ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]  (อ่าน 52145 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
บทที่ 7 The Party (1/2)

เป็นอีกวันในฤดูหนาว





หลังจากเหตุการณ์คราวก่อนก็ไม่ได้เกิดเรื่องเลยเถิดขึ้นอีกจนถึงบัดนี้ เขายุ่งกับงานสภาและเตรียมสอบ ส่วนวินเซนต์ก็ยุ่งกับการซ้อมนักกีฬาและการแข่งขันเปิดฤดูกาล… ทั้งจังหวะ เวลา และสถานที่ไม่อำนวยแต่อย่างใด





ใบหน้าท่อนล่างฝังลงกับผ้าพันคอไหมพรมสีแดง ขณะที่เด็กหนุ่มขี่จักรยานต้านลมในช่วงต้นหนาวกลับบ้าน…





วันนี้วินเซนต์มีนัดกับพวกเพื่อนนักกีฬา ส่วนเขาก็มีการบ้านที่ต้องทำให้ได้คะแนน 100/100 จึงชิ่งหนีกลับบ้านมาก่อน





ดวงตาจ้องมองบานประตูสีน้ำตาล… รู้สึกไม่ได้ยินดีกับการกลับบ้านเสียเท่าใดนัก ตั้งแต่ที่แดริลรู้ตัวว่าตนเองเป็นเกย์ เขาก็รู้สึกห่างเหินกับทั้งพ่อและแม่มากกว่าเดิม มีเพียงพี่ชายที่ยังพอคุยกันได้บ้าง แต่ซีมัสเองก็…. ไม่ชอบเกย์





ความไม่ชอบของซีมัสนี่เรียกว่าอาจจะมีเหตุผลที่สุดในจำนวนสมาชิกที่บ้านสามคน นั่นเป็นเพราะเจ้าตัวโดนคุกคามในห้องล็อกเกอร์เปลี่ยนเสื้อที่โรงเรียน นับแต่นั้นมาหากมีอะไรที่มันดูเกย์นิดหน่อยหรือผู้ชายส่งสายตาให้ ชายหนุ่มก็จะชักสีหน้าแล้วถอยไปสองก้าว





แต่ยังไงซะพี่ชายคนนี้ก็สนิทกับเขาที่สุดแล้ว..





แดริลได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ กับตนเอง ขณะเปิดประตูเข้าบ้าน เห็นพ่อกับพี่ชายกำลังคุยอะไรท่าทางเคร่งเครียด

“ตัดสินใจแน่แล้วใช่ไหม? พ่อภูมิใจในตัวแกนะ”

“ครับ ผมจะไปอิรัก”

“ดี! เป็นลูกผู้ชายต้องรับใช้ชาติ! ”





แดริลเลิกคิ้ว พี่ชายเขาเรียนจบไฮสคูลแล้ว ล่าสุดที่คุยกันก็เห็นเจ้าตัวบอกว่าขอพักจากการเรียนก่อนสมัครเข้ามหาวิทยาลัยหนึ่งปีเพราะอยากพักกับท่องเที่ยวค้นหาตัวเอง แต่ที่กำลังคุยกันอยู่นี่มัน…





พี่บ้าไปแล้วเรอะ!!





แต่เขาก็ไม่ได้พูดแทรกอะไร ณ ตอนนั้น แค่เดินขึ้นไปนั่งรอในห้องนอนที่แสนจะรกของซีมัส





ชายหนุ่มร่างสูงก้าวเดินเข้ามาในห้อง เลิกคิ้วใส่น้องชายที่นั่งหน้าบูดอยู่บนเตียง





“พี่คิดอะไรของพี่น่ะ ซีมัส? ” ถามทั้งหน้านิ่วคิ้วขมวด

“นายได้ยินเหรอ” เจ้าของห้องถามเรียบๆ ไม่ได้แสดงท่าทีตกอกตกใจอะไร ดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจแล้ว

“คิดจะบอกกันเมื่อไหร่…? ”

“ก็… ฉันเพิ่งตัดสินใจได้เมื่อไม่กี่วันมานี่ตอนไปคุยกับพวกรีครูททหารเข้ากองทัพ…. ว่าจะบอกนายวันนี้นั่นแหละ” ...คิดอะไรแล้วทำเลยตามเคย

“นั่นสงครามนะพี่… พี่นอนอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ชอบ อยากหาเรื่องไปเสี่ยงตายเหรอ? ” แดริล

“ก็ไม่ได้จะไปเลยน่า ยังไงก็ต้องฝึกก่อนแหละ” ซีมัส

“แต่มันเสี่ยงมากเลยนะซีมัส” สงครามอิรักเพิ่งเริ่มเมื่อต้นปี เป็นสาเหตุต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์วันที่สิบเอ็ดกันยา ตึกเวิล์ดเทรดถล่มที่เขย่าโลกเมื่อสองปีที่แล้ว ต่อให้ไม่ได้รบกันดุเดือดขนาดสงครามโลก แต่ขึ้นชื่อว่าสงคราม ยังไงก็มีความเสี่ยง…







“ฉันไม่ได้หัวดีแบบนายนะแดริล ถ้าจะติดอย่างมากก็คงวิทยาลัยชุมชนแถวๆ นี้ จบมาก็ทำงานนั่งโต๊ะน่าเบื่อ… นายคิดว่าฉันจะมีความสุขกับชีวิตแบบนายจริงๆ เหรอ? ”





คนเป็นน้องชายนิ่งไป..





“กีฬาฉันก็ใช้ได้อยู่ แต่ว่าถ้าจะให้ไปลีกอาชีพก็ใช่ว่าทุกคนจะเข้าได้ ฉันน่ะทั้งไม่อยากจะทำงานนั่งโต๊ะ ไม่อยากเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ในร้านฟาสต์ฟู้ด แล้วนายคิดว่าฉันควรทำอะไรดีล่ะ? ” มือใหญ่ลูบลงบนเรือนผมสีดำ ขยี้เบาเหมือนจะปลอบใจ “อีกอย่าง เป็นทหารก็มีสวัสดิการหลายอย่าง มีงบให้เรียนอะไรก็ได้ถึงป.โทเชียวนะ งบเข้ามหาลัยฉันจะได้ให้นายไง นายจะได้เลือกไปที่ที่ อยากเรียนได้ ช่วงนี้ก็เรียนเผื่อฉันด้วยล่ะ”





“....พี่แน่ใจจริงๆ ใช่ไหม”

“อืม ฉันคิดมาดีแล้ว สำหรับฉันการฝึกเป็นทหารแล้ววิ่งถือปืนไปรบอีกทวีปเป็นชีวิตที่ฉันอยากจะใช้มากกว่านั่งอยู่หลังโต๊ะเรียนกับโต๊ะทำงาน”





แดริล เชน อับจนซึ่งคำพูด เขารู้จักพี่ชายตัวเองดี เมื่อซีมัสตัดสินใจไปแล้วก็เปลี่ยนยาก เด็กหนุ่มวัยสิบหกไม่เข้าใจ ว่าการออกไปรบราฆ่าฟันมันดีกว่าการอยู่ในห้องเรียนสบายๆ ยังไงกัน





“.....” แดริลนิ่งเงียบ

“กว่าจะได้ไปก็ต้องฝึกอีกหลายเดือน แล้วก็ไม่ได้ไปอยู่ถาวร จะมีการเวียนกลับมาเรื่อยๆ ฉันจะกลับบ้านมาเยี่ยมนายบ่อยๆ น่า”

“.........”

“ไม่มีการบ้านรึไง ไปทำการบ้านซะไป๊” พี่ชายจับน้องขยี้หัวให้ยุ่งทั้งที่รู้ดีว่าน้องไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับผมที่เซตไว้อย่างดีแล้วของตนเอง





เด็กหนุ่มทำหน้าบูดใส่ ลุกขึ้นเดินหนีกลับไปเข้าห้องของตนเอง ไม่อาจทำให้ใจสงบลงได้ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่ทำได้… นอกจากทำใจ





สองอาทิตย์หลังจากนั้น ซีมัสเข้าร่วมกองทัพ… และถูกส่งไปรบที่อิรักในปีต่อมา… แต่นั่นเป็นเรื่องราวที่จะถูกกล่าวถึงในภายหลัง…







หนึ่งอาทิตย์หลังจากพี่ชายตัวดีเข้าค่ายทหารไปแล้ว แดริล เชนก็ใช้ชีวิตช่วงไฮสคูลของเขาต่อไปตามปกติ ติดจะเหงาบ้างเพราะไม่มีคนที่ช่วยกันแบ่งรับแบ่งสู้กับคนในครอบครัวอีกแล้ว สุดท้ายพออาการหนักก็หนีไปหมกตัวอยู่กับนักกีฬาคนเก่งของโรงเรียนเสียแบบนั้น





บ้านที่มีพ่อที่ไม่เข้าใจ กับแม่ที่รักพระผู้เป็นเจ้ามากกว่าลูก เขาไม่ได้ถึงขั้นเกลียดมัน แต่บทสนทนาระหว่างมื้ออาหารเย็นก็มักจะทำให้รู้สึกอึดอัดใจ





คุณไม่อยากฟังว่าตัวเองสมควรไปตายหรือเป็นสิ่งผิดบาปทุกครั้งที่มีรายงานข่าวเรื่องการเดินขบวนของ LGBT หรอก… แม้พวกเขาจะไม่ได้ตั้งใจไล่ลูกชายตัวเองไปลงนรกเพราะไม่รู้... แต่แดริลก็ทนฟังไม่ไหวอยู่ดี





… ในช่วงนี้ขณะที่เด็กหนุ่มอยู่ที่โรงเรียน จะรู้สึกเหมือนโดนเดินตามแบบแปลกๆ .. และพอเหลียวหลังกลับไปมอง ก็เห็นร่างหนึ่งที่ค่อนไปทางอวบอ้วน ที่พยายามหลบหลังมุมกำแพงแต่ก็หลบไม่พ้นสายตาของแดริล…





หากจำไม่ผิดหมอนั่นคือโจเซฟ… เด็กเกรดเก้าที่ช่วยไว้เมื่อวันก่อน





พอเด็กคนนั้นเห็นว่าแดริลมองกลับ ก็รีบเดินหลบทันที ครั้นจะเดินตามไปถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม ไหล่กลับถูกรั้งด้วยมือหยาบ ดึงเขากลับไปจนร่างที่ผอมกว่าแทบล้มหงายหลัง





“ไปกินข้าว” คำพูดคล้ายคำสั่งแสนจะเอาแต่ใจ เป็นของใครไปไม่ได้ นอกจากวินเซนต์ ซัมเมอร์ ชายตัวสูงใหญ่ที่เดินไปที่ไหนก็เป็นจุดสนใจ ราวว่ามีพระอาทิตย์เทเลทับบี้ดวงใหญ่เปล่งแสงอยู่บนหัว





...หันไปอีกทีโจเซฟก็หายไปแล้ว





แดริลถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดใจเจ้าคนที่มาลากไปกินข้าว





“แข่งที่ชิคาโก้เป็นไงบ้าง? ” เมื่อวันก่อนพวกทีมอเมริกันฟุตบอลเพิ่งไปแข่งระดับรัฐ เด็กหนุ่มผู้ยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานสภานักเรียนจึงไม่ได้ตามไปดูเกมด้วย อันที่จริงเขาก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องไป ทีมเชียร์ก็ไม่ใช่ แต่เห็นแคทเล่าว่าวินเซนต์ทำคะแนนได้ดีมากทีเดียว แม้จะเล่าไปเบ้ปากไปก็ตาม...





เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างแม่ควีนบีกับราชาควอเตอร์แบค แต่เหมือนจู่ๆ ทั้งคู่จะไม่ถูกกันนัก เดินสวนกันระหว่างไปเข้าเรียนก็มีชักสีหน้าส่งสายตาให้กันเล็กน้อย...





พอแดริลถาม ทั้งคู่ก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่น จนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจว่าอย่าไปสนใจพวกมันเลย…





“ก็ดี เสียดายนายไม่ได้มาด้วย ตอนทัชดาวน์ฉันโคตรเท่เลย” วินซ์

“.....” แดริล

“ฉันอยากให้นายมาดูเวลาที่ฉันหล่อ” วินซ์

“......ที่พูดมาทั้งหมดนั่นไม่กระดากปากบ้างเหรอ” แดริล

“แต่มันเป็นความจริงนี่” วินซ์….. หน้าตาเฉย

“....เฮ้อ” คนฟังถอนหายใจเนือยๆ

“จะว่าไป… ถือว่าฉันเตือนด้วยความหวังดีนะ แดริล” ฟังแล้วเด็กหนุ่มผมดำก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ “อย่าไปใจดีกับคนประเภทนั้นมากไป เรื่องยุ่งยากมักจะตามมา”

“... นายหมายถึงอะไร” แดริลเลิกคิ้ว

“ไอ้อ้วนเมื่อครู่…. พวกคนที่สังคมไม่เหลียวแลน่ะ พอนายหยิบยื่นความใจดีให้นิดหน่อยพวกเขาก็เข้าใจผิดว่านั่นคือความรักแล้ว แถมจะตามติดนายอย่างกับปลิง” วินซ์

“.... แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใจร้ายด้วยหรอก” แดริล

“แค่อย่าไปยุ่ง เข้าใจไหม? ” วินซ์





แดริลไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้เถียง เขาเร่งฝีเท้าเดินนำไปก่อน ยื่นมือออกไปเปิดประตูโรงอาหาร... ภายในเป็นห้องขนาดใหญ่ที่วางโต๊ะเรียงรายมากมาย ซึ่งแต่ละโต๊ะก็ถูกจับจองพื้นที่โดยแต่ละกลุ่ม ทั้งกลุ่มกอธ กลุ่มสาวเชียร์มีนเกิร์ล กลุ่มเด็กบ้าเรียน พวกเนิร์ดคอม สภานักเรียนและนักเรียนดีเด่น พวกสายร็อคขี้ยา สุดท้ายก็เดินมาถึงโต๊ะของพวกนักกีฬาชาย





“นายเห็นแคทวันนี้รึเปล่า สเวตเตอร์คอลึกนั่น ฮอทเป็นบ้า” บทสนทนาก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเรื่องผู้หญิง คุยไปคุยมาก็ใกล้จะกลายเป็นล่วงละเมิดทางเพศอยู่แล้ว

“ช่วงนี้ฉันว่าแอมเบอร์ก้นใหญ่ขึ้นนะ”

“ดูขานั่นสิแม่เจ้าโว้ย”





อันที่จริงการมานั่งอยู่ในโต๊ะนักกีฬาชายล้วน มันก็หนีไม่พ้นบทสนทนาแบบนี้อยู่แล้ว แดริลเพียงทำเป็นฟังผ่านๆ ไปไม่เก็บมาใส่ใจ แต่ก็ไม่ได้ร่วมด้วย



“นี่ วินเซนต์ ปาร์ตี้อาทิตย์หน้าจัดบ้านนายใช่ไหม นายเล็งสาวคนไหนไว้น่ะ” เป็นเจฟฟ์เจ้าเก่าที่ถามขึ้นมา

“ไม่ได้เล็งใครไว้ทั้งนั้นล่ะ” พูดพลางหยิบแซนด์วิชชิ้นโตออกจากถุงกระดาษ

“หา? เดอะคิงไม่สนสาว เป็นไปได้ไง นายเลิกเก็บแต้มแล้วเหรอ” นักกีฬาอีกคนทักขึ้นมา เกิดเสียงฮือฮาขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“ช่วงนี้คบกับสาวมหาลัยฯ เธอฮอทจนสาวไฮสคูลพวกนั้นจืดไปเลย” พูดแล้วดวงตาสีเขียวก็ลอบเหลือบมองไปทางแดริล ทั้งคู่สบตากันชั่วขณะ เป็นแดริลที่หลุบตาลงก่อน ใบหน้าขึ้นสีน้อยๆ ทำให้มุมปากของเด็กหนุ่มอีกคนกระตุกขึ้นอย่างได้ใจ “เรื่องอย่างว่าก็สุดยอดไปเลย”

“โห นายต้องแบ่งปันแล้วล่ะเพื่อน” ไอ้เจฟฟ์คนเดิมกอดคอร่างที่สูงใหญ่กว่าเพื่อนซึ่งกำลังกัดแซนด์วิชมีทโลฟ

“เซ็กซี่สุดๆ ” วินซ์ยังคงมองปฏิกิริยาของ’สาวมหาลัยฯ ’ที่ว่า “โดยเฉพาะตอนคราง เร้าอารมณ์มาก”





แดริลไม่รู้ควรเอาหัวไปมุดไว้ที่ไหนให้ไม่ดูมีพิรุธเกินไป…





“มีภาพไหมวะ อยากดู” แซมที่เป็นผู้เล่นแนวตั้งรับของทีมถามขึ้นมา

“ไม่มี แต่เป็นสาวผมดำ ตาฟ้า อกไม่ใหญ่เท่าไหร่…แต่ขาดี ก้นก็ดี” วินซ์ตวัดลิ้นเลียซอสมายองเนสที่ติดมุมปาก ดวงตาสีเขียวฉายแววขบขันชัดเจน

“....” เด็กหนุ่มผมดำค่อยๆ กินต่อไป วางท่าเหมือนไม่ค่อยสนใจ

“แดริล นายไม่สนใจเรื่องนี้บ้างรึไง หือ” เจฟฟ์ที่เห็นคนไม่หือไม่อือปรี่มากอดคอ นิ้วชี้จิ้มอกเขาจึ๊กๆ

“แคทไม่ชอบให้ฉันคุยเรื่องพวกนี้กับพวกนายเท่าไหร่” ตอบทั้งยิ้มสุภาพ… “นายอย่าหาเรื่องให้ฉันโดนข่วนเลยดีกว่านะ”

...ซึ่งทุกคนในที่นี้รู้ถึงความเฟียร์ซของแคทดี และก็รู้ว่าคนที่เดทสาวที่สวยที่สุดในโรงเรียนจะไม่สนใจคุยเรื่องพวกนี้ก็ไม่ค่อยแปลก ก็เลยยอมปล่อยเขาไปแบบง่ายๆ





แดริลแทบจะถอนหายใจโล่งอก แล้วก็แทบสำลักน้ำเมื่อ…





“ขอรายละเอียดเยอะกว่านี้หน่อยดิ” ไอ้เจฟฟ์





….พวกนายจะรู้ไปทำไม (วะ)





“ก็ล่าสุดทำกันในห้องน้ำ…”



ทุกคนตั้งใจฟังจนแดริลอยากถามว่าเรื่องเรียนพวกนายตั้งใจกันแบบนี้บ้างไหม…





“หล่อนแทบยืนไม่ไหว เรียกชื่อฉันซ้ำๆ แถมความรู้สึกไวมาก…”





ฟังถึงตรงนี้คนฟังก็ไม่อยากฟังแล้ว หาทางหนีเอาตัวรอด แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีตัวช่วยมากนัก ลุกไปตอนนี้ก็ประหลาด จะขอตัวไปเข้าห้องน้ำขัดมู้ดของพวกนั้นก็ดูจะประหลาดอีกเหมือนกัน…





...แล้วอยู่ๆ มือถือNokia 3310 (โปรดเข้าใจว่าเรายังอยู่ในปี 2003 ขึ้น 2004…) ของแดริลก็สั่นน้อยๆ เขารู้สึกดีใจมาก รู้สึกเหมือนมีคนโยนเชือกลงมาในหลุมลึก ราวพระเยซูเจ้ามาโปรด ยังไม่ทันได้อ่านว่าใครส่งข้อความมาก็พูดตัดบทมันทันที

“แคทเรียกให้ฉันไปหา ไปก่อนล่ะ”





พอดูดีๆ มันคือข้อความจากแคทเธอรีนจริงๆ แต่ก็ไม่ได้เรียกให้ไปหาแค่ถามว่าเย็นนี้ว่างไปสอนการบ้านให้ไหม… เด็กหนุ่มแทบน้ำตาไหล ในที่สุดก็หลุดพ้นจากความกระอักกระอ่วนตรงนี้แล้ว

ฉันรักเธอ แคทเธอรีน นางฟ้าของฉัน!



รีบยัดขนมปังที่เหลือเข้าปาก ลุกขึ้นเตรียมเผ่นอย่างว่องไว





“เดี๋ยวก่อน แดริล” เสียงที่ติดจะทุ้มต่ำกว่าเสียงคนอื่นเป็นเสียงที่คุ้นเคยดี พอได้ยินแล้วขาที่กำลังก้าวหนีถึงกับชะงัก หันหลังกลับมามอง ก็เห็นว่าผู้เรียกกำลังยิ้ม “ปาร์ตี้ศุกร์นี้ จัดบ้านฉัน ฉลองที่ทีมเราชนะ นายมา แล้วอย่าลืมไปชวนแคทมาด้วย”





… นั่นคือการออกคำสั่งในแบบของวินเซนต์... สรุปง่ายๆ คือเขาต้องไป ส่วนแคทจะชวนมาด้วยก็ได้





ก็อยากจะปฏิเสธ… แต่แดริลไม่ชอบรับมือกับผู้ชายตัวโตที่อารมณ์ไม่ดี ซึ่งพอโกรธแล้วก็จะชอบตัวงอนเป็นเด็กสิบขวบ… โดยเฉพาะเมื่อผู้ชายตัวโตคนนั้นคือวินเซนต์ ที่สมองมีเรื่องสัปดนเยอะกว่าเด็กสิบขวบอย่างแน่นอน…





“... รู้แล้ว จะลองชวนดูนะ”





วินเซนต์โบกมือเป็นเชิงลา ก่อนจะหันไปคุยกับแก๊งเพื่อนทีมอเมริกันฟุตบอลต่ออย่างออกรส สร้างเสียงฮือฮาเป็นระยะ…





คำสุดท้ายที่ได้ยินก่อนเดินห่างออกมาคือ ‘ท่ายืน...ใต้ฝักบัว’





…...ไอ้คนสัปดน!!





คิดแล้วก็ยิ่งก้าวยาวๆ เร่งฝีเท้าหนีไปกบดานในห้องสภานักเรียน แล้วก็เจอเพื่อนลีที่ยังคงนั่งเฝ้าห้องไม่ไปไหน….





ใจคอนายจะใช้ชีวิตอยู่ในนี้ไม่ได้นะลี...


ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
(2/2)

“หนีอะไรมาน่ะแดริล? ” เด็กหนุ่มชาวจีนถาม ขณะจัดกองเอกสารเข้าแฟ้มอย่างใจเย็น เห็นเพื่อนเดินเข้ามาก็ขยับ

“ไม่ได้หนีอะไรทั้งนั้นล่ะ” ตอบแล้วก็นั่งลง คว้ากระดาษประกาศเรื่องงานเต้นรำฤดูหนาวมาอ่านทวนตรวจแกรมม่าสักหน่อย

“....แต่ท่าทางเหมือนหนีมานะ” ไม่ต้องพูดออกมาสักเรื่องจะตายไหมไอ้จีน... “แคทเธอรีน โค้ชวิทเทคเกอร์ หรือพวกนักกีฬาล่ะ”

“ช่างมันเถอะน่า.. ปาร์ตี้ศุกร์นี้นายไปไหมน่ะ? ” ถามจบลีก็เลิกคิ้ว ลูบคางน้อยๆ

“ก็คิดจะไปอยู่… นายถามแบบนี้แปลว่านายไปสินะ? ” ...เดาถูกเผง

“ไป” แดริล

“ถึงจะไม่ได้ชอบไปแต่บางงานก็จำเป็นต้องไปเพื่อรักษาสถานะในสังคมน่ะนะ… ไม่งั้นก็จะกลายเป็นบุคคลผู้ถูกลืม ไม่ก็พวกที่โดนแกล้ง” ลีพูดหน้าตาย เสียงราบเรียบ… ตามประสามัน “...ฉันก็คงรีบไปรีบกลับ”

“อืม เหมือนกัน” แดริลตั้งใจไว้แบบนั้น…





ไม่นานนักกริ่งก็ดัง บ่งบอกว่าหมดพักเที่ยง ทั้งคู่ต่างเก็บข้าวของใส่กระเป๋าออกจากห้องสภา มุ่งหน้าไปคลาส AP Microeconomics ที่ลงเรียนไว้ด้วยกัน





อันที่จริงในเรื่องผลการเรียน แดริลกับลีแข่งกันมาตลอด แย่งที่หนึ่งกับที่สอง ...ซึ่งส่วนมากลีจะเป็นผู้เฉือนชนะไปไม่กี่คะแนน





เมื่ออาจารย์มาถึง คลาสเรียนก็เริ่มต้นขึ้นด้วยบรรยากาศเดิมๆ … น่าหลับ

คลาส AP เป็นคลาสที่เรียนกันอย่างเข้มข้นเนื่องจากสามารถไปสอบแล้วโอนถ่ายไปเป็นเครดิตในมหาวิทยาลัยได้ เนื้อหาของมันจึงยากกว่าคลาสปกติ





ส่วนมากคนที่ต้องการเข้ามหาวิทยาลัยระดับไอวี่ลีกก็มักจะลงคอร์สAPกันทั้งนั้น ซึ่งจะมีให้เลือกลงตั้งแต่วิชาภาษา วิทยาศาสตร์ และสังคม เด็กหนุ่มจะเน้นหนักทางสังคม เพราะเขาต้องการเรียนต่อไปทางสายธุรกิจ ส่วนลีก็ดูจะลงหนักทุกทาง… จนบางทีก็นึกสงสัยว่าหัวสมองของเพื่อนคนนี้ทำด้วยอะไร วันๆ นายนอนพอไหม….





แถมการวางตัวในสังคมก็ทำได้แบบกลมกลืน ไม่ได้ขยันเข้าสังคมแต่ก็ไม่ได้หายหรือไปหลบในซอกหลืบ อยู่ทั้งกับกลุ่มพวกเด็กเอเชียและกลุ่มนักเรียนตัวอย่าง ระวังตัวเป็นอย่างดีจนไม่มีใครสนใจจะมาแกล้ง ราวกับว่าทุกอย่างได้วางแผนมาอย่างดิบดีแล้ว





อันที่จริงถ้าวินซ์เป็นราชา ดาร์กลอร์ดบอสลับตัวจริงอาจจะเป็นไอ้คุณลีก็ได้...





ในเย็นวันนั้น





“ฉันไม่อยากไปบ้านหมอนั่น” แคทเธอรีนเพื่อนรักเบ้ปากเป็นรูปตัว U คว่ำ ชักสีหน้าประหนึ่งขยะแขยงใส่เพื่อนที่มาชวนไปปาร์ตี้ “ถ้าปาร์ตี้ของคนอื่นก็น่าไป แต่ปาร์ตี้ฉลองชัยชนะของวินเซนต์เนี่ย อี๋”





ไม่พูดเปล่า ลูบแขนทำท่าขนลุกให้ดูอีกต่างหาก





“....ระหว่างเธอกับวินเซนต์ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับเขามากเลยนี่” แดริลหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงของเพื่อนสาว ที่กำลังนั่งตะไบเล็บอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่บนเตียง





“ก็ไม่ได้เกิดอะไร… แค่ความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องบางเรื่อง” เด็กสาวเป่าเล็บฟู่ มองรูปทรงที่แสนจะเพอร์เฟกต์ “เอาเป็นว่าทุกวันนี้ทักตามมารยาทฉันก็ยังขี้เกียจจะทักเลย ที่รัก เล็บฉันดูเป็นไงคะ”



ไม่ว่าเปล่าส่งมือมาให้ดูด้วย





“....กำลังดีแล้ว” แถมเจ้าตัวยังตั้งอกตั้งใจดูให้อีกต่างหาก…

“ขอบคุณค่ะ รักนะฮันนี่” คำพูดสุดท้ายเล่นเอาเขากลอกตา แม่เลสเบี้ยนนี่… “แต่ฉันก็บ่นไปอย่างนั้น ปาร์ตี้ฉลองชัยชนะทีมฟุตบอล ไม่มีควีนบีแบบฉันมันคงประหลาดใช่ไหมล่ะ”

“อืม… ประหลาด”

“และทั้งฉันและเจ้าคนน่ารังเกียจนั่น ก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่าพวกเราไม่ถูกกันด้วย มันจะยุ่งยาก” แคทเธอรีนวางที่ตะไบเล็บลงข้างๆ เริ่มหยิบขวดยาทาเล็บสีฮอทพิงค์มาเทียบกับนิ้วตัวเอง “ทูนหัวคะ สีนี้เป็นไง”





คนถูกถามก็ดูให้อย่างจริงจัง…





“เธอไม่ได้ทาฮอทพิงค์มาสองเดือนแล้ว ก็ดีนะ” ..จำได้อีกว่าเพื่อนไม่ได้ทาสีนี้มานานเท่าไหร่แล้ว

“เลิฟค่ะ”





แล้วก็เปิดฝาขวดบรรจงทาเล็บอย่างระมัดระวัง...





“ก็จริง… หากทุกคนรู้ว่าเธอกับวินซ์กำลังเล่นสงครามเย็นกันอยู่…. ก็… น่าจะวุ่นจริงๆ ”

“ใช่ไหมล่ะ ไม่มีกัปตันเชียร์ลีดเดอร์ที่ไหนไปตีกับควอเตอร์แบคหรอกนะ ปกติเขาต้องได้กันต่างหาก” เล็บนิ้วชี้กลายเป็นสีชมพูสดแล้วครึ่งหนึ่ง…

“ใช่ แต่เธอดันเป็นเลสเบี้ยน” แดริล

“แล้วควอเตอร์แบคก็แย่งแฟนหนุ่มของฉันไปด้วย” แคท

“....” แดริล

“ใจร้ายที่สุด คนบ้า คนทรยศ” พูดตัดพ้อทั้งๆ ที่ทาเล็บมันอยู่นั่นล่ะ…

“ให้ฉันโทรเรียกแอชลีย์มาไหม” หรี่ตาถาม…

“เลิกแซวแล้วก็ได้…” แคทเป่านิ้วฟู่ให้สีแห้ง





“ถึงเธอจะไม่ชอบเขาขนาดไหน แต่รู้ใช่ไหมว่าพรอมคิงกับพรอมควีนต้องเต้นรำด้วยกันน่ะ… ขึ้นซีเนียร์แล้วไอ้สองตำแหน่งนี้ก็ไม่พ้นพวกเธอหรอก” แดริลนั่งมองเพื่อนสาวค่อยๆ บรรจงทาเล็บราวว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในโลกต่อไป

“ใช่ ฉันเลยว่าจะใส่กระโปรงยาวกับส้นสูง แล้วเหยียบเท้ามันแรงๆ ”

“.........”

แคทเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวาน

“อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะคะที่รัก แต่ฉันว่ารสนิยมเรื่องผู้ชายของเธอน่ะมันห่วยมากเลย แค่ไปนอนด้วยสักที-สองทียังพอว่า แต่คบเป็นแฟนเนี่ยนะ แดริล…ให้เธอไปได้กับลีฉันยังสบายใจกว่านี้เลย”





พอหล่อนพูดประโยคให้ไปได้กับลี ขนแขนของเด็กหนุ่มถึงกับพร้อมใจกันลุกเกรียวอย่างนึกรังเกียจ ไม่ใช่ว่ามันหน้าตาไม่ดี แต่กับเพื่อนลี คิดยังไงก็เป็นไปไม่ได้...





“เอาเป็นว่าปาร์ตี้ฉันไปแค่พอให้คนเห็นหน้า แต่คงอยู่ไม่นาน” เด็กสาวยื่นคำขาด ทาเล็บครบมือซ้ายทั้งห้านิ้วแล้ว ส่วนอีกมือกลับยื่นมาให้เพื่อนรักแทน ท่าทางประหนึ่งจะบอกว่า ทาให้ที





คนที่เป็นแขกยกยิ้มขำ รับมือข้างนั้นมาประคองไว้เบาๆ และเริ่มบรรจงทาสีฮอทพิงค์ลงไปบนเล็บที่ไม่ได้ไว้ยาวจนเกินไปของแคทเธอรีน (เพราะเธอเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ไว้ยาวมากไม่ได้-) ไม่ได้นึกรังเกียจหรือรำคาญที่ต้องทำอะไรแบบนี้เลย





“นี่… แดริล กับวินเซนต์น่ะ เธอจริงจังขนาดไหน” ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตมองเล็บจองตัวเองที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีไปทีละนิ้วอย่างเพลิดเพลิน

“... ก็ยังไม่ได้คิด ก็เพิ่งคบกันได้ไม่เท่าไหร่เอง จะคิดทำไมกัน” แดริล

“แปลว่าไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ใช่ไหม? ” แคท

“ใครเขาจริงจังกับความสัมพันธ์ไฮสคูลกันล่ะ” แดริล

“ฉันกับแอชลีย์ไงยะ” แคท

“... ให้ตอบตามตรงฉันก็ไม่รู้ มันไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายรีบคิดกันนะแคท อนาคตไกลๆ อะไรแบบนั้น” แดริล

“อือฮึ… แบบที่พวกผู้ชายชอบสติแตกเวลาสาวๆ เรียกร้องหาความจริงจังกับต้องการการผูกมัดใช่ไหม” แคท

“ก็ทำนองนั้นละมั้ง…” แดริล

“แต่เธอน่ะใจอ่อน ฉันห่วงนะ” แคทพูดจบ เด็กหนุ่มก็หัวเราะเบาๆ

“ไม่เป็นไรหรอกน่า” แดริล

“ไว้ถึงเวลาเข้าจริงๆ อย่ามาโอดครวญให้ฉันฟังก็แล้วกัน” นิ้วมือทั้งห้าเป็นสีชมพูฮอทพิงค์ทิ่มแทงตาเรียบร้อยแล้วเขาก็ปล่อยให้เด็กสาวดึงมือกลับไปพินิจดูความเรียบร้อย







เย็นวันนั้นแดริลอยู่กินข้าวเย็นกับครอบครัวบราวน์ ที่คิดมาตลอดว่าเขาเป็นแฟนหนุ่มของลูกสาวสุดสวย… ผู้เป็นแขกหัวเราะและพูดคุยอย่างมีมารยาท กินอิ่มแล้วไม่นานก็ขอตัวลากลับบ้านไป..





วันเวลาผ่านไปแบบปกติสุขดี จนไม่นานก็ถึงวันศุกร์...





ปกติแดริลก็มักโผล่ไปปาร์ตี้ที่บ้านคนนั้นคนนี้บ้าง เขาเองก็ถือนโยบายเดียวกับลี ต้องไปให้มีตัวตน ไม่อย่างนั้นก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ ติดแต่เด็กหนุ่มจะโผล่หน้าไปเยอะกว่าเพื่อนชาวจีนอยู่หน่อย…





วันนั้นเด็กหนุ่มรีบทำงานกับการบ้านให้เสร็จเพื่อจะได้กลับบ้านเร็ว เนื่องจากต้องไปช่วยเตรียมงาน (ที่ก็ไม่ค่อยเต็มใจจะช่วยนัก…) ที่บ้านวินซ์





พอไปถึงบ้านของวินเซนต์ก็พบว่าพวกนักกีฬามากันเกือบครบแม้ว่างานยังไม่เริ่ม... โผล่ไปมองในห้องครัวมีทั้งถังใส่เบียร์ เครื่องดื่มในโถแก้วขนาดใหญ่ที่ผสมเหล้าอย่างแน่นอน พวกขนมขบเคี้ยวแยกใส่จาน ด้านหลังบ้านมีเตาย่างบาร์บีคิวให้ปิ้งเนื้อ





อันที่จริงผู้ชายส่วนมากมางานพวกนี้ก็หวังเหล่สาวกันทั้งนั้น… ยกเว้นคนแบบเขากับลีที่โผล่มาให้ชาวบ้านเห็นหน้าจะได้ไม่รู้สึกว่าแปลกแยกเกินไปนั่นล่ะ





และการที่จะได้เป็นประธานนักเรียนกับรองประธานนักเรียน ก็จำเป็นจะต้องโผล่มาตามงานอีเวนท์อะไรแบบนี้ให้คนรู้สึกสนิทสนมด้วย กิน ดื่ม หัวเราะ ทำตัวให้คนรู้สึกว่า ‘หมอนี่มันก็เจ๋งดีนะ’ ซึ่งการพยายามสร้างฐานเสียงนี่ไม่ง่ายเลย





“เฮ้ แดริล นายช่วยยกจานพวกนี้ไปวางบนโต๊ะข้างนอกหน่อยสิ” เจฟฟ์ที่เห็นเขาเดินเข้ามาร้องทัก ไม่ว่าเปล่า ยัดจานที่ใส่โดริโทสจนพูนใส่มือแล้วเริ่มใช้งาน….





“เฮ้ แดริล ช่วยผสมเหล้านี่ด้วย”





“เฮ้ แดริล สั่งพิซซ่าให้ที”





“เฮ้ แดริล นายมาช่วยกันยกลังนี่หน่อย”





โดนเรียกไปซ้ายทีขวาทีจนวุ่นวายไปหมด เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าปาร์ตี้นี่มันมีอะไรน่าจัดนัก เตรียมงานก็ยุ่งยาก เก็บกวาดก็เสียเวลา แต่สุดท้ายแล้วมันก็คือการอวดสถานะอย่างหนึ่ง





การจะจัดปาร์ตี้ได้ต้องมีบ้านที่ใหญ่พอ





...และการมีบ้านที่ใหญ่พอก็หมายความว่าคุณรวย…





มันก็คือการแสดงสถานะแบบไม่น่าเกลียดอย่างหนึ่ง ที่แดริลคงจะไม่ทำ แค่คิดถึงหน้าพ่อตอนเห็นสภาพบ้านหลังจัดปาร์ตี้ก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาแล้ว..





“เหนื่อยหน่อยนะ” ราวเกือบหกโมงเด็กหนุ่มถึงได้เห็นหน้าวินเซนต์ กระป๋องเบียร์เย็นเฉียบถูกเอาแนบหน้ากะทันหันจนร่างที่เล็กกว่าสะดุ้ง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเจ้าของบ้านที่ดูจะสภาพดีกว่าเขาเยอะ





แดริลรับกระป๋องเบียร์มาถือ แต่ยังไม่เปิด





“จะดื่มตั้งแต่งานยังไม่เริ่มเดี๋ยวก็ได้เมากันพอดี”





อันที่จริงมาปาร์ตี้แบบนี้ต้องระวังตัว… คนเมาจนชีวิตพังมีให้เห็นเยอะแยะ





เช่นเมาจนโดนแกล้งเขียนหน้า หนักหน่อยก็เขียนบนตัว ถ่ายรูปประจาน ขนาดเป็นคนที่สถานะในสังคมดีๆ ก็ร่วงลงสู่จุดล่างสุดของห่วงโซ่อาหารได้เหมือนกัน… ให้พูดก็พูด สาวที่เมาไม่ได้สติ กรณีโดนข่มขืนในปาร์ตี้ประเภทนี้ยังเคยมีเลย แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในรุ่นของซีมัส...





เขาอดไม่ได้ที่จะคิดวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของทุกสิ่งทุกอย่าง หากไม่อยากเป็นตัวตลกของชั้นโดยไม่รู้ตัว ก็จงอย่าเมาเละเทะจนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น… และที่ผ่านมาแดริลก็ระวังมาตลอด





“ชิลน่า เมาก็ไม่เห็นเป็นไร นี่บ้านฉัน ไม่มีอะไรหรอก” พูดจบก็ดึงกระป๋องเบียร์มาเปิดให้แล้วยัดกลับเข้ามือ จากนั้นก็หยิบอีกกระป๋องมาเปิดให้ตัวเอง บังคับจับชนแก้ว (กระป๋อง) “เชียร์ส”





ขนาดนี้แล้วก็ดูไม่ค่อยมีทางเลือก ยอมดื่มเบียร์รสขมตั้งแต่งานยังไม่เริ่ม… เอาเถอะ วันนี้มาฉลองให้วินซ์ ก็ตามใจเขาหน่อยจะเป็นไร อย่างแย่ก็แค่ดื่มระหว่างงานให้น้อยลง





….แต่สิ่งที่แดริล เชน ไม่ได้สังเกตเห็น คือดวงตาสีเขียวที่ฉายประกายเจ้าเล่ห์อยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะปรับกลับมาเป็นปกติในชั่วเสี้ยววินาที



และสิ่งที่เขาในตอนนั้นไม่ได้ล่วงรู้เลยก็คือ…





… นายพลาดแล้ว

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1090
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
ดูแล้วความรักของทั้งคู่ก็ไม่ได้แย่นี่นา
มันต้องมีปมที่ทำให้เกินเหตุซินะ
เชียร์ให้รักรีเทิร์นตอนกลับมาเจอกันอีกครั้งเลยนะเนี่ย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แดริล........ โดนวินซ์มอมแล้ว  :z3: :เฮ้อ: :serius2:
ว่าแต่วินซ์  น่าจะถึงขั้นสุดท้ายกับแดริลสินะ  o18

วินซ์  แดริล   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
กังวลหน่อยๆกลัวจะเป็นแผนแกล้งแดริล

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Patsz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เรื่องนี้ก็สนุก เราตามไปอ่านที่เว็บแล้ว อ่านรวดเดียว10ตอน ตอนนี้กำลังตามอ่านให้ทันอยู่

ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
บทที่8 (1/2)



   ไม่นานนักประมาณหกโมงครึ่งแคทก็มาถึง…. ยังคงแต่งตัวเป๊ะตั้งแต่หัวจรดเท้าตามประสาเจ้าหล่อน...



   “วันนี้แอชลีย์ป่วย ฉันอยู่นานไม่ได้” มาถึงไม่ทันไรก็กระซิบกระซาบกับ ‘แฟนหนุ่ม’ ในนามของเจ้าหล่อนทันที



   “เธอเป็นอะไรมากไหม?”



   แคทเธอรีนส่ายหน้าเล็กน้อย



   “แค่ไข้หวัดธรรมดา… แต่ฉันจะไปค้างบ้านเธอ”



   “อืม ไปเถอะ” เด็กหนุ่มลูบผมสีบรูเนตต์ของเพื่อนเบาๆเป็นการแสดงละครถึงความใกล้ชิด จังหวะนั้นเองจู่ๆแคทก็กอดซบเข้ามาเต็มรักแบบไม่ให้สัญญาณอะไรล่วงหน้าเลย

   “ทำอะไรของเธอ?” เขากระซิบถาม ไม่ได้ผลักเธอออก แคทเองก็ไม่ได้ตอบ แต่มองตรงไปที่กลางห้อง พอแดริลเงยหน้าขึ้นมองตามสายตาของหล่อนไป ก็เห็นวินเซนต์…. ที่กำลังยิ้มมองมาทางนี้นิ่งๆแบบที่ดูแล้วชวนให้ขนลุก… แคทเธอรีนเองก็ส่งสายตาท้าทายคืนไป

   “แคท….” แดริลเตือน

   “เพื่อนกับผู้ชาย อะไรดีกว่ายะ” หล่อนกระซิบตอบ



……. ช่วยอย่าทำให้ฉันต้องลำบากใจได้ไหม


สุดท้ายก็ยกมือขึ้นลูบหลังเพื่อนสาวแปะๆแบบเสียไม่ได้…. รู้ตัวอีกทีก็มีเสียงโห่แซววี้ดวิ้วมาจากกลุ่มผู้ชายที่อยู่อีกมุมห้อง วินเซนต์ยังคงมองยิ้มๆด้วยสีหน้าแบบเดิม แม่ตัวดีแกล้งทำเป็นเขินแล้วซุกหน้าเข้ากับอกของแฟนหนุ่ม



มารยา



เพื่อนอดกลอกตาไม่ได้จริงๆ…



“ที่รัก... วันนี้คงอยู่ด้วยนานไม่ได้ แต่ห้ามนอกใจนะคะ” แคท

   ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะแม่เลสเบี้ยน...

   

“ครับ ครับ... ใครจะไปกล้านอกใจ” มุมปากกระตุกขึ้นคลี่ยิ้มอ่อนโยนอยางยากลำบากเป็นพิเศษ ไอ้ละครนี่เล่นเป็นแฟนกันนี่เล่นกันมาหลายปีจนชินกับการแสดงไปแล้ว แต่สายตาของใครบางคนต่างหากที่ทำให้กระอักกระอ่วนใจ
   
   แดริลได้ยินใครก็ไม่รู้ที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนพูดขึ้นมาว่า ‘ไอ้คนน่าอิจฉาเอ๊ย’



ไม่… นายน่ะไม่รู้อะไร… ไม่ได้น่าอิจฉาเลยแม้แต่น้อย… โดยเฉพาะเมื่อแฟนตัวจริงของฉันเป็นผู้ชายสูงเกินหกฟุตที่กำลังอารมณ์บูดมากๆอยู่ตอนนี้…



“พอได้แล้วน่า” เด็กหนุ่มกระซิบบอกเพื่อนที่ยังคงทำเป็นคลอเคลียเขา

“เชอะ ไม่สนุกเลย” แม่ตัวดีกระซิบตอบ ยอมผละออก แล้วก็สะบัดหน้าเดินหนีไปหาอะไรกิน



“สุดยอดเลยเพื่อน... ฉันยังสงสัยอยู่จนทุกวันนี้ว่านายไปจีบเธอยังไงถึงได้สาวฮอทแบบนั้นมาเป็นแฟน” จู่ๆไอ้คุณลีหน้าตายก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ มาถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มือถือแก้วน้ำพันช์ผสมเหล้าจิบอย่างสบายอารมณ์



เป็นเกย์สิพวก… แล้วนายก็จะได้สาวฮอทเป็นแฟนเอง



“ใช้ความจริงใจเข้าสู้ ก็จะเอาชนะได้ทุกอุปสรรค” พูดให้มันดูหล่อไปอย่างนั้นล่ะ…

“น้ำเน่าดี… เพิ่งรู้ว่าสาวฮอทเขาชอบอะไรแบบนี้” เสียมารยาทน่ะไอ้จีน “แต่ฉันว่าวินเซนต์ดูไม่แฮปปี้เลย เมื่อกี๊จ้องพวกนายเขม็ง คงไม่พอใจที่สาวฮอทที่สุดเลือกเดทนายไม่ใช่เขา นายนี่ก็มีของนะเพื่อน แย่งสาวกับควอเตอร์แบคทีมโรงเรียนได้เนี่ย” ลีกระซิบ…



“อืม ปล่อยเขาไปเถอะ ยังไงซะแคทก็เลือกฉันแล้ว” แดริล

“แต่ระวังโดนแย่งนา…” ลี

“ฉันเชื่อมั่นในความรักของพวกเรา” พูดแล้วก็เก๊กหล่อสุดชีวิต

“....น้ำเน่า” ก็ยัยแคทสั่งให้ตอบแบบนี้นี่หว่า…




"ฉันไปหาพวกเพื่อนแกงค์เอเชียนฉันก่อนล่ะ นายก็ระวังตัวเข้าล่ะ ว่าที่พรอมคิงมองนายหลายทีแล้ว" ลีพูดแล้วก็ตบบ่าแดริลสองที



     "อืม ไปเถอะ ฉันไม่เป็นไรหรอก" โบกมือไล่ให้มันรีบๆไป... จากนั้นนินจาลีก็กลืนหายไปกับผู้คนในห้อง



คนที่มาถึงเรียกทักแดริลกันหลายคน เขาก็ยิ้มตอบและทักกลับอย่างสุภาพ เพลงที่เล่นออกจากลำโพงแสนแพงทำให้คุยกับใครไม่ค่อยสะดวกนัก



เวลาเริ่มผ่านไปจนดึก เด็กหนุ่มเริ่มจะล้า เขาไม่เคยหาความบันเทิงจากปาร์ตี้ประเภทนี้ได้....



แดริลเน้นจิบน้ำผลไม้กับกินขนม ระหว่างงานเขาก็จิบพันช์ผสมเหล้าไปอีกสองแก้ว และขณะเดินหาอะไรกินอยู่ในห้องครัว ก็มีคนมาสะกิดเรียก... เป็นเจฟฟ์



     "เฮ้ แดริล วินซ์ให้มาตามนายแน่ะ" เจฟฟ์

     "เรื่องอะไร?" ถามทั้งที่มือยังถือพิซซ่า...

     "เราจะเล่นไพ่กัน แล้วขาดขา" เจฟฟ์พูดจบก็กอดคอเด็กหนุ่มที่เตี้ยกว่า กึ่งดึงกึ่งลากออกไปทางห้องรับแขก ไม่ยอมให้ปฏิเสธ



เมื่อออกไปก็พบว่าคนบางตาลงมากเพราะเริ่มจะดึกแล้ว วินซ์และผองเพื่อนอีกสองคนกำลังสับไพ่รอพวกเขาอยู่ แต่ละคนเป็นระดับกัปตันทีมกันทั้งนั้น...



     "นั่งสิ พวกนาย จะได้เริ่มกันเลย" วินเซนต์พูดยิ้มๆ ผายมือเป็นเชิงสั่งให้นั่ง



แล้วฉันมีทางเลือกอะไรไหม...



เด็กหนุ่มผมดำก็ได้แต่ปั้นหน้ายิ้มตอบและนั่งลงตามคำเชิญ ทำตัวให้กลมกลืนกับสังคม



     "จะเล่นอะไรกันน่ะ?" แดริล

     "อีแก่กินน้ำ" วินซ์

     "....." แดริลมองไปทางกองขวดเหล้าแล้วในใจก็อยากร้องไห้ แต่ภายนอกรักษาสีหน้าสงบ



     "เจ๋ง" ... แทบจะกัดฟันพูด



     "งั้นมาเริ่มกันเถอะมา" ครั้งนี้ป็นเจฟฟ์ที่พูดพลางถูมือ หยิบกองไพ่ที่วางแยกกันไว้แล้วมาถือดู



     "นายกับแคทเป็นไงมั่งล่ะเชน เห็นสวีทกันเชียว" เป็นคำถามของไอเดนกัปตันทีมบาส

     "...ก็รักกันดี เดี๋ยวจะวันเกิดเธอแล้วคงต้องหาของขวัญให้" แดริลพูดทั้งรักษาสีหน้ายิ้มแย้ม อันที่จริงเขาก็ชินแล้วเวลาโดนถามเรื่องแคท



     เธอน่ะป๊อบจะตาย พวกหนุ่มฮอททั้งหลายต่างต่อแถวรออยากจะจีบ ติดที่ว่ามีแดริลขวางทาง เขาจึงเป็นที่หมั่นไส้ของผองชนไปโดยปริยาย...



     เกมดำเนินต่อไป ทุกคนต่างโยนไพ่ที่เข้าคู่ลงมากองกลางอย่างรวดเร็ว



     "บนเตียงหล่อนคงฮอทน่าดูล่ะสิ "เบลค กัปตันทีมเบสบอลปีนี้ฉีกยิ้มถาม "แดริลเพื่อนรัก ยึดสาวฮอทไว้คนเดียวตั้งหลายปี ฉันว่านายควรแบ่งปันรายละเอียดกันบ้าง"



     เวลาพวกนายคุยกันมันจะไม่พ้นเรื่องกีฬาไม่ก็เรื่องสาวไม่ก็เรื่องบนเตียงใช่ไหม... หา?? ช่วยชวนฉันคุยเรื่องอื่นได้ไหม เช่นโครงการใหม่ของนาซ่า ไม่ก็การเลือกตั้งปธน.สหรัฐสมัยหน้าน่ะ




     ครั้งส่งสายตาไปทางวินเซนต์เพื่อขอความช่วยเหลือ เจ้าตัวกลับหลุบตาลงมองไพ่ ทำเป็นไม่เห็นและไม่รู้ร้อนรู้หนาว



     นี่นาย!!



     "ก็...จัดว่าเด็ด" แดริลกระแอม "แต่ฉันเป็นคนหวงแฟน เลยไม่อยากจะแชร์รายละเอียดกับพวกนาย โทษทีนะ" พยายามตอบให้ดูเป็นคนคูลๆที่สุภาพและใส่ใจแฟน....



     "โห่ ไม่สนุกเลยนะนายเนี่ย" เบลค

     "หมอนี่มันก็ขึ้นชื่อเป็นคนรักแฟนมาแค่ไหนแต่ไรแล้วน่า" ไอเดนขำ



     รอดแล้ว...



     แต่จังหวะนั้นเองวินเซนต์ก็หยิบสองโพธิ์ดำออกจากมือแดริล ทิ้งให้เขาเหลือโจ๊กเกอร์ในมือใบเดียว



     ชิบ....



     เด็กหนุ่มเจ้าของบ้านฉีกยิ้มให้ โยนไพ่คู่สองคู่สุดท้ายลงกองกลางแล้วก็หมดมือ



     "ฉันว่าคนรักแฟนของเราต้องดื่มแล้วล่ะ" วินซ์

     "...." แดริล




     การฝืนกรอกเบียร์ขมๆลงคอทำให้เด็กหนุ่มน้ำตาแทบเล็ด เขาไม่ได้ชอบเบียร์ด้วยซ้ำ



     เกมต่อไปเริ่มอย่างรวดเร็ว และโลกก็ได้พิสูจน์ให้แดริลเห็นแล้ว ว่าเขาเป็นคนดวงซวยเป็นอย่างมาก



     ผ่านไปประมาณแปดรอบ แดริลแพ้คนเดียวไปห้า ดื่มเบียร์แก้วใหญ่ไปห้าแก้วเต็ม ใบหน้าเริ่มออกสีแดง ดวงตาสีฟ้าดูเลื่อนลอย หัวโคลงไปโคลงมาใกล้ฟุบ



     "หมอนี่คออ่อนเป็นบ้า เพิ่งห้าแก้วเองนะ" เจฟฟ์พูดออกมาพลางโยนไพ่ มองไปทางเด็กหนุ่มผมดำที่ดูจะอยู่ในสภาพที่เล่นเกมต่อไม่ไหว และนี่ก็ดึกมากแล้ว...



     "เดี๋ยวฉันพาไปพักแล้วค่อยส่งเขากลับบ้านแล้วกัน พวกนายจะเล่นกันต่อไหม" วินเซนต์วางไพ่ลง บ่งบอกว่าเขาจะเลิกแล้ว...



     และพอเจ้าของบ้านจะเลิก ก็ดูไม่มีใครมีใจจะเล่นต่อ



     "ฉันคงกลับบ้านล่ะ โชคดีนะพวก" เจฟฟ์พูดออกมา อีกสองคนก็พูดทำนองว่าจะกลับเหมือนกัน "จริงๆฉันช่วยพาหมอนี่ไปส่งแทนได้นะ อยู่บ้านฝั่งตรงข้ามเองใช่ไหม"



     "ไม่เป็นไรหรอก รอให้สร่างเมาหน่อยค่อยให้กลับดีกว่า เดี๋ยวคุณและคุณนายเชนจะตกใจเอา" วินซ์



     "ถ้านายว่างั้นนะพวก" เจฟฟ์



     และแดริลเชนผู้กำลังเมาไม่ค่อยได้สติก็โดนหิ้วขึ้นห้องนอนไปอย่างง่ายดาย...



     "เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำให้ แล้วโทรบอกแม่นายด้วยว่าคืนนี้นายจะไม่กลับบ้าน รอนี่" หลังจากหิ้วร่างที่เล็กกว่ามานั่งบนเตียงในห้องนอนของตนเองได้ วินเซนต์ก็เดินออกไปจัดการตามที่ว่า



     แดริลนั่งอยู่ในห้องนอนของอีกฝ่ายตามลำพัง ดวงตาก็กวาดมองไปทั่วพื้นห้อง เห็นเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้งไว้ระเกะระกะ คนเมาก็มุ่นคิ้วไม่ชอบใจ



     ....นั่นเป็นเหตุว่าทำไมเมื่อวินเซนต์กลับมาพร้อมแก้วใส่น้ำเปล่า ถึงเห็นแฟนหนุ่มของตัวเองกำลังนั่งพับผ้าอย่างเรียบร้อย...



     เห็นภาพนั้นแล้วเจ้าของห้องก็หลุดขำเสียงดัง



     "เมาแล้วพับผ้าเหรอเนี่ย สุดยอดเลย... เอ้า ดื่มนี่หน่อย" พูดจบก็ยัดแก้วน้ำใส่มือของอีกฝ่าย



     แดริลมองน้ำเปล่านิ่ง ก่อนจะยกขึ้นดื่มอึกๆ ไม่นานก็หมดแก้ว ดวงตาสีฟ้าคู่ที่ยังคงดูเหม่อลอยค่อยๆเลื่อนไปจับจ้องที่วินเซนต์



     "วินซ์..." แดริลเรียก มือวางแก้วลงบนหัวเตียง

     "หืม?"



     ต่อมาเด็กหนุ่มร่างสูงถึงกับแสดงสีหน้าประหลาดใจ เพราะจู่ๆก็ถูกดึงเข้าไปจูบ

     จูบนั้นค่อนข้างเงอะงะ ร่างเล็กกว่าจูบซ้ำหลายๆทีคล้ายทำอะไรไม่ถูก ดวงตาฉ่ำน้ำเหมือนจะคลอด้วยน้ำตาเล็กน้อย



วินเซนต์หัวเราะเบา ท่าทางชอบอกชอบใจ

     "เมาแล้วยั่วนี่เอง" ... จากนั้นถึงเลิกคิ้วประหลาดใจอีกครั้งเมื่อนิ้วมือยาวสอดเข้ามาใต้เสื้อ และเริ่มลูบไล้ร่างกายกำยำ

     "อยากทำแบบนี้มานานแล้ว..." คนเมาแล้วระรานยิ้มออกมา ขณะลูบลวนลามไปทั่ว

     "ฉันก็ไม่เคยห้ามไม่ให้นายทำนี่" วินซ์ผู้กำลังนึกสนุกก้มมองอีกฝ่าย ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ

     "อืม... แต่มันน่าอาย" พูดจบมือนั่นยังเคลื่อนต่ำลงไปบีบก้นแน่นๆของนักกีฬาหนุ่มอีกต่างหาก "ถอดเสื้อสิ...ฉันอยากมอง"



     ไม่พูดเปล่า ดวงตาสีฟ้าคู่โตนั่นยังช้อนมอง คลอเคลียอยู่กับต้นคอของคนตัวโต เหมือนกำลังออดอ้อน



     "ครับ... ครับ" วินเซนต์ยิ้มขำ ถอดเสื้อออกตามที่อีกฝ่ายต้องการ ปล่อยให้ลูบให้งับได้ตามใจ  "พอใจหรือยัง เจ้าหญิง?"

     "ไม่ใช่เจ้าหญิง..." แดริลตอบทันทีทั้งมุ่นคิ้ว "เป็นปิศาจที่จะมาจับนายกิน"

     "หืม... ยิ่งเมายิ่งปากเก่งนะเนี่ย" ดวงตาสีเขียวฉายแววขบขันปนเอ็นดู จากนั้นก็มุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อริมฝีปากซุนซนงับเข้าที่ยอดอก



     "ฉันชอบร่างกายนาย..." แดริลพึมพำ

     "อืม ฉันรู้" วินซ์

     "ชอบเสียงด้วย" วินเซนต์ฟังแล้วก็หัวเราะ

     "ชอบ.."

     "อืม... รู้แล้ว" ในตาเผยความอ่อนโยนออกมาโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ



     "วินซ์... " แดริลเรียกอีกหน ครั้งนี้เป็นเสียงกระซิบที่ข้างหู เด็กหนุ่มผมดำพูดคำอะไรบางอย่าง.... น้ำเสียงออดอ้อนกับถ้อยคำที่ทั้งตรงไปตรงมาและลามกนั่นทำให้ดวงตาสีเขียวแปรเปลี่ยนจากขบขันเป็นเปี่ยมด้วยความต้องการ “....นะ?”



    "ฉันก็กะจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว" ร่างซึ่งสูงกว่าก้มลงงับต้นคอขาวจนเป็นรอยฟันจางๆ "คราวนี้ใครมาขัดจังหวะอีกฉันจะฆ่ามันจริงๆ " วินซ์พูดออกมาด้วยสีหน้าทะมึนเหมือนว่าเขาหมายความเช่นนั้นจริงๆ ...





