ซ่อนรัก
บทที่ ๑๐
เมฆดำลอยบนฟ้าก่อนฝนห่าใหญ่จะร่วงลงมาราวกับน้ำตก เด็กหนุ่มเปิดม่านสีขาว มองออกไปข้างนอกหน้าต่างนานนับชั่วโมงกระทั่งพายุฝนหยุดลง หลังจากฟ้าโปร่งแล้ว อากาศเต็มไปด้วยมวลความชื้น พื้นหญ้าเขียวชอุ่ม ใบไม้พรั่งพราวไปด้วยหยดน้ำก่อนจะไหลลงกระทบพื้นดินจนเป็นร่องเล็กๆ
ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอเห็นจะเป็นความจริง
“มายืนทำอะไรตรงนี้ เดี๋ยวก็ป่วยอีกรอบหรอกหลง”
เด็กหนุ่มหันหลังกลับ เห็นกรณ์ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าแล้วอุ่นวาบในใจ
“เป็นอย่างไรบ้าง ยังปวดอยู่หรือเปล่า”
เขาสายหน้า อยากอ้าปากตอบ แต่ปากของเขากลับปิดสนิทราวกับมีหินถ่วงไว้
“ดีแล้ว คุณพ่อกับพี่เป็นห่วงแทบแย่”
หากเป็นเมื่อก่อน หลงคงเดินหนีกรณ์ไปนานแล้ว ไม่เพียงแค่ไม่อยากพูดคุย แต่ยังไม่อยากจะใช้อากาศร่วมกันด้วยซ้ำ กระนั้นส่วนลึกหลงกลับชื่นชมระคนอิจฉากรณ์อยู่ในใจ อีกฝ่ายนั้นเพียบพร้อมทั้งหน้าตาในสังคมและหน้าที่การงาน เวลายิ้มก็ยิ้มราวกับไม่เคยมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ ตรงข้ามกับเขาที่แค่อ้าปากความทุกข์ร้อนก็พรั่งพรูออกมา
หลงยืนเงียบๆ ปล่อยให้กรณ์พูดคนเดียวอยู่นานสองนาน ใครจะคิดว่าวันหนึ่งคนที่เกลียดนักเกลียดหนา แท้จริงจะอ่อนโยนกับเขาถึงเพียงนี้ คิดแล้วก็รู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่คนอย่างหลงหากไม่อัดอั้นจริงๆ ไม่มีทางพูดออกมา
“ช่วงนี้ฝนตกน้อยลงแล้ว สงสัยจะใกล้ฤดูหนาว แต่อย่างว่ากรุงเทพฯ ไม่เคยจะหนาวเหมือนต่างจังหวัด”
กรณ์ชวนหลงคุย พออยากจะพูด หลงก็นึกไม่ออกว่าควรตอบว่าอะไร ข้อเสียของเขามีมากมาย ส่วนหนึ่งก็คงเป็นการเข้าสังคม คนที่เข้าสังคมไม่เป็นมีหรือผู้ใหญ่จะเอ็นดู ดูตัวอย่างคุณหญิงดุลยาเมื่องานวันคล้ายวันเกิด หลงรู้ว่าหากเขาบอกว่าตัวเองไม่ใช้เด็กรับใช้ในงาน คุณหญิงก็ไม่มีทางต้อนรับเขาแบบนั้น จะโทษว่าเพ็ญแขไม่แก้ต่างให้ก็ใช่เรื่อง เพราะส่วนหนึ่งเขาก็เป็นฝ่ายผิดเช่นกัน
“คุยอะไรกันอยู่” วุฒิเดินเข้ามาภายในห้องรับแขกก่อนทรุดนั่งโซฟาตรงข้ามกับหลง “หายเจ็บหรือยัง”
“เริ่มหายแล้วครับ”
“คุณพยาบาลบอกว่ามีรอยช้ำตามตัวอยู่”
