- 20 -
[ธาม]
เหนื่อยงานยังพอทน แต่เหนื่อยคนมันสุดจะทนจริงๆ แต่ก็ต้องทน เพราะไม่มีอำนาจที่จะทำอะไรได้ อำนาจเป็นคำที่น่ากลัว ถ้าผู้ถือมันไร้เหตุผลและจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี
หนึ่งวันก่อนงานเริ่ม เราทำงานกันอย่างหนักจนแทบไม่ได้นอน ต้องจัดเตรียมทุกอย่างและขนมันขึ้นบนเรือ
ตอนนี้เรากำลังจัดสถานที่บนเรือกันอย่างขะมักเขม้น เพราะอยากให้เสร็จก่อนเที่ยงจะได้มีเวลาพักผ่อน และประชุมงานกัน ของทุกอย่างเราจัดเตรียมเสร็จเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เหลือแค่ต้องจัดทุดอย่างให้เข้าที่เข้าทางและสวยงามที่สุด ตามคำสั่งที่ได้รับมา
ลูกน้องคนสนิทของผู้นำ ไม่ยื่นมือเข้ามาจัดงานเลยแม้แต่น้อย พวกมันแทบไม่ขึ้นมาบนเรือด้วยซ้ำ มีแต่คนของผมที่ทำงานบนกันเรือนี้ ทุกอย่างจึงเป็นไปตามที่ผมตั้งใจได้ไม่ยาก หึหึ
พรุ่งนี้งานจะเริ่มตั้งแต่บ่ายโมงเป็นต้นไป โดยแขกทุกคนที่ขึ้นเรือจะได้รับการตรวจอาวุธอย่างเข้มงวดจากลูกน้องของพวกผู้นำ ไม่เว้นแม้แต่พวกผมที่เปรียบเสมือนคนงานบนเรือก็ไม่ได้รับการยกเว้นแต่อย่างใด
นี่แหละทำกับคนไว้เยอะ ก็ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงแบบนี้
หลังจากเสร็จงานเราประชุม เวลาก็เกือบห้าทุ่ม กว่าจะกลับไปพักผ่อนสักทีพลังงานชีวิตแทบไม่เหลือ พรุ่งนี้เราก็ต้องไปเตรียมพร้อมกันแต่เช้าอีก ได้เวลานอนสักที
ผมค่อยๆ เปิดประตูเข้ามาเพราะกลัวคนที่นอนอยู่จะตื่นขึ้นมาเพราะเสียงที่ได้ยิน ผมค่อยๆ ย่องเข้าไปอย่างเงียบเชียบโดยใช้ไฟจากมือถือคอยนำทาง จนมาถึงข้างเตียงที่มีร่างบางนอนหลับอยู่ พร้อมเจ้าตัวเล็ก
กายที่ขยับลงนอนบนเตียงอย่างช้าๆ เพราะกลัวคนที่หลับไปจะตื่นขึ้นมาซะก่อน พร้อมส่งมือเข้าสวมกอดอย่างไม่แน่นนัก
“ฝันดีนะครับ” เสียงพูดเบาๆ พร้อมริมฝีปากหนาที่ประทับลงไปที่กระหม่อมบางของคนที่คิดว่ากำลังหลับ
“พรุ่งนี้ขอให้โชคดี” เสียงหวานเอ่ยขึ้นมาแผ่วเบาแต่ได้ยินชัดเจนในใจ น้องยังไม่หลับ น้องอวยพรผม
“ไออุ่น...”
“ไม่ต้องพูดอะไร” ผมเงียบเสียงลงทันทีทั้งที่พูดยังไม่จบประโยค ใครจะกล้าขัดใจเมียได้หละ เดี๋ยวโดนไล่ออกไปนอนนอกห้องพอดี แค่ให้นอนอยู่ข้างๆ นี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว อย่าเสี่ยงขัดใจดีกว่า
ผมไม่กล้าเอ่ยอะไรขึ้นมาอีก สิ่งที่ทำได้คือกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ให้ความอบอุ่นมันได้ถ่ายทอดไปยังหัวใจที่สร้างเกาะน้ำแข็งขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเองได้ละลายลงไป มันอาจจะไม่ได้ละลายลงไปในทีเดียว แต่ผมจะค่อยๆ ละลายมันไปทีละนิด เพื่อหวังว่าสักวันมันจะหมดไป
เช้าตรู่ที่เราเดินทางมาขึ้นเรือ เพื่อเตรียมความพร้อมทุกอย่าง ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และต่างๆ อีกมากมาย เมื่อเราเดินทางมาถึงท่าเรือ ก็มีคนมาประจำการที่บันไดทางขึ้นแล้ว ขยันกันจริงๆ นะพวกมึง ก่อนหน้านี้ไม่โผล่หัวมาช่วยงานเลยสักตัว
