บทที่ 17 2/2
“พอเป็นคนดังแล้วจะใช้คำว่าเรื่องส่วนตัวมันก็ไม่ได้น่ะน้าของแบบนี้” ชายหนุ่มอีกคนถอนหายใจ “คุณเชนนั่นตอนแรกฉันเคยสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นเกย์ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นจริงๆ แถมคดีพลิก ไม่ได้ควงแคทเธอรีน บราวน์ แต่ควงวินเซนต์ ซัมเมอร์ โคตรเหนือความคาดหมาย”
บิลไม่ได้ตอบ แต่ถอนหายใจแทน
“แถมในบทความก็บอกว่าคบกันตั้งแต่ไฮสคูล นี่สงสัยที่ยอมรับงานบริษัทเราคงเพราะเห็นแก่หน้าแฟนแหงๆ ทำไมไม่ระวังกันให้ดีกว่านี้นะ เดือดร้อนกันไปหมด”
“พอเถอะ...ฉันว่านายกำลังล้ำเส้น เรื่องนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก จะโทษก็ควรโทษพวกหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ที่ขุดเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาทำให้เป็นเรื่องแบบนี้” บิลเอ่ยปราม
“ฉันไม่คิดแบบนั้น… ในเมื่อเขาเป็นคนดังไอ้คำว่าเรื่องส่วนตัวมันก็ใช้ไม่ค่อยได้แล้ว เขาควรจะรู้ตัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำน่ะ นิดๆหน่อยๆก็เป็นข่าว ยิ่งเป็นตัวแทนแบรนด์ตั้งหลายแบรนด์ แถมตัวเองขายความเป็นนักกีฬาแมนๆอีก ทำไมไม่ระวังตัว”
บิลนิ่งเงียบไป คล้ายจะพูดไม่ออก
“เอาล่ะๆ ฉันไม่ว่าบอสที่รักของนายกับคู่เกย์ของเขาแล้วก็ได้ ฉันไปทำงานต่อล่ะ” สิ้นประโยค เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก็ค่อยๆห่างออกไป หลงเหลือเพียงบิล ที่ก็ถอนหายใจยาวๆอีกรอบ
แดริลผู้ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดตัดสินใจเปิดประตูออกไป ชายหนุ่มร่างสูงกว่าที่ยืนหน้าอ่างล้างมือเห็นเงาสะท้อนของอีกฝ่ายในกระจก ก็มีท่าทางตกใจอยู่บ้าง
“บอสครับ… เมื่อครู่”
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องนี้ทำหลายคนเดือดร้อนจริงๆนี่” ชายหนุ่มก้าวมายืนข้างๆลูกน้องคนสนิท เปิดก๊อกปล่อยให้น้ำไหลและถูมือของตนกับสบู่เบาๆ “ฉันขอโทษนะ บิล”
“ผมไม่ได้ต้องการคำขอโทษ” ร่างซึ่งสูงกว่าตอบเสียงเรียบ หลุบสายตาลง “...แค่อยากให้คุณบอกพวกเราทีว่าจะทำยังไงต่อดีมากกว่าครับ ตอนนี้พวกเราไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาหรือเปล่า หรือให้อยู่เฉยรอดูสถานการณ์ไปก่อน”
“...อืม”
แดริลนวดหว่างคิ้ว เขามัวแต่เครียดทั้งเช้าจนไม่ได้สั่งงานลงไปจริงๆว่าบิลต้องรับมือกับเรื่องนี้แบบไหน บริษัทจะเลือกจุดยืนแบบใด
“ฉันรอสรุปกับทางนั้นอยู่ ว่าพีอาร์จะเอายังไง… จะติดต่อผู้จัดการส่วนตัวของคุณซัมเมอร์ในวันนี้ล่ะ”
“ครับ… ผมน่ะ… ไม่ได้สนใจเรื่องข่าวอะไรพวกนั้นหรอกครับบอส ปัญหามีเสมอในทุกๆงาน สิ่งสำคัญคือเราต้องแก้มัน และตอนนี้ทีมต้องการการนำทางของคุณนะครับ”
สิ่งที่บิลพูดทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกดดันกว่าเดิม... ทุกคนมีปัญหา แต่โลกไม่ได้หยุดหมุนเพื่อให้คุณแก้ปัญหาของคุณ… ถึงจะเครียดแค่ไหนงานก็ต้องเดินต่อไปอยู่ดี…
ถึงเขาเหนื่อยจนอยากจะพักให้มันผ่านพ้นไป ก็ทำไม่ได้
“อืม ฉันเข้าใจ ฉันไม่ได้ทิ้งงานหรอก”
“....ถ้าพูดมากไปก็ขอโทษนะครับ” บิลพูดจบก็ค้อมตัวเล็กน้อย ไม่นานนักก็ขอตัวเดินจากไป
ชายหนุ่มผมดำจ้องมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจก ใต้ตาดูจะคล้ำเล็กน้อย สภาพดูเหนื่อยล้าอย่างที่ปกติเขาจะระวังไม่ให้แสดงออกมา
… ไม่ได้เรื่องเลย แดริล เชน
…………..
