อาทิตย์อัสดง บทที่ 9
พิชญเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านต่ออีกครู่ใหญ่จึงเดินออกมายืนอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน เห็นแผ่นหลังกว้างไม่สวมเสื้อของชายคนที่จะไปดูปลาโลมากระโดดน้ำอยู่ลิบๆ
วิวพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ชะง่อนผา ปลาโลมาใต้แสงดาว จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือแค่แกล้งพูดให้เราอยากดู
พิชญนั่งลงบนขั้นบันได รู้สึกเบื่อมากเพราะไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านี้ เขายังอามณ์เสียอยู่เพราะคนขับเรือผิดนัด
“บ้าจริงๆ แล้วทำไงเราถึงจะกลับกรุงเทพฯ ได้ล่ะทีนี้ อีตานั่นก็ไม่เห็นท่าทางจะเดือดร้อนด้วย จะหาทางช่วยหน่อยก็ไม่มี อะไรกัน ยังจะมีหน้ามาชวนไปเดินชมธรรมชาติ” พิชญบ่นอยู่คนเดียว
ชะง่อนผา มองลงไปเห็นทะเลกว้างใหญ่ วิวพระอาทิตย์ยามเย็น ตามด้วยท้องฟ้ามืดสนิทมีดาวระยิบระยับเต็มไปหมด จากนั้นก็ชมฝูงปลาโลมากระโดดเล่นน้ำ
โอย อยากดู อยากเห็น
พิชญถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินลงจากบ้าน มุ่งตรงไปตามทางที่ผู้ชายตัวโตคนนั้นเดินไป แม้ขณะนี้ร่างของคนที่ไม่ชอบสวมเสื้อนั้นลับจากสายตาไปแล้วแต่พิชญคิดว่าหากเขาเร่งเท้าขึ้นอีกหน่อยก็คงจะตามทัน
พิชญคิดผิด เขาเดินมาครึ่งชั่วโมงกว่าแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะตามผู้ชายตัวโตคนนั้นทัน แต่พิชญไม่หนักใจเพราะรู้ว่านี่คือเกาะส่วนตัว หากจะหลงทางก็คงได้แต่เดินนวนไปวนมาบนเกาะ ถ้าผิดสังเกตผู้ชายคนนั้นคงมาตามหาและไม่นานก็คงเจอเขา
ท่าทางเขาคุ้นกับเกาะมากนี่นา แต่ละวันที่หายใปก็ไปเดินอยู่รอบเกาะจนน่าจะรู้จักพื้นที่แทบทุกตารางนิ้ว
เมื่อเดินมาได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงพิชญก็ได้ยินเสียงหนึ่งซึ่งคิดว่าเป็นเสียงเครื่องยนต์ คำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือคำว่า 'เรือ'
พิชญรีบเร่งเท้า เดินตรงไปยังทิศตะวันตก ตั้งใจจะไปให้ถึงสุดเกาะซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นโขดหินหรือหน้าผาเพราะภูมิประเทศด้านทิศตะวันตกของเกาะเป็นโขดหินสูง
กว่าจะมาถึงหน้าผาเล็กๆ สูงประมาณสิบเมตรจากระดับน้ำทะเลพิชญก็เหงื่อโทรมกาย แต่เมื่อมองออกไปยังทะเลกว้างเบื้องหน้ากลับไม่เห็นเรือสักลำ ชายหนุ่มพ่นลมออกมาจากปากด้วยความหงุดหงิดปนกับความเหนื่อย แต่อีกใจหนึ่งก็นึกว่าตัวเองอาจจะหูแว่ว
พิชญนั่งพัก มองไปทางทิศใต้และทิศเหนือสลับกัน ทิศใต้มีโขดหินสูงมากซึ่งสูงชันขึ้นไปสลับกับพุ่มไม้ทึบ ไม่มีทางที่เดินลัดเลาะไปได้ แต่ทิศเหนือเป็นโขดหินเล็กสลับใหญ่ค่อยๆ ลาดชันขึ้นไปทีละน้อยซึ่งน่าจะพอปีนป่ายขึ้นไปอย่างไม่ลำบากเท่าใดนัก
