้อยืดกางเกงบ็อกเซอร์พร้อมหัวยุ่งๆ กับแว่นอันโตยืนอ้าปากค้าง เมื่อเห็นว่าใครคือแขกผู้มาเยือนในวันนี้ หากในขณะกำลังจะด่าไอ่ห่าปอที่สะเออะมากดออดหน้าห้อง ริมฝีปากบางก็ต้องหยุดไว้เพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังมีเพื่อนอีกคนมาด้วย
“อ้าว...ทำไมมากะไอ้ปอวะไอ้สิปป์” ภาคภูมิเอ่ยถามเพื่อนห้องตรงข้ามด้วยความงุนงง
“ไอ้ปอจะมายืมชีทกูอะ นี่ผ่านห้องมึงเลยแวะมาทักก่อน” เพื่อนร่วมหอตอบตามความจริง ก่อนจะหันไปบอกกับผู้มาเยือน “มึงรออยู่ห้องไอ้ภูมิละกัน ห้องกูรกมาก ไม่พร้อมรับแขกอย่างแรง”
เอ่ยจบก็ทิ้งให้พวกมันสองคนเคลียร์กันเอง ส่วนคนห้องรกก็เดินไปเอาเอกสารเพียงคนเดียว โดยไม่สนใจเสียงบ่นของไอ้ภูมิที่ดังไล่หลังมาแม้แต่น้อย
ภาคภูมิจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด หากสุดท้ายก็ยอมให้ไอ้แขกไม่ได้รับเชิญเดินเข้าห้องมาในที่สุด
ร่างสูงโปร่งจัดแจงวางสารพัดถุงที่หอบหิ้วมาลงกับโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วจึงเห็นว่าโทรศัพท์ของเจ้าของห้องถูกชาร์จทิ้งไว้ แถมยังสุมทับด้วยหนังสือการ์ตูนอีกกองใหญ่ แบบนี้ไอ้มนุษย์โหมดสั่นจะรู้ว่ามีสายเข้าก็แปลกแล้วล่ะ
“โทรศัพท์หรือที่ทับกระดาษ เปิดเสียงไม่เป็นไง้” ปากก็บ่นเพื่อนไป แต่ตัวกลับเนียนมานอนกลิ้งบนเตียงนุ่มริมห้องแทน
“ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลยเชี่ยปอ!!” ภาพนั้นทำให้เจ้าของห้องตาค้าง ภาคภูมิพุ่งตัวไปฉุดร่างที่เต็มไปด้วยเหงื่อให้ลุกจากที่นอนทันควัน “กูเพิ่งเปลี่ยนผ้าปูนะเว้ยยย”
นอกจากร่างสูงใหญ่จะไม่ไหวติงต่อแรงที่ฉุดลากแล้ว แขนยาวๆ ยังคว้าหนังสือการ์ตูนที่ถูกคว่ำไว้บนเตียงขึ้นมาพิจารณาอย่างสบายอารมณ์อีกด้วย
“โห! โทริโกะทั้งเซตเลยเหรอวะ มึงอ่านจบยัง กูยืมต่อนะ”
“สัสปอ!! ลุกกก” ภูมิกระโดดขึ้นเตียงแล้วพยายามลากขายาวๆ ที่นอนขวางเตียงออก แต่ไอ้ห่าปอที่ไม่รู้ว่ายัดอิฐไว้หรืออะไร ถึงได้ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้สักนิด
ร่างสูงลอบมองใบหน้ายุ่งๆ ที่ประดับด้วยแว่น ซึ่งตั้งหน้าตั้งตาทำร้ายร่างกายของตนเองก่อนจะคิดอะไรแผลงๆ ออก จึงแกล้งหดขาและลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ทำเอาอีกคนที่ไม่ทันระวังตัวหน้าทิ่มลงบนหน้าขาแข็งแรงนั่นทันที
“เฮ้ยยย!”