แดริลที่กำลังเมาหัวเราะออกมาหลังจากฟังคำของอีกฝ่ายจบ จากนั้นเสื้อผ้าก็โดนถอดออกทีละชิ้นโดยแทบไม่รู้ตัว จนสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรติดกาย





"หนาว..." คนเมาบ่นเบาๆ เบียดร่างเข้ากับอีกฝ่าย

"เดี๋ยวก็หายหนาวแล้ว" นั่นแทบจะเป็นเสียงคำรามเบา จากนั้นร่างที่เล็กกว่าก็โดนอุ้มตัวลอย พาเข้าไปในห้องน้ำ





เด็กหนุ่มถูกวางลงในอ่างอาบน้ำ ดวงตายังคงจับจ้องที่วินเซนต์





"เร็วสิ..." แดริลพูดเสียงแผ่ว

"อย่ายั่ว... เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวหรอก" ร่างสูงกว่าล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบซองพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสมาวางไว้ใกล้ๆ มือใหญ่อีกข้างหมุนเปิดน้ำอุ่นให้ไหลลงอ่าง





พอผิวอุ่นสัมผัสกับน้ำ เจ้าของร่างที่บางกว่าก็ครางเสียงแผ่ว





ผ่านไปสักครู่หนึ่ง วินเซนต์เอื้อมมือปิดน้ำไม่ให้เพิ่มระดับมากกว่านี้ ปลดกระดุมถอดกางเกงของตนเอง สายตามองไปทางคนเมาในอ่างที่ตัวแดงไปหมดพลางลากลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผาก





"ให้ตายสิ ฉันน่าจะกรอกเหล้านายบ่อยๆ เมาแล้วดีชะมัด" แดริลเหมือนไม่ได้ฟังประโยคนั้น มุ่นคิ้วใส่ผู้พูด ยื่นแขนออกมาทั้งสองข้าง





"วินเซนต์... ช้าเกินไปแล้ว" ดวงตาสีฟ้าที่ดูเลื่อนลอยคล้ายกำลังชักชวน มือใหญ่ฉวยจับมือข้างหนึ่งไว้ ขณะก้าวขาลงไปในน้ำอุ่น





ระดับน้ำที่เดิมที่อยู่แค่เอวเพิ่มขึ้นเป็นใต้อก มืออีกข้างรวบเอวไม่หนาไม่บางเข้ามาชิดกาย ก้มลงประทับจูบสั้นๆ และมองสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายไปด้วย เมื่อเห็นว่าไม่มีสัญญาณปฏิเสธหรือต่อต้าน มือหยาบข้างนั้นก็เลื่อนลงต่ำ กอมกุมบริเวณสะโพกและนวดคลึงเบา





แดริลไม่ได้แสดงท่าทีเขินอายแบบทุกที แค่หัวเราะเบา แขนสองข้างยกขึ้นวางพาดบ่าอีกคนอย่างเชิญชวน ริมฝีปากแนบบนผิวอุ่นที่ต้นคอ ดูดงับให้เกิดรอยแดงแบบจงใจคล้ายจะเอาคืนเรื่องที่ผ่านๆ มา





ว่ากันว่าเหล้าทำให้คนเราขาดสติ… และตอนนี้แดริล เชน ก็กำลังขาดสติ มือคู่นั้นปัดป่ายสัมผัสมั่วไปหมด ส่วนสะโพกก็ยกขึ้นเป็นเชิงอนุญาตให้นิ้วหยาบรุกล้ำเข้ามาได้ตามใจ ซ้ำยังขยับเป็นจังหวะเชื่องช้า กลืนกินสองนิ้วเข้าไปจนสุด เด็กหนุ่มส่งเสียงครางอย่างไม่นึกเกรงใจหรือสนใจว่าใครจะมาได้ยิน





เมื่อข้างหูได้ยินเสียงหอบหายใจหนักของวินเซนต์ คนเมาก็ยิ่งยิ้มได้ใจ ขยับร่างกายท่อนล่างตอบสนอง ทั้งยังเบียดเข้าชิดและเสียดสีกับส่วนที่กำลังตื่นตัวของอีกฝ่าย

“วินซ์.. ขออีก” เด็กหนุ่มกระซิบเบา จงใจยั่วอารมณ์ชัดเจน พอพูดจบก็แนบจูบสั้นๆ กับคนที่สูงกว่า “ฉันอยากได้นาย...นะ? ”

“ร้ายจริง...” ท้องนิ้วสากไล้วนบนริมฝีปากของคนเมา ประกายความต้องการฉายชัดบนดวงตาสีเขียว “ต่อไปนี้ถ้าฉันไม่อยู่ด้วย… ห้ามดื่ม”





น้ำเสียงในถ้อยคำสุดท้ายกดต่ำลงจนฟังดูเป็นการออกคำสั่ง มือหนางอปลายนิ้วเล็กน้อยจนร่างแดงๆ นั่นสะท้านเบา ครางออกมาจนไม่เป็นภาษา





แดริลไม่ได้ตอบรับคำพูดดังกล่าว ถึงจุดนี้เหมือนจะฟังไม่รู้เรื่องไปเสียแล้ว





“ชอบมากเลย… แรงอีก” ร่างกายท่อนล่างขยับรับพร้อมกับคำพูด สิ้นคำสองนิ้วก็ยิ่งกดย้ำที่จุดเดิม เรียกเสียงครางต่ำไม่เป็นภาษาออกจากลำคอของเด็กหนุ่ม แล้วจู่ๆ มือข้างนั้นก็ถูกดึงออก เจ้าของร่างถึงกับส่งเสียงครางอย่างไม่ชอบใจนัก “วินซ์… ”





“รู้แล้ว รู้แล้ว” พูดจบก็จูบเบาบนขมับของคนในอ้อมแขน ก่อนจะเอื้อมมือหยิบซองถุงยางที่เขาวางไว้ริมอ่างเมื่อครู่ ฟันเขี้ยวงับส่วนมุม ขณะที่มืออีกข้างดึงฉีกออก สองนิ้วคีบดึงเอาของด้านในออกมา แต่ดวงตายังคงจับจ้องยังคนตรงหน้าที่นั่งพิงขอบอ่างอาบน้ำอย่างไม่วางตา เพื่อพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกันด้วยดวงตาสีฟ้าคู่โตที่ดูเหมือนกำลังรอคอย





“… ยังไม่พอ” น้ำเสียงติดจะอ้อนอยู่บ้าง นิ้วมือยาววางลงบนต้นขาของตนเองที่ค่อยๆ แยกออกจากกัน เด็กหนุ่มผมดำร้องเรียกเสียงหวาน “มาสิ… วินเซนต์”





“ยั่วชะมัด” เจ้าของชื่อบ่นพึมพำทั้งหอบเบา จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วมือใหญ่ก็คว้าเอวคนตรงหน้าดึงเข้าใกล้ จนส่วนที่ทั้งร้อนทั้งแข็งแนบเข้ากับช่องทางด้านหลัง “รู้ตัวไหมว่านายเมาแล้วเซ็กซี่เป็นบ้า”





น้ำอุ่นช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายลงบ้าง… แดริลรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาในร่างกาย ร่างสูงใหญ่เพิ่มแรงกดน้อยๆ ขณะที่ดึงขาเรียวข้างหนึ่งจับให้พาดกับขอบอ่าง





“เจ็บ…” แขนสองข้างยึดเกี่ยวรอบลำคอของนักกีฬาหนุ่มเอาไว้ เมื่อสัมผัสแผ่นหลังก็รู้สึกได้ถึงอาการเกร็งจนวินเซนต์รู้สึกได้... ร่างสูงกว่าหยุดการเคลื่อนไหวชั่วครู่ ก้มจูบเปลือกตาปลอบเบาๆ





“อย่าเกร็งสิ... อีกเดี๋ยวก็หายเจ็บแล้ว” วินเซนต์กัดฟันข่มอารมณ์ แผ่นหลังโดนเล็บจิกเข้าเนื้อก็ไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวด นิ้วโป้งปาดน้ำออกจากหางตาของร่างที่เล็กกว่า แนบจูบแผ่วอย่างอ่อนโยน ซึ่งผิดวิสัยเจ้าตัวเป็นอย่างมาก





เมื่อรู้สึกได้ว่าแดริลเริ่มผ่อนคลายแล้ว เด็กหนุ่มนักกีฬาก็เริ่มเคลื่อนกายกดน้ำหนัก เข้าจนสุดความยาว.. เรียกเอาเสียงร้องเบาด้วยความตกใจของคนใต้ร่าง

“ยังเจ็บอยู่ไหม?” วินซ์หอบหนัก กัดฟันข่มอารมณ์ไม่ให้โถมแรงลงไป พยายามปล่อยให้ร่างข้างใต้ค่อยๆ ชินกับขนาดเสียก่อน

แดริลส่ายหน้ากับคำถามนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเกร็ง คิ้วสีดำมุ่นเข้าหากันน้อยๆ เหมือนกำลังข่มความเจ็บปวด

“อย่ารัดนักสิ” เจ้าของร่างสูงใหญ่ก้มลงกระซิบที่ข้างหู เสียงแหบพร่าจนแทบเป็นเสียงคำราม “ฉันไม่อยากทำนายเจ็บ”

เด็กหนุ่มผมดำหอบเบา คล้ายว่าจะฟังเข้าใจ เขาหันไปแนบจูบปลอบร่างสูงกว่า สองแขนที่กอดรอบคอเกี่ยวแน่นขึ้นเล็กน้อย

“...ฉันไม่เป็นไร ฉันทนได้”

“ไม่อยากให้ต้องทน” คนพูดจูบตอบ ลิ้นอุ่นกระหวัดกับปลายลิ้นอีกฝ่าย งับเบาเพื่อกระตุ้นเร้า ไล่สำรวจไปตามโพรงปาก สองมือนวดคลึงสะโพกของร่างตรงหน้าเป็นจังหวะช้าให้ผ่อนคลายลง ก่อนที่ร่างกายท่อนล่างจะเริ่มขยับเป็นจังหวะเนิบช้า





แดริลครางแผ่ว แต่เดิมที่มีแต่ความเจ็บ พอทุเลาลงแล้วกลับรู้สึกถึงอย่างอื่นด้วย ร่างที่เล็กกว่าค่อยๆ ขยับตอบตามจังหวะ หลุดเสียงร้องแผ่วปนหอบอยู่ข้างหูอีกฝ่าย “ดี… วินซ์… ดี... ตรงนั้นล่ะ….”





“ตรงนี้? ” ริมฝีปากผู้ฟังคลี่ยิ้ม จากนั้นก็เร่งจังหวะการกระแทกขึ้นอีกเล็กน้อย “บอกฉันสิ ที่รัก นายอยากให้ทำอะไรอีก”

เด็กหนุ่มผมดำหลุดเสียงน่าอายออกมาอีกหลายครั้ง มือเกาะเกี่ยวแผ่นหลังกว้างไว้เหมือนเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้าย เพื่อไม่ให้อารมณ์เตลิดไปมากกว่านี้





“ฉัน..ไม่รู้ ....ตามใจนาย...” เขาครางเสียงดังอย่างไม่อาจควบคุมได้ รู้สึกคล้ายกำลังมัวเมาไปกับจังหวะของอีกฝ่าย

“ตามใจฉัน? นายจะรับไหว?” วินเซนต์ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ผ่อนจังหวะการเสียดสีลงเล็กน้อยขณะแทรกกายเข้าลึก ขยับสั้นและกดย้ำเข้าที่จุดเดิม “...อาจจะต้องรอบหน้า นายรับปากแล้วนะ? ”





“ได้...อะไรก็ได้ ถ้านายชอบ” คนเมาที่ถูกเอาเปรียบได้แต่พึมพำตอบรับ ยกสะโพกขึ้นรับตามสัญชาตญาณ รับเอาความใหญ่โตเข้ามาจนหมด

“นายอาจจะเสียใจทีหลัง” วินเซนต์ลากลิ้นเลียริมฝีปาก ดวงตาสีเขียวจัดหรี่ลงเล็กน้อยอย่างอันตราย





ร่างกายท่อนล่างของร่างที่บางกว่าสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือหนาเอื้อมมากอบกุมส่วนที่กำลังตื่นตัว และขยับสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวที่ด้านหลัง “วินซ์!”





เจ้าของชื่อพ่นลมหายใจแรงขึ้น จับคนในอ้อมแขนมาจูบแรงๆ ทีหนึ่ง





“เป็นผู้ชายแท้ๆ … ทำไมยั่วได้ขนาดนี้กันนะ” พูดจบจังหวะการกระแทกก็เร่งเร็วขึ้นจนร่างเล็กกว่าแทบตามจังหวะไม่ทัน แดริลร้องครางไม่เป็นภาษา ร่างกายสะท้านเบา พูดออกมาทั้งเสียงปนหอบ





“ไม่ไหวแล้ว… วินเซนต์… ฉันจะ…”





“ฉันด้วย” เสียงครางต่ำที่กระซิบข้างหูเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้าย แดริลเกร็งตัว ปลายนิ้วมือเผลอกดลงไปบนแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว ลากทิ้งรอยข่วนจางๆ ไว้บนแผ่นหลังกำยำ ในจังหวะที่ปลดปล่อยก็คล้ายจะได้ยินเสียงคำรามเบาของร่างสูงใหญ่อยู่ข้างหู





เด็กหนุ่มผมทองหอบเบา ฝังหน้าเข้ากับต้นคอของร่างข้างใต้อยู่ครู่ใหญ่ จนปรับลมหายใจให้เป็นปกติได้แล้วถึงถอยออกมาเล็กน้อย มองอีกฝ่ายที่นอนหมดเรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมแขนด้วยสายตาซับซ้อนและสับสน





หลังนิ้วชี้ปาดหยดน้ำออกจากแก้มสีแดงเรื่ออย่างเบามือ





…. วินเซนต์เหมือนจะไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง..





และเนิ่นนานต่อมา เขาก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี…





……………………



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-12-2018 20:30:28 โดย anonymouslycat »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
บทที่ 8 2/2


------------------------------------------



   

   แดริล เชน ตื่นมาพร้อมความรู้สึกหนักๆบนหัว อาการเมาค้างด้วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนคือบนหน้าผากมีคูลลิ่งเจลแปะอยู่..


   พอเอาแผ่นเจลสีฟ้าลง ก็รู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้า ร่างกายไม่ค่อยมีแรงนักเลยได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง


แดริลรู้สึกว่าร่างกายของตนเองไม่ได้เหนียวเหนอะหนะเท่าใดนัก ก้มลงมองก็พบว่าเขาใส่เสื้อทีมกีฬาที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเองสองไซส์อยู่… มองไปรอบๆก็พบว่าไม่ได้อยู่ในห้องของตนเอง… บ่งบอกได้จากโปสเตอร์ Terry Crews ขนาดใหญ่ที่กำลังส่งยิ้มฟันขาวตรงมาทางเตียง...


แรกเริ่มสมองยังเบลอปะติดปะต่อเรื่องไม่ค่อยถูก แต่หลังจากทบทวนความจำอยู่ครู่หนึ่งทุกสิ่งก็เริ่มหลั่งไหลกลับเข้ามา…


จากเดิมทีที่หน้าก็แดงเพราะไข้อยู่แล้วก็เหมือนบางอย่างระเบิดบรึ้ม เลือดสูบฉีดไปถึงใบหู เด็กหนุ่มลูบใบหน้าแรงๆ เมื่อคืนเขาทำเรื่องงามหน้าอะไรลงไปล้วนจำได้หมด...


อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก


คล้ายว่าน้ำเสียงอ่อนโยนยังวนเวียนอยู่แถวใบหู พูดคำนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จนใจเต้นไม่เป็นจังหวะ


ไม่อยากให้ต้องทน


พูดจาอะไรแบบนี้ไม่สมเป็นนายเลยสักนิด วินซ์…


เครียดมากเข้าทำอะไรไม่ถูกก็ยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปงนอนขดเสียแบบนั้น แต่พอขยับขานิดหน่อยด้านล่างก็เจ็บระบมจนเขาต้องโอดครวญออกมาเบาๆ


แดริล เชนจริงๆแล้วเป็นมนุษย์หน้าบาง พบเจอกับสถานการณ์ที่ตัวเองพูดจาน่าอายออกไปมากมายแถมจำได้ทั้งหมดแบบนี้เขาก็รับมือไม่ถูก ไม่รู้ควรเอาหน้าไปไว้ที่ไหน โดดออกนอกหน้าต่างไปเลยจะได้ไหม


….ไม่สิ หนีไม่ได้ ตอนนี้เขาใส่แต่เสื้อ ไม่ได้สวมกางเกงด้วยซ้ำ


ไอ้เวรนั่น เอากางเกงไปไหน!!?


กำลังกรีดร้องในใจ ไอ้เวรที่ว่าก็เปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมจานใส่ซีเรียลและนมแบบง่ายๆ เดินมาก้มมองกองดักแด้บนเตียงอยู่ครู่หนึ่ง….

“ตื่นแล้วสินะ...” แดริลได้ยินเสียงวางจานลงบนโต๊ะข้างเตียง ไม่นานผ้าห่มหนาก็ถูกดึงออกจากตัว โดนแงะออกมาจากดักแด้ให้เจอกับอากาศเย็นด้านนอก พอเห็นท่าทางลนลานทำอะไรไม่ถูกของคนบนเตียงแล้ววินเซนต์ก็หลุดหัวเราะดัง


“ทำอะไรของนาย? มากินข้าวเช้าหน่อยมา ลุกไหวไหม?” ดวงตาสีเขียวเหลือบมองส่วนต้นขาที่โผล่พ้นจากเสื้อนักกีฬาตัวใหญ่ แล้วยิ่งยิ้มกว้างขึ้นอีก


“ไหว!!” พูดแล้วก็ทำตัวอวดเก่ง ค่อยๆยันตัวลุกนั่งทั้งๆที่ยังไม่มีแรง แค่ขยับก็รู้สึกว่าสะโพกระบมไปหมดแล้วแต่ก็ฝืนรับถ้วยใส่ซีเรียลใส่ผลไม้มาตักกิน


มือใหญ่ลูบต้นขาขาวเบามือ แดริลสะดุ้งจนพยายามถอยหนี แต่ก็เจ็บตัวเกินกว่าจะขยับได้มาก


“อวดเก่งชะมัด” วินเซนต์เอื้อมไปรั้งเอวของอีกฝ่าย จับตรึงเอาไว้ไม่ให้หาเรื่องเจ็บตัวไปมากกว่านี้ “ยังจะอายอะไรอีก มาขนาดนี้แล้ว?”


“ไอ้คนไม่มียางอายแบบนายมันก็พูดได้สิ…” แดริลยอมนั่งเฉยๆ ตักซีเรียลกินต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก

หลังมือของอีกฝ่ายนาบลงบนหน้าผากเพื่อวัดไข้…

“ไข้ลดแล้วแต่ตัวนายยังรุมๆ… กินเสร็จแล้วกินยาพักผ่อนเถอะ ฉันโทรบอกพ่อแม่นายให้แล้วว่าวันนี้นายค้างที่นี่”


ประโยคนั้นทำให้แดริลเลิกคิ้วแบบนึกประหลาดใจ


“ว้าว ....ไอ้ชั่วแบบนายดูแลคนป่วยเป็นด้วย”


ฟังจบดวงตาสีเขียวเข้มก็หรี่ลงน้อยๆ มุมปากยังคงยิ้มอยู่ แต่ดูน่ากลัวแบบแปลกๆ ทำเอาคนพูดรีบก้มหน้าก้มตากินต่อไปอย่างสงบเสงี่ยม…


“ในสายตานายฉันมันชั่วขนาดนั้นเลย?”


ในสายตาทุกคนนายก็ชั่วหมดล่ะ.. วินซ์


“ก็… จะให้บอกว่านายเป็นคนดีก็คงไม่ผ่านมาตรฐานสากลเท่าไหร่…” แดริลกระแอมน้อยๆ เห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกว่าตนเองพลาด แรกเริ่มที่พูดก็เพื่อเป็นมุกล้อเล่นให้บรรยากาศผ่อนคลายเฉยๆ

“นั่นฉันรู้ แต่ในสายตานายน่ะ… ตัวนาย”


แดริลวางชามเปล่าลงบนโต๊ะข้างๆ เอียงคอมองแฟนหนุ่มนักกีฬาของเขาที่วันนี้ดูแปลกออกไป


“นายเคยสนใจว่าจริงๆแล้วคนอื่นจะคิดยังไงด้วยเหรอ...  วินซ์?”

“ก่อนหน้านี้ก็ไม่สนใจ… แต่ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่านายคิดยังไง” วินซ์ถามด้วยสายตาจริงจังจนคู่สนทนานึกประหลาดใจ เด็กหนุ่มครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งถึงเรียบเรียงคำพูดออกมาได้...

“ฉันคิดว่านายเป็นคนน่าอิจฉา… นายทำอะไรไม่ค่อยสนใจใคร มีความมั่นใจและความเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ….ในแบบที่ฉันไม่มี สิ่งที่ฉันต้องพยายามเพื่อจะเป็น นายกลับเป็นได้อย่างง่ายๆ… เพราะนั่นคือตัวตนของนาย” ไม่รู้อะไรดลใจ แดริลเอื้อมมือไปลูบเรือนผมสีทองเบามือ “ส่วนบางเรื่องนายก็ชาติชั่วจริงๆ แต่ก็มีส่วนที่… ก็ดีแล้วที่นายเป็นนายแบบนี้ ความเอาแต่ใจของนายบางทีก็น่ารำคาญ แต่หลายๆทีก็น่ารักดี”


“อืม ฉันออกจะน่ารัก ใช่ไหม?”


นายอย่าจับใจความได้แค่คำนั้นคำเดียวสิวะ…


“...ถอนคำพูดทันไหม” ตอบด้วยน้ำเสียงหน่ายใจ และเด็กหนุ่มก็ค่อยๆเอนกายลงนอน ดึงผ้าห่มปิดขา พลิกตัวนอนตะแคงไปอีกด้านเพื่อหันหนีเจ้าของห้อง


แสงอาทิตย์ส่องลอดหน้าต่างมากระทบปลายเท้า หากให้เดานี่น่าจะย่างเข้ายามบ่ายแล้ว.. พอมองออกไปบนกิ่งไม้ก็เห็นเกล็ดหิมะสีขาวบนต้นไม้แห้งโกร๋นไร้ใบ


วินเซนต์ย้ายก้นมานั่งบนเตียง เขารู้สึกได้ว่าเจ้าคนไร้ยางอายนั่นกำลังสนุกเต็มที่...


“เมื่อคืน….”


พูดคำนั้นขึ้นมาไหล่ของแดริลก็เกร็งขึ้นเล็กน้อย


“นายเซ็กซี่เป็นบ้า... ไว้พูดประโยคนั้นให้ฉันฟังอีกหลายๆทีได้ไหม?” เสียงต่ำที่กระซิบข้างหูทำให้ใบหน้าเห่อร้อน เด็กหนุ่มผมดำแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน “เอ… เมื่อคืนนายพูดว่ายังไงนะ ที่--”


หมอนฟาดหน้าเจ้าของห้องเต็มแรง แล้วคนที่นอนอยู่พอหายอายแล้วก็ต้องร้องโอดโอยเพราะความเจ็บ

“ไอ้บ้า หุบปากไปเลย!!”

วินเซนต์หัวเราะดัง ดึงหมอนนิ่มที่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเจ็บออกจากใบหน้า จับเอวนั่นเอาไว้และตรึงห้ามไม่ให้อีกฝ่ายขยับตัว

“นอนเฉยๆ… ฉันไม่แกล้งแล้วก็ได้”


แดริลยอมอยู่นิ่งๆ เขาเองก็ไม่นึกว่ามันจะเจ็บแบบนี้…


“อีกสอง-สามทีเดี๋ยวก็ชิน” ไอ้ตัวต้นเหตุยังมีหน้ามายิ้มกริ่ม… คนมองทำได้แค่สะบัดหน้าหนีเท่านั้น “เอาจริงๆนะแดริล นายจะอายไปทำไมกัน ฉันเป็นแฟนนาย นายอยากลวนลามฉันหรือยั่วฉันก็ทำไปเถอะ”


หลายๆทีแดริล เชนก็รู้สึกว่าแฟนหนุ่มของเขาพูดจาตรงไปตรงมาจนเกินไป… สีแดงจากบนใบหน้าเริ่มลามไปถึงต้นคอ


“แต่ช่างเถอะ... เป็นแบบนี้ก็ตลกดี…” ร่างสูงกว่าจูบขมับคนป่วยเบาๆ “ฉันออกไปซื้อของชำก่อน… เดี๋ยวกลับมา”


ในช่วงที่ร่างสูงกำลังผละออกไป ก็ไม่รู้อะไรดลใจให้มือคว้าเอาชายเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน


“วินซ์…” แดริลร้องเรียก

“หืม… ว่าไง?” วินซ์ตอบรับ


ใบหน้าจากที่สีแดงเรื่อเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด ดวงตาสีฟ้าหลุบลงไม่มองหน้า มีท่าทีกระอักกระอ่วนคล้ายต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา


“มีอะไรก็พูดมาเถอะ” นิ้วมือสากไล้แก้มแดงจัดเบามือ “ฉันบอกแล้วนี่ว่าไม่ต้องอาย”

“..... เมื่อคืน” ในที่สุดแดริลก็ยอมเอ่ยปาก แต่เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “...เมื่อคืน…”


คนฟังก็นั่งรอฟังอย่างอดทนดี


“อืม… เมื่อคืน?” คิ้วสีทองเลิกขึ้นน้อยๆ รอฟังคำพูด


“...........นายชอบหรือเปล่า?” ใบหน้าของคนถามแดงเถือกถึงใบหู เด็กหนุ่มหันหนีไปอีกทางอย่างไม่อยากสู้หน้าสบตา ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดใบหน้าท่อนล่างของตนเอาไว้

“....................” วินซ์

“....?” แดริลค่อยๆหันกลับไปมองคนที่นิ่งเงียบไปอย่างหวาดๆและไม่มั่นใจนัก


จู่ๆร่างบางกว่าก็โดนรวบกอด วินเซนต์กระซิบตอบที่ข้างหู


“ชอบ...ชอบมาก…” พูดจบก็จูบแก้มหนักๆทีหนึ่ง “แต่นายช่วยอย่าทำตัวแบบนี้ตอนนี้ได้ไหม… เดี๋ยวก็จับปล้ำมันซะอีกรอบหรอก”

“ทำตัวแบบไหน?” แดริลไม่เข้าใจ... แต่แค่ได้ยินว่าอีกฝ่ายไม่รังเกียจเขาก็หลุดยิ้มออกมาน้อยๆ

“ถามคำถามอะไรแบบนี้ ทำท่าแบบนี้ ทั้งที่นายใส่เสื้อกีฬาของฉันอยู่” แดริลอยากจะแย้งว่าเสื้อกีฬานี่ไม่ใช่ว่าเขาเต็มใจใส่เสียหน่อย...

“ฉันแค่อยากถามให้แน่ใจ… ว่านายไม่ได้ฝืน ยังไงซะก่อนหน้านี้นายก็…. เดทแต่ผู้หญิง”

“ถามจริง… นายเอาตรงไหนมามองว่าฉันฝืน คราวหน้าฉันอาจจะควรทำหลายๆรอบ หัวสมองทึ่มๆของนายจะได้ไม่มาสงสัยฉันอีก” วินเซนต์ลูบหน้าเบาๆ ก่อนที่จะก้มลงสบตากับคู่สนทนา “แล้วนายเป็นผู้ชายแล้วมันทำไม… ฉันก็ชอบอยู่ดี” 

“ไม่รังเกียจใช่ไหม” แดริล

“ถ้าจะรังเกียจก็คงรังเกียจไปนานแล้วไหม?” วินซ์

“ก็เมื่อคืนเพิ่งได้ลองจริงๆ…” แดริล

“ฉันก็บอกแล้วนี่ว่ามันจะต้องมีครั้งหน้า…. คิดมากจริง” วินซ์จับร่างเล็กกว่ามาดีดหน้าผาก

“ขอโทษ…”


ฟังคำนั้นแล้วร่างสูงใหญ่ก็ถอนหายใจเบา
   “ถึงคนอื่นจะว่าฉันว่าสารเลวเชื่อใจไม่ได้ แต่การที่นายไม่เชื่อใจฉันมันเจ็บนะ”


ก็ประวัตินายมันไม่น่าเชื่อใจจริงๆนี่หว่า…


“.... อืม ขอโทษนะ” แดริล

“แค่ขอโทษไม่พอ ...ครั้งหน้าฉันอยากให้นายใส่ชุดนี้ให้ฉันทำ” วินเซนต์

“........” แดริล


หยุดลากกลับมาเรื่องแบบนี้!! บ้าเอ๊ย!!


เด็กหนุ่มผมดำได้แต่มองด้วยสีหน้าโมโนโทน สักพักต่อมาถึงพึมพำเบาออกมาทั้งหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย


“...ตามใจนายเถอะ”

วินเซนต์ยิ้มกว้างขึ้นอีก

“นายมันผู้ชายประเภทตามใจแฟนทุกเรื่องจริงๆนั่นล่ะ”


แดริลถอนหายใจแทนการตอบรับ…


ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะเป็นผู้ชายประเภทนี้นักหรอก… เป็นแฟนนายแล้วรู้สึกขาดทุนเป็นบ้า

เขาเพียงคิด แต่ไม่ได้พูดออกไป


“งั้นฉันไปก่อน แล้วจะรีบกลับ” ร่างสูงใหญ่กล่าวพลางลุกขึ้นยืน เตรียมตัวออกไปซื้อของชำ

“อืม…” แดริลรับคำ และมองตามจนแผ่นหลังของอีกฝ่ายหายไปหลังบานประตูไม้ และเหม่อมองประตูอยู่อย่างนั้นอีกพักใหญ่ๆ

ที่กลางอกรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด เด็กหนุ่มวางมือลงบนนั้น ใบหน้ายังคงแดงเรื่อ


เขาเหมือนจะเข้าใจดีว่าความรู้สึกที่ว่ามันคืออะไร...