รอยช้ำที่แขน ขา หน้าอก และหลัง เรียกได้ว่ากระจายทั่วร่างกาย แม้ไม่ใช่รอยช้ำน่ากลัวอะไร แต่เมื่อมีจำนวนมากเข้าก็ดูน่าเกลียดไม่น้อย พักหลังมานี้หลงจึงใส่กางเกงขายาวและเสื้อแขนยาวบ่อยๆ
“อาทิตย์หน้าพ่อจะพาไปพักผ่อนที่บ้านพักต่างจังหวัด
“ที่เขาใหญ่หรือครับ เบื่อแล้ว..ผมไปตั้งแต่เด็กจนโตก็ยังไม่ได้ไปที่อื่นสักที” กรณ์โอดครวญ ตั้งแต่เด็กพอถึงวันหยุดทีไรคุณพ่อไม่พาไปหัวหินก็พาไปเขาใหญ่ เป็นแบบนี้หลายปีจนกรณ์เลิกร้องขอให้วุฒิพาไปเที่ยว
“บ้านพักของเรามันอยู่ที่นั่นไม่ใช่หรือ แล้วจะให้พาไปไหนล่ะ อีกอย่างนะกรณ์..พ่อจะพาน้องไปเที่ยวเป็นครั้งแรก ถึงเราจะไปบ่อยแค่ไหนก็เรื่องของเรา”
“คุณพ่อพอได้น้องแล้วละเลยผมหรือครับ”
“เราโตแล้ว จะกอดจะหอมก็ประดักประเดิด ไม่น่าเอ็นดูเท่าน้อง”
ท่ามกลางบทสนทนาระหว่างวุฒิและกรณ์ ทำให้ใครบางคนอดยิ้มไม่ได้ ถึงเขาไม่ได้ร่วมพูดคุย แต่ความอบอุ่นกลับแผ่ซ่านทั่วจิตใจ
“ถ้าจะไปผมชวนพี่พฤทธิ์ไปได้หรือเปล่าครับ”
วุฒิเลิกคิ้วมอง ปกติถ้าจะไปเป็นครอบครัวใหญ่ก็เลือกไปที่หัวหิน เพราะบ้านที่นั่นใหญ่พอจะอยู่กันอย่างสบายๆ “ทำไม”
“ช่วงนี้พี่พฤทธิ์เป็นอะไรก็ไม่รู้ ดูอึมครึมตลอดเวลา ปกติพูดเล่นด้วยได้ แต่เดี๋ยวนี้ผมแทบไม่กล้าทักเวลาเจอหน้า”
ครั้งล่าสุดที่กรณ์เจอพฤทธิ์เห็นจะเป็นเมื่อต้นสัปดาห์ อีกฝ่ายขอบตาดำคล้ำ ผมเผ้าไม่เรียกว่ารุงรัง แต่ก็หลุดจากกรอบเดิมมากพอสมควร หนำซ้ำยังผอมลงจนสังเกตได้ หากไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสจริงๆ มีหรือคนที่ป็อบปูลาร์ในหมู่นิสิตชายและหญิงจะเป็นแบบนี้
“เป็นอาจารย์ งานหนัก งานเครียดเป็นธรรมดา”
“คุณพ่อดูผมสิครับ ไม่ยักกะเหมือนพี่พฤทธิ์”
“ก็เรามันติดสบาย” ลูกชายคนนี้แม้เอาการเอางานเหมือนพฤทธิ์ แต่ถ้าเทียบกันจริงๆ กลับไม่ได้ครึ่งหนึ่งของพฤทธิ์ เขาหนักใจและกังวลไม่น้อยว่ากรณ์จะทำให้ลูกศิษย์เกิดปัญหา จนบางครั้งก็นึกอยากให้เจ้าตัวลาออกมาดูแลกิจการที่บ้านแทน “จะชวนก็ชวน แล้วพฤทธิ์จะไปหรือ ถ้าไปก็ดี..ถือเป็นการให้เขาได้พักผ่อน พ่อเห็นแล้วนึกสงสาร สงสัยได้นิสัยบ้างานมาจากพ่อตัวเอง”
“ถ้าพี่พฤทธิ์ไม่บ้างาน ป่านนี้คงแต่งงานไปเรียบร้อยแล้ว”