“ไงไอ้พวกคนใช้ มากันแล้วเหรอ ช่วงนี้หน้าหมองราศีไม่ค่อยจับเลยนะ ฮาๆๆๆ” เสียงถากถางดังขึ้นเมื่อเราเดินมาถึงทางขึ้นเรือ ไอ้โฟรคกัดฟันกร่อนอย่างอดทน ผมรู้ว่ามันคงอยากเอาทีนลูบปากพวกมันแทบตาย ซึ่งผมก็กำลังคิดแบบนั้นเหมือนกัน
“แหม่ๆ ทำตัวเงียบสงบเสงียมกันดีจังนะ รู้จัดหัดเจียมตัวได้อย่างนี้ก็ดี เพราะยังไงพวกมึงก็ไม่ได้สูงไปกว่านี้หรอก เผลอๆ ต่ำลงกว่าเดิมอีก ฮาๆๆ” มึงเคยได้ยินไหมว่า หัวเราะทีหลังมันดังกว่า
“เฮ้ยๆ มึงอย่าเอาความจริงมาพูดสิวะ เดี่ยวพวกมันน้อยใจกระโดดทะเลฆ่าตัวตาย เราจะเอาคนใช้ที่ไหนมารองมือรองตีนวะ” เพื่อนชั่วของมันอีกคนที่อยู่ด้านหลังพูดขึ้นมาให้ทีนพวกเรากระตุก
“จะตรวจก็ตรวจเสียเวลา” ผมพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ เพื่อให้พวกมันปล่อยเราไป ก่อนที่ความอดทนจะหมดลงซะก่อน
“วะๆ คนใช้อยากรีบไปทำงานเว้ย พวกมึง ฮาๆ” ผมยังแสดงสีหน้าเฉยชาอยู่ไม่ว่ามันจะพูดอะไรขึ้นมาก็ตาม เพราะแค่เสียงหมาเห่า เราไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
เมื่อมันถากถางพวกเราอย่างพอใจแล้ว จึงเริ่มตรวจอาวุธ แล้วปล่อยพวกเราขึ้นเรือไป
เวลาเดินมาถึงกำหนด แขกก็เริ่มทยอยขึ้นเรือมา มีทั้งวัยหนุ่มสาว วัยกลางคน และผู้ที่มีอายุมากแล้ว แต่เกือบทุกคนล่วนวางท่าทีถือตัว และวางอำนาจ ที่บ่งบอกว่าพวกเขาเคยเป็นคนใหญ่คนโตของบ้านเมืองมาก่อน และปัจจุบันยังพอมีอำนาจอยู่บ้าง ไม่งั้นพวกผู้นำไม่เชิญมาหรอก
เราทำอาหารเตรียมให้แขกเกือบยี่สิบคน รวมทั้งทหารคนสนิท และทหารที่อยู่ในการปกครองอีกเกือบห้าสิบชีวิต รวมแล้วบนเรือมีคนเกือบหนึ่งร้อยชีวิตได้ คนของผมก็เกือบสามสิบคนแล้ว โดยไม่รวมเหล่าผู้หญิงที่ถูกส่งขึ้นมาเป็นทาสกามของพวกมันนะ
อาหารและเครื่องดื่มค่อยๆ ทยอยส่งเข้าไปเสริฟด้านในห้องโถงของเรือ โดยทีพวกผู้นำมีผู้ประกบติดซ้ายขวาอยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกันอัตราย ยกเว้นไอ้แบล็คที่มันไม่สนใจหาคนดูแล เอาแต่เดินทักทายคนอื่นไปเรื่อย
เรือแล่นออกไปเรื่อยๆ พร้อมกับสติของคนบนเรือที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ เช่นกัน บางคนกอดจูบลูบคลำแทบจะได้กันกับผู้หญิงที่ถูกส่งมาท่ามกลางผู้คนมากมาย โดยไม่มีความอายแม้แต่น้อย
นี่มันงานรวมคนตัวคนชั่วชัดๆ
+ + + +
เวลาเดินมาถึงสองทุ่ม หลายคนเมามายแทบไม่ได้สติ แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ดื่ม ส่วนมากจะเป็นทหารที่คอยดูแลพวกผู้นำ
คงถึงเวลาแล้วสินะ
“หมู่เทน ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง” ผมถามหมู่เทนที่เพิ่งเดินเข้ามาจากการสำรวจด้านนอก
“มีคนเฝ้าข้างนอกประมาณ 5-6 คน ครับ” ไม่เยอะเท่าตอนแรกแล้ว
“ด้านล่างหละ” ด่านล่างเป็นห้องพักของทุกคน โดยห้องพักของพวกผู้นำจะอยู่โซนด้านขวาสุด และเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดด้วย
“ไอ้นายบอกว่าข้างล่างมีคนเฝ้าประมาณ 7 คนครับ แต่หน้าห้องผู้นำมีคนเฝ้าอยู่ 11 คน ด้านในเราไม่ทราบครับ เพราะพวกมันไม่อนุญาตให้เข้าไป” ระวังตัวกันมากทีเดียว แต่ยังไงเรื่องทุกอย่างต้องจบลงวันนี้
แก็ก!!