ผู้จัดการส่วนตัวของวินเซนต์เพียบอกว่าพวกเขาจะพยายามแก้ไขปัญหา ตอนนี้กำลังปรึกษากับทีมพีอาร์อยู่ว่าจะหาทางกลบข่าวลือเรื่องนี้ได้อย่างไร
เขาออกคำสั่งให้ฝ่ายการตลาดรอดูสถานการณ์ก่อน ซึ่งกระทั่งวันต่อมาก็ยังไม่มีข่าวใดเข้ามาเลย
แดริลนอนไม่หลับ ถึงหลับก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาทั้งที่ไม่มีอะไร คอยมองโทรศัพท์มือถือรอสายเข้าจากใครคนหนึ่งเสมอ พอลองโทรไปก็พบว่าเครื่องปิด ส่งข้อความก็ไม่ขึ้นว่าอ่านแล้ว
เป็นยังไงบ้างแล้วนะ… วินซ์
จนเย็นวันถัดมา ถึงไม่มีประโยค ‘หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’ แต่เป็นเสียงรอสายแทน…
หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นและเป็นกังวล ในที่สุดปลายสายก็มีเสียงคล้ายการกดรับ
“วินซ์ ตอนนี้--” ยังไม่ทันจบประโยค ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“สวัสดีค่ะ ตอนนี้คุณซัมเมอร์ไม่ว่างรับสาย ไม่ทราบว่าใครกำลังพูดอยู่คะ”
“.......... ไม่มีอะไรหรอกครับ”
“ค่ะ จะทิ้งข้อความอะไรเอาไว้ไหมคะ”
“ไม่มีครับ”
นิ้วมือกดตัดสาย ร่างไม่หนาไม่บางทิ้งตัวลงบนโซฟา วางอุปกรณ์เครื่องนั้นไว้ข้างตัว ยกมือขึ้นนวดขมับและถอนหายใจยาว
เหตุการณ์เมื่อตอนอายุสิบแปดกำลังย้อนกลับมาเล่นวนไปวนมาในหัวซ้ำอีกครั้ง… เงียบหายไป แล้วสุดท้ายก็คงเลือกเหมือนเดิม
ขณะที่ใต้ตาสองข้างเริ่มจะแสบร้อน สมาร์ตโฟนข้างตัวก็สั่นไม่หยุด เขายกมันขึ้นมาอ่านชื่อบนนั้น… เป็นชื่อของวินเซนต์
พอกดรับสาย คราวนี้เป็นเสียงของคนที่คุ้นเคยดี
“เฮ้ แดริล เมื่อกี๊ทีมพีอาร์ฉันรับสาย นายอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ--” เสียงนั้นฟังดูเหมือนจะถูกกล่าวอย่างรีบร้อน
“ซัมเมอร์!! หยุดเดี๋ยวนี้ บอกแล้วไงว่าช่วงนี้ห้ามติดต่อ!!” เหมือนจะเป็นเสียงที่ค่อนข้างคุ้นหู… น่าจะเป็นผู้จัดการหัวล้านของวินซ์คนนั้นที่เขาเคยพบ
“วินซ์… นี่นาย...” แดริลชะงักไปเล็กน้อยพอได้ยินอีกเสียงที่เหมือนจะอยู่ใกล้ๆวินเซนต์
“สองวันมานี้พวกเขาให้ฉันอยู่เฉยๆ ไม่ได้คุยกับใครเลย โซเชียลมีเดียก็ห้ามเข้าจนกว่าจะสรุปสคริปต์ที่ต้องเล่นให้ฉันได้ นายคิดมากรึเปล่า”
“คุณซัมเมอร์!! กลับมานี่เดี๋ยวนี้นะ!!”
“.... นายวิ่งหนีผู้จัดการอยู่เหรอ” แดริล
“เอ่อ...ก็… ทำนองนั้น” วินซ์
“ใครก็ได้จับเขาไว้ที!! ช่วยกันหน่อยเซ่!” ผู้จัดการ
“.....” เสียงความวุ่นวายจากทางด้านหลังทำให้แดริลรู้สึกสงสารผู้จัดการส่วนตัวคนนั้นเป็นอย่างมาก
“พวกเขาจะให้ฉันทำเป็นควงสาวออกสื่อ... เพื่อปิดข่าวลือ”
แดริลรู้สึกใจหาย… แม้จะเข้าใจแต่ก็ใช่จะรู้สึกดีกับเรื่องนี้นัก
“แล้วนายว่ายังไง…”
“ฉันอยากคุยกับนายก่อนจะตัดสินใจทำอะไร” พูดจบก็มีเสียงโครมครามดังมาจากปลายสาย
“....ฉันว่า… นายน่าจะควงสาวไปจริงๆเลย วินเซนต์” แดริล
“เดี๋ยวสิ นี่นายโอเคกับเรื่องนี้เหรอ” วินซ์
“.... มันน่าจะดีกับชีวิตนายมากกว่า คนแบบนายไม่ควรจะมีคนรักเป็นผู้ชายมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว... ” แดริล
“เลิกคิดแทนแล้วตัดสินว่าอะไรดีกับฉันที่สุดสักที แดริล! นี่นายอยู่ที่ไหน อยู่บ้านหรือเปล่า ฉันจะไปหา รอแปบนะ” วินซ์
“ห้ามไป!!” เสียงโหวกเหวกเหมือนจะมาจากผู้จัดการคนเดิมคนนั้น...