แต่ตอนนั้นยังอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เท่านั้นเอง


……………………


หลายวันต่อมา…


   “พวกเธอได้กันแล้วใช่ไหม” อยู่ๆแคทก็โพล่งขึ้นมาระหว่างการพักทานข้าวจากการวิ่งออกกำลังกายช่วงเช้าของทั้งคู่ ทำเอาเพื่อนสะดุ้งเฮือก “เฮ้อ ฉันเดาถูกจริงๆด้วย...”


แต่ถึงพูดแบบนั้นใบหน้าของคนเดาถูกก็ไม่ได้ดูดีเท่าใดนัก


“....”

“ไม่ต้องถามค่ะว่ารู้ได้ยังไง มันเป็นเซนส์ของผู้หญิง” เด็กสาวกลอกตา หล่อนนั่งอยู่ข้างๆแดริลบนม้านั่งในสวนสาธาณะใกล้บ้าน

“...อืม” ก็ไม่รู้ว่าควรตอบอะไรดี ถึงแค่รับคำสั้นๆ

“แต่ก็แปลกหมอนั่นดี… ปกติกี่รายๆก็เห็นฟันแล้วเบื่อ ทิ้งๆขว้างๆ ดูแบบแอมเบอร์สิ…” เชียร์ลีดเดอร์สาวหยิบซับเวย์ออกมาจากถุงกระดาษ ให้ตัวเองชิ้นหนึ่ง เพื่อนหนุ่มอีกชิ้นหนึ่ง

“...ฉันไม่รู้ว่าควรจะคอมเมนท์อะไรดี…” อันที่จริงตัวเขาเองก็สงสัยว่าวินเซนต์จะเบื่อและเลือกที่จะนอกใจไปหาเหยื่อรายใหม่เมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าไม่รู้กิตติศัพท์ของอีกฝ่าย เผื่อใจไว้แล้วด้วยซ้ำ


ที่ผ่านมาแดริลโดนดึงไปโน่นมานี่ ตามจังหวะและความเอาแต่ใจของนักกีฬาหนุ่ม จนกระทั่งตัวเขาเองสับสนและไม่มีเวลาได้หยุดคิดอย่างจริงจังเท่าใดนัก


“ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเป็นฝ่ายบอกเลิกสาวก่อนเลยล่ะ แต่จะเริ่มห่างออกไป แล้วสุดท้ายก็นอกใจ สาวๆหลายคนก็ยังอยากลองของเพราะคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงเขาได้ ...ก็ตลกดี” แคทเริ่มแกะห่อซับเวย์ไก่ของตนเอง กัดขนมปังยัดไส้สารพัดผักคำเล็ก


   “... วินเซนต์ยังดีกับฉันอยู่” แดริลแกะห่อแซนด์วิชซับเวย์ของตนเองบ้าง “ก็ยังลากให้ฉันติดรถไปด้วยทุกเช้า…”

   “....เหมือนจะติดเธอแจกว่าเดิมด้วยนะที่รักคะ” เด็กสาวทำหน้าเหม็นเบื่อ “โอเค ครั้งนี้ฉันอาจจะมองผิดเองก็ได้ ผู้ชายสารเลวสามารถกลับใจได้ด้วยรักแท้ เหมือนเทพนิยาย นี่ฉันต้องโปรยกลิตเตอร์ให้ด้วยไหม?”

   “.....” ครั้งนี้เป็นแดริลที่ทำหน้าเหมือนกินข้าวไม่ลง

   “ตั้งแต่ที่ย้ายมาที่นี่ หมอนั่นคบเธอนานที่สุดแล้ว.. ฉันเองยังแปลกใจ นึกว่าเขาแค่ทำไปขำๆด้วยความอยากรู้อยากเห็นซะอีก” แคท

“ฉันรู้...เขาเหมือนจะเข้าใจง่าย แต่ก็เข้าใจยากไปพร้อมๆกัน…” แดริลถอนหายใจ “อันที่จริงฉันก็เริ่มคบกับเขาเพราะความสงสัยเหมือนกัน”

   “อือฮึ… และเธอก็ชอบกล้ามท้องของเขาด้วย” เด็กสาวดูดนิ้วตัวเองที่เลอะซอสเทาซันไอแลนด์

   “.....” แดริล

   “อย่ามาปฏิเสธค่ะที่รัก” แคท

   เด็กหนุ่มลูบหน้าแรง

   “...วินเซนต์ไม่ได้แย่อย่างที่คิดหรอก ก็แค่เอาแต่ใจไปหน่อย” เขาพูดจบแคทก็เกือบทำซับเวย์ร่วง...

   “.........พระเจ้าช่วย นี่เธอตกหลุมรักเข้าแล้วจริงๆใช่ไหม ที่รัก ได้กับเขายังพอว่า เดทกับเขายังพอทน เธอจะรักใครก็ได้แต่ไม่ควรไปรักวินเซนต์ ซัมเมอร์นะคะทูนหัว”

   “ฉันไม่ได้พูดสักคำว่ารักเขา!” แดริล

   “เซนส์ของผู้หญิงค่ะเบ้บ ไม่ต้องพูดแต่มันตีความออกมาได้แบบนั้น” แคท

   “ไม่จริงน่า” ร่างที่สูงกว่าส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันก็แค่… ชอบกล้ามท้องของหมอนั่นเฉยๆ”

   “เฮอะ คนปากแข็ง” แคทเธอรีนกระแทกเสียง ก่อนจะตัดบทด้วยการขยำกระดาษห่อแซนด์วิชทิ้งลงถุงกระดาษ เดินเอาไปทิ้งถังขยะ “ยิ่งคุยเรื่องชีวิตรักของเธอแล้วฉันยิ่งกลุ้มใจ หนีไปหาแอชลีย์ดีกว่า... บายฮันนี่”


   จนกระทั่งแคทจากไป เด็กหนุ่มก็ยังคงก้มมองแซนด์วิชที่ยังกินไม่หมดในมือที่เย็นชืดแล้ว…

 

เขารู้… แต่ไม่อยากจะยอมรับ


เพราะความเป็นไปได้ของการที่ความสัมพันธ์นี้จะไปได้ตลอดรอดฝั่ง มันเกือบจะเป็นศูนย์เปอร์เซนต์ทีเดียว…


แต่คนเราก็ใช่จะใช้เหตุผลห้ามความรู้สึกได้เสมอไป...



------------------------------------------------------------------


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
บทที่ 9 (1/2)

ช่วงเริ่มต้นเกรดสิบสองเป็นช่วงเลือกตั้งประธานนักเรียนอย่างจริงจัง





ทั้งแดริลและลีต่างก็เตรียมตัวเพื่อเวลานี้มากว่าสามปีเต็ม… ในปีนี้มีคู่แข่งอีกสองทีม เป็นพวกที่แตะงานสภามาบ้างทีมหนึ่ง และไม่เคยโผล่มาช่วยงานแค่อยากใช้ความนิยมเข้าสู้อีกทีม…





พวกเขาชักชวนแอนน์ที่ทำงานสภามาด้วยกันหลายปีมาเป็นเหรัญญิก และมาร์คัส เด็กหนุ่มผิวสีเจ้าพ่อพิธีกรงานอีเวนท์มาเป็นเลขา





แรกเริ่มแดริลไม่ได้สนิทสนมกับมาร์คัส ลีเป็นคนดึงอีกฝ่ายมาเข้าทีม แต่หลังจากทำงานด้วยกันไปไม่กี่เดือนก็สนิทกันในเวลาต่อมา





ที่บ้านของลีเหมือนจะมีเงินทุนอยู่พอสมควร พวกเขาจึงสามารถทำเข็มกลัดและใบปลิวไว้แจกเพื่อหาเสียง และด้วยอาศัยว่าลีตีตลาดกลุ่มพวกเอเชียน มาร์คัสสนิทกับพวกเด็กผิวสีและสายปาร์ตี้อีกหลายคน แดริลก็ดึงทีมเชียร์มาจากทางแคทเธอรีน และพวกนักกีฬาจากวินเซนต์ ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการดึงเสียงโหวต สุดท้ายก็ได้เป็นกลุ่มประธานสภาเอาไว้ประดับประวัติกันสมใจ





หลังประกาศคะแนนโหวต ลีที่ปกติจะหน้านิ่งถึงกับหัวเราะออกมาดังๆ อย่างฟังดูชั่วร้ายแบบแปลกๆ .. เหมือนว่าจอมมารลีจะวางแผนมาเนิ่นนานหลายปี ในที่สุดเขาก็ยึดครองโลกสำเร็จแล้ว





“ในที่สุด…. ในที่สุด!!” ...มันเป็นคนเก่ง แต่บางทีหมอนี่มันก็ดูบ้าๆ บอๆ





“นายอย่าไปหัวเราะแบบนี้ให้ใครฟังล่ะ เขาจะนึกว่ารองประธานเป็นคนบ้าดีๆ นี่เอง…” แดริลมองเหนื่อยใจ แต่ในใจก็นึกอยากกระโดดโลดเต้นไปกับทุกคนเหมือนกัน





หลายปีอันแสนเหนื่อยยาก… ในที่สุดก็เห็นผลแล้ว!!





“ม.ไอวี่ลีกอยู่แค่เอื้อมแล้วเพื่อน!!” เด็กหนุ่มชายจีนยกมือขึ้นในท่าไฮไฟฟ์ แปะมือกับประธานสภานักเรียนคนใหม่ของโรงเรียน

“ช่าย หลังจากปีนี้พวกเราก็จะได้เข้ามหาลัยฯ ดังแบบที่ฝันกันสักที ใช่ไหมพวก” มาร์คัสเดินเข้ามากอดคอทั้งคู่อย่างสนิทสนม และทั้งสามก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

“แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำนะ…. ทั้งสามคน” เสียงเย็นๆ นั่นเป็นเสียงของแอนน์ เด็กสาวผมสั้นที่กำลังยิ้มเย็นมาทางพวกเขา “กลับไปเริ่มทำงานกันเดี๋ยวนี้เลย”







ว่าแล้วเด็กหนุ่มทั้งสามก็โดนลากกลับห้องสภา สถานที่ซึ่งพวกเขาคุ้นเคยดี ระหว่างทางมีแต่คนแสดงความยินดีกับทีมสภาที่เป็นผู้ชนะในปีนี้...





เป็นการเริ่มต้นปีที่ดี… และหวังว่าจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดทั้งปี





……………….





กว่าแดริลพบวินเซนต์ก็คาบว่ายน้ำในช่วงบ่าย… เจ้าคนน่าโมโหนั่นว่ายตีปีกท่าฟรีสไตล์อย่างสบายอารมณ์ ดูแล้วชวนอยากเขวี้ยงโฟมใส่อย่างมาก





สระน้ำโรงเรียนเป็นสระในร่มขนาดใหญ่ มีอัฒจันทร์อยู่รอบๆ กับห้องอาบน้ำแยกชาย-หญิง





ในวันที่อากาศสบายๆ กำลังดี ทุกคนต่างเล่นน้ำกันก่อนที่โค้ชวิทเทกเกอร์จะมาถึง แต่แดริลกลับลงเล่นไม่ได้…





“เฮ้ แดริล! ท่านประธาน! ไม่เปลี่ยนเสื้อเหรอ!?” เจฟฟ์ที่กำลังตีแขนเล่นน้ำตะโกนทัก ได้ยินแล้ววินเซนต์ก็หยุดแขน หันมองมาพร้อมทั้งฉีกยิ้มน่าหมั่นไส้





เด็กหนุ่มผมดำรีบยิ้มตอบ แต่มือกำเสื้อพละที่สวมอยู่แน่น..





“ลืมเอาชุดมา… วันนี้คงขอวิ่งรอบสระแทน”

“โธ่ น่าสงสารจังเพื่อน” เจฟฟ์ทัก แล้วก็ต้องหยุดไปให้ความสนใจเสียงเอะอะอีกทาง





“วินซ์ หลังนายไปโดนอะไรมาน่ะ?” เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งถามขึ้น ทำให้วินเซนต์เอี้ยวตัวหันหัวไปดูด้านหลัง แผ่นหลังกว้างนั้นมีรอยข่วนที่ค่อนข้างชัดเจนอยู่หลายรอยกับรอยแดงอีกหลายจุด และเจ้าตัวก็ไม่คิดจะปิดบังมันแม้แต่น้อย





“โอ้โห.. นั่นจากสาวนอกโรงเรียนของนายใช่ไหมพวก” เจฟฟ์ถองศอกใส่กัปตันทีมอเมริกันฟุตบอลที่กำลังยกยิ้มขำเบาๆ

“แค่แมวข่วนน่ะ แมวตัวโต” พูดจบก็เหลือบมองคนที่กำลังยืนหน้าแดงอยู่ริมสระ…

“ฉันว่าไม่ใช่แมวแล้วล่ะแบบนี้ อยากเห็นชะมัด สาวฮอทคนไหนที่ทำให้คนแบบนายหลงขนาดนี้วะ” เจฟฟ์

“นั่นสินะ” คนตอบดูกำลังสนุกกับการมองปฏิกิริยาของคนข้างสระต่อไป จนโค้ชวิทเทกเกอร์มาทุกคนถึงแยกย้ายไปเตรียมเริ่มคาบพละ





“อ้าว เชน ทำไมใส่ชุดนี้มา ลืมชุดว่ายน้ำเหรอ?” ชายวัยกลางคนไว้หนวดร่างสูงใหญ่เอ่ยปากถาม แดริลก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วพยักหน้า “ช่วยไม่ได้นี่นะ เธอไปวิ่งรอบสระกับสาวๆ พวกนั้นแล้วกัน”



แล้ววันนั้นที่เริ่มต้นด้วยดีก็จบลงด้วยการที่ท่านประธานสภานักเรียนจำใจต้องวิ่งรอบสระกับสาวๆ ที่ประจำเดือนมาเลยลงว่ายน้ำไม่ได้…







…..



.





เย็นจนเกือบมืด กว่าพวกเขาจะได้กลับบ้าน เนื่องเพราะคนหนึ่งต้องทำงานคัดนักกีฬาใหม่ อีกคนก็ต้องแจกแจงงานสภา วางตารางของทั้งปี ทำหน้าที่ที่ตนเองแย่งชิงมาจนสำเร็จ





ในรถสีแดงคันใหญ่ เด็กหนุ่มทั้งสองคนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน จากนั้นจึงหันมาสบตาแบบไม่ได้นัดหมาย





“ฉันยังไม่ได้บอกยินดีกับนายเลย ใช่ไหม ท่านประธาน?” รถยันไม่แล่นออกจากที่จอด มือใหญ่ถึงว่างพอจะตบบ่าคนข้างๆ

“อืม… แต่จริงๆ ก็ต้องขอบคุณนายด้วย ที่ช่วยล็อบบี้ให้…” ร่างบางกว่าเอียงหัวเล็กน้อย แนบแก้มกับมือที่วางลงมา

“ขอบคุณแค่คำพูดมันไม่พอหรอกนะ” วินซ์

“ให้ไปตั้งเยอะแล้วนายยังจะเอาอะไรอีก” แดริล

“นั่นนายเพิ่งจ่ายแค่ดอกเบี้ย เงินต้นยังคืนไม่หมดเลย” วินซ์

“รีบๆ ขับรถไปเลยไป” แดริล





แต่แทนที่เจ้าของรถจะขับรถออกไป เขากลับเขยิบตัวมาดึงคันโยกข้างที่นั่งของคนข้างๆ ปรับให้เก้าอี้ร่วงเอนหลังไปแบบกะทันหัน





“วินเซนต์!!” เด็กหนุ่มพยายามผลักร่างสูงใหญ่ออกไป “อย่าเล่นอะไรไม่เข้าท่าน่า นี่ลานจอดรถนะ”

“ฉันขอดูนิดเดียว” พูดแล้วก็จับปลดกระดุมอย่างเชี่ยวชาญ แหวกสาบเสื้อคนใต้ร่างออก ผิวขาวใต้นั้นมีรอยแดงกับรอยฟันอยู่เต็มไปหมด ไล่จากต้นคอลงไปถึงใต้กางเกง





แดริลหน้าแดงจัด พยายามผลักต่อไปจนเหนื่อยหอบ เห็นว่าไม่เขยื้อนเลยสักนิดก็ยอมแพ้





“ยังไม่หาย นายถึงไม่กล้าลงน้ำนี่เอง” วินเซนต์ฉีกยิ้ม





ใครมันจะไปหน้าด้านแบบนายล่ะ



“ฉันถึงบอกไงว่าอย่าทำให้เป็นรอย! มันหายไม่ทันคาบว่ายน้ำ! ” ทุบให้หายแค้นไปสักที-สองทีแล้วก็หยุดเพราะเหนื่อย รู้สึกว่าทุบยังไงมันก็ไม่สะทกสะท้าน





“แต่ฉันชอบ” ท้องนิ้วสากไล้บนรอยแดงที่ทิ้งเอาไว้เบามือ “เอาเถอะ จนกว่าจะหมดช่วงว่ายน้ำของวิชาพละ.. ฉันจะระวังมากขึ้นแล้วกัน”





พูดจบก็ก้มลงจูบซ้ำรอยแดงบนอกของร่างบางกว่าจนแดริลสะดุ้งเบา นักกีฬาหนุ่มถอยออกไปติดกระดุมเสื้อกลับเข้าที่ และไม่ได้ทำอะไรเกินเลยอีก





ท่านประธานที่สภาพหมดความน่าเกรงขามค่อยๆ ปรับเก้าอี้ขึ้น มองคนข้างๆ อย่างขุ่นเคือง



“เล่นอะไรไม่เข้าท่า…” วินเซนต์หัวเราะ พักต่อมารถคันใหญ่ก็แล่นออกไปยังถนนใหญ่ มุ่งสู่ทางกลับบ้านตามเคย

“นายเป็นแฟนฉันนี่ ฉันต้องเล่นได้สิ” แดริลขี้เกียจเถียง.. “โดนนายข่วนฉันยังไม่ว่าอะไรเลย”





….….ก็เงียบเข้าไปใหญ่ จนสุดท้ายคนที่เป็นผู้โดยสารก็ทนไม่ไหว จับหักเปลี่ยนเรื่องเสียแบบนั้น





“ปีนี้พวกแมวมองจากมหาลัยฯ ดังมาทาบทามนายบ้างหรือยัง” พวกแมวมองจากมหาวิทยาลัยมักจะมาดูตามการแข่งขันระดับรัฐขึ้นไป เพื่อคัดเลือกและพิจารณาให้ทุนกีฬาแก่นักกีฬาที่มีความสามารถ แต่ละที่มักจะมีทุนกีฬากับโควตาเพื่อดึงตัวคนเก่งๆ ไปเข้าทีม ถึงผลการเรียนจะไม่โดดเด่น แต่หากกีฬาเด่น คุณก็มีโอกาสจะได้เข้าเรียนที่ดีๆ เช่นกัน





น่าเสียดายที่ซีมัสไม่ได้มีผลงานโดดเด่นพอที่จะเข้าตาพวกแมวมอง สุดท้ายพี่ชายจึงตัดสินใจไม่เรียนต่อและไปเป็นทหารที่อิรักแทน…





“ก็มีมาคุยๆ ไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ที่ที่ฉันอยากไปจริงๆ ยังไม่มา” วินซ์

“ที่ไหน?”

“แมสซาชูเซตส์…” แค่บอกชื่อรัฐ แดริลก็ร้อง ‘อ้อ‘ ออกมาเบาๆ

“ลีก็เล็งที่นั่น” แดริล

“แล้วนายล่ะ? ” วินซ์

“ฉันเล็งนิวยอร์กน่ะ สายที่ฉันอยากเรียน ไปยูนั้นจะเวิร์กกว่า” แดริล





วินเซนต์ตอบรับในลำคอ ไม่ได้คอมเมนท์อะไร ผ่านไปอีกครู่หนึ่งรถก็จอดสนิทที่หน้าบ้านแล้ว





แปลว่าพอเรียนจบแล้วก็ต้องแยกย้าย...





แดริลคิดขึ้นมาวูบหนึ่งก็ใจหาย… แดดยามเย็นสีส้มจัดส่องกระทบเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งของร่างสูงจนดูเหมือนภาพวาด เขาไม่ได้แสดงสีหน้า และก็ไม่ได้พูดอะไร





“... จริงสิ เกือบลืม” พูดจบเด็กหนุ่มผมดำก็ล้วงห่อของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเป้ ยื่นให้อีกฝ่าย “อาจจะเร็วไปหนึ่งวัน… แต่แฮปปี้เบิร์ธเดย์ วินซ์ แล้วก็ยินดีด้วยที่ได้เป็นกัปตันทีม”





ร่างซึ่งสูงกว่าเอื้อมมือรับถุงกระดาษสีดำห่อนั้นมาถือเอาไว้ เปิดมันออกและเทของข้างในออกมา เป็นพวงกุญแจลูกอเมริกันฟุตบอลที่ส่วนซึ่งเป็นแผ่นเหล็กสลักชื่อ Vincent





เด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีนิ่งไปพักหนึ่ง จับของในมือพลิกซ้ายพลิกขวา





“เห็นกุญแจรถนายไม่มีอะไรห้อย เลยว่าให้เป็นพวงกุญแจน่าจะดีสุด” แดริล

“...จริงๆ ฉันไม่ชอบใช้พวงกุญแจเพราะมันเกะกะน่ะ” วินซ์

“....” แดริล





ถึงจะรู้ว่าวินเซนต์เป็นพวกพูดจาขวานผ่าซากและตรงไปตรงมา แต่ก็อดหน้าเสียไม่ได้อยู่ดี





“ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องใช้หรอก โทษทีนะ ไม่รู้ว่าควรซื้ออะไรให้” คนให้ของไม่ได้น้อยใจ ไม่ได้โกรธ และไม่ได้ประชด เพียงถอนหายใจเบาๆ ด้วยความกลัดกลุ้ม





แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เมื่อเจ้าของรถดึงกุญแจรถออก จับเอามันมาห้อยกับของขวัญวันเกิดของตนเอง

“ก็ไม่เลวนักหรอก อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” วินเซนต์จูบหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ “รู้ไหมจริงๆ แล้ววันเกิดฉันอยากได้อะไร”





“อะไร? ” ดวงตาสีฟ้ามองปริบ





“นายไง… คืนนี้ค้างบ้านฉันไหม” คนพูดยิ้มกริ่ม





“......... นายจะเลิกลากเข้าเรื่องประเภทนี้สักวัน (ตอน) ได้ไหม” แดริลได้แต่ลูบหน้ากลุ้มใจ

“ทำไมล่ะ ผู้ชายวัยนี้เขาก็คิดกันทั้งนั้น หรือนายไม่คิด? ” เจ้าคนหน้าด้านเลิกคิ้วตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “เอาจริงนะแดริล บางทีนายก็ทำตัวเหมือนบาทหลวง ผ่อนคลายซะบ้าง”

“คิดก็ไม่จำเป็นต้องพูดเฟ้ย” แดริล

“อ๋อ เมาแล้วค่อยพูดใช่ไหม” วินซ์

“.....” แดริล

“พรุ่งนี้มีเรียน ฉันไม่ทำอะไรหรอก วันเกิดก็แค่อยากเห็นหน้านายเป็นคนแรกเฉยๆ” ไม่ว่าเปล่ายังคว้ามือไปจับไว้ คล้ายจะกันไม่ให้หนี “ได้ไหม?”





….ขี้โกงชะมัด





“...ได้”





เด็กหนุ่มรับคำสั้น… และหวังว่าเวลาแบบนี้จะสามารถอยู่ต่อไปอีกเนิ่นนาน





………..

…….

...





วันเวลาผ่านไปอย่างสงบสุขจนน่าเหลือเชื่อ… ไม่นานนักก็เข้าสู่เทอมสุดท้ายของชีวิตไฮสคูล





นอกจากโปสต์การ์ดจากอิรักที่ซีมัสส่งมาแล้ว ก็ยังมีซองสีขาวประทับตรามหาวิทยาลัยชื่อดังในนิวยอร์กส่งมาถึงบ้าน แดริลมองมัน จับพลิกหน้าพลิกหลังอย่างตื่นเต้น





เขาส่งสมัครไปหลายที่ และได้รับการตอบรับมาหลายที่แล้วเช่นกัน แต่ที่นี่คือตัวเลือกอันดับหนึ่ง…





เด็กหนุ่มค่อยๆ เปิดซองมือสั่น หวิดจะร่วงไปหลายที สุดท้ายก็หยิบแผ่นกระดาษออกมา แต่ก็ยังไม่กล้าเปิดดู… ตลอดเดือนที่ผ่านมาแดริลคอยสอดส่องเปิดกล่องจดหมายดูอย่างกระวนกระวาย เพื่อรอกระดาษแผ่นนี้มานานมาก





สูดหายใจลึกเพื่อเตรียมใจ สุดท้ายก็คลี่เปิดออก กวาดสายตาอ่านข้อความด้านในอย่างรวดเร็ว





ผ่าน!!!





เขาผ่านแล้ว!!!





“เยส!!” เด็กหนุ่มวัยสิบแปดร้องออกมาด้วยความดีใจ ถือกระดาษวิ่งเข้าไปในครัวอย่างลืมตัว “แม่ครับ! แม่! ผมเข้ามหาวิทยาลัย C ได้แล้ว!!”

แม่ที่กำลังอบขนมปังค่อยๆ ปิดเตา และหันมายิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน กล่าวยินดีกับเขาและบอกเขาว่าอีกครึ่งชั่วโมงให้มากินขนมปัง





ยังไม่จบแค่นั้น เขายังวิ่งไปบอกพ่อที่กำลังดูแข่งเบสบอล… แต่ปฏิกิริยาของผู้เป็นพ่อ ก็แค่พยักหน้ารับ.. และสนใจเกมบนทีวีต่อไป





ช่างแตกต่างกับตอนที่ซีมัสไปรบที่อิรักเอามากๆ ….





แดริลไม่ได้กล่าวอะไร เพียงเดินหันหลังกลับไปเงียบๆ แต่ขณะที่กำลังเดินจากไป เสียงของผู้เป็นบิดาก็กล่าวขึ้นประโยคหนึ่ง





“ได้ยินว่าเด็กบ้านซัมเมอร์ที่สนิทกับแกได้ทุนกีฬาไปเรียนที่ม. H ใช่ไหม อันดับสูงกว่าของแกอีกนี่ ฉันบอกแกแล้วให้หัดเล่นกีฬา ไม่รู้จักฟัง”





แดริลเพียงยืนนิ่งตรงนั้น ไม่ได้เถียง เขารู้ว่าพ่อเป็นคนแบบไหน ฉะนั้นป่วยการที่จะไปเถียงอะไร เพราะเถียงมาทั้งชีวิตแล้ว ก็ไม่อาจเปลี่ยนความคิดได้...





“....ครับ”





รับคำสั้นๆ จากนั้นก็ก้าวขึ้นบันไดเพื่อเข้าไปยังห้องของตนเอง ทุกย่างก้าวกลับรู้สึกหนักอึ้ง แตกต่างจากตอนเพิ่งเปิดซองจดหมายโดยสิ้นเชิง





ร่างที่สูงตามมาตรฐานเด็กหนุ่มวัยสิบแปดทิ้งตัวลงบนเตียง ระบายลมหายใจยาวและหลับตาลง





นานแล้วที่เขารู้สึกราวว่าโลกส่วนนี้ถูกปกครองโดยพวกนักกีฬาและพวกบ้าสงคราม… นานแล้วที่รู้สึกว่า ต่อให้ทำให้ตาย พ่อก็ไม่เห็นค่าเขา





ช่างเถอะ…





แดริลได้แต่คิดปลอบตัวเอง





อีกไม่นานเขาก็จะได้ไปนิวยอร์ก ออกห่างจากบ้านหลังนี้ที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกราวว่าตนเองเป็นตัวประหลาดที่ไม่ควรมีตัวตนอยู่ในสังคมเสียที





อีกไม่นานแล้ว… อีกไม่นาน





เขาก็จะได้หลุดพ้นจากเงามืดนี่เสียที





…………………….





งานพรอมเวียนมาถึงในเวลาไม่นาน… ทุกคนต่างกำลังจัดเตรียมและตกแต่งกันอย่างสุดความสามารถ แดริลเองก็วุ่นวายกับการคุมงานเช่นกัน ส่วนธีมของปีนี้คือ Yule Ball จากนิยายขายดีชื่อดังอันดับโลก แฮร์รี่ พอตเตอร์…





สภานักเรียนต้องหาของตกแต่งสีขาวจำนวนมากมาจัดวางในโรงยิม ทั้งต้นไม้ทาสีขาว ปูพรม ห้อยม่าน จัดแสง… การเนรมิตให้โรงยิมเก่ามีสภาพเป็นดินแดนในฝันไม่ใช่เรื่องง่าย จนแดริล เชน นึกอยากสาปแช่งไอ้คนที่โหวตเลือกธีมนี้กันมาเลยทีเดียว





ทางสภาตกลงกันแล้วว่าแดริลต้องเป็นพิธีกรร่วมกับมาร์คัส เขาไม่ได้มีโอกาสไปรับแคทจากบ้านหล่อนเสียด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่ต้องเตรียมความเรียบร้อยกันตั้งแต่บ่าย และซ้อมสคริปต์กันในช่วงเย็นก่อนงานเริ่ม

ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
บทที่ 9 (2/2)

แสงไฟกะพริบถูกแขวนขึ้นบนกิ่งไม้สีขาวตลอดทางเข้างาน เหล่าสภานักเรียนที่ทำงานกันจนแทบกระอักเลือดยืนมองโรงยิมที่แปรสภาพเป็นป่าน้ำแข็งสีขาวที่ดูมีมนต์ขลังแบบในหนังกันน้ำตาแทบไหล





แต่พอนึกถึงตอนที่ต้องเก็บกวาดแล้ว… ทุกคนก็น้ำตาแทบไหลอีกเช่นกัน





เมื่อเลยเวลาเริ่มงานไปได้สักพักแล้ว เด็กหนุ่มผมดำยืนรอหน้างานด้วยสีหน้าสงบ คอยมองนาฬิกาเพื่อรอเวลานัด ไม่นานนักก็พบกับแคทที่ใส่เดรสสีขาวเหลือบเงินยาวแตะพื้น พร้อมกับส้นเข็มสีเข้ากัน เดินตรงมาทางเขาทั้งรอยยิ้ม





วันนี้เจ้าหล่อนเกล้าผมสูง แต่งหน้าดูบรรจงกว่าปกติ แต่เดิมที่เป็นคนสวยอยู่แล้วก็ยิ่งดูสวยเป็นพิเศษ





“ฮาย ที่รักคะ รอนานไหม” เด็กสาวทำเป็นควงแขนแฟนหนุ่มปลอมของหล่อน

“ไม่นานหรอก งานยุ่งไม่ได้หยุดเลย” แคทฟังแล้วก็หัวเราะ

“ก็เป็นท่านประธานนี่นา…” เธอลากเด็กหนุ่มเข้างาน โบกมือทักทายคนโน้นคนนี้ ยังคงสวมบทบาทเป็นคู่รักกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“แอชลีย์ล่ะ?”