เสียงเปิดประตูเรียกความสนใจจากพวกเราได้เป็นอย่างดี คนที่เข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นไอ้โฟรคนั่นเอง มันเข้ามาพร้อมกับรถเข็นอาหารที่คลุมด้วยผ้าสีขาว
“ไปเสริฟห้อง VVIP มาแล้วเหรอ” ผมถามมันขึ้นด้วยความคาดหวัง หวังในอะไรบางอย่างที่ต้องการ
“ไปมาแล้ว ได้รับทิปมาด้วย” มันพูดพร้อมเปิดผ้าคลุมออกจากรถเข็น เพื่อให้เราได้เห็นทิปที่ว่า
“หึหึ ดีมาก หมู่นาย หมู่เทน พาคนไปจัดการพวกรอบนอกก่อน ทำทุกอย่างเงียบๆ อย่าให้พวกมันรู้ตัว เสร็จแล้วตามลงไปข้างล่าง หมู่นายเฝ้าด้านบนไว้กับลูกน้องอีกสองคนพอ” เรามีงานที่ต้องทำอีกเยอะ
“เราจะรู้ได้ยังไงว่าใครที่อยู่ข้างเรา” ไอ้โฟรคถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล ว่าจะทำร้ายพันธมิตรของตนเองเข้า
“พวกมันผูกผ้าสีชมพูไว้ บนหัว คอ หรือข้อมือ ถ้าไม่ผูกจัดการได้เลย แล้วนี่ผ้า เอาไปให้ทุกคนผูกติดไว้ด้วย เพื่อให้พวกมันรู้ว่าเราเป็นมิตร” ผมดึงกล่องใส่ผ้าสีส้มออกมาให้แจกให้ทุกคน
“ผมขอปืนไรเฟิล" ใช่ครับทิปที่ได้รับมาคืออาวุธที่เราขนขึ้นมาก่อนวันงาน เป็นของสมนาคุณจากันพันธมิตรของเราเอง แถมยังให้ที่ซ้อนของอย่างดีอีกด้วย
“จะเอาอะไรก็เอา แต่ต้องใช้กระบอกเก็บเสียงด้วย ถ้าพวกมันรู้ตัวก่อนเราเสร็จแน่ ทุกอย่างจะผิดผลาดไม่ได้ ครั้งนี้เราเดิมพันมันด้วยชีวิต ไม่ใช่แค่ชีวิตของเรา แต่เป็นชีวิตของทุคนในชาติ” ผมได้แต่ภาวนาให้ทุกอย่างไม่ผิดผลาด
“ไอ้โฟรคพาคนไปเก็บข้างใน ด้านล่างให้เป็นหน้าที่ของพวกนั้นไป กูจะไปฝั่งขวาสุดเอง” ผมต้องจบมันด้วยตนเอง “ถ้าพวกมันรู้ตัวก่อน กันคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปทางด้านหลังเรือให้หมด”
“ระวังตัวด้วยมึง ดูท่าจะงานช้าง” ไอ้โฟรคพูดพร้อมตบบ่าผมเบาๆ
“ไม่จำเป็นยังไม่ต้องฆ่าหละ ฉันยังมีอะไรสนุกๆ รอพวกมันอยู่”
“ครับผู้กอง แล้วจ่านนท์หละครับ” หมู่เทนถามขึ้นด้วยสีหน้าลำบากใจ ผมเข้าใจเขาดี เราอยู่ด้วยกันมานาน นานจนเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว แต่ก็เป็นครอบครัวของเราเองไม่ใช่เหรอ ที่เอามีดมาแทงเราจากด้านหลัง
“จับไว้ก่อน ยังไม่ต้องทำอะไร ฉันยังมีเรื่องหลายอย่างอยากจะคุยกับจ่า” ผมแค่อยากจะถามเขา ถามเขาว่ากล้าหักหลังครอบครัวตัวเองได้อย่างไร หรือไม่ได้มองเราเป็นครอบครัวแต่แรกแล้ว
“ครับ/ครับผม” ทุกคนตอบรับคำผมอย่างดี
“ระวังตัวด้วย พวกมันไม่ได้ธรรมดาหรอกนะ หลายคนเป็นเคยฝึกในหน่วยรบพิเศษมาก่อน ดังนั้นอย่าประมาท มีสติไว้ตลอด”
เราแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน
ผมและทหารอีกห้านายเดินถือถาดเครื่องดื่ม และเข็นรถอาหารด้วยท่าทางปกติ มุ่งหน้าไปทางด้านขวาสุดของเรือ ทุกคนที่เราเดินผ่านมา ไม่มีใครสงสัยหรือสนใจเรามากพอ ทุกคนต่างเมามันในรสแอลกอฮอล์และกามอารมณ์์
เราเข็นรถเข็นเข้าไปในห้องว่างก่อนที่จะถึงโซนอันตราย ถึงจะบอกว่างานเลี้ยง แต่พวกผู้นำนั้นไม่ได้อยู่ฉลองกันคนอื่นนาน ไปแค่แปบๆ ก็หลับเข้าห้องของตน โดยพวกมันให้ผู้หญิงเข้าไปบริการมันในห้องแทน