“...พอเถอะ วินเซนต์… พอแล้วล่ะ”
“แดริล ห้ามวางสาย แดริล! แดริ--”
ชายหนุ่มกดตัดสาย นั่งหลับตาคิดย้ำว่าเขาทำถูกแล้ว
หากวินเซนต์เป็นดารา นักร้อง ไม่ใช่นักกีฬาที่ขายภาพลักษณ์ความเป็นเพลย์บอยแมนๆ เรื่องมันก็คงไม่ซับซ้อนขนาดนี้
และหากเขาไม่ได้ทำงานอยู่ในบริษัทที่จ้างอีกฝ่าย… ก็คงไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีผลกระทบต่อหลายฝ่ายขนาดนี้
สักพักสองขาถึงลุกขึ้น ไปคล้องโซ่ประตู และเลื่อนตู้รองเท้ามากั้นเอาไว้ จากนั้นก็ทรุดลงนั่งอยู่หน้าประตูทางเข้าอยู่นาน น้ำอุ่นค่อยไหลลงจากดวงตา อาบแก้มและหยดลงกระทบหลังมือ ชายหนุ่มนั่งขดตัวอยู่เพียงลำพัง
ไม่อยากเลิก… ไม่อยากปล่อยมือเลยสักนิด
ไม่อยาก...
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาก็ได้ยินเสียงปลดล็อกกุญแจตามคาด.. วินเซนต์พยายามจะดันประตูเข้ามา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ประตูจึงถูกแง้มออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“แดริล เปิดประตู ฉันรู้นายอยู่ในนั้น” นักกีฬาหนุ่มเคาะประตูแรง เจ้าของห้องนั่งส่ายหน้ากับตนเอง ไม่ยอมตอบอะไร
“ฟังนะ ฉันไม่เคยคิดจะเลิกกับนาย… ที่ให้ควงสาวบังหน้าเป็นข้อเสนอของทีมพีอาร์ ฉันไม่ได้จะทำ” น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูสิ้นหวังเสียจนคนฟังนึกปวดใจ
“...ฉันรู้” แดริลตอบเสียงเบา “ฉันไม่ได้โทษนาย”
“แล้วทำไมถึงพูดจาเหมือนจะเลิก?”
“ถ้าสมมุติว่าครั้งนี้นายแถลงข่าวปฏิเสธ… แล้วคราวหน้าที่พวกเขาพบว่าเราไปไหนมาไหนด้วยกันอีกล่ะวินซ์ หรือหากมีคนรู้ว่าเราอยู่ด้วยกันล่ะ เรื่องมันจะไม่ยิ่งแย่กว่านี้สำหรับนายเหรอ?”
“แดริล…”
“นายเห็นหรือเปล่าว่าแฟนกีฬาหลายๆคนพูดถึงนายในโซเชียลยังไงบ้าง… ‘ตุ๊ด’ ‘หลอกลวง’ ‘ไม่รู้โดนไปกี่ทีแล้ว’ ‘อยากรู้จังว่าอยู่บนหรือล่าง’ มีบางคนที่เผาโปสเตอร์นายด้วย…” ยิ่งพูดคำเหล่านั้นออกมาเสียงของชายหนุ่มก็ยิ่งสั่น กระทั่งมือก็สั่ง เขาต้องประสานสองมือไว้ด้วยกันให้มันหยุด
“เห็นสิ แล้วจะทำไม? นอกจากคนพวกนั้นก็มีคนมากมายยิ่งกว่าที่ให้กำลังใจและเข้าใจฉัน ทำไมนายต้องมองแต่ด้านที่มันเลวร้ายด้วยล่ะ?”
“ผลกระทบจะตามมาอีกมาก นายก็รู้นี่…”
“เราผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันไม่ได้รึไง แดริล.. ขอร้องล่ะ” ทั้งคำพูด ทั้งน้ำเสียง ยิ่งทำให้คนฟังปวดใจ เขาอยากจะเปิดประตูให้วินเซนต์เข้ามา แล้วบอกว่าจะอยู่ข้างๆอีกฝ่าย
แต่เมื่อต้นตอของปัญหาทั้งหมดคือตนเอง จะทำแบบนั้นได้ยังไง…
จนสุดท้ายแล้ว เขาก็จำใจต้องยื่นคำขาด ในรูปแบบของคำถาม… ที่ไม่อยากจะถาม
“... ระหว่างฉันกับฟุตบอล นายเลือกสักอย่างได้หรือเปล่าล่ะ?” หลังจากคำถามนั่น วินเซนต์ก็นิ่งเงียบไปยาวนาน จนในที่สุดก็มีเสียงถอนหายใจดัง
“............. ก็ได้”
วินซ์พูดเท่านั้นว่า…. ‘ก็ได้’ และเขาก็จากไป..