เอ๊ะ หรือว่านี่คือทางไปชะง่อนผาอย่างที่อีตานั่นพูด
แล้วนี่ชวนเรามา พอเราปฏิเสธหน่อยก็หายไปเลย เวลาเดินน่าจะรอกันบ้าง ไม่คิดหรือไงว่าเราอาจจะเปลี่ยนใจตามมา
พิชญบ่นให้คนที่อยู่ร่วมเกาะในใจแล้วลุกขึ้น ค่อยๆ เดินลัดเลาะไปตามทางสลับกับการปีนโขดหินขึ้นไปทางทิศเหนือ ลมเริ่มแรงขึ้น พัดเอาไอ้ร้อนผสมไอเย็นมาปะทะใบหน้า รู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด เสียงนกนางนวลร้องฟังราวกับเป็นจังหวะดนตรีธรรมชาติ คลื่นกระทบโขดหินดังค่อยๆ ส่งเสียงสะท้อนก้องกังวาน พิชญเริ่มฮัมเพลง รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที จากนั้นก็เริ่มส่งเสียงดังขึ้นเป็นการร้องเพลงเต็มเสียง และไม่นานก็กลายเป็นการแหกปากร้องเพลงโดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะได้ยินและมองเขาเป็นตัวแปลกประหลาด
พิชญหยุดพักแล้วนั่งลงบนโขดหินเล็กๆ มองออกไปยังทะเลเวิ้งว้างเบื้องหน้า แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบผิวน้ำทะเลราบเรียบ ทำให้เกิดแสงสะท้อนระยิบระยับ
สวยงามแบบนี้เอง มิน่า คนเขาถึงได้ทุ่มเงินซื้อเกาะแล้วสร้างบ้านพักเอาไว้ คอยดูนะ รอให้เราทำงานเก็บเงินได้เยอะๆ ซะก่อน เราก็จะซื้อเกาะเหมือนกัน
พิชญยิ้มกว้างอยู่คนเดียว รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันทีทั้งที่รู้ว่าเมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ จะต้องเผชิญกับปัญหาอีกมากมาย
การหลบมาพักที่เกาะกลางทะเลช่วยได้มากจริงๆ ได้ปลดปลอย ได้...ได้...
เอ...แล้วการที่ได้ทะเลาะกับผู้ชายคนนั้นและไม่เหงาปากนี่มันช่วยด้วยหรือเปล่านะ
พิชญหัวเราะหึๆ ในลำคอและทันใดก็รู้สึกอยากจะปลดปล่อยอารมณ์จึงลุกขึ้นตะโกนออกมาดังๆ
“เฮ้อ รู้สึกดีจัง” พิชญพูดแล้วกระโดดและตะโกนอีกครั้ง
แต่คราวนี้เขายืนนิ่ง ขมวดคิ้ว เพราะคิดว่าตัวเองเห็นอะไรบางอย่างขณะที่กระโดด
ยอดสีขาวๆ แบบนั้นมันคือปลายเสากระโดงเรือหรือว่าธง
พิชญกระโดดสุดแรงอีกครั้งเพื่อดูให้ชัดขึ้น
เรือ ต้องมีเรือจอดอยู่ฟากโน้นแน่ๆ
พิชญรีบปีนขึ้นโขดหินทางทิศเหนือเพื่อขึ้นไปยังจุดที่สูงขึ้น จริงอย่างที่คิด เขาเห็นเสาสีขาวโผล่ขึ้นมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แนวโขดหินของเกาะโค้งไปทางทิศตะวันตกและสูงชันขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งพิชญคิดว่าน่าจะเป็นที่เรือลำนั้นจอดหลบอยู่
พิชญเร่งฝีเท้า ตรงไปข้างหน้าอย่างมุ่มมั่น และไม่นานก็มายืนอยู่บนหน้าผา มองลงไปเห็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องเบิกตากว้าง
เรือยอท์ชสีขาวขนาดกลางจอดนิ่งอยู่ในเวิ้งอ่าวเล็กๆ!