เสียงอุทานด้วยความตกใจไม่ได้มาจากทั้งคนแกล้งและคนถูกแกล้ง แต่มาจากคนที่เปิดประตูเข้ามาเมื่อสักครู่นี้
“โทษทีว่ะ กู...กูเคาะนานแล้วนะ เห็นไม่มีใครปะ...เปิด เลยเปิดเข้ามา...เอง” สิปป์หน้าเหวอ พูดจาตะกุกตะกัก ก่อนปลายเสียงจะเบาลงคล้ายพึมพำกับตัวเอง “ไม่คิดว่าจะเจอภาพกีฬามันๆ”
ก็ภาพที่เจ้าของห้องซุกหน้าอยู่แถวๆ ตักของเพื่อนอีกคนมันชวนให้คิดน้อยเสียเมื่อไร ยิ่งเป็นคนมีจินตนาการกว้างไกลอย่างไอ้สิปป์ด้วยแล้ว ภาคภูมิจึงต้องรีบลุกขึ้นและแก้ความเข้าใจผิดโดยเร็ว
“เชี่ยปอมันแกล้งกู ไม่ได้มีอะไรนะเว้ย!!” เขาละล่ำละลักอธิบาย ก่อนจะขยี้หัวตัวเองไปมา
“เออ กูเล่นกันเฉยๆ” เพื่อนสนิทเห็นว่าเรื่องชักจะไปกันใหญ่ เลยเปิดปากเล่าความจริงด้วยอีกคน
คนที่ยังยืนพิงประตูพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะยื่นเอกสารในมือออกไปแล้วพูดเปลี่ยนเรื่อง “ชีทปรัชญาเทคโนของอาทิตย์ที่แล้ว เสร็จแล้วคืนกูด้วยล่ะ”
ปรนัยก้าวลงจากเตียงแล้วไปรับเอกสารที่เพื่อนที่เรียนคลาสเดียวกันเอามาให้ เสียงทุ้มกล่าวขอบใจก่อนจะบอกลาเพื่อน พอเข้ามาในห้องของไอ้ภูมิอีกครั้ง ก็พบว่าเจ้าของห้องนั่งขัดสมาธิหน้านิ่งอยู่บนเตียงแล้ว
“เสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงนิ่งๆ เอ่ยขึ้นเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ “กลับไปดิ”
ใบหน้าคมของผู้มาเยือนเผยรอยยิ้มกว้าง ร่างสูงเดินมานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงที่น่าจะเอาไว้ใช้หลอกเด็กบ่อยๆ
“พีพี~ กูซื้อปลาไข่มาฝาก มากินสิ”
เมื่อเห็นอีกคนทำเป็นไม่สนใจ เสียงทุ้มจึงพูดต่อ
“มีลูกชิ้นปลาระเบิดด้วยน้า...กูไปต่อคิวซื้อตั้งนาน เพื่อมึงเลยนะเนี่ย”
เสียงเปิดหนังสือการ์ตูนของคนบนเตียง ทำให้รู้ว่าเขายังง้อไม่สำเร็จ
“จริงๆ มีน้ำส้มคั้นด้วย แต่มันไม่เย็นแล้วอะ ไม่รู้ยังอร่อยเปล่า มึงลองชิมหน่อยดิ น้าๆๆ”
สุดท้ายเจ้าของห้องก็ยอมเดินมาที่โต๊ะเขียนหนังสือ ดวงตาใต้กรอบแว่นมองถุงอาหารมากมายที่อีกคนซื้อมาให้แล้วก็ต้องถอนหายใจ
“กูจะกินยังไงหมด”
คนได้ฟังลอบอมยิ้มกับตัวเอง “มึงกินคนเดียวที่ไหน กูจะกินกับมึงด้วย”
“อ้าว!”