ชายหนุ่มได้เพียงนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน… จนถึงเช้า เขาก็นั่งอยู่แบบนั้น
และในเวลาเช้าตรู่ เขาก็ส่งข้อความไปลาป่วยเป็นวันแรกในรอบปี
……………………….
วินเซนต์ไม่อยู่แล้ว...
...สุดท้ายเรื่องก็จบลงแบบเดิมๆ วินซ์เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตตนเอง...
...และมันก็คงดีแล้ว ที่ทุกอย่างจบแบบนี้
และตอนนี้เขาก็ไม่อยากจะลืมตาตื่นขึ้นมาเผชิญความจริงเลยสักนิด…
สิ่งที่ทำให้แดริลสะดุ้งตื่นคือเสียงเคาะประตู พร้อมกับเสียงแหลมที่เสียดแก้วหู
“ที่รักคะ นี่ฉันเอง ยู้ฮู เปิดประตูค่ะ เปิดประตู นี่เรื่องด่วน!”
เป็นแคทเธอรีน.. แดริลลากสังขารโทรมๆที่ทั้งไม่ได้อาบน้ำโกนหนวด และแทบไม่ได้นอนไปเปิดประตูบานนั้น ระยะทางระหว่างเตียงจนถึงทางเข้าห้องตนเองช่างห่างไกลเหลือเกิน
“มีอะไร แคท?” เปิดประตูออกไปรับเพื่อนสาวด้วยสีหน้าไม่กระตือรือร้นเท่าใดนัก แคทเห็นสภาพแล้วก็ต้องป้องปากอุทานพระเจ้าช่วยออกมาทีหนึ่ง
“ทำไมโทรมแบบนี้ล่ะยะ? เอาเถอะ เรื่องด่วนๆ รีโมททีวีเธออยู่ไหนน่ะ?” แคท
“...ข้างทีวีนั่นล่ะ” น้ำเสียงที่ใช้ตอบดูเหนื่อยหน่ายและไม่ใส่ใจ ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา คว้าเอาหมอนมานั่งกอดและเหม่อมองเพดาน
“อย่ามาดราม่าอะไรตอนนี้ย่ะ อันนี้เธอต้องดู” นางแบบสาวกดสวิตช์เปิดและรีบเปลี่ยนช่องอย่างว่องไว
“ดูอะไ--” พอเงยหน้ามองจอ คนถามก็ต้องมองตาค้าง กล้องกำลังจับอยู่บนใบหน้าของวินเซนต์ซัมเมอร์ที่นั่งคู่กับพิธีกรชื่อดังในรายการทอล์กโชว์ “...ปิดซะ”
“ไม่ เธอต้องดู ฟังซะ”
เจ้าของห้องที่โดนบังคับให้ฟัง จะไม่ฟังก็ไม่ได้ จึงจำใจนั่งดูรายการทอล์กโชว์นั้นอย่างไม่มีทางเลือก
“เรื่องข่าวลือในหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ที่ตีพิมพ์รูปคุณกับผู้ชายคนหนึ่ง มันยังไงกันแน่ครับ เรื่องจริงหรือเปล่า?” วินเซนต์รับฟังคำถามอย่างดูตั้งใจ ยกยิ้มให้พิธีกรด้วยท่าทางสบายๆ
“เรื่องจริงครับ”
หากแดริลจิบกาแฟยามเช้าอยู่คงได้พ่นพรู่ดใส่หน้าเพื่อนสาวไปแล้ว
หมอนั่นกำลังทำอะไรของเขา!!!
“แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าควรเรียกตัวเองว่าเกย์ไหม ไบอาจจะเหมาะกว่าละมั้งครับ ผมก็ยังชอบผู้หญิง เรื่องที่เดทใครที่ผ่านๆมาก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด แค่ว่าสุดท้ายแล้วคนคนนั้นที่ผมรักบังเอิญเป็นผู้ชาย” วินซ์จ้องตรงมาทางกล้อง จนคล้ายกำลังพูดกับใครบางคนผ่านจอโทรทัศน์
“โอ้โห แล้วช่วงนี้ก็ยิ่งใกล้คัดตัวนักกีฬาเข้าไปทุกทีแล้ว ทำไมคุณถึงตัดสินใจเปิดเผยความจริงเอาเวลานี้ล่ะครับ แล้วคิดว่ามันจะส่งผลกับงานหรือเปล่า” พิธีกรไม่ได้ดูแปลกใจนัก และถามคำถามต่อไปได้อย่างลื่นไหล
“ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะยอมรับความจริง อีกอย่างยิ่งมีรูปหลุดออกมาแล้ว ผมก็ไม่สบายใจนักที่จะปิดบังต่อไป แล้วผมก็ไม่อยากให้คนรักของผมเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้วด้วย” วินเซนต์หัวเราะเบา “ส่วนเรื่องจะส่งผลกับงานไหม ผมจะคบกับใคร ผมก็ยังเป็นผมนี่ครับ ฝีมือการเล่นของผมก็เท่าเดิม และการที่ผมจะรักใครสักคน มันกำหนดตัวตนของผมขนาดนั้นเลยเหรอ? มันทำให้ค่าในการเป็นนักกีฬาของผมลดลงขนาดนั้นเลย? ก็เป็นคำถามที่ผมถามตัวเองอยู่บ่อยๆ”