“รออีกสิบนาที ให้พวกข้างบนจัดการไปก่อน เพราะถ้าเราออกไปตอนนี้พวกมันรู้ตัวกันหมดแน่ เราไม่มีทางฝ่าเข้าไปโดยที่พวกมันไม่รู้ตัวได้” เพราะถึงพวกมันรู้ตัวก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะพวกด้านบนโดนจัดการไปแล้ว
“แล้วเราจะเข้าห้องใครก่อนครับ” ทหารนายหนึ่งถามผมขึ้นมา ห้องผู้นำมีสามห้อง โดยที่เรามีคนแค่หกคนในตอนนี้
“นายสามคนไปห้องไอ้กองทัพ ที่เหลือตามฉันไปที่ห้องผู้นำ ไอ้แบล็คมันไม่อยู่ห้อง มันอยู่ที่งานเลี้ยงด้านบน” แต่ก่อนที่เราจะไปถึงน้องนั้นเราต้องจัดการหมาเฝ้าประตูให้หมดซะก่อน
ในที่สุดเวลาในการรอคอยก็ได้สิ้นสุดลง เราค่อยๆออกไปจากห้องทีละคน ผมส่งสัญญาณมือให้นายทหารสองคนไปซุ่มโจมตีที่ด้านซ้ายมือ โดยที่ที่เหลืออยู่ด้านหน้า เพราะทางด้านขวามือเป็นกำแพงโล่งที่เราไม่สามารถหลบซ้อนได้เลย
พวกหมาเฝ้าประตูบางส่วนกำลังนัวเนียกับผู้หญิงโดยไม่สนใจสิ่งใด มีแค่ห้าคนที่ยืนเฝ้าอย่างจริงจัง จากที่เห็นมีคนเฝ้า 11 คน
ผมให้สัญญาณมือเพื่อเตรียมพร้อมล็อคเป้าหมาย สิ่งที่เรากำลังมอบให้พวกมันคือความตาย มันเสี่ยงเกินไปที่จะจับเป็น เพราะเรามีคนน้อยกว่าเลยต้องเลือกทางนี้ให้กับพวกมัน อโหสิกรรมให้กูด้วย กูขออโหสิกรรมให้พวกมึง
มือผมค่อยๆยกขึ้นเพื่อให้สัญญาณ
ยิง!!
ฉึบ!! เสียงที่เล็ดลอกออกมาจากกระบอกเก็บเสียงไม่ได้ทำให้พวกมันรู้ตัว แต่คนที่ล่มลงไปพร้อมเลือดที่ไหลนองต่างหากที่ทำให้พวกมันรู้
นายทหารห้านายล้มลงไปกองกับพื้น แสดงว่ามีคนนึงที่ยิงผลาด
“หลบ!! มีคนซุ่มโจมตี ป้องกันผู้นำไว้” พวกมันตะโกนและกระโดดหาที่หลบทันที
เราไม่รอช้ากระหน่ำยิงซ้ำทันที ทำให้คนยังไม่ทันตั่งหลักล้มไปอีกสอง ไปแล้วเจ็ด เหลืออีก 4 คนเท่านั้น
กรีสๆๆ
ปังๆๆ เสียงกรีดร้องของผู้หญิงและเสียงปืนที่พวกมันยิงสวนมาดังสนั่นหวั่นไหว
สงครามเริ่มแล้ว
ผมพยายามเดินไปข้างหน้าเพื่อให้เข้าใกล้พวกมันกว่านี้ โดยใช้สิ่งกีดขวางต่างๆ เป็นที่หลบ
“ปัง โอ้ย!!” เสียงร้องของฝั่งผมดังขึ้นมา ไม่มีเวลาที่จะหันไปมอง ต้องจักการสิ่งที่อยู่ด้านหน้าซะก่อน
“หมอบลงไป!!” ผมตะโกนบอกผู้หญิงที่กำลังวิ่งไปมาอย่างไร้ทิศทาง
ผมเล็งไปที่หัวของคนที่กำลังโผล่ขึ้นมายิง
ปัง เสร็จไปอีกราย เรายิงกันต่ออีกราวๆ สิบนาทีก็จัดการพวกมันได้หมด โดยทางเราต้องเสียนายทหารผู้กล้าไปหนึ่งคน ไม่มีเวลาแม้แต่จะเสียใจก็ต้องไปต่อ พวกกูจะกลับมารับมึงเองกูสัญญา
“มึงสามคนไปห้องนั้น ส่วนมึงตามมา” ผมค่อยๆ บิดลูกบิดแต่มันถูกล็อคจากด้านใน ต้องใช้ปืนจัดการกับประตู กุญแจหรือจะเร็วสู้ปืน
ผมถีบประตูเข้าไปอย่างแรง แล้วหลบออกมาด้านข้าง
ปังๆๆ ปืนจากในห้องสาดกระสุนออกมาทันทีที่ประตูเปิดออก ดีที่ผมหลบทัน
“คนแค่นี้ มึงคิดจะลองดีกับกูเหรอ!! กูสาบานว่าจะฆ่าพวกมึงให้หมด ไม่ว่าเด็กหรือผู้หญิง พวกมึงต้องตายทั้งหมด!!” เสียงตะโกนจากด้านในดังออกมาให้ได้ยิน น้ำเสียงเกรียวกราดบ่งบอกอารมณ์ของคนพูดได้เป็นอย่างดี
