ตอนที่ 8 ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย
จำนวนลูกค้าที่ยังคงหนาตาในช่วงเที่ยงของวันใหม่สร้างความพอใจให้กับหม้ายสาวใหญ่เจ้าของเกสต์เฮาส์อย่างเดือนดาราไม่น้อย แม้ฝีมือการทำอาหารของเธอจะดีจนลูกค้าต่างออกปากชม แต่ด้วยภาระล้นมือที่ไหนจะต้องดูแลเกสต์เฮาส์ ไหนจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำครอบครัวและการช่วยบริหารโรงงานเซรามิคของพี่เขย ทำให้เธอจำเป็นจะต้องมีผู้แบ่งเบาภาระ ดังนั้นการควานหาแม่ครัวคนใหม่แทนคนเดิมที่เพิ่งลาออกไปจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นการด่วน ตั้งแต่สิบเอ็ดโมงกว่า ๆ เป็นต้นมากระดาษจดรายการอาหารถูกวางเรียงกันไว้ที่โต๊ะ ในขณะที่แม่ครัวคนใหม่เองก็ยังสาละวนอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบไว้เป็นชุด ๆ ทั้งกระเทียม พริก เนื้อสัตว์และผัก จนกระทั่งทุกอย่างพร้อมก็เทลงในกะทะที่ตั้งน้ำมันร้อนฉ่า ผัดจนสุกดีก็ตักขึ้นราดข้าวเตรียมเสิร์ฟ
"วันนี้มากันพร้อมหน้าเลยนะจ๊ะ" ชลธรกล่าวอย่างยิ้มแย้มงขณะวางเมนูอาหารลงบนโต๊ะของเหล่าหนุ่ม ๆ พนักงานไปรษณีย์ที่เพิ่งมาถึง
"ไม่ได้มาหลายวัน คิดถึงข้าวอร่อย ๆ ของครัวแสงจันทร์น่ะครับ" คนอายุมากที่สุดในกลุ่มยิ้มกริ่มพร้อมส่งสายตาวิบวับเสียจนคนฟังออกอาการเขินจนต้องหลบสายตา
"ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนให้ทุกคนช่วยให้คะแนนฝีมือการทำอาหารของแม่ครัวคนใหม่ด้วยแล้วละ"
"หาคนใหม่ได้แล้วเหรอครับพี่ชล" ศิธาพัฒน์ที่ไม่ได้ใส่ใจกับเมนูอาหารเหมือนกับสองหนุ่มที่เหลือเอ่ยขึ้น
"ใช่จ้ะ วันนี้เริ่มงานวันแรก ยังไงก็ช่วยคอมเมนท์ด้วยนะจ๊ะ" หญิงสาวกล่าวขณะควานหยิบสมุดฉีกกับปากกาในกระเป๋าหน้าท้องของผ้ากันเปื้อนที่สวมอยู่ขึ้นมาเตรียมพร้อม
เมื่อได้ฟังดังนั้นหนุ่ม ๆ พนักงานไปรษณีย์ต่างก็รับคำด้วยความยินดี จะมีก็แต่เพียงศิธาพัฒน์เท่านั้นที่เอาแต่นั่งนิ่ง
"ผมเอาผัดผักบุ้งราดข้าวกับไข่เจียวครับ" ประโยคสั้น ๆ ที่เพิ่งจบลงทำเอาคนที่กำลังจดรายการอาหารต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ
"เบื่อข้าวผัดหมูแล้วเหรอจ๊ะ" ชลธรเย้าขณะจดลงกระดาษ
ชายหนุ่มสวมแว่นตากรอบกลมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้นจากเมนูอาหาร มองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ ตอนนี้ศิธาพัฒน์พบว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของทั้งลูกสาวเจ้าของเกสต์เฮาส์หน้าหวานและเพื่อนร่วมงานทั้งสองคน
"เออ นั่นสิ วันนี้มาแปลก" วิษณุหรี่ตามอง
"แปลกอะไรกันพี่นุ ผมก็เปลี่ยนไปกินอย่างอื่นบ้างสิพี่ เมนูร้านพี่ชลเขามีตั้งเยอะ" คนถูกจ้องทำเฉไฉพลางมองไปทางห้องครัวเล็ก ๆ ซึ่งแยกออกจากตัวบ้าน เพียงแค่อยากเห็นหน้าไอ้เด็กบ้ากวนประสาทอีกสักครั้ง...