หลงนั่งฟังเงียบๆ หัวใจกระตุกวูบเป็นระยะ ถึงไม่แสดงอาการอะไรออกมา แต่ข้างในรุ่มร้อนราวกับไฟเผา ทั้งเจ็บทั้งปวดเหมือนโดนกระทืบลงซ้ำๆ เขาอยากตัดใจ แต่ส่วนลึกยังกลับให้ความสนใจผู้ชายคนนี้ไม่ต่างอะไรจากเมื่อก่อน
“สีหน้าไม่ดีเลยหลง ไม่อยากไปหรือ”
“อยากไปครับ”
“ไม่ติดอะไรใช่ไหม พ่ออยากพาหลงไปเที่ยวตั้งแต่เข้ามาอยู่ในบ้าน แต่ไม่มีเวลาสักที” วุฒิยิ้มพลางลูบหัวเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างเอ็นดู ตั้งแต่เขารู้จักกับลดาก็เห็นเด็กคนหนึ่งแอบมองเขาอยู่บ่อยครั้ง ดวงตาสุกใสแสดงความอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ พอเข้าใกล้ก็วิ่งหายราวกับกระต่ายป่า
“ไม่ครับ”
“ดีแล้ว ไปชวนแม่ของเราด้วยนะ ช่วงนี้พ่อไม่ค่อยเห็นเลย กลับมาทีไรก็หลับเป็นตายทุกที”
“ครับ”
ฝนตกน้อยลง อากาศเริ่มแห้ง ใบไม้ทยอยเปลี่ยนเป็นสีส้มปนเหลืองแทรกอยู่ตามใบเขียว พอลมพัดหน่อยก็ร่วงลงมาตามพื้นถนน
อาการป่วยของเขาไม่ได้ร้ายแรงอะไรจนไม่ต้องมีใครมาส่งถึงอาคารเรียนแล้ว ครั้นจะบอกว่ามามหาวิทยาลัยเองได้ก็โดนคัดค้านจากทั้งวุฒิและกรณ์เพราะเป็นห่วง ทุกเช้าจึงมีสารถีจำเป็นมาส่งถึงริมฟุตบาท พร้อมกับกำชับว่าให้รอกลับบ้านพร้อมกัน หลงหรือจะกล้าปฏิเสธ..เดี๋ยวนี้เหมือนมีค้อนตอกปากไว้แน่น นึกอยากพูดอะไรก็พูดไม่ออก
คาบเรียนของอาจารย์พฤทธิ์ยังเต็มไปด้วยนิสิตหนาแน่นเช่นเคย หลายครั้งที่หลงไม่เข้าใจว่าคนพวกนั้นไม่คิดจะใช้สิทธิ์ขาดเรียนบ้างหรืออย่างไร ถ้าสิทธิ์ที่ว่าโอนให้กันได้ หลงจะเดินขอคนทั่วห้องโดยไม่มีเงื่อนไข
ปกติแล้วอาจารย์พฤทธิ์ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเจ้าระเบียบ แต่ถึงเจ้าระเบียบอย่างไรก็ไม่มีใครว่าอาจารย์ในทางเสียๆ หายๆ อีกทั้งอีกฝ่ายยังรวยทั้งรูปลักษณ์และรูปทรัพย์ การเรียนวิชาแสนน่าเบื่อคงไม่ต่างอะไรจากการดูหนังเรื่องหนึ่งที่มีพระเอกโดดเด่นทุกตอน
“เป็นอย่างไรบ้าง ตอนนั้นเป็นห่วงแทบแย่” ภัทรหอบหายใจน้อยๆ หยดเหงื่อผุดซึมราวกับวิ่งขึ้นมาจากชั้นหนึ่ง
“เกือบหายดีแล้ว ขอบใจมากที่ช่วยเรา”
“ไม่ได้ช่วยเยอะแยะเลย อาจารย์พฤทธิ์ต่างหาก” อีกฝ่ายหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อก่อนจะพูดต่อ “ถ้าอาจารย์ไม่ดึงไว้ ป่านนี้นายหัวแตกสมองไหลไปนานแล้ว”