“นั่นสินะครับ แต่ก็มีตัวอย่างในอดีตให้เห็นอยู่ว่ามันสามารถส่งผลกระทบกับ...หลายๆอย่างได้ คุณกังวลหรือเปล่า”
“ก็มีบ้าง… แต่การกังวลไม่ใช่นิสัยผมเท่าไหร่ ผมเป็นคนประเภทที่เอาแต่มองไปข้างหน้า อะไรที่ทำไปแล้วก็คือทำไปแล้ว มันไม่มีทางที่ผิดหรอกครับ ก็มีแต่ทางที่เลือกไปแล้ว และการกังวลก็ไม่ช่วยอะไร ผมคิดว่าฤดูกาลนี้ผมจะทำให้ดีที่สุด แล้วได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นล่ะ”
“ผมนับถือคุณเลยนะ คุณซัมเมอร์ แล้วมีอะไรที่อยากฝากถึงนักกีฬา LGBT คนอื่นๆที่ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวไหมครับ”
“ครับ… ผมคิดว่าความรักมันไม่ใช่เรื่องผิด การที่เราจะรักใครสักคนไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นเพศอะไร มันไม่ควรจะลดค่าความเป็นคนของเรา สังคมของเรากำลังเปิดกว้างมากขึ้นสู่ยุคที่เรื่องเหล่านี้จะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ผมอยากให้พวกเขามีกำลังใจและรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องผิด เพราะคนรักของผมเองก็เป็นทุกข์กับเรื่องนี้มานานแล้ว”
แดริลนั่งฟังบทสัมภาษณ์ทั้งหมดนั่นด้วยสีหน้าเหม่อลอย… รู้สึกเหมือนยังคงติดอยู่ในฝันที่ไม่แน่ใจว่าเป็นฝันดีหรือฝันร้ายกันแน่ น้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งไปแล้วเอ่อคลอที่หางตา
ไม่มีใครรู้หรอกว่าวินเซนต์รักอาชีพนักกีฬาของตนเองแค่ไหน ไม่มีใครเข้าใจว่าวินเซนต์พยายามแค่ไหนกว่าจะมาถึงจุดนี้ เพราะนิสัยที่ว่าอะไรๆก็ไม่ทำให้มันดูเป็นเรื่องใหญ่ของเจ้าตัว
ทั้งกินอาหารอย่างเคร่งครัด ออกกำลังอย่างเคร่งครัด และดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่สมัยเรียนก็แทบไม่เคยเหลวไหลขาดซ้อม เกรดก็ไม่ยอมให้ตกต่ำกว่าสามจนมีปัญหาโดนถอดออกจากทีมแบบหลายๆคน… แต่ก็ทำท่าราวว่าทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายทั้งๆที่พยายามมาตลอด
ไอ้คนที่ทั้งเผด็จการ นิสัยเสีย ชอบบังคับ เอาใจคนไม่ค่อยเป็น ง้อใครไม่เก่ง แถมอยากได้อะไรก็จะเอาจนได้ของเขาน่ะ… จริงๆแล้วก็แค่คนอวดดีที่ทำเป็นเก่งคนหนึ่งเท่านั้นเอง
“... เขารักเธอนะ แดริล และฉันว่าเขาก็เลือกแล้วล่ะ” แคทซึ่งนั่งดูอยู่ข้างๆทักขึ้นมา ส่งทิชชู่แผ่นหนึ่งให้ชายหนุ่มไปซับน้ำตา “ไปหาเขาเถอะ”
“อืม… แต่ฉันควรจัดการตัวเองก่อน” แดริล
“ใช่ สภาพเธออย่างกับไปปาร์ตี้มาทั้งคืน อาบน้ำโกนหนวดซะค่ะ” แคท
ขณะอ้าปากกำลังจะตอบ โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างโซฟาก็สั่นขึ้นเสียก่อน
แดริล เชน หยิบสมาร์ตโฟนมากดดู พบว่าเป็นสายจากวิเวียน และด้วยความที่เป็นคนให้ความสำคัญกับงานเป็นอันดับหนึ่ง เขาจึงกดรับทันทีก่อนจะทันได้คิดเสียอีก
“ครับบอส” รับสายด้วยเสียงค่อนข้างแห้ง เพราะตั้งแต่ตื่นมายังไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักแก้ว
“แดริล… พอจะคุยได้ไหม ฉันรู้ว่าวันนี้เธอลา… แต่เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญ” แดริลหลับตาลง ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ อาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับที่วินเซนต์ให้สัมภาษณ์
“...ได้ครับ”