“มากับเพื่อนเธอ… จอห์นน่ะ รู้จักไหม หมอนั่นก็เป็นเกย์นะคะ ฉันแนะนำให้ได้” แดริลฟังแล้วก็กลอกตาเล็กน้อย

“แคท...“ พูดตอบเพื่อนสาวด้วยเสียงเหนื่อยใจ...

“รู้แล้วย่ะ นั่นชมรมวารสาร ยิ้มเดี๋ยวนี้เลย” เธอกระตุกแขนเรียกแรงๆ ก่อนจะหันไปทางกล้อง ฉีกยิ้มหวานที่สุดที่สามารถทำได้เพื่อให้ภาพในหนังสือรุ่นออกมาสวยที่สุด





แดริลเพียงยกยิ้มให้กล้องเล็กน้อย ปล่อยให้พวกวารสารถ่ายจนพอใจแล้วก็ลากแคทไปยังมุมอาหารและเครื่องดื่ม

หันไปอีกทีแม่เพื่อนตัวดีก็ยกกระจกขึ้นส่องเช็คเมคอัพแล้ว





“วันนี้ฉันต้องสวยที่สุด ตำแหน่งพรอมควีนต้องเป็นของฉัน”

“สวยแล้ว… สวยแล้ว…”





เพราะเป็นพิธีกร ประธานนักเรียนจึงโดนบังคับให้ใส่ชุดแดงพาดผ้าคลุมขอบเฟอร์ตามในหนัง แค่คุณภาพต่ำกว่าและพยายามเลียนแบบให้เหมือนที่สุด… ถูกต้อง มันเป็นชุดของวิคเตอร์ ครัม..





เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องคอสเพลย์มางานพรอม ดูคนอื่นก็ไม่เห็นมีใครจะแต่งแนวพ่อมดมาสักคน แต่รองประธานของเขาบอกว่าถ้าจะให้มันตามธีม ยังไงพิธีกรก็จำเป็นจะต้องตามธีมให้สุด





แดริลอยากร้องไห้ ส่วนมาร์คัสดูเป็นพวกไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว ต่อให้ต้องใส่ชุดตัวตลกขึ้นเวทีไปเป็นพิธีกร เจ้าตัวก็ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด





ดวงตาสีฟ้าสอดส่องหาคนบางคนท่ามกลางฝูงชน ซึ่งก็หาไม่ยากเท่าใดนักเพราะเจ้าคนที่ว่าสูงจนโดดเด่น สังเกตเห็นได้ง่าย

วินเซนต์ถูกล้อมรอบด้วยพวกเพื่อนทีมนักกีฬา กำลังยืนคุยกันที่มุมเครื่องดื่มอย่างท่าทางสนุกสนาน





“ฉันไปหาพวกเพื่อนสาวฉันก่อนล่ะ” แคทเธอรีน.. แค่เห็นหน้าวินซ์ก็เบ้ปากขอตัวเดินหนีไปแล้ว… ไวจนแดริลไม่ทันได้เอ่ยปากห้ามด้วยซ้ำ...





และจังหวะนั้น ดวงตาสีเขียวเข้มก็มองมาทางเขา… และหัวเราะพรืดออกมา เรียกความสนใจจากคนอื่นๆ ด้วย

“วิคเตอร์ ครัม? ถามจริง?” พอกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็พบว่าวินเซนต์ไม่ได้ควงใครมาด้วย ตามที่เจ้าตัวได้รับปากไว้จริงๆ





“ความคิดลี…. หมอนั่นอยากให้พิธีกรช่วยดึงให้มันตามธีม….” แดริลนวดขมับ ขณะเดินเข้าไปทักทายพวกนักกีฬาตัวสูงผิดมนุษย์มนาพวกนั้น ลากผ้าคลุมเฟอร์ไปด้วย…



“แบบนี้เขาเรียกว่าคอสเพลย์ใช่ไหม เจ๋งไปเลย” เจฟฟ์เองก็ขำ มือยกขึ้นตบบ่าคนตัวเล็กกว่าเต็มแรง





อันที่จริงแดริลไม่ได้ตัวเล็ก เมื่อยืนกับแคทที่สูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสี่เซนติเมตรและใส่ส้นสูง เขาก็ยังสูงกว่าเจ้าหล่อน แต่เมื่อมายืนกับไอ้พวกนักกีฬาตัวใหญ่ผิดมนุษย์มนาพวกนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นตัวเล็กไปถนัดตา…



“สีแดงก็ดีนะ” ครั้งนี้เป็นวินเซนต์พูด ทั้งยังลูบคางมองมาด้วยท่าทางหยอกล้อ คนฟังก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

“เดี๋ยวฉันต้องขึ้นเวทีไปประกาศแล้ว นายก็เตรียมตัวล่ะ” เห็นวินเซนต์ลอบถอนหายใจเล็กน้อยแดริลก็อดขำออกมาไม่ได้ ท่าทางไม่อยากเต้นรำกับสาวฮอทที่สุดในโรงเรียนนั่นอะไรกัน แตกต่างจากตอนพบกันครั้งแรกโดยสิ้นเชิงเลย เห็นท่าแบบนั้นก็อดเดินไปแตะไหล่และกระซิบเตือนข้างหูไม่ได้



“ระวังเท้านายด้วย” แดริล





“....” วินซ์





ท่านประธานโบกมือให้ ก่อนจะหนีไปขึ้นเวทีเตรียมประกาศตำแหน่งพรอมคิงและพรอมควีน ที่เอาเข้าจริงคนส่วนมากก็เดาได้อยู่แล้วว่าใครจะได้ จึงไม่ค่อยน่าลุ้นแต่อย่างใด





ไฟทั้งห้องดับลง เหลือไว้เพียงไฟที่ส่องไปยังเวที แดริลและมาร์คัสในชุดสีแดงพร้อมผ้าคลุมสะดุดตาเดินขึ้นเวทีพร้อมโบกมือให้ผู้ชมน้อยๆ





“สวัสดีทุกคน สวัสดี! เป็นยังไงกันบ้าง! ขอเสียงหน่อยเร็ว!!” มาร์คัสเป็นคนเปิดก่อน หมอนี่มีพรสวรรค์ในการคุมผู้ชมเป็นอย่างมาก ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเชียร์ดังมาจากทุกทาง “ยินดีต้อนรับสู่งานพรอมประจำปีของบลูฮิลล์ไฮ!!!"





แดริลแค่ยืนยิ้มวางมาดนิ่งๆ ตามที่ทำเป็นประจำ รอจนเสียงเชียร์และโห่ร้องเงียบลงแล้วถึงเริ่มพูดบ้าง





“ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณสภานักเรียนและอาจารย์ รวมทั้งสต๊าฟของโรงเรียนทุกคนที่มีส่วนร่วมในการจัดงานนี้” เสียงฝูงชนค่อยๆ เงียบลงเป็นการตั้งใจฟังแทน แดริลยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อยขณะพูดใส่ไมค์ “...และต่อไปนี้… จะเป็นการประกาศชื่อพรอมคิงและพรอมควีนในปีนี้ ทุกคนพร้อมกันหรือยัง!? ”





“พร้อม!!” เสียงร้องดังมาจากทุกทาง ทำเอาท่านประธานสภานักเรียนหัวเราะเบา หันไปมองลีที่ยืนชูนิ้วโป้งอยู่ข้างเวทีเล็กน้อย แล้วก็โยนบทให้มาร์คัสต่อ… “มาร์คัส นายมีรายชื่อพร้อมแล้วใช่ไหม?”





“แน่นอนท่านประธาน” เด็กหนุ่มผิวสีดึงซองกระดาษออกมาจากในผ้าคลุม “แต่ โอ๊ะ เดี๋ยวก่อน จะรีบประกาศมันก็ไม่ได้ลุ้นน่ะสิ เราควรคุยกับทุกคนกันก่อนหรือเปล่า? ”





“จะเอาอย่างนั้นก็ได้ คุยเรื่องอะไรดีล่ะ? ” แดริล





“เรื่องชุดที่เราใส่กันตอนนี้เป็นไง ใครรู้ไหมว่าไอ้ชุดสีแดงแสบตาที่พวกเราใส่อยู่นี่คือชุดของใคร” ทุกคนตะโกนตอบมาแทบเป็นเสียงเดียวกันว่า วิคเตอร์ ครัม…. อาจเพราะหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคสี่เพิ่งจะประกาศฉายในสิ้นปีนี้เอง… กระแสกำลังมา ธีมปีนี้ก็เลยเป็นยูลบอลตามหนังสือ...





“ไม่เอาน่า มาร์คัส เรื่องชุดนั่นใครๆ ก็คงรู้กันอยู่” แดริล





“แหง แต่เหมือนพวกเราจะตามธีมมันกันอยู่สองคนนะแดริล” มาร์คัส





“เหมือนทุกคนจะรอไม่ไหวแล้ว นายก็ประกาศไปเถอะ” แดริล





ขณะนั้นเอง แอนน์ก็แอบย่องขึ้นมาด้านหลังพวกเขาสองคน พร้อมมงกุฎของคิงและควีนในปีนี้ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ของราคาแพงอะไร…. เป็นของเล่นตามงบด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนสาวๆ จะอยากแย่งชิงมงกุฎนี้กันมาก





“เอาล่ะ… ถ้าอย่างนั้น ขอดนตรีหน่อยดีเจ!” มาร์คัสหันไปทางดีเจที่กดเปิดเพลงให้ทันทีอย่างรู้งาน เสียงกลองบรรเลงขึ้นเพื่อเพิ่มบรรยากาศให้ทุกคนช่วยกันลุ้น “แล้วพรอมคิงปีนี้ก็คือ…. วินเซนต์ ซัมเมอร์!! ยินดีด้วยวินซ์!!”





แสงไฟฉายไปยังร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่กลางห้อง รอยยิ้มมั่นใจนั่นคล้ายจะบ่งบอกว่าแน่นอนสิ ตำแหน่งนี้มันต้องเป็นของฉันอยู่แล้ว (...)





วินเซนต์ในชุดสูทก้าวยาวๆ ขึ้นเวที เดินมาถึงก็ก้มมองประธานนักเรียนที่ถือมงกุฎในมือ เอื้อมแขนเล็กน้อยเพื่อวางมันลงบนผมสีทองของอีกฝ่าย

แดริลยื่นไมค์ให้พรอมคิงกล่าวอะไรกับเหล่าผู้คนล่างเวทีที่กำลังส่งเสียงเชียร์กันอึกทึก โดยเฉพาะพวกทีมอเมริกันฟุตบอลตัวยักษ์ตรงนั้น...





อันที่จริงมันก็แปลกมากที่ปีนี้พรอมคิงกลับไม่ได้ควงสาวมาสักคน… หลายคนก็ว่าแปลก แต่เจ้าตัวพอใจให้เป็นแบบนั้นใครจะไปว่าอะไรได้





“ขอบคุณพวกนายทุกคนที่โหวตให้ฉัน… สามปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ดีมาก ฉันดีใจที่ได้เจอและรู้จักพวกนายทุกคน ขอบใจนะ” พูดแค่สั้นๆ ก็เรียกเสียงตอบกลับดังมาก วินเซนต์ไม่ใช่พวกชอบพูดอะไรยืดยาวอยู่แล้ว ยื่นไมค์คืนแทบจะทันทีเหมือนเขาไม่ได้รู้สึกดีใจกับตำแหน่งที่ได้อะไรขนาดนั้น… แต่ทุกคนก็รักหมอนี่อยู่ดี



“พรอมคิงก็จบไปแล้ว… ต่อไปเรามาลุ้นตำแหน่งพรอมควีนกันดีกว่าว่าจะเป็นของสาวคนไหน! ”มาร์คัสพูดต่อทันทีเพื่อไม่ให้เสียจังหวะ…





และก็ตามคาด คนที่เป็นพรอมควีนคือแคทเธอรีน บราวน์





เด็กสาวที่ตอนนั้นยืนอยู่กับแอชลีย์ปาดน้ำตากุมอกปลาบปลื้มอย่างเสแสร้งสุดๆ (ในสายตาแดริล) ท่านประธานลอบหันหนีไปกลอกตาแทบไม่ทัน เจ้าหล่อนเดินนวยนาดลากกระโปรงยาวขึ้นมารับมงกุฎและไมโครโฟนไปอย่างรู้งานราวว่าซ้อมมาแล้วเป็นร้อยรอบ…





แถมสิ่งที่พูดออกไมค์ก็ยาวอย่างกับสุนทรพจน์ บ่งบอกว่าเขียนบทมาและท่องมาดีมาก… แดริลอดกลอกตาไม่ได้จริงๆ กับที่เจ้าหล่อนว่า ‘ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย’ ‘เหลือเชื่อมาก’ ‘ฉันดีใจและเซอร์ไพรส์มากค่ะ’





แม่คนตอแหล….





ดีเจเริ่มเปิดเพลง วินเซนต์ผายมือพร้อมทั้งยิ้มบาง…. หากรู้จักกับอีกฝ่ายดีจะมองออกทันทีว่านั่นยิ้มเสแสร้ง… แคทเธอรีนเองก็แสร้งฉีกยิ้มหวานหยด พากันไปเปิดฟลอร์เต้นรำ





เพลงที่ดีเจเลือกเปิดเป็นเพลงบรรเลงช้า คนสองคนที่กำลังเต้นรำกันช่างดูเหมาะสมกันเหลือเกิน





หากแต่พวกเขาก็รู้กันดีว่าความเป็นจริงเบื้องหลังภาพอันสวยงามนั้นคือวินเซนต์กำลังชักเท้าหลบแคท ส่วนแคทก็แทบจะโดนจับยกจากพื้นเพื่อกันไม่ให้เจ้าหล่อนกระทืบรองเท้าหนังของคู่เต้น





แดริล เชน ดูแล้วก็อดยกยิ้มขำกับภาพอันสวยงามนั่น ที่หากสังเกตรายละเอียดดีๆ แล้วจะรู้ว่ามันช่างน่าปวดหัวไม่ได้





แต่ในใจของเขาก็เศร้าอยู่บ้าง ที่ไม่อาจยืนเคียงข้างวินเซนต์ได้ในเวลาแบบนี้… สถานที่แบบนี้





เขาไม่สามารถเป็นคนที่วินซ์แนะนำให้ใครรู้จักในฐานะคนรักอย่างน่าภาคภูมิใจได้ และไม่ว่าจะพยายามมากกว่านี้อีกสักกี่เท่า ก็ไม่มีทางจะเป็น ในใจรู้ดี แต่เด็กหนุ่มก็ยังดึงดันที่จะอยู่...





พอเพลงจบคู่พรอมคิงและควีนคู่นั้นก็แยกจากกันแทบจะทันที ทำเอาคนบนเวทียิ้มขำ แดริลวางไมค์ลง ตบบ่าเบาๆ วานให้มาร์คัสจัดการรับช่วงต่อและลงจากเวทีไปตรวจดูความเรียบร้อยส่วนอื่น จากนั้นไม่นานก็โดนแคทลากไปที่ฟลอร์เต้นรำ ยังคงจำเป็นต้องแสดงเป็นแฟนหนุ่มแสนสมบูรณ์แบบต่อไป





“ชิ ฉันเหยียบไม่โดน”





ได้ยินเสียงกระซิบแบบเจ็บใจนั่นแล้วแดริลก็หัวเราะเบา ขณะที่ดวงตาสีฟ้าสอดส่องคอยจะหาแต่วินเซนต์





ตั้งแต่ต้นจนจบงาน นอกจากแคทแล้วคนคนนั้นไม่ได้เต้นรำกับใครอีกเลย...





แดริลทั้งดีใจและเสียใจไปในเวลาเดียวกัน..







…………..





หลังงานพรอม ทุกคนก็ทยอยกันไปปาร์ตี้อาฟเตอร์พรอมซึ่งจัดกันที่คลับในเมือง





เด็กหนุ่มเปลี่ยนออกจากชุดวิคเตอร์ ครัมสีแสบตาเป็นสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงธรรมดา แล้วก็โดนคนรักที่ยืนรออยู่แล้วจับลากขึ้นรถแทบจะทันที





“รอนานไหม?” แดริล

“ไม่หรอก” วินซ์

“นายไม่ไปกับพวกนั้นจะไม่เป็นไรเหรอ…” แดริล

“ใครจะว่าอะไรฉันล่ะ แล้วนายไม่ไปกับแคทจะดี? ” วินซ์

“แม่ควีนบีนั่นทิ้งฉันไปกับแก๊งเชียร์ลีดเดอร์แล้ว” แดริลหัวเราะเบา





จู่ๆ ริมฝีปากก็ถูกแนบจูบ… เมื่อผละออกร่างสูงกว่าก็เอ่ยปากชวนกึ่งบังคับ





“ไปดูวิวกัน” วินซ์

“แล้วอาฟเตอร์ปาร์ตี้ล่ะ?” แดริล

“สายหน่อยไม่มีใครว่าหรอก” วินซ์





พรอมคิงว่าแบบนั้นแล้วเขาจะพูดอะไรได้… เด็กหนุ่มพยักหน้ารับน้อยๆ รถก็แล่นออกไปอย่างเชื่องช้า





ในหัวสมองของแดริลมีหลายเรื่องที่ต้องคิด… หลังจากนี้เขาต้องย้ายไปนิวยอร์ก วินเซนต์เองก็ไปไกลถึงแมตซาชูเซตส์ ระยะเวลาเดินทางด้วยรถก็ห่างกันเกือบห้าชั่วโมงเข้าไปแล้ว..





จะไปรอดหรือเปล่านะ...



ดวงตาสีฟ้าลอบมองคนที่กำลังขับรถอยู่ข้างๆ ที่ไม่ได้แสดงท่าทีบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรเลย…





เรียนจบแล้วเราจะเลิกกันไหม





แดริลไม่กล้าที่จะถาม เพราะเขากลัวคำตอบ สุดท้ายจึงกล้ำกลืนความสงสัยกลับลงคอ และตัดสินใจเก็บมันไว้แบบนั้น





คิดมากจนรู้ตัวอีกทีรถคันสีแดงก็จอดที่หน้าสวนสาธารณะ วินเซนต์เปิดประตูก้าวเดินลงไปก่อนจนผู้โดยสารตั้งตัวไม่ทัน รีบปลดเข็มขัดนิรภัยตามลงไป





ร่างสูงใหญ่เดินเร็วจนน่าใจหาย เสียจนเขาต้องก้าวให้ไวขึ้นเพื่อตามให้ทัน





สวนสาธารณะยามดึกแบบนี้แทบไม่มีคน วินซ์พาอีกฝ่ายเดินมาจนถึงมุมลับตาที่ริมน้ำ กว่าจะตามทันเด็กหนุ่มก็เริ่มหอบแล้ว





“ช้าหน่อยสิ วินซ์”





ยังไม่ทันได้พักหายใจ รู้ตัวเอวก็โดนรวบจับ มือข้างหนึ่งถูกยึดไว้เช่นกัน…





ท่านี้มัน…





“นายจะทำอะไร...”

“เห็นในงาน สายตาเหมือนนายอยากเต้นรำกับฉัน” ฟังจบแดริลก็ก้มหน้าหลบตาทันที แต่แก้มที่ขึ้นสีน้อยๆ บ่งบอกว่าเขาถูกจับได้แบบคาหนังคาเขาแล้ว…

“แล้วทำไมฉันต้องเต้นท่าฝ่ายหญิงด้วย” แดริลหรี่ตา

“ก็นายเป็นเจ้าหญิง” วินซ์

“ฉันเป็นผู้ชาย! ที่! โต! แล้ว!” แดริล

“ฉันก็ผู้ชาย ใจคอนายจะให้ฉันเต้นท่าฝ่ายหญิงเหรอ…” วินซ์

“ใช่!” แดริล

“ฉันไม่อยาก… แต่ฉันอยากเต้นรำกับนาย” ดวงตาสีเขียวสบมองอย่างจริงจัง กึ่งขอร้อง กึ่งบีบบังคับ

“....” เด็กหนุ่มผมดำนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ มุ่นคิ้วน้อยๆ อย่างไม่ชอบใจ แต่พอมองสายตาของคนรักนานเข้า คำว่า ‘ไม่เอา’ ที่ติดอยู่บนริมฝีปากก็ค่อยๆ จะถูกกลืนกลับลงท้องไป…





ก็ใครใช้ให้เขาเป็นคนที่ตามใจแฟนจนติดเป็นนิสัยขนาดนี้...





“...อยากทำอะไรก็ทำเถอะ” แดริล

“นั่นน่ะ นายไม่ต้องบอกฉันก็ทำอยู่แล้ว” วินซ์ฉีกยิ้ม





นี่นาย…





รู้ตัวอีกทีก็โดนจับให้วางมือบนบ่าหนา ขาก้าวตามไปแบบช่วยไม่ได้





ในสวนที่เงียบสงัด มีเพียงแสงจันทร์กับแสงไฟจากเสาไฟที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เงียบสงัดไม่มีเสียงดนตรี เด็กหนุ่มกำลังไล่ตามจังหวะที่ไม่อาจได้ยินด้วยหู

ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแบบนี้มาแต่เริ่ม วินเซนต์เป็นคนกำหนดว่าจะไปเร็วขนาดไหน ส่วนเขาก็ถูกดึงให้ตามมาเรื่อยๅจนลงเอยที่จุดนี้ …





แต่วินซ์ก็คือวินซ์แบบนี้… มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้





เด็กหนุ่มผมดำเงยหน้าขึ้น คำหนึ่งหลุดออกจากปาก เป็นคำที่เขาเคยตั้งใจไว้ ว่าจะไม่พูด





“ฉันรักนาย… วินซ์”





จังหวะการก้าวขาชะงักไปเล็กน้อย แวบหนึ่งที่แดริลเห็นความสับสนใจดวงตาสีเขียวคู่นั้น แล้วจู่ๆ ก็ไม่เห็นอีกเพราะร่างไม่หนาไม่บางถูกดึงเข้าไปกอด จมลงกับอกอีกฝ่าย





วินเซนต์กอดแน่นแทบจนเขาหายใจไม่ออก





“อืม” อีกฝ่ายตอบรับเพียงเท่านั้น… และก็ไม่ได้กล่าวคำพูดใดอีก





เป็นความทรงจำในปีนั้นที่แดริลจำได้ดี เก้าปีต่อมาก็ยังจำได้ดี... มีแค่คำว่า ‘...อืม’ ที่แสนเรียบง่ายเท่านั้น





และอาจเป็นจังหวะนั้นเอง… ที่ในใจของเขาสังหรณ์ไม่ดีเอาเสียเลย

------------------------------------------

สามารถติดตามอัพเดตได้จากทวิตเตอร์เราที่แอค @anonymmeow นะคะ ขอบคุณค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2019 21:23:37 โดย anonymouslycat »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :pig4:  เวลาแห่งการจากลามาถึงแล้ว

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ไม่ใช่มาหลอกคบกับน้องเพราะเพื่อนท้าหรอกนะ นิสัยเด็กเมกันเป็นงี้ซะด้วยสิ ฟฟฟฟฟฟ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-12-2018 20:04:46 โดย nonlapan »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชอบบบบบบบบบ........   :mew1:
พล็อตเรื่องดี  เขียนดี นิยายคุณภาพ  พื้นฐานชีวิตจริงในสังคม  :katai2-1:  :katai2-1:  :katai2-1:
ตามอย่างใจจดจ่อ   :z3:

วินซ์  แดริล   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
บทที่ 10 “End of The Road” (1/2)







นิวยอร์กเป็นเมืองป่าคอนกรีตตามที่คนได้กล่าวกัน พอเงยมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็จะเห็นสีเทาขมุกขมัวที่ผสมปนมากับสีฟ้าอ่อน





แคท และแอชลีย์ตัดสินใจเช่าอพาร์ทเมนต์เล็กๆ ที่มีห้องนั่งเล่นรวม ห้องครัว และห้องนอนสองห้อง อยู่ด้วยกันในย่านที่จัดว่าไม่ดีไม่เลวนัก ซึ่งในช่วงวันหยุดแดริลก็มักจะมาเยี่ยมพวกหล่อนเสมอ บางครั้งก็นอนค้างในห้องนอนว่าง





อันที่จริงเขาก็คิดว่าเมื่อจบปีหนึ่งก็จะทำเรื่องย้ายออกจากหอมหาวิทยาลัยมาอาศัยอยู่กับสองสาวเช่นกัน การหารสามค่าอพาร์ทเมนต์ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และตัวเขาเองก็ไม่ได้ชอบชีวิตหอพักเพราะเหตุผลด้านความเป็นส่วนตัว ติดแต่เป็นธรรมเนียมบังคับว่าเด็กปีหนึ่งทุกคนต้องอยู่หอใน





เพราะค่าเช่าห้องในมหานครแห่งนี้นั้นแพงแสนแพง หากไปย่านที่ถูกกว่านี้ก็มีการก่อเหตุอาชญกรรมสูง เรียกได้ว่าได้ยินเสียงปืนลั่นกับเสียงหวอของรถตำรวจกันเป็นเรื่องปกติ หากจะย้ายออกมาอยู่ข้างนอก การมาหารสามค่าเช่าแบบนี้ก็จัดว่าเป็นอะไรที่คุ้มกว่า แถมที่ตั้งของอพาร์ทเมนต์แห่งนี้ก็ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย C มากนัก





… ส่วนคำถามว่าแคทกับแอชลีย์มาทำอะไรที่นิวยอร์กนั้น เรื่องมันมีอยู่ว่า แคทใฝ่ฝันจะเป็นนางแบบอาชีพบนรันเวย์ระดับโลกมานานแล้ว อันที่จริงเขาไม่เคยเล่า ว่าตั้งแต่สมัยเรียน แคทรับงานพิเศษถ่ายแบบให้กับแบรนด์เสื้อผ้าเล็กๆ อยู่หลายแบรนด์... แต่เธอต้องการมากกว่านั้น และบังเอิญว่าเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่ธุรกิจแฟชั่นเฟื่องฟู เจ้าหล่อนจึงมาแสวงโชคเสี่ยงดวง ไปออดิชั่นวันเว้นวันเพื่อเริ่มไต่เต้าในวงการ





ส่วนวันไหนไม่ได้ไปออดิชั่นหางาน ก็จะทำงานพิเศษเสิร์ฟอาหารเพื่อมาจ่ายค่ากินอยู่ แต่เจ้าหล่อนก็ไม่ได้เป็นสาวเสิร์ฟนานนักเพราะถึงนิวยอร์กไม่กี่เดือน แคทก็ได้เข้าวงการนางแบบแล้ว แต่นั่นเป็นเรื่องในภายหลัง





ส่วนแอชลีย์มาเรียนสายแฟชั่นที่โรงเรียนด้านแฟชั่นชื่อดังในนิวยอร์ก เธอเป็นสาวร่างเล็กผมแดง สวมแว่นตา ชอบถักเปียไม่ก็ผูกแกละสองข้าง ชอบใส่เสื้อผ้าไซส์ใหญ่กว่าตัวเองหนึ่งไซส์ ให้ความรู้สึกน่ารักน่าเอ็นดู บุคลิกก็เป็นคนพูดจาน่าฟัง น้ำเสียงอ่อนโยนดูใส่ใจคนอื่น อันที่จริงก็ไม่ใช่ไทป์สาวเชียร์ตามปกติ แต่ที่แอชเข้าทีมเชียร์ก็เพราะแคท





...แต่หากจะให้นินทา สาวร่างเล็กคนนี้น่ะมีอะไรมากกว่าภายนอกที่ดูนุ่มนิ่ม… แคทกลัวเจ้าหล่อนจะตายไป





“อรุณสวัสดิ์จ้ะแดริล” หญิงสาวร่างเล็กคนนั้นมักส่งยิ้มสดใสมาให้ในยามเช้าขณะที่ทอดไข่ดาวเป็นอาหารเช้าให้ทุกคนกิน ให้ความรู้สึกคล้ายๆ คุณแม่ไซส์มินิอยู่ในที





“อรุณสวัสดิ์ แอช” แดริลยิ้มและตอบคำ ขณะนั่งลงบนเก้าอี้ในครัว รอเวลาที่แคทจะตื่นนอนและออกมาจากห้องเสียที.. ซึ่งไม่นานนักแม่ควีนบีก็ออกจากห้องมาในสภาพผมเผ้ากระเซิงกับชุดนอน ไม่สนใจจะรักษาภาพลักษณ์แต่อย่างใด





“มอร์นิ่ง เรจิน่า จอร์จ” แดริล

“หุบปากไปเลยย่ะ ฉันเกลียดหนังเรื่องนั้น” แคท





เรจิน่า จอร์จ คือคาร์แรคเตอร์นางร้ายจากหนังเรื่อง Mean Girls ที่โด่งดังมากตั้งแต่ปี2004 ตลอดช่วงปีซีเนียร์แคทเธอรีนบราวน์ถูกแซวว่ามีความเป็นมีนเกิร์ลเกือบจะตลอดปี จนเจ้าหล่อนเกลียดหนังเรื่องนั้นไปเลย





หญิงสาวร่างสูงเพรียวนั่งลงบนเก้าอี้ รออาหารเช้าของหล่อน หันมามองเพื่อนเกย์ของตัวเองด้วยสีหน้าเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน เพื่อพบว่าชายหนุ่มกำลังก้มลงกดมือถือ





“ส่งข้อความอยู่เหรอ? ” แคท

“อืม… หาวินซ์น่ะ”

“....ยังจะพยายามอีกเหรอ…” หญิงสาวเป่าโกโก้ในถ้วยของตนเองให้หายร้อน “เขาไม่ตอบมากี่อาทิตย์แล้วล่ะ? ”

“....2” ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะให้คำตอบ

“อืม แล้วล่าสุดก็บอกว่า ‘ยุ่งอยู่ ไว้ทีหลัง’ แล้วก็หายไปเลยใช่ไหมล่ะ”

“....”





แคทเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาเป็นกังวล





“เอาจริงๆ นะ… ที่รัก--” ยังไม่ทันที่แคทจะพูดจบประโยค จานใส่ขนมปังธัญพืช สลัด และลวกแบบกึ่งสุกอย่างที่เจ้าหล่อนชอบก็ถูกวางลงตรงหน้าเสียก่อน



“อาหารเช้าของเธอจ้ะแคท” แอชลีย์ยิ้มหวาน แคทมีสีหน้าดูเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ขัด ก้มหน้าก้มตากินโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ…





แดริลรู้ดีว่าแอชลีย์คงจะกันไม่ให้แคทมายุ่งเรื่องนี้มากเกินไปด้วยความเป็นห่วง… และเขาก็เข้าใจ





แคทเธอรีนพูดมาหลายทีแล้วว่าการห่างกันขาดนี้มันก็คือการเลิกกันโดยไม่ได้พูดออกมานั่นละ.. แต่เขาก็ยังเฝ้าบอกตนเองซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่ามหาวิทยาลัยปีแรกนั้นงานยุ่งเสมอ อีกทั้งวินเซนต์อยู่ทีมกีฬาด้วยย่อมต้องยิ่งยุ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่





….จะไม่ว่างมาตอบก็ไม่แปลกหรอกมั้ง





เธอน่ะมันตาบอด บอดไปถึงคอมมอนเซนส์แล้ว เสียงแคทในหัวเขาแย้งขึ้นมา…





อันที่จริงแดริลก็สังหรณ์ไม่ดี… ไม่ดีมาตั้งแต่คืนงานพรอม… แต่เขาตัดสินใจที่จะกลืนความรู้สึกนั้นลงไปและปล่อยมันทิ้งเอาไว้ มองข้ามและไม่คิดจะเก็บมันขึ้นมาขบคิด





มันไม่ได้มีการบอกเลิก… กระทั่งวันสุดท้ายของไฮสคูล วินเซนต์ก็ยังจับมือของเขาเอาไว้ และกอดแน่นเสียจนอึดอัด





หลังจากนั้นข้อความที่ถูกส่งเข้ามาทั้งทางมือถือและโปรแกรมเมสเซนเจอร์ก็ลดจำนวนลงเรื่อยๆ …





แรกเริ่มก็มีการตอบรับบ้าง คุยถามไถ่กันอยู่บ้าง แต่ก็ค่อยๆ ลดจำนวนลงทุกที จนสุดท้ายวินเซนต์ก็แทบไม่ตอบ… และไม่ตอบอีกเลย





“ยอมรับความจริงเถอะ แดริล” แคทพูดประโยคนี้มาตั้งแต่อาทิตย์ก่อน





แต่ใจส่วนหนึ่งเขายังอยากจะเชื่อ… เพราะทุกครั้งที่เขาสงสัยหรือเคลือบแคลง คนคนนั้นจะดูหงุดหงิดและไม่สบายใจ





ตลอดอาทิตย์ต่อมาแดริลส่งข้อความไปอีกสองครั้ง ซึ่งไม่ได้รับการตอบกลับแต่อย่างใด… แรกเริ่มแดริลก็นึกกังวลว่าเกิดอะไรขึ้นกับวินเซนต์หรือไม่ แต่พอเห็นภาพอัปเดตในโซเชียลมีเดียก็รู้ว่าไม่ได้เกิดอะไรร้ายแรงขึ้นทั้งนั้น...



ประกอบกับตัวเขาค่อนข้างยุ่งเพราะเรื่องวุ่นวายที่เกี่ยวกับแคทเธอรีน หลังจากนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้พยายามติดต่อไปอีกทั้งอาทิตย์...





ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แคทยังทำงานเป็นสาวเสิร์ฟอยู่ร้านอาหารแนวคาเฟ่ท้องถิ่นใกล้อพาร์ทเมนต์… เจ้าหล่อนรู้ตัวมานานแล้วว่ามีสตอล์กเกอร์คอยตาม ในทุกวันยามดึกหลังจากที่หล่อนเลิกงาน แดริลจะออกไปรับเธอเสมอ





แต่ในอาทิตย์นี้มีวันหนึ่งที่เขาต้องทำโปรเจกต์ส่งอาจารย์ ทำให้ไปรับแคทสาย ไอ้โรคจิตใช้จังหวะนั้นคุกคามเธอ แต่ยังเคราะห์ดีที่ชายหนุ่มไปช่วยไว้ทัน ซัดไอ้สตอล์กเกอร์ไปหลายหมัด… แต่ในจังหวะที่ไม่ทันระวัง ไอ้ชั่วนั่นควักมีดพกออกมาจ้วงแทง ทำให้แดริลโดนเข้าไปหนึ่งแผลลึก ก่อนที่เจ้าของร้านสะดวกซื้อแถวนั้นจะเรียกตำรวจมาจัดการ





ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาล แคทเธอรีนร้องไห้น้ำตานองหน้าแบบไม่ห่วงสวย นั่งจับมือเขาทั้งตัวสั่นแบบที่แดริลไม่เคยเห็น ชายหนุ่มต้องบีบมือเธอเบาๆ บอกซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าไม่เป็นไร แม้จะเจ็บจนน้ำตาแทบเล็ด แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกเพราะกลัวว่าจะทำให้แคทตื่นตกใจกว่าเดิม





... จนกระทั่งแอชลีย์มา เจ้าหล่อนถึงสงบลง





แดริลมองหญิงสาวทั้งสอง… มองแอชลีย์ที่กอดแคทเอาไว้กระทั่งเพื่อนสนิทของเขาหยุดร้องไห้ บาดแผลที่แขนเจ็บแปลบ แล้วจังหวะนั้นจู่ๆ ก็นึกถึงวินเซนต์ขึ้นมา…





ชายหนุ่มใช้แขนข้างที่ไม่ถนัดหยิบมือถือขึ้นมากดอ่านข้อความ… ก็ยังคงพบว่ากล่องข้อความว่างเปล่าอยู่ดี





อันที่จริงก็รู้สึกได้ ว่าในใจรู้สึกเย็นเยียบขึ้นทุกวัน…





….แต่เขาไม่สามารถจบมันไปได้ทั้งแบบนี้ ยิ่งไม่สามารถปล่อยวางได้ทั้งที่มันยังค้างคา





ในวันต่อมา… แดริลจึงโทรหาลีที่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับวินเซนต์





….และในอาทิตย์ถัดไป เขาขับรถไปแมตซาชูเซตส์





“ก็ตามที่ฉันบอกนายไปทางโทรศัพท์นั่นแหละ… อยู่คนละคณะฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนักหรอก ฉันเรียนคณะฟิสิกส์ ส่วนหมอนั่นน่ะเรียนคณะสังคมวิทยา ไม่ได้เรียนด้วยกันหรอก” ลียังคงกล่าวเสียงเรียบหน้าตายแบบทุกครั้ง มือถือโค้กกระป๋อง ค่อยๆ จิบมันช้าๆ “แถมอยู่กันคนละหออีกต่างหาก”





“อืม… แต่นายพอพาฉันเข้าหอของวินซ์ได้ไหม” ชายหนุ่มชาวเอเชียมองอย่างสงสัย เกาหัวอย่างไม่ค่อยเข้าใจ





“นายก็ออกจะสนิทกับเขา ทำไมไม่เรียกออกมาล่ะ?”





คำถามนั้นแดริลตอบออกไปไม่ได้… จนแสดงออกมาทางสีหน้าว่าลำบากใจ





ข้อความไม่ตอบ… มือถือคงยิ่งไม่รับ





“ช่างเถอะเพื่อน… ไว้นายอยากเล่าเมื่อไหร่ค่อยเล่าแล้วกัน ฉันก็พอมีเพื่อนที่อยู่หอนั้นอยู่หรอก ขอให้ช่วยพาเข้าไปก็พอได้” ลีตบบ่าเพื่อนเบาๆ สีหน้าบ่งบอกอารมณ์น้อยมากแบบที่เป็นลี

“...ขอบใจ… จริงๆ นะ ลี” ขอบใจ… ที่ไม่กดดันให้ฉันต้องอธิบายอะไร

“ยังไงเราก็เพื่อนกันนี่ แต่ไว้ฉันไปนิวยอร์กฉันจะไปอาศัยนายพาเที่ยวบ้างนะ” ศอกของชายหนุ่มชาวเอเชียถองเบาๆ จากนั้นลีจึงลากเพื่อนสมัยไฮสคูลไปแนะนำให้เพื่อนอีกหลายคนรู้จัก





คนที่พาพวกเขาเข้าหอของวินเซนต์เป็นครึ่งเอเชีย และเป็นนักกีฬาทีมบาสเกตบอลชายของมหาลัยฯ … เหมือนว่าลีจะมีความสามารถในการเข้าหากลุ่มคนชาวเอเชียเสมอ ไม่รู้ทำไม… เห็นว่าเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยมาไม่นานก็ไปเข้าพวกชมรมคนจีน ชมรมเอเชีย-อเมริกัน และทำกิจกรรมอย่างจริงจังแล้ว...





“ยังไงก็ขอบใจนะชิน” ลีพูดขึ้นขณะที่พวกเขาอยู่ที่ประตูหน้าของหอ

“แค่นี้เอง ได้เสมอเลยบรูซ” ...บรูซคือใครน่ะเหรอ? บรูซก็คือลี ใช่แล้ว ชื่อต้นของลีก็คือบรูซ บรูซ ลีไงล่ะ…. แต่เจ้าตัวเกลียดการถูกเรียกว่า บรูซ ลี มากจนแนะนำกับทุกคนว่าให้เรียกตนเองว่าลีแล้วไม่ค่อยจะยอมใช้ชื่อบรูซ





นานแล้วที่แดริลไม่ได้ยินใครเรียกหมอนี่ว่า บรูซ …..





ลีขยับแว่นเล็กน้อย หว่างคิ้วมุ่นลงไม่ชอบใจ





“ฉันชื่อลี…”

“ได้เลย บรูซ ลี!” เหมือนนักกีฬาลูกครึ่งเอเชียคนนั้นจะชอบใจกับความ บรูซ ลี นี้มาจนเรียกเสียเต็มยศ ส่วนเจ้าขอชื่อก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเอือมระอา



แดริลตบบ่าเพื่อนให้กำลังใจ… พ่อแม่ทำร้ายด้วยชื่อประเภทนี้มันช่างน่าเห็นใจ..





หอพักมหาวิทยาลัยที่นี่ไม่ได้หรูหราไปกว่าหอที่เขาอยู่นัก ค่อนข้างเก่าตามสภาพหอทั่วไป และก็มีเสียงเอะอะตามทางเดินเหมือนทุกๆ ที่ซึ่งผู้ชายวัยคึกคะนองมาอยู่รวมกัน





การก้าวขึ้นบันไดแต่ละก้าวช่างหนักอึ้งสำหรับแดริล





“อันที่จริงฉันก็ชอบมาชวนหมอนั่นไปดูหนังโป๊เป็นเพื่อนกันบ่อยๆ ไปเคาะประตูเรียกเลยก็ได้นะ” ชิน กัลละเวย์ ชายหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกันพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงแบบไม่ได้สนใจบรรยากาศที่หนักอึ้งเลยแม้แต่น้อย..





ลีส่งสายตามาคล้ายจะบอกว่า ทำใจนะ หมอนี่มันก็เป็นแบบนี้แหละ… ซึ่งเขาก็ส่ายหัวยิ้มๆ อย่างไม่ถือสานัก





ในที่สุดคนทั้งสามก็มาหยุดยืนหน้าประตูสีน้ำตาลบานหนึ่งที่มีหมายเลขห้องอยู่ด้านหน้า ยังไม่ทันจะได้เตรียมใจ ชินผู้ซึ่งสูงพอๆ กับแดริลก็เดินเข้าไปเคาะประตูรัวๆ แบบไม่นึกเกรงใจใครทั้งนั้น





“เฮ้ วินซ์ เฮ้ เฮ้ เฮ้ เฮ้ เฮ้ พวกกกก นี่ฉันเองชินไง! นายมีแขกมาเยี่ยมแน่ะ!! ”





คำพูดและการกระทำทำให้ลีถึงกับเฟสปาล์ม…





“ขอโทษนะ เพื่อนฉันที่อยู่หอนี้ดันมีแต่ไอ้ทึ่มนี่… มันเข้ามาด้วยทุนบาสเกตบอลน่ะ….” ลีกระซิบบอกเพื่อนอย่างทนไม่ไหว





จู่ๆ ประตูก็เปิดออก มาพร้อมกับเจ้าของห้องที่ดูจะกำลังโกรธจัด





“หุบปาก!! ชิน กัลละเวย์! ฉันบอกนายกี่ทีแล้วว่า--” ดวงตาสีเขียวคู่นั้นหยุดมองที่ร่างด้านหลังคาเคาะประตู จากที่กำลังตะโกนใส่อารมณ์อยู่ก็ขาดช่วง





แดริลมองคนที่เขาไม่ได้พบมาหลายเดือน ซึมซับเสียงที่ไม่ได้ฟังมานาน….





วินเซนต์อยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน บนร่างกายมีร่องรอยแดงๆ ทั่วตัว และบนอกเห็นรอยกัดที่ยังดูใหม่อย่างชัดเจน





จู่ๆ ร่างเล็กบางร่างหนึ่งที่แต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อยนักก็รีบวิ่งสวนออกมาจากห้องและหนีออกไป อาจจะด้วยความอับอายหรืออะไร ตัวเขาก็ไม่ทราบ และไม่ทันได้มองใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นด้วย





เพราะดวงตาสีฟ้าจับจ้องแต่ที่วินเซนต์ที่นิ่งไป และมองตรงมาทางเขาด้วยแววตาสับสน





แดริลเห็นบรรยากาศไม่ค่อยดี ทั้งชิน ทั้งลีต่างก็เริ่มมีสีหน้าสงสัย





ชายหนุ่มผมดำฝืนยิ้ม คุมเสียงของตนไม่ให้สั่น





“ไงวินซ์ บังเอิญฉันผ่านมาแถวนี้เลยแวะมาเซอร์ไพรส์นายน่ะ ก็เลยวานให้ลีพาเข้ามา… โทษทีนะที่มาขัดจังหวะ” คำพูดออกจากปากแบบลื่นไหลและเป็นธรรมชาติที่สุด





“....ไม่เป็นไร” เหมือนวินเซนต์จะพูดออกมาได้แค่นั้น





“............. เอ่อ… ก็….พวกนายคงมีเรื่องต้องคุยกันใช่ไหม? …. งั้นเดี๋ยวพวกนายคุยกันไปนะ ฉันกับชินไปรอนายที่ร้านอาหารล่ะแดริล” ลีที่มองสลับซ้ายทีขวาทีระหว่างแดริลและวินเซนต์พอจะอ่านสถานการณ์แปลกประหลาดที่น่ากระอักกระอ่วนใจนี้ออก... และรู้สึกอะไรได้รางๆ... จึงรีบล็อกคอเพื่อนเวรเสียแน่นไม่ให้มันพูดอะไรออกมา และจัดการลากชินออกไปให้พ้นทางอย่างรวดเร็ว





ชายหนุ่มผมดำมองตามลีที่เดินห่างออกไป ขณะระบายลมหายใจออกมาน้อยๆ





“...ไปหาที่คุยกันดีไหม? ” เขายิ้มออกมา แต่ไม่สบตากับคู่สนทนา ที่ตอบรับเพียงคำสั้นๆ

“.....อืม”





เป็นเวลาค่อนข้างดึกที่คนบางตา ชายหนุ่มสอคนนั่งบนเก้าอี้ภายในบริเวณสวนมหาวิทยาลัย ระหว่างพวกเขาคือความเงียบอันน่าอึดอัด





จนสุดท้ายคนที่พูดออกมาก่อนคือแดริล





“...ทำไมไม่บอกฉันตรงๆ ” ถามไป แต่จริงๆ เขาก็รู้คำตอบ วินเซนต์ไม่เคยบอกเลิกใครก่อน แต่ใช้วิธีทำให้อีกฝ่ายทนไม่ไหวจนต้องไปเอง… แต่ในใจลึกๆ เขาก็คาดหวังว่าตนเองพิเศษกว่าสาวๆ ทีมเชียร์พวกนั้น





แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ต่างเลย…





“ฉันบอกไม่ลง…” เป็นคำตอบที่ทำให้แดริลนึกประหลาดใจอยู่บ้าง ดวงตาสีฟ้าเงยมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เป็นสีดำสนิท

“อืม” เขารับคำสั้น ยังคงไม่มองไปทางวินเซนต์ “...ฉันรอให้นายพูดอยู่”

“...อย่าบังคับฉัน แดริล” ในจังหวะนั้นเจ้าของชื่อไม่รู้ว่าผู้พูดมีสีหน้าเช่นไร… เพราะเขาไม่ได้มอง

“นายเริมมัน นายก็ควรจะจบมัน” แดริลยังคงพูดเสียงเรียบ ตนเองยังรู้สึกประหลาดใจที่ใจเย็นได้ขนาดนี้

“ฉันเลือกนายไม่ได้… ฉันปล่อยให้มีอะไรมาขวางอนาคตฉันในวงการกีฬาไม่ได้”




ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
บทที่ 10 (2/2)

ในจังหวะนั้นเองที่แดริล เชน เข้าใจอะไรบางอย่าง…





ถึงแม้เพศที่สามจะได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ในทุกวงการ… ในขณะที่นักกีฬาคนอื่นควงนางแบบสาวสวยออกงาน วินเซนต์ไม่มีทางที่จะพาเขาออกไปสู่สปอตไลท์ได้





และเรื่องฉาวก็ฆ่าอนาคตของคนมาแล้วมากมาย… การที่มีคนรักเป็นผู้ชายอาจนำมาซึ่งปัญหามากมาย ตั้งแต่การไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควรในทีม จนถึงข่าวซุบซิบที่ทำให้กระทบไปถึงฐานแฟน





ในปีนี้วินเซนต์เพิ่งจะย่างก้าวเข้าวงการอเมริกันฟุตบอลอาชีพ… ย่อมต้องมีเรื่องให้คิดหลายเรื่อง





และแดริลรู้ดีที่สุด ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของอีกฝ่าย ไม่ใช่สาวๆ ไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่เขา… แต่เป็นอเมริกันฟุตบอล





และชายหนุ่มก็นึกเกลียดนัก ที่ตนเองเข้าใจดีทุกอย่าง…





“เราเลิกกันเถอะ” ในที่สุดเขาก็ได้ประโยคที่ต้องการเสียที… แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นึกดีใจเลย แต่กลับเจ็บจนด้านชา





“อืม” ถึงแบบนั้นแดริลก็ยังตอบรับอย่างสงบ “...ได้”





“หากนายเป็นผู้หญิง… ฉันจะไม่ลังเลที่จะแต่งงานกับนาย… จริงๆ นะ” คำพูดปลอบใจพรรค์นั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด





หากเป็นผู้หญิง? เป็นผู้หญิงงั้นรึ? ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้ จะพูดไปทำไมกัน





“และหากฉันไม่ได้เป็นเกย์ ฉันก็คงไม่มีทางมาพัวพันกับนาย…” แดริลพูดเสียงเย็น ชำเลืองมองไปข้างๆ ก็เห็นร่างสูงใหญ่ที่ปกติแล้วจะเปี่ยมด้วยความมั่นใจนั่งก้มหน้า ประสานมือเข้าด้วยกันอย่างคร่ำเครียด





…. นั่นทำให้ดวงตาสีฟ้ามองอีกฝ่ายด้วยแววตาอ่อนลงเล็กน้อย มือข้างหนึ่งวางบนบ่าหนา บีบเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ





“ฉันหวังว่าวันหนึ่ง… นายจะได้เป็นแชมป์ซุเปอร์โบวตามที่หวังเอาไว้นะ วินเซนต์” พูดเท่านั้นและชายหนุ่มก็ปล่อยมือ ลุกขึ้นจากม้านั่ง ปล่อยให้สายลมยามค่ำพัดผ่านจนเรือนผมยุ่งไปหมด “ลาก่อน”





แดริลไม่ได้หันกลับไปมอง เขาไม่รู้ว่าวินเซนต์มีสีหน้าหรือท่าทางอย่างไร…. แต่เรื่องเหล่านั้นมันไม่ได้สำคัญอีกแล้ว





ในคืนนั้นเอง ชายหนุ่มกลับนิวยอร์ก... พร้อมกับคำตอบที่เขาต้องการ





……………………….





เป็นเช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง…





แดริลนอนพักอยู่ในหอมหาวิทยาลัย ไม่นึกอยากลุกจากที่นอน





คอมพิวเตอร์โน้ตบุคเปิดเพลงวนซ้ำไปซ้ำมา และเขาก็นอนฟังมันแบบนั้นไม่ยอมลุก น้ำตาไหลซึมออกจากหางตา ทั้งที่นอนนิ่งอยู่แบบนั้น มันเป็นเพลงของวงบอยแบนด์ BoyzIIMen ที่เขากับวินซ์ออกจะเกลียดแสนเกลียด





Although we've come

To the end of the road

Still I can't let go

It's unnatural

You belong to me

I belong to you…







แดริลถอนหายใจเป็นรอบที่สิบของวัน





….แล้วจู่ๆ ประตูหอก็ถูกเคาะ





“ที่รักคะ ฉันเองค่ะ เปิดประตูหน่อยสิคะ” ...จะเป็นใครไปได้นอกจากแคท





เพื่อนร่วมหอรู้จักแคทเธอรีนในนามแฟนของเขา ก็ไม่แปลกที่หล่อนจะขอความช่วยเหลือจากใครสักคนให้ช่วยพาเข้ามาในนี้...



แดริลรู้สึกไม่อยากขยับตัว แต่ก็ยังเดินลากขาไปเปิดประตู มองใบหน้าสวยเป๊ะของเจ้าหล่อนแล้วก็ถอนหายใจใส่

“เข้ามา…” แดริล

“อี๋ อะไรเนี่ย End of the Road? BoyzIIMen ถามจริง? ที่รักคะ” เข้ามาได้หญิงสาวก็ปรี่ไปจับเมาส์คลิกข้ามไปเล่นเพลงต่อไปทันที





From the bottom of my broken heart

There's just a thing or two I'd like you to know

You were my first love

You were my true love

From the first kisses to the very last rose





“........................... โอเคค่ะที่รัก ถึงฉันจะรักบริทนีย์แค่ไหน แต่ก็ไม่เอาเพลงนี้นะคะ” แคทกดปิดมันทันที…





“มาทำไม…” แดริลถามเสียงห้วน สภาพหน้าตาไม่ใคร่ดีนัก

“เธอไม่ตอบข้อความ แล้วฉันยังได้ยินจากลีว่าเธอไปแมตซาชูเซตส์มาด้วย ก็เลยรู้ว่าเกิดเรื่องแล้วน่ะสิ” หญิงสาวยืนกอดอก มองเพื่อนรักที่ทิ้งตัวกลับลงเตียงอย่างหมดสภาพ





“นี่.. ที่รัก เธอจะเศร้าก็ไม่เป็นไรแต่แบบนี้จะดีเหรอคะ ไม่ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือเดี๋ยวเกรดก็ตกหรอก” พูดจบชายหนุ่มก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้า เห็นคะแนนสอบล่าสุด 92/100 แล้วแคทก็ปิดปากสนิท “.....”





“....ฉันรับผิดชอบชีวิตตัวเองอยู่น่า”

แคทฟังแล้วก็กลอกตา

“เอาล่ะ เอาล่ะ พ่อคนเรียนเก่ง พ่อคนหัวดี ใจคอเธอจะนอนเน่าไม่ออกไปทำอะไรแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน? ”

“... ให้เวลาฉันอีกหน่อย” ชายหนุ่มเอื้อมคว้ามือของแม่สาวช่างพูดมากุมไว้หลวมๆ “เดี๋ยวก็ดีเอง”

“สภาพดูไม่ได้เลยค่ะ…” หญิงสาวถอนหายใจ บีบมือตอบ “ฉันจะไม่บอกหรอกนะว่าฉันเตือนเธอแล้ว”



แดริลหัวเราะออกมาเบาๆ





“...ฉันสู้ซุเบอร์โบวไม่ได้หรอก แคท” แดริล

“...............เธอหมายความว่าไงล่ะนั่น” แคท

“หมายถึง… เขาเลือกอเมริกันฟุตบอลน่ะสิ” แดริลยิ้มบาง แคทเองก็ยังมีสีหน้าไม่เข้าใจ

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน ทำไมต้องเลือกด้วยล่ะ การที่เขาต้องเลือกแปลว่าเขาไม่ได้รักเธอมากพอน่ะสิ” แคทตอบ

“ฉันรับผิดชอบไม่ไหวหรอก… ความฝันของเขาน่ะ… ใครมันจะไปขอให้ทิ้งมาเลือกตัวเองได้กันล่ะ” ภาพของเด็กหนุ่มวัยสิบหกที่พูดถึงฮีโร่ของตัวเองในวันนั้นยังคงจำได้ติดตา มือข้างหนึ่งยกขึ้นปิดหน้า น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างดูไม่ได้



แคทมีท่าทางไม่เข้าใจ ทำได้เพียงลูบหลังมือเพื่อนรักเบาๆ





“ที่รัก… ช่างหัวไอ้สารเลวนั่นไปเถอะ เธอยังมีฉันนะ มีแอชด้วย ฉันรักเธอนะ”

“อืม ฉันก็รักเธอ แคทเธอรีน” ชายหนุ่มตอบกลับ พยายามหยุดน้ำตาไม่ให้ไหล เขาไม่ชอบการที่ตัวเองมีท่าทางดูไม่ได้ต่อหน้าแคทเอาเสียเลย





หญิงสาวยิ้มให้ มืออีกข้างลูบบ่าปลอบเบา





“มันก็แค่อีกเรื่องแย่ๆ ในชีวิต… เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเอง” เธอนั่งอยู่ข้างเตียง พูดแบบนั้น และนั่งข้างๆ เขาไม่ยอมไปไหน





และวันธรรมดาในชีวิตของแดริล เชน ก็ได้ผ่านพ้นไปอีกวันหนึ่ง…





………………………..







อาทิตย์ถัดมา ชายหนุ่มไปนั่งรอแคทที่อพาร์ทเมนต์ของสองสาว… แอชลีย์ยังคงยืนทำอาหารเช้า รอแคทตื่นนอน





แต่น่าแปลกที่วันนี้เธอกลับวางกระทะจานชาม มานั่งข้างๆ แดริลที่สภาพดูไม่ค่อยดีนักพร้อมจานไข่ดาว ขนมปังปิ้งและเบคอน



เธอคงรู้เรื่องทั้งหมดจากแคทแล้ว ถึงมีท่าทีแบบนี้…





แดริลกล่าวขอบใจ และก้มหน้ากินอาหารแบบไม่รอเพื่อนสาวที่ยังไม่ตื่น





“นี่ แดริล เธอเรียนสายธุรกิจใช่ไหมจ๊ะ” แอชยิ้มให้คู่สนทนา ตาของหล่อนโค้งขึ้นเล็กน้อยจนดูน่าเอ็นดู





คำถามทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากจานอาหาร





“ก็.. ใช่” แดริล

“ใกล้ปิดเทอมแล้วใช่ไหม” แอช

“อืม” แดริล

“พอดีเลย พี่สาวที่ฉันรู้จักกำลังหาคนไปฝึกงานแบบทำพาร์ทไทม์ เป็นบริษัทแนวอีคอมเมิร์ซสตาร์ทอัพ เธอสนใจไหมฉันจะได้แนะนำให้” แอชลีย์ยิ้มให้เขาอย่างสดใส

“....ปิดเทอมนี้เลยน่ะนะ? ”

“ใช่จ้ะ มีค่าแรงนิดๆ หน่อยๆ ด้วยนะ น่าจะดีกว่าทำแมคโดนัลด์เยอะ แถมได้ประสบการณ์ด้วย” หญิงสาวตัวเล็กจ้องสบตา มองหน้าเขาคล้ายจะรอคอยคำตอบ





ตอนนั้นแดริลไม่แน่ใจนัก… เขาใช้ชีวิตไปวันๆ โดยยังพยายามลืมเรื่องวินเซนต์... และก็ไม่ได้วางแผนอะไรเอาไว้สำหรับปิดเทอมเลย





“...ไม่รู้สิ ขอฉันคิดอีกหน่อย…”

แอชลีย์พยักหน้ารับ ทั้งรอยยิ้มน้อยๆ ตามปกติของเจ้าหล่อน มองแล้วแดริลก็ไม่สบายใจนัก..

“ฉันไม่มั่นใจเลยว่าฉันในตอนนี้… สภาพแบบนี้ จะทำอะไรไหว” ในที่สุดชายหนุ่มก็ยอมรับออกมาจนได้..