“ช่างมันเถอะ” หลงพูดสั้นๆ ไม่อยากนึกถึงอาจารย์พฤทธิ์อีกแล้ว แต่พออีกฝ่ายเข้ามาภายในห้องบรรยาย สายตาเจ้ากรรมก็ดันมองตั้งแต่หัวจรดเท้ากระทั่งอาจารย์เอ่ยทักทายตามธรรมเนียม
“สวัสดีครับ”
เป็นอย่างที่กรณ์พูดไว้ แม้น้ำเสียงของพฤทธิ์จะเหมือนเคย แต่รอยยิ้มแปลกตาสะท้อนความรู้สึกกดดันจางๆ ไว้ รวมถึงน้ำหนักที่ลดลงจนเห็นได้ชัดทำให้เสื้อเชิ้ตที่เคยพอดีตัวกลับดูหลวมน้อยๆ
“ผมมีข่าวดีจะแจ้งให้นิสิตทุกคนทราบ” พฤทธิ์เว้นจังหวะ “คะแนนกลางภาคออกแล้ว ใครอยากทราบคะแนนของตัวเองให้ไปดูที่ห้องพักอาจารย์ได้นะครับ”
จากความเงียบในห้องกลายเป็นเสียงพูดคุยของคนในห้องแทน เป็นใครจะไม่ตื่นเต้นบ้าง..เขาคนหนึ่งที่ระงับความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่เช่นกัน
“ไม่ต้องกังวลนะครับ ปีนี้ทำคะแนนได้ดีกว่าปีก่อนๆ แต่มีบางคนที่วาดรูปมาส่งผม..ข้อสอบเป็นข้อสอบบรรยายนะครับ ให้เขียน ไม่ต้องวาดรูปมา” พฤทธิ์ยิ้มบางๆ เหมือนเป็นเรื่องตลก แต่อันที่จริงตอนเขานั่งตรวจต้องกินพาราเซตามอลไปหลายเม็ด “ตอนเที่ยงหรือตอนเย็นวันนี้ก็ได้ครับ พรุ่งนี้ผมจะเอาคะแนนไปติดบอร์ดให้ดู”
สำหรับหลงแล้ว ไม่คิดว่าข่าวดีของอาจารย์เป็นข่าวดีของพวกเขา ดูจากสีหน้าคนข้างๆ เป็นตัวอย่าง เจ้าตัวแทบไม่มีอารมณ์เรียน ได้แต่ถามว่าเมื่อไหร่จะถึงตอนเที่ยงเสียที
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เข็มสั้นของนาฬิกาชี้เลขสิบสอง พฤทธิ์เหลือบมองนาฬิกาหลังห้องเป็นครั้งสุดท้าย “อีกสามอาทิตย์สอบแล้ว หวังว่าพวกคุณจะเตรียมตัวกันดีๆ นะครับ อย่าให้เหมือนตอนสอบกลางภาค”
ท้ายชั่วโมงมีการถามตอบสั้นๆ แต่ละคนไม่ได้แย่งกันถามแย่งกันตอบเหมือนคาบก่อนๆ คงเพราะส่วนหนึ่งอยากรู้คะแนนแทบขาดใจและอีกส่วนหิวจนไส้แทบขาด สำหรับภัทรเจ้าตัวเป็นประเภทที่หนึ่ง แต่หลงเป็นประเภทที่สอง
“เมื่อไหร่อาจารย์จะเดินออกจากห้องสักที”
“อยากรู้ขนาดนั้นเลยหรือ”
“รู้ก็สบายใจ ผ่านไม่ผ่านก็อีกเรื่องหนึ่ง” ภัทรเก็บของใส่กระเป๋า ลุกขึ้นเร็วกว่าคนอื่นๆ “ไปดูกันเถอะหลง”
“ไปตอนนี้คนก็เยอะ ไปกินข้าวก่อนดีกว่า”
“เราขอไปดูก่อนได้ไหม”