พิชญหันซ้ายหันขวา มองหาทางที่จะลงไปยังเรือลำนั้น เขาคิดว่าวิธีง่ายที่สุดคือกระโดดลงไปในน้ำและว่ายน้ำเข้าไปหาเรือ แต่เขาคงไม่บ้าบิ่นขนาดนั้น
พิชญมองไปทางทิศเหนือ ทางเดินลาดต่ำลงแต่ก็เป็นระยะทางกว่าสามร้อยเมตร หากเดินลงไปทางนั้นก็จะห่างจากเรือมากขึ้น แต่เขาก็สงสัยว่าอาจจะปีนลงไปยังโขดหินที่ปริ่มน้ำทะเลได้ แล้วคงจะต้องเดินลัดเลาะไปตามโขดหินใต้หน้าผาเพื่อไปยังจุดที่ใกล้เรือที่สุด
เท้าไว้เท่าความคิด พิชญเดินไปทันทีแต่เมื่อถึงจุดที่ต่ำสุดเขาก็ยังมองไม่เห็นทางที่จะปีนลงไปยังโขดหินข้างล่างได้ จุดที่เขายืนอยู่ถึงแม้จะต่ำแต่ก็ยังมีความสูงประมาณกว่าสี่เมตร
พิชญบ่นพึมพำด้วยความหงุดหงิดแล้วเดินขึ้นเนินย้อนกลับไปจุดที่เรือจอด ตั้งใจจะตะโกนเรียกคนที่อยู่ในเรือ
ลืมไปได้ยังไง ถ้าเรียกดังๆ คนที่อยู่ในเรืออาจจะได้ยิน เราจะขอร้องหรือไม่ก็จ้างให้ไปส่งที่กระบี่ หรือไม่ก็ไปส่งที่เกาะไหนซักแห่งที่จะเช่าเรือชาวประมงได้
พิชญตะโกนจนคอแห้งแต่ก็ไร้ผลเพราะไม่มีเสียงขานรับจากเจ้าของเรือยอท์ชหรู ชายหนุ่มนั่งลงอย่างหมดแรง รู้สึกแทบจะหมดหวัง ใจหนึ่งบอกตัวเองว่าให้รออย่างอดทน เจ้าของเรืออาจกำลังออกไปพายเรือแคนูเล่นหรือไม่ก็ไปดำน้ำ แต่อีกใจหนึ่งบอกให้กลับไปบ้านก่อนนแล้วค่อยกลับมาอีกทีพรุ่งนี้เช้าเพราะพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว
ไม่ได้หรอก เผื่อเขากลับมาแล้วขับเรือไปซะก่อนล่ะ และอีกอย่าง พอใกล้ค่ำ ถ้าไปเที่ยวอยู่ที่ไหนเจ้าของเรือก็คงจะกลับมานอนที่เรือของตัวเอง
พิชญจึงนั่งรออย่างอดทน เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เวลาเย็นเข้ามาเยือน แสงสีทองเริ่มจับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงและไม่นานก็หายลับไปกับทะเลเวิ้งว้าง ความเงียบและความมืดเข้าปกคลุมทั่วทั้งบริเวณแต่ก็ไร้วี่แววว่าเจ้าของเรือจะกลับมา บนเรือเงียบและมืดสนิท
ขออีกซักหนึ่งชั่วโมง ถ้าไม่มาเราก็จะล้มเลิกความตั้งใจที่จะรอ แล้วค่อยเสี่ยงดวงกลับมาใหม่พรุ่งนี้
เขาไปไหนของเขานะ ไม่ห่วงเรือตัวเองหรือไง ถ้าเกิดมีคนไม่ดีขึ้นไปบนเรือแล้วขับหนีไปจะว่ายังไง
พิชญเอนตัวลงนอนหงาย ตามองขึ้นไปท้องฟ้า เห็นดาวเริ่มทอแสงประกายระยิบระยับ แม้ดาวยังปรากฎไม่มากแต่ก็ดูสวยงามยิ่งนัก พิชญรู้ว่ายิ่งดึกดาวก็จะยิ่งเต็มฟ้า
แล้วผู้ชายคนนั้นไปนั่งดูดาวกับปลาโลมาอยู่ที่ชะง่อนผาตรงไหน ตรงจุดนี้ก็เรียกว่าชะง่อนผา วิวก็สวย ทำไมเขาไม่มาตรงนี้ อย่างน้อยจะได้ช่วยหาทางติดต่อเจ้าของเรือ
แต่เอ๊ะ เขาเดินท่องไปทั่วเกาะ ยังไงก็ต้องผ่านมาแถวนี้บ้าง นายคนนั้นจะไม่เห็นเลยหรือว่ามีเรือยอท์ชจอดอยู่ตรงนี้
หรือว่า!