แอชนิ่งไปเล็กน้อย คล้ายกำลังครุ่นคิดว่าควรพูดอะไร สุดท้ายเธอก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“เรื่องนั้นน่ะ… ถึงแคทจะไม่เข้าใจบางเรื่อง แต่ฉันเข้าใจเธอนะ” แอชว่า ดวงตามองไปยังประตูห้องนอนที่แฟนสาวยังหลับอยู่ในนั้น “แคทน่ะ… แต่ไหนแต่ไรมา ก็อยากเป็นนางแบบมาตลอดเลยจ้ะ”





“อืม… ตั้งแต่เด็กๆ แล้วที่ชอบดูพวกรันเวย์ แฟชั่นโชว์ พวกนั้น” แดริลหัวเราะเบา ขณะนึกถึงภาพแคทในวัยเด็กที่พยายามเดินเลียนแบบพวกนางแบบในทีวี





“ใช่… สมัยก่อนน่ะฉันก็ไม่ได้สนใจแฟชั่นหรอก… แต่ความฝันของเธอ ถ้าฉันไม่ไล่ตาม สุดท้ายฉันก็จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง” หญิงสาวร่างเล็กประคองถ้วยช็อกโกแลตร้อนขึ้นมาเป่าเบาๆ “สุดท้ายฉันถึงศึกษาแฟชั่นอย่างจริงๆ จังๆ ”





ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย





“จนสุดท้ายความฝันของฉันก็กลายเป็น ฉันอยากทำเสื้อผ้าให้แคทใส่… เสื้อผ้าที่เธอจะใส่แล้วสวยที่สุด เปล่งประกายบนรันเวย์ที่สุด” แอชลีย์หัวเราะเบา.. “ซึ่งเธอไม่รู้หรอกว่าฉันพยายามไล่ตามมาตลอด.. ฉันก็ไม่ได้อยากให้เธอรู้”





“หากฉันเป็นเธอนะ แดริล… ฉันก็คงขอให้คนที่ฉันรักวางมือจากความฝันของเขาไม่ลงเหมือนกัน และหากฉันขวางทางความฝันนั่น ฉันก็อาจจะยอมหายตัวไปซะเอง เพราะหากวันหนึ่งที่อีกฝ่ายล้มเหลวและหันมามองฉันด้วยสายตาสิ้นหวังเกลียดชัง โทษว่าฉันเป็นสาเหตุของความล้มเหลวทั้งหมด… ฉันคงทนไม่ได้แน่ๆ ” หญิงสาวจิบช็อกโกแลตร้อนเล็กน้อย “ฉะนั้นเธอทำถูกแล้วล่ะจ้ะ”

“อืม….” แดริลรับคำสั้น

“แต่ว่า… เราก็จะปล่อยให้ทุกอย่างมันจบแค่นี้ไม่ได้เนอะ? ” แฟนสาวของเพื่อนรักยกยิ้มให้เล็กน้อย อันที่จริงแดริลก็พอจะรู้มาตลอดว่าเจ้าหล่อนเป็นคนที่สุดยอดมาก… ถึงจะเป็นสาวตัวเล็กๆ แบบนี้แต่หลายๆ อย่างของเธอก็ทำให้เขารู้สึกอับอายและไม่ได้เรื่องเมื่อคิดถึงการฟูมฟายของตนเองในช่วงที่ผ่านมา





“เธอเองก็ควรหาความฝันของเธอ สิ่งที่เธออยากทำเหมือนกัน ฉันอยากให้เธอไปลองดูนะ ในฐานะเพื่อนเธอ” แอชลีย์เป็นคนที่มักจะสร้างบรรยากาศอบอุ่นผ่อนคลายให้เขาวางใจได้เสมอ จนบางทีก็นึกอิจฉาแคทเหมือนกันที่ได้พบกับคนดีๆ แบบนี้





แดริลฟังแล้ว.. ก็คิดพิจารณาอย่างจริงจัง





นั่งกินอาหารเช้าเงียบๆ ไปอีกครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ตัดสินใจได้… และเอ่ยปากออกมาด้วยตนเอง





“....ฉันขอรายละเอียดเพิ่มหน่อยได้ไหม เกี่ยวกับงานที่ว่า..”







…………………………….





วันแรกที่แดริลได้พบกับมิสวี หรือวิเวียน เวสท์ เป็นวันจันทร์แรกที่เขาปิดเทอม…





เจ้าหล่อนแต่งกายสวยเป๊ะ จิกส้นสูง วิ่งวุ่นทั้งตอบข้อความ ตอบโทรศัพท์ สั่งการเรื่องแคมเปญ ดูจะกำลังหัวหมุนกับทุกสิ่งอย่าง





แต่ก็กลับมาสวยเป๊ะขณะที่มาสัมภาษณ์เขา….





ตอนนั้นเจ้าหล่อนอายุยี่สิบหก เป็นผู้จัดการแผนกการตลาด ส่วนแดริลอายุสิบเก้าย่างยี่สิบ…





เธอดูประวัติของเด็กหนุ่มแค่ผ่านๆ ยกยิ้มให้ และกล่าวว่า ‘ยินดีต้อนรับสู้โลกสตาร์ทอัพ มันไม่ง่ายเหมือนโลกของการศึกษาหรอกนะ เตรียมใจไว้ให้ดีล่ะ’





สำหรับแดริลแล้วมิสวีเป็นคนที่เท่มาก ตั้งแต่แรกพบก็เห็นเป็นสาวสวยสุดเท่ และจนถึงทุกวันนี้ที่เจ้าหล่อนกลายเป็นซีอีโอของบริษัทลูก เขาก็ยังคิดว่าเธอเท่อยู่





มิสวีที่คนเขาเรียกกัน อันที่จริงมันมาจากคำว่า วี ฟอร์ เวนเด็ตต้า….. บ่งบอกความเฮี๊ยบที่ว่างานทุกอย่างต้องออกมาอย่างมีคุณภาพสุด และทุกคนต้องทำงานกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็เอาใจใส่คนของเธอ พยายามสู้และให้กำลังใจพวกเขา





ไม่มีใครในบริษัทที่ไม่รู้ ว่าวิเวียน เวสท์ ทำงานหนักขนาดไหน.. หากลูกน้องไม่ได้พัก ก็อย่าหวังว่าเจ้าหล่อนจะพัก





ชายหนุ่มจำได้ดี ว่าครั้งหนึ่งในช่วงที่บริษัทกำลังต้องการทำยอดเพื่อไปยื่นสำหรับการระดมทุนครั้งสำคัญ ตอนนั้นแดริลเพิ่งเรียนจบและบรรจุเป็นพนักงานประจำได้ไม่นาน หญิงสาวถามเขาว่า..



“เธอพร้อมสู้ไปกับฉันไหม แดริล?”



แดริลยิ้ม ตอบกลับอย่างมั่นใจ

“พร้อมครับ บอส”





เพราะกับคนคนนี้… ไม่ว่าจะไปที่ไหนเขาก็พร้อมจะไปด้วยจนสุดทาง





ไม่นานนัก การพาบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ก็กลายเป็นความฝันร่วมกันของคนทั้งคู่ ทำงานกันแบบไม่ได้โงหัวหยุดพัก เสียจนจากสตาร์ทอัพเล็กๆ ที่เป็นออฟฟิศห้องเดียวและมีพนักงานไม่กี่คน ก็ขยายใหญ่เป็นทั้งตึก ทุกสิ่งทุกอย่างเติบโตอย่างรวดเร็วในยุคเริ่มของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล





ต่อมามิสวีก็ผลักดันวิ่งเต้น จนขอทุนส่งเขาไปเรียน MBA ได้สำเร็จ… และต่อมาบริษัทก็ลงทุนเปิดบริษัทลูกชื่อ fashionistaa.com ซึ่งเป็นอีคอมเมิร์ซแฟชั่นสตาร์ทอัพ





ในที่สุดแดริล เชน ก็ค้นพบสิ่งที่เขาอยากทำ และทุ่มเทให้กับมันมาเป็นเวลาเก้าปีเต็ม..

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
อ่าทันแล้ว สนุกมากๆเลยค่ะ ชีวิจตแดริลจะต้องเจอกับอะไรอีก หมั่นไส้วินซ์ไม่เลิกนิสัยเดิมๆสินะ  :mew5: :pig4:

ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
บทที่ 11 (1/2)

แดริล เชน ตื่นมาออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้อพาร์ทเมนต์ตามปกติ เขาใส่เสื้อยืดเข้ารูปกับกางเกงวอร์มขายาว สูดรับอากาศยามเช้าที่ไม่ค่อยจะบริสุทธิ์นักของนิวยอร์กซิตี้







วันนี้เป็นวันที่วินเซนต์ ซัมเมอร์ จะเข้ามารับฟังข้อตกลงและเซ็นสัญญากับทางบริษัท อันที่จริงนับเป็นเรื่องแปลก เจ้าตัวไม่จำเป็นต้องมาเอง บิลสามารถส่งเอกสารผ่านเอเจนซี่ไปให้เขาเซ็นได้เลย…แต่ผู้จัดการส่วนตัวยืนกรานมาว่า ‘คุณซัมเมอร์อยากเข้ามาทำความรู้จักและคุ้นเคยกับทุกคนครับ เพราะเขาต้องเป็นตัวแทนของแบรนด์และบริษัทนี้ไปอีกหนึ่งปี เลยอยากจะเข้าใจแนวทางการตลาดและตัวสินค้าให้มากกว่านี้’





แน่นอน ก็เขาเป็นคนดังที่มีอำนาจต่อรอง เขาอยากได้อะไรก็ย่อมต้องได้ แถมคำพูดทำนองนี้ทำให้สาวๆ ในทีมถึงกับเป็นปลื้ม พูดไม่ขาดปากว่านอกจากจะหน้าตาดีไม่ถือตัวแล้วยังจริงจังกับงาน กลายเป็นว่าพวกหล่อนตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้พบนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลคนดังไปเสียแล้ว





อันที่จริงตอนแรกเขากะจะแกล้งป่วย… ไหนๆ ก็แทบไม่ได้ลาป่วยเลยในปีนี้





แน่นอนว่าในฐานะ CMO เรื่องแบบนี้เขาปล่อยให้มือขวาแบบบิลรับหน้าไปแล้วแกล้งลาป่วยก็ไม่ผิดหรอก…. ติดแต่ว่า เมื่อวานมิสวีดันมาบอกว่า...





“บ่ายพรุ่งนี้นักลงทุนจะมาประชุมและดูการทำงาน เตรียมตัวด้วยนะ” ด้วยยิ้มหวานหยดเคลือบด้วยลิปสติกดิออร์แอดดิคโทนสีแดงคล้ายเลือด ประหนึ่งต้องการบอกว่าพรุ่งนี้ห้ามสาย ห้ามตาย ห้ามป่วย จากนั้นหล่อนก็จิกส้นสูงเดินจากไป…





แดริลหยุดวิ่ง มองนาฬิกาในสวนสาธารณะพบว่าใกล้จะเจ็ดโมงเช้าแล้ว เขาต้องกลับอพาร์ทเมนต์ไปอาบน้ำแต่งตัว และเข้างานให้ทันเก้าโมงครึ่ง





ที่ออฟฟิศ fashionistaa นั้นถือนโยบายการเข้า-ออกงานแบบยืดหยุ่นได้ ซึ่งก็เป็นปกติของวัฒนธรรมองค์กรของสตาร์ทอัพยุคนี้ ตราบใดที่งานเสร็จก็จะไม่มีใครว่าอะไร แต่หากงานไม่เสร็จนั่นคุณก็ต้องเริ่มหาข้อแก้ต่างให้ตัวเองแล้ว จะไม่มีการตอกบัตรหรือเช็กชื่อ มีแต่เช็กว่างานได้ตามกำหนดหรือไม่ หากงานไม่ส่งตามกำหนดโดยไม่มีเหตุผลที่ดีพอ คุณก็จะเสียความเชื่อใจจากทั้งเพื่อนร่วมทีมและฝ่ายบริหาร





และเชื่อเถอะ ไม่มีใครอยากเสียความเชื่อใจจากฝ่ายบริหารไปหรอก…





ระบบการทำงานแบบนี้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพสูง และทำให้พนักงานสามารถบริหารเวลาของตนเองได้ดีขึ้น อีกทั้งลดความเครียดจากการวิ่งแข่งกันเบียดเสียดผู้คนมาทำงานในช่วงเวลาเร่งด่วนด้วย





มันหมดยุคของการที่พนักงานเป็นแค่ฟันเฟืองในบริษัทตอกบัตรเข้า-ออกงานไปวันๆแล้ว ในยุคดิจิทัล คุณสามารถทำงานได้จากทุกที่ในโลกหากคุณต้องการทำ





แต่ยังไงซะหากนักลงทุนโผล่มา… เขาก็ต้องเข้าบริษัทไปรับหน้าอยู่ดี……….





อย่างน้อยมองโลกในแง่ดี วันนี้มิสเตอร์โจนส์ก็จะโกนหนวดเคราใส่สูทเรียบร้อย ไม่หล่อเสียของแบบทุกวัน (แม้ว่าจะยังคงซกมกเกาก้นโชว์ทั้งๆ ที่ใส่สูทเนี้ยบมาอย่างหล่อก็ตาม ให้ตายเถอะถึงจะหล่อยังไงคนคนนี้ก็เสียของอยู่ดี…)





แดริลก้าวออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่สระผมสะอาดสะอ้าน ร่างกายของเขายังคงไม่หนาไม่บาง มีกล้ามเนื้อมากขึ้นเล็กน้อยจากช่วงวัยเรียนเพราะการออกกำลังกายทุกเช้า แต่โครงสร้างสรีระก็ยังคงดูค่อนไปทางเพรียวมากกว่าบึกบึน





ชายหนุ่มจัดการผมเผ้าตนเองให้เรียบร้อย เลือกสูทออกจากตู้เสื้อผ้าอย่างพิถีพิถัน จับคู่สีทุกอย่างให้เข้ากันดี พวกเขาทำบริษัทแฟชั่น ภาพลักษณ์ผู้บริหารย่อมสะท้อนถึงภาพลักษณ์องค์กร ฉะนั้นในวันแบบนี้ทุกอย่างต้องเพอร์เฟกต์





...ไม่ใช่ว่าเขาแต่งตัวดีเพื่อไปอวดแฟนเก่าหรอกนะ ไม่ใช่เลยสักนิด





เหรอคะทูนหัว เสียงของแคทเธอรีนดังขึ้นในจิตใต้สำนึก ทั้งๆ ที่ตอนนี้เจ้าหล่อนตัวจริงอยู่บนรันเวย์ที่ปารีส…

เงียบเถอะน่า...



อันที่จริงระหว่างแดริลกับแคท ไม่ได้มีการพูดถึงวินเซนต์มานานมากแล้ว จนกระทั่งเมื่อไม่นานที่ผ่านมาตอนที่เพิ่งตกลงกันว่าบริษัทจะจ้างมิสเตอร์ซัมเมอร์มาเป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์ใหม่ตัวนี้...





“เฮ้อ…. จะเก้าปีแล้วนะคะที่รัก” หญิงสาวพูดเสียงเนือย มองเขาด้วยสายตาเหนื่อยใจขณะจิบมาร์การิต้า “ทำไมยังไม่ลืมเขาอีก”

“ใครว่าฉันไม่ลืม ฉันก็แค่บ่นเฉยๆ ว่าจะเลี่ยงยังไงดี”

“การที่เธอแค่คิดว่าต้องเลี่ยง… มันก็คือการไม่ลืมแล้วล่ะทูนหัว ถ้าลืมแล้วจะกลัวทำไม หลบทำไม ก็เผชิญหน้าสิ” แคทเธอรีนกลอกตา มีท่าทางนึกปลงอย่างเห็นได้ชัด ทุกถ้อยคำล้วนแทงใจดำชัดเจน

“...ไม่จริง” คนปากแข็งก็ยังคงปากแข็งอยู่ดี “บางทีมันก็แค่ไม่สบายใจ…”

“เฮอะ… ถามจริงเถอะค่ะ ในจำนวนหนุ่มๆ ที่เธอเดทมา ทำไมถึงไปไม่รอด เอาคนแรกเลยนะยะ พอล?”

“...ฉันว่าเขาตัวเล็กไป” แดริล

“จอห์น?” แคท

“เขาไม่ออกกำลัง ไม่เล่นกีฬา” แดริล

“ลูคัส” แคท

“...ดีเกินไป สุภาพไป บนเตียงก็น่าเบื่อ” แดริล

“มาร์ค” แคท

“....ไม่ชอบสีผม” แดริล





นางแบบสาวชื่อดังกลอกตามองบนแรงมาก





“เอาล่ะ ให้ฉันสรุปให้นะคะที่รัก เธอชอบผู้ชายหล่อล่ำตัวโต ผมบลอนด์ ตาเขียว ที่บ้ากีฬา เถื่อนสถุลเล็กๆ แล้วยังเป็นไอ้สารเลว คุ้นๆ ไหมคะว่าใคร?”

“.....”

“แล้วเธอก็เลือกคบกับทุกคนโดยที่ใช้หมอนั่นเป็นเกณฑ์วัดมาตลอด ถึงไปไม่รอดสักราย ไม่เกินสองเดือนก็เลิก น่าสงสารผู้ชายพวกนั้น อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่าที่เธอเลือกมาแต่ละคนมันจะมีอะไรบางอย่างที่คล้ายๆ หมอนั่น ฉันก็แค่ขี้เกียจจะพูด” หญิงสาวพูดอย่างขัดใจ ท่าทางหงุดหงิดชัดเจน “ถ้าก้าวต่อไปไม่ได้ก็ไปจัดการตกลงกันให้เรียบร้อยเถอะค่ะ ฉันไม่ยุ่งแล้ว”





“...เดี๋ยวสิ แคท เรื่องนี้เธอห้ามฉันมาตลอดไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มจับแขนเพื่อนสาวเอาไว้คล้ายหาที่พึ่ง

“ห้ามแล้วสุดท้ายก็ไม่ฟัง เก้าปีผ่านไปสุดท้ายก็ไม่จบ บอกให้เลยนะคะว่าพวกเธอ-ทั้ง-คู่น่ะมัน เกิน-เยียว-ยา” แคทเธอรีนกลอกตาแรงอีกรอบอย่างเหนื่อยใจ

“....”

“ไม่รู้ล่ะค่ะเรื่องนี้เลสเบี้ยนไม่เกี่ยว อีกสามวันฉันต้องบินไปปารีสแฟชั่นวีคแล้ว โชคดีนะคะทูนหัว” เธอกล่าวตัดบท กรอกมาร์การิต้าใส่มะกอกทั้งแก้วเข้าปาก แล้วชูมือขึ้นเรียกบริกรมาเก็บเงิน





อันที่จริงแคทจะเอือมระอากับเรื่องนี้ก็ไม่แปลก… เก้าปีมันนานมากจริงๆ ….





แต่เขาลืมได้แล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาชื่อของวินเซนต์ไม่เคยหลุดจากปาก แฮชแท็กอเมริกันฟุตบอล ทวิตเตอร์ ทุกสิ่งอย่างบนโซเชียล แดริลล้วนบล็อกชื่อวินเซนต์ ซัมเมอร์ อเมริกันฟุตบอล และซุเปอร์โบวออกไปจากชีวิตจนหมด





ก็ถ้าลืมแล้ว จะเลี่ยงทำไม





...นั่นสิ… จะหนีไปทำไมกันนะ…นอกเสียจากว่าจริงๆ ก็ไม่เคยลืม





…………….





วินเซนต์จะมาในช่วงเช้า…





แดริลคิดว่าจะรับมือกับมันอย่างเป็นมืออาชีพที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ้ม กล่าวทักทาย เหมือนเพื่อนเก่าคนหนึ่ง เหมือนคนที่ต้องทำงานร่วมกัน..





และก็ใช่ว่าเขาจะต้องรับมือเสียเมื่อไหร่ บิลต้องเป็นคนคุยกับผู้จัดการส่วนตัวของพวกนักกีฬาเพื่อส่งบรีฟ และผู้จัดการก็จะเป็นคนไปสื่อสารให้ ไม่จำเป็นต้องให้ฝ่ายบริหารลงไปทำเองแม้แต่นิดเดียว





ใช่… เขาจะกลัวอะไรกัน? ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลสักนิดเดียว





เปิดประตูกระจกเข้าออฟฟิศไปแล้ว ก็เจอกับสายตาทุกคู่ที่มองมายังประตูอย่างรอคอย จากนั้นพอเห็นว่าเป็นใครที่เดินเข้ามา สายตาพวกนั้นก็เปลี่ยนเป็นผิดหวัง





ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงน้อยๆ กระนั้นแดริล เชน ก็ยังส่งยิ้มเย็นให้ทุกคนเป็นการทักทายในยามเช้า





ขอโทษนะที่ฉันไม่ใช่วินเซนต์





เดินไปจนถึงห้องครัวก็เจอคุณเดวิด โจนส์ สุดหล่อที่โกนหนวดเคราถอดแว่นใส่ชุดสูทเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า คิดว่าจะได้ดูอาหารตาสักหน่อยพอหันมาเท่านั้นก็เป็นอันฝันสลาย





คุณโจนส์แคะขี้มูกแบบไม่สนใจสายตาคนเลยแม้แต่น้อย





แดริลถอนหายใจยาวมาก





เสียของ… เสียของ… เสียของสุดๆ





“ฮายแดริล” ชายหนุ่มผู้ที่แค่ปราดมองก็รู้แล้วว่าเป็นชายแท้ที่ชอบผู้หญิงร้อยเปอร์เซ็นต์แต่หล่อมากจนน่าเหนื่อยใจยอมหยุดแคะจมูกแล้วโบกมือให้เขาอย่างเริงร่า





“ครับ.. คุณโจนส์ วันนี้แต่งตัวดีผิดหูผิดตาเลย” ทักกึ่งจะชมด้วยรอยยิ้มสุภาพ อีกฝ่ายก็เกาหัวน้อยๆ

“ช่วยไม่ได้ วันนี้นักลงทุนมานี่นา มิสวีได้บ่นตายถ้าฉันมาด้วยสภาพปกติ”





คุณก็รู้ตัวนี่นา….





“ช่วงนี้ก็เหนื่อยหน่อยนะครับ เดี๋ยวเย็นๆ ผมอาจจะไปคุยด้วยหน่อย เรื่องงานของทีม SEO ที่ต้องให้ฝ่ายไอทีช่วยดูน่ะครับ” ลากเข้าเรื่องงานเพื่อความสบายใจ และก็ยืนคุยด้วยอีกหน่อยเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดี..





“ได้สิ ถ้านักลงทุนกลับไปแล้วฉันก็น่าจะพอมีเวลาอยู่… อยากคุยกับทีมนายเรื่องการปรับ UX UI ล่าสุดอยู่ด้วยเหมือนกัน” เดวิดตอบขณะจิบกาแฟเกรดต่ำในถ้วยกระดาษ นอกจากหล่อเสียของแล้วรสนิยมก็ไม่เข้ากับใบหน้าเอาซะเลย…





“ครับ งั้นเดี๋ยวผมไปเตรียมตัวเข้าประชุมเช้าก่อนล่ะ”





“อ๋อ ประชุมกับคุณซัมเมอร์ใช่ไหม เห็นสาวๆ เขาพูดกันอยู่ว่า ว่าหล่อพอๆ กับผมเวลาไม่ทำตัวซกมกเลย ตลกดีนะ ถ้ายังไงขอลายเซ็นมาให้ผมหน่อยสิ ผมเป็นแฟนกีฬาน่ะ” บางทีแดริลก็ไม่ค่อยชอบเสวนากับพวกชายแท้เพราะแบบนี้… เจ้าตัวหัวเราะฮ่าๆ แบบดูไม่ใส่ใจอะไรเลย





คุณน่าจะคิดบ้างว่าสาวๆ เขาว่าคุณซกมก!! ส่วนลายเซ็นน่ะไปขอเองสิเฟ้ย!







“ผมจะบอกบิลให้แล้วกัน ให้ผมขอให้คงไม่เหมาะละมั้งครับ” ยิ้มเครียดให้อีกฝ่าย นี่คุณผมเป็นCMOบริษัท จะให้ไม่รักษามาดทำตัวเป็นแฟนเกิร์ลไปขอลายเซ็นได้ยังไง… ในหัวของคุณนี่เคยมีคำว่าภาพลักษณ์บ้างไหมหรือไม่ใส่ใจอะไรพวกนี้เลย…





“ฝากด้วยล่ะเชน ซีซันนี้เขาท็อปฟอร์มมากเลยนะ นายก็น่าจะลองดูอเมริกันฟุตบอลบ้าง ไหนๆ เราก็จะจ้างเขาแล้วนี่” คุณเดวิดตบบ่าแรงๆ ทั้งยังขยิบตาให้ เพราะแบบนี้ล่ะพวกชายแท้ถึงน่าดูอย่างเดียวไม่น่าไปยุ่งด้วยมากไง…





หลายคนในบริษัทรู้ดีว่าแดริลไม่สนใจจะดูอเมริกันฟุตบอล.. และไม่สนใจจะอ่านหนังสือพิมพ์ในส่วนของข่าวกีฬา ไม่เคยมีใครกล้าถามว่าทำไม เพราะว่ายังไงซะมันก็ความชอบ-ไม่ชอบส่วนตัวที่ไม่ได้เกี่ยวกับงาน

ปลีกตัวเข้าไปนั่งในออฟฟิศตนเองได้แล้วก็เริ่มสะสางงานอย่างใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว สายตาคอยมองดูเวลาทุกห้านาที...



สุดท้ายตรวจรีพอร์ทเสร็จแล้วก็เช็กอีเมลต่อ จากนั้นก็เกือบสะดุ้งเมื่อบิลมายืนอยู่หน้าประตู





“บอสครับ คุณซัมเมอร์ ผู้จัดการทีมของเขา กับทางเอเจนซี่ มาถึงแล้วครับ ผมให้คนพาไปที่ห้องประชุมแล้ว”





ทำไมต้องมากันหมดด้วยนะ เฮ้อ..





“รู้แล้ว จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ คุณไปก่อนเลย” ชายหนุ่มลุกขึ้น เหลือบมองภาพตนเองในเงาสะท้อนจากประตูกระจก มองให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรที่ดูผิดปกติถึงก้าวขาออกจากออฟฟิศพร้อมไอโฟนเครื่องเล็ก





เดินไปไม่นานก็ถึงห้องประชุมขนาดกลาง ตามเวลานัดพอดิบพอดี คิดว่าทุกคนคงรออยู่ในห้องแล้ว.. เหลือบมองไปทางซ้ายก็เจอกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของสาวแผนกอื่น ทางขวาก็เจอกับสายตาคาดหวังของแฟนบอยสายกีฬา





CMOหนุ่มนวดขมับ เปิดประตูก้าวเข้าไปเพื่อจัดการให้เรื่องมันจบๆ ไป





สิ่งแรกที่แดริลเห็นคือดวงตาสีเขียวคู่ที่คุ้นเคยที่มองตรงมาสบตากับเขา… แม้จะไม่ได้เห็นมันมาเก้าปีเต็ม ในจังหวะนั้นช่วงเวลาดูเหมือนจะหยุดลงชั่วขณะ...





ร่างกายนั้นดูจะใหญ่โตกว่าเมื่อเก้าปีที่แล้วอยู่บ้าง ใบหน้าก็ดูมีอายุและหยาบกร้านขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้หลงเหลือแววของเด็กหนุ่มสดใสคึกคะนองเท่าในอดีต แต่ก็ยังดูเปี่ยมด้วยความมั่นใจและมีเสน่ห์ในแบบของวินเซนต์





แดริลยืนนิ่งไปพักหนึ่ง พอตั้งสติได้เพราะบิลสะกิดก็ล้วงหานามบัตรในกระเป๋าเสื้อสูท แต่วินเซนต์กลับลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียก่อน ทำให้ทุกคนเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ





“แดริล แดริล เชน ใช่ไหม ไม่เจอกันนานเลยนะ ตั้งแต่ช่วงไฮสคูลแล้วใช่ไหม” มือที่กำลังหยิบนามบัตรถึงกับชะงัก ดวงตาสีฟ้ามองผู้พูดด้วยความตกตะลึง “ตอนนายติดต่อมาเรื่องโปรเจกต์นี้ฉันตกใจแทบแย่”





นายกำลังเล่นอะไรของนาย





แดริลนึกอยากถาม แต่วินเซนต์เล่นมาแบบนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเออออตามไป



“สวัสดี… วินเซนต์… ไม่เจอกันนานนะ” ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะคุยกันแบบ ‘มืออาชีพ’ ตั้งใจว่าจะเรียกว่า ‘คุณซัมเมอร์’ แบบไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น แผนที่เตรียมไว้กลับพังเพราะไอ้เวรนี่…





จะกี่ปีก็ยังเป็นไอ้บ้าที่ทำอะไรตามใจตัวเองอยู่ดี ให้ตายเถอะ...

“อ้าว นี่ทั้งคู่รู้จักกันเหรอครับ ไม่เห็นรู้มาก่อนเลย” บิลเอ่ยขึ้น ท่าทางดีใจออกนอกหน้า.. นายดีใจอะไรของนายไม่ทราบ..





“ใช่ เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยไฮสคูลเลย ที่ผมสนใจรับงานนี้ตอนแรกก็เพราะคุณเชนติดต่อมานี่ล่ะครับ”





ประโยคนั้นสร้างเสียงฮือฮาให้คนในห้อง แต่คนถูกพาดพิงกลับยืนแข็งตัวเป็นหิน...



“แบบนี้นี่เอง ขอบคุณมากนะครับบอส!!” บิลคนซื่อยิ้มออกมาอย่างสดใส มองหัวหน้าของตนอย่างเทิดทูนสุดหัวใจ เพราะกำลังเข้าใจอะไรผิดๆ …





“...ไม่...เป็นไร” คนที่จู่ๆ ก็โดนยัดเยียดเครดิตให้ได้แต่กัดฟันยิ้มบาง… สายตามองไปทางวินเซนต์อย่างไม่เข้าใจ… อีกฝ่ายเพียงยิ้มให้เขา ทำราวว่าไม่ได้มีอะไรผิดปกติทั้งนั้น





ทำอะไรที่คาดไม่ถึงเสมอ ท่าทางของนักกีฬาชื่อดังคนนั้นชัดเจนมากว่าจะไม่ปล่อยให้เขาปฏิบัติประหนึ่งตนเองเป็นคนแปลกหน้า… แดริลควรจะรู้ดีกว่านี้…





เขาเข้าใจวินเซนต์แค่ไหน อีกฝ่ายก็รู้ทันเขาเช่นกัน...