“เอาสิ” หลงตอบสั้นๆ สำหรับหลงคะแนนสอบไม่ว่าตอนไหนก็ไม่สำคัญกับหลง เพราะตั้งแต่เด็กเขาก็ไม่ได้เป็นหัวกะทิหรือหางกะทิที่ใช้ไม่ได้ แต่อยู่ระดับกลางค่อนไปข้างหลังมากกว่า
ตอนเที่ยงในโรงอาหารคนเยอะก็จริง แต่ยังพอหาที่นั่งกินข้าวได้ แต่บริเวณห้องพักอาจารย์ของอาจารย์พฤทธิ์กลับแน่นขนัดเสียยิ่งกว่า ต่างคนต่างอยากรู้คะแนนของตัวเอง หลงเห็นแล้วได้แต่นั่งถอนหายใจเงียบๆ รอจนกระทั่งคนบางตาค่อยเข้าไปหาก็ไม่สาย
บ่ายโมงสิบห้านาที เหลือไม่กี่คนที่ยังไม่รู้คะแนน หลงจึงเดินเข้าไปต่อแถวเงียบๆ ไม่นานก็ได้เข้าไปในห้องของอาจารย์พฤทธิ์ เห็นอีกฝ่ายก้มๆ เงยๆ กับกองเอกสารจำนวนมาก
“สวัสดีครับอาจารย์” หลงยกมือไหว้อีกฝ่าย เห็นพฤทธิ์ไม่ตอบก็ยิ่งเพิ่มกดดันให้เขา อากาศโดยรอบคล้ายจะหยุดไปชั่วขณะ
“หายดีแล้วหรือ” พฤทธิ์ถามเรียบๆ ขณะมองข้อสอบที่เรียงอัดกันแน่น
เด็กหนุ่มยืนนิ่ง หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงใจเต้นอย่างไม่ต้องสงสัยที่อีกฝ่ายเป็นห่วงเขา แต่ตอนนั้นคำหวานของพฤทธิ์ไม่ต่างอะไรจากเข็มนับพันที่ทิ่มแทงให้ปวดแปลบ
“ผมอยากทราบคะแนนของผม”
เด็กหนุ่มตอบเสียงแข็งทำให้พฤทธิ์อดจะเงยหน้ามองไม่ได้ ดีแล้วไม่ใช่หรือที่คนๆ นี้ทำใจได้เสียที แต่ความรู้สึกลึกๆ ของเขากลับประท้วงขึ้นมาจนแน่นอก หากแต่พฤทธิ์รู้ดีว่ามันไม่ควรมีอะไรอย่างอื่นนอกจากความโล่งใจที่ระหว่างเขากับหลงจะเป็นเพียงอาจารย์และลูกศิษย์เหมือนเดิม อะไรบางอย่างจึงถูกปิดแน่นเสียจนรู้สึกอึดอัดใจ
พฤทธิ์ยื่นกระดาษคำตอบทั้งชุดให้เด็กหนุ่ม “หาดูในนี้”
“ผมไปดูข้างนอกได้ไหม”
“เชิญครับ” เขาตอบสั้นๆ แล้วก้มหน้าอ่านเอกสารราวกับมาเป็นเรื่องน่าสนใจเต็มประดา ทั้งที่ความจริงกระดาษแผ่นนี้ก็ไม่มีอะไรสำคัญนอกเสียจากแจ้งวาระการประชุมที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์เท่านั้น
เวลาผ่านไปไม่กี่อึดใจ เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้นพร้อมเด็กหนุ่มที่ยืนกอดกระดาษปึกหนึ่งไว้แน่น
“ผมดูเสร็จแล้ว” หลงวางกระดาษบนโต๊ะ “ขอบคุณครับ”
พฤทธิ์ก้มมองกองกระดาษเงียบๆ ก่อนจะพูดขึ้น “คุณควรจะทบทวนบทเรียนมากกว่านี้”
“ครับ”
เป็นครั้งแรกที่พฤทธิ์รู้สึกอยากมีบทสนทนามากกว่านี้..