หรือว่ามันเรือของเขา
สองทุ่มครึ่งแล้วแต่คนที่เคยอยู่ร่วมบ้านกับเขาได้ครึ่งเดือนยังไม่กลับ อาหารเย็นที่ทำเอาไว้เผื่อชายหนุ่มคนนั้นตอนนี้เย็นชืด พยุตม์จึงลงจากบ้านเพื่อออกไปตามหา ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เห็นร่างของชายหนุ่มชาวกรุงเดินมาตามทางเดินกลางเกาะ ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง
“คุณหายไปไหนมา” พยุตม์ถาม “อย่าบอกนะว่าไปนอนเล่นที่เปลใต้ต้นไทรแล้วลงมาไม่ได้”
“อย่ามากวนอารมณ์นะคุณ” พิชญตอบเสียงเย็น
“อ้าว คนถามเพราะเป็นห่วง”
“ผมหลงทาง” พิชญตอบแล้วนั่งลงกับพื้นเพื่อพักเหนื่อย “นี่ดีนะที่เดินขึ้นเหนือไปจนเจอเปลกับต้นไม้เลยกลับถูก”
“คุณไปไหนมา” พยุตม์นั่งยองๆ ลงข้างๆ พร้อมกับถามเสียงนุ่ม
“ไปดูชะง่อนผากับปลาโลมาเล่นน้ำทะเลใต้แสงดาวมั๊ง” พิชญกระแทกเสียง “แล้วคุณล่ะ เห็นบ้างหรือเปล่า”
“เปล่า” พยุตม์ส่ายหน้า “ผมไม่ได้โชคดีเสมอไปหรอก”
“หรือว่าคุณหลอกผม”
“หลอกเรื่องอะไร”
“ชะง่อนผาน่ะมีจริง แต่ปลาโลมาเล่นน้ำตอนกลางคืนนี่คงเป็นราคาคุย คุณต้องการให้ผมหยุดเดินไปเดินมาและออกมานอกบ้าน ก็เลยพูดหลอกล่อให้ผมทำตาม”
“ผมจำได้ว่าผมชวนคุณแต่คุณไม่ไปกับผม” พยุตม์จ้องหน้าพิชญ “แล้วอยู่ๆ ทำไมเกิดเปลี่ยนใจ ถ้าคุณยอมไปกับผมตั้งแต่ตอนนั้นก็คงไม่หลงทางแล้วก็ไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้”
“ช่างเถอะ ผมไม่ได้กลัวอะไรเท่าไหร่ เกาะก็แค่นี้ ผมรู้ว่าตัวเองอยู่ทิศตะวันตก ถ้าเดินเลียบไปตามแนวโขดหินก็คงขึ้นไปถึงทิศเหนือซึ่งเป็นหาดทรายและเจอต้นไม้ใหญ่...”