ผมไม่ได้พูดตอบกลับ แต่เลือกที่จะสาดกระสุนไปแทน คนเลวๆ แบบนั้นไม่จำเป็นต้องคุยอะไรด้วย และมันจะไม่มีโอกาศได้กลับไปทำร้ายคนที่ผมรักแน่นอน ผมจะปกป้องพวกเขาถึงแม้จะแรกด้วยชีวิตก็ตาม
ผมดึกสลักระเบิดควันขนานเล็กออก มันเป็นที่เราหามาได้แค่สามลูก จึงต้องแจกจ่ายกันออกไป กับผมมีแค่ลูกเดียวเท่านั้นจึงต้องใช้เมื่อฉุกเฉินจริงๆ และผมว่ามันถึงเวลาแล้ว ผมกับพลทหารอีกคนไม่มีทางเข้าไปด้านในได้แน่ จึงต้องหาอะไรเพื่อพลางตัวไม่ให้พวกมันมองเห็น
แก๊กๆๆ ฟู้ๆๆ เสียงระเบิดกลิ่งเข้าไปพร้อมปล่อยควันออกมาจนคลุ้งไปทั้งห้อง
“ไป” ผมหันไปออกคำสั่งก่อนจะบุกเข้าไปด้านใน
เนื่องจากน้องนี้เป็นห้องผู้นำ จึงมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง และเฟอร์นิเจอร์ครบครันให้เราจับจองพื้นที่เพื่อกำบัง เราเลือกที่จะหลบหลังตู้เอกสารที่อยู่ใกล้ทางเข้าที่สุด พร้องสาดกระสุนออกไปทันทีเมื่อมองเห็นเงาลางๆ ผมไม่อยากสาดกระสุนไปมั่วเพราะกลัวโดนคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถึงแม้พวกเธอจะเป็นหญิงขายบริการก็ตาม
“โอ้ย!!” เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นมาเมื่อเราลั่นไกลออกไป
เราต่างฝ่ายต่างกระหน่ำยิงกัน ราวสิบนาทีได้ก่อนที่ควันจะจางไป เราเริ่มมองเห็นที่ซ้อนของกันและกันได้ชัดเจน ข้างในนี้มีคนไม่ต่ำกว่าสิบคน โดนสอยร่วงไปแล้วสี่ เหลือเจ็ดคนได้ ไอ้กองทัพก็อยู่ที่นี่ด้วย มันไม่ได้อยู่ห้องของตนเอง แต่มีเสียงปืนดังมาจากทางห้องของมัน แสดงว่าลูกน้องของมันยังอยู่ที่นั้นจำนวนหนึ่ง
ตอนนี้เหลือแต่คนที่คุ้นเคยกันแล้วสินะ ผู้นำ ไอ้กองทัพ และลูกน้องคนสนิทของพวกมัน
“มึงหลบไม่พ้นแล้ว ควันช่วยอะไรมึงไม่ได้แล้ว มึงเตรียมตัวตายได้เลย กล้ามากที่บุกเข้ามาหาพวกกู!” เสียงไอ้กองทัพดังขึ้นมาท่ามกลางเสียงกระสุน กูกล้ามากกว่านี้อีก ถ้าทำให้พวกมึงหายไปจากโลกนี้ได้
“ออกไปได้จับน้องกับเมียมันมาเป็นกระหรี่เลยครับนาย” เสียงลูกน้องคนสนิทที่เกลียดผมเข้าไส้พูดขึ้นมาบ้าง มึงอย่าฝันว่าจะได้ทำอย่างนั้น เพราะมึงจะต้องตายอยู่ที่นี่
ผมโผล่แขนออกไปเพื่อยิงคนที่พูด
ปัง ปัง
กระสุนจากผมโดนที่ท้องมันเต็มๆขณะที่กระสุนจากมันยิงโดนที่แขนของผม
“ผู้กอง เป็นอะไรมากไหมครับ” นายทหารถามผมขึ้นอย่างร้อนรน
“ไม่เป็นไร ทำหน้าที่ของตนเองไป” ผมตอบเขาไป พร้อมฟังเสียงโหยหวนของฝั่งนั้น ดี เจ็บปวดเข้าไป หึ
“มึงไม่มีทางรอดหรอกธาม มึงกล้ามากที่คิดทรยศกู กูไม่ให้มึงตายดีแน่” ผู้นำตะโกนมาอย่างเดือดดาน ผมจะรอดให้ดู
เรายิงกันต่อไปอีกราวห้านาที แต่ไม่มีฝั่งใดทำอะไรอีกฝั่งได้ แขนที่โดนยิงของผมก็เริ่มชาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ไม่นะ ผมจะอ่อนแอตอนนี้ไม่ได้
แก๊ก!! เสียงประตูที่ผมปิดมันไว้ตอนเข้ามา ถูกเปิดออกกว้าง พร้อมด้วยร่างของคนเกือบสิบคนเดินเข้ามาด้านใน ซึ่งมันทำให้พวกเขาอยู่ด้านหลังผมโดยที่ผมไม่มีทางหลบได้เลย