พระอาทิตย์ยามบ่ายเจิดจ้าจนรู้สึกรู้สึกแสบตา กระนั้นพฤทธิ์ยังคงจดจ่ออยู่ข้างนอกหน้าต่าง ขณะที่แอร์เย็นจัดทว่าอากาศร้อนกลับแทรกผ่านกระจกเข้ามา เป็นความรู้สึกไม่ลงตัวเลยจริงๆ
เขาจมจ่อมกับความคิดของตัวเองร่วมชั่วโมง ไม่ดีหรือที่เด็กคนนั้นทำใจจากเขาและใช้ชีวิตตามปกติได้ เขาควรจะดีใจมากกว่ามานั่งทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเป็นอาจารย์..มีความรู้สึกเกินเลยต่อลูกศิษย์ตัวเองย่อมไม่เหมาะสม หลงก็เช่นเดียวกัน..มันถูกต้องหรือจะหลงรักเขา คำตอบของพฤทธิ์ชัดเจนแจ่มแจ้ง ทว่าส่วนลึกกลับประท้วงขึ้นมาจนกดกลับไม่ไหว
เหตุผลอีกอย่างหนึ่งคือพวกเขาเป็นผู้ชายทั้งคู่ ต่อให้สังคมเปิดรับเรื่องแบบนี้ก็ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับ คนอื่นมองอย่างไรเขาไม่สน แต่คนในครอบครัวจะคิดเห็นอย่างไร ทั้งหลงและเขาต่างอยู่ในสถานะที่ไม่คู่ควรทั้งคู่
“อาจารย์พฤทธิ์!” เสียงข้างหลังดังขึ้น ดึงเขาหลุดจากภวังค์ก่อนหมุนตัวกลับมาเผชิญใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าประตู
“มาไม่ซุ่มไม่เสียง”
“ผมเรียกคุณพฤทธิ์จนคอจะแตกอยู่แล้วครับ” กรณ์ขมวดคิ้วมองพี่ เรียกนานสองนานไม่ตอบสักคำ
“มีอะไร เวลางานคุณควรมีสอนไม่ใช่หรือ”
“ใครเขาสอนกันทั้งวันครับ ขนาดอาจารย์พฤทธิ์ยังว่างเลย” เขาไม่รอให้เจ้าของนั่งเชิญก็แทรกตัวนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะ “สะดวกคุยไหมครับ”
“ว่ามาสิ”
“อาทิตย์หน้าผมมาชวนพี่พฤทธิ์ไปเขาใหญ่ครับ พี่พฤทธิ์ว่างหรือเปล่า”
พฤทธิ์เงยหน้าขึ้น มองกรณ์นิ่งๆ “ต้องการอะไร”
“ทำไมดุแบบนี้ ผมเห็นพี่พฤทธิ์ทำงานหนัก อยากให้พักผ่อนบ้าง”
“ผมสบายดี”
“คนสบายดีที่ไหนเขาทำงานหามรุ่งหามค่ำขนาดนี้ อีกอย่าง..ผมโทรศัพท์ไปหาคุณแม่พี่พฤทธิ์เรียบร้อยแล้ว ท่านบอกว่าให้พี่พฤทธิ์ไปให้ได้”
เขาถอนหายใจ ขนาดนี้ไปเที่ยวยังต้องขออนุญาตเพ็ญแขอีกหรือ ถึงหล่อนจะเป็นแม่ก็ใช่จะบังคับเขาได้ทุกเรื่อง “คุณควรจะถามผมนะ ไม่ใช่ถามคุณแข”
“ก็พี่พฤทธิ์ต้องปฏิเสธแน่ๆ เพราะฉะนั้นพี่พฤทธิ์ก็ตกลงแล้วนะครับ”
“อืม”
“ผมจะส่งคนไปรับพี่ถึงที่แน่นอน”
“อืม”