“กูยังไม่ได้กินไรเลยเนี่ย ก็มึงหนีกลับมาก่อนอะ” อีกฝ่ายเอ่ยคล้ายตัดพ้อ
ภาคภูมิเหล่มองจอมมารยานิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “มึงไปกะใคร ก็ไปกินกับคนนั้นสิ”
ปอหัวเราะเบาๆ “งั้นกินกะมึงก็ถูกแล้ว ...ก็กูไปกะมึงนี่”
เจ้าของห้องก้มลงใต้เตียงเพื่อลากโต๊ะญี่ปุ่นมากางกินข้าว คนที่นั่งบนเก้าอี้จึงไม่ทันเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าขาวที่ฉายออกมาด้วยความยินดี ก่อนเจ้าตัวจะพยายามอย่างหนักเพื่อเม้มปากเก็บมันไว้
นอกจากอาหารที่ปอซื้อมาแล้ว ภูมิยังมีผัดไทยและลูกชิ้นปิ้งที่เก็บไว้รอกินตอนเย็นอีกหนึ่งชุด เลยจัดการอุ่นทั้งของฝากจากเพื่อนและกับข้าวตัวเองมากินในมื้อนี้เสียเลย
“เย็นนี้มึงไปไหนเปล่า” ผู้มาเยือนเอ่ยถามเจ้าของห้อง
“มีเมคอัพคลาสแปลว่ะ” ภาคภูมิหมายถึงการนัดเรียนนอกเวลาของวิชาการแปลภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นสาขาที่ตนเองเก็บเป็นโท
แขกของห้องเอ่ยอย่างแปลกใจ “อ้าว ไหนว่านัดพรุ่งนี้”
“อาจารย์ไม่ว่าง เพิ่งเลื่อนเมื่อบ่ายนี้เอง ...เชี่ย!” คนกำลังกัดลูกชิ้นปลาสบถดังลั่น เมื่อน้ำมันในลูกชิ้นกระเด็นออกมาเปื้อนแก้มขึ้นไปจนถึงแว่น ดีว่ามันเริ่มอุ่นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทิ้งความรู้สึกแสบร้อนนิดๆ ไว้อยู่ดี
มือหนาของคนที่นั่งตรงข้ามช่วยถอดแว่นของเพื่อนสนิทออก ก่อนจะส่งทิชชู่ให้อีกคนเช็ดหน้าเช็ดตา “ไปล้างหน้าไปมึง”
ภูมิวิ่งไปห้องน้ำตามที่เพื่อนบอก หลังทำความสะอาดหน้าจนความระคายเคืองที่ผิวเริ่มเบาลงแล้ว จึงกลับมานั่งที่เดิม “โคตรซวยเลย ต่อไปกูจะไม่กินลูกที่มันพองๆ...”
อยู่ๆ นิ้วสากของอีกคนก็เอื้อมมาลูบที่แก้มของคนกำลังพูด ทำเอาปลายเสียงที่กำลังบ่นลูกชิ้นเจ้าปัญหาต้องขาดหายไปด้วยความตกใจ
“นี่มันแดงเพราะมึงถู หรือเพราะโดนน้ำมันวะ” ปรนัยพิจารณาหน้าเพื่อนใกล้ๆ นิ้วเรียวแตะอย่างแผ่วเบา ราวกับผิวของเพื่อนสนิทเป็นมรดกโลกที่ได้รับการอนุรักษ์จากยูเนสโก้
“ต้องทายาเปล่าเนี่ย มันจะเป็นแผลมั้ย” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลยังเอ่ยถามต่อ
“มะ...”
แล้วโลกของภาคภูมิก็หยุดหมุนไปชั่วขณะ เมื่อใบหน้าคมของคนตรงข้ามเลื่อนเข้ามาหาในระยะที่เกินกว่าสายตาจะมองเห็นได้ชัด ก่อนลมอุ่นๆ จะปะทะกับผิวที่ร้อนผ่าว
“...เพี้ยง...” ...แล้วปื้นแดงๆ ที่เคยเป็นแค่ตรงแก้ม ก็ลุกลามไปทั้งหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว
TBC.
สวัสดีค่ะ ตอนที่สองมาแล้วววว
ส่วนคำถามว่าใครเมะใครเคะ ถ้าตามคำอธิบายแล้ว ตอนนี้ก็น่าจะชัดเจนขึ้น
แต่น้องภูมิฝากบอกว่า #ให้ไปวัดกันบนเตียง! 555555555
ถ้าใครได้อ่าน คอมเมนต์วิจารณ์กันได้นะคะ
เหมือนเดิมค่ะ ถ้าเล่นทวิตเตอร์ฝาก #SweetDilemmaFiction น้า
ขอบคุณที่ติดตามค่า