“ฮาๆๆๆ กูบอกแล้วว่ามึงไม่มีทางลอดหรอก ไอ้แบล็คมาช้านะมึง คนของกูตายไปตั้งหลายคน” ไอ้กองทัพมันเยาะเย้ยผมแล้วจึงหันไปคุยกับไอ้แบล็คอย่างผ่อนคลายลงอย่างชัดเจน
“ออกไป” ไอ้แบล็คมันสั่งผมกับนายทหารพร้อมด้วยปืนที่ชี้มาทางด้านหลังเรา เราจึงต้องจนใจยอมเดินออกจากที่ซ้อนมาในที่สุด พวกไอ้เเบล็คทุกคนยกปืนขึ้นเลง พร้อมดุนหลังให้เราเดินไปข้างหน้า ระยะทางระหว่างผมกับผู้นำน้อยลงไปทุกที
“หึๆ เป็นหมาอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ดันอยากเป็นฮีโร่ กูจะให้มึงได้เห็นว่าจุดจบของฮีโร่มันเป็นยังไง แบล็คยิงมัน” ไอ้ผู้นำมันยิ้มเยาะผมอย่างสมเพช หึหึ เดี๋ยวก็รู้
ปัง!! เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับเข่าที่ทรุดลงไป และเลือดที่สาดกระเซ็น
“มึงทำอะไรไอ้แบล็ค!!!” เสียงของผู้นำกับไอ้กองทัพแทบจะดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อเห็นลูกน้องของตนทรุดลงกับพื้น
“ก็อย่างที่เห็น” ไอ้แบล็คพูดขึ้นอย่างไม่แยแส
“มึงทรยศพวกกู!!!” ไอ้กองทัพตะโกนขึ้นมา พร้อมร่างกายที่กำลังจะพุ่งเข้าหาไอ้แบล็ค แต่ยังไม่ทันขยับได้ถึงสองก้าวกับต้องหยุดลงกระทันหัน
“ถ้าไม่อยากให้เป่าหัวทิ้งตอนนี้ก็หยุดซะ” ได้ผลอย่างเกินคาด
“ไอ้เลวเอ้ย!!” ตัวมาไม่ได้ยังส่งเสียงด่ามาแทน ผิดกับผู้นำที่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอะไร แต่หน้าที่แสดงออกเห็นได้ชัดว่าโกรธและเกลียดมากเพียงใด
“ไอ้ธามไปทำแผลเถอะ ทางนี้กูจัดการเอง” ไอ้แบล็คหันมาพูดกับผม พร้องสั่งให้ลูกน้องไปมัดผู้นำกับไอ้กองทัพไว้
“กูอยากดูจุดจบของพวกมัน” ใครจะว่าผมเลือดเย็นก็ตามแต่ผมอยากเห็นพวกมันทรมาน ยิ่งทรมานมากเท่าไหร่ยิ่งดี
“ยังมีเวลาอีกเยอะ อีกหนึ่งชั่วโมงนู้นเรือค่อยจะถึงฝั่ง” แขนมันก็เริ่มชามากขึ้นแล้ว จึงต้องยอมเดินขึ้นไปด้านบนเพื่อทำแผลก่อน
ทำแผลเสร็จไม่ถึงสามนาทีไอ้โฟรคก็เข้ามาพร้องกับจ่านนท์ และโรส โดยที่ทั้งสองโดนมัดมือไขว้หลังไว้ จ่าไม่มองหน้าผมเขามองไปที่พื้นตลอดเวลา
สองเท้าค่อยๆก้าวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนที่ผมเคยเชื่อใจที่สุด มือที่สั่นไหวยกขึ้นบีบบ่าคนตรงหนาไว้แน่น พร้องเสียงที่เปล่งออกไปอย่างเบาหวิว สิ่งที่สงสัยอยู่ตลอดได้เอ่ยออกไปในที่สุด
“จ่าหักหลังพวกเราได้ยังไง เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่เหรอ หรือผมคิดไปเองมาตลอดว่าเราเป็นเหมือนคนในครอบครัว” ความเจ็บปวดได้สื่อไปทางสายตา แต่เขาก็ไม่สามารถเห็นมองเห็นมันได้เพราะสายตาเขาไม่หลุดไปจากพื้นเลย
“ก็พวกมึงโง่ไงหละ ฮาๆๆๆ” เสียงเล็กเหลมดังฝ่าความเงียบขึ้นมา โรสหัวเราะอย่างกับคนเสียสติเมื่อพูดจบประโยค ในขณะที่จ่าเงียบไม่ยอมตอบอะไร
“เอาเธอออกไปขังไว้ที่อื่น” ผมไม่อยากเห็นหน้า และได้ยินเสียงเธอแล้ว
“ผมขอโทษ” จ่านนท์พูดขึ้นมาในที่สุด พร้อมหน้าที่ยังไม่เงยขึ้นมาสบตาใคร
“ทำไม” โดนคนใกล้ตัวหักหลังมันเจ็บแสนสาหัส