“ฉันเพิ่งรู้ว่า คนที่ให้ข่าวเรื่องเธอกับคุณซัมเมอร์กับปาปารัสซี่ และให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์แทบลอยด์… คือโจเซฟ” ประโยคนั้นไม่ใช่ประโยคที่เขาคาดเดาว่าจะได้ยินจากปากหล่อน
“.......แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนรึครับ”
“น่าจะอยู่ที่โรงละคร…” มิสวีตอบ น้ำเสียงฟังดูลังเล
“ผมมีเรื่องต้องคุยกับเขา… ส่วนแผนแก้ไขปัญหาจะส่งให้พรุ่งนี้นะครับ” น้ำเสียงของชายหนุ่มราบเรียบไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใดทั้งนั้น
“ฉันโทรไปตำหนิเขาแล้วรอบนึง เย็นนี้ก็จะไปดุอีกรอบ… เธอก็… เฮ้อ… เอาเป็นว่าผลกระทบจากช่วงไฮสคูลทำให้จนถึงทุกวันนี้โจเซฟยังต้องไปหาจิตแพทย์อย่างสม่ำเสมออยู่เลย ฉันเข้าใจหากเธอจะโกรธ เรื่องนี้เธอมีสิทธิโกรธ แต่หากเป็นไปได้ก็อย่ารุนแรงนักนะ”
“... ผมจะพยายาม” แดริล
“ฉันขอโทษนะ… ฉันไม่น่าช่วยเขาเลย” มิสวี
“ไม่หรอกครับ… สุดท้ายคนที่ตัดสินใจทำเรื่องนี้ก็ตัวเขา ไม่เกี่ยวกับคุณ” แดริล
หลังจากวางสายแล้วเขาก็เตรียมตัวและไปจัดการตนเองให้เรียบร้อย ล้างหน้า โกนหนวด เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อใหม่
“เมื่อครู่นั่นคุณเวสเหรอ… แล้วเธอกำลังจะไปไหนกัน” แคท
“… โจเซฟเป็นคนปล่อยข่าว ฉันจะไปคุยกับเขาหน่อย” แดริล
“ไม่ติดต่อวินซ์ก่อนเหรอ เขารออยู่นะ” แคท
“.... ให้ฉันไปจัดการจบเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนแล้วกัน”
พูดจบแคทก็มีสีหน้าไม่เห็นด้วย แต่ก่อนที่เธอจะทันได้เอ่ยปากห้าม เขาก็ก้าวไวๆออกจากอพาร์ทเมนต์ไปเสียแล้ว…
………………………..
‘ออกมาพบฉันที่ลานจอดรถที’
หลังจากส่งข้อความดังกล่าวไปแล้ว แดริล เชนก็ก้าวลงจากรถมายืนรออยู่ที่ชั้นใต้ดินของลานจอด สองมือสอดเข้ากระเป๋ากางเกง เหม่อมองเพดานด้วยสีหน้าเรียบเฉย
รอไม่นานนัก คนที่เขารอก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางรีบร้อน
“คุณเชน…”
“นายทำไปเพื่ออะไร” แดริลถามเสียงเย็น ดวงตาสีฟ้ามองสบตากับอีกฝ่ายอย่างเฉยชา
“...ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันกระทบคุณ… วิเวียนอธิบายหมดแล้ว ผมขอโทษ” ท่าทางสำนึกผิดไม่สามารถลดโทสะของคนฟังได้สักนิด จนเผลอขึ้นเสียงขึ้นมาอีกเล็กน้อย
“นายทำร้ายวินเซนต์ของฉันทำไม!”
“....” โจเซฟนิ่งไป สักพักก็หัวเราะออกมาเบาๆ เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูประชดประชันอย่างประหลาด “สุดท้ายทั้งหมดก็เป็นเรื่องเขา… เกี่ยวกับเขา เหมือนสมัยไฮสคูลไม่มีผิด”
โจเซฟยกมือข้างหนึ่งขึ้นวางบนหน้าผากจนบดบังดวงตาสีเขียวไปข้างหนึ่ง
“ผมเกลียดเขา…. เกลียดมานานแล้วรู้ไหม” ชายหนุ่มยังคงหัวเราะออกมาเบาๆ “ทำไมคนแบบเขาต้องได้ทุกอย่างมาง่ายๆโดยที่ไม่ต้องพยายามอะไร ทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนดีเลยสักนิด โลกนี้มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด”
“กระทั่งผมเจอคุณ.. ผมรู้สึกเหมือนเจอทางออก แต่แล้วมันก็ไม่ใช่… เขาส่งคนมาทั้งข่มขู่ทั้งรุมกระทืบผม คุณรู้หรือเปล่า” ในดวงตาสีเขียวเต็มไปด้วยแววเจ็บปวดขณะเล่าถึงเรื่องในอดีต เหมือนกับว่าเขายังไม่สามารถจะหลุดพ้นออกมาจากช่วงเวลานั้นได้ “ผมแค้น… จนอยากให้เขารู้สึกบ้างว่าความพังมันเป็นยังไง ว่าไอ้ขี้แพ้คนหนึ่งก็พังเขาได้เหมือนกัน ทำไมคนเลวๆแบบเขาถึงได้ทุกอย่าง ทำไมคุณถึงรักเขาขนาดนี้ ทำไมกัน?!”