แม้ว่าจำนวนลูกค้าจะมีมากแต่ส่วนใหญ่ได้อาหารที่สั่งกันเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่บางโต๊ะก็อยู่ในระหว่างการรอเรียกคิดเงิน รายการอาหารที่เพิ่งสั่งไปได้ไม่นานก็ถูกยกออกมาเสิร์ฟโดยหญิงสาวแปลกหน้าซึ่งเหล่าหนุ่ม ๆ พนักงานไปรษณีย์ต่างก็พากันคาดเดาเอาว่าน่าจะเป็นแม่ครัวคนใหม่ที่ชลธรพูดถึง เธอสวมผ้ากันเปื้อนคลุมทับชุดที่ใส่อยู่ ผมยาวถูกรวบเก็บไว้ภายใต้หมวกตาข่ายสีขาวสำหรับสวมทำอาหาร ที่แขนสวมทับด้วยปลอกแขนกันความร้อน มองโดยรวมก็เหมือนชุดพนักงานกลาย ๆ และหากคะเนไม่พลาดเธอน่าจะอายุราว ๆ สามสิบปลาย ๆ เห็นจะได้
“เจินจิมผ่อเน้อ รสชาติเป๋นจะไดก่ะติชมได้นะเจ้า” รอยยิ้มที่เป็นมิตรและน้ำเสียงนิ่มเนิบทำเอาหนุ่มเมืองกรุงอย่างศิธาพัฒน์อดที่จะตั้งใจฟังและยิ้มตามไม่ได้ แม้ว่าแม่ของเขาจะเป็นคนลำปางก็ตาม แต่ด้วยสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวตั้งแต่เมื่อต้องย้ายตามพ่อเข้าไปอยู่ที่บ้านสวนเมืองนนท์ทำให้น้อยนักที่จะได้ยินแม่พูดภาษาถิ่นฐานบ้านเกิดที่เนิบนาบนุ่มนวลชวนฟังเช่นนี้
"ปี้ใจ้ก่อครับตี้เป๋นแม่ครัวคนใหม่ของตี้นี่" วิษณุถามขณะที่นภาค่อย ๆ วางจานข้าวลงบนโต๊ะ
"ใจ้เจ้า"
"คนตี้ไหนครับเนี่ย"
"คนหละปูนเจ้า"
"อ้อ บ่ไกล๋ๆ" คนพูดพยักหน้าพลางดึงจานที่เป็นของตัวเองมาไว้ตรงหน้า
"แล้วคุณคนตี้ไหนเจ้า"
"ผมคนหละปางครับ"
“อ้าว ผมคิดว่าพี่นุเป็นคนทุกที่เสียอีก นี่ผมเข้าใจผิดหรอกเหรอ” อยู่ ๆ คนที่เริ่มลงมือตักข้าวเข้าปากนำคนอื่น ๆ ไปก่อนก็แทรกขึ้นทำให้การสนทนาต้องสะดุด นภายิ้มขณะวางจานข้าวจานสุดท้ายลงตรงหน้าศิธาพัฒน์ที่เอาแต่นั่งยิ้ม
“ไอ้เวรบัส กินข้าวไปเงียบ ๆ ก็ไม่มีใครเขาหาว่าเป็นใบ้นะ” วิษณุกล่าวก่อนจะตักข้าวเข้าปาก
“แหม...ผมล้อเล่นนิดเดียวภาษากลางชัดเป๊ะมาเลยนะพี่”
“วอน ๆ เดี๋ยวพ่อโบกลืมบ้านเกิด” คนพูดไม่พูดเปล่า ยังทำท่าประกอบจนอีกคนเตรียมหลบแทบไม่ทัน
ศิธาพัฒน์โคลงศีรษะไปมาละสายตาจากสองคนที่กำลังเถียงกัน พิจารณาสิ่งที่อยู่ในจานตรงหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจเมื่อเห็นว่าไม่ใช่สิ่งที่ตนเองสั่งไปในทีแรก “ข้าวผัดจานนี้ผมไม่ได้สั่งนะครับ น่าจะส่งผิดโต๊ะหรือเปล่า”
"อืม...บ่ได้สั่งกะเจ้า"
“ครับ ผมสั่งข้าวราดผัดผักบุ้งกับไข่เจียว ไม่ใช่ข้าวผัดหมูครับ”
"แปลก ก่อตะกี้คุณเต็มเปิ้นบอกว่าลูกก๊าขอเปลี่ยนเป๋นข้าวผัดหมูจานนึ่ง แล้วเปิ้นก่อเป๋นคนลงมือผัดคนเดียวตวยนาเจ้า"