“ต้นไทร” พยุตม์แทรก
“นั้นล่ะ ต้นอะไรก็ช่างเถอะ แล้วผมก็จะใช้ทางเดินตัดผ่านกลางเกาะกลับมาที่บ้านได้อยู่แล้ว ผมไม่ใช่คนโง่”
“อืม...ก็ดี” พยุตม์พยักหน้า
“ผมไม่ใช่คนโง่” พิชญพูดซ้ำอีกครั้งช้าๆ ชัดๆ
“อืม...ผมก็ว่ายังงั้นล่ะ”
“คุณมีอะไรปิดบังผมหรือเปล่า” พิชญจ้องตาอีกฝ่าย
“เรื่องอะไรครับ”
“ถ้าผมรู้ว่าเรื่องอะไรผมจะถามคุณทำไม”
“ทำไมผมต้องปิดบังคุณ หรือทำไมผมต้องปิดบังใคร” พยุตม์หันไปมองด้านข้าง
“คนเรามีเหตุผลเป็นร้อยเป็นพันที่จะไม่พูดความจริง”
“ผมไม่เข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร”
“คุณรู้ไหมว่าวันนี้ผมไปเจออะไรมาบ้าง” พิชญพูดเสียงเข้ม
“ทำหน้าอย่างนี้แสดงว่าไม่เป็นปลาโลมา” พยุตม์ยิ้มกว้าง “บอกแล้วว่าให้ไปกับผม”
“ถึงไปกับคุณก็ไม่เห็น เมื่อกี้คุณก็บอกว่าคุณโชคไม่ดี ไม่เห็นปลาโลมาซักตัว”
“ไปกันสองคนอาจจะโชคดีก็ได้” พยุตม์ยักไหล่แล้วลุกขึ้น “ไปกันเถอะคุณ นี่จะสามทุ่มอยู่แล้ว ผมว่าคุณดูเหนื่อย กลับบ้านอาบน้ำเย็นๆ นอนเตียงสบายๆ จะได้พักผ่อน”
“ผมเห็นเรือ” พิชญพูดโพล่งขึ้นมา
“อยากกลับกรุงเทพฯ มากจนตาฝาด” พยุตม์พูดเบาๆ
“เรือยอท์ช หรูไม่ใช่เล่นเลยล่ะ”
“คุณคงเดินเร็วไม่ไหว ผมล่วงหน้าไปก่อนนะครับ แล้วเจอกันที่บ้าน” พยุตม์เร่งเดิน
ใช่แน่ๆ เรือของอีตานี่แน่ๆ ทำเฉไฉออกนอกเรื่องแบบนี้เพราะไม่อยากโดนซักไซร้ไล่เลียง
พิชญหรี่ตามองแผ่นหลังกว้างอวดผิวสีเข้มและมัดกล้ามแกร่งแล้วรู้สึกอยากจะหยิบก้อนหินขว้างให้หายเจ็บใจ
อยู่ด้วยกันบนเกาะมาตั้งสองอาทิตย์เขาไม่เคยปริปากเลยว่ามีเรือยอท์ช เอาแต่คุยว่าสร้างบ้านเองและเกาะเป็นของเขา
แต่เราก็ไม่เชื่อนี่นา ใช่ไหมล่ะ ถ้ายังงั้นเขาจะเอาเรื่องเรือยอท์ชมาพูดให้โดนแขวะว่าอวดรวยทำไม ปากเราก็ยิ่งร้ายอยู่ด้วย
ไม่รู้ล่ะ แต่เมื่อเช้านี้ที่เรือเบี้ยวนัดเราทำให้กลับไม่ได้ เขาก็น่าจะพูดออกมา น่าจะเสนอตัวไปส่งด้วยซ้ำ ไม่ใช่ทำเป็นใจเย็นอยู่แบบนี้ ไร้น้ำใจ และกวนอารมณ์มากจนถึงมากที่สุด
เมื่อกลับถึงบ้านพิชญยิ่งหงุดหงิดมากกว่าเดิมเมื่อ 'เจ้าของเรือยอท์ช' ใช้เวลาอาบน้ำนานมากจนเขาต้องไปเคาะประตู
“คุณอาบน้ำขัดผิวให้ขาวหรือไง อย่าลืมนะ บ้านหลังนี้อยู่กันสองคน ผมก็ต้องอาบน้ำเหมือนกัน” พิชญพูดเสียงดัง