“..... คำถามที่นายถาม ฉันก็เคยถามเหมือนกัน… ใช่ วินซ์เป็นไอ้สารเลว เขาอาจไม่สมควรได้รับหลายๆอย่าง และเขาก็เป็นคนแย่ๆที่ทำร้ายคนอื่นได้หน้าตาเฉย จะโดนประณามก็สมควร… แต่เรื่องที่นายเลือกใช้มาประณามเขา กลับไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองโดนเขารังแก แต่นายใช้ฉันเป็นเครื่องมือในการทำลายเขา” มือข้างหนึ่งดึงกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายลงมาโดยไม่ออมแรง
“ที่นายกำลังพยายามทำคือบอกสังคมว่าการที่เขารักฉันเป็นเรื่องผิดพลาด เรื่องน่ารังเกียจ…. สิ่งที่นายทำลงไปน่ะ มันเหมือนนายจะบอกว่าฉันเป็นตัวบัดซบอะไรกัน!! เขาทำร้ายนาย แล้วฉันทำผิดอะไร!?!”
ในสายตาของโจเซฟคล้ายจะเข้าใจอะไรในที่สุด ใบหน้าแสดงออกถึงความรู้สึกผิด ทว่าแดริลไม่คิดจะมองดู มืออีกข้างกำแน่น เงื้อขึ้นเตรียมจะเหวี่ยงหมัดอัดใบหน้านั่นเต็มแรง
ทว่าก่อนที่จะได้ต่อย ข้อมือกลับถูกจับยึดไว้เสียก่อน
“เซฟ…” เป็นเสียงที่คุ้นเคย พอหันไปก็เจอกับใบหน้าที่คุ้นเคย และร่างสูงที่คุ้นเคยดี “ไอ้ขี้แพ้นี่ไม่มีค่าพอให้นายลงมือหรอกที่รัก เก็บหมัดของนายไว้ต่อยฉันเถอะ”
“... วินซ์” มือที่กำลังกำอยู่ค่อยๆคลาย อีกข้างที่ดึงคอเสื้อของโจเซฟก็ปล่อยออกเช่นกัน… “ทำไมนายมาอยู่ที่นี่…”
“แคทบอก”
พูดจบวินเซนต์ก็ดึงร่างซึ่งเล็กกว่าตัวเองมากอดแนบอก ดวงตาสีเขียวเหลือบมองโจเซฟที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาเหม่อมองไปยังพื้นคอนกรีต คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างคร่ำเครียด
“เฮ้ ไอ้ขี้แพ้… ฉันจะบอกอะไรให้ว่าไม่มีใครพังฉันได้นอกจากตัวฉันเอง และฉันเลือกที่จะไม่พังว่ะ” เจ้าของร่างสูงใหญ่ชี้นิ้วโป้งลงพื้น แสยะยิ้มชั่วร้ายที่มุมปาก “และฉันต่างกับนายตรงไหนรู้ไหม ตราบใดที่นายคิดจะเอาชนะชาวบ้านด้วยการฉุดคนอื่นลง ไม่ใช่ดันตัวเองขึ้น นายก็ยังจะเป็นไอ้ขี้แพ้อยู่วันยังค่ำ”
“... เลิกเรียกฉันว่าขี้แพ้สักที” โจเซฟกัดฟันตอบ มือกำแน่น ท่าทางดูไม่พอใจและพร้อมจะสู้กับวินเซนต์... แต่เมื่อดวงตาเหลือบมองไปทางแดริลที่ไม่ได้มองเขากลับ ก็คล้ายว่าความโกรธทั้งปวงจะสลายลง “...ผมขอโทษ… ที่มันกระทบคุณขนาดนี้”
“ไปเถอะ…. ฉันไม่อยากเห็นหน้านายอีกแล้ว” มีเรื่องบางอย่างที่แดริล เชนไม่สามารถอภัยให้ใครได้ และเรื่องที่โจเซฟทำลงไปก็เป็นหนึ่งในเรื่องบางอย่างที่ว่า…
การทำร้ายวินเซนต์โดยใช้เขาเป็นเครื่องมือ...
ชายหนุ่มอีกคนก้มหัวลงพร้อมกับหลุบตามองพื้น อ้าปากคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ตัดสินใจไม่พูด
สุดท้ายก็ดูพ่ายแพ้อย่างหมดรูป และเจ้าตัวก็ยอมรับความพ่ายแพ้นั้นแต่โดยดี...
คนคนนั้นค่อยๆเดินหันหลัง ลากขาจากไปโดยไม่ได้ว่าอะไรอีก
ก่อนที่โจเซฟจะเปิดประตูกลับเข้าไปในอาคาร ก็หันกลับมองคนสองคนที่ยังคงยืนกอดกันอยู่ที่เดิม ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว ด้วยท่าทีสิ้นหวัง
และพึมพำคำขอโทษเบาๆ ที่ไม่อาจชดเชยอะไรได้ และไม่มีใครได้ยิน
……………..