“คุณเต็ม?” ศิธาพัฒน์ทวนชื่อที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่พร้อมกับเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
“เจ้า” เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังคงลังเลกับอาหารตรงหน้า แม่ครัวคนใหม่จึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น "ถ้าจะอั้นเดียวปี้ไปยะหื้อใหม่ก่อแล้วกั๋นนาเจ้า"
“สงสัยจะหยิบกระดาษผิดใบมั้ง ให้พี่เขาทำให้ใหม่ไหมปุ่น” วิษณุเสริม
“มะ..ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องทำใหม่หรอกครับ ผมกำลังนึกอยากทานข้าวผัดอยู่พอดี” พูดจบมือหนาก็รีบดึงจานข้าวเข้าหาตัว จับช้อนและส้อมตั้งท่าเตรียมพร้อมเหมือนกลัวจะโดนใครแย่ง แม้จะงง ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่สุดท้ายนภาก็ยอมทำตามความต้องการของลูกค้าแต่โดยดี
....
“พี่ชลคร้าบบบบบ คิดเงินด้วยครับ” เสียงอ่อนเสียงหวานของลูกค้าขาประจำเรียกรอยยิ้มเล็ก ๆ ให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชลธรอีกครั้ง ตั้งแต่เที่ยงเป็นต้นมาเธอแทบจะไม่ได้พักเลยเพราะไหนจะต้องรับออเดอร์ ไหนจะต้องวิ่งวุ่นคิดเงินให้ลูกค้าและรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ
“วันนี้อาหารเป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
“อร่อยมากครับพี่ชล” ชายหนุ่มหวีผมเรียบแปล้กล่าวพร้อมกับตบพุงตัวเองเบา ๆ
“นี่ไม่ได้พูดเพื่อรักษาน้ำใจกันใช่ไหม”
“โถ่..อร่อยจริง ๆ ครับพี่ นี่ถ้าไม่ติดว่าเดี๋ยวจะเข้างานแล้วผมจะสั่งอีกสักจาน”
“จะสั่งไหมล่ะจ๊ะ วันนี้มีเจ้าภาพนะ”
“หมายความว่ายังไงครับพี่ชล” บัสถามอย่างแปลกใจ
“มื้อนี้ฟรีจ้ะเพราะมีผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ”
เมื่อได้ฟังดังนั้นสามหนุ่มต่างก็ร้องหาเหตุผลขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ก็...ถือว่าเป็นการขอบคุณที่ช่วยชิมฝีมือแม่ครัวคนใหม่ให้ไงจ๊ะ”
แม้เพื่อนร่วมงานจะพากันพยักหน้าหงึก ๆ แต่ศิธาพัฒน์รู้ดีว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง สิ่งที่ช่วยยืนยันความคิดของเขาก็คือจานข้าวตรงหน้าที่ตอนนี้ไม่เหลือซากให้ใครเดาถูกว่ามันเคยมีข้าวผัดหมูแสนอร่อยอยู่เต็มจาน
ข้าวผัดหมูที่ไม่ใส่ทั้งหอมชิ้นเล็กหรือหอมชิ้นใหญ่...ตามสัญญา...พยายามมองหาเจ้าภาพตามที่ชลธรว่าเพื่อจะขอบคุณก็ยังหาไม่เจอ...