“ผมขอโทษที่ทำแบบนั้น เพราะเมียผมขอร้องให้ทำ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู้พันกองทัพ ผมไม่อาจปฏิเสธเธอได้ ผมขอโทษ ผมขอโทษ”มีแต่เสียงขอโทษที่ดังออกมาจากปากของเขา ผมรู้ว่าเขาทำไปเพราะรักเมียเขามาก ถึงผมจะเข้าใจ แต่ก็ไม่อาจให้อภัยเขาในตอนนี้ได้
ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่เดินออกมาสูดอากาศที่ท้ายเรือที่กำลังมุ่งหน้าเข้าฝั่งที่จังหวัดพังงา
“ไงมึง กูนึกว่าเสียเลือดช็อคตายไปแล้ว” ผมหันไปมองคนมาใหม่ช้าๆ
“ข้างในเป็นไงบ้าง” ผมถามไอ้แบล็คที่กำลังเดินเข้ามาหา
“เรียบร้อยอยู่แล้ว ฝีมือกูซะอย่าง”
“ถ้าฝีมือดีขนาดนั้น ทำไมไม่จัดการพวกมันเองตั้งแต่แรก” ผมถามขึ้นอย่างประชด สงสัยผมคงติดจากเมียมา
“ทุกอย่างมันก็ต้องใช้เวลาไหมหละ กว่ากูจะรวบรวมคนที่ไว้ใจได้แต่ละคนแม่งโคตรยากเลย ยังต้องรอสถานะการณ์เป็นใจอีก” มันอธิบายซะยาวเหยียด
“แล้วทำไม่มึงไม่บอกกูแต่แรกว่าจ่านนท์เป็นสายให้พวกมึง” ผมถามขึ้นอย่างสงสัย ทำไมมันไม่เตือนผมก่อน
“ใช่ว่ากูจะรู้ทุกอย่างหรอกนะเว้ย มึงก็รู้ว่าพวกแม้งระวังตัวกันขนาดไหน กว่ากูจะทำให้พวกมันสนิทใจได้ใช้เวลาเป็นครึ่งปี ต้องคอยมองดูพวกมันทำเรื่องเลวๆ บางครั้งก็ต้องทำเลวเองด้วย เพื่อไม่ให้พวกมันสงสัย ทุกอย่างมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ กูโคตรเจ็บปวดหัวใจเลย” กูรู้ว่ามึงก็ลำบาก ไม่จำเป็นต้องร่ายมาซะยาวขนาดนี้ก็ได้
“เออๆ” หยุดร่ายเรื่องความลำบากของมึงเถอะ
เราเลิกคุยกันเพราะต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง ก่อนจะมาถึงวันนี้ได้มันไม่ใช่ง่ายๆ เลย เราต้องคอยวางแผน คอยหาพวก หาช่องทางในการกำจัดการกับปัญหา เรื่องที่ผมร่วมมือกับไอ้แบล็คมีแค่ ผม ไอ้แบล็ค และไอ้โฟรคสามคนเท่านั้นที่รู้
เราค่อยๆ ดำเนินการอย่างเงียบๆ ค่อยเป็นค่อยไปเพื่อหาคนที่ไว้ใจได้เข้าร่วมกับเรา ต้องมั่นใจจริงๆ ถึงจะดึงคนคนนั้นเข้ามาเป็นพวกเราได้ เพื่อไม่ให้พวกมันสงสัย หรือจับได้ซะก่อนจึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเงียบๆ ช้าๆ
หลังจากนี้ทุกอย่างคงดีขึ้น ถึงไอ้แบล็คมันจะปากหมาไปบ้าง แต่มันก็เป็นคนดีคนหนึ่ง เราสนิทกันมาตั้งแต่เด็กแล้วผมย่อมรู้จัดมันดี
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงท่าเรือสักที เราต้อนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ขึ้นรถที่เราเตรียมเอาไว้ แล้วมุ่งหน้าไปยังโกดังร่าง
ประตูเหล็กที่สนิมเกาะจนทั่วถูกแงะเปิดออกโดยคนเฝ้า เราให้คนมาเตรียมที่นี่ได้เป็นอาทิตย์แล้ว ตั้งแต่รู้เรื่องงานวันเกิดบนเรือยอชท์
เราค่อยๆต้อนคนเกือบสามสิบคนผ่านเข้าไปในประตูกระจก กระจกที่กั้นเรากับพวกมันไว้เป็นกระจกที่หนามาก ทุบยังไงก็ไม่แตก นอกจากจะใช้ปืนหรือระเบิดยิงเท่านั้น
“พวกมึงจะทำอะไร ปล่อยนะ ปล่อย!!” เสียงร้องโวยวายดังขึ้นจากปากของไอ้กองทัพ คนอื่นๆ ก็เริ่มร้องโวยวายขึ้นเรื่อยๆ เราไม่ได้สนใจเสียงเหล่านั้น เราผลักพวกเขาเข้าไปด้านในจนสำเร็จ