“ ‘วินเซนต์ของฉัน’? ตอนนายเกรี้ยวกราดนี่ก็น่ารักดีนะ” พอไล่คนไปแล้ววินเซนต์ก็เลิกคิ้วพลางยิ้มหยอก สีหน้าเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
“...........” แดริลไม่ยอมตอบ
“เรียก วินเซนต์ของฉัน อีกทีสิ” วินซ์
“...ไม่” แดริลรู้สึกว่าเรื่องนี้ก็น่าจะโดนล้อไปอีกนานแน่ๆ
“วินเซนต์ของนายกำลังต้องการกำลังใจ เขาเพิ่งทำร้ายอาชีพตัวเองไปช่วงก่อนเปิดฤดูกาลแค่นิดเดียว” วินซ์
“... นายไม่น่าทำแบบนั้น” แดริล
“ถ้าฉันไม่เลือก นายก็จะเลือกให้ฉัน ไม่เอาด้วยหรอกแบบนั้น ต้องเกษียณเร็วสักสองปีก็ไม่เป็นไร” มือที่วางบนเอวดึงร่างข้างๆเข้ามากอดแน่น
“... แบบนี้ดีแล้วจริงๆเหรอ พวกแบรนด์สปอนเซอร์ของนายจะว่ายังไง” แดริล
“เลิกจ้างก็เลิกจ้าง… แต่มันก็มีแบนด์ที่ต้องการแนวLGBTหรือโอเคกับความแตกต่างอยู่เหมือนกัน ฉะนั้นก็ไม่มีปัญหาหรอก หลังจากเทปนั่นออกอากาศ เห็นผู้จัดการว่ามีงานใหม่เสนอเข้ามาหลายงานเหมือนกัน” วินซ์
“...ฟุตบอลล่ะ” แดริล
“ฉันว่าพวกเขาคงให้ฉันลงซีซันนี้ ไม่งั้นคงได้โดนข้อกล่าวหาเหยียดเพศกันพอดี… แต่ซีซันหน้านั่นอีกเรื่อง ฉันว่าจะลองสู้กับบรรทัดฐานสังคมดูสักตั้ง” วินซ์
“มันคุ้มกันเหรอ… วินซ์” แดริล
“คุ้ม ฉันไม่อยากปล่อยมือจากนาย” วินซ์
“.....” แดริลถอนหายใจ แนบแก้มกับอกอีกฝ่ายอย่างเหนื่อยล้า “ตัวฉันเองยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนายรักฉัน...”
“ฉันไม่เคยคิดถึงมัน ฉันก็แค่มีความสุข อยากเจอนาย อยากกอดนาย อยากอยู่กับนาย ก็แค่นั้นเอง”
“...คำตอบก็สมเป็นนายดี” แดริล
“นายก็ช่วยอย่าปล่อยฉันไปง่ายๆได้ไหม ฉันก็เสียใจเป็นนะ” วินเซนต์ก้มลงจูบหน้าผากคนฟัง
“...ขอโทษ” แดริล
“ทั้งที่ฉันเคยรับปากนายไว้แล้วแท้ๆ ว่าต่อให้โดนนายไล่ก็จะหน้าด้านไม่ไปไหน” วินซ์
“....ตอนไหนกัน” แดริล
“ตอนที่นายเมาวันนั้น นายพูดอะไรออกมาเยอะแยะเลยรู้ไหม” วินซ์
“....” แดริล
นี่เขาพูดอะไรออกไปบ้างฟะเนี่ย….
วินเซนต์เห็นสีหน้ายุ่งยากใจของอีกฝ่ายแล้วก็หัวเราะเบา ก้มลงจูบที่ริมฝีปากคนช่างคิดมาก พอเห็นว่าแดริลไม่ได้มีท่าทีหวาดระแวงแบบก่อนหน้านี้แล้วก็ยิ่งได้ใจ จับพรมจูบไปทั่วใบหน้าจนแก้มนั่นเริ่มขึ้นสีเล็กน้อย
“อย่าไล่ฉันอีก” วินเซนต์กระซิบ
“...ได้ จะไม่ให้ไปแล้ว ต่อให้ตกงานเป็นNEETนายก็ต้องอยู่บ้านให้ฉันเลี้ยง” แดริลหัวเราะออกมาเบาๆ เหมือนจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ตัวเขายิ้มออก
“พูดว่านายรักฉัน” ...ไอ้ความวินเซนต์แบบนี้ก็ไม่เปลี่ยนเลย ให้ตาย… นายควรจะบอกว่า ฉันรักนาย มากกว่า
...แต่เห็นแก่ที่ว่าต่อจากนี้วินซ์จะต้องรับมือกับเรื่องยุ่งยากที่จะตามมาอีกหลายเรื่อง เขาก็ใจอ่อนอีกจนได้…
“ฉันรักนาย วินเซนต์”
“ฉันก็รู้ว่านายรักฉัน แดริล”
และสุดท้ายแล้ววินเซนต์ก็ยังเป็นวินเซนต์อยู่วันยังค่ำนั่นละ……….
------------------------
เห็นมีสอบถามกันเรื่องงานเขียนอื่นๆด้วย สามารถตามที่เฟสบุคเราได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะเอามาทยอยลงในเล้าด้วยค่ะแต่ตอนนี้กำลังวุ่นๆกับการทำเล่มคุณแดริลอยู่เลยดองเค็มทุกอย่างลงไหชั่วคราวค่ะ
https://www.facebook.com/anonymouslycatwrite/?ref=br_rs