ศิธาพัฒน์ละสายตาจากสองหนุ่มที่เพิ่งขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปจากหน้าเกสต์เฮาส์ หันกลับมากล่าวขอบคุณกับคนที่เดินออกมาส่งและขอบคุณสำหรับอาหารมื้ออร่อยมื้อนี้
“ไปขอบคุณเจ้าภาพเขาดีกว่าจ้ะ พี่ถามว่าไปติดหนี้อะไรกันมาก็ไม่ยอมบอก บอกแต่ว่าเดี๋ยวมื้อนี้เต็มจ่ายให้เอง นี่ก็ว่าจะถามปุ่นอยู่ว่าเรื่องอะไร” ชลธรถือโอกาสนี้หาคำตอบให้ตัวเอง
คนฟังได้แต่เพียงอมยิ้ม ในใจยังคงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อน ทั้งที่เขาพูดเล่นแท้ ๆ แต่ ‘ไอ้เด็กบ้า’ นั่นกลับเอาคิดเป็นเรื่องจริงจังเสียนี่ คิดแล้วก็เผลอส่ายน้อย ๆ ก่อนจะตอบคำถามเมื่อสักครู่ “เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะครับ ว่าแต่นี่เขาไปไหนเสียล่ะครับว่าจะขอบคุณเสียหน่อย”
“สงสัยกำลังเก็บของเตรียมกลับไร่กันอยู่น่ะจ้ะ นี่ก็ขอยืมตัวมาจากพ่อเขาหลายวันแล้ว เดี๋ยวอีกไม่กี่วันนายเต็มก็จะกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วละ”
คำตอบของชลธรก่อให้เกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นภายในใจ ซึ่งศิธาพัฒน์ก็พยายามหาเหตุผลให้กับตัวเองว่ามันอาจเป็นเพราะคู่ปรับกำลังจะจากไปโดยยังไม่ได้มีโอกาสขอบคุณสำหรับข้าวผัดในวันนี้ก็ได้...
.....
“พอกันเลยทั้งสองคน ถามใครก็ไม่มีใครยอมบอกว่าติดค้างอะไรกันไว้” สาวสวยกล่าวพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้หลังเคาท์เตอร์เครื่องดื่ม
“บ่นอะไรนักพี่ชล เต็มก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร” ร่างสูงที่เดินสะพายเป้ออกมาพอดีเอ่ยขึ้น
“ก็มันน่าสงสัยไหมล่ะ ร้อยวันพันปีน้องชายพี่ไม่เห็นจะใจดีกับใคร” ชลธรกล่าวพร้อมกับจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างจับผิด “นี่เต็มฟ้าถึงขนาดลงมือผัดข้าวให้กิน แถมให้กินฟรีอีกต่างหาก มันต้องมีอะไรแน่ ๆ เลย”
เต็มฟ้ากดยิ้มที่มุมปากอย่างมีแผนการก่อนจะเดินมานั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม เท้าแขนลงกับเคาท์เตอร์จากนั้นก็ขยับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ หันซ้ายหันขวาอย่างลุกลี้ลุกลนราวกับกลัวว่าใครจะผ่านมาได้ยิน “พี่ชลอยากรู้จริง ๆ น่ะเหรอ”
ชลธรพยักหน้ารัว ๆ ลนลานตามน้องชายไปด้วย เธอจ้องมองปากสวยที่กำลังเม้มแน่น เหมือนกำลังกักเก็บความลับอะไรบางอย่างไว้ จนในที่สุดเต็มฟ้าก็ค่อย ๆ คลายริมฝีปากออกเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
“งั้น...” แล้วก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ยียวนกวนประสาทที่สุด “เต็ม ไม่ บอก”
“ไอ้น้องบ้า” พูดจบมือเล็ก ๆ ก็ตีเข้าที่แขนของน้องชายดังเผียะ
“ตีทำไม เต็มเจ็บนะพี่ชล” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันพร้อมกับลูบแขนตัวเองป้อย ๆ