“จะเสร็จแล้วครับ” คนที่อยู่ในห้องน้ำตอบเสียงดังเช่นกัน
“หรือคุณจะหลบหน้าผม”
“ผมจะหลบหน้าคุณทำไม เรื่องหลบหน้าคุณไม่เคยอยู่ในสมองผมเลยคร้าบ”
“แน่ใจนะว่าไม่ได้หลบหน้าผม” พิชญพูดเสียงเย็นชา
“นอกเสียจากว่าผมรู้สึกว่าคุณอยากหาเรื่อง”
“ผมไม่ใช่คนชอบหาเรื่องใคร”
“ผมก็ไม่ใช่คนที่อยากมีเรื่องกับใคร ผมชอบอยู่เงียบๆ อาบน้ำเสร็จก็คงรีบเข้านอน”
พิชญเบ้ปาก ตอนนี้รู้อย่างไม่สงสัยอะไรแล้วว่าผู้ชายคนนี้ปิดบังเรื่องเรือยอท์ช
แต่รู้จักพิชญน้อยไปแล้วพ่อตัวดี อย่าหวังว่าจะได้หลับง่ายๆ
ร้ายจริงๆ ร้ายแบบหน้านิ่งๆ
แล้วแสดงออกแบบนี้ไม่รู้หรือไงว่าเราจะจับได้
ก็ใช่สิ เขาหาทางเอาตัวรอดไม่ได้นี่นา มันชัดเจนเสียจนไม่รู้จะชัดเจนยังไง เรือจะเป็นของใครไม่ได้ถ้าไม่ใช่ของตัวเอง ลองดูหน่อยสิว่าอีตานี่จะปฏิเสธหรือจะเล่นลิ้นกับเราไปถึงไหน
“คุณเคยรู้มาก่อนหรือไม่ว่ามีเรือมาจอดอยู่ที่ใต้หน้าผา” พิชญถามต่อ
“หา อะไรนะครับ”
“คุณรู้หรือเปล่าว่ามีเรือจอดอยู่ใต้หน้าผาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ”
“ผมกำลังอาบน้ำ เราค่อยคุยกันตอนอื่นได้ไหมครับ ผมไม่ค่อยได้ยิน”
“ผมอยากคุยตอนนี้” พิชญพูดเสียงเข้ม
“ถ้ายังงั้นก็เข้ามาคุย” เสียงห้าวนั้นตอบและไม่กี่อึดใจประตูห้องน้ำก็เปิดออก พิชญสะดุ้ง ก้มลงมองเนื้อตัวคนที่ยืนเปลือยกายมีหยดน้ำพราวเต็มตัว
“คนบ้า” พิชญอุทาน
“คุณอยากคุยก็คุยมาสิ” พยุตม์ทำหน้าจริงจัง
“เปิดประตูออกมาได้ยังไง” พิชญตำหนิ ละสายตาจากกลางลำตัวของ 'ชีเปลือย' ให้มองสูงกว่าเดิมแต่ทำได้แค่เพียงหยุดสายตาอยู่ที่แผ่นอกกว้าง
“ก็คุณเร่ง ผมมีเวลานุ่งผ้าเช็ดตัวที่ไหนเล่า ไหนล่ะ อยากคุยนักไม่ใช่หรือ” พยุตม์พูดเสียงเข้ม
“คุณไปหยิบผ้าเช็ดตัวมานุ่งให้เรียบร้อย” พิชญสั่ง
“คุณครับ นี่จะรอจนกว่าผมอาบน้ำเสร็จไม่ได้เลยหรือไง”
“คุณอาบมานานแล้ว”
“ผมยังไม่เสร็จ” พยุตม์ตอบแล้วหัวเราะในลำคอ “แต่ความจริงใกล้จะถึงจุด เอ๊ย เสร็จแล้ว ถ้าไม่โดนรบกวนกลางคันจนอารมณ์ค้าง”
“บ้าจริงๆ” พิชญหันหลัง เดินออกไปจากห้อง ปากบ่นพึมพำว่า “โด่เด่เปิดประตูออกมาได้”
::: End of chapter 9 :::