เหลือแค่ผู้นำ ไม่ใช่สิต้องเป็นอดีตผู้นำ ไอ้กองทัพ จ่านนท์ ส่วนโรสเธอโดนขังอยู่บนเรือ ไอ้แบล็คมันบอกว่ามีบทลงโทษเตรียมไว้ให้แล้ว พร้อมกับจ่านนท์ แต่ผมอยากให้เขาลงมาดูด้วยกันจึงพามาด้วย
“พวกมึงจะทำอะไร” ในที่สุดผู้นำก็เปล่งเสียงออกมาสักที
“ของขวัญที่เตรียมให้พวกมึงโดยเฉพาะไงหละ” ผมตอบกลับไปด้วยใบหน้านิ่งเฉยเหมือนเดิม
“คิดจะฆ่ากูเหรอ กูไม่ยอมตายคนเดียวหรอก” คำพูดที่จบลงพร้อมร่างอ้วนลงพุงที่วิ่งเข้าหาทหารที่อยู่ใกล้สุด แล้วแย่งปืนออกมาเลงที่ผมทันที ชั่ววินาทีแห่งความตาย มือที่กำลังลั่นไกล และร่างของผมที่ถูกบังจากใครสักคน
ปัง!! นัดแรกคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าผมทรุดลง
ปัง!! นัดที่สอง คนที่เคยเลงปืนมาที่ผมล้มลงกับพื้น ผมเลิกสนใจผู้นำแล้วหันไปหาคนที่มารับกระสุนแทนผม
“จ่านนท์ ทำแบบนี้ทำไม” ทำไมต้องช่วยผมด้วย ทำเพื่อผมทำไม
“ผม อึก ขอโทษ อึก ขอโทษ ทะ ที่ทำร้าย อึก ครอบครัว ตะตัวเอง ขอโทษ” เสียงพูดของเขาค่อยๆ แผ่วลง เลือดจากหน้าอกไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจาก
“ผมให้อภัยจ่า จ่าจะยังเป็นครอบครัวของผมเหมือนเดิม ขอบคุณนะครับพี่ชายที่ช่วยชีวิตผม ขอบคุณจริงๆ” นี่เป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่ผมจะให้เขาได้
“ฝะ ฝาก คะครอบครัวผมด้วย ถะ ถึงเขาจะเป็น ยะ ยังไง อึก ผะผมก็รักเขา อึก ฝากบอก ว่าผม อึก รักเขา” ลมหายใจที่แผวเบาลงเรื่อยๆ จนหายไปในที่สุด ผมจะฝั่งความผิดพลาดของเขา ให้ตายไปกับเขาด้วย จ่าจะยังเป็นจ่าที่น่ารักของทุกคนตลอดไป
ถึงเวลาต้องจัดการเรื่องนี้ให้จบจริงๆ แล้วสินะ เราแบกร่างผู้นำที่กำลังร้องโอดโอยจากการโดนยิงที่ช่วงท้องเข้าไปในห้องกระจก พร้อมล็อกประตูจากฝั่งเราไว้
“ขอให้สนุกกับของขวัญที่เตรียมไว้ให้นะ กูอโหสิกรรมให้”
“เทน ต่อไฟ” ผมหันไปสั่งหมู่เทนที่ยืนอยู่ประจำแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ สายไฟถูกต่อเข้าเพื่อเปิดประตูเหล็กบานเล็กที่อยู่ติดกับห้องกระจก ประตูนี้เชื่อมกับห้องโถงอีกฝั่ง เมื่อไฟถูกต่อประตูไฟฟ้าด้านในตู็กระจกก็ค่อยๆ เปิดออกทีละน้อย
แก๊กๆๆ เสียงประตูเปิดออก พร้อมอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนตัวผ่านประตูออกมา
“ซอมบี้ ปล่อยกูออกไป ปล่อยกู กูขอร้องกูจะเชื่อฟังพวกมึงทุกอย่าง ปล่อยกูเถอะนะ” สายไปแล้ว ทุกอย่างมันสายไปแล้ว รับกรรมที่ก่อเอาไว้ซะเถอะ
ซอมบี้ตัวแล้วตัวเล่าค่อยๆผ่านประตูเข้ามากัดกินเนื้อของพวกเขา เพราะพวกเขาได้รับวัคซีนทุกคนแล้วจึงไม่สามารถกลายเป็นซอมบี้ได้ ได้แต่เจ็บปวดทรมานอยู่แอย่างนั้น
ผมไม่อยากมองภาพนั้นอีกต่อไป เลยเลือกที่จะหันหลังเดินออกมาจากโกดัง
จบแล้วสินะ มันจบแล้วสินะ
ถึงปัญหาทุกอย่างมันยังมีเข้ามาเรื่อยๆ แต่มันคงไม่เลวร้ายมากกว่านี้ได้อีกแล้ว นอกจากเรื่องเมียผมนะ ป่านนี้จะหายโกรธผมหรือยัง กลับไปยังจะให้ผมเข้าใกล้ไหม นี่สิน่าห่วง