“ก็ตีให้เจ็บไง อยากกวนดีนัก” ชลธรกอดอกมองน้องชายอย่างหมั่นไส้แต่แล้วในที่สุดเธอก็ยิ้มออกมา เพราะอย่างไรเสียเขาก็ยังคงเป็นน้องชายที่เธอเอ็นดูเสมอมา
“กลับบ้านดีกว่า” ชายหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะหันไปตะโกนเรียกน้องชาย เพียงไม่นานเด็กชายตามตะวันก็วิ่งออกมาพร้อมกับเป้ใบโตที่หลัง จากนั้นสองพี่น้องก็พากันเดินไปที่รถโดยมีพี่สาวคนโตเดินตามไปส่ง
“เต็มไปนะ” เจ้าของรถหันมากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบหลังจากวางเป้ของทั้งตัวเองและของน้องชายที่เบาะหลังเรียบร้อยแล้ว รู้ดีว่าเวลาที่จะต้องไกลกันใกล้จะมาถึงอีกแล้ว
“วันกลับอย่าลืมแวะมาล่ะ” ชลธรยังคงสั่งเหมือนทุกครั้ง
“รู้แล้วน่า” เป็นคำตอบที่เหมือนคนถูกสั่งจะรำคาญแต่เขาก็กลับมาตามที่เธอบอกทุกครั้ง
พี่สาวคนโตมองตามน้องชายทั้งสองที่กำลังเปิดประตูเข้าไปในนั่งในรถ เพียงไม่นานเสียงเครื่องยนต์ทำงานก็ดังขึ้น เด็กชายตามตะวันซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับลดกระจกลงพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ “ตามไปแล้วนะครับพี่ชล”
ชลธรพยักหน้ายิ้มตามน้องชายคนเล็ก รอยยิ้มที่ดูปลอดโปร่งของตามตะวัน เป็นรอยยิ้มที่เธอแทบจะลืมมันไปแล้ว...
ศิธาพัฒน์จอดมอเตอร์ไซค์แอบไว้ที่โรงรถ นึกชื่นชมรายการพยากรณ์อากาศที่เปิดดูเมื่อตอนเช้าก่อนออกไปทำงานที่บอกว่าวันนี้จะมีฝนตกในช่วงบ่ายถึงค่ำทำให้เขาไม่ลืมที่จะพกเสื้อกันฝนติดไปด้วย ฝนเม็ดเล็ก ๆ เริ่มโปรยปรายลงมาตั้งแต่ยังไม่เลิกงานจนกระทั่งตอนนี้กลับหนาเม็ดขึ้นและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่าย ๆ ฟ้าสีหม่นที่คำรามเสียงดังราวกับกำลังโกรธเกรี้ยวทำเอาเจ้าลูกสุนัขสีดำของคุณลุงข้างบ้านที่วิ่งเข้ามาอาศัยหลบฝนในโรงรถครางหงิง ๆ ด้วยความกลัว พนักงานไปรษณีย์หนุ่มเอื้อมมือลูบหัวเจ้าหมาน้อยเบา ๆ ให้มันคลายความตื่นกลัวก่อนจะอุ้มมันขึ้นบ้านจากวางมันลงที่ม้านั่งริมระเบียงหน้าบ้าน จัดการถอดเสื้อกันฝนพลาสติกพาดตากก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เพื่อนตัวดำที่กำลังนั่งตัวสั่นไม่รู้เพราะกลัวเสียงฟ้าหรือเพราะอากาศที่หนาวเย็นกันแน่ มือหนาโอบกระชับลำตัวของมันราวกับกอดคอเพื่อนสนิท
“แกไม่ชอบเสียงฟ้าร้องใช่ไหมนังหนูแรมโบ้” ปากอิ่มขยับยิ้มเมื่อเจ้าหมาน้อยเงยหน้าขึ้นมาร้องหงิง ๆ
“ไม่ต้องกลัวน่า” พูดจบศิธาพัฒน์ก็อุ้มมันมาวางบนตักพร้อมกับลูบหัวมันเบา ๆ จนกระทั่งเจ้าแรมโบ้ที่ดิ้นขลุกขลักเริ่มสงบลง ในที่สุดมันก็หลับตาพริ้มยอมนอนอยู่บนตักของเขาแต่โดยดี ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นทอดสายตามองกังหันของเล่นที่เสียบเอาไว้ที่หน้าต่าง ใบกังหันสีฟ้าหมุนเร็วบ้างหมุนช้าบ้างไปตามแรงลม แต่ใจของเขาตอนนี้ไม่รู้ว่าลอยตามแรงของอะไร...