“ยังไงเริ่มการประชุมกันดีไหมครับ…” CMOบริษัทหยิบนามบัตรของตนออกมา ขณะหันมองไปทางบิล ส่งสัญญาณให้เปิดจอโปรเจกเตอร์เดี๋ยวนี้ ทุกอย่างถึงสงบลงได้ มองไปทางผู้จัดการส่วนตัวของวินเซนต์ก็แอบเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังลอบปาดเหงื่อ ส่วนทางตัวแทนเอเจนซี่ก็ดูจะงุนงงเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น





บิลเริ่มจากอธิบายบรีฟเรื่องภาพลักษณ์ของแบรนด์ ‘Sportster’ ตัวใหม่ของบริษัทที่ต้องการจะสื่อ ด้วยความที่อยากจะมุ่งเป้าไปทางพวกคนรักสุขภาพและพวกแฟนกีฬาในช่วงอายุวัยรุ่นถึงวัยทำงาน จึงจำเป็นต้องใช้พรีเซนเตอร์สองคนสำหรับโปรเจกต์นี้





“อย่างที่ได้อธิบายไปครับ สำหรับแบรนด์ตัวนี้เราอยากจะสื่อภาพลักษณ์ออกไปว่าความท้าทายมีไว้ให้เอาชนะ ความพยายามทำให้ทุกคนดูเท่ได้ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ช่วงแรกเราจะปล่อยสินค้าสำหรับผู้ชายก่อนช่วงนี้ก็เลยจะต้องเน้นขายผู้ชายหน่อยน่ะครับ เลยอยากจะสื่อสารกันแบบจริงใจ เหมือนเป็นพี่น้องน่ะครับ”





ขณะที่บิลกำลังนำเสนอภาพลักษณ์แบรนด์ และไล่ไปถึงตัวสินค้า… ดวงตาของใครบางคนก็จับจ้องตรงมาทางแดริล ที่พยายามสุดความสามารถที่จะจ้องมองแต่สไลด์บนกระดานและไม่วอกแวกไปมองทางอื่น





ในที่สุดผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง การบรีฟงานก็จบลง คำถามจากเอเจนซี่บิลล้วนตอบได้อย่างฉะฉาน เขาไม่จำเป็นต้องสอดหรือช่วยอะไรมากนัก เพียงยิ้มตามมารยาทและถามรายละเอียดที่เขาอยากรู้หลายๆ อย่างจากเอเจนซี่เท่านั้น

ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
บทที่ 11 (2/2)

“ครับ ยังไงด้วยเรื่องงบประมาณแล้วผมคิดว่าการแข่งเป็นทีมอาจจะมากเกินไป หากปรับเปลี่ยนเป็นแบบ one on one match และเราถ่ายทอดสดใช้งบโปรโมท พวกคุณคิดว่ายังไง” บิลเป็นคนเสนอการปรับแผนขึ้นมาเอง มาร์เกตติ้งก็แบบนี้… มันไม่จบที่ proposal ตัวแรกเสมอ… สุดท้ายก็มีการปรับเปลี่ยน





“ผมก็ว่าดีนะครับ เพราะหากให้เทรนทีมนักกีฬาหน้าใหม่มันก็งานใหญ่อยู่ และอาจจะไม่น่าสนใจเท่า one on one ด้วย… แดริล คุณคิดว่ายังไง” วินเซนต์ตอบแบบสุภาพจนแทบจะไม่คุ้นชิน แถมยังหันมาชวนลูกค้าคุยอีกต่างหาก… แต่เขาเป็นคนดังแถมผู้เชี่ยวชาญในเรื่องกีฬาชนิดนี้ ใครมันจะกล้าว่าอะไรได้…





“ก็เป็นไอเดียที่ดีครับ ให้โฟกัสที่สองคนไปเลยก็ได้… บิลเราจะจัดกิจกรรมทายผลผู้ชนะกันหน้าเว็บไซต์ของเราด้วยใช่ไหม” ตอบแบบให้มันจบๆ ไป แล้วก็เบี่ยงหันไปคุยกับบิลแทนทันที

“ใช่ครับบอส” ชายหนุ่มตอบรับอย่างรู้งาน

“อีกอย่างคือ… ทางเราต้องให้พรีเซนเตอร์ทั้งสองคนช่วยใช้สินค้าของเราในชีวิตประจำวัน ระหว่างที่สัญญายังมีผลด้วยนะครับ” แดริลเน้นย้ำ ครั้งนี้หันไปคุยกับผู้จัดการส่วนตัวของนักกีฬาคนดังแทน

“นั่นน่ะ ครอบคลุมอยู่ในข้อตกลงอยู่แล้วครับ” ชายหัวล้านรูปร่างเล็กหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อขณะตอบรับ “ทีนี้… สำหรับตัวสัญญา ทางคุณโอคอนเนอร์ได้เตรียมมาแล้วใช่ไหมครับ”





โอคอนเนอร์เป็นนามสกุลของบิล… เจ้าของชื่อพยักหน้าเล็กน้อยและหยิบเอกสารปึกหนาออกมาจากแฟ้ม





“เอาไปตรวจดูก่อนก็ได้นะครับ แล้วค่อยส่งไปรษณีย์กลับมาให้ทางผมก่อนวันที่สิบห้า” เพราะเนื้อหาในสัญญาค่อนข้างเยอะและยิบย่อย จึงจำเป็นต้องให้เวลาทีมกฎหมายหรือทนายส่วนตัวได้นั่งอ่านและพิจารณา อันที่จริงตามที่บอก… วันนี้วินเซนต์ไม่จำเป็นต้องมาที่บริษัท เขาสามารถปล่อยให้เอเจนซี่และผู้จัดการส่วนตัวจัดการทุกอย่าง แต่เจ้าตัวก็ยังจะโผล่มาอยู่ดี…





ดวงตาสีเขียวที่คอยเฝ้าแต่จะจ้องมองมาทำให้คนถูกมองอึดอัด แถมยังพยายามชวนคุยถามความเห็นเขาในหลายๆ เรื่องอีกต่างหาก… แค่พยายามบ่ายเบี่ยงให้ไม่ดูมีพิรุธก็เต็มกลืนแล้ว





สี่สิบนาทีแห่งความกระอักกระอ่วนผ่านไปในที่สุดการประชุมก็จบลงด้วยดี แดริลแทบจะรอหนีออกจากห้องไม่ไหว ลาทุกคนเสร็จเขาก็แยกไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาในทันที





“ผมขอเข้าห้องน้ำหน่อย ไม่ทราบว่าไปทางไหนครับ” แต่เสียงอันคุ้นเคยนั่นทำให้เขาชะงักเท้า..

“อ๋อ ทางนั้นครับ เชิญเลย” บิล โอคอนเนอร์กล่าวเชิญด้วยรอยยิ้มสดใสจนคนเป็นเจ้านายอยากกระทืบมันขึ้นมาตงิดๆ …

“ขอบคุณครับ”





CMOหนุ่มจะถอยแล้วกลับหลังไปทางเดิมตอนนี้ก็ดูประหลาดเกินไป...มันจะดูเหมือนเขากำลังหนีชัดๆ .. และแดริล เชนไม่สามารถหนีจากวินเซนต์ ซัมเมอร์ต่อหน้าคนในบริษัทได้ จึงทำได้เพียงเร่งฝีเท้าเลี้ยวเข้าห้องน้ำชายที่ดันอยู่สุดทางเดิน...





วินเซนต์ก้าวขาไม่ช้าไม่เร็ว แต่ก็ตามเข้ามาทันที….





แถมยังปิดประตูไล่หลัง แล้วล็อกอีกต่างหาก……………….





แดริลกลืนน้ำลาย ค่อยๆ หันกลับไปมองช้าๆ ด้วยท่าทีและสายตาหวาดระแวง… แต่นึกไม่ถึงเลยว่าประโยคแรกที่อีกฝ่ายจะพูดออกจากปากก็คือ…





“นายเล่นบล็อกฉันทุกช่องทางโซเชียล… แล้วยังเปลี่ยนเบอร์มือถือ กว่าจะตามหาเจอรู้ไหมว่าฉันลำบากแค่ไหน” คนพูดเหมือนกำลังตัดพ้อประหนึ่งคนบล็อกเป็นคนใจดำอย่างนั้น… นั่นเป็นประโยคแรกที่นายควรพูดกับแฟนเก่าที่ไม่ได้พบกันมาเก้าปีหรือยังไง วินเซนต์ ซัมเมอร์?! “แต่นายดูดีขึ้นนะ”





โอเค ประโยคหลังพอฟังได้… แต่เดี๋ยวสิ!





“.......ฉันว่าฉันมีสิทธิจะทำนะ ซัมเมอร์” ดวงตาสีฟ้ามองติดจะสับสนเล็กน้อย คล้ายกำลังประเมินสถานการณ์ หรือเค้นหาคำตอบบางอย่าง สุดท้ายก็อดไม่ได้ต้องถามออกมา “ต้องการอะไรกันแน่? เงินจากงานนี้มันต่ำกว่าค่าตัวนายตั้งมาก”





“...แต่นายเล่นบล็อกแอคเคานท์ออฟฟิชเชียลเชียวนะ แล้วเป็นอะไรทำไมนายต้องล็อกทุกช่องทางโซเชียลมีเดียด้วย? แค่จะเข้าไอจีไปดูภาพนายฉันยังต้องไปดูผ่านมือถือเจฟฟ์เลย” ท่าทางการบ่นคล้ายจะตัดพ้อเบาๆ …

แอคเคานท์ออฟฟิชเชียลก็คือแอคเคานท์ที่มีติ๊กสีฟ้ารับรองว่าเป็นตัวจริง ซึ่งมียอดคนติดตามเป็นหลักแสนหลักล้าน





นายจะบอกว่านายเอาแอคเคานท์ออฟฟิชเชียลของตัวเองมาส่องดูแอคเคานท์ฉันเนี่ยนะ…..





คนฟังรู้สึกปั้นหน้าไม่ถูก… มันก็ใช่ที่เขาล็อกทุกช่องทาง ความเป็นส่วนตัวในโลกโซเชียลสมัยนี้มันน้อยจะตายไป แถมพวกคนสมัครงาน เฮ้ดฮันท์ หรือHRบริษัทต่างๆ ก็ชอบแอบส่องโซเชียลเพื่อตรวจสอบประวัติกันด้วย...





“แล้วนายก็รู้ดีนี่ ว่ามันงานเงินน้อย ที่ถามนี่ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องการอะไรหรือแค่อยากได้คำยืนยัน? ” คนพูดยักไหล่น้อยๆ ยกยิ้มขำ ท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้นตามปกติของเจ้าตัว ชายหนุ่มนักกีฬาก้าวขายาวๆ สองก้าวก็เข้ามาประชิดร่างเล็กกว่าที่อันที่จริงก็ไม่ได้เตี้ยแต่อย่างใด แต่ก็ต้องเงยหน้ามองคู่สนทนาอยู่ดี “...ฉันมาหานาย… ต้องการนาย”





ท่าทาง ถ้อยคำ ทุกอย่างชัดเจน… วินเซนต์ก็คือวินเซนต์อยู่ดี ถึงจะดูสุขุมกว่าแต่ก่อน ใจเย็นขึ้น สุภาพขึ้น แต่ก็ยังเป็นคนพูดความต้องการของตนเองออกมาได้อย่างไม่อ้อมค้อม ทำราวว่ามันเป็นเรื่องง่ายดายเสียเหลือเกิน





ใจของแดริลเต้นรัวเมื่อได้ฟัง บนใบหน้าของนักกีฬาหนุ่มไม่ได้มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด เขาทำได้แค่พยายามบอกตนเองให้แข็งใจไว้





ถามว่าโกรธไหม…? ป่านนี้แล้วจะโกรธอะไรอีก ในเมื่อแต่แรกแทบจะเรียกว่าไม่ได้โกรธเลย ก็แค่ผิดหวังและเสียใจ… แต่พอคิดตกแล้วมันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ยิ่งครุ่นคิดถึงมันหลายหนก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น…. กลับกันว่าถ้าเขาเป็นวินเซนต์ก็คงจะเลือกเลิกเหมือนกัน… แค่คงเลิกกันในแบบที่ดีกว่านั้น





สุดท้ายทางมันก็ตันแค่นั้น จะหาคนผิดไปเพื่ออะไรกัน…?





แล้วเด็กสิบแปด-สิบเก้าที่ทำอะไรไม่ถูกกันทั้งสองคน จะรับมือเรื่องประเภทนี้ได้ดีกันแค่ไหนเชียว…? ตอนนี้อายุก็ตั้งยี่สิบแปดเข้าไปแล้ว มองย้อนกลับไปก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ดี...





ใช่แล้ว…. นอกจากจะตามใจแฟนแล้ว แดริล เชนยังเป็นคนประเภทปกป้องแฟนอีกต่างหาก… (แม้ตัวเองจะโดนทิ้งมาก็ตาม) แคทบ่นเสียจนไม่รู้จะบ่นยังไงเมื่อเธอด่าวินเซนต์แล้วเขาก็ยังบอกว่าวินซ์ไม่ได้แย่ขนาดนั้น…

รักเข้าไป ปกป้องเข้าไป ตัวเองเละเทะขนาดนี้แล้วยังจะไปปกป้องมันอีก โอ๊ย ที่รักคะ! จะรักอะไรมันนักหนา!

แม่สาวคนนั้นเคยวีนประโยคนี้ออกมา ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว...







วินเซนต์คือจุดอ่อนของเขา ก็รู้ดีตั้งแต่สมัยไฮสคูล… จนถึงตอนนี้แค่พบกัน ใจก็ยังเต้นเหมือนกับตอนยังเด็กไม่มีผิด… แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงปากแข็งไม่อยากจะยอมรับอยู่ดี





อีกอย่าง… คิดว่าไม่รู้หรือยังไงว่าทั้งควงนักร้องนักแสดง ไฮโซสาวออกงานตั้งมากมาย แล้วจะบอกว่า ‘มาหา’ อะไรกัน? ...ทำอย่างกับชีวิตคนดังนั่นจะมีที่ว่างอะไรให้คนรักที่เป็นเกย์แบบเขา





“ป่านนี้แล้ว…” คิดแล้วคิ้วสีดำก็มุ่นลงเล็กน้อย พยายามเว้นระยะห่างจากอีกฝ่าย แต่พอขาถอยหลังห่างไปหนึ่งก้าว อีกฝ่ายก็ก้าวเข้ามาสองก้าวแทน “อย่ามาล้อฉันเล่นเลย”





“นายไม่ได้โง่ แล้วก็ไม่ได้เจ้าอารมณ์ด้วย แดริล...ถามจริงฉันดูเหมือนล้อเล่นอยู่รึไง? …คนบ้าที่ไหนจะล้อเล่นกับเงินมากขนาดนี้ นายรู้หรือเปล่าว่าฉันปฏิเสธแบรนด์ใหญ่ไปกี่แบรนด์เพื่อมารับงานนี้ แถมเปลี่ยนทีมเพื่อย้ายมานิวยอร์กอีก” มือใหญ่ที่สากกร้านแตะผิวแก้ม ไล้เบาๆ อย่างอ่อนโยนเหมือนเดิม และก็ชัดเจนกับความต้องการของตนเองเหมือนเคย ในดวงตาสีเขียวแทบจะเป็นการวิงวอนร้องขอ เสียจนคนมองต้องรีบหลบตาก่อนจะเผลอตอบตกลง แก้มขึ้นสีเล็กน้อยแบบที่เจ้าตัวควบคุมไม่ได้ “แดริล… กลับมา”





ใช่… เขามันใจง่าย ให้อภัยง่ายๆ ด้วย บ้าเอ๊ย…!! แต่หากมีผู้ชายมาบอกคุณว่ายอมเสียเงินหลักล้านเพื่อให้ได้พบคุณอีกสักครั้ง เป็นใครมันก็ใจอ่อนทั้งนั้นล่ะ!!





คิดแล้วก็ยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างกลุ้มใจ..





แต่มันก็ยังมีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ... เขาไม่ควรกลับไปด้วยเหตุผลทั้งปวง… ที่ว่าวินเซนต์ ซัมเมอร์ ไอคอนวงการอเมริกันฟุตบอล….. ไม่ควรจะเป็นเกย์





จะกลับไปได้ที่ไหนกัน… ควรกลับไปที่ไหนกัน?





“...ฉันไม่ใช่สิ่งของ ที่นายอยากโยนทิ้งก็โยน อยากเก็บขึ้นมาก็เก็บ วินซ์” ดวงตาสีฟ้าเบือนหนีไม่ยอมสบตา ก้มหน้าเพื่อซ่อนความสับสนที่ฉายชัดบนใบหน้า กลัวว่าอีกนิดเดียวก็จะตอบตกลงไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลังแล้ว….

“แต่นายยังรักฉันอยู่” วินเซนต์พูดออกมาแบบเต็มปากเต็มคำและไม่อายปากตนเองแม้แต่น้อย ดวงตาสีเขียวที่มองมาอย่างอ่อนโยนฉายแววขบขัน นั่นทำให้คนฟังกัดฟันแน่น นึกหงุดหงิดขึ้นมาแปลกๆ





ไอ้บ้านี่… อายุขนาดนี้แล้วไอ้นิสัยหลงตัวเองก็ไม่ได้เปลี่ยนเลย!! นายต้องพูดว่า ‘ฉันยังรักนายอยู่’ มากกว่าไม่ใช่เรอะ!?





“...คิดไปเอง เรื่องมันก็นานแล้ว ฉันลืมไปหมดแล้ว ขอทีเถอะวินเซนต์… เรื่องนี้น่ะยังไงก็เป็นไปไม่ได้หรอก”





“ถ้านายลืมฉันได้แล้วจริงๆ จะเกร็งขนาดนี้ทำไมกัน…? ” มือใหญ่วางบนบ่า ลูบไล้เบามือ จากนั้นก็ดึงรวบทั้งร่างเข้ามากอดแน่น และก้มกระซิบถามที่ข้างหู “เก้าปี… ฉันก็ยังไม่ลืมนายเหมือนกัน… เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม? ”





คำพูด สายตา น้ำเสียง… ล้วนทำให้กลางอกคล้ายกำลังถูกบีบรัดแน่น….





ท่าทางเหมือนกำลังขอร้องคนอื่นแบบนี้ ราวไม่ใช่วินเซนต์ ซัมเมอร์ในความทรงจำเลย... จนชายหนุ่มเกือบจะหลุดออกไปแล้ว ว่า ‘ได้’





ใช่… ง่ายๆ แบบนั้นล่ะ ...เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ได้โทษวินเซนต์อยู่แล้ว





แต่ไหนแต่ไรมันก็เป็นความผิดหวังเสียใจมากกว่าความโกรธ...





เข้มแข็งไว้ แดริล… คนเราต้องเข้มแข็ง





ต่อให้แคทจะพูดถูกในหลายๆ เรื่อง… ใช่ เขายังไม่ลืม ใช่ เขาคบกับทุกคนโดยไล่ตามเงาของวินซ์มาตลอด… แต่ในชีวิตอันรุ่งโรจน์ของอีกฝ่าย มันจะมีที่ให้แทรกเข้าไปได้เสียเมื่อไหร่? ทำได้อย่างดีสุดก็คงแค่เก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ ในวัยเรียนเท่านั้น





เรื่องนี้นายก็น่าจะเข้าใจดีนี่… วินเซนต์ คนแบบนายควรจะควงนางแบบสาวเดินอยู่ท่ามกลางสปอตไลท์ มีครอบครัวที่อบอุ่นน่ารัก ชีวิตที่สวยงาม… ไม่ใช่ชีวิตที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ จากสายตานักข่าว กับเป็นหัวข้อข่าวฉาวในคอลัมน์ซุบซิบคนดัง...





นายมีทางเลือก…. แต่ฉันไม่มี





“...นายก็รู้ดี ว่าชีวิตของนายไม่มีที่ว่างให้กับฉัน วินเซนต์… ตอนนั้นไม่มี ตอนนี้ก็ไม่มี” มือพยายามผลักอกของอีกฝ่ายออก วินเซนต์ในตอนนี้ดูจะตัวหนักและแรงเยอะกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ดันอย่างไรก็ไม่เขยื้อน จนแดริล เชนอยากร้องไห้ “.... อีกอย่าง นายกำลังทำสูทฉันยับ เดี๋ยวบ่ายนี้ฉันมีประชุมนักลงทุน….”





ฟังประโยคหลังที่แสนจะขัดอารมณ์แล้วคนตัวโตกว่าก็หลุดหัวเราะออกมา ยอมคลายอ้อมกอดให้เล็กน้อย





“แดริล… ฟังนะ ฉัน---” ยังไม่ทันพูดจบประโยค เสียงริงโทนมือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน วินเซนต์ส่งเสียงจิ๊อย่างรำคาญใจ หยิบมือถือของตนออกมาดู คิ้วสีทองมุ่นลงเล็กน้อย… ถอนหายใจออกมา “...ฉันต้องรับ ขอโทษนะ”





“ครับ… โค้ช… มาคุยงานน่ะครับ…. ครับ… ได้ เดี๋ยวผมไป” คนพูดไม่ได้แสดงท่าทางไม่พอใจออกทางน้ำเสียง แต่สีหน้ามุ่นคิ้วไม่ชอบใจชัดเจน…





เห็นไหมล่ะ… ที่สุดแล้วอเมริกันฟุตบอลก็สำคัญที่สุดอยู่ดี





...ที่แย่สุดคือมิสเตอร์เชนรู้ตัวว่าเขากำลังพาลในเรื่องที่ไม่ควรพาลและมันเป็นความคิดที่งี่เง่า… เป็นตัวเองหากมิสวีเรียกก็คงต้องตอบก่อนอยู่แล้ว…





“ฉันต้องไปแล้ว… ไว้จะมาหาใหม่”

คำว่า ไม่ต้องมา ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนาย ค้างอยู่ที่ริมฝีปาก แต่ยังไม่ทันได้พูดออกไป ร่างที่สูงกว่าก็ก้มลงประทับจูบแนบบนปาก หยุดยั้งคำปฏิเสธไม่ให้พูดออกไป “ฉันคิดถึงนายนะ”





พูดเสร็จแล้วคนคนนั้นก็เดินจากไปอย่างรีบร้อน… พอๆ กับตอนที่เขามา… ทิ้งให้คนที่ถูกกระทำได้แต่ยืนโง่มองตามทั้งแบบนั้น จนสุดท้ายหลังจากที่วินเซนต์หายไปจากสายตาแล้ว ร่างไม่หนาไม่บางก็ทรุดลงพิงขอบอ่างล้างมือ ยกแขนขึ้นปิดใบหน้าเห่อร้อนแบบที่จนบัดนี้ก็ยังควบคุมไม่ได้





พระเจ้าช่วยนี่ฉันยังเป็นวัยรุ่นหรือยังไง... ปฏิกิริยาแบบนี้มันอะไรกัน





จินตนาการไว้ต่างๆ นาๆ ว่าจะทำเย็นชาอย่างไร ทำเป็นไม่รู้จักอย่างไร สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า วินเซนต์ก็ยังคงเป็นวินเซนต์ ผู้ชายคนนี้ทำให้จังหวะทุกอย่างของเขารวนได้เสมอ… ไม่ว่าจะตอนสิบห้าหรือใกล้สามสิบ...



พักใหญ่กว่าที่แดริลจะปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติ… และเดินออกจากห้องน้ำชายด้วยท่าทางไร้เรี่ยวแรงกลับไปที่ออฟฟิศห้องกระจกของตน





“บอสครับ บอสไม่เคยเห็นบอกผมเลยนี่นาว่าบอสรู้จักกับคุณซัมเมอร์ ผมก็ว่าทำไมเขายอมรับงานนี้ ตอนแรกก็นึกว่าบอสไม่อยากใช้เขาด้วยซ้ำ…. ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ!” มาถึงก็เจอกับสีหน้าและน้ำเสียงสดใสของไอ้บิลทันที…





ไม่.. ฉันไม่ได้อยากได้ยินชื่อนั้น





“...ช่างมันเถอะ” เหมือนทีมการตลาดจะเข้าใจผิดกันยกใหญ่แล้ว

“บอสเนี่ย สุดยอดไปเลยครับ!” ………… ไม่… ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น





เหมือนอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะปฏิเสธก็น้ำท่วมปากอย่างไรชอบกล





“..... ยังไงก็ตั้งใจทำงานนี้ให้ดีล่ะ” บิลกะพริบตามองด้วยแววสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมเจ้านายของเขาดูไม่สดชื่นแจ่มใสเอาเสียเลยที่ได้เจอเพื่อนเก่า แต่ก็ยังจะพูดต่อออกมาแบบไม่ได้รู้ตัวเลย...





“แน่นอนครับ คุณวินเซนต์นี่ก็ดูเป็นคนอัธยาศัยดีนะครับ ไม่ถือตัวด้วย สมัยเรียนคงสนิทกันสินะครับ”





ใช่ สนิท… สนิทมาก สนิทขั้นเห็นหมอนั่นแก้ผ้าทั้งตัวมาแล้ว….





“บิล รายงานSEM สรุปส่งมาให้ผมก่อนหกโมงเย็นวันนี้นะ” แดริลยิ้มอ่อนโยน ขณะเร่งเดดไลน์งานที่ควรจะส่งพรุ่งนี้เย็นมาเป็นวันนี้เย็นเสียแทน ทำเอาลูกน้องมือขวาได้แต่อ้าปากเหวอ “ผมจะได้รีบสรุปแผนการดันยอดของเราให้มิสเวสด้วย เราจะได้มีเวลาทำแคมเปญกีฬากันมากขึ้น”





CMOยิ้มพ่อพระ แต่การกระทำไม่พ่อพระเลยแม้แต่น้อย





“รีบไปสิ…” แดริล

“.......ครับ.. บอส” บิล





ในที่สุดไล่ตัวน่ารำคาญออกจากออฟฟิศได้แล้ว ครึ่งวันหลังก็ผ่านไปอย่างราบรื่น ทั้งการประชุมรับมือกับนักลงทุนที่มาดูงาน จนถึงตอนเย็น





ขณะออกจากออฟฟิศช่วงหนึ่งทุ่มก็ยังไม่วายได้ยินสาวๆ คุยกันเรื่องวินเซนต์





โห คนอะไรหล่อมาก หล่อพอๆ กับคุณเดวิดเลย

ใช่ แต่บุคลิกดีกว่ามากเลยนะ

เห็นว่าเป็นเพื่อนสมัยไฮสคูลของคุณเชนด้วยนี่นา คุณเชนนี่ก็ปิดซะเงียบเลย

ท่าจะสนิทกันมากด้วยนะ เห็นคุณโอคอนเนอร์บอกว่าที่คุณซัมเมอร์มารับงานนี้ก็เพราะคุณเชนขอร้อง

ว้ายจริงเหรอเนี่ย..







ข้อแรกที่อยากจะบอก ผู้ชายที่เขาเลือกมาทำแฟนย่อมไม่ใช่พวกหล่อเสียของแบบเดวิด โจนส์… ช่วยอย่าเอามาเทียบกัน…. และข้อที่สองที่อยากจะบ่น… นายว่างมากใช่ไหมบิล?





แดริล เชนปั้นหน้าโป๊กเกอร์เฟส แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงซุบซิบ ขณะที่ก้าวเดินออกจากบริษัทไปเผชิญอากาศเย็นด้านนอก





จู่ๆ ก็มีเสียงข้อความมือถือดัง เขาหยิบขึ้นมาดู





Vivienne says:

เห็นว่าพ่อหนุ่มหล่อล่ำกล้ามโตนั่นเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนของเธอเหรอ ฉันว่าก็ดูเข้าทีอยู่นะ :)





“...................” ปิดมือถือแล้วยัดมันกลับเข้ากระเป๋ากางเกงทันที กับมิสวีที่รู้ว่าเขาเป็นเกย์ การส่งอะไรแบบนี้มาย่อมเป็นการแซวกันอยู่แล้ว





แดริล เชนนึกอยากเอาหัวโขกกำแพงไปให้รู้แล้วรู้รอดเสียเดี๋ยวนี้ แล้วมือถือเจ้ากรรมก็ยังคงสั่นอยู่นั่น เป็นข้อความจากเบอร์ที่เขาไม่รู้จัก…





‘พรุ่งนี้จะมารับไปดินเนอร์ รอฉันด้วยล่ะ - วินซ์’





………… นายจะบังคับพาคนไปกินข้าวเย็นอย่างเผด็จการแบบนี้ไม่ได้!!





แดริลนึกอยากปิดประสาทการรับรู้ของตนเองไปเสียเดี๋ยวนี้ วันนั้นเขาขับรถกลับบ้าน อาบน้ำเสร็จก็ฝังหัวลงไปบนหมอน ไม่อยากจะคิดเรื่องอะไรอีกแล้วทั้งนั้น





พระเจ้าช่วย แค่เป็นเกย์ ทำไมชีวิตถึงต้องวุ่นวายขนาดนี้ด้วยเนี่ย...

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ปวดหัวแทนเชนจริงๆพ่อของเชนก็ทำตัวเวรเหลือเกินบ้าสงครามเถิดทูลแต่กีฬาเหยียดเชื้อชาติเหยียดเพศแล้วเชื้อที่น่ารังเกียจตกทอดไปให้พี่ชายเชนอีกแม่ก็คลั่งศาสนาคนรุ่นเก่าในประเทศที่เจริญแล้วเนี่ยน่าเกลียดที่สุดอะเหยียดการกระทำไม่ว่านะแต่เหยียดเพราะแตกต่างรับไม่ได้  :angry2:

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
หวงแดริล ไม่อยากให้กลับไปคบกับวินซ์เลย  กลัววินซ์จะทำนิสัยแบบเดิมอีก ไม่อยากให้แดริวเสียใจ :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด