พิมพ์หน้านี้ - ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: anonymouslycat ที่ 24-11-2018 21:16:15

หัวข้อ: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 24-11-2018 21:16:15
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

------------------------------

หมายหตุ: ติดตามข่าวสารเรื่องนี้ได้ทางทวิตเตอร์ @anonymmeow กับแท็ก #ชีวิตบัดซบของคุณแดริล นะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 24-11-2018 21:18:02
The Unfortunate Life of Daryl Shane

แท็ก: #ชีวิตบัดซบของคุณแดริล

บทนำ

ชีวิตบัดซบเมื่อคุณเป็นเกย์





ชีวิตบัดซบยิ่งกว่า เมื่อคุณเป็นเกย์ที่มีพ่อโหวตทรัมป์เป็นปธน. แม่เป็นคริสเตียนเคร่งศาสนา และพี่ชายถูกเกย์ควีนคุกคามในห้องล็อกเกอร์ทีมบาสชาย





เชื่อผมเถอะ ชีวิตไม่ได้ง่าย





ข้อแรก คุณพูดกับใครไม่ได้ คนใกล้ตัวที่สุดก็พูดไม่ได้ คนหนึ่งมองพวกรักร่วมเพศเป็นประชากรชั้นสอง อีกคนมองเป็นตัวบาป ส่วนอีกคนก็ขยะแขยง





ข้อที่สอง เมื่อคุณต้องซ่อนเรื่องนี้จากครอบครัว ที่พี่ชายซึ่งอายุห่างกันแค่สองปีไปโรงเรียนเดียวกันแล้ว กระทั่งที่โรงเรียนคุณก็ต้องแอ๊บแมนตลอดเวลา เดทเพื่อนเลสเบี้ยนบังหน้าทั้งๆ ที่มันสุดจะผิดผี





ข้อสุดท้ายเมื่อแฟนคนแรกของคุณเป็นไบ วันหนึ่งเขาก็คล้ายจะคิดขึ้นได้ว่าตนเองต้องการชีวิตปกติ แต่งงานมีลูก แล้วเขาก็ทิ้งคุณไปพร้อมกับคำขอโทษ





ครับ ผมเป็นเกย์ชีวิตบัดซบ ที่ปัจจุบันจบไฮสคูลแล้ว จบปริญญาตรีแล้ว จบMBAออกมาแล้วด้วยซ้ำ หนีมาอยู่ถึงนิวยอร์ค แต่ก็ยังคงคบเพื่อนสาวเลสเบี้ยนดีกรีนางแบบวิคตอเรียซีเครตเป็นแฟนบังหน้า อันที่จริงพอมานิวยอร์คก็ว่าจะเลิกแล้วแต่ดันสะบัดมันไม่หลุดจนสุดท้ายก็เลยตามเลย เพราะตอนนั้นเราไปเที่ยวคลับกันแล้วเจอปาปารัสซี่พอดี รูปผมที่ใส่แว่นกันแดดกำลังเมาได้ที่เลยได้ขึ้นหนังสือพิมพ์แทบลอยด์คู่กับเพื่อนรัก พาดหัวข่าว ‘แฟนหนุ่มนอกวงการของซุเปอร์โมเดลสาวสวย’ ...ก็ฟังดูดีครับ ถ้าผมไม่ได้เป็นเกย์





พวกเรามีแผนจะแต่งงานกันด้วยซ้ำเพื่อตัดปัญหาเรื่องทางครอบครัว เอาเป็นว่าพวกเรามีปัญหาน่าปวดหัวเรื่องครอบครัวพอๆ กันทั้งคู่ พ่อแม่ของหล่อนก็เป็นคริสเตียนเหมือนกันแถมยังไปโบสถ์เดียวกับแม่ผมด้วย





แม่ผมก็ถามอยู่เนืองๆ ว่าเมื่อไหร่จะแต่งงานกันสักที คบกันมาตั้งแต่สมัยไฮสคูล แต่ใครจะไปกล้าพูดว่าสมัยไฮสคูลผมคบกับควอเตอร์แบคโรงเรียนต่างหาก...ส่วนแคทเธอรีนก็คบกับเพื่อนสาวเชียร์ลีดเดอร์ทีมเดียวกัน หล่อนน่ะเป็นควีนบีตัวแม่ แต่ไม่มีใครรู้สักคนว่าจริงๆ แล้วไม่ได้ชอบผู้ชาย



ฟังดูก็คล้ายว่าชีวิตผมกับหล่อนจะบัดซบพอๆ กัน แต่น่าเศร้าที่ผมไม่มีเพื่อนร่วมด้วยช่วยกันบัดซบขนาดนั้น...





เพราะสิ่งที่แตกต่างระหว่างแคทกับผม ก็คือจนตอนนี้เธอก็ยังคบกับแฟนสาวสมัยไฮสคูลของเธออยู่ ส่วนไอ้แฟนเก่าเฮงซวยของผมมันทิ้งผมไปไกลแล้ว





ส่วนผมตอนนี้นอกจากทุกคนจะเข้าใจกันไปว่าเป็นผู้ชายสุดน่าอิจฉาที่ควงสุดยอดนางแบบบนรันเวย์แฟชั่นโชว์ระดับโลกแล้ว ก็เป็นCMOของบริษัทสตาร์ทอัพที่กำลังมาแรงแห่งหนึ่ง หากคุณเคยดูหนังเรื่อง The Intern ก็จะพอเข้าใจละมั้ง ว่าเป็นอะไรทำนองนั้น แต่เรากำลังเติบโตและขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่น และกำลังขยายไลน์สินค้า เจาะกลุ่มตลาดลูกค้าใหม่ เรียกได้ว่าถึงชีวิตรักจะบัดซบ แต่หน้าที่การงานของผมกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นทีเดียวในวัยยังไม่ถึงสามสิบ (แต่ก็ใกล้แล้ว พระเจ้า ในกระจกที่ผมเห็นนั่นรอยตีนกาใช่ไหม)





อันที่จริงผมก็ควรพอใจกับชีวิต ผมอาศัยอยู่ในห้องสตูดิโอเล็กๆ ในทำเลที่ดีของเมืองนิวยอร์ค เดินทางถึงออฟฟิศได้ในเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง มีเจ้านายที่… ร็อก… ลูกน้องที่น่ารัก คนเราจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีกล่ะคุณว่าไหม?



ทุกเช้าผมจะออกมาวิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้อพาร์ทเมนต์ ส่องผู้ชายไปเรื่อยเปื่อย เย็นวันศุกร์ก็ไปดื่มกับพวกที่ทำงาน เสาร์อาทิตย์ก็ออกมาแฮงก์เอาท์กับแคทเธอรีนบ้างเป็นบางครั้งบางคราวให้ปาปารัสซี่ถ่ายรูปเล่น (ผมเริ่มชินกับมันขั้นที่สามารถเก๊กมุมที่หล่อที่สุดให้พวกเขาถ่ายได้แล้วให้ตายเถอะ)





ให้ตาย บางทีผมก็อึดอัดเป็นบ้าที่ไม่สามารถประกาศให้ชาวโลกรู้ได้ว่าผมน่ะ… เป็นเกย์โว้ย!!





นอกจากแอบหลบไปเกย์บาร์ (โดยหวังว่าจะไม่เจอคนรู้จัก) เป็นบางครั้งแล้ว ชีวิตรักผมก็จืดสนิทจนแทบจะเหมือนกาแฟจากเครื่องชงแบบหยอดเหรียญที่ออฟฟิศ แต่ผมก็บอกตัวเองเสมอว่าไม่จำเป็นต้องไปเดือดร้อน ในเมื่อตอนนี้หน้าที่การงานกำลังรุ่ง ก็ควรโฟกัสกับงาน ไม่ต้องไปสนใจเรื่องอื่นให้มันมากนัก หน้าตาและฐานะแบบผม อยากหาใครเมื่อไหร่ก็หาได้อยู่แล้ว





ผมเป็นคนใส่ใจในรูปลักษณ์ตัวเองค่อนข้างมาก เสื้อผ้าข้าวของทุกอย่างต้องเนี๊ยบ ผมจะไม่ยอมออกจากบ้านหากไม่รวบผมให้เรียบร้อยจนเป็นที่น่าพอใจ หรือชุดสูทมีรอยยับ





จะพูดก็พูดสมัยเรียนผมเองก็ป็อปในหมู่สาวๆ เถอะ ถึงจะไม่ใช่นักกีฬาก็ตาม (แต่ไม่ค่อยป็อปในหมู่ผู้ชาย… ให้ตายเถอะเป็นเกย์ไปป็อปในกลุ่มสาวมันมีประโยชน์อะไรฟะ)





เอาเป็นว่า… ผมก็กึ่งจะพอใจในชีวิตตอนนี้ละมั้งครับ…?





ชีวิตที่สงบสุข การงานก้าวหน้า ไม่มีเรื่องความสัมพันธ์อะไรมากวนใจ ทุกอย่างก็ลงตัวดี





แฟนหนุ่มที่นอกใจคุณน่ะ คุณจะเอาไปทำไมกัน ยังไงซะเปอร์เซ็นต์ของการที่คู่ชายรักชายจะไปกันได้มันก็น้อยกว่าคู่รักปกติอยู่แล้ว





ใช่… ทุกอย่างลงตัวดีอยู่แล้ว จนกระทั่งวันนั้น… วันที่บิล ลูกน้องของผม เสนอโปรเจกต์บางอย่างขึ้นมา….





คิดแล้วตอนนั้นผมก็น่าจะตบกะโหลกมันสักที...
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 1 [24/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 24-11-2018 21:20:18

บทที่ 1 : Sports Project



อีเมลใหม่ในอินบอกซ์ทำให้แดริลเลิกคิ้วเล็กน้อย คิ้วสีดำที่ถูกแต่งมาอย่างเรียบร้อยเลิกขึ้น ขณะที่มือคลิกเมาส์เพื่อเปิดอีเมลฉบับนั้น



ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้บริหารมีเรือนผมยาวสีดำสนิทที่มัดรวบไว้อย่างเรียบร้อย ดวงตาสีฟ้าสองชั้นหาตาเฉียงขึ้นเล็กน้อย จมูกโด่งรับกับโครงหน้าค่อนข้างเรียวและริมฝีปากได้รูป ประกอบกับเครื่องแต่งกายแบรนด์ดังที่เลือกมาอย่างพิถีพิถัน ทำให้เขาดูดีเสียจนมักจะสะดุดตาเหล่าสาวๆ ในออฟฟิศ



ข้อความในอีเมลไม่ยาว เพียงประโยคสั้นๆ ที่ว่ารบกวนพิจารณาด้วยครับ มิสเตอร์เชน ลงชื่อ บิล โอลเว่น



อีเมลน่ะสั้น… แต่พาวเวอร์พอยนต์ในนั้นน่ะยาว…



หน้าแรกเกริ่นถึง proposal ของโปรเจกต์ตัวใหม่ที่ทางฝ่ายบริหารเพิ่งจะยืนยันเรื่องการตัดสินใจขยายไลน์โปรดักต์ไปตีตลาดพวกเสื้อผ้ากีฬาและคนรักสุขภาพ เนื่องเพราะการระดมทุนครั้งใหม่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ฝ่ายบริหารถึงตัดสินใจเช่นนี้



จากผลของงานวิจัยทางการตลาดที่ออกมา มันก็น่าเข้าไปทำตลาดจริงๆ นั่นล่ะ ในยุคที่ทุกอย่างโกดิจิทัล คนก็มีเวลาออกไปชอปปิ้งเลือกเสื้อผ้าที่ห้างน้อยลง คอนเซปต์ของบริษัท fashionistaa.com แห่งนี้ก็คือการเป็น fashion shopping mall ในโลกออนไลน์



แรกเริ่มก็ทำตัวเป็นคนกลาง แต่หลังจากที่ประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ ทางบริษัทก็เริ่มจ้างแฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดัง และเข้าไปเป็นสปอนเซอร์รายการเกี่ยวกับแฟชั่นต่างๆ เพื่อสร้างแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองออกมาขายในเว็บไซต์ด้วย



และตอนนี้จุดหมายต่อไปของบริษัทก็คือเสื้อผ้ากีฬาที่จะขายภายใต้แบรนด์ใหม่

ชายหนุ่มเคาะปากกากับโต๊ะเป็นจังหวะ ในหัวนึกไปถึงงบประมาณที่ได้รับ ฝ่ายบริหารตกลงกันว่าพวกเขาต้องการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่พอๆ กับแบรนด์เสื้อผ้าไลน์สำหรับสาววัยทำงานที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อสองปีที่แล้วและได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งในตอนนั้นพวกเขาจ้างแคทเธอรีน บราวน์ (แฟนปลอมๆ ของเขาเอง) เป็นตัวแทนของแบรนด์

นอกจากนี้ก็ยังมีการทำแคมเปญใหญ่โดยการจ้างนางแบบเป็นร้อยคนใส่เสื้อของ fashionistaa ไปนั่งในตู้กระจกเป็นหุ่นโชว์เสื้อที่มีชีวิตใจกลางนิวยอร์ค บวกกับงบประมาณที่มากพอจะผลักดันเรื่องนี้ให้ไวรัล ทำให้แบรนด์Working Lady เป็นที่รู้จักขึ้นมา

อันที่จริงความคิดสร้างสรรค์ก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็คืองบประมาณ…

และคราวนี้งบประมาณที่พวกเขาได้นั้นมากกว่าครั้งก่อน หมายความว่าแรงกดดันก็มากขึ้นตามไปด้วย

พาวเวอร์พอยนต์ของบิลลี่เป็นข้อเสนอจากทั้งเอเจนซี่โฆษณา และของเจ้าตัวเอง แดริลกวาดสายตาอ่านรายละเอียดในนั้น

...จะเหมาสเตเดี้ยมกีฬาเพื่อจัดอีเวนท์โดยที่ให้นักกีฬาทุกคนใช้เสื้อผ้าและรองเท้าแบรนด์ใหม่ของเรา? ... งบประมาณพอรับได้แต่ก็ต้องแบ่งสัดส่วนให้ดี ค่าจ้างนักกีฬาดังก็ไม่ได้ถูกเหมือนนางแบบหน้าใหม่ อย่างมากก็คงจ้างได้สองคนหากเราจะทำแคมเปญใหญ่ ส่วนที่เหลืออาจจะเป็นนักกีฬาหน้าใหม่หรือนักกีฬาไฮสคูลที่ดูมีความสามารถ

ดวงตาสีฟ้ากวาดมองข้อความบนพาวเวอร์พอยนต์เรื่อยๆ จนมาถึงหน้าที่หก ดวงตาก็เบิกขึ้นเล็กน้อย

ทำเป็นอีเวนท์การแข่งขันระหว่างนักกีฬาสองคน? นี่ก็น่าสนใจ...

สิ่งที่แดริลให้ความสนใจเป็นส่วนของครีเอทีฟและ Brand Identity เนื้อหาที่เหลือก็ไม่ใช่อะไรที่ชวนให้แปลกใจ เรื่องการขึ้นบิลบอร์ด การปล่อยโฆษณาลงช่องทางโซเชียลมีเดีย ล้วนเป็นเรื่องที่เขาคุ้นเคยดี เพียงกวาดสายตาผ่านๆ อีกไม่นานก็ไปถึงหน้าสุดท้าย

เอเจนซี่ที่รับงานนี้เป็นมาร์เกตติ้งเอเจนซี่ชื่อดังที่มีผลงานการันตีในคานส์ไลออนมาแล้วหลายปี จึงเชื่อถือได้ แต่ถึงแม้ว่าเอเจนซี่จะเชื่อถือได้แต่ก็จำเป็นจะต้องมีคนคอยประสานงาน คุมงบประมาณ อนุมัติงาน และทำให้มั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ในแบรนด์ไกด์ไลน์

‘บิล มาคุยกันในห้องทำงานผมที’ นิ้วมือเรียวยาวสไลด์ลงไปบนหน้าจอสมาร์ทโฟน พิมพ์ข้อความอย่างรวดเร็วและกดส่งไปให้ลูกน้องในโปรแกรมแชทอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเคาะประตู

“เข้ามา”

บิลเป็นชายหนุ่มร่างสูง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกการตลาด หน้าตาไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่น แต่งตัวเรียบๆ ด้วยเสื้อเชิ้นแขนยาว เนกไท และกางเกงสแล็คขายาว ทุกอย่างเรียบง่ายธรรมดา ประกอบกับรอยยิ้มซื่อๆ บนใบหน้าของเขาแล้วก็ทำให้รู้สึกว่าเป็นบุคคลที่ไม่เข้ากับอุตสาหกรรมแฟชั่นเลยสักนิด

แต่หมอนี่ขยันและทำงานดี ปัจจุบันก็อยู่ในตำแหน่งผู้จัดการ เรียกได้ว่าเป็นมือขวาของเขาเลยทีเดียว

ทันทีที่ชายร่างสูงผู้ดูจากภายนอกแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อว่าทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมแฟชั่นหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้เบื้องหน้าโต๊ะทำงานของ CMOบริษัทแล้ว แดริลก็เอ่ยปากทันที

“ตัวproposalที่ส่งมา ผมว่าดี” เขาเข้าเรื่องแบบไม่อ้อมค้อม ไม่ยอมเสียเวลาสักนาทีเดียว แม้ว่าบริษัทจะขยายใหญ่มากจนเกือบจะพ้นคำว่าสตาร์ทอัพแล้ว แต่วัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความรวดเร็วและกระชับก็ยังคงอยู่ “เรื่องจัดอีเวนท์ในสเตเดี้ยมแล้วทำถ่ายทอดสด หากค่าเช่าสเตเดี้ยมราคาตามนี้ ผมก็ว่าน่าสนใจมาก แต่ที่เราต้องโฟกัสน่าจะเป็นปัญหาที่ว่า นักกีฬาดังสองคนที่เราจะจ้างมา… เราต้องเลือกดีๆ ต้องเป็นคนที่กำลังอยู่ในความสนใจของสื่อ และเป็นคู่ที่ประชาชนอยากเห็นพวกเขาตีกัน”



“ครับบอส นั่นน่ะผมก็คิดอยู่ มีลิสต์ในใจแล้วด้วย ไว้ตกลงดีเทลกับเอเจนซี่ได้แล้วผมจะสรุปมาให้ดูอีกทีนะครับ”

แดริลพยักหน้ารับทราบ

“โปรเจกต์นี้ผมมอบหมายให้คุณแล้ว นั่นแปลว่าผมไว้ใจคุณ บิล คุณเสนอมาได้เลย” หลังจากพูดประโยคนั้นแล้วเจ้าคนซื่อก็เผยยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับทำท่าตะเบ๊ะเหมือนทหารในกองทัพ

“ครับ! ” เห็นดังนั้นแล้วมิสเตอร์เชนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เช่นกัน เขาเชื่อเสมอ ว่าหากปล่อยให้คนได้เป็นตัวของตัวเอง ได้คิดและแสดงความเห็น ก็มักจะมีผลผลิตดีๆ ออกมาจากพวกเขา และตัวเขาเองก็บริหารงานด้วยสไตล์แบบนี้

ไม่มีไอเดียที่โง่ ไม่มีไอเดียที่แย่ มีแต่ไอเดียที่นำไปใช้ และไอเดียที่ต้องพัฒนา อย่าทำให้คนรู้สึกด้อยค่า เพราะเมื่อพวกเขารู้สึกเช่นนั้น สิ่งที่พวกเขาสามารถมอบให้แก่บริษัทก็จะน้อยลงไปด้วย

“ไว้เรียกทีมการตลาดกับทีมโปรดั๊กชั่นมาประชุมพร้อมกัน ผมจะรอฟังความเห็นของทุกคน”



หลังจากมิสเตอร์เชนกล่าวสรุปแล้วพวกเขาก็คุยเรื่องสัพเพเหระกันต่อเล็กน้อย เช่นเรื่องที่ว่าบิลกำลังจะขอแฟนสาวหมั้นหมายในอีกไม่กี่เดือน กับแผนครอบครัวที่เขาวางไว้ในอนาคต สักพักหนึ่งเมื่อเวลาใกล้สิบเอ็ดโมง ผู้จัดการแผนกก็ขอตัวออกไปเคลียร์รีพอร์ทต่อ

แดริลมองไปยังพาวเวอร์พอยนท์บนจอแมคบุคของตนเอง นิ้วยาวเคาะปากกาลงบนโต๊ะอีกครั้ง และไม่นานริมฝีปากบางก็ระบายด้วยรอยยิ้ม

โปรเจกต์นี้ต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!

….



หนึ่งอาทิตย์ถัดมา...



หลังจากการออกกำลังกายยามเช้า บรรจงแต่งเนื้อแต่งตัวและหวีผม ซื้อกาแฟดำไม่ใส่นม ไม่ใส่ครีม และไม่ใส่น้ำตาล ในที่สุดแดริลก็มาถึงออฟฟิศ

เขาถูกต้อนรับโดยรีเซปชั่นสาวสวยที่พยายามจะชวนเขาไปเดทจนล้มเลิกความตั้งใจไปเมื่อสองเดือนก่อน จากนั้นก็จากแม่บ้าน และสาวๆ แผนกอื่น

มิสเตอร์เดวิด โจนส์ แผนกไอทีวันนี้ก็ไม่โกนหนวดเครา ใส่แว่นตาเลนส์หนาเตอะกับเสื้อเชิ้ตแขนสั้นตัวเดิมมาทำงานตามเคย

อันที่จริงเจ้าตัวเป็นถึง CIO แต่เพราะความที่ไม่ค่อยต้องออกไปเจอคน และงานด้านไอทีก็ไม่ใช่งานเล็ก ซึ่งหลายๆ ครั้งก็บังคับให้ต้องทำงานล่วงเวลา สารร่างในวันที่ไม่มีประชุมนอกบริษัทของเดวิดก็… มักจะเป็นแบบนี้ ซึ่งหลายๆ คนก็ดูจะชินกับเขาแล้ว

“ฮายแดริล วันนี้ก็แต่งตัวชวนให้แสบตาเหมือนเคยนะ” ฟังแล้วมิสเตอร์เชนก็ยกยิ้มบางขึ้นมาตามมารยาท

แต่คุณน่ะแต่งตัวเสียของอีกแล้วนะครับ

เขาคิด ทว่าไม่ได้พูด… คุณโจนส์คนนี้ บทจะโกนหนวด ถอดแว่น หยิบสูทมาใส่ขึ้นมา ก็โคต...รหล่อเลย แต่ก็อย่างที่ว่า หมอนี่เป็นผู้ชาย ‘หล่อเสียของ’ แถมเป็นชายทั้งแท่ง รสนิยมตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัดเสียอีก

แดริลแอบถอนหายใจเบาๆ ให้กับความคิดของตัวเอง ไม่บ่อยนักที่เดวิดจะแต่งตัวดีๆ ครั้งล่าสุดก็เป็นตอนประชุมนักลงทุนเมื่อสองเดือนที่แล้ว และเจ้าตัวก็ไม่ค่อยจะชอบออกไปประชุมเสียเท่าใดโดยไม่จำเป็น

“ผมไม่อยากโดนมิสเวสท์บ่นแบบคุณนะครับ” CMO หนุ่มพูดติดตลก หัวหน้าฝ่ายไอทีคนนี้มักจะโดน CEO ของบริษัทบ่นเสมอเรื่องที่อยูในบริษัทแฟชั่นก็ช่วยแต่งตัวให้มันดูได้สมกับที่อยู่ในบริษัทแฟชั่นหน่อย แต่เจ้าตัวก็ดูจะไม่สนใจแต่อย่างใด...

“มิสวีน่ะเหรอ? ทำหูทวนลมไม่สนใจไปก็ไม่เป็นไรแล้วน่า…”



“อีกอย่าง ผมมีประชุมกับบริษัทพาร์ทเนอร์บ่อยๆ ด้วย ยังไงก็ภาพลักษณ์บริษัทนะครับคุณเดวิด”



“อา...งั้นก็เหนื่อยหน่อยนะ เดี๋ยวฉันต้องไปก่อนล่ะ ระบบหลังบ้านมีปัญหา ต้องไปช่วยเด็กๆ น่ะ”



“ครับ ไว้เจอกัน” แดริลยกยิ้มเล็กน้อย พลางโบกมือให้ตามมารยาท รู้ดีว่าอีกฝ่ายก็แค่รีบเผ่นพอได้ยินคำว่าภาพลักษณ์บริษัทนั่นล่ะ



ชายหนุ่มผู้เป็นเกย์แท้ไม่มีความไบเจือปนยกข้อมือขึ้นมาปรับกระดุมเสื้อให้เข้าที่ ก่อนจะก้าวขาเดินต่อไปทางห้องทำงานของตนเอง

เธอว่าเขาเป็นเกย์หรือเปล่า

บ้าเหรอ คุณเชนเขามีแฟนสาวเป็นซุเปอร์โมเดลเชียวนะ

อาจจะคบหลอกๆ ก็ได้นี่! ผู้ชายแท้มีใครเขาเป๊ะขนาดนี้กันบ้างล่ะ

แต่ถ้าเป็นจริงก็น่าเสียดายแย่เลยนะ เฮ้อ

เสียงซุบซิบของสาวๆ แผนกอื่นขณะที่เจ้าตัวเดินผ่านเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มได้ยินผ่านหูเสียจนชิน อาจจะต้องโทษที่ประสาทรับเสียงเขาดีผิดมนุษย์มนา จริงๆ ก็อยากจะประกาศตัวออกไปแทบขาดใจ แต่ก็ไม่เห็นว่าทำแบบนั้นแล้วจะมีข้อดีอะไรนอกจากทำให้หายอึดอัดใจเฉยๆ

การที่เขาเป็นแฟนในนามของแคทเธอรีนก็สะดวกจะตายไป ไม่ต้องมาเสียเวลาอธิบายอะไรกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง ส่วนหนุ่มๆ ที่ทำงานน่ะ ไม่เข้าตาสักคน...ถ้าไม่หล่อเสียของแบบคุณเดวิด ก็เป็นเกย์ควีนที่ไม่ใช่ทางเขา สบตามองก็ผีเห็นผี ใจสื่อถึงใจ นี่มันเพื่อนสาวชัดๆ ไม่ใช่แมททีเรียลเอาไปทำแฟน ประเภทสุดท้ายก็เป็นผู้ชายแท้ๆ สุดแสนจะจืดชืดแบบบิล ฉะนั้นการประกาศตัวไปไม่ได้มีผลดีอะไรเลย สู้ปล่อยให้มันเป็นความลับของจักรวาลไปยังดีกว่า

ถึงเวลาสิบโมงตรงแดริล เชน ก็ก้าวขาเข้าห้องประชุม ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าแบบรู้หน้าที่ บนโต๊ะมีเอกสารที่ปรินท์วางไว้อย่างเรียบร้อย เครื่องโปรเจกเตอร์และไวท์บอร์ดก็ถูกเตรียมเอาไว้

CMOหนุ่มพยักหน้าพอใจ นั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะพร้อมประสานมือวางลงบนตัก ทอดสายตามองตรงไปยังทุกคนพร้อมกับคลี่ยิ้มออกมา

“ห้าปีแล้ว… ตั้งแต่ผมเริ่มทำงานที่บริษัทนี้ ในวันที่ผมเริ่ม พวกเรายังอยู่ในแชร์ออฟฟิศเล็กๆ ที่มีกันไม่ถึงสิบคนอยู่เลย” พูดถึงความหลังแล้วแดริลก็หัวเราะออกมาเบาๆ เขาสังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเพื่อนร่วมงานแต่ละคนด้วย “มาถึงวันนี้.. พวกเราเติบโตเร็วมาก จากสตาร์ทอัพเล็กๆ จนกลายเป็นยูนิคอร์นแล้วด้วยซ้ำ และวันนี้เราก็กำลังจะสร้างแบรนด์กันขึ้นมาอีกแบรนด์...”

เสียงกล่าวนั้นไม่ดังไม่เบา ทว่าทุกคนก็เงียบฟังอย่างตั้งใจ แดริลสบสายตาทุกคนในห้องประชุม จากนั้นก็ยกยิ้มมุมปาก และกล่าวออกมาด้วยเสียงกังวานว่า..

“สาดไอเดียออกมาให้เต็มที่เลย พวกคุณทุกคน”

หลังจบประโยคนั้นก็มีเสียงหัวเราะของเหล่าผู้คนในห้องประชุม บรรยากาศนั้นไม่ได้เคร่งเครียดแบบการประชุมสมัยเก่าที่เป็นภาพติดตาแต่อย่างใด

แดริลมักจะถามความเห็น เขารับฟัง และไม่เคยพูดว่าความคิดใครเป็นความคิดที่แย่ แม้มันจะฟังดูไม่เข้าท่า เขาก็แค่ชี้ให้เห็นว่าทำไมความคิดนั้นถึงไม่สามารถปรับใช้ได้จริง เช่นเรื่องนี้กินงบประมาณมากเกินไป เรื่องนี้น่าจะผิดแบรนด์ไกด์ไลน์ ส่วนเรื่องนี้ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย แต่ไม่ใช่ไอเดียที่ไม่ดี

ตั้งแต่ระดับหัวหน้าแผนกจนถึงระดับเด็กฝึกงาน ความคิดของทุกคนต้องได้รับการรับฟัง

แม้ว่าบริษัทจะโตจากสตาร์ทอัพมาจนมีระบบที่เริ่มเหมือนบริษัทใหญ่เข้าไปทุกที แต่เขาก็ยังอยากรักษาวัฒนธรรมองค์กรแบบนี้เอาไว้ และอีกอย่างคือ ผู้บริหารที่เก่งคือผู้บริหารที่สามารถดึงเอาศักยภาพของคนของเขาออกมาให้เต็มที่ไม่ใช่รึ? นั่นคือสิ่งที่มิสเวสต์บอกกับเขาในวันที่ชายหนุ่มวัยเรียนเริ่มฝึกงานที่บริษัทนี้

มันไม่สำคัญว่าคุณเป็นเด็ก เป็นคนแก่ สำคัญแค่ว่าคุณให้บริษัทได้แค่ไหน และหนึ่งในหน้าที่ของผู้บริหาร ก็คือพัฒนาผู้คน



เพราะพวกเขาเชื่อแบบนั้น ระดับบริหารขององค์กรแห่งนี้ส่วนมากจึงมีแต่คนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับวงการธุรกิจสตาร์ทอัพ



ทุกคนต่างออกความเห็นกันอย่างสนุกสนาน ในห้องประชุมแห่งนี้มีกฎอยู่ข้อหนึ่ง อย่าดูถูกความคิดของใครทั้งนั้น ฉะนั้นคนในแผนกการตลาดและโปรดั๊กชั่นจึงไม่กลัวที่จะแสดงความคิดเห็นให้หัวหน้าของพวกเขาฟัง ...จนสุดท้ายก็วนมาถึงตาของบิลผู้เป็นหัวหน้าแผนกที่จะออกความเห็น…



“ผมกับทีมได้ทำงานกับทางเอเจนซี่ แล้วคัดเลือกนักกีฬาที่เหมาะสมมาสองคนที่ไม่เกินงบประมาณที่ได้ตั้งไว้อย่างแน่นอน ผมคิดว่าเขาสองคนเพอร์เฟกต์มากสำหรับแคมเปญนี้ อยากให้คุณช่วยพิจารณาหน่อยครับ”



ดวงตาสีเขียวของบิลเป็นประกายวาว เวลาชายหนุ่มมีสายตาเช่นนี้ แดริลรู้ว่าเขาต้องมีไอเดียดีๆ อยู่อย่างแน่นอน



“ว่ามาสิ ผมรอฟังอยู่”

“อย่างที่รู้ๆ กันว่าอีกหกเดือนจะเข้าช่วงซุเปอร์โบล… และแคมเปญของเรากำหนดออกในอีกสี่เดือนพอดี ฉะนั้นผมเลยอยากโฟกัสที่กีฬาอเมริกันฟุตบอล”

แดริลพยักหน้ารับคำ คิ้วสีดำที่ถูกกันมาอย่างเพอร์เฟกต์ออกจะกระตุกน้อยๆ เมื่อได้ยินชื่อกีฬา…





แดริลไม่ดูอเมริกันฟุตบอลมาหลายปีแล้ว เขาบล็อกทุกแฮชแท็กและคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับซุเปอร์โบลบนทวิตเตอร์ และแทบจะงดตามข่าวในช่วงนั้น ซึ่งชายหนุ่มก็มีเหตุผล… ที่เจ้าตัวไม่อยากจะพูดถึงมัน

ไม่หรอกน่า… ไม่หรอก นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลก็มีตั้งมากมาย… คงจะไม่ซวย...

“วินเซนต์ ซัมเมอร์ นักกีฬามืออาชีพชื่อดังของลีกเจ้าของสถิติโลก กับ เกรกอรี่ วัตตส์ ดาวรุ่งพุ่งแรงดวงใหม่ที่กำลังทำผลงานได้ดี”

บัดซบเอ๊ย!!

CMOหนุ่มกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะหยิบกาแฟแสนขมขึ้นมาจิบ แล้วก็รู้สึกขมขื่นในใจกว่าเดิม

“เกรกอรี่ วัตตส์น่ะไม่เป็นไร...ก็ฟังดูดี แต่วินเซนต์น่าจะค่าตัวแพง แล้วเขาอยู่ในวงการมานานอีกไม่กี่ปีก็คงเกษียณแล้ว แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าเขาเป็นทางเลือกที่ดี? ”

“เรื่องค่าตัวน่ะไม่มีปัญหาหรอกครับ ทางเอเจนซี่ได้ราคามาถูกกว่าที่คาดไว้มากจนน่าประหลาดใจเลยล่ะ ส่วนเรื่องเกษียณ ยังไงถ้าไม่ใช่ในปีนี้ก็ไม่เป็นไร และผมคิดว่าถึงเขาเกษียณไปแล้วก็ยังเป็นไอคอนของวงการอเมริกันฟุตบอลอยู่ดี แบบนักกีฬาชื่อดังหลายๆ คนที่เลิกเล่นแล้วแต่ก็ยังดังอยู่” แรกเริ่มบิลดูงงเล็กน้อยที่เจ้านายของเขาคัดค้านขึ้นมาอย่างผิดวิสัย

วินเซนต์เป็นตัวเลือกที่ดี เขาดังระดับเดวิด เบคแฮม ของวงการอเมริกันฟุตบอลนั่นล่ะ ยิ่งจ้างมาได้ในราคาตามงบยิ่งดี

แดริลพยายามเค้นสมองหาเหตุผลเพื่อปฏิเสธ ทว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะปฏิเสธได้เลย ครั้นเงยหน้าขึ้นก็พบกับสายตาคาดหวัง…. ของทุกคนในห้อง

มันเป็นดีลที่ดี… ไม่ต้องบอกก็รู้ ถ้าได้นักกีฬาดังระดับนี้มาโปรโมท ตอนออกแบรนด์ Working Lady ช่วงนั้นแคทเธอรีนยังไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างเป็นซุเปอร์โมเดลแบบทุกวันนี้เลยด้วยซ้ำ



ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ… เขาจะปฏิเสธงานนี้ด้วยเหตุผลส่วนตัวไม่ได้… คนที่เป็นมืออาชีพพอไม่ควรปล่อยให้อารมณ์และเรื่องส่วนตัวมากระทบงาน… หรือกระทบส่วนรวม



ให้ตาย… บางทีเขาก็เกลียดตัวเองที่มีความรับผิดชอบมากเกินไป



แดริลกัดฟันแน่น ก่อนจะหลับตาลง



“ถ้า… เป็นแบบที่คุณว่า บิล… มันเป็นข้อเสนอที่ดี และเราก็ควรจะใช้เขา” ครั้นเมื่อดวงตาสีฟ้าเปิดขึ้นมามองทุกคนอีกครั้ง ริมฝีปากได้รูประบายรอยยิ้มบาง… ที่ไม่มีใครดูออกว่านั่นเป็นการฝืนยิ้ม



ฉันจะฆ่านาย บิล…



จู่ๆ ชายหนุ่มคนที่มีร่างกายสูงใหญ่ที่สุดในห้องเจ้าของเรือนผมสีฟางและดวงตาสีเขียวคนนั้นก็รู้สึกหนาวขั้วสันหลังขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำไมกันนะ… ทั้งๆ ที่บอสของเขาออกจะดูแฮปปี้ขนาดนี้



“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงเรื่องนี้ไปตามนี้แล้วกัน รบกวนสรุปรายงานการประชุมแล้วอีเมลมาให้ผมด้วยนะ”

พูดจบแล้วแดริลก็เก็บข้าวของและเผ่นออกจากห้องประชุมอย่างมีสไตล์… ให้อธิบายอย่างละเอียดหน่อยก็คือก้าวยาวๆ แต่ไม่ได้ดูรีบร้อนเกินไปจนเหมือนว่ากำลังหนีจากอะไรบางอย่าง ปล่อยให้ชายเสื้อสูทขยับไปตามแรงลมต้านน้อยๆ อย่างดูดีมีระดับ… แต่ในความเป็นจริงแล้วเจ้าตัวก็กำลังหนีจริงๆ นั่นล่ะ



เอาล่ะ ถ้ารวมลาพักร้อนกับหาข้ออ้างลากิจแล้วป่วยหนีอีกสักสองวัน คนเราจะสามารถลาหยุดได้ยาวสุดกี่วัน? ทั้งเดือนเลยได้ไหม จะไปไหนดีจะ โรม? ไม่สิ ไปนอนจิบน้ำมะพร้าวมันที่บาหลีเลยดีกว่า

คิดแล้วเขาก็หยิบซองบุหรี่ออกมา ดึงมวนบุหรี่ออกมาจุดไฟแช็กสูบ แล้วก็แทบสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงทักที่แสนคุ้นหู



“หืม.. แดริล? ”



“.....” ความคิดจะลาพักร้อนหนีความจริงมลายหายวับไปในพริบตา “ครับ… บอส”



“ไม่เห็นเธอลงมาสูบนานแล้วนะเนี่ย เครียดรึไง? ” ‘บอส’ หรือ CEO ของบริษัทนี้ โค้ดเนม เจ๊วี หรือวิเวียน เวสท์ สาวสวยแต่ยังโสด อายุเป็นความลับ แต่จากข้อมูลวงในเห็นบอกว่าเลขสามต้นๆ



แดริลอัดควันบุหรี่เข้าปอด พ่นลมออกมาช้าๆ ยกยิ้มที่หล่อที่สุดอย่างวางมาดแม้ในใจจะเหงื่อแตกพลั่ก



บอสครับผมอยากลาพักร้อนสักเดือน



ขืนพูดไปคงโดนส้นเข็มเฉาะหัวตาย…



“ครับ” เขารับคำแค่นั้น



“เห็นเธอสูบแค่เฉพาะเวลาเครียดจริงๆ มีเรื่องอะไรกวนใจรึไง” หญิงสาวจรดบุหรี่กับริมฝีปากที่ทาลิปแดงของดิออร์แอดดิคสี 661 (ใช่ครับ ผมแยกสีลิปของสาวๆ ออก ก็ผมเป็นเกย์) แล้วก็พ่นควันออกมาเบาๆ



“ไม่ใช่เรื่องงานหรอกครับ” อันที่จริงจะว่าเรื่องงานมันก็ใช่ แต่มันก็อยู่ในโซนเรื่องส่วนตัวด้วยเหมือนกันนี่

“ตายจริง จะประกาศตัวแล้วเหรอคุณเชน” คำถามนั่นทำให้แดริลแทบสำลักควัน บอสรู้อยู่แล้วเรื่องที่ว่าเขาชอบผู้ชายเพราะบังเอิญหล่อนไปเจอเขาที่เกย์บาร์… เธอเป็นผู้หญิงประเภทที่ชอบไปนั่งจิบเหล้าที่เกย์บาร์เพราะรู้สึกว่าที่นั่นปลอดภัยและเฟรนด์ลี่กว่าบาร์ปกติ แต่ต่อให้ไม่เจอกันที่เกย์บาร์ วิเวียนก็นึกสงสัยอยู่แล้ว

“ไม่ใช่ครับ! ” ชายหนุ่มกัดฟันตอบ และได้รับเสียงหัวเราะหึหึในลำคอกลับมาแทนคำตอบ บอสหยอกเขาเล่นอีกแล้ว…

“อยากเล่าไหม? ฉันรับฟังได้นะ ถึงไม่เกี่ยวกับงานก็เถอะ”

ไม่ต้องรับฟังแต่อนุมัติให้ลางานไปเลยได้ไหมครับ

คิ้วสีดำขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขาชั่งใจอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ส่ายหน้าออกมา



ไม่ควรมีใครรู้เรื่องนี้… หากข่าวรั่วออกไป คนที่เดือดร้อนไม่ได้มีแค่เขา



“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ” ฟังดังนั้นแล้วหญิงสาวผมบลอนด์ก็รับคำเบาๆ ส่วนแดริลก้มหน้าก้มตาสูบบุหรี่ต่อไป



ก้นบุหรี่ถูกทิ้งลงพื้น ตามด้วยส้นเข็มสีแดงที่ขยี้มันเสียจนสะเก็ดไฟดับมอด



“อืม… อย่างนั้นก็อย่าให้กระทบงานก็แล้วกัน แต่เรื่องนั้นเธอคงรู้อยู่แล้วล่ะนะ…” บอสใหญ่เงยหน้าขึ้น และคลี่ยิ้มหวานหยดย้อย… ที่ดูชวนให้เสียวสันหลังแปลกๆ

“ฉันไปก่อนล่ะ มีประชุมต่อ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็เมลมาแล้วกัน” ...แล้วหล่อนก็จิกส้นสูงเดินจากไปด้วยสีหน้าคล้ายว่าเห็นความคร่ำเครียดของเขาเป็นเรื่องบันเทิง ทิ้งชายหนุ่มให้แอบปาดเหงื่ออยู่ตามลำพัง





โอเค เรื่องลาพักร้อนนั่นเลิกคิดไปได้เลย





เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว...

เรื่องที่ต้องเผชิญหน้า ก็จำเป็นต้องเผชิญหน้า… แม้ไม่อยากแค่ไหนก็ตาม





ชายหนุ่มพ่นควันบุหรี่ออกจากปาก หลับตาลงประหนึ่งกำลังทำใจ… และคิดย้อนไปถึงความหลังอันแสนยาวนาน นานเสียจนความทรงจำทั้งมวลแทบจะสลายกลายเป็นควัน แต่ก็น่าแปลกที่เพียงหลับตาก็ยังเห็นภาพได้ชัดเจน





กี่ปีแล้วนะ… ที่เขาไม่ได้เจอคนคนนั้น…





ตั้งแต่อายุสิบเก้า… ก็เกือบสิบปีมาแล้วสินะ...
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 2 [24/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 24-11-2018 21:23:23
บทที่ 2 : When We First Met  (1/2)

แดริล เชน ในวัยสิบห้าปีเป็นเด็กหนุ่มที่มีชีวิตปกติ เนื่องเพราะยังไม่ระลึกชาติได้ว่าตัวเองชอบผู้ชาย เป็นคนเรียนดี ป๊อปปูลาร์ ชีวิตดูจะโรยด้วยกลีบกุหลาบและดำเนินไปราบรื่น…





ในตอนนั้นเขาไว้ผมสั้นเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป แต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนแบบเด็กผู้ชายทั่วไป... และคบหากับเด็กผู้ชายทั่วไป เรียกว่าก็ปกติดีทุกประการ





ถึงแม้ว่าแดริลจะค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาเดทแคทเธอรีนที่เป็นเชียร์ลีดเดอร์สาวสวย ซึ่งเป็นว่าที่ควีนบีกัปตันทีมเชียร์คนต่อไป (และหล่อนเป็นเลสเบี้ยน) จึงทำให้ไม่ค่อยมีสาวๆ กล้าเข้าหาเขานัก ทำให้ไม่เคยมีโอกาสได้เดทกับผู้หญิงจริงๆ สักที





ทั้งคู่เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่บ้านอยู่ใกล้กัน โดยที่พี่สาวของแคทเคยเป็นแฟนของพี่ชายแดริล จึงมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เด็กสองคนโดนปล่อยทิ้งไว้ด้วยกันบ่อยๆ แต่เพราะคุยกันถูกคอ ตอนหลังถึงแม้พี่สาวพี่ชายจะเลิกกันแล้ว พวกเขาก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน





อันที่จริงแดริลไม่ได้คิดเรื่องรสนิยมทางเพศของตัวเองอย่างจริงจังจนกระทั่งอายุได้สิบหกปี แต่เขาก็นึกแปลกใจอยู่บ้างที่ตัวเองไม่ค่อยสนใจจะมองผู้หญิง แต่กลับมองผู้ชายแทน… ส่วนแคทน่ะ หล่อนรู้ว่าตัวเองเป็นเลสเบี้ยนตั้งแต่อายุสิบสาม และก็ไม่ลังเลที่จะบอกแดริลเรื่องนี้





ถ้าจะเท้าความถึงจังหวะที่เขาได้รับรู้ว่าตัวเองนั้นเป็นเกย์ มันก็ออกจะน่าอายอยู่บ้าง และต้นตอของเรื่องน่าอายนั่นก็มาจากวินซ์… หรือวินเซนต์ ซัมเมอร์ ที่ตอนนั้นเป็นควอเตอร์แบคของทีมอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียน และตามจีบแคทเธอรีนอยู่ ซึ่งเพื่อนเลสเบี้ยนก็ดันใช้เขาเป็นโล่กันหมา และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทุกคนคิดว่าเขากำลังเดทแคทเธอรีน บราวน์ สาวสวยตัวแม่ของโรงเรียน





หลังจากนั้นแดริลในวัยสิบห้าปีก็โดนพ่อควอเตอร์แบคคนเก่งเขม่นเช้าเขม่นเย็น ไม่เป็นอันอยู่อย่างสงบ...





แม้เด็กหนุ่มมีผลการเรียนที่ดี แต่เขาไม่ได้โดนเหมาเข้ากับกลุ่มเนิร์ด การวางตัวทางสังคมของเขานั้นเรียกได้ว่าดีถึงดีมาก และเพราะปฏิบัติกับทุกคนอย่างสุภาพและไม่แบ่งแยก ก็ยิ่งทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดู จนในภายหลังช่วงปีซีเนียร์ที่ลงเลือกตั้งสภา เขาก็ได้รับตำแหน่งประธานนักเรียน ซึ่งอันที่จริงก่อนหน้านั้นเขาก็อยู่ในสภานักเรียนมาตั้งแต่เกรดสิบแล้ว



เพราะแบบนั้นทีมอเมริกันฟุตบอลชายถึงรังแกแดริลได้ยาก แต่สิ่งที่เห็นบ่อยคือสายตาอิจฉาที่ส่งมาให้ทั้งเช้าทั้งเย็น เพราะล็อกเกอร์ของพวกเขาดันอยู่ติดๆ กัน…





พูดก็พูด วินซ์เองก็อยู่ละแวกบ้านเดียวกับเขาและแคทเธอรีน โดยเพิ่งย้ายมาตอนเกรดเก้า อยู่เยื้องไปไม่กี่หลัง





วินเซนต์มีรูปร่างสูงใหญ่ตามแบบฉบับนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ประกอบกับหน้าตาหล่อเหลา ผมสีบลอนด์ ตาเขียวโดดเด่น และตำแหน่งควอเตอร์แบค เขาก็คือคาร์แรคเตอร์พระเอกสุดหล่อที่หาได้ทั่วไปในหนังวัยรุ่นสไตล์อเมริกันดรีม แต่หมอนั่นก็ไม่ได้โง่ขนาดในหนังเรื่องอเมริกันพาย





ความประทับใจแรกพบระหว่างแดริลและวินซ์นั้น… ถ้าพูดก็ต้องพูดย้อนไปถึงช่วงปลายเกรดเก้า ระหว่างที่เขากำลังเดินกลับบ้านจากโรงเรียนกับแคทเธอรีน จู่ๆ ก็มีลูกอเมริกันฟุตบอลร่วงมาจากฟ้า เฉียดหัวไปไม่กี่มิลลิเมตร

ดวงตาสีฟ้าของเด็กหนุ่มเบิกโตเกือบเท่าไข่ห่าน มองบอลที่กลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น สักพักก็กลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่อย่างหวาดเสียว





...หากโดนกระแทกเข้าจังๆ คงได้น็อกกันบ้างล่ะงานนี้





ส่วนแคทเธอรีนน่ะหรือ? เดินหลังเขาอยู่ประมาณสามก้าวเพราะมัวแต่ส่องกระจกเช็คหนังหน้า จึงปลอดภัย สบายใจ ไร้กังวล





“เฮ้ ขอโทษที ใครเป็นอะไรรึเปล่า” เสียงตะโกนนั่นเรียกความสนใจจากแดริลทันที วินเซนต์สวมชุดนักกีฬาสำหรับฝึกซ้อม ผมชุ่มเหงื่อ ในตอนนั้นเด็กหนุ่มยังไม่ได้บึกบึนมากนัก แต่ก็จัดว่าสูงเกินเด็กวัยเดียวกันไปโข

และขณะที่แดริลกำลังจะอ้าปากบอกให้อีกฝ่ายหัดระวังให้มากกว่านี้ (บอลเวรนั่นเกือบจะกระแทกหัวหล่อๆ นี่เต็มๆ แล้ว หน้าเป็นแผลใครจะรับผิดชอบ?) … วินซ์… หมอนั่น…. ก็….





...เมินเขาแล้วเดินเลยไปหาแคทเธอรีน บราวน์หน้าตาเฉย ราวกับเหยื่อเคราะห์ร้ายตัวจริงเป็นอากาศธาตุก็ไม่ปาน (ขณะที่หล่อนกำลังส่องเล็บสีชมพูเป็นประกายวิ้งวับของตนเองอย่างไม่สนใจความปลอดภัยของเพื่อนเลย)





แดริลอ้าปากค้าง และยืนค้างอยู่ตรงนั้น...





“เป็นอะไรรึเปล่าน่ะ ไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม? ” น้ำเสียงและสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยนั่นมอบให้สาวน้อยผมบรูเนตต์คนสวยที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นจากการมองเล็บตัวเองมาเลิกคิ้วงง

“ไม่เป็นอะไรนี่… นายเป็นใครน่ะ? ”





เฮ้ คนที่โดนบอลเฉี่ยวหัวเกือบน็อกน่ะมันคนนี้เว้ย!! ไม่ใช่ยัยนั่น!!





“โล่งอกไปที ผมวินเซนต์ เรียกวินซ์ก็ได้ เพิ่งย้ายมาอยู่บ้านหลังที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านคุณห่างออกไปเจ็ดหลัง” โห มันมีนับจำนวนมาด้วย โอ้โห ชัดเจนมากว่ามาหลีสาว!! ดูมันสิ ดู!!





“โอเค วินซ์ ฉันแคทเธอรีน ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เพื่อนสาวของเขายิ้มให้อีกฝ่ายตามมารยาท ก่อนจะส่งสายตามาทางแดริลอย่างต้องการสื่อความหมายอะไรบางอย่าง





มาช่วยฉันเร็วๆ หน่อยสิ ฉันเป็นเลสเบี้ยนนะยะจะให้ยืนเจ๊าะแจ๊ะกับผู้ชายไปอีกนานไหม





ช่วยตัวเองสิยัยบ้า





แดริล ที่รัก ไม่เอาน่า เธอเป็นเพื่อนรักฉันนะ





เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ก็ใช่ว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นน้อยเสียเมื่อไหร่เพราะแคทเป็นสาวสวยสุดป๊อบประจำไฮสคูล… และขณะที่วินเซนต์กำลังพยายามจะถามไปถึงวันเดือนปีเกิดของสาวเจ้าแล้วนั้น ร่างหนึ่งก็เข้าไปแทรกกลางระหว่างคู่นักกีฬา-เชียร์ลีดเดอร์คู่นั้น คว้าข้อมือสาวเจ้า แล้วดึงเธอเดินหนีเอาดื้อๆ





“ไปกันได้แล้ว แคทเธอรีน… เธอบอกว่าอยากไปดูหนังเรื่องนั้นไม่ใช่เหรอ ใกล้จะถึงรอบฉายแล้ว เดี๋ยวก็ไปสายหรอก ที่รัก” แดริลเค้นยิ้มออกมาอย่างที่ดู ‘สุภาพบุรุษผู้กำลังหึง’ ที่สุดเท่าที่ทำได้





“ตายจริง… ฉันนี่แย่จัง ลืมไปเลยค่ะที่รัก ขอตัวก่อนนะจ๊ะวินซ์ บาย” หล่อนหันไปส่งยิ้มหวานให้พ่อนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล โบกมือให้น้อยๆ แบบพยายามรักษาความนิยมของตัวเอง ก่อนจะระริกระรี้เดินตามมาอย่างยินดี

ที่รักบ้านหล่อนสิ น่าขนลุกชะมัด...



และสายตาของหมอนั่นที่มองมาทางเขา… ไม่เป็นมิตรเลยสักนิด ดูเหมือนกับสิงโตตัวผู้ที่โดนแย่งตัวเมียไปต่อหน้าต่อตาและพร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ





แคท… หล่อนน่ะ รักษาความนิยมเอาไว้ได้ แต่เพื่อนนี่สิ… แทบจะได้นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลค่อนทีมเป็นศัตรูแล้ว.. หากไม่ทำตัวเป็นไนซ์กายให้คนรักคนชอบป่านนี้น่าจะโดนอัดจนบี้แบนคาล็อกเกอร์ไปแล้ว





แต่ฮัลโหล เฮ้ พวกนาย ยัยนี่น่ะเป็นเลสเบี้ยน ได้ยินไหม เลสเบี้ยน และนางเบี้ยนกับเพื่อนเชียร์ลีดเดอร์ของตัวเองด้วย!!





เด็กหนุ่มรู้สึกอยากวิ่งไปกลางสนามซ้อมบอลแล้วตะโกนออกมาสุดเสียง แคทเธอรีน บราวน์ เป็นเลสเบี้ยน ฉันไม่เกี่ยวเฟ้ย!!!! แต่นั่นน่ะทำได้ที่ไหนกัน...





พูดไปแล้วแดริลก็ทำได้แค่เพียงถอนหายใจอย่างปลงในชะตากรรมตนเอง แต่พอนึกถึงบอลที่พุ่งเฉียดหัวเขาแล้ว เด็กหนุ่มก็เผลอหลุดยิ้มเย้ย ‘สมน้ำหน้า’ ใส่ไอ้คนสาวไม่แลตรงหน้า…





และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างเขากับวินซ์… ซึ่งคิดแล้วก็ตลกเป็นบ้า





สงครามแย่งเลสเบี้ยน (ที่แดริลไม่ได้อยากจะได้ด้วยซ้ำ)





ในเดือนต่อมาขณะที่แดริล เชนกำลังเก็บหนังสือใส่ล็อกเกอร์ จู่ๆ ประตูล็อกเกอร์สีเทาก็ปิดปังใส่หน้าก่อนที่ทันจะได้เก็บหนังสือเรียนเล่มสุดท้าย...



แดริลไม่ใช่เด็กหนุ่มตัวเล็ก ร่างกายของเขาค่อนไปทางผอม แต่ไม่ได้บางไร้กล้ามเนื้อ เขาออกกำลังกายสม่ำเสมอ และส่วนสูงก็ไม่ได้น้อยไปกว่าผู้ชายวัยเดียวกัน ทว่าวินซ์นั้นตัวใหญ่เกินมาตรฐานเด็กไฮสคูลไปมาก





ร่างที่เล็กกว่ากันประมาณเจ็ดเซนติเมตรเงยขึ้น พลางหรี่ตามองไอ้คนหยาบคายที่มากระแทกประตูล็อกเกอร์ของเขา





“มีอะไร? ” สิ้นคำถาม วินซ์แสยะยิ้มขณะโน้มหน้าลงมาใกล้ ท่าทางข่มขวัญชัดเจน โดยที่ในแบคกราวนด์มีเพื่อนนักกีฬาสอง-สามคนยืนขำกันอย่างกับฝูงไฮยีน่า





“เปล่า ก็แค่เกะกะ”





เจ้าตัวตอบแค่นั้น ก่อนจะล้วงมือใส่กระเป๋าเสื้อแจ็คเกตและเดินจากไปโดยไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น เพื่อนนักกีฬาพวกนั้นก็หัวเราะกันเหมือนกำลังชมเรื่องตลก หนึ่งในนั้นยกมือขึ้นตบบ่าแดริลแรงๆ สองที

“สู้เขาละเพื่อน” หมอนี่ชื่อเจฟฟ์… อยู่โรงเรียนนี้มาตั้งแต่เกรดเจ็ด ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไรกัน แต่ก็ดูจะสนุกกับเรื่องนี้พอควร





แกงค์นักกีฬาพากันเดินจากไป ทั้งยังหัวเราะครื้นเครงสนุกสนาน





อันที่จริงตอนหลังที่วินซ์ดูเลิกสนใจแคทแล้ว หมอนั่นก็ยังขยันมาหาเรื่องเขาอยู่ดี...





เหตุการณ์ประมาณนี้เกิดขึ้นหลายครั้งในปีนั้น ทว่าหลังจากเกิดขึ้นสอง-สามครั้ง แดริลก็มั่นใจแล้วว่าหมอนี่จะไม่ลงมือทำร้ายเขา เท่าที่ไปสืบข่าวซุบซิบมาคาดว่าน่าจะโดนทัณฑ์บนจากโค้ชของเจ้าตัวเรื่องการทะเลาะวิวาท... หากมีเรื่องชกต่อยอีกวินเซนต์จะต้องออกจากการเป็นตัวจริงในทีมโรงเรียน





เพราะเหตุนั้นการแกล้งกันจึงออกมาในรูปแบบปัญญาอ่อนเหมือนเด็กประถมแทน… เช่นการเตะถัง… ตบล็อกเกอร์… เล็งปาดอดจ์บอลใส่ระหว่างคาบพละ





แกล้งกันเป็นเด็กๆ … แต่ว่าไปแล้วตอนนั้นพวกเขาก็แค่เด็กสิบห้า…





แดริลเคยนั่งพิจารณาว่าทำไมตัวเองตกเป็นเป้าของเรื่องไร้สาระแบบนี้ ก็คิดได้แค่ว่าทางนั้นคงจะเสียหน้าพอสมควรที่โดนสาวคนดังของโรงเรียนปฏิเสธไปเลือกผู้ชายคนอื่น… ละมั้ง ถึงไม่ยอมล้มเลิกเสียที





วินซ์เข้ามาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ได้เพราะทุนกีฬา ในด้านอเมริกันฟุตบอล เด็กหนุ่มมีพรสวรรค์มาก และประกอบกับรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา ก็ดูยากที่จะถูกสาวปฏิเสธจริงๆ





พอผ่านไปเกือบปี จากแรกเริ่มที่เป็นความรำคาญก็กลายเป็นความเคยชินแปลกๆ … จนเหมือนว่าถ้าวันนี้ไม่ได้กระทบกระทั่งกับวินเซนต์จะรู้สึกเหมือนว่ายังมาไม่ถึงโรงเรียน





นิ้วมือยาววางลงบนหนังสือวิทยาศาสตร์ บรรจงจัดมันเข้าไปในล็อกเกอร์เบอร์ 604 ครั้นตรวจความเรียบร้อยของสันหนังสือที่วางเรียงไล่ตามคาบกันอย่างเป็นระเบียบแล้ว เจ้าตัวก็พยักหน้าพอใจ





เขายืนอยู่แบบนั้น เหลือบมองนาฬิกา พร้อมกับนับถอยหลังในใจ





5...4...3...2...1



ปัง!





“...อรุณสวัสดิ์ วินเซนต์” เด็กหนุ่มผมดำกล่าวเสียงเนือย ขณะหยิบกุญแจล็อกเกอร์มาไขปิดอย่างรู้งาน

“อย่าทักเหมือนฉันเป็นเพื่อนนายสิ ไอ้แห้ง” บางทีแดริลก็สงสัยเหลือเกิน ว่าทำไมวินซ์ถึงไม่เรียกเขาไปต่อยให้รู้แล้วรู้รอด แทนที่จะมาทำเรื่องเสียเวลาแบบนี้ทุกวัน ด้วยแรงของอีกฝ่าย ยังไงซะเขาก็สู้ไม่ไหว

“ฉันไม่ได้แห้ง แค่กล้ามนายมันเยอะเกินไปจนขึ้นไปถึงสมองแล้วต่างหาก” เด็กหนุ่มยกยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างใจเย็น

“เสียใจด้วยนะ เกรดเฉลี่ยฉันเกินสามว่ะ” วินซ์ยิ้มตอบอย่างดูจะใจเย็นเช่นกัน

“ฉัน3.9” แดริล

“ปีนี้ทีมฉันจะไปแข่งระดับประเทศ ใครเขามีเวลาว่างมาปั่นเกรดแบบนายกัน? ” วินซ์

“เฮ้ พวกนายเลิกจีบกันได้แล้ว อีกสิบนาทีโฮมรูมจะเริ่มแล้วนะ” เจฟฟ์ หนึ่งในนักกีฬาทีมอเมริกันฟุตบอลกล่าวขึ้นมาลอยๆ ขณะเดินผ่านไป…

“ไม่ได้จีบกัน!! ” ทั้งคู่





เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นก่อนสอบไฟนอลไม่นาน และหลังจากนั้นเมื่อพ้นช่วงสอบแล้วก็เข้าสู่ช่วงปิดเทอม…





เด็กหนุ่มหลงนึกดีใจว่าปิดเทอมก็เท่ากับว่าง เขาจะได้เล่นเกมและอ่านการ์ตูนเท่าที่ใจอยาก อีกทั้งไม่มีใครมากวนอารมณ์… แต่แดริลคิดผิด... ผิดมหันต์





“ช่วงที้ที่โบสถ์มีงานการกุศล ว่างๆ ก็มาช่วยแม่หน่อยสิ”



แม่ยังไม่ทันพูดจบประโยค ซีมัสพี่ชายตัวดีก็เผ่นแน่บออกนอกประตูราวกับรองเท้าติดจรวดไปเรียบร้อยแล้ว… เด็กหนุ่มได้แต่มองทางซ้ายที ขวาที อย่างน่าสงสาร ไม่มีใครหรืออะไรที่จะช่วยเขาจากเงื้อมมือมารดาที่กระทำในนามของพระผู้เป็นเจ้าได้ทั้งนั้น….





ในวันรุ่งขึ้น แดริล เชน จึงจำใจลากสังขารไปโบสถ์พร้อมกับมารดา เพื่อช่วยงานการกุศล… ซึ่งนั่นก็คือ….ขายคุกกี้….





พวกป้าพวกนี้เห็นเขาเป็นเนตรนารีรึไงกัน ให้ไปตระเวนขายอย่างกับคุกกี้เนตรนารีไม่มีผิด แถมให้เหตุผลว่า ‘ให้เด็กหนุ่มน่ารักๆ อย่างพวกเธอไปขาย รับรองต้องขายดีในหมู่แม่บ้านชัวร์’





… ช่วยด้วยครับ ผมโดนแม่เอามาขาย





จะหัวเราะก็ไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ มองซ้ายมองขวาหันไปมาก็ได้เจอผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกัน…





วินเซนต์ ซัมเมอร์…. ที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่แม่ตัวเองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล





“วินเซนต์มาพอดีเลย พวกเธอไปขายคุกกี้ด้วยกันนะ แล้วเก็บเงินกลับมาให้ครบ กลับมาที่โบสถ์ก่อนหกโมงเย็นล่ะ โชคดีจ้ะ”





แม่พูดแบบนั้น แล้วก็ยัดเยียดกระเป๋าที่อัดแน่นด้วยกล่องคุกกี้ใส่มือเขาและวินซ์คนละใบ จากนั้นก็ชี้มือไปที่จักรยานสองคัน..





พวกเขามองหน้ากันด้วยสายตาเพลียใจ หลังจูงจักรยานออกมาได้สักพักแล้ว วินซ์ก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน





“ทำไมฉันต้องไปกับนายด้วย” วินซ์

“นั่นมันคำพูดของทางนี้ตะหาก” แดริล

“เฉิ่มชะมัด…” วินซ์

“อย่างกับคุกกี้เนตรนารี…” แดริล

“เฮ้อ” วินซ์

“เฮ้อ” แดริล





หลังจากทำหน้าเหม็นเบื่อใส่กันเองแล้วพวกเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาขายคุกกี้เพื่อให้มันหมดๆ ไป จะได้รีบกลับบ้านและไปให้พ้นๆ หน้าอีกฝ่ายได้เป็นดี





กดกริ่งบ้านหลังแล้วหลังเล่า ซึ่งส่วนมากก็เป็นแม่บ้าน และล้วนเอ็นดูพวกเขากันทั้งนั้น…





ราวๆ สี่โมงเย็นคุกกี้ก็ขายออกเกลี้ยงจนหมดกระเป๋า เด็กหนุ่มทั้งสองรีบมุ่งหน้ากลับโบสถ์เพื่อไปส่งมอบเงินจากการขาย โดยไม่พูดอะไรกันเลยระหว่างทางกลับ





“โอ้โห ขายได้ขนาดนี้เลยเหรอ เก่งมากจ้ะพวกเธอ” แม่บังเกิดเกล้าของเขากล่าวชมขณะนับเงินบริจาคที่ได้มาจากการขายคุกกี้





“อย่างนั้นผมกลับบ้านก่อนนะฮะแม่...”





“ขายดีแบบนี้พรุ่งนี้มาช่วยขายใหม่นะ” แม่บังเกิดเกล้าของเขายิ้ม





เขานิ่งไป… วินซ์เองก็ชะงักไป





“เพื่อการกุศลนะจ๊ะ”





“....ครับ” แดริล

“......ครับ” วินซ์





...และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด



แปดโมงเช้าในเดือนปิดเทอมฤดูร้อน แทนที่จะได้นอนอุตุเอาแรงเหมือนเด็กคนอื่นๆ แดริล เชน ลากจักรยานสีแดงคันเก่งของตนออกมาจากโบสถ์และปั่นออกไปด้วยสีหน้าคล้ายปลาตาย ในกระเป๋าเป้อัดแน่นไปด้วยคุกกี้การกุศล ส่วนด้านหลังก็คือเพื่อนร่วมทางที่ไม่อยากจะมีเลยสักนิดเดียว





“นายเอาสมุดจดมาหรือเปล่า? ” เด็กหนุ่มถามเสียงเนือยอย่างคนที่นอนไม่พอ

“เอามา” นักกีฬาโรงเรียนตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกันนัก

“ขอดูหน่อย ฉันจะเช็กว่าเหลือบ้านไหนที่เรายังไม่ได้ไปบ้าง” แดริลหยุดจอดจักรยานข้างทาง แบมือรอรับสมุดปกสีน้ำเงินเรียบที่ด้านในจดลิสต์บ้านที่พวกเขาไปขายคุกกี้กันมาแล้ว “หากตรงไปทางนี้แล้วไปอ้อมที่หัวมุมถนน… ก็น่าจะย่นระยะทางได้อีกหน่อย”

“จะทำอะไรก็รีบๆ ทำเถอะ ฉันอยากกลับบ้านไปเล่นเกมจะแย่อยู่แล้ว” เจ้าคนสมองกล้ามเนื้อบ่นขณะเท้าแขนกับแฮนด์จักรยาน

“ฉันก็อยาก อย่าบ่นเลยน่า” หลังจากหยิบปากกาออกมาวงทำเครื่องหมายไปสอง-สามทีแล้วแดริลก็ยัดสมุดกลับเข้ากระเป๋าเป้ ในจังหวะที่ออกตัวปั่นจักรยานอีกครั้งมือของเด็กหนุ่มกลับลื่นจับแฮนด์ไว้ไม่อยู่ ทำให้ล้อตกลงจากฟุตบาทข้างทาง พาเอาคนขี่ล้มไปกองไม่เป็นท่าอยู่บนพื้นคอนกรีต





“อูย… เจ็บชะมัด…” แทนที่จะได้ยินเสียงคำถามเป็นห่วงเป็นใยตามที่เพื่อนมนุษย์ดีๆ พึงจะถามกัน สิ่งแรกที่แดริล เชน ได้ยินคือเสียงระเบิดหัวเราะที่ฟังแล้วรู้สึกอยากเหยียบเจ้าของเสียงให้ตาย





“ทำอะไรของแกวะเนี่ยไอ้แห้ง ท่าล้มตลกเป็นบ้า ฮ่าๆ ๆ ”





ไอ้เวรเอ๊ย





แดริลหรี่ตามองคนขำ สำรวจดูตรงแขนก็พบกับรอยถลอกยาวกับเลือดซิบจากบาดแผล





“ขำพอรึยัง” ร่างซึ่งผอมกว่าบ่นงึมงำด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง ขณะพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้น มือหนาที่ข้อนิ้วด้านจากการเล่นกีฬาก็เอื้อมมาฉุดแขนเขาดึงขึ้น… ดูๆ แล้วมันก็คือการช่วยพยุง แต่เป็นการช่วยแบบรุนแรงสักหน่อย





“เจ็บนะเฟ้ยไอ้บ้ากล้ามนี่!! ” คนเจ็บพยายามจะสะบัดแขนออก ทว่าคนจับก็จับเสียแน่นเกินไปจนสะบัดไม่หลุด

“ไปทำแผลกันก่อน บ้านฉันอยู่ข้างหน้า” แดริลเบ้ปากลงเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าแรงที่ดึงแขนลดลงไปกว่าครึ่ง เลยกัดฟันเดินตามไปด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ





แน่ล่ะ ให้คนที่เขาเกลียดขี้หน้ามาเห็นในสภาพดูไม่ได้แบบนี้ ใครมันจะเต็มใจกัน และที่น่าโมโหกว่านั้นคือเจ้าคนที่ว่านั่นกลั้นขำตลอดทางจากจุดเกิดเหตุจนถึงประตูบ้าน





แดริลถลึงตามองร่างที่สูงจนผิดวิสัยเด็กสิบห้าอย่างอดไม่ได้





“ท่าล้มตลกเป็นบ้า อุ๊บ ฮ่าๆ ๆ ”

“หุบปาก” เด็กหนุ่มมีสีหน้าบึ้งตึงไปจนถึงหน้าประตูบ้านหลังใหญ่ที่หน้าบ้านปลูกต้นแอปเปิล วินซ์เดินนำเข้าไปในบ้าน แม้ไฟปิดอยู่แต่แสงจากหน้าต่างที่เปิดม่านอยู่ก็ทำให้ทั้งบ้านสว่างไสว




หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 2 [24/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 24-11-2018 21:24:43
(2/2)

“ใช้กล่องพยาบาลในห้องฉันแล้วกัน เดี๋ยวเลือดนายเลอะโซฟาแล้วแม่จะดุเอา”

“นี่นายมีกล่องพยาบาลอยู่ในห้องนอน? ” ร่างซึ่งเล็กกว่าเลิกคิ้วเล็กน้อย มองเจ้าของบ้านผลักเปิดประตูห้องนอน

“ฉันเล่นกีฬา ไอ้พวกแผลถลอกก็ได้กลับมาบ่อย ทำแผลในห้องนอนตัวเองมันสะดวกกว่า ไม่ต้องถามนั่นถามนี่มากน่ะ ส่งแขนมา” เด็กหนุ่มผมดำกลอกตาเล็กน้อย พลางยื่นแขนข้างที่บาดเจ็บส่งให้แต่โดยดี





“เพราะไม่อยากให้แม่รู้? ” มือใหญ่ที่ถือสำลีเพื่อล้างทำความสะอาดแผลชะงักเล็กน้อย ต่อมาก็กดลงบนแผลถลอกของเจ้าของคำถามแบบไม่ได้เบานัก





“โอ๊ย ไอ้$@&@ (* เจ็บนะเฟ้ย ปล่อยเลย ฉันทำเอง!! ” คนเจ็บพยายามดึงแขนกลับ ทว่าเพราะแรงจับอีกฝ่ายมากไปถึงพยายามสะบัดแล้วก็ขยับไม่ได้





“นิ่งๆ น่า” วินเซนต์ไมได้ขอโทษหรือยอมปล่อย ทว่าน้ำหนักมือที่ถือสำลีกลับเบาลงอย่างเห็นได้ชัด “ใครจะไปรู้ว่านายมันบอบบาง นิดๆ หน่อยๆ ก็แหกปากซะ”



“ฉันไม่ได้บอบบาง นายมันถึกทนเกินไปต่างหาก” ดวงตาสีเขียวเหลือบมองคนพูด ก่อนจะระบายลมหายใจออกน้อยๆ





“นายจะไม่พูดจาหาเรื่องสักวันได้ไหม” พอล้างแผลสะอาดแล้วมือใหญ่ก็หยิบขวดยาฆ่าเชื้อออกมาถือเอาไว้ “แสบหน่อย ทนล่ะ”





และโดยไม่ตักไม่เตือน ยาสีเข้มก็ถูกหยดลงบนแผลถลอกทีละหยด ครั้งนี้แดริลไม่ได้โวยวาย แต่หลับตาแน่น เด็กหนุ่มไม่ชอบแผล ไม่ชอบเลือด และยิ่งไม่ชอบเจ็บตัว เขากัดฟันจนน้ำตาซึมน้อยๆ แรกเริ่มที่ยาโดนแผลสด ความเจ็บแสบก็กระจายไปทั่วแขน ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมามันก็ทุเลาลงจนแดริลค่อยๆ ลืมตาขึ้น





วินซ์แปะผ้ากอซกับเทปให้เรียบร้อยอย่างคนที่ดูจะชินกับการทำเรื่องแบบนี้





อเมริกันฟุตบอลเป็นกีฬาที่รุนแรง ก็ไม่แปลกนักหรอกที่อีกฝ่ายจะบาดเจ็บเป็นแผลบ่อยๆ ….





“นายไม่ได้คบกับแคทจริงๆ หรอกใช่ไหม”





เด็กหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ยังคงก้มหน้ามองผ้าปิดแผลไม่ยอมเงยมองสบตาคนถาม





“ทำไมถึงคิดแบบนั้น? ” แดริลเผลอกำมือแน่น พยายามไม่ให้มีพิรุธ





“เพราะหล่อนเป็นเลสเบี้ยน” น้ำเสียงนั้นราบเรียบคล้ายกำลังกล่าวเรื่องดินฟ้าอากาศ มือคู่ใหญ่ที่เต็มไปด้วยร่องรอยจากการเล่นกีฬาค่อยๆ เก็บยาและผ้าพันแผลลงกล่องทีละชิ้น





“.....ไม่เอาน่า ต่อให้เธอไม่เลือกนาย นายก็ไม่ควรพูดถึงแฟนฉันแบบนี้นะ” ใจของผู้ฟังหายวูบ แต่เขาก็ยังต้องแกล้งทำเป็นขึ้นเสียงใส่วินเซนต์ หากเรื่องนี้หลุดออกไปแคทต้องประสาทเสียแน่ และคนที่ต้องรับมือกับอารมณ์ประหนึ่งโรลเลอร์โคสเตอร์ของหล่อนก็คือเขา… พระเจ้าช่วยช่วงนี้แคทรอบเดือนมาด้วย





“ฉันเห็นแคทจูบกับแอชลีย์”





“...ก็แค่พวกผู้หญิงเล่นกัน หยุดเซ้าซี้เรื่องนี้ได้แล้ววินเซนต์” ดวงตาสีฟ้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่ยอมหันไปสบตาผู้พูด





“ไม่เอาน่า เชน พวกนายไปไหนมาไหนไม่ได้จับมือกันด้วยซ้ำ”

“นายเป็นสตอล์กเกอร์หรือไง น่าขนลุกชะมัด”

“ช่วยไม่ได้ หล่อนเป็นสาวสวย ตาฉันเลยเผลอมอตามตลอด” ฟังแล้วแดริลก็กลอกตาซ้ำอีกรอบ

“ถ้าไม่ใช่ว่านายมันไก่อ่อนจนโดนนอกใจ ก็คือพวกนายกำลังโกหก” นิ้วชี้ที่มีรอยด้านจากการเล่นกีฬาจิ้มเข้าที่อกของคนที่ผอมกว่าซ้ำๆ





แดริลไม่รู้ควรพูดอะไรเพื่อแก้ต่าง เอาล่ะ ข้อแรกมันก็ความผิดของแคทเองที่ไปจูบกับแอชลีย์ที่โรงเรียน ไม่ใช่ความผิดเขาสักหน่อย แม่นั่นจะมาลงกับเขาไม่ได้เด็ดขาด



แต่… อย่างไรซะแคทก็เป็นเพื่อนรัก… หากเพื่อนไม่ระวังหลังให้กันแล้วใครจะทำล่ะ?





“แล้วนายคิดจะทำยังไง แฉเธอแค่เพราะเธอปฏิเสธนาย? ควอเตอร์แบคประจำทีมโรงเรียนรับคำปฏิเสธของสาวไม่ได้เลยจะทำให้เธอกลายเป็นตัวตลกแทนหรือไง? ” แดริล เชน หรี่ตาลงมองพ่อนักกีฬาร่างใหญ่ที่ดูจะไม่ยี่หระกับท่าทางคล้ายแมวขู่ของเขาเท่าใดนัก…



“ในสายตานายฉันมันเป็นคนที่แย่บัดซบขนาดนั้นเลยสินะ เชน? ” วินซ์ยกยิ้มขำ ขณะเก็บผ้าพันแผลลงกล่องปฐมพยาบาล “ไม่ต้องห่วง ฉันแมนพอที่จะรับเรื่องนี้ได้ ตอนแรกที่แกล้งนายก็แค่เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมสาวที่ฮอทที่สุดในโรงเรียนถึงมาเดทไอ้แห้งแบบนาย แค่นั้นเอง”





“ฉัน-ไม่-ได้-แห้ง-เฟ้ย”





“นอกจาก GPA นายก็ไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าฉันเท่าไหร่นี่? ”





แดริลรู้สึกอยากเหวี่ยงหมัดต่อยไอ้ปากหมานี่เหลือเกิน แต่เขาฉลาดเกินกว่าจะทำเช่นนั้นเพราะรู้ว่าสู้ไปก็แพ้ จึงเลือกวางตนเป็นผู้มีอารยะและใช้วาจาแก้ปัญหาแทน (จริงๆ ก็แค่สู้แรงเขาไม่ได้)





“ผู้หญิงเขาไม่ได้วัดผู้ชายดีๆ กันจากมวลกล้ามเนื้อหรอกนะ”

“อ้อ แล้วนายเดทสาวมากี่คนแล้วล่ะเชน? ”

“.....” ก็เขาต้องช่วยแคทกับแอชลีย์ จะให้ไปควงสาวคนอื่นความก็แตกกันพอดี





คล้ายว่าสีหน้าของแดริลจะบอกความในใจออกไปจนหมดเปลือก วินซ์ถึงหลุดหัวเราะออกมา



“นายจะทำเรื่องขาดทุนแบบช่วยแคทปิดบังไปทำไมกัน? ” วินซ์

“เพื่อนมีไว้ระวังหลังให้กันไม่ใช่หรือไง” แดริล

“ไม่ใช่เพื่อนไฮสคูล” วินซ์

“งั้นชีวิตนายก็คงน่าเศร้านะ ว่าที่พรอมคิง” แดริล

“หืม… พรอมคิง? ” วินซ์เลิกคิ้ว

“ควอเตอร์แบคโรงเรียนฝีมือดี ว่าที่กัปตันทีมอนาคตไกล ตัวสูง หน้าตาดี ถามจริง? ไม่ต้องเห็นอนาคตก็เดาได้ว่าขึ้นซีเนียร์เมื่อไหร่นายจะได้เป็นพรอมคิง” คู่สนทนาต้องกลอกตาขึ้นอีกครั้ง พระเจ้าช่วย นี่ต้องให้เขาพูดออกมาจริงๆ หรือไง

“ฉันดีใจนะที่นายยอมรับว่าฉันหน้าตาดี...” นี่เอ็งได้ยินแค่ประโยคนั้นรึไง “... กว่านาย”

“ต่อยกันไหม วินเซนต์ ซัมเมอร์”

“ไม่ล่ะฉันไม่อยากอัดนายจนน่วม ฉันออมมือไม่เก่ง” ...เออ! สู้ไม่ได้



เห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของคนเจ็บแล้วควอเตอร์แบคหนุ่มก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีจนน่าโมโห





“แต่รู้อะไรไหม คุยกับนายก็สนุกดี”

จู่ๆ เขาก็รู้สึกคล้ายใจกระตุกเบาๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มของเด็กหนุ่มร่างสูงตรงหน้า…. จังหวะนั้นอาจเป็นครั้งแรกที่แดริลเริ่มรู้สึกตัว.. หากตอนนั้นยังไม่เข้าใจ และไม่ยอมรับ



“...นายก็ไม่แย่… เท่าที่คิด” เด็กหนุ่มผมดำพึมพำตอบ

“หายเจ็บรึยัง เรายังมีคุกกี้เนตรนารีอีกทั้งถุงที่ต้องขายให้หมดนะ” คำว่าคุกกี้เนตรนารีทำให้แดริลหลุดขำออกมาในที่สุด

“ดีขึ้นแล้ว ไปกันเถอะ” พูดจบก็ยันตัวลุกขึ้นยืนทันที ความเจ็บบริเวณแขนทุเลาลงมาก แต่บริเวณแผลกลับรู้สึกอุ่นร้อนแปลกๆ ..





เย็นวันนั้นในที่สุดพวกเขาก็ขายคุกกี้จนหมด เงินถูกส่งมอบให้สมาชิกโบสถ์ครบทุกดอลลาร์ และได้เริ่มใช้วันหยุดช่วงปิดเทอมแบบชาวบ้านเขาสักที





จู่ๆ ขวดโค้กเย็นเจี๊ยบก็ถูกโยนมาให้โดยที่ไม่ทันตั้งตัว แต่เคราะห์ดีที่มือไวเลยรับมันไว้ได้แบบท่ายังสวยอยู่ แดริลมองขวดโค้ก เลิกคิ้ว แล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่โยนขวดนั่นมาให้





“แล้วเจอกันที่โรงเรียนนะ เชน”

“อืม… เจอกัน…”





วันนั้นเขาไม่ได้เปิดโค้กขวดนั้นดื่ม แต่เอามันกลับบ้าน… และมองมันอยู่พักใหญ่



สุดท้ายก็ปฏิเสธที่จะคิดเรื่องนี้ต่อและเอามันไปยัดไว้ในตู้เย็น รู้อีกทีมันก็หายไปแล้ว คาดว่าซีมัสคงเอาไปกินอย่างแน่นอน… เด็กหนุ่มตัดสินใจลืมความรู้สึกที่ตัวเองไม่เข้าใจ และเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไปอย่างราบรื่นตลอดซัมเมอร์นั้น







ขึ้นเกรดสิบ…. เป็นปีที่เขาเข้าร่วมสภานักเรียนแบบเต็มตัว ...





พวกนักกีฬาเริ่มหมั่นไส้เขาน้อยลง นับตั้งแต่เหตุการณ์ช่วงปิดเทอมวินซ์ก็เลิกหาเรื่องอย่างถาวร เดินผ่านกันที่โถงทางเดินก็ทักทายกันบ้างตามมารยาท… ทว่าแดริลมักพบว่าสายตาของตนจะมองตามแผ่นหลังกว้างของควอเตอร์แบคคนดังไปเสมอ





เขาพยายามไม่คิดมาก… ก็หมอนั่นเด่นขนาดนั้นจะดึงความสนใจนักก็ไม่แปลกละมั้ง…

ช่วงนี้เห็นว่าวินซ์ไปคบกับแอมเบอร์ รุ่นพี่พวกเขาหนึ่งปี เป็นรองกัปตันทีมเชียร์ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายเท่าไหร่ ส่วนตัวเขาเองก็ยุ่งกับงานสภานักเรียนจนไม่ได้สนใจเรื่องราวซุบซิบต่างๆ นัก





ราวๆ ช่วงก่อนงานเต้นรำฤดูหนาวไม่เท่าไหร่ที่เขาได้คุยกับวินซ์อย่างจริงจังอีกครั้ง นั่นเป็นระหว่างที่แดริลกำลังหอบโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์งานเต้นรำไปติดตามบอร์ดต่างๆ ทั่วโรงเรียน





ขณะที่กำลังจะเลี้ยวไปติดที่มุมหนึ่งของโรงยิม ก็ได้ยินเสียงตบเพี๊ยะดังจนอดเผือกไม่ได้...





แดริลยังไม่ทันได้ชะโงกมอง เด็กสาวคนหนึ่งก็วิ่งตัดหน้าเขาไป หากจำไม่ผิดนั่นคือแอมเบอร์ รองกัปตันทีมเชียร์นี่?





พอหันไปมองอีกทางก็เห็นวินเซนต์ผู้เดินลูบแก้มตนเองตามมาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับเท่าใดนัก เหมือนบนแก้มนั่นจะมีรอยข่วนจากเล็บด้วย...





“...นายเองหรอกเหรอ” วินซ์

“ฉันมาติดโปสเตอร์…” แดริล

“...อืม” วินซ์

“.....”

“เฮ้… ฉันมีปลาสเตอร์” แดริล

“....”





วินเซนต์ถอนหายใจ ทิ้งตัวลงบนที่นั่งแถวอัฒจันทร์คนดู เมื่อลดมือลงแล้วก็เผยให้เห็นรอยแดงห้านิ้วพร้อมรอยข่วนที่เรียกเลือดซิบๆ





“ติดให้ที ฉันมองไม่เห็น”

“...”





เด็กหนุ่มวางโปสเตอร์ลงพลางล้วงหยิบปลาสเตอร์ออกมาจากกระเป๋าสตางค์ แกะห่อกระดาษและค่อยๆ ติดมันทับแผลเลือดซึม





ขณะนั้นวินซ์หลับตาลง ขนตายาวแนบกับแก้มที่ออกสีแทนหน่อยๆ จากการเล่นกีฬากลางแจ้ง โครงหน้าของเขาดูล่ำสันขึ้นกว่าเดิม กล้ามเนื้อบนร่างกายทำให้ร่างสูงไม่ดูเก้งก้างเท่าปีที่แล้ว เขารู้อยู่แล้ว่าวินเซนต์หน้าตาดี แต่พอมองใกล้ๆ แบบนี้ก็ยิ่งอดคิดไม่ได้





… แดริลรู้สึกว่าตนเองใจเต้นผิดจังหวะอย่างไม่มีสาเหตุ





“เสร็จหรือยัง? ” คำถามนั่นทำให้เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์และรีบชักมือออก

“เรียบร้อย”





ควอเตอร์แบคหนุ่มลืมตาขึ้น รอยยิ้มยียวนที่ปกติจะประดับบนใบหน้าไม่ปรากฏให้เห็น





“โปสเตอร์เหลืออีกเยอะไหม? ”

“หืม… ก็ไม่เยอะนัก อีกประมาณสิบกว่าแผ่น”

“ฉันช่วย”





ไม่พูดเปล่า ยังคว้าปึกโปสเตอร์ที่เหลือไปถือโดยไม่ถามความสมัครใจอีกต่างหาก ครั้นจะอ้าปากบอกว่าไม่ต้องเจ้าเด็กม.ปลายตัวยักษ์ก็เดินลิ่วไปเสียแล้ว





“ต้องติดที่ไหนอีกล่ะเนี่ย? ”

“จริงๆ นายไม่ต้--.”

“ยังไงเราก็กลับบ้านทางเดียวกันอยู่แล้ว วันนี้ฉันกลับกับนายแล้วกัน”

“เดี๋ย--”

“เร็วสิ จะได้กลับไวๆ ”






โว้ย ฟังที่คนอื่นพูดบ้างสิวะไอ้นี่





หลังจากแปะโปสเตอร์ทั่วโรงยิมแล้วแดริลก็โดนลากกลับบ้านทันที เขาเดินไปทางจักรยานของตนเอง แล้วก็พบว่าจักรยานที่ว่าโดนหิ้วโดยไอ้คนบ้าพลังที่เดินตามมาข้างหลัง





“นายจะทำอะไรน่ะนั่น…”

“ฉันขับรถ*มา เดี๋ยวไปส่ง”

(*หมายเหตุ ที่อเมริกาสามารถขอใบขับขี่แบบ restricted permit ได้ตั้งแต่อายุ14-17)





… เขาก็พอรู้อยู่หรอกว่าบ้านหมอนี่ฐานะดี แต่ไม่คิดว่าจะขนาดถอยรถหรูป้ายแดงให้ลูกชายแค่เพราะชนะแมทช์อเมริกันฟุตบอล….



แล้วจักรยานแบบพับได้ของแดริล เชน ก็ลงเอยไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่หลังรถหรูคันที่ว่า พอมองความแตกต่างนั่นแล้วก็ชวนให้รู้สึกหดหู่ใจแปลกๆ





“มองอะไรน่ะ ขึ้นรถได้แล้ว”





เอาแต่ใจชะมัด





เห็นว่าป่วยการที่จะประท้วงก็เลยขึ้นไปนั่งอย่างปลงตก





รถถูกสตาร์ท… แต่ยังไม่เคลื่อนตัวออกจากลานจอดเสียที… วินเซนต์เหม่อมองอะไรบางอย่าง สักพักใหญ่เด็กหนุ่มร่างสูงก็เอ่ยปากออกมาด้วยเสียงเบา





“แอมเบอร์เลิกกับฉันแล้ว” อืม… มันก็… ชัดเจนอยู่อะนะ “นายจะไม่ถามรึไงว่าทำไม”

“อยากให้ถามไหมล่ะ? ” แรกเริ่มเขาไม่อยากล้ำเส้น จึงไม่ได้พูดอะไร แต่เหมือนวินเซนต์จะกำลังหาใครสักคนมาระบายเรื่องนี้.. และบังเอิญแดริลก็ดันเป็นไอ้ทึ่มที่ไปอยู่ตรงนั้นแบบผิดที่ผิดเวลาพอดี

“ฉันไปนอนกับเชียร์ลีดเดอร์อีกคนที่งานปาร์ตี้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว… แล้วเธอมารู้เข้า”





...ตามแบบฉบับพวกคาร์แรคเตอร์นักกีฬาในซีรียส์เด็กไฮสคูลเป๊ะ…





แดริลไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจ เขาก็แค่นั่งรับฟังด้วยท่าทางเหมือนมันเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ ในจังหวะนั้นรถคันสีแดงแสนแสบตาก็เริ่มเคลื่อนออกจากที่จอดรถ





“เพื่อนในทีมฉันบอกว่าเจ๋งไปเลย” วินซ์

“ก็เหมือนว่านายจะคั่วเชียร์ลีดเดอร์มาครึ่งทีมแล้วนี่นะ” แดริล

“ไม่ใช่ เกินครึ่งแล้วต่างหาก” วินซ์

“.......” แดริล

“ส่วนที่แย่ที่สุดคือ ฉันไม่รู้สึกผิดสักนิด” วินซ์





เชื่อมันเลย…





“นายรู้ว่ามันผิด? ” แดริล

“รู้… แต่ไม่รู้สึกผิด… รู้สึกแย่มากกว่าที่ฉันไม่รู้สึกผิด” วินซ์





แล้วนายมาบอกเรื่องนี้กับฉันทำไมกันเนี่ย…





“พ่อฉันเคยนอกใจแม่… ครอบครัวเราเกือบพัง ตอนนั้นฉันโกรธเขามาก” เจ้าของรถกล่าวต่อด้วยเสียงที่เบาลงกว่าเดิม ทำให้บรรยากาศน่าหนักใจยิ่งเพิ่มความอึดอัดเข้าไปอีก

แดริลแสร้งทำเป็นดูวิวนอกหน้าต่างเงียบๆ เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ปลอบใจคงไม่ดี จะซ้ำเติมก็ไม่ดีเหมือนกัน…

“แต่พอฉันทำเอง ฉันกลับไม่รู้สึกอะไรเลย”

“... นายอาจจะแค่ยังจริงจังกับความสัมพันธ์ไม่พอ หรือเธออาจจะยังไม่ใช่คนที่ใช่” เด็กหนุ่มเอ่ยปากออกมาในที่สุดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์โมโหหรือผิดหวัง พยายามจะไม่ไปตัดสินหรือกล่าวโทษ เพราะอย่างไรวะนี่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะสอด...

“หรือฉันอาจเป็นเหมือนเขา” รถคันนั้นเร่งความเร็วขึ้นจนคนนั่งข้างๆ รู้สึกได้

“นั่นมันก็ขึ้นกับสิ่งที่นายเลือกนี่…”

“....”

“ฉันว่า… บางทีมันก็เป็นแค่เรื่องของจังหวะกับความรู้สึก สักวันนายอาจจะเจอคนที่ทำให้นายรู้สึกอยากจะจริงจังด้วย แค่มันยังไม่ใช่วันนี้”





นิ่งเงียบไปพักใหญ่ จากบรรยากาศน่าอึดอัดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องน่าซาบซึ้ง… จนกระทั่ง….





“นายมันโคตรน้ำเน่าเลยว่ะ” จบประโยค รถคันนั้นก็จอดเทียบทางเท้า ฝั่งตรงข้ามที่เห็นคือบ้านหลังเดิมของเขาเอง

แดริลชำเลืองมองไอ้คนปากเสียด้วยหางตา ชูนิ้วกลางใส่ ก่อนจะกล่าวทิ้งท้าย

“... ไปตายซะ วินเซนต์ ซัมเมอร์ส”





เด็กหนุ่มได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะไล่หลัง แต่เขาไม่สนใจ ลงจากรถแล้วก็กระแทกประตูปิดและเริ่มจ้ำเท้าข้ามถนนตรงไปทางบ้านตัวเองทันที ทั้งรู้สึกหัวร้อนและโมโหว่าไม่น่าไปปลอบใจมันเลย จนเขาไม่ทันระวังมองรอบตัวให้ดี….





เสียงต่อมาที่ได้ยินคือเสียงตะโกนของวินซ์ ตามด้วยเสียงแตรดัง





“แดริล ระวัง!!! ”





รถคันใหญ่ที่พุ่งมาชนจนเขากระเด็นลงไปกองกับพื้น หัวเข่ากระแทกกับพื้นคอนกรีตอย่างแรงจนอดส่งเสียงร้องไม่ได้ เคราะห์ดีที่เจ้าของรถเหยียบเบรกชะลอความเร็วก่อนมาถึงตัวเขาจึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต

ความเจ็บปวดแล่นจากเข่าลงไปทั่วขา เขาจำได้แค่ว่ามือดึงแขนเสื้อของวินซ์แน่นขณะถูกอุ้มเข้าโรงพยาบาล… นับเป็นความน่าอับอายอย่างหนึ่งในชีวิตที่ต้องถูกคู่อริอุ้มท่าเจ้าหญิงไปส่งเข้าห้องฉุกเฉิน...





ให้ตายเหอะ น่าขายหน้าชะมัดเลย!!

--------------------------------


เพิ่งลองลงในเล้าครั้งแรก ได้ไล่อ่านกฎแล้วแต่ไม่แน่ใจว่าครบหรือเปล่าค่ะ หากมีอะไรทำผิดขั้นตอนรบกวนช่วยตักเตือนด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 2 [24/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-11-2018 23:39:53
...เขียนได้ชวนอ่านมากครับ...


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 2 [24/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 25-11-2018 01:31:58
แฟนเก่าดูนิสัยอี๋มากอ่ะ  อย่ากลับหวั่นไหวนะ!!
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 2 [24/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 25-11-2018 09:29:48
ชอบพาสธุรกิจค่ะเหมือนจริงมาก
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 2 [24/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 25-11-2018 10:41:53
มารอ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 2 [24/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 25-11-2018 15:03:06
บทที่ 3  Oh God... I'm Gay (1/2)

คนเราบทจะซวยก็ซวยอย่างเลี่ยงไม่ได้…





ผลจากอุบัติเหตุครั้งนั้นคือกระดูกร้าว เขาต้องใส่เฝือกขาไปโรงเรียนประมาณหนึ่งเดือน กับโดนเทศน์เรื่องก่อนข้ามถนนให้หัดดูตาม้าตาเรือเสียบ้าง…

และที่เลวร้ายกว่านั้นคือเขาถีบจักรยานไปโรงเรียนไม่ได้ เลยต้องอาศัยรถของเพื่อนบ้านผู้แสนดีนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถติดไปด้วย





“วันนั้นนายร้องโอดครวญอย่างกับผู้หญิงแน่ะ เจ็บ ไม่ไหวแล้ว โอ๊ย เจ็บ” วินซ์กล่าวขณะขับรถ เสียงหัวเราะนั่นฟังดูเสียดหูเป็นบ้า ส่วนคนที่ต้องโดยสารมาด้วยความเต็มใจก็ได้แต่นั่งหน้าบูดไม่พูดอะไร “แล้วนายก็ร้องไห้ ตลกเป็นบ้า”





“หุบปาก... วินเซนต์”



ไม่พูดเปล่า ยังหยิบหูฟังวอล์คแมนขึ้นมาสวมเพื่อกันมลภาวะทางเสียง



“ไม่เอาน่าอย่างอนสิเจ้าหญิง”





...แต่เสียงมันก็ยังทะลุผ่านหูฟังมาอยู่ดี





เจ้าหญิงบ้านเอ็งสิ





“ลูกผู้ชายที่ไหนเขาร้องไห้โฮน้ำตาอาบหน้าแค่เพราะเข่าแตกกัน หืม” มันฉีกยิ้มเห็นฟัน จนยิ่งมองก็ยิ่งอยากจะตั๊นหน้าหล่อๆ นั่นให้ฟันหลุดสักซี่จะได้หล่อน้อยลง





ติดแต่...ข้อแรก เขาแรงน้อยกว่ามัน แถมยังขาเดี้ยงอยู่ และข้อสอง มันขับรถอยู่ หากเกิดอะไรขึ้นก็คงได้ตายหมู่อย่างแน่นอน แดริลจึงยอมสงบไม้สงบมือแต่โดยดี





รถคันใหญ่แล่นเข้าไปจอดในที่จอดรถอย่างราบรื่น ต้องยอมรับว่านอกจากเรื่องกีฬาแล้วหมอนี่ก็ขับรถเก่งใช้ได้





“ต้องให้อุ้มลงไหม เจ้าหญิง? ” วินซ์

“ไม่ต้องเฟ้ย! ” แดริล

“นายยอมรับแล้วเหรอว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิง” วินซ์

“.....” ชูนิ้วกลาง





เหมือนทุกเช้าเย็นเวลากลับบ้าน วินซ์จะมีความสุขกับการทรมานและกลั่นแกล้งเขาเป็นพิเศษ… โดยการยกเรื่องวันนั้นมาพูดเช้าพูดเย็น ตอกย้ำซะเหมือนว่าชาตินี้จะไม่ปล่อยให้ลืมเป็นอันขาด





ไอ้เวรเอ๊ย…





คนเราอดทนต่อความเจ็บปวดได้ไม่เท่ากัน และเขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่อดทนได้มากขนาดนั้น นั่นเป็นสาเหตุที่แดริลไม่เล่นกีฬา และเป็นเหตุให้พ่อชอบเหน็บแนมเขาอยู่บ่อยๆ





หัดดูแบบพี่ชายแกซะบ้าง เป็นกัปตันทีมเบสบอล แล้วยังไปเป็นทหารรับใช้ชาติ





พ่อของเขาเป็นคนขาวตามแบบฉบับคนอเมริกันหัวเก่าที่สนับสนุนสงครามอิรัก… ชอบให้ลูกชายแมนๆ เล่นกีฬา เป็นกัปตันทีม ได้ทุนจากการเล่นกีฬา เหยียดคนผิวสี เหยียดคนรักร่วมเพศ





ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาไม่ใช่ลูกรัก และไม่มีวันจะเป็น





แดริลเหวี่ยงประตูเปิด ทิ้งน้ำหนักลงบนไม้ค้ำยันในมือและค่อยๆ เดินเหวี่ยงตัวไปข้างหน้าด้วยขาข้างเดียว

“แน่ใจนะว่าจะไม่ให้ช่วย? ”

“แน่”





วินซ์เพียงกอดอกยืนมอง จากนั้นก็ยกยิ้มขำกับท่าเดินประหลาดๆ ของเพื่อนบ้าน ที่ขนาดปล่อยให้เดินนำไปก่อนสักพักแล้วก็ยังไปได้ไม่ไกลอยู่ดี





“เฮ้ นายลืมกระเป๋าเป้” เพิ่งเตือนทั้งที่รู้อยู่แล้ว พูดจบก็เหวี่ยงเป้สองใบขึ้นหลัง เดินก้าวยาวๆ ตามมาแบบสบายๆ





แดริลชะงักเล็กน้อย หยุดมองอีกฝ่าย





“ส่งมา” แดริล

“เราเรียนโฮมรูมห้องเดียวกัน ไว้ฉันหิ้วไปให้ถึงห้อง” วินซ์

“ฉันถือเองได้” แดริล

“เมื่อวันก่อนที่นายถือเอง เราลงเอยที่เกือบสายทั้งคู่ เดินเร็วเข้าสิเชน” วินซ์





...ทำไมยิ่งนับวันเขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเอาชนะหมอนี่ไม่ได้กันนะ







ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ทุกคนก็ดูจะเคยชินกับการที่พวกเขามาโรงเรียนด้วยกัน แรกเริ่มพวกก๊วนนักกีฬาก็ถามว่าทำไมวินซ์ต้องมาถือกรเป๋ากับรับส่งเขาด้วย คนถูกถามก็แค่ให้เหตุผลง่ายๆ ออกไปว่า





“แม่ฉันสั่งมา เราเป็นเพื่อนบ้านกัน”





ง่ายๆ แค่นั้นก็ไม่มีใครถามหรือสงสัยอะไรอีก… พาวเวอร์ของพวกป็อปปูลาร์กายนี่มันน่ากลัวชะมัดเลยให้ตายสิ…





ส่วนแคทก็มีเสแสร้งโอดครวญบ้างที่ไม่สามารถติดท้ายจักรยานของเขากลับบ้านได้ แต่ช่วงนี้หล่อนซ้อมเชียร์เสร็จปุ๊บก็ไปกับแอชลีย์ปั๊บ จนเขาต้องกลอกตาให้กับแม่เลสเบี้ยนคู่นี้ เธอสนใจเขาทีไหนกัน มีแฟนแล้วก็ทิ้งเพื่อนชัดๆ





ต่อมาแดริลก็ถูกลากไปนั่งโต๊ะกินข้าวกับพวกกลุ่มนักกีฬาบ้างเป็นบางวัน… หลังเลิกเรียนพอเสร็จงานสภานักเรียนแล้วก็ต้องไปนั่งรอพวกนั้นซ้อม ไปๆ มาๆ ก็โดนโค้ชใช้ให้ช่วยถือนาฬิกาจับเวลากับจดเวลาไปซะแบบนั้น





เดี๋ยวครับเฮีย.. ผมไม่ใช่ผู้จัดการทีมนะ…





แต่เหมือนจะไม่มีใครฟัง………





แดริลได้เพียงปลง ให้นั่งรถบัสกลับบ้านยังไงก็ลำบากกว่านั่งรถของวินซ์อยู่แล้ว ก็ป้ายรถเมล์มันห่างจากบ้านเขาตั้งสิบห้านาที หากใส่เฝือกเดินก็สามสิบนาทีได้





เขานั่งดูนักกีฬาชายร่างใหญ่ที่แย่งบอลลูกจิ๋วกันอย่างเอาเป็นเอาตายกลางสนามหญ้า ส่วนอีกฝั่งคือเชียร์ลีดเดอร์สาวๆ ที่กำลังซ้อมต่อตัวทำพีระมิด





อันที่จริงหากเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบหก วัยที่กำลังมีความต้องการทางเพศสูง… ก็ควรจะต้องมองสาวสวยสุดป๊อบปูล่าร์พวกนั้นก่อน





ไม่ใช่ว่าแดริลไม่นึกประหลาดใจ แต่เขาพยายามจะไม่คิดถึงมัน





เพราะพวกโฮโมน่ะเป็นสิ่งมีชีวิตน่ารังเกียจผิดปกติ ที่ขัดต่อคำสอนของพระเจ้า





พ่อแม่มักพูดอะไรทำนองนั้นเสมอ.. แค่คิดว่าตัวเองจะสนใจผู้ชายมากกว่าผู้หญิงแดริลก็กลัวแล้ว





ถึงจะคิดแบบนั้น พอเผลอตัวสายตาก็มักจะเลื่อนจากเชียร์ลีดเดอร์พวกนั้นกลับมายังคนที่กำลังถือบอลวิ่งอยู่ทุกที





ชั่ววินาทีหนึ่งที่วินซ์คล้ายจะเงยหน้าขึ้นมามองเขาเช่นกัน พวกเขาสบตากันเพียงระยะสั้นๆ ก่อนที่แดริลจะเป็นฝ่ายเบือนสายตาหลบกลับไปมองทางแคทกับแอมเบอร์แทน…





ไม่หรอก… เขาคิดมากไปเอง





เขาก็แค่ไม่มีประสบการณ์เดทสาว… เท่านั้นเอง





….





“ผิดย่ะ นายเป็นเกย์ต่างหาก” เพื่อนสาวคนสนิทเงยหน้าขึ้นมาจากกระจกหลังจากปาดลิปสีชมพูลงบนริมฝีปากอิ่มของหล่อน ดวงตาคู่โตกลอกขึ้นมองบนอย่างระอาใจ “เอาจริงๆ นะแดริล ที่รัก นายเคยสนใจจะมองสาวๆ คนไหนในโรงเรียนด้วยเหรอ”





แคทนั่งอยู่บนเตียงสีชมพูของเจ้าหล่อน กำลังนั่งพิจารณาเครื่องสำอางที่เพิ่งซื้อมาใหม่วันนี้… แน่นอนล่ะว่าเขาโดนลากคอไปช่วยเลือกสีด้วย





เขาอาจจะคิดผิดที่มาปรึกษาเจ้าหล่อน…. แต่เขาก็ไม่มีใครที่ไว้ใจได้ไปกว่าแคทให้ปรึกษาด้วยแล้ว





“ฉันก็แค่อาจจะยังไม่เจอใครที่เข้าตาน่าแคท” แดริล

“ฉันเห็นนะยะ เธอน่ะจ้องเขาตาเป็นมัน อย่างกับแมวจ้องจะขโมยปลา” แคท

“ฉันเปล่า” แดริล

“ต๊าย เธอน่ะจะตบตาใครก็ได้นะคะที่รัก แต่ไม่ใช่แคทเธอรีน เจ้าแม่กอสซิพประจำบลูฮิลล์ไฮ”แคท

“ให้ตายเถอะแคท ฉันไม่ได้เป็นเกย์! ” แดริล

“ผู้ชายที่ไหนเขามานั่งพับผ้าเก็บเรียงสี กับแยกโทนสีแดงปะการังกับแดงสการ์เลตต์ออกกันคะ หืมม? ” แคท

“ฉันไง”

“ไม่ แดริล ที่รัก เธอน่ะเป็นเกย์ ฉันรู้สึกมานานแล้ว แต่ไม่อยากพูดเพราะกลัวเธอจะประสาทเสีย แบบนี้ไง” แคทเธอรีนกวาดสายตามองขึ้นลงอย่างประเมิน เสียจนเพื่อนนึกอยากจิ้มตาเธอจริงๆ …

“แคท…” แดริล

“เอาล่ะๆ เอาอย่างนี้ เธอรู้ไหมว่าสาวๆ หลายคนแอบชอบเธอ” แคท

“...ก็พอจะรู้ แต่--”

“แต่เธอไม่สนใจ ไม่คิดแม้แต่จะพิจารณาเดทใครสักคน ทั้งที่หลายๆ คนก็ออกจะเป็นสาวฮอต” แคทหยิบที่ตะไบเล็บมาเริ่มฝนเล็บให้เข้ารูป

“เช่นใครบ้างล่ะ ฉันรู้แค่ว่ามอลลี่ที่เป็นเด็กเนิร์ดกับเพื่อนของเธอเหมือนจะชอบฉัน… และสาบานได้ นั่นห่างไกลคำว่าฮอตมาก” แดริล

“เอิ่ม… เกรซ ตัวเล็กๆ ที่เป็นรุ่นน้อง รู้ไหมเธอป๊อบมากเลยในกลุ่มพวกนักกีฬา”แคท

“... นั่นใคร ฉันไม่เห็นจะรู้จัก” แดริล

“ปาร์ตี้ที่บ้านแอชลีย์เดือนก่อนไงยะตาทึ่ม หล่อนทั้งจ้องทั้งอ่อยนายซะจนแทบจะมาเลื้อยบนตักนายแล้ว” แคท

“อ๋อ… คนนั้น….” แดริล

“แต่เธอไม่สนใจ เพราะเธอมัวมองแต่พ่อนักกีฬากล้ามโตที่กำลังคั่วสาวอยู่อีกทาง เอาจริงๆ ฉันไม่ว่าหรอกนะหากเธอจะเทิร์นเกย์น่ะแดริล แต่เพื่อนรัก เลือกหน่อยเถอะ วินซ์น่ะไม่ใช่ข่าวดีของใครทั้งนั้นล่ะ” แคท

“...หมอนั่นก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง” แดริล

“แย่สิ เขานอนกับเชียร์ลีดเดอร์เกินครึ่งทีม ตอนหลังมีแฟนแล้วก็ยังจะไปนอนกับอีกคน แอมเบอร์น่ะเฮิร์ทมากเลยนะ ฉะนั้นนายควรตัดใจซะ” แคท

“เดี๋ยวว้อย ฉันไม่ได้ชอบเขา! ” แดริล

“อือฮึ” เคทตะไบเล็บต่อไป

“ฉันไม่ได้เป็น...แบบนั้น… ถ้าฉันเป็นพ่อฆ่าฉันตายแน่” แดริล

“เรื่องนั้นน่ะเธอกลับบ้านไปนอนเถียงกับตัวเองเถอะนะว่าเกย์ไม่เกย์ ตอนช่วงที่ฉันชอบแอชลีย์ฉันก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน… ปฏิเสธความจริง” แคทเธอรีนถอนหายใจ ก่อนจะเงยหน้าสบตากับเพื่อนรัก “ฉันน่ะโชคดีที่แอชลีย์เองก็ชอบผู้หญิงเหมือนกัน แต่ฉันเตือนเธอเลยนะแดริล วินซ์ไม่ใช่เกย์ ยังไงซะเรื่องนี้ก็จบไม่ดีแน่ๆ ฉะนั้นเธอควรตัดใจซะ”





แปลกที่พอได้ยินคำว่าตัดใจ ข้างในมันเจ็บแปลบ… จังหวะนั้นที่แดริลเริ่มรู้ตัว… ว่านี่เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอาเสียเลย





----





...เคราะห์ดีที่บทสนทนานี้เกิดขึ้นหนึ่งวันก่อนเขาถอดเฝือก ทำให้การหลบหน้าวินเซนต์เป็นไปได้อย่างราบรื่น





ในวันจันทร์แดริลตื่นเช้ากว่าปกติ และออกจากบ้านไวกว่าปกติ… ขาของเขาที่เพิ่งหายดียังใช้การได้ไม่ดีนักจึงเลือกไปทางรถบัสแทน… จากนั้นก็หมกตัวอยู่ในห้องสภาจนถึงเวลาโฮมรูมเป๊ะ





เด็กหนุ่มพยายามจะไม่มอง แต่จนแล้วจนรอดสายตาเจ้ากรรมก็ไปตกอยู่ที่วินเซนต์พอดี และเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายกำลังมองมา





แดริลรีบหลบสายตาและเดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าห้อง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (ซึ่งก็ดูเหมือนจะสายไปแล้ว)





พอพ้นคาบโฮมรูมไปแล้ว กว่าจะเจอวินเซนต์อีกทีก็คาบหลังพักกลางวัน…





และพักเที่ยงก็เป็นอีกครั้งที่เขาหอบแซนด์วิชไปกินในห้องสภานักเรียน… จนลี เพื่อนสภานักเรียนด้วยกันซึ่งเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับเขาอดถามออกมาไม่ได้





“วันนี้ไม่ไปนั่งกับพวกนักกีฬารึไง”





ลีเป็นเด็กหนุ่มชาวเอเชีย เกรด 4.0 ที่บ้านมีฐานะดีและสถานะทางสังคมก็จัดว่าดี… ดีพอที่จะเดทเชียร์ลีดเดอร์ ถึงจะไม่ใช่ตัวท็อปก็เถอะ





“ไม่ล่ะ มาช่วยนายจัดงบชมรมของเทอมแรกดีกว่า” แดริล

“จริงๆ ฉันทำเสร็จไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” ลี

“งั้นงบงานเต้นรำกับงานพรอม” แดริล

“...กินข้าวก่อนไหม” ลี

“.....” แดริล

“ฉันว่านายหลบอะไรมามากกว่า ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมานั่งกินข้าวในนี้” พูดแล้วเพื่อนชาวเอเชียของเขาก็ล้วงหยิบอาหารกลางวันออกจากถุงกระดาษ

“แล้วฉันจะหลบอะไรล่ะ หืม? ” แดริลเท้าคางมอง

“ว่าที่พรอมคิง? นายไปกวนโมโหอะไรเขาอีกรึเปล่า” ลี

“เปล่า” แดริล

“เอาเถอะ… รีบๆ ดีกันล่ะเพื่อน” ลีตบบ่าคนที่นั่งข้างๆ อย่างให้กำลังใจ





นายอย่าพูดเหมือนคนเป็นแฟนกันทะเลาะกันได้ไหมฟะ!





…………..





คาบเลขเขามาเข้าห้องก่อนเวลา… แดริลเลือกที่นั่งหน้าห้องเช่นทุกที ขณะที่ผู้คนทยอยเข้าห้องเรียน ดวงตาสีฟ้ากลับเหม่อมองออกนอกหน้าต่าง คำพูดของแคทคล้ายจะเล่นย้อนอยู่ในหัว





ตอนนี้เขาก็แค่สับสน ต้องการเวลาคิด





เอาล่ะ… ต่อให้เขาไม่สับสน ต่อให้เขาชอบวินเซนต์ ซัมเมอร์จริงๆ ก็ใช่ว่าเรื่องมันจะเป็นไปได้ หมอนั่นเป็นนักกีฬาเบอร์หนึ่งของโรงเรียน สาวๆ ห้อมล้อม แถมเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ… ฉะนั้นก็เปล่าประโยชน์ที่จะไปคิดถึงมัน





เลิกคิด และเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องข้องเกี่ยวกับหมอนั่นอีกต่อไป ฟังดูเป็นแผนที่ดี ...แต่ขณะที่คิดตกแล้วนั้นก็มีเสียงจากนรกดังขึ้นมา





“ขอโทษนะแอนน์ ฉันขอสลับที่กับเธอวันนึงได้ไหม บังเอิญมีเรื่องต้องคุยกับหมอนี่หน่อยน่ะ” เงยหน้าขึ้นไปก็เจอวินซ์ พร้อมกับรอยยิ้มกระชากใจที่เจ้าตัวรู้ดีด้วยว่าหากยิ้มแบบนี้เป็นสาวที่ไหนก็ไม่ทน และแอนน์ก็เช่นกัน

เฮ้ แอนน์ เฮ้ย คนทรยศ อย่าทิ้งเพื่อนสิ แอนน์!!





และแล้วหมอนั่นก็หย่อนก้นแน่นๆ ของเขาลงเก้าอี้ตัวข้างๆ หน้าตาเฉยทั้งที่ไม่ได้รับเชิญ





“นายหลบฉันทำไม” ฟังแล้วแดริลก็หันไปอีกทาง

“...เปล่าหลบ ช่วงนี้งานที่สภานักเรียนเยอะเฉยๆ ” แดริล

“โกหก นายหลบชัดๆ ” วินซ์

“ฉันเปล่า” แดริล

“นายไม่มองหน้าฉัน เมสเซนเจอร์ก็ไม่ตอบ” วินซ์

“....”

“ไม่พอใจอะไรล่ะ? ฉันล้อนายมากไปรึไง ต่อไปจะลดก็ได้นะ” มือหยาบขยี้ผมดำของเด็กหนุ่มจนเสียทรง ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงเล็กน้อย เขาใช้เวลาครึ่งชัวโมงทุกเช้าในการพยายามแต่งผม ขยี้แบบนี้มันเสียเวลาไปจัดใหม่รู้ไหม!

“ไม่หรอก… ไม่มีอะไร แต่ถ้านายเลิกเรียกฉันว่าเจ้าหญิงได้ก็ดี” แดริล

“เฮ้ อะไรกัน แค่เรื่องนี้เองเหรอ ก็ได้ ฉันเลิกก็ได้” วินซ์ตอบพร้อมกลั้วด้วยเสียงหัวเราะ และนั่นทำให้เขาแทบบ้า





ฉัน-แค่-ต้อง-การ-ให้-นาย-ไม่-ต้อง-มา-ยุ่ง-กับ-ฉัน-โว้ย





“อืม…” ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ก็รับคำง่ายๆ สังคมไฮสคูลจะว่าง่ายก็ง่าย ซับซ้อนก็ซับซ้อน เกิดตะโกนใส่หมอนี่ไปแบบนั้น เขาคงกลายเป็นคนไร้จุดยืนในสังคมกันพอดี…





ยิ่งหากโดนรู้ว่าเป็นเกย์… ก็น่าจะหนัก





ไม่สิ… เขาไม่ได้เป็นเกย์สักหน่อย!! อย่างน้อยก็ยังล่ะน่า!!





“งั้นหลังนายทำงานสภาเสร็จเจอกันที่สนามฟุตบอล” วินซ์ตบบ่าของร่างที่ผอมกว่าอีกที ขณะที่ครูสอนวิชาเลขเดินเข้ามา ทุกคนถึงหันมาสนใจหนังสือเรียนตรงหน้าและเงียบเสียงลง





แดริลรู้สึกอึดอัด… เขาไม่น่าไปคุยเรื่องนี้กับแคทเลย ไม่น่าทำให้ตัวเองคิดเรื่องบ้าๆ พวกนี้… เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงคนที่อยู่ข้างๆ คล้ายว่าการคงอยู่ของอีกฝ่ายเป็นประหนึ่งอะไรบางอย่างที่กำลังลุกเป็นไฟเปรี๊ยะๆ และไม่อาจเพิกเฉยต่อมันได้





เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองทุกสิบนาที เงี่ยหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวทุกอย่าง…





ให้ตายเถอะแคท นี่เธอยัดอะไรเข้าหัวฉันมาเนี่ย…





กริ่งบอกเวลาหมดคาบดังขึ้น ทุกคนรบแพคหนังสือเพื่อย้ายห้องไปเรียนคาบต่อไป..



หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 2 [24/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 25-11-2018 15:08:27
บทที่ 3 (2/2) เพิ่งทราบว่าในนี้ลง NC ได้เลย edit ลงแบบ uncut นะคะ

“เฮ้ วินซ์ คือว่าฉัน--”

“มีอะไรค่อยคุยกันหลังเลิกเรียนแล้วกันนะ คาบหน้าฉันมีวิชาประวัติศาสตร์ นายก็รู้ว่ามิสเตอร์เฮอร์แมนเฮี้ยนขนาดไหน”





เอ่อ… คือ… วันนี้ฉันต้องกลับเร็วเพราะที่บ้านมีธุระ…

หากคิดว่าจะได้จบประโยคก็ฝันไปเถอะ…. เพราะเงยหน้าอีกทีก็เห็นแต่แผ่นหลังไปไกลลิบโน่นแล้ว





แดริล เชน ถอนหายใจอย่างนึกหนักใจ ในหัวสมองตีกันยุ่งไปหมด





เขาจะใช้อะไรเป็นข้ออ้าง ..แถมพูดความจริงก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นหากให้คนรู้ว่าเขาเป็นเกย์ เส้นทางสู่การเป็นประธานสภานักเรียนคงได้จบเห่กันพอดี





เวลาล่วงมาถึงหลังเลิกเรียน แดริลรู้สึกว่าเนื้อหาในคาบทั้งหมดในวันนี้คล้ายจะเข้าหูซ้ายแล้วออกทางหูขวาเกือบหมด



พอลากขากลับไปถึงห้องสภานักเรียนก็พบว่าทุกคนนั่งว่างไม่มีงานทำกัน แถมประธานก็ไม่อยู่… แน่สิ… ก็พวกเขาปิดงบทุกอย่างหมดแล้ว งานเต้นรำทั้งหมดก็วางแผนแล้ว งานของสภามันก็ไม่ได้เยอะแยะมากมายขนาดนั้น…





“อ้าวแดริล หาตัวอยู่พอดี โค้ชวิทเทคเกอร์เรียกให้นายไปช่วยเขาจดแต้มนักกีฬาแน่ะ” ลีที่เพิ่งเดินเข้ามากล่าวประโยคที่แดริลไม่อยากได้ยินเลยสักนิด





โค้ชนี่ก็เหลือเกิน เด็กหนุ่มอยากตะโกนบอกเต็มทีให้เลิกทำเหมือนเขาเป็นผู้จัดการทีมอเมริกันฟุตบอลโรงเรียนได้แล้วว้อย!





แต่กระนั้นแดริล เชน ก็ยังโผล่หน้าไปอยู่ดี แบบที่นักเรียนตัวอย่างเขาทำกัน… เชื่อฟัง





สุดท้ายหลังจากช่วยโค้ชจดแต้ม จดเวลา จดสถิติ เก็บข้าวของแล้ว เด็กหนุ่มก็นั่งรอวินเซนต์อยู่หน้าห้องเปลี่ยนเสื้อนักกีฬาชาย



ให้ตายสิ ช้าชะมัด





“วินเซนต์อยู่ในนั้นรึเปล่าน่ะ เจฟฟ์” ในที่สุดเด็กหนุ่มก็คว้าตัวคนคุ้นเคยมาถามได้





“เห็นเพิ่งเข้าห้องอาบน้ำไปน่ะ มีอะไรนายก็เข้าไปตามเล้ย ไม่ใช่ว่านายห้ามเข้าสักหน่อยนี่? ”





อืม… ก็ถูกของมัน….





แต่นั่นก็เป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจที่ผิดพลาดของแดริล เชน… เพราะสิ่งที่เขาเห็นทำให้เขายิ่งมั่นใจแล้วว่า





โอเค... ฉันคงเป็นเกย์จริงๆ





เด็กหนุ่มพยายามหลบตาไม่มองกล้ามท้องและซิกซ์แพคของพวกนักกีฬา นั่งรอที่เก้าอี้อย่างอดทน





คนเริ่มบางตาลงทุกที เหมือนว่าวินซ์จะใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะออกมา รู้ตัวอีกทีทุกคนก็กลับไปหมดแล้ว แต่ฟังจากที่เจฟฟ์บอกเมื่อครู่ ท่าทางหมอนี่คงเข้าไปอาบเป็นคิวท้ายๆ ล่ะนะ





“เฮ้ วินเซนต์ นายจะอาบน้ำอีกนานไหมเนี่ย” แดริลยืนถามอยู่หน้าประตูที่ได้ยินเสียงน้ำไหล “...ยังไงฉันกลับก่อนได้ไหม”





“นายยังเดินไม่ค่อยคล่องเลย รอไป”





...เอาแต่ใจชะมัด





ไม่นานนักประตูห้องอาบน้ำก็เหวี่ยงเปิด และภาพตรงหน้าแทบทำให้แดริลต้องถลึงตามอง ร่างซึ่งสูงกว่าเขาประมาณหนึ่งช่วงหัวพันผ้าขนหนูผืนเดียว เรือนผมและกล้ามเนื้อแน่นเปียกชื้นด้วยหยาดน้ำ





โอเค… ฉันเป็นเกย์แน่นอน





เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ รีบหันหัวไปทางอื่นอย่างพยายามสงบสติอารมณ์





ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีปฏิกิริยากับผู้หญิง… จะนิตยสารเพลย์บอยหรือหนังโป๊ก็ไม่เคย… แล้วทำไม…





เดี๋ยวนะ….อ๊ากกกกกก ฉันเป็นเกย์!! พ่อต้องฆ่าฉันแน่!!!





ขณะที่กำลังวางแผนรับมือการจะถูกตัดออกจากกองมรดกและอาจจะถูกพ่อฆ่าหั่นศพ แม่เอาไปให้บาทหลวงทำพิธีไล่ผี แดริลก็ถูกปลุกขึ้นจากภวังค์ด้วยมือหนาที่บีบบ่าเขาเบาๆ





“เฮ้ แดริล ฉันคุยกับนายอยู่นะ” ร่างที่เล็กกว่าสะดุ้งโหยง ก้าวหนีอีกฝ่ายไปสอง-สามก้าว

“ใส่เสื้อผ้าซะ ฉันไม่อยากดูนายแก้ผ้า” ...อันที่จริงก็อยาก แต่ฉันไม่อยากรู้สึกเกย์ไปมากกว่านี้ พระเยซูเจ้าช่วยลูกจากการถูกพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัดด้วย

“หืม… ก็ผู้ชายเหมือนกันนายจะอายอะไรของนาย” ไม่พูดเปล่า มือยังกระตุกผ้าขนหนูผืนเล็กที่พันรอบเอวออก.. เผยให้เห็นจนหมดเปลือก





แดริลรู้สึกจะเป็นลมล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมๆ กับผ้าผืนนั้น ณ เดี๋ยวนั้น





ขนาดนั่น… ไม่สิ…. ก่อนอื่นควรคิดก่อนว่าถ้าโดนพ่อจับโยนออกนอกบ้านเขาจะกลายเป็นขอทานโฮมเลสรึเปล่า





เกย์ นี่มันเกย์สุดๆ ไปเลย ฮือ



เด็กหนุ่มยกมือขึ้นนวดขมับ ลอบมองแล้วก็หันไปทางอื่นอย่างรู้สึกกระดาก… สิ่งที่ไม่มีปฏิกิริยากับผู้หญิงตอนนี้กลับเริ่มตื่นตัวอย่างควบคุมไม่ได้ บนแก้มเริ่มรู้สึกเห่อร้อน พระเจ้าช่วยหวังว่าวินซ์จะดูไม่ออกนะ…

“ว่าไป ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนาย” เขาได้ยินเสียงใส่เสื้อผ้า น่าจะเป็นกางเกง ดีแล้ว ดี… สงบสติอารมณ์ แดริล นายต้องสงบสติอารมณ์





“เรื่องอะไรล่ะ? ” วินซ์ถาม





“คือว่า ฉันคิดว่าหลังจากนี้นายไม่ต้องคอยรับส่งฉันแล้วก็ได้… ตอนพักเที่ยงก็ไม่ต้องลากฉันไปกินข้าวด้วยหรอก คือฉันก็แค่เจ็บน่ะนะ… ไม่ได้พิการ… แล้วก็หายแล้วด้วย ฉันก็ไม่อยากรบกวนนาย…” เสียงการเคลื่อนไหวด้านหลังหยุดลง “อ...อีกอย่าง ฉันกับนายก็อยู่กันคนละกลุ่มแต่แรกอยู่แล้ว ไปนั่งกับพวกนายบางทีมันก็แปลกๆ น่ะนะ ฉันสบายใจที่จะอยู่กับพวกสภานักเรียนมากกว่า”





คล้ายว่าจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แดริลกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่อีกครั้ง เขาฝืนยิ้มและค่อยๆ หันไปเผชิญหน้ากับวินเซนต์





“ยังไงที่ผ่านมาก็ขอบใจมากนะ นายนี่มันมีน้ำใจจริงๆ เอาเป็นว่าฉันติดหนี้นายหนนึง โอเคไ---” ยังไม่ทันจบคำสุดท้าย คางก็โดนบีบแน่นและจับให้เงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้าเสียก่อน ใบหน้าที่เดิมทีร้อนอยู่แล้วยิ่งรู้สึกเห่อร้อนไปถึงใบหู ดวงตาสีเขียวของวินเซนต์แรกเริ่มฉายแววไม่พอใจ ต่อมาก็ดูงุนงง และต่อมาใบหน้าหล่อเหลาก็หลุดยิ้มออกมา





“...แบบนี้นี่เอง”





รู้ตัวอีกที เขาก็โดนจูบ…





ใช่… จูบแรกของแดริล เชน เป็นการจูบกับผู้ชาย… เปลือยท่อนบน… ในห้องเปลี่ยนเสื้อนักกีฬาชายที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อและกลิ่นอับของผ้าเปียก





ลิ้นอุ่นที่สอดเข้ามากระหวัดกับลิ้นในปากเริ่มทำให้สติเลือนรางลงทุกที… พร้อมๆ กับอากาศในปอด วินเซนต์จูบย้ำหนัก ขณะที่เขาพยายามพึมพำบอกให้อีกฝ่ายหยุด ต้นขาข้างนั้นก็ดันเข้าแนบกับส่วนกลางลำตัวเสียจนเจ้าของร่างอดครางออกมาไม่ได้





“พอ...พอแล้ว วินซ์” พูดแล้วก็พยายามดันร่างตรงหน้าออก ติดแต่นั่นมันเกิดความสามารถของเด็กหนุ่มจริงๆ ...

วินเซนต์หอบเบา ขณะลากลิ้นเลียมุมปาก ดวงตาสีเขียวเข้มฉายแววกระหายเสียจนดูน่ากลัว

“นายชอบฉัน”

“ไอ้บ้าหลงตัวเอง คิดไปเองทั้งนั้น” แดริลกัดฟันตอบ แล้วก็ต้องกลั้นหายใจเมื่อมือหยาบกร้านตะครุบเข้าจับส่วนที่กำลังตื่นตัว

“ไม่ล่ะ ฉันไม่ได้คิดไปเอง”





แดริลอายเสียจนอยากแทรกแผ่นดินหนี นี่คือจูบแรก… และเขาก็ไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อน ต่างกับไอ้บ้าตรงหน้าที่นอนกับสาวฮอทมาแล้วครึ่งโรงเรียน





และคำพูดต่อมาของวินเซนต์ก็ทำให้เด็กหนุ่มผมดำแทบจะเป็นลมอีกครั้ง...





“ลองกันไหม? ”





ไอ้ (@#^&$@ ลองอะไร!?!?!



เหมือนว่าเขาจะเผลอหลุดปากพูดความคิดเมื่อครู่ออกไป ถึงเห็นวินเซนต์อมยิ้มขำและโน้มตัวมากระซิบคำตอบให้ที่ข้างหู



เสียงนั้นแผ่วเบา ทว่าผู้ฟังกลับได้ยินชัดเจนครบถ้วนทุกคำพูด ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งออกสีจัดกว่าเดิม

แดริลพยายามขืนตัวออกห่าง แต่มือใหญ่คู่นั้นจับตรึงข้อมือของเขาไว้อย่างแน่นหนา ใบหน้าของเด็กหนุ่มเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด ในใจคล้ายกำลังรบกันอย่างดุเดือดระหว่างความอยากรู้อยากเห็นกับความกลัว





“ไม่เอาน่า นายคงไม่ต้องใช้เวลาทำใจแบบสาวซิงใช่ไหม ถึงนายจะไม่เคยเหมือนกันก็เถอะ”

“ใครบอกว่าฉันไม่เคยฟะ! ”

นักกีฬาหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย คล้ายต้องการจะถามเขาว่า ‘ถามจริง? ’





ใครจะไปยอมรับล่ะเว้ย!!





“ฉันก็ไม่เคย… กับผู้ชาย” วินเซนต์ไล้ลิ้นเลียริมฝีปากล่างที่เริ่มจะแห้งผาก ก่อนจะฉีกยิ้มเห็นฟัน ดวงตาสีเขียวคู่นั้นคล้ายจะฉายประกายบางอย่างที่ทำให้คนมองนึกอยากถอยหนี “นายไม่สงสัยเลยรึไง ว่ามันจะรู้สึกยังไง”





ไอ้สงสัยมันก็สงสัย… แต่ฉันยังไม่ทันทำใจเลยเฮ้ย!





ยังไม่ทันจะได้อ้าปากตอบ เด็กหนุ่มก็โดนลากเข้าห้องอาบน้ำไปเสียแล้ว ประตูถูกปิดลงกลอนสนิท แดริลกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ...ไร้ทางหนีอย่างแท้จริง





“จับอะไรฟะ!! ” ร่างซึ่งผอมกว่าสะดุ้งสุดตัวเมื่อซิปกางเกงถูกรูดลง เข็มขัดกับกระดุมถูกปลดออกโดยที่ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ มือใหญ่กอบกุมเข้าที่’ส่วนนั้น’เต็มๆ





“อย่าส่งเสียงดังน่า เดี๋ยวโค้ชก็ได้ยินเข้าหรอก”





ไอ้@#* (#*&@ (^! #@ (* สถานกรณ์แบบนี้ใครมันจะไปสงบใจเย็นได้กันฟะ





แดริล เชน ยืนตัวแข็ง ปล่อยให้มือใหญ่รูดรั้งตามความยาว เขาไม่รู้ควรจะเอามือตนเองไปวางไว้ที่ไหน สายตาก็ไม่ควรจะมองไปทางไหน





มองทางบนก็คือแผงอกเปลือยเปล่าที่เปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำ ลงล่างก็จะเห็นกิจกรรมอย่างว่า จะมองซ้ายมองขวามองบนมันก็จะตลกเกินไปหรือเปล่า





ส่วนที่ถูกสัมผัสเริ่มตื่นตัว ทำให้เขาอดหลุดเสียงครางแผ่วไม่ได้ หากเมื่อรู้ตัวก็ยกมือขึ้นตะครุบปิดปากทันที





“หือ.. รู้สึกแล้ว? ” เสียงนั้นเจือด้วยแววขบขันจางๆ คล้ายนักล่าที่กำลังหยอกศัตรู ผู้ฟังนึกอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก





มันจะเร็วเกินไปไหม แต่เอาเข้าจริงเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นเดทกันไม่นานก็ได้กันหมดแล้ว… แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือพวกเขาเป็นผู้ชายทั้งคู่ และแดริลยังตัดสินใจไม่เสร็จว่าตัวเองจะเกย์หรือจะไม่เกย์





จู่ๆ ความร้อนที่ไม่คุ้นชินซึ่งแนบสัมผัสลงบนสิ่งที่กำลังแข็งตัวทำให้ร่างเล็กกว่าถึงกับสะดุ้งอีกครั้ง และเผลอก้มลงไปมองโดยสัญชาตญาณ





…………..





………………….





@Y#*@&! *&#$%@ (*#) ! @ (#&) (! @





“ฉันก็แข็งแล้วเหมือนกัน” พูดแล้วยังยิ้มแบบไม่สะทกสะท้าน ไอ้คนบัดซบไม่มียางอาย!!





เมื่อร่างสูงใหญ่เริ่มขยับสะโพกเสียดสี มือที่ปิดปากเอาไว้สั่นเบา หากยังกลั้นใจไม่ให้ตนหลุดเสียงร้องออกมาได้ แดริลคล้ายได้ยินเสียงหอบเบาที่ข้างหู คนตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้จนแทบจะแนบชิด เหลือเพียงเสื้อตัวบางเป็นปราการด่านสุดท้าย





ใบหน้าของเด็กหนุ่มเห่อร้อน หลับตาแน่นและหันหนี นั่นยิ่งเรียกเสียงหัวเราะขบขันออกมาจากคนตรงหน้า





มือใหญ่อีกข้างล้วงเข้าใต้เนื้อผ้าบาง เลื่อนมือขึ้นไปสัมผัสจากหน้าท้องขึ้นไปถึงอกซ้ายและไล้วนอยู่แบบนั้น จนแดริลอดสั่นสะท้านไม่ได้





“เสื้อนายเกะกะชะมัด”





จู่ๆ สมองของเด็กหนุ่มก็กลับมาใช้การได้ คาดคะเนจากความป่าเถื่อนของหมอนี่แล้ว… มีโอกาสสูงที่มันกำลังคิดจะฉีกเสื้อเขาทิ้งอยู่





“ห้ามฉีก ฉันไม่มีเสื้อตัวอื่--” จังหวะที่ลดมือลงเพื่อกล่าวประโยคนั้น จังหวะการขยับของสะโพกของคนตรงหน้าก็รุนแรงขึ้นอีก จนเขาหลุดร้องครางออกมา





“เสียงนายเร้าอารมณ์ดี” พอรู้ตัวว่าตกหลุมพราง สีแดงบนใบหน้าลามไปจนถึงใบหู แดริลอดไม่ได้ที่จะขยับตอบรับ





เขาไม่ได้รังเกียจ ซ้ำยังชอบอีกต่างหาก





แย่แล้ว… แย่จริงๆ คราวนี้





“คราวหน้าฉันอยากเห็นนายไม่ใส่เสื้อผ้า”





ก่อนอื่นช่วยเลิกพูดจาน่าอายก่อนเถอะ!!!





แดริลไม่ตอบคำ ทั้งยังไม่กล้าจะมอง ไม่กล้าจะแตะ





“จับดูสิ…”

ไม่เอ๊า!!!

ถึงจะร้องปฏิเสธในใจ แต่มือก็ถูกดึงไปแตะสิ่งที่ทั้งร้อนทั้งแข็ง…. เด็กหนุ่มทำหน้าเหมือนจวนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ สีแดงบนใบหูเริ่มลามลงไปถึงลำคอ ดวงตาสีเขียวเข้มจับจ้องอากัปกิรยาทั้งหมดและยิ้มอย่างพอใจ

“นายนี่มันน่ารักชะมัด” พูดจบริมฝีปากก็ถูกแนบปิด ลิ้นอุ่นรุดไล้เข้ามาสำรวจหยอกเย้า จนแทบจะหายใจไม่ออก





มือข้างนั้นวางลงบนบ่ากว้างอย่างลืมตัว คล้ายจะหาที่ยึดเหนี่ยว เมื่อวินซ์ถอนริมฝีปากออก ร่างกายส่วนล่างก็เกร็งกระตุก ปลดปล่อยออกมาพร้อมเสียงครางดังที่ฟังแล้วชวนให้หน้าแดง





ริมฝีปากถูกประกบปิดอีกรอบ วินซ์ขยับสะโพกกระแทกแรงอีกสองสามครั้ง หลังจากนั้นทุกอย่างก็สงบลง





เมื่อนักกีฬาหนุ่มผละออก แดริลแทบล้ม แขนยึดเกาะเกี่ยวกับบ่าเปลือยของคนตรงหน้าเพื่อพยุงตนเองไว้ หน้าผากแนบกับอกแน่นอย่างลืมตัว





“ต้องให้อุ้มอีกไหม เจ้าหญิง? ”

เขารู้สึกตัวเมื่อมือปริศนาสองข้างคืบคลานแตะเอวผอมอย่างช้าๆ จากนั้นก็ล้วงต่ำลงไปบีบก้นทั้งสองข้างเบาๆ … แดริล เชน หลุดจากภวังค์ ดีดตัวออกในทันที ตาเบิกมองวินเซนต์ที่ยืนเปลือยตรงหน้า คล้ายย้ำเตือนว่าเมื่อครู่ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ความเข้าใจผิด ไม่ใช่เสพกัญชาแล้วละเมอไปเอง





“นาย… ฉัน… นาย…” แดริลอ้าปาก หุบปาก และอ้าปากอีกครั้ง

“อืม เรามีเซกซ์กัน… แต่ก็ยังไม่สุดหรอกนะ” วินเซนต์ลูบคาง ก้มลงมอง และชัดเจนว่ามองอะไรอยู่ คนฟังถึงกับหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เพียงแต่อาจจะต้มนานจนเปื่อยแล้ว “ไว้คราวหน้า…”





วอทเดอะ….. @Y&#@*! ^#@&^ (! # (@70 คราวหน้าอะไรวะ!?





ร่างซึ่งสูงกว่าก้มลงจูบหนักอีกครั้งก่อนจะผละออก เช็ดมือกับผ้าขนหนู ปลดล็อกกลอนประตูและเดินออกไปด้านนอก





“ฉันไปแต่งตัวก่อน อย่าหนีกลับก่อนซะล่ะ” พูดดักคอทิ้งท้ายแล้วก็หายหัวไป ทิ้งให้แดริลยืนอ้าปากค้างอยู่เพียงลำพัง





เขาไม่รู้ว่าควรจะสู้หน้าอีกฝ่ายอย่างไร จัดการตัวเองเสร็จก็ยืนเครียดซ่อนตัวอยู่หลั้งชั้นล็อกเกอร์ สับสนกับชีวิตและสิ่งที่เพิ่งถูกบังคับให้ยอมรับ เขาไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้อีกหลังจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด





พระเจ้าช่วย ฉันเป็นเกย์…





“กลับกันเถอะ” เสียงเรียกพร้อมกับมือใหญ่ที่วางลงบนบ่าทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัว เงยหน้ามองเจ้าของเสียงแบบปั้นสีหน้าไม่ถูก วินเซนต์แต่งตัวเรียบร้อยด้วยเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มสบายๆ ท่าทางเป็นธรรมชาติไม่ได้ดูเหมือนเพิ่งทำเรื่องแบบนั้นมาเลยสักนิด… มองแล้วน่าหงุดหงิดเป็นบ้า





เอ็งทำมาจนชินแล้วใช่ไหม…





แดริลหรี่ตามอง แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป ไม่อยากให้หมอนี่รู้ว่าเขาเพิ่งเคยทำอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก ขณะโดนลากขึ้นรถเจ้าคนน่าตายนั่นก็ยังยิ้มอารมณ์ดี ดูแล้วน่าฆ่าเป็นอย่างมาก





ในรถของวินเซนต์เปิดวิทยุ คนขับฟังเพลงไปฮัมเพลงไปอย่างสบายอารมณ์ ส่วนผู้โดยสารกลับนั่งเงียบไม่พูดไม่จา เดี๋ยวก้มหน้า เดี๋ยวมองออกนอกหน้าต่างเป็นระยะ





วินซ์สังเกตเห็นการกระทำทั้งหมด เห็นใบหูที่ออกสีแดงน้อยๆ แต่ก็ตัดสินใจทำเป็นไม่สังเกต แค่ฮัมเพลงของเขาไป คนหนึ่งชัดเจนว่าอยากหนีไปจากตรงนี้แต่ไม่มีทางให้หนี ส่วนอีกคนดูคล้ายกำลังสนุก เห็นแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น แถมยังขับรถช้ากว่าปกติจนทำเอาคนนั่งแทบเป็นบ้า





ในที่สุดความทรมานของแดริลก็จบลง รถคันใหญ่จอดลงหน้าบ้านของวินเซนต์ เป็นจังหวะเดียวกับที่ดีเจคลื่นวิทยุดังเริ่มเปิดเพลงบอยแบนด์ของแบคสตรีทบอย





From the first day

That I saw your smiling face

Honey, I knew that we would

Be together forever





...เสี่ยวเกินรับไหว





มันสะเดิดจนเกิดเดดแอร์ระหว่างทั้งคู่….





แดริลแสดงสีหน้าปูเลี่ยนๆ ขยับเปิดประตูรถเตรียมจะเผ่น แต่กลับโดนเจ้าของรถจับข้อมือไว้ด้วยมือข้างหนึ่งเสียก่อน ส่วนมืออีกข้างเอื้อมปิดวิทยุ ทำหน้าราวว่าตนเองก็สุดเอือมกับเพลงบอยแบนด์ที่นับวันจะครองคลื่นวิทยุทุกคลื่นนี่เหมือนกัน





“พรุ่งนี้อย่าหนีไปก่อนอีกล่ะ ขานายยังไม่หายดี”





แดริลไม่ได้ตอบรับ ดวงตาสีฟ้ามองคนพูดอย่างสับสน





“ฉัน… พรุ่งนี้มีงานสภา ต้องประชุมเช้า” พูดแล้วก็หลบตา เขาโกหก งานสภาน่ะจัดการกันหมดแล้ว

“งั้นเราก็ออกเช้า กี่โมงดีล่ะ” วินซ์

“...ไม่ต้องก็ได้” แดริล

“กี่โมง? ” วินซ์

“....หกแล้วกัน” แดริล





ให้ตาย… เขาก็แค่อยากได้เวลาพักไปคิดทบทวนเรื่องต่างๆ สักหน่อย ตอนนี้เด็กหนุ่มสับสนจนจะเป็นบ้า ไม่รู้ว่าควรทำอะไรให้หายลนลาน ยิ่งอีกฝ่ายไม่ปล่อยให้เขามีเวลาได้ตั้งตัว ก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่





คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเกย์ ปกติเขาทำยังไงกันล่ะ?





หลังจากได้คำตอบวินซ์ก็ยอมปล่อยมือ ทว่าในจังหวะที่ร่างซึ่งเล็กกว่ากำลังจะพุ่งออกจากรถ มือข้างนั้นก็อ้อมด้านหลังมาดันใบหน้า ให้แก้มของแดริลหันไปชนกับริมฝีปากเย็นนั่นพอดิบพอดี





“แล้วเจอกันพรุ่งนี้” วินเซนต์กระซิบเบาข้างหู และผู้ถูกกระทำก็รู้สึกคล้ายบางอย่างระเบิดตูมออกมาในหัว ไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งตัวออกจากรถแล้วหนีเอาชีวิตรอดอย่างเร็วเท่าที่สองขาจะพาตนเองไปได้ แต่ครั้งนี้ไม่ลืมมองซ้ายขวาก่อนจะข้ามถนน เพราะเขาไม่อยากกลับไปใส่เฝือกแล้วตกเป็นเหยื่อของหมอนั่นอีกรอบ





เป็นอีกครั้งที่แดริลได้ยินเสียงหัวเราะดังไล่หลัง แต่เด็กหนุ่มไม่สนใจอีกแล้ว ในอกซ้ายใจเต้นรัวจนแทบระเบิด เข้าไปในบ้านได้ก็วิ่งขึ้นห้องนอนโดยไม่ทักทายใครทั้งสิ้น ปิดประตูลงกลอนและล็อกไว้ จากนั้นสองขาก็หมดเรี่ยวแรง นั่งกองกับพื้น ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้าตนเอง แล้วหยิกแรงๆ ทีหนึ่ง





…. เจ็บ





...แปลว่านี่คือเรื่องจริง พระเจ้าช่วยลูกด้วย





เขาไม่รู้ว่าหมอนั่นคิดอะไรอยู่ แต่ตอนนี้แดริล เชน สับสนจนใกล้บ้า อยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ ด้วยความอึดอัดใจว่า...





ให้ตายเหอะ บ้าเอ๊ยยย สรุปฉันเป็นเกย์เหรอเนี่ย!!!!!!!!

หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 3 [25/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 25-11-2018 15:45:00
ชีวิตน้องบัดซบจริงๆ เอ็นดูๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 3 [25/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-11-2018 21:34:34
ตามอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 3 [25/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-11-2018 22:53:05
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 3 [25/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 26-11-2018 02:14:05
Poor shane  :เฮ้อ:
พ่อก็เมกันหัวเก่า แม่ก็คลั่งศาสนา แถมพีคที่ว่าอิตาซัมเมอร์ส์ต้องมาร่วมงานแถม Black flash มาอีก
บัดซบเห้ๆเลย  :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 3 [25/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 26-11-2018 18:07:34
บทที่ 4 Will You Go Out With Me? (1/2)

[เนื่องด้วยแต่ละตอนมีความยาวเกินที่กระทู้อนุญาต เลยจำเป็นต้องหั่น2พาร์ทนะคะ]



แดริล เชน ไม่แน่ใจว่าควรผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้อย่างไร





วันรุ่งขึ้นเขานอนไม่หลับ มีถุงดำที่ใต้ตา เดินมาขึ้นรถแต่เช้า พยายามเมินสีหน้าอารมณ์ดีของเพื่อน ร่วมทาง

หลังจากคิดมาทั้งคืน แดริลพยายามห้ามตัวเองไม่ให้คิดไปไกล รู้กันอยู่ว่าหมอนี่มันเสือผู้หญิง ข้อสันนิษฐานที่สมเหตุสมผลที่สุดคือ… มันคงเกิดอยากจะลองกับผู้ชายขึ้นมาบ้างเลยลากเขาไปเป็นหนูทดลองเพราะอยู่ใกล้ตัวพอดี





กับคนที่ได้กับเชียร์ลีดเดอร์มาแล้วเกินครึ่งทีม… การจะไปคาดหวังว่าเขาจริงจังกับความสัมพันธ์ทางกายเป็นเรื่องโง่

การที่แดริลเป็นเกย์ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เจ้าตัวปวดหัวพอแล้ว วินเซนต์ ซัมเมอร์คือเรื่องชวนปวดหัวอีกเรื่อง

บางทีเขาอาจควรพูดให้ชัดเจนให้พ่อควอเตอร์แบคว่าที่พรอมคิงเลิกหยอกเขาเล่นได้แล้ว หากอยากได้หนูทดลองความเป็นไบเซกซ์ชวลก็ช่วยไปหาคนอื่น อย่ามาลงกับเขา…





เคราะห์ดีที่ในวันต่อมาวินเซนต์ไม่ได้ยกเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องล็อกเกอร์มาพูด เพียงหยอกล้อเขาเรื่องอื่นๆ เท่านั้น… จึงทำให้พอจะทำเป็นเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นได้… และแดริลก็จงใจจะทำแบบนั้น… ตั้งมั่นบอกตนเองว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น





คิดแล้วแดริลก็อดเหลือบมองคนที่กำลังขับรถอยู่ไม่ได้ ร่างกายมีกล้ามเนื้อได้สัดส่วน ใบหน้าหล่อเหลา นิสัยเด็ดขาดมีความเป็นผู้นำ และไม่โง่ แถมบ้านยังมีฐานะดี ผู้ชายแบบนี้ ไม่ว่าสาวคนไหนก็คงอยากควงทั้งนั้น





เหมือนว่าวินเซนต์จะสังเกตสายตาที่เขามอง จึงเหลือบมองตอบ ปากก็ถามไปพลาง





“มีอะไรติดหน้าฉันรึไง” วินซ์





….ความหล่อ

ให้ตายก็ไม่พูดหรอกแค่นี้หมอนี่ก็หลงตัวเองมากเกินไปแล้ว…





“แค่คิดว่านายก็พอดูได้”

“พอดูได้? ” วินซ์เลิกคิ้ว “เหอะ ขอโทษนะ เชน แต่ฉันน่ะเลยคำว่าพอดูได้ไปโข”





ฟังแล้วเด็กหนุ่มก็กลอกตาหนึ่งที ชมหนึ่งก็จะเพิ่มให้ตัวเองเป็นสิบ แต่นั่นก็ไม่ผิดซะทีเดียว ควอเตอร์แบคหนุ่มมีคุณสมบัติครบถ้วนที่ทำให้คนติดตามและชมชอบ กระทั่งคนที่เกลียดเขาที่สุดก็ยังต้องยอมรับในคุณสมบัติเหล่านั้น แม้มันจะเป็นไอ้ชั่วที่นอกใจแฟนและไล่เก็บแต้มฟันสาวฮอทก็เถอะ





และบางทีความเกลียดหรือความไม่ชอบใจก็เกิดจากความอิจฉา ซึ่งวินเซนต์ก็มีเรื่องที่ทำให้คนนึกอิจฉาจริงๆ เหมือนเขาไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามใดๆ ทั้งสิ้นในการเอาตนเองเข้าไปอยู่ในจุดศูนย์กลางของทุกสิ่ง… ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ

คิดแล้วก็รู้สึกขมปร่าในใจ ขณะที่คนอื่นต้องกระเสือกกระสนแทบตาย หมอนี่ก็แค่ขยิบตาทุกอย่างก็มาสยบแทบเท้า

ไม่ยุติธรรมเลยน้า





แดริลลงจากรถที่จอดสนิทอยู่ในลานจอด กระแทกประตูรถปิดอย่างนึกพาล และก้าวขาเดินอย่างเร็วเท่าที่จะเร็วได้ในมาตรฐานคนเพิ่งถอดเฝือกมุ่งหน้าไปยังห้องสภานักเรียน





จู่ๆ กระเป๋าเป้สะพายหลังก็ถูกนักกีฬาโรงเรียนแย่งไปถือ แถมเดินแซงไปอีก คนเจ็บก็ทำได้เพียงทำใจยอมรับสภาพปล่อยให้กระเป๋าเป้ตนเองกลายเป็นตัวประกัน จำใจตามไปอย่างไม่มีทางเลือก





พอถึงหน้าห้องสภานักเรียน เป้ใบนั้นก็ถูกส่งคืน วินซ์โบกมือน้อยๆ บอกว่าจะไปซ้อมกีฬาก่อนเข้าเรียน ส่วนตัวเขานั้น เปิดประตูเข้ามาก็เจอกับตาชั้นเดียวของนายลีเจ้าเก่า นั่งแทะขนมปังเป็นอาหารเช้า มองมาด้วยสายตาไม่น่าไว้ใจสักนิด





“อรุณสวัสดิ์” ลี

“...อรุณสวัสดิ์” แดริล

“วันนี้ว่าที่พรอมคิงก็มาส่งนายถึงที่อีกแล้วนะ” ลี

“..........” เอ็งไม่ต้องทักสักเรื่องจะตายไหมวะไอ้จีน



บังเกิดเดดแอร์ระหว่างคนทั้งครู่ เงียบกริบจนได้ยินเสียงฮีตเตอร์เก่าๆ ร้องวี้…





“มีงานอะไรให้ฉันช่วยไหม” แดริลพยายามทำลายความเงียบ

“ไม่มีล่ะฉันทำหมดแล้ว”





เอ็งมันเครื่องจักรทำงานสภาเหรอไอ้คุณลี...





“จะว่าไป… ฉันมีเรื่องอยากคุยกับนายอยู่พอดี” ในห้องสภาที่มีเพียงเด็กเกรดสิบสองคนนั่งอยู่หน้ากองเอกสาร บรรยากาศดูลึกลับอย่างประหลาด เด็กหนุ่มชาวเอเชียประสานมือ วางศอกบนโต๊ะ ท่าทาลึกลับอย่างกับในซีรียส์สืบสวน





“........ร...เรื่อง...อะไร” แดริล

“วินเซนต์ ซัมเมอร์” ลี

โว้ยยยย ไม่อยากคุยโว้ยยยยย!!

“นายอย่าเพิ่งปฏิเสธ ฟังฉันก่อน” ลีพูดต่อ

“...ก็ได้” แดริล

“นายอยากเป็นประธานนักเรียนใช่ไหม” ลี

“..... ดูออกง่ายขนาดนั้นเลย? ” แดริลยกยิ้มน้อยๆ “นายเองก็อยากเป็นนี่ ไม่งั้นคงไม่ตั้งใจทำงานขนาดนี้”

ลีฟังแล้วก็ยิ้มลึกลับออกมาเช่นกัน คิดแล้วก็ตลกดี เด็กอายุสิบหกสองคนวางท่าคุยกันเรื่องการเมือง ซุบซิบอย่างจริงจังราวว่าตนเองอยู่ในซีรียส์ CSI กันก็ไม่ปาน...

“เปล่า นายเคยเห็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาที่เป็นเอเชียน-อเมริกันไหมล่ะ เชน การที่ฉันจะชนะโหวตในโรงเรียนนี้ได้ โอกาสมีไม่มากหรอก…. ฉันหวังแค่ตำแหน่งรองประธาน”



อันที่จริงตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ก็เป็นประธานรุ่นกับรองประธานรุ่น เพราะยุ่งกับการช่วยงานสภาที่ไม่ค่อยมีใครอยากทำมาตั้งแต่เกรดเก้า ทุกคนจึงยินดีที่จะโยนงานก้อนนี้มาให้ แต่ตำแหน่งประธานสภานักเรียนใช่จะไร้คู่แข่ง





“นายก็รู้ ถ้าได้ชื่อว่าอยู่ในสภานักเรียน สี่ตำแหน่ง ประธาน รองประธาน เลขา เหรัญญิก หนทางสู่มหาวิทยาลัยระดับไอวี่ลีกก็ไม่ไกลเกินเอื้อม” ลีพูดต่อ

“ใช่ เรื่องนั้นใครๆ ก็รู้ เข้าเรื่องเถอะ นายต้องการอะไร” แดริลพูดและเก๊กอย่างจริงจัง รู้สึกอินกับบทการเมืองเข้าไปทุกที

“ฉันอยากให้นายเป็นประธาน แล้วดึงฉันไปเป็นรองประธานของนาย เรื่องนี้ต้องวางแผนกันแต่เนิ่นๆ นี่ก็ใกล้หมดปีแล้ว พวกเรายังเหลืออีกปีเพื่อกว้านฐานเสียง”





“นายเป็นแฟนว่าที่ควีนบี… แคทเธอรีน ฉันมั่นใจว่าปีหน้าเธอจะได้เป็นรองกัปตันทีมเชียร์ พอซีเนียร์เมื่อไหร่ก็จะขึ้นแท่นกัปตัน ย่อมใช้เธอช่วยดึงคะแนนเสียงได้มาก” ลีกล่าว แดริลหรี่ตาลงเล็กน้อย หมอนี่มันอ่านเกมเขาได้ขาดจริงๆ ตอนแรกก็นึกว่าจะลงเลือกตั้งเป็นคู่แข่ง ที่ไหนได้กลับยื่นข้อเสนอ... พอใจกับแค่ตำแหน่งรองประธาน

“อืม… นั่นฉันก็กะจะทำอยู่แล้ว” แดริล

“ทีนี้นายยังสนิทกับวินเซนต์ ซัมเมอร์ ไอ้โง่ที่มีความคิดสักหน่อยที่ไหนก็รู้ ว่าหมอนี่จะเป็นราชาของโรงเรียนในอีกไม่ช้า ขนาดพวกเกรดสิบสองยังไม่กล้ายุ่งกับเขานักเลย” ลี

“....ไม่ได้สนิทกัน” แดริลตอบทันที

“คนไม่สนิทกันเขาจะแบกกระเป๋ามาส่งนายรึไง” ลี

“หมอนั่นก็แค่มีน้ำใจ…” แดริล

“ไม่เอาน่า เชน เลิกปฏิเสธเถอะ นายอยากเป็นประธานนักเรียนหรือไม่อยาก หากวินเซนต์ไม่อยากให้นายได้เป็น แค่เขาพูดคำเดียวฐานเสียงนายก็หาย แคทเธอรีนก็ช่วยนายไม่ได้นะ”





คำพูดของลีทำให้ผู้ฟังหน้าถอดสี นั่นก็จริง วินซ์กว้างขวางขนาดไหนก็รู้ๆ กันอยู่ แค่พวกนักกีฬากับเด็กป๊อบไม่สนับสนุนหรือลงเลือกตั้งแข่ง พวกเขาก็จบเห่แล้ว! ถึงเกรดจะดีแค่ไหน ถึงทำงานมามากแค่ไหน สุดท้ายทุกอย่างก็ถูกตัดสินด้วยคะแนนความนิยมอยู่ดี นี่ล่ะความไม่ยุติธรรมของโลกนี้!!





“นายต้องสนิทกับว่าที่พรอมคิงเข้าไว้ จับหมอนั่นไว้ให้อยู่ ใช้ฐานเสียงของเขาให้ได้! ” เพื่อนลี… นายไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องอาบน้ำล็อกเกอร์ชายเมื่อวาน… เพื่อนลี … นายไม่รู้





กันคนที่คิดจะหนีหน้าแล้วสะบัดมันให้หลุด ด้วยเหตุผลและผลประโยชน์ทั้งปวงกลับสะบัดให้หลุดไม่ได้ บัดซบนัก





แดริลน้ำตาตกใน จะพูดออกมาก็ไม่ได้ อยากออกไปตะโกนกรีดร้องกลางสนามอเมริกันฟุตบอลให้มันรู้แล้วรู้รอด





Why me!?!?!!?





……………..







แดริล เชน ใช้วันหยุดในการรวบรวมความคิดและสติ… สุดท้ายก็สติเหลือไม่พอใช้คิดอีกต่อไป ต้องหนีไปหาแคทเธอรีนที่อยู่บ้านถัดไปไม่กี่หลัง





หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้หล่อนฟังแบบคร่าวๆ เท่าที่จะคร่าวได้ แม่เชียร์ลีดเดอร์สาวก็ถึงกับอุทานเสียงหลง





“พระเจ้าช่วย นี่เรื่องจริงเหรอเนี่ย” แคทเธอรีนเอามือที่ทาเล็กสีแดงจัดทั้งห้านิ้ววางบนอก “ฉันขอรายละเอียด เขาใหญ่อย่างที่คนอื่นว่ากันไหม”

“.......................แคท” อยู่ๆ เพื่อนรักก็อยากเอาหัวโขกกำแพง

“ไม่เอาน่า ฉันก็แค่สงสัยว่าพวกหล่อนพูดเกินจริงรึเปล่า”





เด็กหนุ่มหรี่ตามอง จนสาวเจ้ายักไหล่ทีหนึ่ง มือก็เอื้อมหยิบจุปาจุปส์รสช็อกโกแลตวานิลลามาแกะห่อกิน เห็นว่าให้ตายเขาก็ไม่ยอมให้รายละเอียด เจ้าหล่อนก็ยอมแพ้ไปเอง





“แล้ว… เธอจะเอายังไงดีคะที่รัก” แคท

“ฉันจะทำอะไรได้ เกิดหมอนั่นไม่พอใจขึ้นมาอนาคตประธานสภาฉันก็อาจจะปลิวก็ได้ อย่างที่ลีว่า” แดริล

“ข้ออ้าง เธอก็แค่หาเหตุผลในการไม่สลัดเขาทิ้ง” แคท

“.......” นั่นก็แทงใจดำดังฉึก

“อย่างเธอจะปล่อยให้คนที่ไม่ชอบมาทำนั่นทำนี่ขนาดนี้เลยหรือไง ขอทีเถอะย่ะ สมยอมชัดๆ ” แม่เพื่อนเลสเบี้ยนดึงแท่งอมยิ้มออกจากปากมาชี้หน้าเขา “คิดว่าเรารู้จักกันมากี่ปี แดริลที่รัก เธอหลอกฉันไม่ได้หรอก”

“.........” แทงซะยับจนไม่เหลือข้อโต้แย้ง

“ปากบ่นว่าไม่ชอบใจ แต่ก็ยังยอมไปกับเขา จริงๆ ก็ชอบใจใช่ไหมล่ะที่เขามาวุ่นวายด้วย” แคท

“.........หยุดพูดเถอะ ได้โปรด” แดริล

“ฉะนั้นก็คิดซะสิคะว่าจะเอายังไง” แคท

“ฉันไม่รู้ ให้ตายเหอะแคท ถ้าฉันเป็นเกย์ประกาศตัวจริงๆ พ่อแม่ต้องฆ่าฉันแน่ อาจโดนแม่จับไปทำพิธีไล่ผีปราบซาตานแบบในThe Exorcistเลยก็ได้” เด็กหนุ่มนวดขมับ “อีกอย่าง วินซ์ก็อาจจะแค่เป็นไบ หรือแค่ลองดูเพราะอยากรู้อยากเห็น เมื่อวันที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้พูดเรื่องนั้นอีก ฉันก็ไม่ควรไปคิดจริงจังกับมันหรอก”

“ใช่ เขาเป็นคนแบบนั้น หากแค่สนุกกันชั่วคราวก็ไม่เสียหายหรอก… แต่เธอดูจะชอบเขาจริงๆ ...นั่นละที่ฉันห่วง” แคทพูดแล้วก็อมลูกอมของเธอต่อ “เธอไม่เคยคบใครจริงจังเพราะช่วยฉันปิดบังเรื่องแอชลีย์ เรื่องแบบนี้ฉันห่วงเธอจริงๆ นะแดริล”

ถ้าห่วงก็หัดช่วยเพื่อนให้มากกว่านี้หน่อยสิเฟ้ย ไม่ใช่ขลุกอยู่แต่กับแฟน





“ฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง… หากวินเซนต์ไม่พูดอะไร ฉันว่าทำเหมือนมันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นน่าจะดีที่สุด”





คราวนี้แคทกลับมองด้วยสายตาเป็นกังวล และนานๆ หนที่เธอจะมีสีหน้าแบบนี้ สุดท้ายหญิงสาวก็หลุบตาลง เหมือนจะทำใจส่วนหนึ่ง เข้าใจอีกส่วน





“ความรู้สึกมันห้ามกันไม่อยู่หรอก บางทีก็ต้องให้โดนกระแทกแรงๆ สักทีแล้วก็จะแตกจนค่อยๆ หายไปเอง” แคท

“.... เรื่องพวกนี้มันยากชะมัด ยากกว่าสอบปลายภาควิชาชีวะอีก” แดริลถอนหายใจ

“เธอแค่ไม่มีประสบการณ์ต่างหากย่ะ ตาทึ่ม ตอนนี้อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ ฉันจะระวังหลังให้เธอเอง” แคท

เขารู้ดีว่าถึงแม้แม่สาวนี่จะปากร้าย แต่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นเพื่อนที่ดี หากหล่อนพูดแบบนี้ก็หมายความว่าต่อให้เขาตัดสินใจจะปฏิเสธวินเซนต์จนถึงขั้นแตกหักจริง เธอก็จะช่วยเขา แม้ว่านั่นจะหมายถึงการสั่นคลอนสถานะควีนบีของตนเองก็ตาม หรือหากเขาคิดจะตามน้ำปล่อยให้มันเลยตามเลย เธอก็จะช่วยเขาปิดบังเรื่องนี้จากคนทั้งโรงเรียนอยู่ดี

“ให้ตายสิ... ฉันรักเธอจังเลยแคทเธอรีน”

“ฉันก็รักเธอ แดริลที่รัก หากพวกเราไม่ได้เป็นเกย์ ฉันก็คงไม่ยกเธอให้ใครหรอกรู้ไหม” เด็กสาวยกยิ้มที่ดูคุกคามอยู่เล็กน้อย แต่ก็น่ารักอยู่ในที

“อย่าพูดเรื่องที่ฟังดูน่ากลัวแบบนั้นเลย” ถึงจะยกมือห้าม แต่ในใจของเขาก็คิดแบบเดียวกัน หากเขาชอบผู้หญิง ก็อาจจะชอบหล่อนก็ได้ สาเหตุที่ไม่เคยมองเธอในฐานะผู้หญิง… ก็เพราะเขาไม่ได้มีรสนิยมชอบผู้หญิง





ความเป็นจริงคือทั้งคู่เป็นเกย์ที่ต้องปิดบังทั้งสังคมและครอบครัว เรื่องที่รักลงตัวแบบนั้นน่ะมันไม่มีอยู่จริงหรอก





ในที่สุดแดริล เชน ก็จำใจต้องยอมรับความจริง.. ว่าเขาน่ะ เกย์ทั้งแท่งแน่นอน 100%





……………………………..







ชีวิตประจำวันดำเนินต่อไปแบบเรื่อยเปื่อย หลังจากนั้นทั้งอาทิตย์วินเซนต์ก็ไม่ได้ลงมือทำอะไรที่ชวนให้แดริลหัวใจวายตายอีก ตอนเช้านั่งรถก็มีหยอกล้อกันบ้าง และการที่วินเซนต์ไม่ได้ทำอะไรหรือพูดอะไร นั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มมั่นใจ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ กับความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น…

ดีไม่ดีพอได้ลองจนรู้แล้วหมอนั่นก็คงอยากทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนกัน แบบนี้ก็สะดวกเขาแล้ว แดริลคิดให้ตนเองสบายใจ





เพราะช่วงนี้ใกล้งานพรอมเข้าไปทุกที สภาจึงยุ่งกับการจัดงานเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มจึงมีข้ออ้างไม่ต้องไปช่วยโค้ชวิทเทคเกอร์จดเวลา จดแต้ม จดสถิติ จัดอุปกรณ์ ฯลฯ หลังเลิกเรียนอีก..

ธีมงานพรอมปีนี้คือ Under The Sea พวกเขาต้องเอาผ้าสีฟ้าและตัวปลาจำนวนมากไปแต่งเวทีโรงยิม โรงเรียนมีงบให้ส่วนหนึ่ง เรี่ยไรมาจากกิจกรรมระหว่างปีเช่นวาเลนไทน์ งานเต้นรำ ขายคุกกี้ อีกส่วนหนึ่ง แต่จะให้ตกแต่งสวยเว่อร์วังแบบในหนังที่ดรูว์ แบรี่มอร์ เล่นมันก็เป็นไปไม่ได้หรอก…





เป็นเวลาเย็นกว่าที่เขาจะเสร็จงาน คาดว่าพวกทีมอเมริกันฟุตบอลโรงเรียนน่าจะซ้อมเสร็จกลับไปแล้ว แดริลเดินมุ่งหน้าตัดออกไปทางลานจอดรถเพื่อไปขึ้นรถบัส แล้วจู่ๆ ขาก็หยุดก้าว รถหรูคันที่คุ้นตาจอดอยู่กลางลาน ร่างสูงใหญ่ที่คุ้นตาก็ใส่แจ็คเกตนักกีฬายืนรออยู่ข้างๆ รถคันนั้น





เด็กหนุ่มผมดำเม้มปากเล็กน้อย มือที่ถือสายสะพายเป้กำแน่น.. ความรู้สึกในอกตีกันจนปั่นป่วน ชวนให้สับสนไปหมด





รู้ตัวอีกทีก็ก้าวขาไปหาเขาแล้ว





“วันนี้เลิกช้านะ” วินเซนต์เห็นอีกฝ่ายก็ยิ้มให้แบบทุกที เปิดประตูรถเข้าไปนั่งก่อนบนที่คนขับ

“ช่วงนี้ใกล้งานพรอมแล้วนี่ สมาชิกสภานักเรียนก็ยุ่งกันหมด” คาดเข็มขัดเรียบร้อยก็เบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง หลบสายตาคนข้างๆ อย่างแนบเนียน





รถแล่นไปได้ประมาณห้านาที จู่ๆ วิทยุก็ขึ้นทำนองเพลงช้า.. ที่เนื้อเพลงน้ำเน่าจนชวนให้ขนลุกเกรียว





Close your eyes, make a wish

And blow out the candlelight

For tonight is just your night

We're gonna celebrate,

All through the night

Pour the wine, light the fire

Girl your wish is my command

I submit to your demands---





นับวันบอยแบนด์ยิ่งยึดครองพื้นที่ในวิทยุทุกช่องเข้าไปทุกที... ที่ดังออกมาจากวิทยุติดรถคือเพลงป๊อปยุค 90 ของBoyz II Menที่กำลังดังอยู่ในขณะนั้น พอเพลงดังเด็กหนุ่มทั้งสองก็ส่งเสียงออกมาอย่างรังเกียจแกมไม่ชอบใจ มือของทั้งคู่เอื้อมไปกดปิดวิทยุพร้อมๆ กัน จังหวะที่มือสัมผัสโดน แดริลคล้ายถูกไฟช็อต เขารีบชักมือกลับ เบือนหน้าหนีและหันหัวมองออกนอกหน้าต่างรถ





เจ้าของรถนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นก็หลุดเสียงหัวเราะเบาๆ





ใบหน้ารู้สึกเห่อร้อนไปถึงใบหู เด็กหนุ่มเกลียดปฏิกิริยาแบบนี้ของตนเองจริงๆ

“แค่จับมือนิดหน่อยนายก็หน้าแดงแล้ว” วินซ์

“หนวกหู” แดริล

“ฉันว่าจะเลิกเรียกนายว่าเจ้าหญิงแล้ว แต่จู่ๆ ก็อยากเรียกขึ้นมา เขินเหรอ เจ้าหญิง? ” วินซ์

“ไปตายซะ วินเซนต์ ซัมเมอร์” แดริล

“ไม่ล่ะ นายไม่อยากให้ฉันตายไปจริงๆ หรอก นายชอบฉัน” วินซ์

“.............” เห็นรอดจากเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว เขาก็นึกว่าจะรอดแล้วเสียอีก… นึกว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อยเขาไปและทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น



หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 4 [26/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 26-11-2018 18:08:40
(2/2)

...ว่าแต่ไอ้บ้านี่มันไปเอาความมั่นใจในตัวเองมหาศาลนี่มาจากไหนกันแน่ ถ้าไม่นับเรื่องที่สูงหกฟุตสองนิ้วตั้งแต่ยังไม่จบไฮสคูล เป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลฝีมือดี บ้ายรวย กับฟันหญิงมาแล้วครึ่งทีมเชียร์…





…… โอเค… ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าความหลงตัวเองมหาศาลนั่นมาจากไหน… แต่เพลาๆ บ้างเถอะ





จู่ๆ รถก็จอดเข้าที่ข้างทางทั้งที่ยังไม่ถึงจุดหมาย แดริลถึงกับหันหน้ากลับมองคนขับด้วยสายตางุนงง





วินเซนต์ไม่พูดมาก ปลดเข็มขัดนิรภัยฝั่งตัวเอง ขยับกายเอื้อมมาดึงคันโยกให้เบาะของที่นั่งข้างคนขับเอนหลังลงอย่างกะทันหันจนแดริลร่วงลงไปพร้อมกับเบาะ เผลอร้องออกมาด้วยความตกใจ





“ทำอะไรของนายฟะ! ” ร่างสูงใหญ่คร่อมทับอยู่เหนือตัวเด็กหนุ่มที่พยายามดิ้นหนี ดวงตาสีเขียวคู่นั้นจับจ้องมาคล้ายต้องการเรียกร้องอะไรบางอย่าง มันฉายประกายที่เขาไม่เข้าใจ

“นายชอบฉัน แดริล เชน”

“.....” เจ้าของชื่อปิดปากเงียบ เบือนหน้าหนีไปทางอื่น สีหน้าเหมือนอยากร้องไห้อยู่รอมร่อ ไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ





ทำไมชีวิตที่ราบรื่นมาตลอดของผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย... รู้ตัวว่าเป็นเกย์เพราะโดนผู้ชายลวนลาม ยังสับสนไม่หายว่าจะเอายังไงกับชีวิตดีก็โดนคุกคามอีกแล้ว!!



แต่เดี๋ยวนะ.. สถานการณ์มันควรจะเป็น ฉันชอบนาย แดริล เชน มากกว่า นายชอบฉัน แดริล เชน ไม่ใช่เหรอฟะ!? คนบ้าอะไรทั้งยัดเยียดทั้งหน้าด้านได้ขนาดนี้ นายอย่ามาพูดแทนฉัน!!





“นายคิดว่าฉันไม่สังเกตสายตาที่นายมองฉัน? ” คำถามนั้นกลั้วด้วยเสียงหัวเราะ เขาถูกจับคางบังคับให้กลับมามองสบตากับวินเซนต์อีกครั้ง เพราะกลัวว่าดวงตาของเขาจะให้คำตอบอะไรออกไป จึงปิดตาเสียสนิท “ไม่เอาน่า เชน… สีหน้านายช่วงหลายเดือนมานี่ มองกันอย่างกับกำลังรอให้ฉันจับกิน”





“ไม่จริง...” นี่มันรอบที่สองแล้วที่วินเซนต์พูดถึงเรื่องบ้าๆ นี่… ชอบ? ต่อให้ชอบจริงใครจะไปยอมรับ คนแบบนายมันตัวอันตราย เชื่อใจไม่ได้ นอกใจแฟน ฟังสาวแล้วทิ้ง แล้วยังถูกยกย่องว่าโคตรเจ๋ง คนจริง แต่ก็ยังมีสาวมาชอบอีก โลกนี้มันคงเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ!!





“คิดว่าคนอย่างฉันจะมองไม่ออกหรือไง” ร่างที่สูงกว่าเลิกคิ้ว โน้มตัวเข้าใกล้ กระซิบข้างหู “พูดออกมา แดริล ว่านายชอบฉัน”

กับคนที่ถูกสาวนับไม่ถ้วนในโรงเรียนจีบแบบควอเตอร์แบคคนเก่ง ไม่มีทางหรอกที่จะมองเขาไม่ออก เพียงแต่แดริลก็แค่ไม่อยากพูด

ชอบแล้วมันยังไง ไม่ชอบแล้วยังไง? สุดท้ายมันก็แค่เรื่องขำขันฆ่าเวลาของวินเซนต์อยู่ดี ทำไมถึงต้องบีบบังคับให้ยอมรับกันด้วย

….แล้วทำไมเขาถึงชอบเอาตัวเองมาอยู่ในสถานการณ์ที่หลบไม่ได้หนีไม่พ้นกันนะ…





ก็เพราะเธอชอบเขาจริงๆ น่ะสิ ตาทึ่ม





เสียงของแคทดังสะท้อนในหัว ขนาดตัวไม่อยู่ยังอุตส่าห์สะท้อนมาจากจิตใต้สำนึก





เงียบไปเลยยัยบ้า





“พูดออกมาสิ… ยอมรับได้แล้ว” น้ำเสียงนั่นติดจะหงุดหงิดอยู่บ้าง

แดริลยอมเปิดตา สบตากับอีกฝ่ายเพียงวูบ แล้วก็เบือนหน้าหนีหลบสายตา ไม่ยอมตอบคำอย่างดื้อดึง ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าของรถยิ่งมีสีหน้าดำมืดไม่น่ามองเข้าทุกที





“ให้ตายเหอะเชน…” คางถูกดึงกลับไปอย่างแรง จากนั้นริมฝีปากอุ่นก็ประกบจูบ บดเบียดและรุกรานอย่างจาบจ้วงและเอาแต่ใจแบบที่สมเป็นวินเซนต์

แดริลพยายาม ดิ้นหลบ แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นคนที่หน้าแดงตัวแดงง่าย การจะควบคุมสีบนใบหน้ายามนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทำได้เพียงกำหมัดทุบเข้าที่ไหล่ของร่างที่สูงใหญ่กว่าตัวเอง แล้วข้อมือก็โดนรวบดึงไปอย่างง่ายดาย





ไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย





คิดอย่างเจ็บใจจนน้ำตาซึมออกมาเล็กน้อย นึกเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา.. ว่าเขาน่าจะเชื่อฟังพี่ชาย หัดออกกำลังเล่นเวทให้จริงจังกว่านี้ (...)

ริมฝีปากล่างถูกขบย้ำ ลิ้นที่รุกรานบีบบังคับให้เขาตอบสนองอย่างเงอะงะ สุดท้ายเมื่ออีกฝ่ายยอมผละออก เด็กหนุ่มแทบหายใจไม่ทัน





รู้สึกได้ถึงท้องนิ้วสาดที่ปาดน้ำตาซึ่งซึมออกมาบริเวณหางตาของเขาออก





“ร้องไห้ทำไม? ” วินซ์

เพราะเจ็บใจที่ฉันสู้แรงนายไม่ได้ไง

“ไม่ได้ร้อง” แดริล

“ร้องชัดๆ ” วินซ์

“เงียบไปเลย” แดริล





วินเซนต์ไม่เงียบ หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีแทน





“นายเป็นแบบนี้แล้วตลกดี” วินซ์





ไอ้………..





“หุบปากไปเลยซัมเมอร์… แล้วขอบอกไว้เลยว่าฉันจะไม่เป็นเหยื่อทดลองให้นายอีกแล้ว! หากนายอยากลองเล่นเป็นไบก็ไปหาคนอื่น” แดริลยกสองมือที่เป็นอิสระแล้วผลักอกกว้างออก แต่มันก็ไม่เขยื้อน..





นี่นายเป็นก้อนหินหรือกำแพงกันแน่





แดริลรู้สึกว่าไม่ต้องแข่งก็แพ้…. แทนที่จะผลักมันออกไปได้ มือกลับถูกรวบจับ พื้นที่แคบในรถไม่ค่อยเหลือท่ให้เขาขยับตัวเท่าไหร่

“ฉันว่าฉันชอบนาย” วินซ์

“ถึงฉันจะเป็นเกย์ ถึงฉันจะคิดว่านายฮอทนิดหน่อย ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะยอมทำเรื่องแบบนี้อีก เข้าใจไหมวินเซนต์ ฉัน-- หา… เดี๋ยวนะ .. เมื่อกี๊นายบอกว่า…? ” แดริล

“ฉันไม่ชอบพูดซ้ำ และฉันดีใจนะที่นายคิดว่าฉันฮอท”





วอทเดอะ...





สีแดงบนใบหน้าลามไปถึงหู ลงไปถึงคอ ไม่นานนักแดริลก็แดงเถือกไปทั้งตัว จะจับประตูรถเปิดก็ไม่อำนวย รถก็แคบแค่นี้ หนีไปไหนก็หนีไม่ได้





“ไม่จริงน่า” ตอบแบบลนลาน หนีไม่ได้ก็ได้แต่นอนหลบตามันอยู่แบบนั้น

“อืม ฉันเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเหมือนกัน ว่าสุดท้ายทำไมถึงเป็นไอ้แห้งอย่างนายไปได้” ………….ไอ้บ้านี่ เสียมารยาทชิบ นี่มันกำลังสารภาพรักอยู่จริงๆ ใช่ไหม “ฉันก็รอให้นายรีบๆ พูด จะได้ตอบรับ ช้าชะมัดเลย แถมนายก็ไม่ยอมพูดสักที”





มันยังมีหน้ามาด่ากันอีก….

แต่แดริลที่สมองประมวลผลไม่ทันก็นั่งนิ่งราวว่าวิญญาณได้ลอยกลับขึ้นไปหาพระเยซูเจ้าเรียบร้อยแล้ว…





“เฮ้… ฉันเพิ่งเคยพูดอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก ไม่อนุญาตให้นายปฏิเสธหรอกนะ” มือใหญ่จับแก้มแดงๆ นั่นไว้แล้วแตะเบาเรียกสติ พูดจาอย่างเอาแต่ใจ “ตอบ”

“.......จะให้ตอบอะไร” ในที่สุดเด็กหนุ่มผมดำก็เค้นเสียงออกมาได้เล็กน้อย

“ว่านายก็ชอบฉัน คิดว่าฉันฮอทมาก หล่อมาก เก่งมาก และรอจะได้เดทกับฉันไม่ไหวแล้ว” ฟังแล้วแดริลถึงกับยกมือขึ้นลูบหน้าเครียด...





นี่ฉันชอบหมอนี่เข้าไปได้ยังไงนะ?





“ว่ายังไง” ...มันยังจะเซ้าซี้ “ฉันให้เวลานายเป็นอาทิตย์แล้ว ไม่ให้ขอเวลานอกแล้วนะ”





ที่ไม่พูดถึงเรื่องนี้เป็นอาทิตย์นั่นคือการให้เวลาสินะ..





แดริลถอนหายใจ รู้สึกเหนื่อยกับมันเหลือเกิน… ความคิดร้อยแปดแล่นเข้าหัว เช่นเรื่องสถานะทางสังคม โรงเรียน การเลือกตั้งประธานนักเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย แต่พอเงยหน้าขึ้นและได้สบกับดวงตาสีเขียวที่เฝ้ารอคอยคำตอบ เหมือนเด็กน้อยที่กำลังรอคอยขนมสักชิ้น หัวของเด็กหนุ่มก็โล่งไปหมด





“อืม… ชอบ” คำนั้นหลุดออกจากปากไปเอง ตอนนี้เขาขี้เกียจคิดแล้วว่าจะยังไงต่อ แค่ปล่อยให้มันออกจากปากไปแบบไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น





วินเซนต์ยิ้มออกมา ดูเจิดจ้าจนต้องเบือนหน้าหนีอีกครั้ง รู้สึกว่าใบหน้าที่ร้อนอยู่แล้วยิ่งร้อนกว่าเดิมเสียอีก

มันเป็นไปได้ยังไง ตัวแดริลเองก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อแต่มันก็เป็นไปแล้ว… รู้สึกเหมือนถูกโยนไปซ้ายที ขวาที แล้วก็มัดมือชกให้ยอมรับไปโดยปริยาย





“โว้ย!! ” อดไม่ได้ต้องร้องออกมาสักที ยกมือขึ้นลูบหน้าแรงๆ ด้วยความที่ทำอะไรไม่ถูกแล้ว เขินก็เขิน เครียดก็เครียด สับสนก็สับสน “แล้วจะเอายังไงต่อ”





“วันนี้พ่อแม่ฉันไม่อยู่บ้านพอดี เราไปต่อกันที่บ้านฉันก็ได้” แดริลเกือบจะเคลิ้มไปกับรอยยิ้มนั้น หากไม่สะดุดที่เนื้อความในประโยค… “...แต่อาจจะต้องแวะซื้อถุงยางก่อน”

……………….ไอ้…$ (#*&# (





“ไม่ใช่เรื่องนั้นเฟ้ย!! ” เด็กหนุ่มถึงกับขยี้หัวอย่างไม่สนใจทรงผมตัวเองที่เซตมาเป็นเวลาสามสิบนาที “ฉันหมายถึง.. ฉันกับนาย สรุปเราเป็นอะไรกัน”

“แฟน” …….ตอบแบบไม่ลังเลสักนิด จนแดริลถึงกับนิ่งอึ้งไป

“ต...แต่พวกเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ หากคนอื่นรู้เข้า...” ดวงตาสีฟ้าสบเข้ากับคนตรงหน้า ไม่ต้องอธิบายให้ยืดยาว วินซ์ก็เข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ





เรื่องนี้หลุดออกไป สถานะในสังคมได้เป็นอันพังพินาศย่อยยับแน่





สังคมไฮสคูลแบ่งชนชั้นออกเป็นพวกนักกีฬา เชียร์ลีดเดอร์ ต่อมาก็พวกสภานักเรียน คนปกติทั่วไป ระดับล่างสุดก็มักจะเป็นเนิร์ดที่โดนรังแก หรือพวกที่ดูแปลกแยก… เกย์ก็เช่นกัน

หากร่วงลงไปด้านล่าง ชีวิตของคุณจะเหมือนตกนรกทั้งเป็น ถึงมีข่าวเด็กไฮสคูลที่ฆ่าตัวตายเพราะทนโดนกลั่นแกล้งไม่ไหวให้ได้ยินบ่อยๆ





และการกลั่นแกล้งที่คนพวกนี้ต้องเจอ มันร้ายแรงกว่าการแกล้งแบบงี่เง่าที่วินซ์แกล้งเขาในช่วงเกรดเก้ามาก มีตั้งแต่เบาๆ เช่นเอาของไปซ่อน จนแรงขนาดบางคนโดนถ่ายรูปมาติดบอร์ดประจาน จับไปขังในห้องน้ำแล้วกดชักโครก...





แดริลจำได้ดี รุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นเกย์แบบเปิดเผยตัวโดนเอากระดาษที่เขียนว่า ‘ไอ้ตุ๊ด’ มาแปะประจานหน้าล็อกเกอร์ทุกวัน ไม่สามารถโผล่หน้าไปที่โรงอาหารได้ และเหมือนหนักสุดคือโดนรุมทำร้ายในห้องน้ำชาย...





สังคมเด็กวัยรุ่นไม่ใช่สังคมที่รับความแตกต่างได้ขนาดที่พวกผู้ใหญ่คิดหรอก… แค่คิดถึงมันเด็กหนุ่มก็ตัวสั่นแล้ว





“ฉันก็ไม่ได้บอกว่าจะให้ใครรู้นี่ แคทเธอรีนกับแอชลีย์ยังคบกันได้เลยไม่ใช่รึไง? ” บางทีเขาก็ไม่แน่ใจว่าวินเซนต์เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำ หรือแค่บ้าดีเดือดกันแน่… เพราะยังโดนร่างที่ทั้งใหญ่ทั้งหนักอย่างกับก้อนหินคร่อมทับ ร่างที่ผอมกว่าจึงไม่สามารถขยับตัวหนีได้เลย



อาจจะเพราะอีกฝ่ายรู้ทันว่าถ้าหนีได้แดริลคงหนีไปนานแล้ว… ไม่อยู่รับฟังจนจบแบบนี้หรอก…





มือใหญ่ที่ทั้งด้านและสากไล้นิ้วลงบนแก้มแดง เสียดสีเบาคล้ายต้องการตรวจสอบว่าที่แดงนั่นเป็นสีของเลือดหรือมีอะไรมาเปื้อนหน้าเด็กหนุ่มผมดำกันแน่

ในตอนนั้นหัวใจคล้ายจะเต้นไม่เป็นจังหวะ





“ฉันยังไม่เคยต้องคบใครแบบหลบๆ ซ่อนๆ เลย ก็น่าสนุกดีนะนายว่าไหม? ... ไม่ต้องกลัวหรอก” วินเซนต์คลี่ยิ้ม ดูเจิดจ้าจนต้องหลบตาหนีอีกรอบ

ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่า… มันคงจะไม่เป็นไร แค่เพราะวินซ์บอกว่าไม่ต้องกลัวก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาแล้ว

ที่ทำให้ทุกคนตามคนคนนี้ ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องทักษะด้านกีฬา แต่ก็คงเป็น… ความเป็นตัวเขาที่เป็นแบบนี้ด้วยละมั้ง





“ฉันพูดขนาดนี้แล้วนายยังจะเอาอะไรอีก ฉันไม่เคยต้องขอร้องใครขนาดนี้เลยรู้ไหม” จู่ๆ มือที่ลูบแก้มก็เปลี่ยนเป็นดึงแทน ทำลายบรรยากาศเมื่อครู่ไปโดยสิ้นเชิง





“อื้อ!! อล่อยเอ๊ย! ” (ปล่อยเฟ้ย!)





เห็นท่าแยกเขี้ยวเตรียมข่วนของร่างที่เล็กกว่าตนเองแล้วนักกีฬาหนุ่มก็ขำชอบใจ ยอมปล่อยมือออก

“คำตอบ? ”





แดริลลูบแก้มตนเอง อดมองเคืองไม่ได้ ดวงตากลอกมองไปรอบๆ เพื่อสำรวจภายในรถยนต์…





นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ส่วนวินเซนต์ก็รอฟังอย่างอดทน สุดท้ายก็ตอบออกไปว่า….





….

..

.

.





“... นายไม่ได้แกล้งฉันอยู่ใช่ไหม… เช่นว่าไม่มีกล้องโฮมวิดีโอแอบถ่าย? ” ...ก็ยังไม่วายระแวงอยู่ดี





พูดจบคล้ายว่าสีหน้าวินเซนต์จะดูมืดลง ดวงตาสีเขียวหรี่เล็กน้อย และโดยไม่เปิดโอกาสให้หนีหรือตั้งตัว ริมฝีปากคู่นั้นประกบลงมาอีกครั้ง จูบดุเดือดจนร่างที่เล็กกว่าหายใจไม่ทัน กำหมัดทุบเพื่อให้มันหยุด แต่ที่เขาทำก็เพียงผละออกเล็กน้อยเพื่อให้เวลาหายใจครู่เดียว แล้วก็จูบต่อ… ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเริ่มจะเป็นความทรมานจากการขาดอากาศหายใจ





ขอโทษ ฉันผิดไปแล้วที่สงสัยนาย ยกโทษให้ด้วย ไว้ชีวิตด้ว--





หลังจากระบายอารมณ์โมโหจนสมใจแล้ววินซ์ถึงยอมผละออก มองริมฝีปากที่บวมแดงน้อยๆ ของผู้ถูกกระทำที่เฉียดจะเป็นลมอย่างพอใจ

“ฉันจับนายปล้ำมันตรงนี้เลยดีไหมจะได้เลิกคิดอะไรไร้สาระ? ” และวาจาก็ยังคงสัปดนไร้ยางอายในแบบของมัน...





“ไม่เอา… พอแล้ว… ไว้ชีวิตด้วย” เด็กหนุ่มกะพริบตาเพื่อไล่น้ำตาซึ่งรื้นขึ้นบริเวณขอบตา ในใจเฝ้าถามว่าพระเจ้าต้องการอะไรถึงส่งแบบทดสอบอันแสนหนักหนาที่ชื่อว่าวินเซนต์ ซัมเมอร์ มาให้เขา





“เป็นแฟนฉัน? ” ก็ยังไม่วายเซ้าซี้… แดริลนอนหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอด มองอย่างติดจะขุ่นเคืองอยู่บ้าง จนสุดท้ายก็ยอมแพ้ มาถึงขั้นนี้แล้วยังจะมีอะไรให้เสียอีกล่ะ?





“เออ!! เป็นก็เป็น!! ”
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 4 [26/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 26-11-2018 18:46:23
อร๊ายยย
พัพพี้เลิฟนี่มันกิ๊วใจฝุด
สู้เค้าเชน
+1 ให้คนฮอทๆ
 :mew3:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 4 [26/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 26-11-2018 19:29:55
แวะมาเชียร์ว่าเรื่องนี้สนุกมากๆ ครับ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 4 [26/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-11-2018 20:31:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 4 [26/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 26-11-2018 20:49:28
ทำไมปัจุบันเป็นแบบนั้นล่ะน้อ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 4 [26/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-11-2018 00:12:03
สนุก ชอบบบบบบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 4 [26/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 28-11-2018 17:36:21
บทที่ 5 Summer Vacation (1/2)

เพราะการสอบปลายภาคทำให้แดริลสามารถไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ชั่วคราว... และทุ่มสติทั้งหมดไปกับการสอบ





เขาเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันให้ตั้งตัวนี้ ส่วนวินเซนต์ก็ไม่ได้ดึงดันจะรุกไล่จนอึดอัด





จากที่เด็กหนุ่มสังเกต ถึงอีกฝ่ายจะปากเสียชอบแกล้ง แต่ก็รู้จังหวะรุกจังหวะถอย หากเขาต้องการเวลา วินเซนต์ก็จะให้เวลา... เท่าที่ความอดทนของควอเตอร์แบคทีมโรงเรียนจะให้ได้





และเพราะความสับสนไม่แน่ใจ ซัมเมอร์นั้นแดริลถึงหนีไปตกปลาน้ำจืดที่มิเนโซต้ากับญาติมันเกือบทั้งซัมเมอร์....





คือ...เขาก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าจู่ๆ หนีมาแบบนี้มันแย่... ก็มันวางตัวไม่ถูก





การจับมือ คลอเคลีย จูบ เป็นสิ่งที่ยังใหม่สำหรับเขามาก แต่แน่นอนว่ามันไม่ใหม่สำหรับวินซ์





แดริลรับมือกับอะไรแบบนี้ไม่เป็น...





และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงมานั่งริมทะเลสาบ ตกปลาแบสยักษ์ (Great Bass) ที่มิเนโซต้า... แถมหนีมาแบบไม่บอกกล่าวอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ





ในใจมีความกลัวบางประการกับสิ่งที่แปลกใหม่ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป พอพี่ชายบอกว่าจะไปตกปลาที่บ้านญาติ เขาก็พ่วงตามมาทันทีแบบไม่คิดอะไรทั้งนั้น





น่าขายหน้าชะมัดเลย...





เขาไม่กล้าต่ออินเทอร์เน็ตด้วยซ้ำ... หากออนไลน์ไปวินเซนต์ต้องทักมาแน่ๆ





อันที่จริงถ้าหมอนั่นไม่พูดเกริ่นว่า... พ่อแม่จะไม่อยู่ บ้านว่าง มานอนค้างได้ กับถามว่าเขาชอบถุงยางแบบไหนแล้วเอากล่องมาวางเรียงแบบมีให้เลือกกระทั่งรสสตรอว์เบอรี่... เด็กหนุ่มคงไม่แพนิคถึงขั้นหนีมาตกปลาถึงนี่...





ไอ้บ้านั่นแค่แกล้ง ก็รู้หรอก แต่ในการหยอกนั่นก็มีความจริงจังอยู่ด้วย.. คนแบบวินซ์ไม่มีทางจะไม่คิดถึงเรื่องอย่างว่า





แดริลคิดแล้วก็ลูบหน้าแรงๆ ... เรื่องแบบนั้นน่ะยังไงก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นายช่วยสื่อสารแบบเซ้นซิทีฟกว่านี้หน่อยเหอะ นอกจากวันนั้นที่โดนรวบไปลวนลามแบบไม่ทันตั้งตัว เรื่องพวกนี้ก็ดูไกลตัวเขาเหลือเกิน





แถมวันนั้นอันที่จริงก็ยังไม่ได้ไปถึงที่สุดด้วยน่ะนะ...





ระหว่างที่คิดแขนก็ชักรอกดึงเบ็ด ได้ปลาหน้าตาน่าเกลียดแต่เนื้ออร่อยมาตัวหนึ่ง แดริลเพียงมองมันด้วยสีหน้าโมโนโทน...





"เฮ้ ร่าเริงหน่อยสิไอ้น้องชาย" ซีมัสที่เห็นน้องมองปลาที่ดิ้นแด่วๆ ด้วยสีหน้าเหม่อลอยเดินเข้ามาตบหลังเด็กหนุ่มดังอั่ก





"เจ็บนะเฟ้ย! " หันไปแง่งใส่พี่ทีหนึ่งก็โยนปลาใหญ่ลงถังใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลาน้ำจืด





"เป็นอะไรไป ช่วงนี้นายดูเหม่อๆ " ชายหนุ่มร่างสูงกว่าก้มมองน้องชาย แล้วลูบหัวน้องแปะๆ อย่างหวังดี แต่หารู้ไม่ว่าน้องผู้เซตผมยามเช้าเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงกำลังสาปแช่งอยู่ในใจ





"ซีมัส... สมมุตินะ ถ้าแฟนพี่อยากมีอะไรด้วย แต่ตัวพี่ไม่พร้อม พี่จะทำยังไง" ก็ไม่แน่ใจว่าคิดถูกไหมที่ถาม... แต่ซีมัสถึงกับทำเบ็ดตกปลาร่วง

"หา นายกับแคทยังไม่ได้กันอีกเหรอ? "

พี่....

"ตอบคำถามมาน่า" แดริลหรี่ตา

"ก็คงขอให้เขารอก่อน แต่จะให้รอตลอดไปน่ะคงไม่ได้หรอก อีกฝ่ายจะหมดความอดทนซะก่อน ถึงจะบอกว่าเราเป็นคริสเตียน แต่สมัยนี้ไม่มีใครเขารอยันแต่งงานกันหรอก" ซีมัสทำท่าโบกมือประกอบ "ยิ่งสาวไฮสคูลเชียร์ลีดเดอร์ ยังซิงถึงสิบหกก็นับว่ามากแล้ว"





ก็ไม่ใช่ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคม พวกนี้น่ะสิบสาม-สิบสี่ก็ได้กันแล้ว...





"อย่าบอกนะว่านายกะให้แคทรอยันแต่งงานจริงๆ น่ะ? ... แม่ต้องภูมิใจในตัวนายแน่ๆ " ซีมัสมองเหมือนน้องชายนี่ช่างแปลกคน..

"จะบ้ารึไง ผมก็เชื่อในพระเจ้าน้อยพอๆ กับพี่นั่นแหละ ก็แค่ไม่พร้อมเพราะเหตุผลอื่น"





...เช่นว่าแฟนเป็นผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่าพี่อีกไง...





"นายขาดความมั่นใจ กลัวว่ามันจะไม่ขึ้นใช่ไหม จริงๆ มันก็มียาช่วยนะ" ผู้เป็นพี่ชายพูดหน้าตาจริงจังมาก....

"...."











"ไม่ต้องอายน่า นายปรึกษาพี่ได้ทุกเรื่อง"





เรื่องว่าผมเป็นเกย์นี่คงปรึกษาไม่ได้ล่ะฮะ....





"การรอก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรอก... แต่เอาเข้าจริงนะแดริล ปัญหาแบบนี้ที่ฉันเคยเห็นมา ปล่อยไว้นานไปบางทีอีกฝ่ายก็ไม่รอจนนอกใจกันก็มี"





คำว่านอกใจทำให้เด็กหนุ่มชะงักมือที่กำลังเกี่ยวเหยื่อตกปลากับปลายเบ็ด





เขานึกถึงเรื่องที่วินซ์นอนกับสาวทีมเชียร์ทั้งๆ ที่คบกับแอมเบอร์อยู่แล้ว โดยไม่รู้สึกผิดสักนิด...





"ฉะนั้นจะทำอะไรนายก็ต้องคิดถึงใจของอีกฝ่ายด้วย เพราะการเจอกันครึ่งทางคือสิ่งที่เรียกว่า'ความสัมพันธ์' ...มันก็อะไรทำนองนั้นล่ะ" พี่ชายตบบ่าเขาสองที





"แล้วก็อย่าคาดหวังว่าเธอจะอ่านใจนายได้ นายน่ะเป็นประเภทมีอะไรก็ไม่ค่อยพูด หลายๆ เรื่องถ้าไม่พูด คนอื่นเขาก็ไม่เข้าใจหรอกว่านายต้องการอะไร"





นั่นก็จริง....





เครียด....





จริงๆ ที่หนีมาแบบนี้ก็ไม่คิดถึงใจอีกฝ่ายแล้วล่ะนะ... ฮะ..ฮะ





เย็นวันนั้นหลังจากย่างปลากินกันจนอิ่มหนำแล้ว แดริลก็ไปขุดหาสายแลนมาเพื่อต่อเนตความเร็วสุดจะต่ำ





เขาออนไลน์โปรแกรมเมสเซนเจอร์ และตามคาด วินเซนต์ทักมาทันทีราวว่ารอให้เขาออนไลน์อยู่แล้ว





Vince says:

นายอยู่ไหน หายไปไหนมาเกือบเดือน





Daryl says:

มิเนโซต้าน่ะ





Vince says:

นายรู้ไหมว่าฉันพยายามติดต่อนายมากี่อาทิตย์แล้ว!? ถึงขั้นต้องไปถามแม่นายที่โบสถ์ ทำไมถึงไม่บอกกันก่อน?





Daryl says:

ฉันขอโทษ...





ใช่... เรื่องนี้เขาผิดจริง





Vince says:

ยังไม่ให้อภัยหรอกนะ





Daryl is typing....





เขาพิมพ์ๆ ลบๆ อยู่หลายรอบ...





อันที่จริงการคุยกันแบบไม่เห็นหน้าเป็นเรื่องง่ายกว่า อย่างน้อยก็ไม่เขินจนพูดไม่ออกแบบทุกที....





วินซ์ยังคงออนไลน์ เหมือนรออ่านสิ่งที่เขาจะส่ง





แดริลกลั้นใจกด Send..





Daryl says:

นายเป็นแฟนคนแรกของฉัน อันที่จริงก็เป็นคนแรกที่ฉันชอบ จูบแรก รวมถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย... วินซ์ ฉันรับมือนายไม่ถูก... ก็เลยหนีมาแบบนี้ ขอโทษนะ







การคุยกันผ่านจอมันทำให้เขาสามารถพูดอะไรตรงๆ ได้ง่ายหน่อย.... ก็ถ้าคุยต่อหน้าป่านนี้วินซ์คงแกล้งกันแล้ว





เดิมทีแดริลก็ไม่ใช่คนตรงไปตรงมา แต่ก็อย่างที่พี่ชายพูด ความสัมพันธ์คือการปรับตัว... และเขากำลังพยายาม





Vince says:

กลับมาได้แล้ว





Daryl says:

...ระหว่างนี้นายไปนอนกับสาวคนไหนรึเปล่า





Vince says:

ยังเลย





Daryl says:

ถ้านายทำ เราจบกัน





Vince says:

อืม เข้าใจแล้ว นายนี่พอคุยผ่านจอแล้วเหมือนจะตรงไปตรงมาขึ้นนะ

จะกลับมาเมื่อไหร่? ฉันอยากเจอนาย





Daryl says:

คงอีกไม่กี่วัน...

นี่... วินเซนต์ เรื่องนั้นน่ะ ให้เวลาฉันหน่อยได้ไหม? ไม่นานหรอก





Vince says:

อะไรกัน นายคิดมากเรื่องนี้เองหรอกเหรอ?





Daryl says:

ก็นายดูบ้ากาม แถมชอบเรื่องพรรค์นั้น จะไม่ให้คิดมากได้ยังไงฟะ





Vince says:

ฉันมันก็แค่วัยรุ่นชายที่มีความต้องการแบบวัยรุ่นปกติ ไม่เหมือนนายที่ใช้ชีวิตอย่างกับชายแก่เกษียณแล้ว





Daryl says:

.....





Vince says:

อย่าคิดมากน่า ฉันไม่ได้คบกับนายแค่เพราะหวังเรื่องบนเตียงซะหน่อย





Daryl is typing....





เขาพิมพ์ๆ ลบๆ แล้วก็ชะงักมือ อ่านทบทวนอย่างลังเล





แดริลกลัวคำตอบ แต่หากกลับวอชิงตันไปคุยกันต่อหน้า เด็กหนุ่มต้องไม่กล้าถามแน่ๆ ... สุดท้ายจึงตัดสินใจกดส่ง





Daryl says:

นายนึกยังไงถึงมาคบกับฉัน นายไม่ได้เป็นเกย์สักหน่อย... สาวๆ ก็ออกจะเยอะแยะ





Vince is typing....





แดริลจ้องรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ....





Vince says:

ไม่รู้สิ ก็นายตลก แกล้งสนุกดี





...... ไปตายซะไอ้บ้า





Vince says:

แค่ชอบ ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ?





แก้มรู้สึกเห่อร้อนนิดๆ ... แดริลลูบหน้า ให้ตายสิ อยู่ไกลกันคนละรัฐ หมอนี่ยังมีความสามารถทำให้เขาใจเต้นแบบนี้ได้





Vince says:

ถึงนายจะมีเป็นร้อยเหตุผลให้ชอบฉันก็เถอะ ทั้งรูปหล่อ บ้านรวย กีฬาดี นิสัยดี ใจกว้าง เก่งเรื่องบนเตียง





Daryl says:

ฉันไปนอนดีกว่า สวัสดี





**log out**





Daryl is offline







…………….





ฤดูร้อนในดีซีอากาศกำลังดี ลมพัดเอื่อยพาให้กิ่งไม้กระทบกันเป็นเสียงกรอบแกรบ แดริลเชนในเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นสไตล์พักร้อนพร้อมกับพี่ชายยืนถือกระเป๋าเดินทางอยู่หน้าบ้าน เพิ่งกลับมาจากทริปตกปลาที่มิเนโซต้าหมาดๆ …





“ฉันลืมกุญแจว่ะ…..” ซีมัสกล่าว สีหน้าโมโนโทน ทำเอาคนที่ยืนอยู่ข้างกันถึงกับต้องเลิกคิ้วสูงมาก

“...พ่อกับแม่ไปตาฮิติ อีกหลายวันกลับนะพี่…” แดริลเหลือบมองคนข้างๆ

“อืม…” ซีมัสรับคำง่ายๆ

“....แล้วจะทำไง” แดริล

“ฉันไปค้างบ้านเพื่อนแล้วกัน นายก็… เทคแคร์นะ บาย” เฮ้ย เดี๋ยว พี่ เดี๋ยว!





พูดจบแดริลยังไม่ทันคว้าตัวพี่ชายไว้ได้ทัน คนตัวสูงกว่าก็ก้าวขายาวๆ พร้อมแบกสัมภาระนำลิ่วไปไกลแล้ว





“ซีมัส!! ใจคอพี่จะทิ้งน้องให้นอนข้างถนนไม่ได้นะ!! ”

“นายก็ไปค้างบ้านเพื่อนนายสิ อีกสามวันเจอกันนะ! ” พี่ชายตะโกนตอบกลับ แล้วก็วิ่งหายไปจนไม่เห็นเงาหัว แล้วก็ทิ้งน้องให้ยืนอยู่ตามลำพังกับกระเป๋าสัมภาระอีกใบอยู่หน้าบ้าน





ไอ้พี่…





แดริลถอนหายใจ… ก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขามีทางเลือกอะไรบ้าง





แคท? ... เหมือนรายนั้นจะไปเยี่ยมพี่สาวที่นิวยอร์ค จะไปขออาศัยโซฟาคงไม่ได้





เพื่อนลี? ... บ้านเหมือนจะอยู่ไกลไปอีกฝั่งเมือง





คนที่เขาพอสนิทจะแบกหน้าไปขอค้างด้วยก็มีแค่นี้… ซีมัสนะซีมัส จะไปทั้งทีทำไมไม่พาน้องชายไปด้วย!





ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองไปทางบ้านฝั่งตรงข้ามที่อยู่เยื้องไปอีกหลัง… อันที่จริงก็ยังมีอีกคน…. แต่…. มันจะดีเหรอ





และด้วยความที่เป็นคนดวงไม่ดีนัก จู่ๆ เมฆฝนสีครึ้มก็ก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้า ส่งเสียงครืนเป็นจังหวะราวกับกำลังข่มขู่ให้แดริลตัดสินใจ





...ก็ได้ ก็ได้ ฉันรู้แล้ว…





ฟ้าผ่าเปรี้ยง





รู้แล้วว้อย!!





เด็กหนุ่มเดินลากกะเป๋าสัมภาระไปถึงหน้าประตูบ้านสีขาวที่คุ้นเคย… กลั้นใจอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจกดกริ่ง… ขณะที่ลังเลว่าจะวิ่งหนีหรือรอตรงนี้ ฝนก็เริ่มลงเม็ด





สวรรค์กลั่นแกล้งชัดๆ …





ประตูบานนั้นเปิดออกอย่างรวดเร็ว ท่าทางของคนเปิดเหมือนเพิ่งวิ่งลงบันไดมา ผมเผ้าไม่ค่อยเรียบร้อย และยังอยู่ในชุดกีฬาที่ใส่ซ้อมอเมริกันฟุตบอล





“...ฮายวินซ์ ฉันขอเข้าไปหลบฝนหน่อยได้ไหม” แดริลยิ้มเจื่อน เรื่องที่หนีไปตกปลาน้ำจืดก็ยังไม่ได้เคลียร์กันดียังจะมีหน้ามาขออาศัยอีก…





วินเซนต์ไม่ตอบ แต่ดึงเขาเข้าบ้านไปเลย พร้อมปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย…





เอวที่ไม่หนาไม่บางถูกกอดรวบไว้จนขยับไม่ได้ กระเป๋าลากล้อเลื่อนกองอยู่บนพื้น คนที่จู่ๆ โดนกอดมองอีกฝ่ายตาโตด้วยความตระหนก





“วินซ์ ตรงนี้ไม่ได้ พ่อแม่นาย…”

“ไม่อยู่บ้าน ...พวกเขาไม่ค่อยอยู่เท่าไหร่หรอก” กลิ่นเหงื่อจางจากชุดซ้อมกีฬาค่อนข้างชัดเจน แต่แดริลที่รักความสะอาดยิ่งชีพกลับไม่ถือสา …. ให้ตายสิ… เขาเป็นเอามากจริงๆ ด้วย

มือไม่รู้ควรวางไว้ตรงไหน ยกขึ้นจะกอดตอบ แล้วก็ทิ้งลง เปลี่ยนเป็นยกมือไปลูบหลังร่างที่ใหญ่โตผิดเด็กไฮสคูลแทน





“นายนี่มันใจร้ายชะมัด” วินเซนต์กล่าวพลางถอนหายใจ ขณะเกยคางบนไหล่ของร่างที่เตี้ยกว่า “ทำไมถึงชอบหนีนักนะ หัดเผชิญหน้าบ้างเถอะ”

“ขอโทษ” แดริลก้มหน้า..

“จูบฉัน” ...แล้วเขาก็เงยหน้า





สีหน้าของวินเซนต์ไม่ได้บ่งบอกถึงการหยอกล้อแต่อย่างใด มุมปากที่ปกติมักจะยิ้มแย้มเสมอโค้งลงเล็กน้อย คิ้วสีทองมุ่นเข้าหากัน





“ฉันไม่โอเคที่พอนายทำอะไรไม่ถูกเข้าหน่อยก็วิ่งหนีไปเลยโดยไม่คุยกับฉัน นายอยากคบกับฉันจริงๆ รึเปล่า? ” ท้องนิ้วที่ด้านจากการเล่นกีฬาไล้ริมฝีปากของร่างที่ผอมกว่าอย่างเบามือ “ถ้ารู้สึกผิดจริงๆ ก็จูบฉัน”

พอฟังแล้วแก้มก็ขึ้นสี แม้ที่ผ่านมาพวกเขาจะจูบกันหลายครั้งแล้ว แต่คนที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนก็คือวินเซนต์เสมอ…





มองใบหน้าอีกฝ่ายที่ยังคงจริงจังและคาดหวัง แดริลก็รู้ว่าครั้งนี้ไม่ควรจะหนี… เด็กหนุ่มเงยหน้าดันตัวขึ้นเล็กน้อย สองมือวางบนบ่าของวินเซนต์ ประทับจูบเบาลงบนมุมปากอีกฝ่าย ชั่วขณะเดียวก่อนที่จะเบือนหน้าหลบไม่ให้เห็นเลือดที่กำลังสูบฉีดขึ้นใบหน้า





“ฉันขอโทษ… ฉันจะพยายามให้มากกว่านี้”





ครั้งที่ฝ่ายที่ลูบหน้ากลับเป็นร่างที่สูงกว่า



หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 4 [26/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 28-11-2018 17:36:53
(2/2)

“...จูบอย่างกับเด็กอนุบาล…….เอาเถอะ ฉันยอมแพ้” พูดจบก็เงยหน้าขึ้นถอนหายใจยาว “ฉันไม่ชอบเดทเวอร์จิ้นเพราะแบบนี้แหละ”

“....” จะเถียงไปก็เท่านั้น… ยังไงซะมาขนาดนี้วินเซนต์ไม่รู้ก็แปลกเต็มทนแล้ว “ยุ่งยากเหรอ? ”

“เปล่า เวลานายหนีหรือกลัว ฉันก็รับมือไม่ถูกพอๆ กัน ที่ผ่านมาฉันต้องดีลกับคนแบบนายซะที่ไหน” มือใหญ่ขยี้เรือนผมสีดำจนยุ่งไปหมด “สาวเชียร์ไม่มีที่โง่แบบนายหรอก”

“หาเรื่องรึไง ฉันเป็นนักเรียนดีเด่นกิจกรรมเยอะGPA3.9ขึ้นนะ” แดริลหรี่ตามอง คำว่าโง่กับแดริลเชนไม่ควรจะอยู่ในประโยคเดียวกัน!

“ไม่ใช่โง่เรื่องเรียน... ช่างเถอะ เข้าบ้านไม่ได้หรือไง? ” วินซ์

“พี่ชายลืมกุญแจ ส่วนพ่อแม่ไปตาฮิติ อีกหลายวันกว่าจะกลับ… แล้วพี่ก็ทิ้งฉันไปแล้ว” แดริล

“ก็เลยไม่มีทางเลือกจนต้องมาหาฉัน” วินซ์พยักหน้าเข้าใจ

“....มันก็...ไม่ใช่แบบนั้น” ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียว นายหายงอนได้แล้ว ขอร้องเหอะ



อีกฝ่ายไม่พูดอะไร หยิบกระเป๋าลากเดินขึ้นบันไดไปทันที





“วินเซนต์...” แดริลเดินตาม รู้สึกเหมือนพระเอกซีรียส์ที่ต้องง้อแฟนสาวเข้าไปทุกที ติดแต่แฟนสาวที่ว่าไม่ใช่สาวแถมตัวใหญ่เป็นบ้า “นี่ วินซ์ รอก่อนสิ”





ก้าวขายาวๆ ขึ้นบันไดตามไป จู่ๆ คนตรงหน้าก็หยุดอยู่หน้าห้องนอน เด็กหนุ่มเบรกไม่ทันเลยชนเข้ากับแผ่นหลังแข็งๆ เข้าเต็มๆ



นักกีฬาหนุ่มหันกลับมา มุมปากค่อยๆ กระตุกขึ้น สุดท้ายก็หลุดหัวเราะออกมา





“แค่แกล้งน่ะ ฉันหายโกรธนานแล้ว”





ไอ้...



“ฉันคิดถึงนาย” วินซ์ก้มลง จูบขมับของเด็กหนุ่มผมดำเบาๆ จนแก้มนั่นเริ่มจะขึ้นสี จากนั้นก็หมุนตัวหิ้วกระเป๋าเข้าห้องนอนไปหน้าตาเฉย “คงต้องมาอาศัยหลายวันใช่ไหม? ”





“อืม… โทษทีที่มารบกวนกะทันหัน” แดริลก้มหน้าก้มตาเดินไปนั่งบนเก้าอี้ รู้สึกไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหน ดวงตาก็ไล่มองไปเรื่อยๆ





เขาเคยเข้ามาในห้องนี้แล้วหนหนึ่งตอนที่หกล้ม แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้สังเกตอะไรมากมายนัก





บนผนังห้องเป็นโปสเตอร์ของนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลหลายคนที่แดริลไม่รู้จัก กับถ้วยรางวัลและเหรียญรางวัลจากการเล่นกีฬามากมายตั้งเรียงกันอยู่บนชั้น กับการ์ตูนซุเปอร์ฮีโร่ยัดอยู่เต็มชั้นหนังสือ





แดริลมองโปสเตอร์นักกีฬาบนผนัง ช่วงซุเปอร์โบลพ่อกับพี่ชายของเขาจะชอบมานั่งดูกีฬาด้วยกันพลางกินป็อปคอร์น แต่แดริลไมไ่ด้มีความสนใจในเรื่องกีฬาเลยสักนิด





“นั่นทอม เบรดี้ ไอดอลฉัน” วินซ์ชี้ไปทางโปสเตอร์ชายผิวขาวรูปร่างบึกบึนบนกำแพง “เป็นควอเตอร์แบค เพิ่งเข้าลีกอาชีพได้ไม่นาน แต่นายเชื่อไหมว่าเขาจะต้องกลายเป็นตำนานแน่ๆ ฉันมั่นใจ” วินซ์เดินมานั่งข้างๆ พูดถึงบุคคลในภาพโปสเตอร์ด้วยดวงตาเป็นประกาย





เด็กหนุ่มไม่เคยเห็นสีหน้าแบบนี้ของอีกฝ่ายมาก่อน





“ข้างๆ นั่นชาร์ลส์ เฮลีย์ ผู้เล่นแนวตั้งรับ แชมป์ซุเปอร์โบวห้าสมัยคนแรกของอเมริกา ตอนนี้เกษียณไปเป็นผู้ช่วยโค้ชของดีทรอยต์ไลออนส์แล้ว แต่ก็ยังเป็นตำนาน…” เจ้าของห้องมองไปทางโปสเตอร์ชายผิวดำข้างๆ ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของตัวเอง





“สุดท้ายเทอรี่ ครูวส์ ไม่ใช่นักกีฬาที่เก่งอะไร แต่นิสัยเขาเจ๋งเป็นบ้า เกษียณจากอาชีพนักกีฬาแล้วเหมือนกัน ตอนนี้เห็นว่าเขาหันไปหาวงการบันเทิงแทน” โปสเตอร์ใบสุดท้ายเป็นชายผิวดำหัวล้าน รูปร่างสมส่วนบึกบึน ที่แดริลในวัยสิบหกปีไม่รู้จัก แต่ต่อมาอีกไม่กี่ปีเขาจะเห็นชายคนนี้ทั่วอินเทอร์เน็ตในโฆษณา Old Spice Bear Gloves ที่กลายเป็นไวรัลที่เป็นตำนานของวงการมาร์เกตติ้ง





“นายดูรักฟุตบอลมาก” แดริลพูดแล้วก็ยกยิ้มขำอย่างนึกเอ็นดู ไม่เคยเห็นวินเซนต์ที่ทำตัวเหมือนเด็กอวดฮีโร่ของตัวเองมาก่อน

“แหงสิ ฉันรักมัน ฉันจริงจังกับมัน และฉันจะเป็นนักกีฬาอาชีพให้ได้” ร่างที่ทั้งใหญ่ทั้งหนักเอนพิงทิ้งน้ำหนัก ทำให้คนผอมกว่าอึดอัดโดยจงใจ “เป็นความฝันของฉันมาตลอด”

“...เพราะแบบนี้นายเลยไม่มีเรื่องชกต่อยกับใครมาทั้งปี? ”

“ใช่ โค้ชวิทเทกเกอร์บอกว่าจะให้ฉันเป็นตัวสำรองหากทำตัวเกเร” สุดท้ายก็วางหัวลงบนไหล่ แดริลนึกอยากไล่มันไปสระผม แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจมันจนทนไม่ไหว “เลยอดต่อยนายเลย”

“....นายจะต่อยฉันเพื่อแย่งเลสเบี้ยนจริง? ” แดริล เชน เลิกคิ้ว

“ตอนนั้นก็อาจจะ แต่ตอนนี้ฉันอยากต่อยแคทเธอรีนมากกว่า” วินซ์

“....... พวกนายมีเรื่องอะไรกัน? ” แดริล





วินซ์ไม่ตอบคำ แค่หัวเราะเบาๆ เปลี่ยนเรื่องแทบจะทันที





“ฉันไปอาบน้ำก่อน นายเล่นเกมรอไปก่อนก็ได้” พูดจบไม่รอฟัคำตอบ หายเข้าไปในห้องน้ำส่วนตัวที่เชื่อมกับห้องนอนทันที





ห้องของวินเซนต์ไม่ค่อยสะอาดนัก เสื้อผ้าวางระเกะระกะแบบไม่ใส่ใจ ที่ต่างจากรอบก่อนคงเป็นเครื่องเกมที่เพิ่มมาหนึ่งเครื่อง แผ่นเกมส่วนมากก็มีแต่เกมกีฬาทั้งนั้น...





เล่นได้ไม่ถึงสิบนาทีเด็กหนุ่มก็พ่ายแพ้ราบคาบให้กับคอมพิวเตอร์ ขณะที่กำลังพิจารณาว่าควรเลิกเล่นเกมกีฬาไปตลอดชีวิตไหมวินซ์ก็ออกจากห้องน้ำมาในสภาพไม่ใส่ท่อนบน





“.............” ให้ตายเหอะ… จอยแทบร่วง





ให้อธิบายมันก็เป็นปฏิกิริยาเดียวกับเวลาพวกผู้ชายปกติเห็นสาวอกโตหุ่นมีโค้งเว้า สายตามักจะถูกดึงดูดไปก่อนเสมอ เพียงแต่เขาไม่ได้ตอบสนองกับสาวอกโต แต่เป็นผู้ชายกล้ามอกโตแทน (....)





“มองขนาดนี้จับเลยไหม? ” เจ้าของห้องพูดติดตลก ขณะเช็ดผมให้แห้งด้วยผ้าขนหนู พอคนมองถูกทักก็รู้สึกตัว หน้าแดงไปถึงหูรีบหันหัวกลับไปทางจอทีวี





GAME OVER





...ไม่ต้องย้ำได้ไหม

คล้ายจะนึกสนุก เห็นแดริลยิ่งหลบ อีกคนก็ยิ่งได้ใจ นั่งลงข้างๆ มันทั้งไม่คิดจะใส่เสื้อ ซ้ำยังคว้าจอยไปไล่ดูคะแนนแล้วหยามน้ำหน้าอีกต่างหาก





“ห่วยชะมัด ฮ่าๆ ”



…….ถึงฉันจะเป็นเกย์ฉันก็ควรมีทางเลือกที่ดีกว่าหมอนี่เยอะแยะ ทำไมฉันถึงไปเอาไอ้งี่เง่านี่มาเป็นแฟนวะ





แดริลเพียงคิดในใจอย่างขุ่นเคือง ครั้นจะหันหน้าไปด่า พอเห็นสภาพร่างเปลือยครึ่งบนก็หันหนีอย่างรวดเร็ว





ปฏิกิริยาทั้งหมดล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาวินเซนต์ เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มขำ ยิ่งเบียดตัวเข้าใกล้มากระซิบข้างหู ซ้ายังคว้ามือมาจับไว้ไม่ให้ลุกหนีด้วย กลิ่นแชมพูอ่อนๆ ของคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จลอยเข้าจมูก ยิ่งพยายามไม่รับรู้ก็ยิ่งได้กลิ่นชัดเจนขึ้น

“ฉันไม่ได้ห้ามไม่ให้นายมอง”

“ฉันยังไม่ได้พูดสักคำว่าอยากมอง” เด็กหนุ่มผมดำพึมพำตอบ “...ไปใส่เสื้อผ้า”

“งั้นพูดสิว่านายไม่ชอบ”





ใกล้เกินไปแล้ว!





ทำไมทุกครั้งต้องรู้สึกเหมือนโดนคุกคามอย่างบอกไม่ถูก แดริลอยากร้องไห้ พยายามทำใจให้ชินแต่มันยากเหลือเกิน





นายอย่าใจร้ายกับฉันนักเลย ฉันไม่เคยมีกระทั่งแฟนสาว เพิ่งรู้ตัวว่าเป็นเกย์ก็เพราะนาย หนังโป๊ยังไม่ค่อยจะดู นายจะให้ฉันเอาอะไรมารับมือกับนายกัน!





นิ้วมือหยาบกร้านจับคางของเขาไว้ ออกแรงดึงเบาๆ บังคับให้หันหน้ามาสบตา





“นายชอบมันมาก ใช่ไหม? ” วินเซนต์ยิ้มจนตาโค้งขึ้น (น่าหมั่นไส้เป็นอย่างมาก) ส่วนอีกคนไม่ตอบรับ และไม่ปฏิเสธ แต่แดงลงไปถึงต้นคอแล้ว จากนั้นก็โดนประกบปากจูบหนักสักที





นิ้วมือที่ด้านแข็งจากการเล่นกีฬาค่อยๆ สอดเข้าใต้เสื้อตัวหลวม เมื่อสัมผัสกับผิวกายแดริลก็สะดุ้งตัวเล็กน้อย ปิดเปลือกตาแน่นเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติ…. จู่ๆ มือนั้นก็ชะงักและถอนกลับไป





ดวงตาสีฟ้าค่อยๆ ปรือเปิด สังเกตเห็นดวงตาสีเขียวของคนตรงหน้าที่ฉายแววซับซ้อนซึ่งเขาไม่เข้าใจนัก วินเซนต์ขยี้หัวตัวเอง กัดฟันเหมือนกำลังขัดใจ พอสังเกตเห็นท่าทางประหลาดใจของร่างที่เล็กกว่าตัวเอง สายตานั้นก็อ่อนลง เขาเคลื่อนตัวมาประทับริมฝีปากบนแก้มที่ออกสีแดงจัดแทน จากนั้นก็งับเบาทีหนึ่ง





“นายไปอาบน้ำเถอะ ฉันจะไปสั่งพิซซ่า” พูดแล้วก็ไม่รอคำตอบตามเคย เดินออกไปเลยพร้อมคว้าเสื้อยืดไปใส่ไปเดินไป... ท่าทางดูเร่งรีบกว่าปกติ





แดริลเพียงนั่งอยู่ที่เดิม… วางหัวกับเข่าตน หน้าแดงถึงใบหูแบบที่ไม่สามารถควบคุมได้ พอๆ กับหัวใจที่สูบฉีดเลือดขึ้นใบหน้าอย่างขยันขันแข็ง





เขาเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้จริงๆ ... ให้ตายเถอะ





……………………………..





วันต่อมาผ่านไปแบบปกติดี วินเซนต์หาฟูกมาปูให้แขกจำเป็นนอนบนพื้นพรมในห้องนอน ตอนเช้าทำอาหารง่ายๆ กลางวันออกไปดูทีมอเมริกันฟุตบอลโรงเรียนที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนระหว่างซัมเมอร์ซ้อมเล่นเกม เย็นก็กลับมานั่งเล่นเพลย์สเตชั่นเกมมาริโอ้คาร์ท และแน่นอนว่าคนที่ทั้งหัวไวและฉลาดอย่างแดริลเชน… แพ้หมดรูปและนั่งหน้าบูดโดนหยามน้ำหน้าไปตามระเบียบ





หลายวันที่ผ่านมาทำให้แดริลเปลี่ยนทัศนคติและอคติเกี่ยวกับพวกนักกีฬาไปโข เขาเคยคิดว่าพวกนี้เป็นพวกโง่ไม่เอาไหนที่ก็แค่ร่างกายแข็งแรงหน่อยเลยมาเล่นกีฬาแล้วได้รับสิทธิพิเศษให้เป็นชนชั้นสูงของสังคมไฮสคูล… แต่จริงๆ มันก็ไม่ได้ตื้นเขินแค่นั้น





พวกนี้เล่นกีฬากันอย่างจริงจัง หลายคนมุ่งมั่นจะใช้กีฬาแลกทุนเพราะรู้ว่าหัวไม่ดีพอจะขอทุนแบบปกติ อีกหลายคนเป็นแบบวินเซนต์ มุ่งมั่นอยากเข้าลีกอาชีพ

ช่วงก่อนซีซันแข่งอาหารการกินและน้ำหนัก รวมถึงเรื่องสุขภาพจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวด มันไม่ได้ง่ายแบบที่เคยคิด… จนชวนให้นึกรู้สึกผิดขึ้นมาบ้างที่ด่วนตัดสินคนเกินไป





ส่วนมากแดริลก็ทำงานช่วยจดคะแนน เอาแต้มขึ้นกระดาน จับเวลาจดสถิติ โค้ชวิทเทคเกอร์ก็มาใช้เวลาช่วงซัมเมอร์ในการฝึกนักกีฬาพวกนี้เหมือนกัน





“เชน เปิดเทอมหน้า ฉันอยากให้เธอมาเป็นผู้จัดการชมรมทีมอเมริกันฟุตบอลด้วย ใช้งานเธอมันคล่องดี” วันหนึ่งใต้แดดจ้าและสามลมพัดเอื่อย โค้ชก็เอ่ยปากออกมา





“ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากช่วย แต่ผมติดงานสภานะครับ” แดริลตอบอย่างสุภาพ ขณะที่ดินสอในมือจดคะแนนลงกระดาษ





“ก็เดี๋ยวฉันรับเด็กมาช่วยอีกคน ช่วงที่ว่างจากงานสภาก็มาช่วยงานหน่อย เสียหายอะไร แล้วพอเธอซีเรียร์ฉันจะเขียนจดหมายรับรองให้ไปยื่นมหาวิทยาลัยด้วย” ..มันเป็นข้อเสนอที่ดี สำหรับมหาวิทยาลัยระดับไอวี่ลีก แค่เกรดดีอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะเอาตัวคุณเข้าไปอยู่ในนั้นได้ ยิ่งหวังทุนยิ่งยาก กิจกรรมต้องเด่น ประวัติต้องดี หากเป็นหนึ่งในสี่ตำแหน่งใหญ่ในสภานักเรียนได้ก็จะมีโอกาสสูงขึ้น





อีกอย่าง… หากเขาได้รับแรงสนับสนุนจากพวกทีมนักกีฬา มันก็ง่ายขึ้นสำหรับการลงสมัครประธานนักเรียนกับเพื่อนลี เขามั่นใจว่าหากสามารถดึงฐานเสียงได้ เรื่องงานสภาเพื่อนลีมันยินดีช่วยอยู่แล้ว





“หากผมขอตัวไปทำงานสภาได้เป็นบางวัน… ก็ไม่มีปัญหาครับ” ตอบแล้วโค้ชก็ตบหลังแรงๆ จนแดริลแทบกระอัก (ให้ตายสิ พวกบ้ากีฬามันเป็นแบบนี้กันทุกคนเลยรึไง) ชายวัยกลางคนหัวเราะออกมาเสียงดัง





“ดีดี! ฉันจะรอใบสมัครเธอบนโต๊ะฉันนะ! ”





“ครับ” แดริลรับคำทั้งยิ้มสุภาพ แม้ในใจจะคิดว่า เจ็บหลังชะมัด ก็ตาม







เย็นวันนั้นเขากลับบ้านกับวินเซนต์.. และก็ยังคงโดนแกล้งอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เพียงแต่ตั้งแต่วันก่อน อีกฝ่ายดูจะรักษาระยะห่างจนอยู่ในระดับที่เขาไม่อึดอัดใจ





ระหว่างที่วินเซนต์ไปอาบน้ำ เด็กหนุ่มก็ไล่สายตามองตามสันหนังสือบนชั้น ส่วนมากเป็นการ์ตูน อีกส่วนเป็นหนังสือเกี่ยวกับอเมริกันฟุตบอล ประวัติโค้ชและผู้เล่นคนดัง ประวัติศาสตร์ของมัน… มีเพียงเล่มเดียวที่ไม่มีตัวอักษรเขียนบนสันหนังสือ





ด้วยความสงสัย แดริลดึงหนังสือเล่มดังกล่าวออกมานั่งดูบนเตียง มันเป็นอัลบั้มภาพ เปิดไปก็เจอวินเซนต์วัยทารกน้อยจิ้มลิ้มยิ้มให้กล้องถ่ายรูป สีของมันค่อนข้างซีดแล้วเพราะอายุน่าจะเกินสิบปีแล้ว ยิ่งเปิดหน้าต่อไปเก็กน้อยคนนั้นก็โตขึ้นเรื่อยๆ เห็นภาพที่ร้องไห้งอแงกับไอติมเปื้อนปากแล้วคนมองก็หลุดหัวเราะออกมา





“ตอนเด็กๆ น่ารักแท้ๆ ทำไมโตมาแบบนี้” เผลอหลุดปากถามออกไปตามที่คิด เขามัวแต่ดูอัลบั้มภาพจนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังอยู่เบื้องหลัง จนกระทั่งได้ยินเสียงทักถึงสะดุ้งขึ้นมา

“ดูอะไรน่ะ? ”





วินเซนต์มายืนด้านหลัง ก้มลงมอง บนคอยังพาดผ้าขนหนูชื้นเอาไว้ พอเห็นอัลบั้มภาพก็รีบคว้าทันที





“เอาคืนมา นั่นห้ามดู”





แดริลไวกว่า หยิบหนังสือขึ้นเอื้อมไปสุดแขนยื้อกับคนตัวใหญ่กว่า ริมฝีปากฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์





“มีความลับอะไรอยู่หรือไง? ฉันน่าจะเอาภาพนายฉี่ราดไปอวดเพื่อนนะ”





“ทำได้ก็ลองดู” พูดจบร่างที่สูงใหญ่กว่าก็รวบเอวดึงรวบเข้ามทั้งตัวจนแดริลล้มหงายหลังนอนลงไปบนเตียง เจ้าของบ้านจึงแงะอัลบั้มภาพออกจากมือแขกเพื่อโยนมันไปไกลๆ ได้





แดริลหัวเราะร่วนกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

“ตลกเป็นบ้า นายก็อายเป็นนี่นา”

ดวงตาสีเขียวมองเขา หรี่ลงเล็กน้อยอย่างดูอันตราย..

“อยากหัวเราะใช่ไหม เชน… ได้ หัวเราะให้พอ! ” พูดจบนิ้วมือด้านก็จี้เข้าที่เอวของเหยื่อที่พยายามดิ้นหนี แต่ก็ดิ้นไม่สำเร็จ แถมเป็นคนบ้าจี้ ก็เลยยิ่งหัวเราะไม่หยุด

“พอแล้ว พอ… ฮะ ฮะ… ฉันขอโทษ…ฮะ…. พอแล้ว”





ในที่สุดวินเซนต์ก็หยุดมือ ร่างที่อยู่ด้านใต้หัวเราะออกมาอีกสองทีพร้อมหอบเบา ดวงตาสีฟ้าสบเข้ากับดวงตาสีเขียวของร่างด้านบน จนบังเกิดความนิ่งเงียบไปชั่วขณะ





กลิ่นสบู่กับแชมพูอ่อนจางคล้ายจะทำให้มัวเมา ร่างสูงใหญ่เคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนริมฝีปากแนบสนิท ลิ้นแทรกผ่านกลีบปากเข้าไปสำรวจด้านใน ฟันขบขย้ำเบาจนหลุดเสียงครางออกมาในลำคอ





วินซ์ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกทั้งหอบเบา ดวงตาสีเขียวฉายแววซับซ้อน คิ้วมุ่นลงเล็กน้อย เขาเตรียมจะผละออก

“ฉันไปสั่งอาหารเย็--”

แดริลดึงผ้าขนหนูซึ่งคล้องคอของนักกีฬาหนุ่มไว้ รั้งไม่ให้ไป

“วินซ์... ฉันไม่เป็นไร” เขาดันตัวขึ้นแนบจูบเบาเป็นการยืนยัน

“... จะไม่กลัว แพนิค สติแตก แล้วหนีไปอีกใช่ไหม? ” วินเซนต์ไม่ได้ขืนตัวหนี เพียงมองสบตานิ่ง ในดวงตาคู่นั้นฉายชัดถึงความต้องการ “ฉันเว้นช่องว่างกับให้เวลานายได้”

“...อย่าให้ฉันพูดซ้ำได้ไหม” แก้มเริ่มขึ้นสีขึ้นทุกที แดริลไม่ชอบเป็นอย่างมากที่ตัวเองเป็นคนที่หน้าแดงตัวแดงได้ง่ายปานนี้… แต่เขาก็ทำอะไรกับมันไม่ได้





ผู้ฟังหัวเราะเบา ก้มลงกระซิบ





“นายพูดแล้วนะ? ”

“อืม… ไม่กลับคำ” ยังไงซะเขาเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ให้คนรักรอขนาดนี้ก็รู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว…

“ดี” วินซ์แนบจูบลงมาอีกครั้ง คราวนี้จังหวะเร่งร้อนและดุเดือดกว่าคราวก่อนจนแทบหายใจไม่ทัน ริมฝีปากอุ่นร้อนเลื่อนไปขบขย้ำที่ต้นคอ ทิ้งรอยจูบสีแดงจัดเอาไว้อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ





แดริลสะดุ้งตัวเล็กน้อย เสื้อยืดที่สวมใส่ถูกดึงขึ้นจนถึงใต้คาง อากาศเย็นที่กระทบผิวทำให้หลุดเสียงครางออกมา

ผิวบริเวณใต้นิ้วของวินเซนต์หยาบและสากกร้าน ยิ่งไล้ไปบนผิวหน้าท้องก็ยิ่งรู้สึกถึงสัมผัสที่ไม่คุ้นชิน

แดริลถูกร่างสูงใหญ่แนบร่างทับจนแทบจมลงไปกับเตียง การจูบเริ่มไล่ลงไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ไหปลาร้า ต่ำลงไปจนถึงหน้าท้อง…





เขาหลุดเสียงครางน่าอาย พยายามไม่ให้คำปฏิเสธหรือคำห้ามหลุดออกจากปาก เป็นวันที่ไม่ได้ร้อนขนาดนั้น แต่ก็รู้สึกว่าร่างกายร้อนขึ้นทุกที





วินเซนต์หลุดสบถออกมา ดวงตาสีเขียวเข้มดำมืดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความต้องการ ลิ้นไล้เลียจากมุมปากด้านหนึ่งไปถึงฟันเขี้ยว





และในจังหวะนั้นเอง… ที่…





“วินเซนต์ แม่กลับมาแล้ว!! ”





เจ้าของชื่อถึงกับหน้าทิ่มลงไปบนอกคนใต้ร่าง… สบถอีกรอบ คราวนี้ด้วยความโมโห





“................... รู้แล้วครับแม่!!!! ” ตะโกนตอบกลับไปแบบเสียไม่ได้





แดริลมองหน้ายุ่งๆ ของคนข้างหน้าแล้วก็หลุดขำออกมา ตบบ่าปลอบใจทั้งค่อยๆ ยันตัวขึ้นจากที่นอน





“ไปคุยกับแม่นายเถอะ”





แม่กลับมาบ้าน ใครมันจะไปมีอารมณ์ทำอะไรอะไรต่อกัน...

“อืม” ร่างที่สูงกว่าคว้าเสื้อมาใส่ให้เรียบร้อย “เดี๋ยวนายไปเจอแม่ฉันด้วย ฉันโทรบอกพ่อแม่แล้วว่าเพื่อนมาค้างบ้าน”

“ได้”

“แล้วก็…” วินเซนต์เดินไปเปิดกล่องยา โยนปลาสเตอร์ให้คู่สนทนา จากนั้นก็ชี้ไปที่ต้นคอ “ปิดซะ”





ตอนแรกผู้ฟังเลิกคิ้วงุนงง ต่อมาหันไปดูในกระจกพบว่าบนต้นคอตนเองมีรอยจูบสีแดงวงเบ้อเริ่ม ใบหน้าที่ตอนแรกสงบดีแล้วกลับขึ้นสีขึ้นมาอีกรอบ พอจะหันไปเอาเรื่องกับตัวต้นเหตุ มันก็หนีจากห้องไปแล้ว

ไอ้@#@$*& (@*&* (! @





แดริลลูบหน้าแรง จะด่าออกไปก็ด่าไม่ได้ สุดท้ายก็แปะปลาสเตอร์ปิดเอาไว้ก่อนลงไปเจอหน้าแม่ของวินเซนต์อยู่ดี…





ให้ตายสิ….





เด็กหนุ่มได้แต่คิดอย่างขัดเขิน





..ไอ้บ้าเอ๊ย



หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 5 [28/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-11-2018 22:42:48
 :z1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 5 [28/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-11-2018 22:58:18
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 5 [28/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-11-2018 00:20:43
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 5 [28/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 30-11-2018 17:00:15
บทที่ 6 Junior Year First Semester

   แม่วินเซนต์กลับบ้านมาไม่นาน พ่อแม่ของแดริลก็กลับมาจากตาฮิติเช่นกัน เด็กหนุ่มจึงได้กลับบ้านตัวเอง… เขายังคงไปช่วยงานโค้ชวิทเทกเกอร์กับไปเล่นเกมที่บ้านฝั่งตรงข้ามซึ่งเยื้องไปไม่กี่หลังเกือบทุกวัน



   พอพ่อรู้เข้าว่าเพื่อนสนิทคนใหม่ของแดริลเป็นควอเตอร์แบคทีมอเมริกันฟุตบอลโรงเรียนอนาคตไกล ก็ถึงกับเอ่ยปากชมว่าเขาเลือกเพื่อนดี…

   ก็พอจะรู้หรอกว่าพ่อชอบสไตล์อเมริกันดรีมเดินได้แบบหมอนี่.. นักกีฬา ตัวสูงใหญ่ ผิวขาว บ้านรวย…



   แต่หากรู้ว่านั่นแฟนไม่ใช่เพื่อน… พ่อต้องฆ่ากันแน่ๆ

   แดริลตัดสินใจยิ้มรับคำชมและดำเนินกิจวัตรประจำวันของเขาต่อไป ผ่านไปแปบเดียวก็เปิดเทอมแล้ว

   ระหว่างปิดเทอมนั้นก็ไม่ได้เกิดอะไรที่มันเลยเถิดขึ้นอีกเลย เนื่องเพราะพ่อแม่ของทั้งคู่กลับบ้านมาแล้ว ใครมันจะไปมีอารมณ์ทำอะไร...



   วันๆของแดริลก็ผ่านไปด้วยการจดแต้ม จับเวลา แวะไปหาอะไรกินบ้าง แฮงก์เอาท์กับพวกนักกีฬาจนสนิทกันไปซะอย่างนั้น…



   ไม่นานก็เปิดเทอม เขารู้สึกเหมือนยังพักผ่อนไม่ค่อยจะเต็มอิ่ม ลากขาออกจากบ้านก็เห็นรถสีแดงคันเดิมจอดรออยู่ที่ฝั่งตรงข้ามแล้ว…



   กิจวัตรประจำวันยังคงเหมือนเดิม ต่างแค่ตอนนี้พวกเขาขึ้นเกรดสิบเอ็ดแล้ว ยังคงถูกเลือกเป็นหัวหน้ากับรองหัวหน้าชั้นปีพร้อมๆกับเพื่อนลี เลขากับเหรัญญิกปีนี้เปลี่ยนคน และงานสภาก็ยังคงมีมาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย



   วินเซนต์เองก็ยุ่งกับเรื่องทีม ปีนี้เห็นว่าโค้ชค่อนข้างเคี่ยวเขาหนักเพราะวางแผนจะให้ขึ้นเป็นกัปตันทีมใรปีหน้า ซึ่งตอนนี้สถานะของวินเซนต์ก็กึ่งๆจะเป็นรองกัปตันอยู่แล้ว…




   ในวันหนึ่งช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงหลังเลิกเรียน แดริลที่กลับมาจากการเอาเอกสารไปส่งห้องพักครูแวะเข้าห้องน้ำ ยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้าไปก็ได้ยินเสียงผิดปกติ



   นักเรียนชายที่น้ำหนักเกินคนหนึ่งโดนต่อยท้องจนทรุดลงไปกองกับพื้นห้องน้ำ เหมือนจะเป็นเด็กเกรดเก้าเพราะเขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนจนกระทั่งปีนี้ ส่วนคู่กรณีเหมือนจะเป็นรุ่นน้องทีมเบสบอล



   “ดูไอ้ตุ๊ดนี่สิ ร้องไห้อย่างกับเป็นเด็กผู้หญิง ฮ่าๆๆ” คนที่เหมือนจะเป็นหัวโจกจิกผมของเด็กอ้วนคนนั้นขึ้นมา “ว่าไงโจเซฟ ทีนี้แกมีเงินให้พวกเรายืมรึยัง”



   “ถ่ายรูปมันเก็บไว้ดีไหมจอห์นนี่ ไม่ให้มันไปฟ้องครู”



   “จับมันถอดกางเกง”



   แดริลมุ่นคิ้วเมื่อได้ยิน พร้อมทั้งกันฟันแน่น.. สังคมไฮสคูลมักไม่ยอมรับคนที่แตกต่างจากมาตรฐานที่ถูกตีกรอบเอาไว้ ทุกคนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่มีใครกล้าช่วย…



การกลั่นแกล้งรังแก (Bullying) พวกนี้ ไม่มีใครให้ความสำคัญกับมันจริงจังด้วยซ้ำ และคนแบบโจเซฟก็เป็นเหยื่อที่ถูกจับขึงประจานเป็นตัวอย่าง ว่าอยู่ในสังคมห้ามทำตัวแปลกแยก แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเกิดมาเป็นนักกีฬาได้สักหน่อย ใช่ว่าทุกคนจะเลือกที่จะเกิดมา’ปกติ’ได้



ตัวเขาเองก็เป็นเกย์..



แดริลทนทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ เปิดประตูเสียงดังแล้วเดินก้าวยาวๆเข้าไปในห้องน้ำ ทำเอาทั้งสามคนที่กำลังรุมจับเด็กที่นั่งกับพื้นถอดกางเกงถึงกับชะงักมือ



“พวกเกรดเก้าใช่ไหม ทำอะไรกันอยู่…” เด็กหนุ่มถามเสียงเย็น มองรุ่นน้องที่กำลังก่อเหตุอาชญากรรม แล้วก็หรี่ตา “ทำแบบนี้ผิดกฎโรงเรียน ถ้าไม่อยากให้ฉันไปเรียกอาจารย์ก็รีบไสหัวไปซะ ทั้งสามคนเลย”



ทั้งสามมองหน้ากันเลิ่กลั่ก  จากนั้นก็มองหน้าแดริล แล้วก็รีบเผ่นหนีไปตามระเบียบ..



เด็กหนุ่มผมดำถอนหายใจเบาอย่างสะท้อนใจ มองร่างอวบอ้วนที่พยายามควานหาแว่นตาอย่างสะเปะสะปะ เขาก้าวยาวๆเข้าไปสองก้าว ก้มลงหยิบแว่นที่มีรอยร้าวส่งให้โจเซฟ



“ไม่เป็นไรนะ?”

“...ไม่เป็นไรครับ”



ทำไมคนเราต้องใจร้ายกันขนาดนี้… เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นทุกวันและทุกโรงเรียนในอเมริกา ทำไมถึงไม่มีใครแก้ไขมัน?



 “ฉันแดริล… แดริลเชน นายล่ะ?”

“โจเซฟ เวสท์…” เด็กคนนั้นยังคมก้มหน้าไม่ยอมมอง

“ไปกันเถอะ ฉันจะพาไปห้องพยาบาล” แดริลยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธ

“ไม่ได้… เรื่องนี้ให้ครูรู้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะโดนหนักกว่าเดิม” โจเซฟพูดเสียงสั่น



แดริลถึงกับนิ่งไป ก็จริงที่ช่วยไว้ครั้งหนึ่งก็ใช่จะช่วยได้ตลอดไป และพวกครูก็มักเห็นว่าปัญหาแบบนี้เป็นแค่เรื่องเด็กทะเลาะกันเล็กๆ ไม่เคยมาแก้ปัญหาจริงจัง จนกระทั่งมีคนตายแล้วเท่านั้นถึงออกโปรเจกต์ใหญ่โต เช่นเหตุการณ์สังหารหมู่ที่โคลัมไบน์เมื่อปี1999.. แค่สามปีก่อนหน้านี้



เด็กหนุ่มจำได้ดีว่าเขาดูเหตุการณ์นั้นผ่านโทรทัศน์และติดตามสนใจคดีนี้พอสมควร ผู้ก่อเหตุทั้งคู่เป็นเหยื่อการถูกรังแกมาตลอดสี่ปี มีรายงานว่าก่อนเกิดเหตุไม่กี่อาทิตย์ ว่ากันว่าคนร้ายทั้งสองคนโดนพวกนักกีฬาทีมอเมริกันฟุตบอลราดด้วยซอสมะเขือกับมัสตาร์ด.. แล้วด่าว่าพวกเขาว่าเป็นเพศที่สาม

   

   ตอนนั้นยังไม่รู้ตัวว่าเป็นเกย์ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่มันเป็นข่าวที่ทำให้สะเทือนไปทั้งอเมริกา ไฮสคูลเกือบทั่วประเทศออกแคมเปญต่อต้านการรังแกกันในโรงเรียน แต่สุดท้ายสามปีผ่านไปกระแสซาลง ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม… ดูสิ เรื่องเดิมๆก็ยังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า



   มันดูไม่มีทางออก… เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดสามคนนั่นโดนพักการเรียนแล้ว เด็กคนนี้จะโดนกลั่นแกล้งหนักกว่าเดิมไหม



   ในปีของแดริลก็เคยมีคนที่โดนแกล้งแบบนี้ สุดท้ายทนไม่ไหวจนย้ายโรงเรียนไป แดริลไม่ได้มีความแค้นอะไรกับคนคนนั้น แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้หรือคบหาสมาคม ด้วยกลัวว่าจะโดนมองเป็นพวกประหลาดนอกคอก กับเป็นเหยื่อพวกนักกีฬาไปด้วย



   ที่ผ่านมาเขาระมัดระวังกับสถานะทางสังคมของตนเองมาก ทั้งทำตัวเป็นไนซ์กาย เข้าหาช่วยงานครู และเข้าสภานักเรียน… แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะทำได้



   สังคมไฮสคูล… จริงๆแล้วมันเละเทะจะตายไป



   “อย่างนั้นก็ไม่เป็นไร… แต่มีอะไรก็มาหาฉันได้นะ” พูดจบก็ยัดเยียดผ้าเช็ดหน้าใส่มืออีกฝ่าย แถมด้วยพลาสเตอร์ติดแผลอีกชิ้น



   “....อย่า...อย่ามายุ่งกับผมเลย เดี๋ยวจะ...โดนไปด้วย” แดริลรับฟัง.. แล้วก็หัวเราะเบาๆ



   “โจเซฟ นายกำลังพูดกับคนที่จะเป็นประธานสภานักเรียนในปีหน้าอยู่นะ” ไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจมาจากไหน อาจจะติดโรควินเซนต์มา หรืออาจจะโดนเพื่อนลียัดเรื่องพวกนี้ใส่สมองมากไป… “เชื่อฉัน พวกนั้นแตะฉันไม่ได้”



   โจเซฟกำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้ เงยหน้าขึ้นมองเขาผ่านเลนส์แว่นแตกอย่างหวาดๆ



   “เชื่อฉันเถอะ” เด็กหนุ่มยกยิ้ม “แต่ตอนนี้เราควรรีบไปจากที่นี่ก่อนพวกนั้นกลับมา”



   แดริลเดินมาส่งรุ่นน้องถึงหน้าโรงเรียน จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าถึงเวลาที่เขาต้องไปเจอวินเซนต์แล้ว…



   รีบวิ่งกลับเข้าโรงเรียนไปเอากระเป๋าจากนั้นก็วิ่งกลับมาถึงลานจอดรถก็เลยเวลานัดไปสิบนาทีแล้ว เห็นเจ้าของรถนั่งรออยู่ในนั้นเขาก็ยิ่งเร่งฝีเท้า เปิดประตูเข้าไปนั่งตามความเคยชิน



   “วันนี้งานเยอะ?” ถามทำนองว่าทำไมถึงสาย แดริลก็ส่ายหน้า

   “เจอเรื่องมานิดหน่อยน่ะ”

   “หืม?” วินซ์

   “นายรู้จักเด็กทีมเบสบอลเกรดเก้าปีนี้ไหม” แดริล

   “ก็พอรู้จักบ้าง… ทำไม พวกนั้นทำอะไร” วินซ์

   “รุมกระทืบคนไม่มีทางสู้” แดริล

   “พวกเนิร์ดน่ะเหรอ? ก็เรื่องปกตินี่…” วินซ์

   “...”



   รถค่อยๆแล่นออกจากลานจอด แดริลมีสีหน้าหนักใจ จริงๆมันก็ไม่แปลกที่วินเซนต์จะพูดอะไรแบบนี้ หากไม่มีคำสั่งห้ามจากโค้ชวิทเทกเกอร์.. หมอนี่ก็เป็นคนประเภทที่จะรังแกชาวบ้านได้อย่างหน้าตาเฉย



   “ถ้าเป็นฉันที่โดนรุมกระทืบล่ะ วินเซนต์” แดริล

   “ใครทำ? ฉันจะไปกระทืบมันคืน” วินซ์

   “ไม่ใช่… หมายถึง… มันยังจะปกติอยู่รึเปล่าที่ถ้าคนที่โดนเป็นคนที่สนิทกับนาย…” แดริลพูดเสียงเบา

   “แต่ฉันไม่สนิทกับพวกขี้แพ้ ไม่คิดจะไปสนิทด้วย” เด็กหนุ่มนักกีฬาหักพวงมาลัยเลี้ยว “ทำไมนายต้องไปสนใจด้วยล่ะ มันก็ไม่ใช่เรื่องของนายสักหน่อย?”

    “... ถ้าข่าวว่าฉันเป็นเกย์รั่วออกไป ฉันก็อาจจะโดนเหมือนกัน” ผู้พูดฝืนยิ้ม แต่หว่างคิ้วมุ่นจนเป็นรอยย่น

   “แต่มันจะไม่รั่วออกไป” วินเซนต์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “นายต้องการอะไร จะมาว่ากันที่ฉันเคยรังแกคนอื่นไว้รึไง?”

   น้ำเสียงในประโยคหลังเริ่มเป็นการใส่อารมณ์ แดริลฟังแล้วก็ถอนหายใจอีกรอบ พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

“วินซ์… ถึงนายจะเป็นฝ่ายที่ไปหาเรื่องกระทืบคนอื่น แต่ก่อนที่ฉันจะตกลงคบกับนายฉันก็รู้อยู่แล้วว่านายเป็นคนแบบนี้ พระเจ้า… ตอนเกรดเก้านายหาเรื่องฉันทุกวันด้วยซ้ำไป ฉันไม่ได้จะหาเรื่องทะเลาะหรือต่อว่าอะไร ก็แค่อยากคุยกันในเรื่องที่ไม่สบายใจ…”

“อืม…” คนที่กำลังขับรถรับคำ เหมือนจะอารมณ์เย็นลงพอควร “แต่เรื่องจะไปแก้กฎหมู่ของสังคมแบบนี้… ฉันช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ แดริล มันมีเรื่องบางเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ยิ่งนายพยายามจะแก้ ก็จะยิ่งแปลกแยกขึ้นเท่านั้น”

“ฉันเข้าใจ…”

“นายจะช่วยคนอื่นจนตัวเองขาดทุนทุกเรื่องไม่ได้” รถคันสีแดงจอดเทียบที่ข้างทาง มือใหญ่วางลงบนหัวของเด็กหนุ่มผมดำที่กำลังเซื่องซึม ลูบเบาๆเป็นเชิงปลอบ “ที่ฉันอยู่ในจุดที่ฉันอยู่ได้ ก็เพราะเรื่องบางเรื่องฉันก็ไม่ไปยุ่ง”

“ก็ไม่ได้ขอให้นายยุ่งหรอก…” แดริลถอนหายใจ คิดไปคิดมาวินเซนต์ที่อยู่เป็นจุดศูนย์กลางของพวกกลุ่มนักกีฬา (ซึ่งมักจะเป็นพวกที่ก่อเรื่องบุลลี่ชาวบ้าน) อาจจะเป็นคนที่ไม่น่าคุยเรื่องนี้ด้วยที่สุดแล้ว…

“แต่ถ้านายอยากจะยุ่งฉันก็ไม่ห้าม ถ้าพวกนั้นมากระทืบนาย ปีนี้พวกมันก็คงอยู่ยาก” วินเซนต์โน้มตัวมาจูบแก้มเขาเบาๆทีหนึ่ง

“ระดับนายยังกระทืบฉันไม่ได้ เด็กพวกนั้นก็ทำไม่ได้หรอก วินเซนต์ ซัมเมอร์”

“ตอนนั้นกระทืบไม่ได้ ตอนนี้กระทืบไม่ลง แต่ฉันทำอย่างอื่นกับนายได้นะ” เจ้าของรถยักคิ้วให้สองที ทำเอาคนฟังหน้าขึ้นสีหันหนีไปทางอื่น

“ขับรถต่อ… วันนี้มีการบ้านวิชาสังคมต้องรีบกลับไปทำ”แดริลพึมพำเสียงเบา คนฟังเพียงหัวเราะร่วนและเปลี่ยนเกียร์เหยียบคันเร่งพารถคันใหญ่ให้แล่นออกไปอีกครั้ง

“พรุ่งนี้โค้ชบอกให้นายมาช่วยงาน งานสภาเคลียร์ใกล้เสร็จรึยัง?”

“อืม… จริงๆก็พอปลีกตัวมาได้น่ะถ้าโค้ชเรียก”

“ดี ช่วงนี้ต้องคัดตัวเด็กใหม่เข้าทีม อาจจะเหนื่อยหน่อยนะ” รถจอดลงที่หน้าบ้านของวินเซนต์เหมือนเดิม เจ้าของรถยิ้มส่งคนที่กำลังเปิดประตู “ข้ามถนนระวังด้วย”



“ระวังอยู่น่า” กระแทกประตูปิดแล้วก็ไม่ลืมที่จะมองซ้ามองขวาก่อนข้ามถนน เรื่องโดนรถชนขาหักนี่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วสำหรับชีวิตนี้..

   

อันที่จริงสถานการณ์แปลกๆที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็เริ่มมาจากที่ขาหักนั่นล่ะนะ…




ในวันรุ่งขึ้น…



   หลังเลิกเรียนเป็นเวลาที่แดริลจะยุ่งที่สุดของวัน… นอกจากจะต้องช่วยลีจัดการกับเอกสารแล้วก็ยังต้องวิ่งไปช่วยโค้ชวิทเทกเกอร์ฝึกนักกีฬา



   เป็นวันฤดูใบไม้ร่วงที่ก่อนหน้นี้ฝนตกปรอยจนพื้นเละเป็นโคลนลื่น แต่นักกีฬาทุกคนก็ยังต้องฝึกซ้อมกันต่อไปเพื่อเตรียมให้พร้อมสำหรับฤดูกาลการแข่งขั้นที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า



   แดริล เชน แบกทั้งอุปกรณ์และตะกร้าใส่ลูกอเมริกันฟุตบอลอีกทั้งธงปักมาอย่างพะรุงพะรัง วางทุกอย่างในที่ที่มันควรจะอยู่ ยืนจดสถิติ วิ่งไปจดคะแนนขึ้นกระดาน วุ่นวายจนแทบทำไม่ทัน รู้สึกตัวอีกทีก็เย็นมากแล้ว.. ขณะที่พวกนักกีฬาวิ่งเข้าห้องล็อกเกอร์ไปอาบน้ำ ผู้จัดการทีมที่น่าสงสารก็ยังต้องอยู่เก็บข้าวของ



   เหมือนว่าโค้ชยังหาใครอีกคนที่จะมาช่วยงานไม่ได้ แดริลจึงต้องทำงานทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว



   ขณะกลับจากการหิ้วของไปเก็บที่โรงยิม พื้นรองเท้าก็เหยียบเข้ากับสนามหญ้าแฉะเปียกโคลน ล้มหน้าทิ่มลงไปในดินเข้าเต็มๆ



   “...........”

   “ฮ่าๆๆ ทำอะไรของนายน่ะเชน!!” ไอ้เจฟฟ์... “ดูสิวินซ์ หมอนั่นทิ่มลงโคลนเลยว่ะ”

   ...พอยิ่งมีคนชี้ก็ยิ่งเรียกความสนใจมากขึ้น ร่างที่ไม่บางไม่หนา ตามค่าเฉลี่ยของเด็กอายุสิบหกทั่วไปค่อยๆยันกายขึ้น ปาดโคลนที่เลอะใบหน้าแล้วชักสีหน้ารังเกียจกลิ่นดินที่ติดจมูก

   “เห็นแล้ว” คนโดนเรียกขำเบาๆในลำคอ “ไม่ใช่ว่าเจสรอนายอยู่เหรอ เจฟฟ์?”



พูดจบไอ้เจฟฟ์ก็ทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ รีบวิ่งไปหาพวกทีมเชียร์ที่ซ้อมกันอยู่ในโรงยิมทันที ส่วนคนอื่นๆก็โดนวินเซนต์ไล่ให้กลับบ้านไป ไม่ต้องสนใจนัก



“..ขอบใจที่ช่วย” แดริลกล่าวเสียงเบาหลังจากทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว เหลือแค่เขากับพ่อผู้เล่นดาวเด่นของทีม และโคลนเต็มตัว “ฉันไปล้างโคลนสักหน่อยดีกว่า ถ้านายรีบจะกลับก่อนเลยก็ได้นะ”



ในบางวันที่วินเซนต์ต้องไปสังสรรค์กับพวกกลุ่มนักกีฬา บางทีแดริลก็จะโดนลากไปด้วย และอีกหลายๆทีก็จะแยกกันกลับ



ถึงพวกนักกีฬาจะยอมรับเขา แต่แดริลก็ไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งอะไรขนาดนั้น.. เขาสบายใจที่จะอยู่กับกลุ่มเด็กกิจกรรมกับพวกนักเรียนดีเด่นมากกว่า



“วันนี้ไม่มีนัดอะไร รีบไปล้างตัวเถอะจะได้กลับ” มือข้างหนึ่งดันหลังเป็นเชิงเร่ง แดริลพยักหน้า ไม่วายบ่นงึมงำ

“...ดีนะที่วันนี้มีคาบพละเลยมีชุดเปลี่ยน” พูดจบมือหยิบกระเป๋า เดินลิ่วเข้าห้องล็อกเกอร์สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ด้านในแบ่งเป็นห้องอาบน้ำเล็กๆหายห้อง



ร่างไม่หนาไม่บางหยิบผ้าขนหนูในกระเป๋ากีฬา ถอดเสื้อผ้า วางพับไว้ลวกๆแล้วรีบก้าวยาวเข้าห้องอาบน้ำ อยากล้างโคลนออกเต็มแก่จนไม่สังเกตว่ามีคนเดินตามมาด้านหลังอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่ายืนมองมานานเท่าไหร่แล้ว



กำลังจะปิดประตูห้องน้ำ มือใหญ่ที่ดูคุ้นตาก็ดันมันเอาไว้เสียก่อน…



แดริลเบิกตาโต ดันประตูปิดสู้เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบแรก แต่อนิจจา ยังไงซะแรงก็สู้เขาไม่ได้..  ร่างที่สูงกว่าเบียดตัวเข้ามาในห้องน้ำแคบ เริ่มถอดเสื้อผ้าด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ



“นายจะทำอะไร!?” เด็กหนุ่มผมดำถามเสียงหลง ขณะที่วินเซนต์โยนเสื้อผ้าและกางเกงของตัวเองออกไปทีละชิ้น

“ต้องถามด้วยเหรอ?” วินเซนต์เลิกคิ้วมอง ประหนึ่งจะถามว่าแค่นี้ยังชัดเจนไม่พอรึไง?

“...นี่มันที่โรงเรียนนะวินซ์” ขณะที่พยายามปราม ประตูห้องน้ำก็โดนปิดแล้วลงกลอน.. หมดทางหนีแบบรู้สึกเดจาวู

“แล้วทำไมล่ะ คนอื่นเขาก็ทำกันที่โรงเรียนนั่นแหละ นายแค่ไม่รู้”



แดริล เชน ทำได้เพียงลูบหน้าแดงๆของตนเอง รู้ตัวอีกทีผ้าขนหนูที่พันอยู่รอบท่อนล่างก็โดนดึงไปพาดไว้กับขอบประตู ยังไม่ทันได้โวยวาย น้ำเย็นจัดจากฝักบัวก็สาดลงหัวเต็มๆจนเด็กหนุ่มเผลอปิดตาแน่น



“ถือนี่ไว้หน่อย” ไม่มีโอกาสได้ตั้งตัวอะไรทั้งนั้น… อยู่ๆของชิ้นหนึ่งก็โดนยัดเข้ามือ แดริลเปิดตามามองมันอย่างงุนงง

“?” ซองพลาสติก… ทรงเหลี่ยม.. มันคือ… “.......”



…………………….ถุงยาง



ยังไม่ทันจะโต้ตอบอะไร ท้องนิ้วด้านของคนตรงหน้าก็ค่อยๆปาดเอาโคลนออกจากหน้าเขา เห็นท่าทางทำอะไรไม่ถูกแล้ววินเซนต์ก็ยกยิ้มมุมปาก หลุดขำออกมา



“ดูทำหน้าเข้าสิ ไม่ใช่ว่านายบอกฉันว่าทำได้แล้วหรอกเหรอ?” ร่างที่สูงกว่าโน้มลงกระซิบถามข้างหู “ฉันรอนานแล้วนะ”



ไม่ใช่นายรอนานแล้ว แต่มันไม่มีจังหวะให้นายมากกว่า...



ดวงตาสีฟ้าพยายามหลบเลี่ยง แต่มองลงไปเจอร่างเปลือยเปล่าข้างหน้าก็ต้องเงยหนี พอเงยหนีก็สบเข้ากับสายตาของวินซ์แทน… ใบหน้าร้อนเสียจนน้ำเย็นจากฝักบัวก็ไม่ช่วย จนแดริลตัดสินใจหลับตาหนี



---------------------

“ถือว่านายสมยอม” เสียงกระซิบข้างหูนั่นกลั้วด้วยเสียงหัวเราะเบา มือใหญ่ที่หยาบกร้านลูบถูสบู่ลื่นๆบนหน้าท้องของเด็กหนุ่ม ไล่มือขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงเอว และหยุดคลึงที่ยอดอก

ยิ่งหลับตาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงสัมผัสจาบจ้วงบนร่างได้อย่างชัดเจน เสียงครางที่หลุดรอดออกจากลำคอดังก้องไปทั่วห้องแคบจนต้องรีบยกมือขึ้นปิดปาก แต่วินเซนต์กลับดึงมือข้างนั้นออกไป ประสานกดแนบไว้กับกำแพง ขณะที่ฟันขบงับยอดอกสีระเรื่อและดึงเบา

“วินซ์!” แดริลครางออกมา ลืมตาขึ้นทันที มองไอ้คนที่กำลังยิ้มได้ใจทั้งน้ำตาคลอ “เสียง..ดังไม่ได้”
“ไม่มีใครอยู่แล้ว ร้องให้ฉันฟังหน่อยสิ” วินซ์เงยหน้าขึ้น จูบซับน้ำที่เล็ดออกมาจากหางตาของคนที่กำลังโดนรังแก ที่กำลังด่านักกีฬาหนุ่มด้วยสารพัดคำพูดอยู่ในใจแต่กลับปิดปากสนิทพลางก้มหน้าหลบสายตาหิวกระหายคู่นั้น

วินเซนต์หัวเราะเบา แนบจูบสั้นๆ มือไล้ไปบนผิวกายอุ่นจนถึงต้นคอ ทำเอาร่างที่บางกว่าสะดุ้งเล็กน้อย
“ไปทำใน… ที่ที่มัน...ปลอดภัยกว่านี้ไม่ได้รึไง--” เด็กหนุ่มหอบเบา เบือนหน้าตั้งใจมองประตูสีขาวราวว่านั่นคือที่พึ่งสุดท้าย แล้วเสียงก็ขาดช่วงไปเมื่อต้นคอถูกขบและดูดเบา เกิดเป็นรอยแดงจุดใหญ่

“...ไม่ทันแล้ว” วินเซนต์กระซิบตอบที่ต้นคอ มือที่จับประสานกันโดนดึงเลื่อนไปวางบนส่วนที่กำลังขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาสีเขียวจัดฉายแววคล้ายเสือที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ

เจ้าของมือรู้สึกหน้าร้อนขึ้นเรื่อยๆ จะด่าก็เคยด่าไปหมดจนหมดคำพูดจะด่าแล้ว

   รู้ตัวอีกทีร่างที่เล็กกว่าก็ถูกจับพลิกให้หันหน้าเข้าหากำแพง น้ำเย็นจากฝักบัวไหลกระทบบ่า ค่อยๆกลิ้งลงตามแนวสันหลัง มือใหญ่กดเบาให้แดริลโน้มตัวชิดกำแพง ขณะดึงสะโพกเข้าหาตัว

   ริมฝีปากอุ่นแนบจูบเบาลงบนแผ่นหลังคล้ายจะปลอบประโลม เสียงลมหายใจของร่างที่สูงกว่าถี่กระชั้น คล้ายได้ยินเสียงคำรามเบาในลำคอ

   มือคู่ใหญ่ที่ลื่นเพราะฟองสบู่เลื่อนจากสะโพกขึ้นไปบนแผ่นหลัง อ้อมไปลูบไล้ที่ด้านหน้า ต่ำลงไปเรื่อยจนถึงหน้าท้อง แดริลยิ่งกำมือแน่น ฝังหน้าเข้ากับกำแพงอย่างไม่พร้อมจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์ขณะนี้ เด็กหนุ่มกลั้นเสียงครางไม่ให้เล็ดรอดออกจากริมฝีปากจนตัวสั่นเบาๆ เขาหอบหายใจสั้น… และลมหายใจนั่นก็ถึงกับสะดุดเมื่อมือหยาบกอบกุมส่วนกลางลำตัว

   “วินซ์!” แดริลหลุดเสียงร้อง พยายามขยับหนีแต่ด้านหลังก็ชนเข้ากับบางสิ่งที่ทั้งร้อนทั้งแข็ง สีแดงบนใบหน้าที่แดงจัดลามไปถึงใบหู ลงไปถึงต้นคอ
   “ฉันยังไม่ทันทำอะไรเลย ตรงนี้ก็แข็งซะแล้ว” พูดแล้วก็หัวเราะเบา ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดแผ่นหลังตามจังหวะเสียงหัวเราะนั้น ไม่พูดเปล่ายังขยับข้อมือเป็นจังหวะเนิบช้า

   เด็กหนุ่มผมดำกัดฟันแน่น ในห้องน้ำแบบนี้แค่ส่งเสียงเล็กน้อยก็ก้องสะท้อนไปทั่วจนน่าอายแล้ว คนหน้าบางแบบเขามีหรือจะอยากฟัง แล้วร่างที่บางกว่าก็ต้องสะดุ้งอีกรอบเมื่อมือใหญ่วางลงบนสะโพก ค่อยๆเลื่อนไปด้านหลัง… และต่ำลงเรื่อยๆ…

   สิ่งแปลกปลอมที่สอดเข้ามาในร่างกายทำให้แดริลหลุดเสียงครางออกมาเล็กน้อย ความลื่นจากสบู่ช่วยให้นิ้วแรกสอดแทรกเข้าไปอย่างง่ายดาย ครั้นจะขยับสะโพกหนี ก็เสียดสีเข้ากับด้านหน้าที่โดนกอบกุมไว้อย่างแน่นหนา จนเผลอตัวขยับถอยไปชนกับนิ้วหยาบที่เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นสองนิ้วโดยที่เขาไม่รู้ตัว จะหน้าหรือหลังก็ไร้ทางหนีโดยสิ้นเชิง

   “เจ็บไหม?” แดริลส่ายหน้ากับคำถามดังกล่าว มันไม่เชิงว่าเจ็บ แค่รู้สึก… ประหลาด แบบที่อธิบายไม่ถูก สองนิ้วค่อยๆขยับเข้าออก ขยายช่องทางคับแคบเป็นจังหวะเดียวกับมือที่ขยับอยู่ด้านหน้า

   นิ้วนั้นสอดแทรกลึก จู่ๆความรู้สึกชาวาบก็แล่นขึ้นทั่วร่าง จากความรู้สึกแปลกค่อยๆเปลี่ยนเป็นความรู้สึกแบบอื่น ในลำคอครางออกมาแบบไม่เป็นภาษา สะโพกขยับตอบรัมสัมผัสแบบควบคุมไม่อยู่

   “ตรงนี้?” วินเซนต์กระซิบข้างหู ลิ้นสีสดลากแตะริมฝีปากจากมึมหนึ่งไปถึงอีกมุม นิ้วยาวสอดลึก บดขยี้จุดเมื่อครู่ มือด้านหน้าก็เร่งเร้าจังหวะขึ้นอีก จนเจ้าของร่างทำได้เพียงเปล่งเสียงออกมาอย่างไร้ทางสู้ ร่างกายขยับตอบรับสัมผัสอย่างลืมตัว

   เด็กหนุ่มคิดอะไรไม่ออกอีกต่อไป ปล่อยให้ร่างกายตอบสนองตามสัญชาตญาณ ลืมที่จะระวังว่าต้องเบาเสียงด้วยซ้ำ

   “นายน่ารักเป็นบ้า” ถึงตรงนี้แดริลฟังไม่ค่อยได้ศัพท์ว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร คล้ายได้ยินเป็นเสียงคำรามที่แหบพร่าเท่านั้น

   “วินเซนต์… เร็วอีก” เสียงร้องขอกึ่งออกคำสั่ง กึ่งจะอ้อน ฟังเสี่ยงนั่นแล้ววินเซนต์ก็หัวเราะเบา จังหวะของมือคู่นั้นก็ยิ่งเร่งขึ้น แดริลค่อยๆเอนพิงน้ำหนักไปด้านหลัง แผ่นหลังสัมผัสเข้ากับอกกว้าง หยดน้ำที่ร่วงลงมาจากฝักบัวหล่นลงกระทบร่างของทั้งคู่จนเปียกชุ่ม “จะ….แล้ว…”
   “มาสิ” คำอนุญาตมาพร้อมน้ำหนักมือที่กดเพิ่ม สะโพกบางขยับสอดรับกับจังหวะ ทว่าขณะที่กำลังจะส่งเสียงร้องออกมา มือที่เมื่อครู่กำลังเร่งเร้าจังหวะที่ด้านหน้ากลับผละออก ยกขึ้นมาปิดปากแดริลสนิท การเคลื่อนไหวทั้งหมดพลันหยุดลง

   เด็กหนุ่มส่งเสียงเบาในลำคอคล้ายขัดใจ ทว่าจังหวะนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอก

   “วินเซนต์ นั่นเธอใช่ไหม?” เป็นโค้ชวิทเทคเกอร์นั่นเอง “รีบๆหน่อย แค่อาบน้ำทำไมชักช้าจริง เดี๋ยวฉันต้องล็อกห้องแล้ว”
   “... ครับ โค้ช” ปลายเสียงที่ตอบกลับสั่นเบา แทบจะเป็นเสียงคำราม

   ร่างกายท่อนล่างเกร็งกระตุกพร้อมปล่อยของเหลวสีขุ่น เสียงทั้งหมดถูกฝืนกลืนเข้าลำคอ ร่างที่บางกว่าเอนพิงคนข้างหลังที่แผ่นอกร้อนอย่างกับไฟ

   เสียงฝีเท้าของโค้ชค่อยๆห่างออกไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง วินเซนต์ดูเหมือนพร้อมจะฆ่าคน… และพอก้มลงมอง สิ่งนั้นยังคงไม่สงบลง...




---------------------

   “วินซ์”



   รู้ว่าควรจะรีบไป เพราะโค้ชพร้อมกลับมาเรียกพวกเขาได้ทุกเมื่อ… เด็กหนุ่มร่างสูงกัดฟันแน่น หลับตาด้วยต้องการข่มอารมณ์ ก้มลงจูบแดริลเบาๆ จากนั้นจึงเปิดน้ำเย็นให้สาดลงตัวแรงขึ้นอีก



   “นายออกไปแต่งตัวก่อน เดี๋ยวฉันตามไป” วินซ์กดเสียงต่ำ วางมือกับผนังห้องน้ำ ปล่อยให้น้ำเย็นราดรดตัว “ฉันกำลังคิดภาพยายแก่เลี้ยงแมวข้างบ้านอยู่… นายมายืนอยู่แบบนี้ไม่ช่วยเลย”



    แดริลไม่รู้ควรจะช่วยอย่างไร และยิ่งคิดจะช่วยอาจจะยิ่งแย่ จึงเดินออกจากห้องอาบน้ำไปแต่งตัว นั่งรออย่างสงบ เขาคลายมือที่กำไว้ออก… ถุงยางซองนั้นยังอยู่นี่ เห็นแล้วก็กุมขมับเครียด...



ไม่นานวินเซนต์ก็ออกมา เช็ดตัวแล้วก็หยิบเสื้อผ้าที่โยนทิ้งไว้หน้าห้องน้ำลวกๆมาสวมใส่ หน้าบูดบ่งบอกว่าอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก



“กลับบ้าน...” พูดเสียงห้วนแล้วก็แบกกระเป๋าเดินลิ่วนำไปทันที แดริลได้เพียงตบบ่าอีกคนอย่างเข้าอกเข้าใจ…



ระหว่างเดินไปขึ้นรถก็เอ่ยปากถามขึ้นมา...

“ไปบ้านนายไหม” แดริล

“... พ่อแม่อยู่น่ะ” วินซ์

“...” แดริล



หลังจากขึ้นรถ บังเกิดความเงียบระหว่างทั้งคู่ไปครู่ใหญ่ วินเซนต์ก็ยังคงมีสีหน้าเหมือนจะฆ่าคนได้อย่างคงเส้นคงวา

“วินซ์…” แดริล

“ฉันไม่ได้โกรธนาย” วินซ์

“...ฉันรู้” แดริล



เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปดึงคอเสื้อของเจ้าของรถ แตะจูบเบาที่แก้มสาก วินเซนต์ไม่ได้ตอบสนองในทันที แค่ลูบแก้มของตนเองเบาๆ



“ให้ตายเหอะ…” นักกีฬาหนุ่มฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย ก่อนจะเริ่มโอดครวญ “นายไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ฉันอยากจับนายกินทั้งเป็นขนาดไหน... โหดร้ายชะมัด”

จริงๆนายก็ไม่ควรเลือกทำอะไรแบบนี้ในห้องน้ำโรงเรียนแต่แรกแล้วนะ…



“มิสซิสนอร์ริสที่เลี้ยงแมวอยู่ข้างบ้านนายชอบซื้อคุกกี้จากที่โบสถ์….” ….ช่วยพูดถึงหญิงชราอย่างหวังดี และลูบหลังปลอบใจสองที

“...ขอบใจ” ถึงพูดแบบนั้นแต่วินเซนต์ก็ไม่ได้มีท่าทีกระตือรือล้นขึ้นแต่อย่างใด… และก็ยังไม่ยอมขยับตัว

“คราวหน้านะ….” แดริล

“นายเป็นคนแรกเลย ที่ฉันรอนานขนาดนี้” อันที่จริงมันก็ยังไม่กี่เดือนนะวินเซนต์… “พวกสาวเชียร์นี่เดทกันไม่กี่วันฉันก็ได้แล้ว”



คนฟังแสดงสีหน้าเหนื่อยใจ



“ที่คบนานขนาดนี้ด้วย ปกติสองเดือนเต็มที่ก็เลิกกันแล้ว” วินซ์

“เพราะพวกเธอทนนายไม่ไหวไงล่ะ…” แดริล

   “ใช่ ส่วนมากพวกเธอจะเลิกไปเอง ก็สะดวกฉันดี” วินซ์

   

   แดริลถอนหายใจ…



   ผู้ชายดีๆมีมากมาย ทำไมเขาถึงเลือกหมอนี่กันนะ



“แต่ฉันไม่ได้นอนกับสาวๆเลยนะหลายเดือนที่ผ่านมา” วินซ์

“อืม” แดริล

“ฉะนั้นนายต้องชดเชยให้ฉัน” วินซ์

“.....” แดริล   

“ทบต้นทบดอกแล้วน่าจะหลายรอบ” วินซ์

“ปล่อยฉันลงตรงป้ายรถบัสข้างหน้าได้เลย..” แดริล



วินเซนต์หัวเราะชอบใจ ยอมเงยหน้าจากพวงมาลัยเพื่อจูบคืน…



ในที่สุดรถคันใหญ่ก็แล่นออกจากลานจอด มุ่งไปตามถนนที่เป็นทางกลับบ้าน…



อย่างน้อยตอนนี้วินเซนต์ก็สงบลงแล้ว… แต่ดูท่าทางว่าวันข้างหน้าของแดริลเชนจะไม่ได้สงบเท่าไหร่เลย..
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 6 [30/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-11-2018 18:37:45
มันเป็นไปตามสังคมที่อยู่ใช่ไหมเรื่องกลั่นแกล้งกันเนี่ย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 6 [30/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-11-2018 19:49:21
ไม่ชอบการแกล้ง ทำร้ายคนอ่อนแอ คนที่ต่างจากตัวเองเลย
ใช้อำนาจ ใช้สิทธิ์เกินกว่าที่จัวเองมี
กฎหมู่เหนือกฎหมาย เหนือสิทธิส่วนบุคคลจริงๆ
มีทุกที่แม้ในประเทศทีึ่เจริญแล้วก็ตาม
 
แดริล จะทนโดนทบต้น ทบดอกไหวไหมนะ   :really2: :serius2: :z3:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 6 [30/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-12-2018 00:17:18
 :z1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 6 [30/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 03-12-2018 14:17:25
บทที่ 7 The Party (1/2)

เป็นอีกวันในฤดูหนาว





หลังจากเหตุการณ์คราวก่อนก็ไม่ได้เกิดเรื่องเลยเถิดขึ้นอีกจนถึงบัดนี้ เขายุ่งกับงานสภาและเตรียมสอบ ส่วนวินเซนต์ก็ยุ่งกับการซ้อมนักกีฬาและการแข่งขันเปิดฤดูกาล… ทั้งจังหวะ เวลา และสถานที่ไม่อำนวยแต่อย่างใด





ใบหน้าท่อนล่างฝังลงกับผ้าพันคอไหมพรมสีแดง ขณะที่เด็กหนุ่มขี่จักรยานต้านลมในช่วงต้นหนาวกลับบ้าน…





วันนี้วินเซนต์มีนัดกับพวกเพื่อนนักกีฬา ส่วนเขาก็มีการบ้านที่ต้องทำให้ได้คะแนน 100/100 จึงชิ่งหนีกลับบ้านมาก่อน





ดวงตาจ้องมองบานประตูสีน้ำตาล… รู้สึกไม่ได้ยินดีกับการกลับบ้านเสียเท่าใดนัก ตั้งแต่ที่แดริลรู้ตัวว่าตนเองเป็นเกย์ เขาก็รู้สึกห่างเหินกับทั้งพ่อและแม่มากกว่าเดิม มีเพียงพี่ชายที่ยังพอคุยกันได้บ้าง แต่ซีมัสเองก็…. ไม่ชอบเกย์





ความไม่ชอบของซีมัสนี่เรียกว่าอาจจะมีเหตุผลที่สุดในจำนวนสมาชิกที่บ้านสามคน นั่นเป็นเพราะเจ้าตัวโดนคุกคามในห้องล็อกเกอร์เปลี่ยนเสื้อที่โรงเรียน นับแต่นั้นมาหากมีอะไรที่มันดูเกย์นิดหน่อยหรือผู้ชายส่งสายตาให้ ชายหนุ่มก็จะชักสีหน้าแล้วถอยไปสองก้าว





แต่ยังไงซะพี่ชายคนนี้ก็สนิทกับเขาที่สุดแล้ว..





แดริลได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ กับตนเอง ขณะเปิดประตูเข้าบ้าน เห็นพ่อกับพี่ชายกำลังคุยอะไรท่าทางเคร่งเครียด

“ตัดสินใจแน่แล้วใช่ไหม? พ่อภูมิใจในตัวแกนะ”

“ครับ ผมจะไปอิรัก”

“ดี! เป็นลูกผู้ชายต้องรับใช้ชาติ! ”





แดริลเลิกคิ้ว พี่ชายเขาเรียนจบไฮสคูลแล้ว ล่าสุดที่คุยกันก็เห็นเจ้าตัวบอกว่าขอพักจากการเรียนก่อนสมัครเข้ามหาวิทยาลัยหนึ่งปีเพราะอยากพักกับท่องเที่ยวค้นหาตัวเอง แต่ที่กำลังคุยกันอยู่นี่มัน…





พี่บ้าไปแล้วเรอะ!!





แต่เขาก็ไม่ได้พูดแทรกอะไร ณ ตอนนั้น แค่เดินขึ้นไปนั่งรอในห้องนอนที่แสนจะรกของซีมัส





ชายหนุ่มร่างสูงก้าวเดินเข้ามาในห้อง เลิกคิ้วใส่น้องชายที่นั่งหน้าบูดอยู่บนเตียง





“พี่คิดอะไรของพี่น่ะ ซีมัส? ” ถามทั้งหน้านิ่วคิ้วขมวด

“นายได้ยินเหรอ” เจ้าของห้องถามเรียบๆ ไม่ได้แสดงท่าทีตกอกตกใจอะไร ดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจแล้ว

“คิดจะบอกกันเมื่อไหร่…? ”

“ก็… ฉันเพิ่งตัดสินใจได้เมื่อไม่กี่วันมานี่ตอนไปคุยกับพวกรีครูททหารเข้ากองทัพ…. ว่าจะบอกนายวันนี้นั่นแหละ” ...คิดอะไรแล้วทำเลยตามเคย

“นั่นสงครามนะพี่… พี่นอนอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ชอบ อยากหาเรื่องไปเสี่ยงตายเหรอ? ” แดริล

“ก็ไม่ได้จะไปเลยน่า ยังไงก็ต้องฝึกก่อนแหละ” ซีมัส

“แต่มันเสี่ยงมากเลยนะซีมัส” สงครามอิรักเพิ่งเริ่มเมื่อต้นปี เป็นสาเหตุต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์วันที่สิบเอ็ดกันยา ตึกเวิล์ดเทรดถล่มที่เขย่าโลกเมื่อสองปีที่แล้ว ต่อให้ไม่ได้รบกันดุเดือดขนาดสงครามโลก แต่ขึ้นชื่อว่าสงคราม ยังไงก็มีความเสี่ยง…







“ฉันไม่ได้หัวดีแบบนายนะแดริล ถ้าจะติดอย่างมากก็คงวิทยาลัยชุมชนแถวๆ นี้ จบมาก็ทำงานนั่งโต๊ะน่าเบื่อ… นายคิดว่าฉันจะมีความสุขกับชีวิตแบบนายจริงๆ เหรอ? ”





คนเป็นน้องชายนิ่งไป..





“กีฬาฉันก็ใช้ได้อยู่ แต่ว่าถ้าจะให้ไปลีกอาชีพก็ใช่ว่าทุกคนจะเข้าได้ ฉันน่ะทั้งไม่อยากจะทำงานนั่งโต๊ะ ไม่อยากเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ในร้านฟาสต์ฟู้ด แล้วนายคิดว่าฉันควรทำอะไรดีล่ะ? ” มือใหญ่ลูบลงบนเรือนผมสีดำ ขยี้เบาเหมือนจะปลอบใจ “อีกอย่าง เป็นทหารก็มีสวัสดิการหลายอย่าง มีงบให้เรียนอะไรก็ได้ถึงป.โทเชียวนะ งบเข้ามหาลัยฉันจะได้ให้นายไง นายจะได้เลือกไปที่ที่ อยากเรียนได้ ช่วงนี้ก็เรียนเผื่อฉันด้วยล่ะ”





“....พี่แน่ใจจริงๆ ใช่ไหม”

“อืม ฉันคิดมาดีแล้ว สำหรับฉันการฝึกเป็นทหารแล้ววิ่งถือปืนไปรบอีกทวีปเป็นชีวิตที่ฉันอยากจะใช้มากกว่านั่งอยู่หลังโต๊ะเรียนกับโต๊ะทำงาน”





แดริล เชน อับจนซึ่งคำพูด เขารู้จักพี่ชายตัวเองดี เมื่อซีมัสตัดสินใจไปแล้วก็เปลี่ยนยาก เด็กหนุ่มวัยสิบหกไม่เข้าใจ ว่าการออกไปรบราฆ่าฟันมันดีกว่าการอยู่ในห้องเรียนสบายๆ ยังไงกัน





“.....” แดริลนิ่งเงียบ

“กว่าจะได้ไปก็ต้องฝึกอีกหลายเดือน แล้วก็ไม่ได้ไปอยู่ถาวร จะมีการเวียนกลับมาเรื่อยๆ ฉันจะกลับบ้านมาเยี่ยมนายบ่อยๆ น่า”

“.........”

“ไม่มีการบ้านรึไง ไปทำการบ้านซะไป๊” พี่ชายจับน้องขยี้หัวให้ยุ่งทั้งที่รู้ดีว่าน้องไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับผมที่เซตไว้อย่างดีแล้วของตนเอง





เด็กหนุ่มทำหน้าบูดใส่ ลุกขึ้นเดินหนีกลับไปเข้าห้องของตนเอง ไม่อาจทำให้ใจสงบลงได้ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่ทำได้… นอกจากทำใจ





สองอาทิตย์หลังจากนั้น ซีมัสเข้าร่วมกองทัพ… และถูกส่งไปรบที่อิรักในปีต่อมา… แต่นั่นเป็นเรื่องราวที่จะถูกกล่าวถึงในภายหลัง…







หนึ่งอาทิตย์หลังจากพี่ชายตัวดีเข้าค่ายทหารไปแล้ว แดริล เชนก็ใช้ชีวิตช่วงไฮสคูลของเขาต่อไปตามปกติ ติดจะเหงาบ้างเพราะไม่มีคนที่ช่วยกันแบ่งรับแบ่งสู้กับคนในครอบครัวอีกแล้ว สุดท้ายพออาการหนักก็หนีไปหมกตัวอยู่กับนักกีฬาคนเก่งของโรงเรียนเสียแบบนั้น





บ้านที่มีพ่อที่ไม่เข้าใจ กับแม่ที่รักพระผู้เป็นเจ้ามากกว่าลูก เขาไม่ได้ถึงขั้นเกลียดมัน แต่บทสนทนาระหว่างมื้ออาหารเย็นก็มักจะทำให้รู้สึกอึดอัดใจ





คุณไม่อยากฟังว่าตัวเองสมควรไปตายหรือเป็นสิ่งผิดบาปทุกครั้งที่มีรายงานข่าวเรื่องการเดินขบวนของ LGBT หรอก… แม้พวกเขาจะไม่ได้ตั้งใจไล่ลูกชายตัวเองไปลงนรกเพราะไม่รู้... แต่แดริลก็ทนฟังไม่ไหวอยู่ดี





… ในช่วงนี้ขณะที่เด็กหนุ่มอยู่ที่โรงเรียน จะรู้สึกเหมือนโดนเดินตามแบบแปลกๆ .. และพอเหลียวหลังกลับไปมอง ก็เห็นร่างหนึ่งที่ค่อนไปทางอวบอ้วน ที่พยายามหลบหลังมุมกำแพงแต่ก็หลบไม่พ้นสายตาของแดริล…





หากจำไม่ผิดหมอนั่นคือโจเซฟ… เด็กเกรดเก้าที่ช่วยไว้เมื่อวันก่อน





พอเด็กคนนั้นเห็นว่าแดริลมองกลับ ก็รีบเดินหลบทันที ครั้นจะเดินตามไปถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม ไหล่กลับถูกรั้งด้วยมือหยาบ ดึงเขากลับไปจนร่างที่ผอมกว่าแทบล้มหงายหลัง





“ไปกินข้าว” คำพูดคล้ายคำสั่งแสนจะเอาแต่ใจ เป็นของใครไปไม่ได้ นอกจากวินเซนต์ ซัมเมอร์ ชายตัวสูงใหญ่ที่เดินไปที่ไหนก็เป็นจุดสนใจ ราวว่ามีพระอาทิตย์เทเลทับบี้ดวงใหญ่เปล่งแสงอยู่บนหัว





...หันไปอีกทีโจเซฟก็หายไปแล้ว





แดริลถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดใจเจ้าคนที่มาลากไปกินข้าว





“แข่งที่ชิคาโก้เป็นไงบ้าง? ” เมื่อวันก่อนพวกทีมอเมริกันฟุตบอลเพิ่งไปแข่งระดับรัฐ เด็กหนุ่มผู้ยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานสภานักเรียนจึงไม่ได้ตามไปดูเกมด้วย อันที่จริงเขาก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องไป ทีมเชียร์ก็ไม่ใช่ แต่เห็นแคทเล่าว่าวินเซนต์ทำคะแนนได้ดีมากทีเดียว แม้จะเล่าไปเบ้ปากไปก็ตาม...





เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างแม่ควีนบีกับราชาควอเตอร์แบค แต่เหมือนจู่ๆ ทั้งคู่จะไม่ถูกกันนัก เดินสวนกันระหว่างไปเข้าเรียนก็มีชักสีหน้าส่งสายตาให้กันเล็กน้อย...





พอแดริลถาม ทั้งคู่ก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่น จนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจว่าอย่าไปสนใจพวกมันเลย…





“ก็ดี เสียดายนายไม่ได้มาด้วย ตอนทัชดาวน์ฉันโคตรเท่เลย” วินซ์

“.....” แดริล

“ฉันอยากให้นายมาดูเวลาที่ฉันหล่อ” วินซ์

“......ที่พูดมาทั้งหมดนั่นไม่กระดากปากบ้างเหรอ” แดริล

“แต่มันเป็นความจริงนี่” วินซ์….. หน้าตาเฉย

“....เฮ้อ” คนฟังถอนหายใจเนือยๆ

“จะว่าไป… ถือว่าฉันเตือนด้วยความหวังดีนะ แดริล” ฟังแล้วเด็กหนุ่มผมดำก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ “อย่าไปใจดีกับคนประเภทนั้นมากไป เรื่องยุ่งยากมักจะตามมา”

“... นายหมายถึงอะไร” แดริลเลิกคิ้ว

“ไอ้อ้วนเมื่อครู่…. พวกคนที่สังคมไม่เหลียวแลน่ะ พอนายหยิบยื่นความใจดีให้นิดหน่อยพวกเขาก็เข้าใจผิดว่านั่นคือความรักแล้ว แถมจะตามติดนายอย่างกับปลิง” วินซ์

“.... แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใจร้ายด้วยหรอก” แดริล

“แค่อย่าไปยุ่ง เข้าใจไหม? ” วินซ์





แดริลไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้เถียง เขาเร่งฝีเท้าเดินนำไปก่อน ยื่นมือออกไปเปิดประตูโรงอาหาร... ภายในเป็นห้องขนาดใหญ่ที่วางโต๊ะเรียงรายมากมาย ซึ่งแต่ละโต๊ะก็ถูกจับจองพื้นที่โดยแต่ละกลุ่ม ทั้งกลุ่มกอธ กลุ่มสาวเชียร์มีนเกิร์ล กลุ่มเด็กบ้าเรียน พวกเนิร์ดคอม สภานักเรียนและนักเรียนดีเด่น พวกสายร็อคขี้ยา สุดท้ายก็เดินมาถึงโต๊ะของพวกนักกีฬาชาย





“นายเห็นแคทวันนี้รึเปล่า สเวตเตอร์คอลึกนั่น ฮอทเป็นบ้า” บทสนทนาก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเรื่องผู้หญิง คุยไปคุยมาก็ใกล้จะกลายเป็นล่วงละเมิดทางเพศอยู่แล้ว

“ช่วงนี้ฉันว่าแอมเบอร์ก้นใหญ่ขึ้นนะ”

“ดูขานั่นสิแม่เจ้าโว้ย”





อันที่จริงการมานั่งอยู่ในโต๊ะนักกีฬาชายล้วน มันก็หนีไม่พ้นบทสนทนาแบบนี้อยู่แล้ว แดริลเพียงทำเป็นฟังผ่านๆ ไปไม่เก็บมาใส่ใจ แต่ก็ไม่ได้ร่วมด้วย



“นี่ วินเซนต์ ปาร์ตี้อาทิตย์หน้าจัดบ้านนายใช่ไหม นายเล็งสาวคนไหนไว้น่ะ” เป็นเจฟฟ์เจ้าเก่าที่ถามขึ้นมา

“ไม่ได้เล็งใครไว้ทั้งนั้นล่ะ” พูดพลางหยิบแซนด์วิชชิ้นโตออกจากถุงกระดาษ

“หา? เดอะคิงไม่สนสาว เป็นไปได้ไง นายเลิกเก็บแต้มแล้วเหรอ” นักกีฬาอีกคนทักขึ้นมา เกิดเสียงฮือฮาขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“ช่วงนี้คบกับสาวมหาลัยฯ เธอฮอทจนสาวไฮสคูลพวกนั้นจืดไปเลย” พูดแล้วดวงตาสีเขียวก็ลอบเหลือบมองไปทางแดริล ทั้งคู่สบตากันชั่วขณะ เป็นแดริลที่หลุบตาลงก่อน ใบหน้าขึ้นสีน้อยๆ ทำให้มุมปากของเด็กหนุ่มอีกคนกระตุกขึ้นอย่างได้ใจ “เรื่องอย่างว่าก็สุดยอดไปเลย”

“โห นายต้องแบ่งปันแล้วล่ะเพื่อน” ไอ้เจฟฟ์คนเดิมกอดคอร่างที่สูงใหญ่กว่าเพื่อนซึ่งกำลังกัดแซนด์วิชมีทโลฟ

“เซ็กซี่สุดๆ ” วินซ์ยังคงมองปฏิกิริยาของ’สาวมหาลัยฯ ’ที่ว่า “โดยเฉพาะตอนคราง เร้าอารมณ์มาก”





แดริลไม่รู้ควรเอาหัวไปมุดไว้ที่ไหนให้ไม่ดูมีพิรุธเกินไป…





“มีภาพไหมวะ อยากดู” แซมที่เป็นผู้เล่นแนวตั้งรับของทีมถามขึ้นมา

“ไม่มี แต่เป็นสาวผมดำ ตาฟ้า อกไม่ใหญ่เท่าไหร่…แต่ขาดี ก้นก็ดี” วินซ์ตวัดลิ้นเลียซอสมายองเนสที่ติดมุมปาก ดวงตาสีเขียวฉายแววขบขันชัดเจน

“....” เด็กหนุ่มผมดำค่อยๆ กินต่อไป วางท่าเหมือนไม่ค่อยสนใจ

“แดริล นายไม่สนใจเรื่องนี้บ้างรึไง หือ” เจฟฟ์ที่เห็นคนไม่หือไม่อือปรี่มากอดคอ นิ้วชี้จิ้มอกเขาจึ๊กๆ

“แคทไม่ชอบให้ฉันคุยเรื่องพวกนี้กับพวกนายเท่าไหร่” ตอบทั้งยิ้มสุภาพ… “นายอย่าหาเรื่องให้ฉันโดนข่วนเลยดีกว่านะ”

...ซึ่งทุกคนในที่นี้รู้ถึงความเฟียร์ซของแคทดี และก็รู้ว่าคนที่เดทสาวที่สวยที่สุดในโรงเรียนจะไม่สนใจคุยเรื่องพวกนี้ก็ไม่ค่อยแปลก ก็เลยยอมปล่อยเขาไปแบบง่ายๆ





แดริลแทบจะถอนหายใจโล่งอก แล้วก็แทบสำลักน้ำเมื่อ…





“ขอรายละเอียดเยอะกว่านี้หน่อยดิ” ไอ้เจฟฟ์





….พวกนายจะรู้ไปทำไม (วะ)





“ก็ล่าสุดทำกันในห้องน้ำ…”



ทุกคนตั้งใจฟังจนแดริลอยากถามว่าเรื่องเรียนพวกนายตั้งใจกันแบบนี้บ้างไหม…





“หล่อนแทบยืนไม่ไหว เรียกชื่อฉันซ้ำๆ แถมความรู้สึกไวมาก…”





ฟังถึงตรงนี้คนฟังก็ไม่อยากฟังแล้ว หาทางหนีเอาตัวรอด แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีตัวช่วยมากนัก ลุกไปตอนนี้ก็ประหลาด จะขอตัวไปเข้าห้องน้ำขัดมู้ดของพวกนั้นก็ดูจะประหลาดอีกเหมือนกัน…





...แล้วอยู่ๆ มือถือNokia 3310 (โปรดเข้าใจว่าเรายังอยู่ในปี 2003 ขึ้น 2004…) ของแดริลก็สั่นน้อยๆ เขารู้สึกดีใจมาก รู้สึกเหมือนมีคนโยนเชือกลงมาในหลุมลึก ราวพระเยซูเจ้ามาโปรด ยังไม่ทันได้อ่านว่าใครส่งข้อความมาก็พูดตัดบทมันทันที

“แคทเรียกให้ฉันไปหา ไปก่อนล่ะ”





พอดูดีๆ มันคือข้อความจากแคทเธอรีนจริงๆ แต่ก็ไม่ได้เรียกให้ไปหาแค่ถามว่าเย็นนี้ว่างไปสอนการบ้านให้ไหม… เด็กหนุ่มแทบน้ำตาไหล ในที่สุดก็หลุดพ้นจากความกระอักกระอ่วนตรงนี้แล้ว

ฉันรักเธอ แคทเธอรีน นางฟ้าของฉัน!



รีบยัดขนมปังที่เหลือเข้าปาก ลุกขึ้นเตรียมเผ่นอย่างว่องไว





“เดี๋ยวก่อน แดริล” เสียงที่ติดจะทุ้มต่ำกว่าเสียงคนอื่นเป็นเสียงที่คุ้นเคยดี พอได้ยินแล้วขาที่กำลังก้าวหนีถึงกับชะงัก หันหลังกลับมามอง ก็เห็นว่าผู้เรียกกำลังยิ้ม “ปาร์ตี้ศุกร์นี้ จัดบ้านฉัน ฉลองที่ทีมเราชนะ นายมา แล้วอย่าลืมไปชวนแคทมาด้วย”





… นั่นคือการออกคำสั่งในแบบของวินเซนต์... สรุปง่ายๆ คือเขาต้องไป ส่วนแคทจะชวนมาด้วยก็ได้





ก็อยากจะปฏิเสธ… แต่แดริลไม่ชอบรับมือกับผู้ชายตัวโตที่อารมณ์ไม่ดี ซึ่งพอโกรธแล้วก็จะชอบตัวงอนเป็นเด็กสิบขวบ… โดยเฉพาะเมื่อผู้ชายตัวโตคนนั้นคือวินเซนต์ ที่สมองมีเรื่องสัปดนเยอะกว่าเด็กสิบขวบอย่างแน่นอน…





“... รู้แล้ว จะลองชวนดูนะ”





วินเซนต์โบกมือเป็นเชิงลา ก่อนจะหันไปคุยกับแก๊งเพื่อนทีมอเมริกันฟุตบอลต่ออย่างออกรส สร้างเสียงฮือฮาเป็นระยะ…





คำสุดท้ายที่ได้ยินก่อนเดินห่างออกมาคือ ‘ท่ายืน...ใต้ฝักบัว’





…...ไอ้คนสัปดน!!





คิดแล้วก็ยิ่งก้าวยาวๆ เร่งฝีเท้าหนีไปกบดานในห้องสภานักเรียน แล้วก็เจอเพื่อนลีที่ยังคงนั่งเฝ้าห้องไม่ไปไหน….





ใจคอนายจะใช้ชีวิตอยู่ในนี้ไม่ได้นะลี...

หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 6 [30/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 03-12-2018 14:18:11
(2/2)

“หนีอะไรมาน่ะแดริล? ” เด็กหนุ่มชาวจีนถาม ขณะจัดกองเอกสารเข้าแฟ้มอย่างใจเย็น เห็นเพื่อนเดินเข้ามาก็ขยับ

“ไม่ได้หนีอะไรทั้งนั้นล่ะ” ตอบแล้วก็นั่งลง คว้ากระดาษประกาศเรื่องงานเต้นรำฤดูหนาวมาอ่านทวนตรวจแกรมม่าสักหน่อย

“....แต่ท่าทางเหมือนหนีมานะ” ไม่ต้องพูดออกมาสักเรื่องจะตายไหมไอ้จีน... “แคทเธอรีน โค้ชวิทเทคเกอร์ หรือพวกนักกีฬาล่ะ”

“ช่างมันเถอะน่า.. ปาร์ตี้ศุกร์นี้นายไปไหมน่ะ? ” ถามจบลีก็เลิกคิ้ว ลูบคางน้อยๆ

“ก็คิดจะไปอยู่… นายถามแบบนี้แปลว่านายไปสินะ? ” ...เดาถูกเผง

“ไป” แดริล

“ถึงจะไม่ได้ชอบไปแต่บางงานก็จำเป็นต้องไปเพื่อรักษาสถานะในสังคมน่ะนะ… ไม่งั้นก็จะกลายเป็นบุคคลผู้ถูกลืม ไม่ก็พวกที่โดนแกล้ง” ลีพูดหน้าตาย เสียงราบเรียบ… ตามประสามัน “...ฉันก็คงรีบไปรีบกลับ”

“อืม เหมือนกัน” แดริลตั้งใจไว้แบบนั้น…





ไม่นานนักกริ่งก็ดัง บ่งบอกว่าหมดพักเที่ยง ทั้งคู่ต่างเก็บข้าวของใส่กระเป๋าออกจากห้องสภา มุ่งหน้าไปคลาส AP Microeconomics ที่ลงเรียนไว้ด้วยกัน





อันที่จริงในเรื่องผลการเรียน แดริลกับลีแข่งกันมาตลอด แย่งที่หนึ่งกับที่สอง ...ซึ่งส่วนมากลีจะเป็นผู้เฉือนชนะไปไม่กี่คะแนน





เมื่ออาจารย์มาถึง คลาสเรียนก็เริ่มต้นขึ้นด้วยบรรยากาศเดิมๆ … น่าหลับ

คลาส AP เป็นคลาสที่เรียนกันอย่างเข้มข้นเนื่องจากสามารถไปสอบแล้วโอนถ่ายไปเป็นเครดิตในมหาวิทยาลัยได้ เนื้อหาของมันจึงยากกว่าคลาสปกติ





ส่วนมากคนที่ต้องการเข้ามหาวิทยาลัยระดับไอวี่ลีกก็มักจะลงคอร์สAPกันทั้งนั้น ซึ่งจะมีให้เลือกลงตั้งแต่วิชาภาษา วิทยาศาสตร์ และสังคม เด็กหนุ่มจะเน้นหนักทางสังคม เพราะเขาต้องการเรียนต่อไปทางสายธุรกิจ ส่วนลีก็ดูจะลงหนักทุกทาง… จนบางทีก็นึกสงสัยว่าหัวสมองของเพื่อนคนนี้ทำด้วยอะไร วันๆ นายนอนพอไหม….





แถมการวางตัวในสังคมก็ทำได้แบบกลมกลืน ไม่ได้ขยันเข้าสังคมแต่ก็ไม่ได้หายหรือไปหลบในซอกหลืบ อยู่ทั้งกับกลุ่มพวกเด็กเอเชียและกลุ่มนักเรียนตัวอย่าง ระวังตัวเป็นอย่างดีจนไม่มีใครสนใจจะมาแกล้ง ราวกับว่าทุกอย่างได้วางแผนมาอย่างดิบดีแล้ว





อันที่จริงถ้าวินซ์เป็นราชา ดาร์กลอร์ดบอสลับตัวจริงอาจจะเป็นไอ้คุณลีก็ได้...





ในเย็นวันนั้น





“ฉันไม่อยากไปบ้านหมอนั่น” แคทเธอรีนเพื่อนรักเบ้ปากเป็นรูปตัว U คว่ำ ชักสีหน้าประหนึ่งขยะแขยงใส่เพื่อนที่มาชวนไปปาร์ตี้ “ถ้าปาร์ตี้ของคนอื่นก็น่าไป แต่ปาร์ตี้ฉลองชัยชนะของวินเซนต์เนี่ย อี๋”





ไม่พูดเปล่า ลูบแขนทำท่าขนลุกให้ดูอีกต่างหาก





“....ระหว่างเธอกับวินเซนต์ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับเขามากเลยนี่” แดริลหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงของเพื่อนสาว ที่กำลังนั่งตะไบเล็บอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่บนเตียง





“ก็ไม่ได้เกิดอะไร… แค่ความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องบางเรื่อง” เด็กสาวเป่าเล็บฟู่ มองรูปทรงที่แสนจะเพอร์เฟกต์ “เอาเป็นว่าทุกวันนี้ทักตามมารยาทฉันก็ยังขี้เกียจจะทักเลย ที่รัก เล็บฉันดูเป็นไงคะ”



ไม่ว่าเปล่าส่งมือมาให้ดูด้วย





“....กำลังดีแล้ว” แถมเจ้าตัวยังตั้งอกตั้งใจดูให้อีกต่างหาก…

“ขอบคุณค่ะ รักนะฮันนี่” คำพูดสุดท้ายเล่นเอาเขากลอกตา แม่เลสเบี้ยนนี่… “แต่ฉันก็บ่นไปอย่างนั้น ปาร์ตี้ฉลองชัยชนะทีมฟุตบอล ไม่มีควีนบีแบบฉันมันคงประหลาดใช่ไหมล่ะ”

“อืม… ประหลาด”

“และทั้งฉันและเจ้าคนน่ารังเกียจนั่น ก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่าพวกเราไม่ถูกกันด้วย มันจะยุ่งยาก” แคทเธอรีนวางที่ตะไบเล็บลงข้างๆ เริ่มหยิบขวดยาทาเล็บสีฮอทพิงค์มาเทียบกับนิ้วตัวเอง “ทูนหัวคะ สีนี้เป็นไง”





คนถูกถามก็ดูให้อย่างจริงจัง…





“เธอไม่ได้ทาฮอทพิงค์มาสองเดือนแล้ว ก็ดีนะ” ..จำได้อีกว่าเพื่อนไม่ได้ทาสีนี้มานานเท่าไหร่แล้ว

“เลิฟค่ะ”





แล้วก็เปิดฝาขวดบรรจงทาเล็บอย่างระมัดระวัง...





“ก็จริง… หากทุกคนรู้ว่าเธอกับวินซ์กำลังเล่นสงครามเย็นกันอยู่…. ก็… น่าจะวุ่นจริงๆ ”

“ใช่ไหมล่ะ ไม่มีกัปตันเชียร์ลีดเดอร์ที่ไหนไปตีกับควอเตอร์แบคหรอกนะ ปกติเขาต้องได้กันต่างหาก” เล็บนิ้วชี้กลายเป็นสีชมพูสดแล้วครึ่งหนึ่ง…

“ใช่ แต่เธอดันเป็นเลสเบี้ยน” แดริล

“แล้วควอเตอร์แบคก็แย่งแฟนหนุ่มของฉันไปด้วย” แคท

“....” แดริล

“ใจร้ายที่สุด คนบ้า คนทรยศ” พูดตัดพ้อทั้งๆ ที่ทาเล็บมันอยู่นั่นล่ะ…

“ให้ฉันโทรเรียกแอชลีย์มาไหม” หรี่ตาถาม…

“เลิกแซวแล้วก็ได้…” แคทเป่านิ้วฟู่ให้สีแห้ง





“ถึงเธอจะไม่ชอบเขาขนาดไหน แต่รู้ใช่ไหมว่าพรอมคิงกับพรอมควีนต้องเต้นรำด้วยกันน่ะ… ขึ้นซีเนียร์แล้วไอ้สองตำแหน่งนี้ก็ไม่พ้นพวกเธอหรอก” แดริลนั่งมองเพื่อนสาวค่อยๆ บรรจงทาเล็บราวว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในโลกต่อไป

“ใช่ ฉันเลยว่าจะใส่กระโปรงยาวกับส้นสูง แล้วเหยียบเท้ามันแรงๆ ”

“.........”

แคทเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวาน

“อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะคะที่รัก แต่ฉันว่ารสนิยมเรื่องผู้ชายของเธอน่ะมันห่วยมากเลย แค่ไปนอนด้วยสักที-สองทียังพอว่า แต่คบเป็นแฟนเนี่ยนะ แดริล…ให้เธอไปได้กับลีฉันยังสบายใจกว่านี้เลย”





พอหล่อนพูดประโยคให้ไปได้กับลี ขนแขนของเด็กหนุ่มถึงกับพร้อมใจกันลุกเกรียวอย่างนึกรังเกียจ ไม่ใช่ว่ามันหน้าตาไม่ดี แต่กับเพื่อนลี คิดยังไงก็เป็นไปไม่ได้...





“เอาเป็นว่าปาร์ตี้ฉันไปแค่พอให้คนเห็นหน้า แต่คงอยู่ไม่นาน” เด็กสาวยื่นคำขาด ทาเล็บครบมือซ้ายทั้งห้านิ้วแล้ว ส่วนอีกมือกลับยื่นมาให้เพื่อนรักแทน ท่าทางประหนึ่งจะบอกว่า ทาให้ที





คนที่เป็นแขกยกยิ้มขำ รับมือข้างนั้นมาประคองไว้เบาๆ และเริ่มบรรจงทาสีฮอทพิงค์ลงไปบนเล็บที่ไม่ได้ไว้ยาวจนเกินไปของแคทเธอรีน (เพราะเธอเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ไว้ยาวมากไม่ได้-) ไม่ได้นึกรังเกียจหรือรำคาญที่ต้องทำอะไรแบบนี้เลย





“นี่… แดริล กับวินเซนต์น่ะ เธอจริงจังขนาดไหน” ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตมองเล็บจองตัวเองที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีไปทีละนิ้วอย่างเพลิดเพลิน

“... ก็ยังไม่ได้คิด ก็เพิ่งคบกันได้ไม่เท่าไหร่เอง จะคิดทำไมกัน” แดริล

“แปลว่าไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ใช่ไหม? ” แคท

“ใครเขาจริงจังกับความสัมพันธ์ไฮสคูลกันล่ะ” แดริล

“ฉันกับแอชลีย์ไงยะ” แคท

“... ให้ตอบตามตรงฉันก็ไม่รู้ มันไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายรีบคิดกันนะแคท อนาคตไกลๆ อะไรแบบนั้น” แดริล

“อือฮึ… แบบที่พวกผู้ชายชอบสติแตกเวลาสาวๆ เรียกร้องหาความจริงจังกับต้องการการผูกมัดใช่ไหม” แคท

“ก็ทำนองนั้นละมั้ง…” แดริล

“แต่เธอน่ะใจอ่อน ฉันห่วงนะ” แคทพูดจบ เด็กหนุ่มก็หัวเราะเบาๆ

“ไม่เป็นไรหรอกน่า” แดริล

“ไว้ถึงเวลาเข้าจริงๆ อย่ามาโอดครวญให้ฉันฟังก็แล้วกัน” นิ้วมือทั้งห้าเป็นสีชมพูฮอทพิงค์ทิ่มแทงตาเรียบร้อยแล้วเขาก็ปล่อยให้เด็กสาวดึงมือกลับไปพินิจดูความเรียบร้อย







เย็นวันนั้นแดริลอยู่กินข้าวเย็นกับครอบครัวบราวน์ ที่คิดมาตลอดว่าเขาเป็นแฟนหนุ่มของลูกสาวสุดสวย… ผู้เป็นแขกหัวเราะและพูดคุยอย่างมีมารยาท กินอิ่มแล้วไม่นานก็ขอตัวลากลับบ้านไป..





วันเวลาผ่านไปแบบปกติสุขดี จนไม่นานก็ถึงวันศุกร์...





ปกติแดริลก็มักโผล่ไปปาร์ตี้ที่บ้านคนนั้นคนนี้บ้าง เขาเองก็ถือนโยบายเดียวกับลี ต้องไปให้มีตัวตน ไม่อย่างนั้นก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ ติดแต่เด็กหนุ่มจะโผล่หน้าไปเยอะกว่าเพื่อนชาวจีนอยู่หน่อย…





วันนั้นเด็กหนุ่มรีบทำงานกับการบ้านให้เสร็จเพื่อจะได้กลับบ้านเร็ว เนื่องจากต้องไปช่วยเตรียมงาน (ที่ก็ไม่ค่อยเต็มใจจะช่วยนัก…) ที่บ้านวินซ์





พอไปถึงบ้านของวินเซนต์ก็พบว่าพวกนักกีฬามากันเกือบครบแม้ว่างานยังไม่เริ่ม... โผล่ไปมองในห้องครัวมีทั้งถังใส่เบียร์ เครื่องดื่มในโถแก้วขนาดใหญ่ที่ผสมเหล้าอย่างแน่นอน พวกขนมขบเคี้ยวแยกใส่จาน ด้านหลังบ้านมีเตาย่างบาร์บีคิวให้ปิ้งเนื้อ





อันที่จริงผู้ชายส่วนมากมางานพวกนี้ก็หวังเหล่สาวกันทั้งนั้น… ยกเว้นคนแบบเขากับลีที่โผล่มาให้ชาวบ้านเห็นหน้าจะได้ไม่รู้สึกว่าแปลกแยกเกินไปนั่นล่ะ





และการที่จะได้เป็นประธานนักเรียนกับรองประธานนักเรียน ก็จำเป็นจะต้องโผล่มาตามงานอีเวนท์อะไรแบบนี้ให้คนรู้สึกสนิทสนมด้วย กิน ดื่ม หัวเราะ ทำตัวให้คนรู้สึกว่า ‘หมอนี่มันก็เจ๋งดีนะ’ ซึ่งการพยายามสร้างฐานเสียงนี่ไม่ง่ายเลย





“เฮ้ แดริล นายช่วยยกจานพวกนี้ไปวางบนโต๊ะข้างนอกหน่อยสิ” เจฟฟ์ที่เห็นเขาเดินเข้ามาร้องทัก ไม่ว่าเปล่า ยัดจานที่ใส่โดริโทสจนพูนใส่มือแล้วเริ่มใช้งาน….





“เฮ้ แดริล ช่วยผสมเหล้านี่ด้วย”





“เฮ้ แดริล สั่งพิซซ่าให้ที”





“เฮ้ แดริล นายมาช่วยกันยกลังนี่หน่อย”





โดนเรียกไปซ้ายทีขวาทีจนวุ่นวายไปหมด เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าปาร์ตี้นี่มันมีอะไรน่าจัดนัก เตรียมงานก็ยุ่งยาก เก็บกวาดก็เสียเวลา แต่สุดท้ายแล้วมันก็คือการอวดสถานะอย่างหนึ่ง





การจะจัดปาร์ตี้ได้ต้องมีบ้านที่ใหญ่พอ





...และการมีบ้านที่ใหญ่พอก็หมายความว่าคุณรวย…





มันก็คือการแสดงสถานะแบบไม่น่าเกลียดอย่างหนึ่ง ที่แดริลคงจะไม่ทำ แค่คิดถึงหน้าพ่อตอนเห็นสภาพบ้านหลังจัดปาร์ตี้ก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาแล้ว..





“เหนื่อยหน่อยนะ” ราวเกือบหกโมงเด็กหนุ่มถึงได้เห็นหน้าวินเซนต์ กระป๋องเบียร์เย็นเฉียบถูกเอาแนบหน้ากะทันหันจนร่างที่เล็กกว่าสะดุ้ง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเจ้าของบ้านที่ดูจะสภาพดีกว่าเขาเยอะ





แดริลรับกระป๋องเบียร์มาถือ แต่ยังไม่เปิด





“จะดื่มตั้งแต่งานยังไม่เริ่มเดี๋ยวก็ได้เมากันพอดี”





อันที่จริงมาปาร์ตี้แบบนี้ต้องระวังตัว… คนเมาจนชีวิตพังมีให้เห็นเยอะแยะ





เช่นเมาจนโดนแกล้งเขียนหน้า หนักหน่อยก็เขียนบนตัว ถ่ายรูปประจาน ขนาดเป็นคนที่สถานะในสังคมดีๆ ก็ร่วงลงสู่จุดล่างสุดของห่วงโซ่อาหารได้เหมือนกัน… ให้พูดก็พูด สาวที่เมาไม่ได้สติ กรณีโดนข่มขืนในปาร์ตี้ประเภทนี้ยังเคยมีเลย แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในรุ่นของซีมัส...





เขาอดไม่ได้ที่จะคิดวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของทุกสิ่งทุกอย่าง หากไม่อยากเป็นตัวตลกของชั้นโดยไม่รู้ตัว ก็จงอย่าเมาเละเทะจนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น… และที่ผ่านมาแดริลก็ระวังมาตลอด





“ชิลน่า เมาก็ไม่เห็นเป็นไร นี่บ้านฉัน ไม่มีอะไรหรอก” พูดจบก็ดึงกระป๋องเบียร์มาเปิดให้แล้วยัดกลับเข้ามือ จากนั้นก็หยิบอีกกระป๋องมาเปิดให้ตัวเอง บังคับจับชนแก้ว (กระป๋อง) “เชียร์ส”





ขนาดนี้แล้วก็ดูไม่ค่อยมีทางเลือก ยอมดื่มเบียร์รสขมตั้งแต่งานยังไม่เริ่ม… เอาเถอะ วันนี้มาฉลองให้วินซ์ ก็ตามใจเขาหน่อยจะเป็นไร อย่างแย่ก็แค่ดื่มระหว่างงานให้น้อยลง





….แต่สิ่งที่แดริล เชน ไม่ได้สังเกตเห็น คือดวงตาสีเขียวที่ฉายประกายเจ้าเล่ห์อยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะปรับกลับมาเป็นปกติในชั่วเสี้ยววินาที



และสิ่งที่เขาในตอนนั้นไม่ได้ล่วงรู้เลยก็คือ…





… นายพลาดแล้ว
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 7 [03/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 03-12-2018 14:32:51
ดูแล้วความรักของทั้งคู่ก็ไม่ได้แย่นี่นา
มันต้องมีปมที่ทำให้เกินเหตุซินะ
เชียร์ให้รักรีเทิร์นตอนกลับมาเจอกันอีกครั้งเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 7 [03/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-12-2018 14:38:39
แดริล........ โดนวินซ์มอมแล้ว  :z3: :เฮ้อ: :serius2:
ว่าแต่วินซ์  น่าจะถึงขั้นสุดท้ายกับแดริลสินะ  o18

วินซ์  แดริล   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 7 [03/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-12-2018 15:28:48
กังวลหน่อยๆกลัวจะเป็นแผนแกล้งแดริล
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 7 [03/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-12-2018 16:24:25
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 7 [03/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-12-2018 20:38:34
 :z1:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 7 [03/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 05-12-2018 13:46:23
เรื่องนี้ก็สนุก เราตามไปอ่านที่เว็บแล้ว อ่านรวดเดียว10ตอน ตอนนี้กำลังตามอ่านให้ทันอยู่
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 7 [03/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 06-12-2018 20:11:30
บทที่8 (1/2)



   ไม่นานนักประมาณหกโมงครึ่งแคทก็มาถึง…. ยังคงแต่งตัวเป๊ะตั้งแต่หัวจรดเท้าตามประสาเจ้าหล่อน...



   “วันนี้แอชลีย์ป่วย ฉันอยู่นานไม่ได้” มาถึงไม่ทันไรก็กระซิบกระซาบกับ ‘แฟนหนุ่ม’ ในนามของเจ้าหล่อนทันที



   “เธอเป็นอะไรมากไหม?”



   แคทเธอรีนส่ายหน้าเล็กน้อย



   “แค่ไข้หวัดธรรมดา… แต่ฉันจะไปค้างบ้านเธอ”



   “อืม ไปเถอะ” เด็กหนุ่มลูบผมสีบรูเนตต์ของเพื่อนเบาๆเป็นการแสดงละครถึงความใกล้ชิด จังหวะนั้นเองจู่ๆแคทก็กอดซบเข้ามาเต็มรักแบบไม่ให้สัญญาณอะไรล่วงหน้าเลย

   “ทำอะไรของเธอ?” เขากระซิบถาม ไม่ได้ผลักเธอออก แคทเองก็ไม่ได้ตอบ แต่มองตรงไปที่กลางห้อง พอแดริลเงยหน้าขึ้นมองตามสายตาของหล่อนไป ก็เห็นวินเซนต์…. ที่กำลังยิ้มมองมาทางนี้นิ่งๆแบบที่ดูแล้วชวนให้ขนลุก… แคทเธอรีนเองก็ส่งสายตาท้าทายคืนไป

   “แคท….” แดริลเตือน

   “เพื่อนกับผู้ชาย อะไรดีกว่ายะ” หล่อนกระซิบตอบ



……. ช่วยอย่าทำให้ฉันต้องลำบากใจได้ไหม


สุดท้ายก็ยกมือขึ้นลูบหลังเพื่อนสาวแปะๆแบบเสียไม่ได้…. รู้ตัวอีกทีก็มีเสียงโห่แซววี้ดวิ้วมาจากกลุ่มผู้ชายที่อยู่อีกมุมห้อง วินเซนต์ยังคงมองยิ้มๆด้วยสีหน้าแบบเดิม แม่ตัวดีแกล้งทำเป็นเขินแล้วซุกหน้าเข้ากับอกของแฟนหนุ่ม



มารยา



เพื่อนอดกลอกตาไม่ได้จริงๆ…



“ที่รัก... วันนี้คงอยู่ด้วยนานไม่ได้ แต่ห้ามนอกใจนะคะ” แคท

   ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะแม่เลสเบี้ยน...

   

“ครับ ครับ... ใครจะไปกล้านอกใจ” มุมปากกระตุกขึ้นคลี่ยิ้มอ่อนโยนอยางยากลำบากเป็นพิเศษ ไอ้ละครนี่เล่นเป็นแฟนกันนี่เล่นกันมาหลายปีจนชินกับการแสดงไปแล้ว แต่สายตาของใครบางคนต่างหากที่ทำให้กระอักกระอ่วนใจ
   
   แดริลได้ยินใครก็ไม่รู้ที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนพูดขึ้นมาว่า ‘ไอ้คนน่าอิจฉาเอ๊ย’



ไม่… นายน่ะไม่รู้อะไร… ไม่ได้น่าอิจฉาเลยแม้แต่น้อย… โดยเฉพาะเมื่อแฟนตัวจริงของฉันเป็นผู้ชายสูงเกินหกฟุตที่กำลังอารมณ์บูดมากๆอยู่ตอนนี้…



“พอได้แล้วน่า” เด็กหนุ่มกระซิบบอกเพื่อนที่ยังคงทำเป็นคลอเคลียเขา

“เชอะ ไม่สนุกเลย” แม่ตัวดีกระซิบตอบ ยอมผละออก แล้วก็สะบัดหน้าเดินหนีไปหาอะไรกิน



“สุดยอดเลยเพื่อน... ฉันยังสงสัยอยู่จนทุกวันนี้ว่านายไปจีบเธอยังไงถึงได้สาวฮอทแบบนั้นมาเป็นแฟน” จู่ๆไอ้คุณลีหน้าตายก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ มาถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มือถือแก้วน้ำพันช์ผสมเหล้าจิบอย่างสบายอารมณ์



เป็นเกย์สิพวก… แล้วนายก็จะได้สาวฮอทเป็นแฟนเอง



“ใช้ความจริงใจเข้าสู้ ก็จะเอาชนะได้ทุกอุปสรรค” พูดให้มันดูหล่อไปอย่างนั้นล่ะ…

“น้ำเน่าดี… เพิ่งรู้ว่าสาวฮอทเขาชอบอะไรแบบนี้” เสียมารยาทน่ะไอ้จีน “แต่ฉันว่าวินเซนต์ดูไม่แฮปปี้เลย เมื่อกี๊จ้องพวกนายเขม็ง คงไม่พอใจที่สาวฮอทที่สุดเลือกเดทนายไม่ใช่เขา นายนี่ก็มีของนะเพื่อน แย่งสาวกับควอเตอร์แบคทีมโรงเรียนได้เนี่ย” ลีกระซิบ…



“อืม ปล่อยเขาไปเถอะ ยังไงซะแคทก็เลือกฉันแล้ว” แดริล

“แต่ระวังโดนแย่งนา…” ลี

“ฉันเชื่อมั่นในความรักของพวกเรา” พูดแล้วก็เก๊กหล่อสุดชีวิต

“....น้ำเน่า” ก็ยัยแคทสั่งให้ตอบแบบนี้นี่หว่า…




"ฉันไปหาพวกเพื่อนแกงค์เอเชียนฉันก่อนล่ะ นายก็ระวังตัวเข้าล่ะ ว่าที่พรอมคิงมองนายหลายทีแล้ว" ลีพูดแล้วก็ตบบ่าแดริลสองที



     "อืม ไปเถอะ ฉันไม่เป็นไรหรอก" โบกมือไล่ให้มันรีบๆไป... จากนั้นนินจาลีก็กลืนหายไปกับผู้คนในห้อง



คนที่มาถึงเรียกทักแดริลกันหลายคน เขาก็ยิ้มตอบและทักกลับอย่างสุภาพ เพลงที่เล่นออกจากลำโพงแสนแพงทำให้คุยกับใครไม่ค่อยสะดวกนัก



เวลาเริ่มผ่านไปจนดึก เด็กหนุ่มเริ่มจะล้า เขาไม่เคยหาความบันเทิงจากปาร์ตี้ประเภทนี้ได้....



แดริลเน้นจิบน้ำผลไม้กับกินขนม ระหว่างงานเขาก็จิบพันช์ผสมเหล้าไปอีกสองแก้ว และขณะเดินหาอะไรกินอยู่ในห้องครัว ก็มีคนมาสะกิดเรียก... เป็นเจฟฟ์



     "เฮ้ แดริล วินซ์ให้มาตามนายแน่ะ" เจฟฟ์

     "เรื่องอะไร?" ถามทั้งที่มือยังถือพิซซ่า...

     "เราจะเล่นไพ่กัน แล้วขาดขา" เจฟฟ์พูดจบก็กอดคอเด็กหนุ่มที่เตี้ยกว่า กึ่งดึงกึ่งลากออกไปทางห้องรับแขก ไม่ยอมให้ปฏิเสธ



เมื่อออกไปก็พบว่าคนบางตาลงมากเพราะเริ่มจะดึกแล้ว วินซ์และผองเพื่อนอีกสองคนกำลังสับไพ่รอพวกเขาอยู่ แต่ละคนเป็นระดับกัปตันทีมกันทั้งนั้น...



     "นั่งสิ พวกนาย จะได้เริ่มกันเลย" วินเซนต์พูดยิ้มๆ ผายมือเป็นเชิงสั่งให้นั่ง



แล้วฉันมีทางเลือกอะไรไหม...



เด็กหนุ่มผมดำก็ได้แต่ปั้นหน้ายิ้มตอบและนั่งลงตามคำเชิญ ทำตัวให้กลมกลืนกับสังคม



     "จะเล่นอะไรกันน่ะ?" แดริล

     "อีแก่กินน้ำ" วินซ์

     "....." แดริลมองไปทางกองขวดเหล้าแล้วในใจก็อยากร้องไห้ แต่ภายนอกรักษาสีหน้าสงบ



     "เจ๋ง" ... แทบจะกัดฟันพูด



     "งั้นมาเริ่มกันเถอะมา" ครั้งนี้ป็นเจฟฟ์ที่พูดพลางถูมือ หยิบกองไพ่ที่วางแยกกันไว้แล้วมาถือดู



     "นายกับแคทเป็นไงมั่งล่ะเชน เห็นสวีทกันเชียว" เป็นคำถามของไอเดนกัปตันทีมบาส

     "...ก็รักกันดี เดี๋ยวจะวันเกิดเธอแล้วคงต้องหาของขวัญให้" แดริลพูดทั้งรักษาสีหน้ายิ้มแย้ม อันที่จริงเขาก็ชินแล้วเวลาโดนถามเรื่องแคท



     เธอน่ะป๊อบจะตาย พวกหนุ่มฮอททั้งหลายต่างต่อแถวรออยากจะจีบ ติดที่ว่ามีแดริลขวางทาง เขาจึงเป็นที่หมั่นไส้ของผองชนไปโดยปริยาย...



     เกมดำเนินต่อไป ทุกคนต่างโยนไพ่ที่เข้าคู่ลงมากองกลางอย่างรวดเร็ว



     "บนเตียงหล่อนคงฮอทน่าดูล่ะสิ "เบลค กัปตันทีมเบสบอลปีนี้ฉีกยิ้มถาม "แดริลเพื่อนรัก ยึดสาวฮอทไว้คนเดียวตั้งหลายปี ฉันว่านายควรแบ่งปันรายละเอียดกันบ้าง"



     เวลาพวกนายคุยกันมันจะไม่พ้นเรื่องกีฬาไม่ก็เรื่องสาวไม่ก็เรื่องบนเตียงใช่ไหม... หา?? ช่วยชวนฉันคุยเรื่องอื่นได้ไหม เช่นโครงการใหม่ของนาซ่า ไม่ก็การเลือกตั้งปธน.สหรัฐสมัยหน้าน่ะ




     ครั้งส่งสายตาไปทางวินเซนต์เพื่อขอความช่วยเหลือ เจ้าตัวกลับหลุบตาลงมองไพ่ ทำเป็นไม่เห็นและไม่รู้ร้อนรู้หนาว



     นี่นาย!!



     "ก็...จัดว่าเด็ด" แดริลกระแอม "แต่ฉันเป็นคนหวงแฟน เลยไม่อยากจะแชร์รายละเอียดกับพวกนาย โทษทีนะ" พยายามตอบให้ดูเป็นคนคูลๆที่สุภาพและใส่ใจแฟน....



     "โห่ ไม่สนุกเลยนะนายเนี่ย" เบลค

     "หมอนี่มันก็ขึ้นชื่อเป็นคนรักแฟนมาแค่ไหนแต่ไรแล้วน่า" ไอเดนขำ



     รอดแล้ว...



     แต่จังหวะนั้นเองวินเซนต์ก็หยิบสองโพธิ์ดำออกจากมือแดริล ทิ้งให้เขาเหลือโจ๊กเกอร์ในมือใบเดียว



     ชิบ....



     เด็กหนุ่มเจ้าของบ้านฉีกยิ้มให้ โยนไพ่คู่สองคู่สุดท้ายลงกองกลางแล้วก็หมดมือ



     "ฉันว่าคนรักแฟนของเราต้องดื่มแล้วล่ะ" วินซ์

     "...." แดริล




     การฝืนกรอกเบียร์ขมๆลงคอทำให้เด็กหนุ่มน้ำตาแทบเล็ด เขาไม่ได้ชอบเบียร์ด้วยซ้ำ



     เกมต่อไปเริ่มอย่างรวดเร็ว และโลกก็ได้พิสูจน์ให้แดริลเห็นแล้ว ว่าเขาเป็นคนดวงซวยเป็นอย่างมาก



     ผ่านไปประมาณแปดรอบ แดริลแพ้คนเดียวไปห้า ดื่มเบียร์แก้วใหญ่ไปห้าแก้วเต็ม ใบหน้าเริ่มออกสีแดง ดวงตาสีฟ้าดูเลื่อนลอย หัวโคลงไปโคลงมาใกล้ฟุบ



     "หมอนี่คออ่อนเป็นบ้า เพิ่งห้าแก้วเองนะ" เจฟฟ์พูดออกมาพลางโยนไพ่ มองไปทางเด็กหนุ่มผมดำที่ดูจะอยู่ในสภาพที่เล่นเกมต่อไม่ไหว และนี่ก็ดึกมากแล้ว...



     "เดี๋ยวฉันพาไปพักแล้วค่อยส่งเขากลับบ้านแล้วกัน พวกนายจะเล่นกันต่อไหม" วินเซนต์วางไพ่ลง บ่งบอกว่าเขาจะเลิกแล้ว...



     และพอเจ้าของบ้านจะเลิก ก็ดูไม่มีใครมีใจจะเล่นต่อ



     "ฉันคงกลับบ้านล่ะ โชคดีนะพวก" เจฟฟ์พูดออกมา อีกสองคนก็พูดทำนองว่าจะกลับเหมือนกัน "จริงๆฉันช่วยพาหมอนี่ไปส่งแทนได้นะ อยู่บ้านฝั่งตรงข้ามเองใช่ไหม"



     "ไม่เป็นไรหรอก รอให้สร่างเมาหน่อยค่อยให้กลับดีกว่า เดี๋ยวคุณและคุณนายเชนจะตกใจเอา" วินซ์



     "ถ้านายว่างั้นนะพวก" เจฟฟ์



     และแดริลเชนผู้กำลังเมาไม่ค่อยได้สติก็โดนหิ้วขึ้นห้องนอนไปอย่างง่ายดาย...



     "เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำให้ แล้วโทรบอกแม่นายด้วยว่าคืนนี้นายจะไม่กลับบ้าน รอนี่" หลังจากหิ้วร่างที่เล็กกว่ามานั่งบนเตียงในห้องนอนของตนเองได้ วินเซนต์ก็เดินออกไปจัดการตามที่ว่า



     แดริลนั่งอยู่ในห้องนอนของอีกฝ่ายตามลำพัง ดวงตาก็กวาดมองไปทั่วพื้นห้อง เห็นเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้งไว้ระเกะระกะ คนเมาก็มุ่นคิ้วไม่ชอบใจ



     ....นั่นเป็นเหตุว่าทำไมเมื่อวินเซนต์กลับมาพร้อมแก้วใส่น้ำเปล่า ถึงเห็นแฟนหนุ่มของตัวเองกำลังนั่งพับผ้าอย่างเรียบร้อย...



     เห็นภาพนั้นแล้วเจ้าของห้องก็หลุดขำเสียงดัง



     "เมาแล้วพับผ้าเหรอเนี่ย สุดยอดเลย... เอ้า ดื่มนี่หน่อย" พูดจบก็ยัดแก้วน้ำใส่มือของอีกฝ่าย



     แดริลมองน้ำเปล่านิ่ง ก่อนจะยกขึ้นดื่มอึกๆ ไม่นานก็หมดแก้ว ดวงตาสีฟ้าคู่ที่ยังคงดูเหม่อลอยค่อยๆเลื่อนไปจับจ้องที่วินเซนต์



     "วินซ์..." แดริลเรียก มือวางแก้วลงบนหัวเตียง

     "หืม?"



     ต่อมาเด็กหนุ่มร่างสูงถึงกับแสดงสีหน้าประหลาดใจ เพราะจู่ๆก็ถูกดึงเข้าไปจูบ

     จูบนั้นค่อนข้างเงอะงะ ร่างเล็กกว่าจูบซ้ำหลายๆทีคล้ายทำอะไรไม่ถูก ดวงตาฉ่ำน้ำเหมือนจะคลอด้วยน้ำตาเล็กน้อย



วินเซนต์หัวเราะเบา ท่าทางชอบอกชอบใจ

     "เมาแล้วยั่วนี่เอง" ... จากนั้นถึงเลิกคิ้วประหลาดใจอีกครั้งเมื่อนิ้วมือยาวสอดเข้ามาใต้เสื้อ และเริ่มลูบไล้ร่างกายกำยำ

     "อยากทำแบบนี้มานานแล้ว..." คนเมาแล้วระรานยิ้มออกมา ขณะลูบลวนลามไปทั่ว

     "ฉันก็ไม่เคยห้ามไม่ให้นายทำนี่" วินซ์ผู้กำลังนึกสนุกก้มมองอีกฝ่าย ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ

     "อืม... แต่มันน่าอาย" พูดจบมือนั่นยังเคลื่อนต่ำลงไปบีบก้นแน่นๆของนักกีฬาหนุ่มอีกต่างหาก "ถอดเสื้อสิ...ฉันอยากมอง"



     ไม่พูดเปล่า ดวงตาสีฟ้าคู่โตนั่นยังช้อนมอง คลอเคลียอยู่กับต้นคอของคนตัวโต เหมือนกำลังออดอ้อน



     "ครับ... ครับ" วินเซนต์ยิ้มขำ ถอดเสื้อออกตามที่อีกฝ่ายต้องการ ปล่อยให้ลูบให้งับได้ตามใจ  "พอใจหรือยัง เจ้าหญิง?"

     "ไม่ใช่เจ้าหญิง..." แดริลตอบทันทีทั้งมุ่นคิ้ว "เป็นปิศาจที่จะมาจับนายกิน"

     "หืม... ยิ่งเมายิ่งปากเก่งนะเนี่ย" ดวงตาสีเขียวฉายแววขบขันปนเอ็นดู จากนั้นก็มุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อริมฝีปากซุนซนงับเข้าที่ยอดอก



     "ฉันชอบร่างกายนาย..." แดริลพึมพำ

     "อืม ฉันรู้" วินซ์

     "ชอบเสียงด้วย" วินเซนต์ฟังแล้วก็หัวเราะ

     "ชอบ.."

     "อืม... รู้แล้ว" ในตาเผยความอ่อนโยนออกมาโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ



     "วินซ์... " แดริลเรียกอีกหน ครั้งนี้เป็นเสียงกระซิบที่ข้างหู เด็กหนุ่มผมดำพูดคำอะไรบางอย่าง.... น้ำเสียงออดอ้อนกับถ้อยคำที่ทั้งตรงไปตรงมาและลามกนั่นทำให้ดวงตาสีเขียวแปรเปลี่ยนจากขบขันเป็นเปี่ยมด้วยความต้องการ “....นะ?”



    "ฉันก็กะจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว" ร่างซึ่งสูงกว่าก้มลงงับต้นคอขาวจนเป็นรอยฟันจางๆ "คราวนี้ใครมาขัดจังหวะอีกฉันจะฆ่ามันจริงๆ " วินซ์พูดออกมาด้วยสีหน้าทะมึนเหมือนว่าเขาหมายความเช่นนั้นจริงๆ ...





แดริลที่กำลังเมาหัวเราะออกมาหลังจากฟังคำของอีกฝ่ายจบ จากนั้นเสื้อผ้าก็โดนถอดออกทีละชิ้นโดยแทบไม่รู้ตัว จนสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรติดกาย





"หนาว..." คนเมาบ่นเบาๆ เบียดร่างเข้ากับอีกฝ่าย

"เดี๋ยวก็หายหนาวแล้ว" นั่นแทบจะเป็นเสียงคำรามเบา จากนั้นร่างที่เล็กกว่าก็โดนอุ้มตัวลอย พาเข้าไปในห้องน้ำ





เด็กหนุ่มถูกวางลงในอ่างอาบน้ำ ดวงตายังคงจับจ้องที่วินเซนต์





"เร็วสิ..." แดริลพูดเสียงแผ่ว

"อย่ายั่ว... เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวหรอก" ร่างสูงกว่าล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบซองพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสมาวางไว้ใกล้ๆ มือใหญ่อีกข้างหมุนเปิดน้ำอุ่นให้ไหลลงอ่าง





พอผิวอุ่นสัมผัสกับน้ำ เจ้าของร่างที่บางกว่าก็ครางเสียงแผ่ว





ผ่านไปสักครู่หนึ่ง วินเซนต์เอื้อมมือปิดน้ำไม่ให้เพิ่มระดับมากกว่านี้ ปลดกระดุมถอดกางเกงของตนเอง สายตามองไปทางคนเมาในอ่างที่ตัวแดงไปหมดพลางลากลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผาก





"ให้ตายสิ ฉันน่าจะกรอกเหล้านายบ่อยๆ เมาแล้วดีชะมัด" แดริลเหมือนไม่ได้ฟังประโยคนั้น มุ่นคิ้วใส่ผู้พูด ยื่นแขนออกมาทั้งสองข้าง





"วินเซนต์... ช้าเกินไปแล้ว" ดวงตาสีฟ้าที่ดูเลื่อนลอยคล้ายกำลังชักชวน มือใหญ่ฉวยจับมือข้างหนึ่งไว้ ขณะก้าวขาลงไปในน้ำอุ่น





ระดับน้ำที่เดิมที่อยู่แค่เอวเพิ่มขึ้นเป็นใต้อก มืออีกข้างรวบเอวไม่หนาไม่บางเข้ามาชิดกาย ก้มลงประทับจูบสั้นๆ และมองสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายไปด้วย เมื่อเห็นว่าไม่มีสัญญาณปฏิเสธหรือต่อต้าน มือหยาบข้างนั้นก็เลื่อนลงต่ำ กอมกุมบริเวณสะโพกและนวดคลึงเบา





แดริลไม่ได้แสดงท่าทีเขินอายแบบทุกที แค่หัวเราะเบา แขนสองข้างยกขึ้นวางพาดบ่าอีกคนอย่างเชิญชวน ริมฝีปากแนบบนผิวอุ่นที่ต้นคอ ดูดงับให้เกิดรอยแดงแบบจงใจคล้ายจะเอาคืนเรื่องที่ผ่านๆ มา





ว่ากันว่าเหล้าทำให้คนเราขาดสติ… และตอนนี้แดริล เชน ก็กำลังขาดสติ มือคู่นั้นปัดป่ายสัมผัสมั่วไปหมด ส่วนสะโพกก็ยกขึ้นเป็นเชิงอนุญาตให้นิ้วหยาบรุกล้ำเข้ามาได้ตามใจ ซ้ำยังขยับเป็นจังหวะเชื่องช้า กลืนกินสองนิ้วเข้าไปจนสุด เด็กหนุ่มส่งเสียงครางอย่างไม่นึกเกรงใจหรือสนใจว่าใครจะมาได้ยิน





เมื่อข้างหูได้ยินเสียงหอบหายใจหนักของวินเซนต์ คนเมาก็ยิ่งยิ้มได้ใจ ขยับร่างกายท่อนล่างตอบสนอง ทั้งยังเบียดเข้าชิดและเสียดสีกับส่วนที่กำลังตื่นตัวของอีกฝ่าย

“วินซ์.. ขออีก” เด็กหนุ่มกระซิบเบา จงใจยั่วอารมณ์ชัดเจน พอพูดจบก็แนบจูบสั้นๆ กับคนที่สูงกว่า “ฉันอยากได้นาย...นะ? ”

“ร้ายจริง...” ท้องนิ้วสากไล้วนบนริมฝีปากของคนเมา ประกายความต้องการฉายชัดบนดวงตาสีเขียว “ต่อไปนี้ถ้าฉันไม่อยู่ด้วย… ห้ามดื่ม”





น้ำเสียงในถ้อยคำสุดท้ายกดต่ำลงจนฟังดูเป็นการออกคำสั่ง มือหนางอปลายนิ้วเล็กน้อยจนร่างแดงๆ นั่นสะท้านเบา ครางออกมาจนไม่เป็นภาษา





แดริลไม่ได้ตอบรับคำพูดดังกล่าว ถึงจุดนี้เหมือนจะฟังไม่รู้เรื่องไปเสียแล้ว





“ชอบมากเลย… แรงอีก” ร่างกายท่อนล่างขยับรับพร้อมกับคำพูด สิ้นคำสองนิ้วก็ยิ่งกดย้ำที่จุดเดิม เรียกเสียงครางต่ำไม่เป็นภาษาออกจากลำคอของเด็กหนุ่ม แล้วจู่ๆ มือข้างนั้นก็ถูกดึงออก เจ้าของร่างถึงกับส่งเสียงครางอย่างไม่ชอบใจนัก “วินซ์… ”





“รู้แล้ว รู้แล้ว” พูดจบก็จูบเบาบนขมับของคนในอ้อมแขน ก่อนจะเอื้อมมือหยิบซองถุงยางที่เขาวางไว้ริมอ่างเมื่อครู่ ฟันเขี้ยวงับส่วนมุม ขณะที่มืออีกข้างดึงฉีกออก สองนิ้วคีบดึงเอาของด้านในออกมา แต่ดวงตายังคงจับจ้องยังคนตรงหน้าที่นั่งพิงขอบอ่างอาบน้ำอย่างไม่วางตา เพื่อพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกันด้วยดวงตาสีฟ้าคู่โตที่ดูเหมือนกำลังรอคอย





“… ยังไม่พอ” น้ำเสียงติดจะอ้อนอยู่บ้าง นิ้วมือยาววางลงบนต้นขาของตนเองที่ค่อยๆ แยกออกจากกัน เด็กหนุ่มผมดำร้องเรียกเสียงหวาน “มาสิ… วินเซนต์”





“ยั่วชะมัด” เจ้าของชื่อบ่นพึมพำทั้งหอบเบา จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วมือใหญ่ก็คว้าเอวคนตรงหน้าดึงเข้าใกล้ จนส่วนที่ทั้งร้อนทั้งแข็งแนบเข้ากับช่องทางด้านหลัง “รู้ตัวไหมว่านายเมาแล้วเซ็กซี่เป็นบ้า”





น้ำอุ่นช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายลงบ้าง… แดริลรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาในร่างกาย ร่างสูงใหญ่เพิ่มแรงกดน้อยๆ ขณะที่ดึงขาเรียวข้างหนึ่งจับให้พาดกับขอบอ่าง





“เจ็บ…” แขนสองข้างยึดเกี่ยวรอบลำคอของนักกีฬาหนุ่มเอาไว้ เมื่อสัมผัสแผ่นหลังก็รู้สึกได้ถึงอาการเกร็งจนวินเซนต์รู้สึกได้... ร่างสูงกว่าหยุดการเคลื่อนไหวชั่วครู่ ก้มจูบเปลือกตาปลอบเบาๆ





“อย่าเกร็งสิ... อีกเดี๋ยวก็หายเจ็บแล้ว” วินเซนต์กัดฟันข่มอารมณ์ แผ่นหลังโดนเล็บจิกเข้าเนื้อก็ไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวด นิ้วโป้งปาดน้ำออกจากหางตาของร่างที่เล็กกว่า แนบจูบแผ่วอย่างอ่อนโยน ซึ่งผิดวิสัยเจ้าตัวเป็นอย่างมาก





เมื่อรู้สึกได้ว่าแดริลเริ่มผ่อนคลายแล้ว เด็กหนุ่มนักกีฬาก็เริ่มเคลื่อนกายกดน้ำหนัก เข้าจนสุดความยาว.. เรียกเอาเสียงร้องเบาด้วยความตกใจของคนใต้ร่าง

“ยังเจ็บอยู่ไหม?” วินซ์หอบหนัก กัดฟันข่มอารมณ์ไม่ให้โถมแรงลงไป พยายามปล่อยให้ร่างข้างใต้ค่อยๆ ชินกับขนาดเสียก่อน

แดริลส่ายหน้ากับคำถามนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเกร็ง คิ้วสีดำมุ่นเข้าหากันน้อยๆ เหมือนกำลังข่มความเจ็บปวด

“อย่ารัดนักสิ” เจ้าของร่างสูงใหญ่ก้มลงกระซิบที่ข้างหู เสียงแหบพร่าจนแทบเป็นเสียงคำราม “ฉันไม่อยากทำนายเจ็บ”

เด็กหนุ่มผมดำหอบเบา คล้ายว่าจะฟังเข้าใจ เขาหันไปแนบจูบปลอบร่างสูงกว่า สองแขนที่กอดรอบคอเกี่ยวแน่นขึ้นเล็กน้อย

“...ฉันไม่เป็นไร ฉันทนได้”

“ไม่อยากให้ต้องทน” คนพูดจูบตอบ ลิ้นอุ่นกระหวัดกับปลายลิ้นอีกฝ่าย งับเบาเพื่อกระตุ้นเร้า ไล่สำรวจไปตามโพรงปาก สองมือนวดคลึงสะโพกของร่างตรงหน้าเป็นจังหวะช้าให้ผ่อนคลายลง ก่อนที่ร่างกายท่อนล่างจะเริ่มขยับเป็นจังหวะเนิบช้า





แดริลครางแผ่ว แต่เดิมที่มีแต่ความเจ็บ พอทุเลาลงแล้วกลับรู้สึกถึงอย่างอื่นด้วย ร่างที่เล็กกว่าค่อยๆ ขยับตอบตามจังหวะ หลุดเสียงร้องแผ่วปนหอบอยู่ข้างหูอีกฝ่าย “ดี… วินซ์… ดี... ตรงนั้นล่ะ….”





“ตรงนี้? ” ริมฝีปากผู้ฟังคลี่ยิ้ม จากนั้นก็เร่งจังหวะการกระแทกขึ้นอีกเล็กน้อย “บอกฉันสิ ที่รัก นายอยากให้ทำอะไรอีก”

เด็กหนุ่มผมดำหลุดเสียงน่าอายออกมาอีกหลายครั้ง มือเกาะเกี่ยวแผ่นหลังกว้างไว้เหมือนเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้าย เพื่อไม่ให้อารมณ์เตลิดไปมากกว่านี้





“ฉัน..ไม่รู้ ....ตามใจนาย...” เขาครางเสียงดังอย่างไม่อาจควบคุมได้ รู้สึกคล้ายกำลังมัวเมาไปกับจังหวะของอีกฝ่าย

“ตามใจฉัน? นายจะรับไหว?” วินเซนต์ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ผ่อนจังหวะการเสียดสีลงเล็กน้อยขณะแทรกกายเข้าลึก ขยับสั้นและกดย้ำเข้าที่จุดเดิม “...อาจจะต้องรอบหน้า นายรับปากแล้วนะ? ”





“ได้...อะไรก็ได้ ถ้านายชอบ” คนเมาที่ถูกเอาเปรียบได้แต่พึมพำตอบรับ ยกสะโพกขึ้นรับตามสัญชาตญาณ รับเอาความใหญ่โตเข้ามาจนหมด

“นายอาจจะเสียใจทีหลัง” วินเซนต์ลากลิ้นเลียริมฝีปาก ดวงตาสีเขียวจัดหรี่ลงเล็กน้อยอย่างอันตราย





ร่างกายท่อนล่างของร่างที่บางกว่าสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือหนาเอื้อมมากอบกุมส่วนที่กำลังตื่นตัว และขยับสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวที่ด้านหลัง “วินซ์!”





เจ้าของชื่อพ่นลมหายใจแรงขึ้น จับคนในอ้อมแขนมาจูบแรงๆ ทีหนึ่ง





“เป็นผู้ชายแท้ๆ … ทำไมยั่วได้ขนาดนี้กันนะ” พูดจบจังหวะการกระแทกก็เร่งเร็วขึ้นจนร่างเล็กกว่าแทบตามจังหวะไม่ทัน แดริลร้องครางไม่เป็นภาษา ร่างกายสะท้านเบา พูดออกมาทั้งเสียงปนหอบ





“ไม่ไหวแล้ว… วินเซนต์… ฉันจะ…”





“ฉันด้วย” เสียงครางต่ำที่กระซิบข้างหูเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้าย แดริลเกร็งตัว ปลายนิ้วมือเผลอกดลงไปบนแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว ลากทิ้งรอยข่วนจางๆ ไว้บนแผ่นหลังกำยำ ในจังหวะที่ปลดปล่อยก็คล้ายจะได้ยินเสียงคำรามเบาของร่างสูงใหญ่อยู่ข้างหู





เด็กหนุ่มผมทองหอบเบา ฝังหน้าเข้ากับต้นคอของร่างข้างใต้อยู่ครู่ใหญ่ จนปรับลมหายใจให้เป็นปกติได้แล้วถึงถอยออกมาเล็กน้อย มองอีกฝ่ายที่นอนหมดเรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมแขนด้วยสายตาซับซ้อนและสับสน





หลังนิ้วชี้ปาดหยดน้ำออกจากแก้มสีแดงเรื่ออย่างเบามือ





…. วินเซนต์เหมือนจะไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง..





และเนิ่นนานต่อมา เขาก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี…





……………………



หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 7 [03/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 06-12-2018 20:12:43
บทที่ 8 2/2


------------------------------------------



   

   แดริล เชน ตื่นมาพร้อมความรู้สึกหนักๆบนหัว อาการเมาค้างด้วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนคือบนหน้าผากมีคูลลิ่งเจลแปะอยู่..


   พอเอาแผ่นเจลสีฟ้าลง ก็รู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้า ร่างกายไม่ค่อยมีแรงนักเลยได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง


แดริลรู้สึกว่าร่างกายของตนเองไม่ได้เหนียวเหนอะหนะเท่าใดนัก ก้มลงมองก็พบว่าเขาใส่เสื้อทีมกีฬาที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเองสองไซส์อยู่… มองไปรอบๆก็พบว่าไม่ได้อยู่ในห้องของตนเอง… บ่งบอกได้จากโปสเตอร์ Terry Crews ขนาดใหญ่ที่กำลังส่งยิ้มฟันขาวตรงมาทางเตียง...


แรกเริ่มสมองยังเบลอปะติดปะต่อเรื่องไม่ค่อยถูก แต่หลังจากทบทวนความจำอยู่ครู่หนึ่งทุกสิ่งก็เริ่มหลั่งไหลกลับเข้ามา…


จากเดิมทีที่หน้าก็แดงเพราะไข้อยู่แล้วก็เหมือนบางอย่างระเบิดบรึ้ม เลือดสูบฉีดไปถึงใบหู เด็กหนุ่มลูบใบหน้าแรงๆ เมื่อคืนเขาทำเรื่องงามหน้าอะไรลงไปล้วนจำได้หมด...


อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก


คล้ายว่าน้ำเสียงอ่อนโยนยังวนเวียนอยู่แถวใบหู พูดคำนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จนใจเต้นไม่เป็นจังหวะ


ไม่อยากให้ต้องทน


พูดจาอะไรแบบนี้ไม่สมเป็นนายเลยสักนิด วินซ์…


เครียดมากเข้าทำอะไรไม่ถูกก็ยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปงนอนขดเสียแบบนั้น แต่พอขยับขานิดหน่อยด้านล่างก็เจ็บระบมจนเขาต้องโอดครวญออกมาเบาๆ


แดริล เชนจริงๆแล้วเป็นมนุษย์หน้าบาง พบเจอกับสถานการณ์ที่ตัวเองพูดจาน่าอายออกไปมากมายแถมจำได้ทั้งหมดแบบนี้เขาก็รับมือไม่ถูก ไม่รู้ควรเอาหน้าไปไว้ที่ไหน โดดออกนอกหน้าต่างไปเลยจะได้ไหม


….ไม่สิ หนีไม่ได้ ตอนนี้เขาใส่แต่เสื้อ ไม่ได้สวมกางเกงด้วยซ้ำ


ไอ้เวรนั่น เอากางเกงไปไหน!!?


กำลังกรีดร้องในใจ ไอ้เวรที่ว่าก็เปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมจานใส่ซีเรียลและนมแบบง่ายๆ เดินมาก้มมองกองดักแด้บนเตียงอยู่ครู่หนึ่ง….

“ตื่นแล้วสินะ...” แดริลได้ยินเสียงวางจานลงบนโต๊ะข้างเตียง ไม่นานผ้าห่มหนาก็ถูกดึงออกจากตัว โดนแงะออกมาจากดักแด้ให้เจอกับอากาศเย็นด้านนอก พอเห็นท่าทางลนลานทำอะไรไม่ถูกของคนบนเตียงแล้ววินเซนต์ก็หลุดหัวเราะดัง


“ทำอะไรของนาย? มากินข้าวเช้าหน่อยมา ลุกไหวไหม?” ดวงตาสีเขียวเหลือบมองส่วนต้นขาที่โผล่พ้นจากเสื้อนักกีฬาตัวใหญ่ แล้วยิ่งยิ้มกว้างขึ้นอีก


“ไหว!!” พูดแล้วก็ทำตัวอวดเก่ง ค่อยๆยันตัวลุกนั่งทั้งๆที่ยังไม่มีแรง แค่ขยับก็รู้สึกว่าสะโพกระบมไปหมดแล้วแต่ก็ฝืนรับถ้วยใส่ซีเรียลใส่ผลไม้มาตักกิน


มือใหญ่ลูบต้นขาขาวเบามือ แดริลสะดุ้งจนพยายามถอยหนี แต่ก็เจ็บตัวเกินกว่าจะขยับได้มาก


“อวดเก่งชะมัด” วินเซนต์เอื้อมไปรั้งเอวของอีกฝ่าย จับตรึงเอาไว้ไม่ให้หาเรื่องเจ็บตัวไปมากกว่านี้ “ยังจะอายอะไรอีก มาขนาดนี้แล้ว?”


“ไอ้คนไม่มียางอายแบบนายมันก็พูดได้สิ…” แดริลยอมนั่งเฉยๆ ตักซีเรียลกินต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก

หลังมือของอีกฝ่ายนาบลงบนหน้าผากเพื่อวัดไข้…

“ไข้ลดแล้วแต่ตัวนายยังรุมๆ… กินเสร็จแล้วกินยาพักผ่อนเถอะ ฉันโทรบอกพ่อแม่นายให้แล้วว่าวันนี้นายค้างที่นี่”


ประโยคนั้นทำให้แดริลเลิกคิ้วแบบนึกประหลาดใจ


“ว้าว ....ไอ้ชั่วแบบนายดูแลคนป่วยเป็นด้วย”


ฟังจบดวงตาสีเขียวเข้มก็หรี่ลงน้อยๆ มุมปากยังคงยิ้มอยู่ แต่ดูน่ากลัวแบบแปลกๆ ทำเอาคนพูดรีบก้มหน้าก้มตากินต่อไปอย่างสงบเสงี่ยม…


“ในสายตานายฉันมันชั่วขนาดนั้นเลย?”


ในสายตาทุกคนนายก็ชั่วหมดล่ะ.. วินซ์


“ก็… จะให้บอกว่านายเป็นคนดีก็คงไม่ผ่านมาตรฐานสากลเท่าไหร่…” แดริลกระแอมน้อยๆ เห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกว่าตนเองพลาด แรกเริ่มที่พูดก็เพื่อเป็นมุกล้อเล่นให้บรรยากาศผ่อนคลายเฉยๆ

“นั่นฉันรู้ แต่ในสายตานายน่ะ… ตัวนาย”


แดริลวางชามเปล่าลงบนโต๊ะข้างๆ เอียงคอมองแฟนหนุ่มนักกีฬาของเขาที่วันนี้ดูแปลกออกไป


“นายเคยสนใจว่าจริงๆแล้วคนอื่นจะคิดยังไงด้วยเหรอ...  วินซ์?”

“ก่อนหน้านี้ก็ไม่สนใจ… แต่ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่านายคิดยังไง” วินซ์ถามด้วยสายตาจริงจังจนคู่สนทนานึกประหลาดใจ เด็กหนุ่มครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งถึงเรียบเรียงคำพูดออกมาได้...

“ฉันคิดว่านายเป็นคนน่าอิจฉา… นายทำอะไรไม่ค่อยสนใจใคร มีความมั่นใจและความเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ….ในแบบที่ฉันไม่มี สิ่งที่ฉันต้องพยายามเพื่อจะเป็น นายกลับเป็นได้อย่างง่ายๆ… เพราะนั่นคือตัวตนของนาย” ไม่รู้อะไรดลใจ แดริลเอื้อมมือไปลูบเรือนผมสีทองเบามือ “ส่วนบางเรื่องนายก็ชาติชั่วจริงๆ แต่ก็มีส่วนที่… ก็ดีแล้วที่นายเป็นนายแบบนี้ ความเอาแต่ใจของนายบางทีก็น่ารำคาญ แต่หลายๆทีก็น่ารักดี”


“อืม ฉันออกจะน่ารัก ใช่ไหม?”


นายอย่าจับใจความได้แค่คำนั้นคำเดียวสิวะ…


“...ถอนคำพูดทันไหม” ตอบด้วยน้ำเสียงหน่ายใจ และเด็กหนุ่มก็ค่อยๆเอนกายลงนอน ดึงผ้าห่มปิดขา พลิกตัวนอนตะแคงไปอีกด้านเพื่อหันหนีเจ้าของห้อง


แสงอาทิตย์ส่องลอดหน้าต่างมากระทบปลายเท้า หากให้เดานี่น่าจะย่างเข้ายามบ่ายแล้ว.. พอมองออกไปบนกิ่งไม้ก็เห็นเกล็ดหิมะสีขาวบนต้นไม้แห้งโกร๋นไร้ใบ


วินเซนต์ย้ายก้นมานั่งบนเตียง เขารู้สึกได้ว่าเจ้าคนไร้ยางอายนั่นกำลังสนุกเต็มที่...


“เมื่อคืน….”


พูดคำนั้นขึ้นมาไหล่ของแดริลก็เกร็งขึ้นเล็กน้อย


“นายเซ็กซี่เป็นบ้า... ไว้พูดประโยคนั้นให้ฉันฟังอีกหลายๆทีได้ไหม?” เสียงต่ำที่กระซิบข้างหูทำให้ใบหน้าเห่อร้อน เด็กหนุ่มผมดำแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน “เอ… เมื่อคืนนายพูดว่ายังไงนะ ที่--”


หมอนฟาดหน้าเจ้าของห้องเต็มแรง แล้วคนที่นอนอยู่พอหายอายแล้วก็ต้องร้องโอดโอยเพราะความเจ็บ

“ไอ้บ้า หุบปากไปเลย!!”

วินเซนต์หัวเราะดัง ดึงหมอนนิ่มที่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเจ็บออกจากใบหน้า จับเอวนั่นเอาไว้และตรึงห้ามไม่ให้อีกฝ่ายขยับตัว

“นอนเฉยๆ… ฉันไม่แกล้งแล้วก็ได้”


แดริลยอมอยู่นิ่งๆ เขาเองก็ไม่นึกว่ามันจะเจ็บแบบนี้…


“อีกสอง-สามทีเดี๋ยวก็ชิน” ไอ้ตัวต้นเหตุยังมีหน้ามายิ้มกริ่ม… คนมองทำได้แค่สะบัดหน้าหนีเท่านั้น “เอาจริงๆนะแดริล นายจะอายไปทำไมกัน ฉันเป็นแฟนนาย นายอยากลวนลามฉันหรือยั่วฉันก็ทำไปเถอะ”


หลายๆทีแดริล เชนก็รู้สึกว่าแฟนหนุ่มของเขาพูดจาตรงไปตรงมาจนเกินไป… สีแดงจากบนใบหน้าเริ่มลามไปถึงต้นคอ


“แต่ช่างเถอะ... เป็นแบบนี้ก็ตลกดี…” ร่างสูงกว่าจูบขมับคนป่วยเบาๆ “ฉันออกไปซื้อของชำก่อน… เดี๋ยวกลับมา”


ในช่วงที่ร่างสูงกำลังผละออกไป ก็ไม่รู้อะไรดลใจให้มือคว้าเอาชายเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน


“วินซ์…” แดริลร้องเรียก

“หืม… ว่าไง?” วินซ์ตอบรับ


ใบหน้าจากที่สีแดงเรื่อเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด ดวงตาสีฟ้าหลุบลงไม่มองหน้า มีท่าทีกระอักกระอ่วนคล้ายต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา


“มีอะไรก็พูดมาเถอะ” นิ้วมือสากไล้แก้มแดงจัดเบามือ “ฉันบอกแล้วนี่ว่าไม่ต้องอาย”

“..... เมื่อคืน” ในที่สุดแดริลก็ยอมเอ่ยปาก แต่เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “...เมื่อคืน…”


คนฟังก็นั่งรอฟังอย่างอดทนดี


“อืม… เมื่อคืน?” คิ้วสีทองเลิกขึ้นน้อยๆ รอฟังคำพูด


“...........นายชอบหรือเปล่า?” ใบหน้าของคนถามแดงเถือกถึงใบหู เด็กหนุ่มหันหนีไปอีกทางอย่างไม่อยากสู้หน้าสบตา ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดใบหน้าท่อนล่างของตนเอาไว้

“....................” วินซ์

“....?” แดริลค่อยๆหันกลับไปมองคนที่นิ่งเงียบไปอย่างหวาดๆและไม่มั่นใจนัก


จู่ๆร่างบางกว่าก็โดนรวบกอด วินเซนต์กระซิบตอบที่ข้างหู


“ชอบ...ชอบมาก…” พูดจบก็จูบแก้มหนักๆทีหนึ่ง “แต่นายช่วยอย่าทำตัวแบบนี้ตอนนี้ได้ไหม… เดี๋ยวก็จับปล้ำมันซะอีกรอบหรอก”

“ทำตัวแบบไหน?” แดริลไม่เข้าใจ... แต่แค่ได้ยินว่าอีกฝ่ายไม่รังเกียจเขาก็หลุดยิ้มออกมาน้อยๆ

“ถามคำถามอะไรแบบนี้ ทำท่าแบบนี้ ทั้งที่นายใส่เสื้อกีฬาของฉันอยู่” แดริลอยากจะแย้งว่าเสื้อกีฬานี่ไม่ใช่ว่าเขาเต็มใจใส่เสียหน่อย...

“ฉันแค่อยากถามให้แน่ใจ… ว่านายไม่ได้ฝืน ยังไงซะก่อนหน้านี้นายก็…. เดทแต่ผู้หญิง”

“ถามจริง… นายเอาตรงไหนมามองว่าฉันฝืน คราวหน้าฉันอาจจะควรทำหลายๆรอบ หัวสมองทึ่มๆของนายจะได้ไม่มาสงสัยฉันอีก” วินเซนต์ลูบหน้าเบาๆ ก่อนที่จะก้มลงสบตากับคู่สนทนา “แล้วนายเป็นผู้ชายแล้วมันทำไม… ฉันก็ชอบอยู่ดี” 

“ไม่รังเกียจใช่ไหม” แดริล

“ถ้าจะรังเกียจก็คงรังเกียจไปนานแล้วไหม?” วินซ์

“ก็เมื่อคืนเพิ่งได้ลองจริงๆ…” แดริล

“ฉันก็บอกแล้วนี่ว่ามันจะต้องมีครั้งหน้า…. คิดมากจริง” วินซ์จับร่างเล็กกว่ามาดีดหน้าผาก

“ขอโทษ…”


ฟังคำนั้นแล้วร่างสูงใหญ่ก็ถอนหายใจเบา
   “ถึงคนอื่นจะว่าฉันว่าสารเลวเชื่อใจไม่ได้ แต่การที่นายไม่เชื่อใจฉันมันเจ็บนะ”


ก็ประวัตินายมันไม่น่าเชื่อใจจริงๆนี่หว่า…


“.... อืม ขอโทษนะ” แดริล

“แค่ขอโทษไม่พอ ...ครั้งหน้าฉันอยากให้นายใส่ชุดนี้ให้ฉันทำ” วินเซนต์

“........” แดริล


หยุดลากกลับมาเรื่องแบบนี้!! บ้าเอ๊ย!!


เด็กหนุ่มผมดำได้แต่มองด้วยสีหน้าโมโนโทน สักพักต่อมาถึงพึมพำเบาออกมาทั้งหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย


“...ตามใจนายเถอะ”

วินเซนต์ยิ้มกว้างขึ้นอีก

“นายมันผู้ชายประเภทตามใจแฟนทุกเรื่องจริงๆนั่นล่ะ”


แดริลถอนหายใจแทนการตอบรับ…


ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะเป็นผู้ชายประเภทนี้นักหรอก… เป็นแฟนนายแล้วรู้สึกขาดทุนเป็นบ้า

เขาเพียงคิด แต่ไม่ได้พูดออกไป


“งั้นฉันไปก่อน แล้วจะรีบกลับ” ร่างสูงใหญ่กล่าวพลางลุกขึ้นยืน เตรียมตัวออกไปซื้อของชำ

“อืม…” แดริลรับคำ และมองตามจนแผ่นหลังของอีกฝ่ายหายไปหลังบานประตูไม้ และเหม่อมองประตูอยู่อย่างนั้นอีกพักใหญ่ๆ

ที่กลางอกรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด เด็กหนุ่มวางมือลงบนนั้น ใบหน้ายังคงแดงเรื่อ


เขาเหมือนจะเข้าใจดีว่าความรู้สึกที่ว่ามันคืออะไร...


แต่ตอนนั้นยังอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เท่านั้นเอง


……………………


หลายวันต่อมา…


   “พวกเธอได้กันแล้วใช่ไหม” อยู่ๆแคทก็โพล่งขึ้นมาระหว่างการพักทานข้าวจากการวิ่งออกกำลังกายช่วงเช้าของทั้งคู่ ทำเอาเพื่อนสะดุ้งเฮือก “เฮ้อ ฉันเดาถูกจริงๆด้วย...”


แต่ถึงพูดแบบนั้นใบหน้าของคนเดาถูกก็ไม่ได้ดูดีเท่าใดนัก


“....”

“ไม่ต้องถามค่ะว่ารู้ได้ยังไง มันเป็นเซนส์ของผู้หญิง” เด็กสาวกลอกตา หล่อนนั่งอยู่ข้างๆแดริลบนม้านั่งในสวนสาธาณะใกล้บ้าน

“...อืม” ก็ไม่รู้ว่าควรตอบอะไรดี ถึงแค่รับคำสั้นๆ

“แต่ก็แปลกหมอนั่นดี… ปกติกี่รายๆก็เห็นฟันแล้วเบื่อ ทิ้งๆขว้างๆ ดูแบบแอมเบอร์สิ…” เชียร์ลีดเดอร์สาวหยิบซับเวย์ออกมาจากถุงกระดาษ ให้ตัวเองชิ้นหนึ่ง เพื่อนหนุ่มอีกชิ้นหนึ่ง

“...ฉันไม่รู้ว่าควรจะคอมเมนท์อะไรดี…” อันที่จริงตัวเขาเองก็สงสัยว่าวินเซนต์จะเบื่อและเลือกที่จะนอกใจไปหาเหยื่อรายใหม่เมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าไม่รู้กิตติศัพท์ของอีกฝ่าย เผื่อใจไว้แล้วด้วยซ้ำ


ที่ผ่านมาแดริลโดนดึงไปโน่นมานี่ ตามจังหวะและความเอาแต่ใจของนักกีฬาหนุ่ม จนกระทั่งตัวเขาเองสับสนและไม่มีเวลาได้หยุดคิดอย่างจริงจังเท่าใดนัก


“ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเป็นฝ่ายบอกเลิกสาวก่อนเลยล่ะ แต่จะเริ่มห่างออกไป แล้วสุดท้ายก็นอกใจ สาวๆหลายคนก็ยังอยากลองของเพราะคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงเขาได้ ...ก็ตลกดี” แคทเริ่มแกะห่อซับเวย์ไก่ของตนเอง กัดขนมปังยัดไส้สารพัดผักคำเล็ก


   “... วินเซนต์ยังดีกับฉันอยู่” แดริลแกะห่อแซนด์วิชซับเวย์ของตนเองบ้าง “ก็ยังลากให้ฉันติดรถไปด้วยทุกเช้า…”

   “....เหมือนจะติดเธอแจกว่าเดิมด้วยนะที่รักคะ” เด็กสาวทำหน้าเหม็นเบื่อ “โอเค ครั้งนี้ฉันอาจจะมองผิดเองก็ได้ ผู้ชายสารเลวสามารถกลับใจได้ด้วยรักแท้ เหมือนเทพนิยาย นี่ฉันต้องโปรยกลิตเตอร์ให้ด้วยไหม?”

   “.....” ครั้งนี้เป็นแดริลที่ทำหน้าเหมือนกินข้าวไม่ลง

   “ตั้งแต่ที่ย้ายมาที่นี่ หมอนั่นคบเธอนานที่สุดแล้ว.. ฉันเองยังแปลกใจ นึกว่าเขาแค่ทำไปขำๆด้วยความอยากรู้อยากเห็นซะอีก” แคท

“ฉันรู้...เขาเหมือนจะเข้าใจง่าย แต่ก็เข้าใจยากไปพร้อมๆกัน…” แดริลถอนหายใจ “อันที่จริงฉันก็เริ่มคบกับเขาเพราะความสงสัยเหมือนกัน”

   “อือฮึ… และเธอก็ชอบกล้ามท้องของเขาด้วย” เด็กสาวดูดนิ้วตัวเองที่เลอะซอสเทาซันไอแลนด์

   “.....” แดริล

   “อย่ามาปฏิเสธค่ะที่รัก” แคท

   เด็กหนุ่มลูบหน้าแรง

   “...วินเซนต์ไม่ได้แย่อย่างที่คิดหรอก ก็แค่เอาแต่ใจไปหน่อย” เขาพูดจบแคทก็เกือบทำซับเวย์ร่วง...

   “.........พระเจ้าช่วย นี่เธอตกหลุมรักเข้าแล้วจริงๆใช่ไหม ที่รัก ได้กับเขายังพอว่า เดทกับเขายังพอทน เธอจะรักใครก็ได้แต่ไม่ควรไปรักวินเซนต์ ซัมเมอร์นะคะทูนหัว”

   “ฉันไม่ได้พูดสักคำว่ารักเขา!” แดริล

   “เซนส์ของผู้หญิงค่ะเบ้บ ไม่ต้องพูดแต่มันตีความออกมาได้แบบนั้น” แคท

   “ไม่จริงน่า” ร่างที่สูงกว่าส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันก็แค่… ชอบกล้ามท้องของหมอนั่นเฉยๆ”

   “เฮอะ คนปากแข็ง” แคทเธอรีนกระแทกเสียง ก่อนจะตัดบทด้วยการขยำกระดาษห่อแซนด์วิชทิ้งลงถุงกระดาษ เดินเอาไปทิ้งถังขยะ “ยิ่งคุยเรื่องชีวิตรักของเธอแล้วฉันยิ่งกลุ้มใจ หนีไปหาแอชลีย์ดีกว่า... บายฮันนี่”


   จนกระทั่งแคทจากไป เด็กหนุ่มก็ยังคงก้มมองแซนด์วิชที่ยังกินไม่หมดในมือที่เย็นชืดแล้ว…

 

เขารู้… แต่ไม่อยากจะยอมรับ


เพราะความเป็นไปได้ของการที่ความสัมพันธ์นี้จะไปได้ตลอดรอดฝั่ง มันเกือบจะเป็นศูนย์เปอร์เซนต์ทีเดียว…


แต่คนเราก็ใช่จะใช้เหตุผลห้ามความรู้สึกได้เสมอไป...



------------------------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 8 [06/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-12-2018 21:32:31
  :man1:

:เฮ้อ:


 :L1: :pig4: :L1:

หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 8 [06/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 07-12-2018 13:56:13
บทที่ 9 (1/2)

ช่วงเริ่มต้นเกรดสิบสองเป็นช่วงเลือกตั้งประธานนักเรียนอย่างจริงจัง





ทั้งแดริลและลีต่างก็เตรียมตัวเพื่อเวลานี้มากว่าสามปีเต็ม… ในปีนี้มีคู่แข่งอีกสองทีม เป็นพวกที่แตะงานสภามาบ้างทีมหนึ่ง และไม่เคยโผล่มาช่วยงานแค่อยากใช้ความนิยมเข้าสู้อีกทีม…





พวกเขาชักชวนแอนน์ที่ทำงานสภามาด้วยกันหลายปีมาเป็นเหรัญญิก และมาร์คัส เด็กหนุ่มผิวสีเจ้าพ่อพิธีกรงานอีเวนท์มาเป็นเลขา





แรกเริ่มแดริลไม่ได้สนิทสนมกับมาร์คัส ลีเป็นคนดึงอีกฝ่ายมาเข้าทีม แต่หลังจากทำงานด้วยกันไปไม่กี่เดือนก็สนิทกันในเวลาต่อมา





ที่บ้านของลีเหมือนจะมีเงินทุนอยู่พอสมควร พวกเขาจึงสามารถทำเข็มกลัดและใบปลิวไว้แจกเพื่อหาเสียง และด้วยอาศัยว่าลีตีตลาดกลุ่มพวกเอเชียน มาร์คัสสนิทกับพวกเด็กผิวสีและสายปาร์ตี้อีกหลายคน แดริลก็ดึงทีมเชียร์มาจากทางแคทเธอรีน และพวกนักกีฬาจากวินเซนต์ ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการดึงเสียงโหวต สุดท้ายก็ได้เป็นกลุ่มประธานสภาเอาไว้ประดับประวัติกันสมใจ





หลังประกาศคะแนนโหวต ลีที่ปกติจะหน้านิ่งถึงกับหัวเราะออกมาดังๆ อย่างฟังดูชั่วร้ายแบบแปลกๆ .. เหมือนว่าจอมมารลีจะวางแผนมาเนิ่นนานหลายปี ในที่สุดเขาก็ยึดครองโลกสำเร็จแล้ว





“ในที่สุด…. ในที่สุด!!” ...มันเป็นคนเก่ง แต่บางทีหมอนี่มันก็ดูบ้าๆ บอๆ





“นายอย่าไปหัวเราะแบบนี้ให้ใครฟังล่ะ เขาจะนึกว่ารองประธานเป็นคนบ้าดีๆ นี่เอง…” แดริลมองเหนื่อยใจ แต่ในใจก็นึกอยากกระโดดโลดเต้นไปกับทุกคนเหมือนกัน





หลายปีอันแสนเหนื่อยยาก… ในที่สุดก็เห็นผลแล้ว!!





“ม.ไอวี่ลีกอยู่แค่เอื้อมแล้วเพื่อน!!” เด็กหนุ่มชายจีนยกมือขึ้นในท่าไฮไฟฟ์ แปะมือกับประธานสภานักเรียนคนใหม่ของโรงเรียน

“ช่าย หลังจากปีนี้พวกเราก็จะได้เข้ามหาลัยฯ ดังแบบที่ฝันกันสักที ใช่ไหมพวก” มาร์คัสเดินเข้ามากอดคอทั้งคู่อย่างสนิทสนม และทั้งสามก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

“แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำนะ…. ทั้งสามคน” เสียงเย็นๆ นั่นเป็นเสียงของแอนน์ เด็กสาวผมสั้นที่กำลังยิ้มเย็นมาทางพวกเขา “กลับไปเริ่มทำงานกันเดี๋ยวนี้เลย”







ว่าแล้วเด็กหนุ่มทั้งสามก็โดนลากกลับห้องสภา สถานที่ซึ่งพวกเขาคุ้นเคยดี ระหว่างทางมีแต่คนแสดงความยินดีกับทีมสภาที่เป็นผู้ชนะในปีนี้...





เป็นการเริ่มต้นปีที่ดี… และหวังว่าจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดทั้งปี





……………….





กว่าแดริลพบวินเซนต์ก็คาบว่ายน้ำในช่วงบ่าย… เจ้าคนน่าโมโหนั่นว่ายตีปีกท่าฟรีสไตล์อย่างสบายอารมณ์ ดูแล้วชวนอยากเขวี้ยงโฟมใส่อย่างมาก





สระน้ำโรงเรียนเป็นสระในร่มขนาดใหญ่ มีอัฒจันทร์อยู่รอบๆ กับห้องอาบน้ำแยกชาย-หญิง





ในวันที่อากาศสบายๆ กำลังดี ทุกคนต่างเล่นน้ำกันก่อนที่โค้ชวิทเทกเกอร์จะมาถึง แต่แดริลกลับลงเล่นไม่ได้…





“เฮ้ แดริล! ท่านประธาน! ไม่เปลี่ยนเสื้อเหรอ!?” เจฟฟ์ที่กำลังตีแขนเล่นน้ำตะโกนทัก ได้ยินแล้ววินเซนต์ก็หยุดแขน หันมองมาพร้อมทั้งฉีกยิ้มน่าหมั่นไส้





เด็กหนุ่มผมดำรีบยิ้มตอบ แต่มือกำเสื้อพละที่สวมอยู่แน่น..





“ลืมเอาชุดมา… วันนี้คงขอวิ่งรอบสระแทน”

“โธ่ น่าสงสารจังเพื่อน” เจฟฟ์ทัก แล้วก็ต้องหยุดไปให้ความสนใจเสียงเอะอะอีกทาง





“วินซ์ หลังนายไปโดนอะไรมาน่ะ?” เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งถามขึ้น ทำให้วินเซนต์เอี้ยวตัวหันหัวไปดูด้านหลัง แผ่นหลังกว้างนั้นมีรอยข่วนที่ค่อนข้างชัดเจนอยู่หลายรอยกับรอยแดงอีกหลายจุด และเจ้าตัวก็ไม่คิดจะปิดบังมันแม้แต่น้อย





“โอ้โห.. นั่นจากสาวนอกโรงเรียนของนายใช่ไหมพวก” เจฟฟ์ถองศอกใส่กัปตันทีมอเมริกันฟุตบอลที่กำลังยกยิ้มขำเบาๆ

“แค่แมวข่วนน่ะ แมวตัวโต” พูดจบก็เหลือบมองคนที่กำลังยืนหน้าแดงอยู่ริมสระ…

“ฉันว่าไม่ใช่แมวแล้วล่ะแบบนี้ อยากเห็นชะมัด สาวฮอทคนไหนที่ทำให้คนแบบนายหลงขนาดนี้วะ” เจฟฟ์

“นั่นสินะ” คนตอบดูกำลังสนุกกับการมองปฏิกิริยาของคนข้างสระต่อไป จนโค้ชวิทเทกเกอร์มาทุกคนถึงแยกย้ายไปเตรียมเริ่มคาบพละ





“อ้าว เชน ทำไมใส่ชุดนี้มา ลืมชุดว่ายน้ำเหรอ?” ชายวัยกลางคนไว้หนวดร่างสูงใหญ่เอ่ยปากถาม แดริลก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วพยักหน้า “ช่วยไม่ได้นี่นะ เธอไปวิ่งรอบสระกับสาวๆ พวกนั้นแล้วกัน”



แล้ววันนั้นที่เริ่มต้นด้วยดีก็จบลงด้วยการที่ท่านประธานสภานักเรียนจำใจต้องวิ่งรอบสระกับสาวๆ ที่ประจำเดือนมาเลยลงว่ายน้ำไม่ได้…







…..



.





เย็นจนเกือบมืด กว่าพวกเขาจะได้กลับบ้าน เนื่องเพราะคนหนึ่งต้องทำงานคัดนักกีฬาใหม่ อีกคนก็ต้องแจกแจงงานสภา วางตารางของทั้งปี ทำหน้าที่ที่ตนเองแย่งชิงมาจนสำเร็จ





ในรถสีแดงคันใหญ่ เด็กหนุ่มทั้งสองคนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน จากนั้นจึงหันมาสบตาแบบไม่ได้นัดหมาย





“ฉันยังไม่ได้บอกยินดีกับนายเลย ใช่ไหม ท่านประธาน?” รถยันไม่แล่นออกจากที่จอด มือใหญ่ถึงว่างพอจะตบบ่าคนข้างๆ

“อืม… แต่จริงๆ ก็ต้องขอบคุณนายด้วย ที่ช่วยล็อบบี้ให้…” ร่างบางกว่าเอียงหัวเล็กน้อย แนบแก้มกับมือที่วางลงมา

“ขอบคุณแค่คำพูดมันไม่พอหรอกนะ” วินซ์

“ให้ไปตั้งเยอะแล้วนายยังจะเอาอะไรอีก” แดริล

“นั่นนายเพิ่งจ่ายแค่ดอกเบี้ย เงินต้นยังคืนไม่หมดเลย” วินซ์

“รีบๆ ขับรถไปเลยไป” แดริล





แต่แทนที่เจ้าของรถจะขับรถออกไป เขากลับเขยิบตัวมาดึงคันโยกข้างที่นั่งของคนข้างๆ ปรับให้เก้าอี้ร่วงเอนหลังไปแบบกะทันหัน





“วินเซนต์!!” เด็กหนุ่มพยายามผลักร่างสูงใหญ่ออกไป “อย่าเล่นอะไรไม่เข้าท่าน่า นี่ลานจอดรถนะ”

“ฉันขอดูนิดเดียว” พูดแล้วก็จับปลดกระดุมอย่างเชี่ยวชาญ แหวกสาบเสื้อคนใต้ร่างออก ผิวขาวใต้นั้นมีรอยแดงกับรอยฟันอยู่เต็มไปหมด ไล่จากต้นคอลงไปถึงใต้กางเกง





แดริลหน้าแดงจัด พยายามผลักต่อไปจนเหนื่อยหอบ เห็นว่าไม่เขยื้อนเลยสักนิดก็ยอมแพ้





“ยังไม่หาย นายถึงไม่กล้าลงน้ำนี่เอง” วินเซนต์ฉีกยิ้ม





ใครมันจะไปหน้าด้านแบบนายล่ะ



“ฉันถึงบอกไงว่าอย่าทำให้เป็นรอย! มันหายไม่ทันคาบว่ายน้ำ! ” ทุบให้หายแค้นไปสักที-สองทีแล้วก็หยุดเพราะเหนื่อย รู้สึกว่าทุบยังไงมันก็ไม่สะทกสะท้าน





“แต่ฉันชอบ” ท้องนิ้วสากไล้บนรอยแดงที่ทิ้งเอาไว้เบามือ “เอาเถอะ จนกว่าจะหมดช่วงว่ายน้ำของวิชาพละ.. ฉันจะระวังมากขึ้นแล้วกัน”





พูดจบก็ก้มลงจูบซ้ำรอยแดงบนอกของร่างบางกว่าจนแดริลสะดุ้งเบา นักกีฬาหนุ่มถอยออกไปติดกระดุมเสื้อกลับเข้าที่ และไม่ได้ทำอะไรเกินเลยอีก





ท่านประธานที่สภาพหมดความน่าเกรงขามค่อยๆ ปรับเก้าอี้ขึ้น มองคนข้างๆ อย่างขุ่นเคือง



“เล่นอะไรไม่เข้าท่า…” วินเซนต์หัวเราะ พักต่อมารถคันใหญ่ก็แล่นออกไปยังถนนใหญ่ มุ่งสู่ทางกลับบ้านตามเคย

“นายเป็นแฟนฉันนี่ ฉันต้องเล่นได้สิ” แดริลขี้เกียจเถียง.. “โดนนายข่วนฉันยังไม่ว่าอะไรเลย”





….….ก็เงียบเข้าไปใหญ่ จนสุดท้ายคนที่เป็นผู้โดยสารก็ทนไม่ไหว จับหักเปลี่ยนเรื่องเสียแบบนั้น





“ปีนี้พวกแมวมองจากมหาลัยฯ ดังมาทาบทามนายบ้างหรือยัง” พวกแมวมองจากมหาวิทยาลัยมักจะมาดูตามการแข่งขันระดับรัฐขึ้นไป เพื่อคัดเลือกและพิจารณาให้ทุนกีฬาแก่นักกีฬาที่มีความสามารถ แต่ละที่มักจะมีทุนกีฬากับโควตาเพื่อดึงตัวคนเก่งๆ ไปเข้าทีม ถึงผลการเรียนจะไม่โดดเด่น แต่หากกีฬาเด่น คุณก็มีโอกาสจะได้เข้าเรียนที่ดีๆ เช่นกัน





น่าเสียดายที่ซีมัสไม่ได้มีผลงานโดดเด่นพอที่จะเข้าตาพวกแมวมอง สุดท้ายพี่ชายจึงตัดสินใจไม่เรียนต่อและไปเป็นทหารที่อิรักแทน…





“ก็มีมาคุยๆ ไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ที่ที่ฉันอยากไปจริงๆ ยังไม่มา” วินซ์

“ที่ไหน?”

“แมสซาชูเซตส์…” แค่บอกชื่อรัฐ แดริลก็ร้อง ‘อ้อ‘ ออกมาเบาๆ

“ลีก็เล็งที่นั่น” แดริล

“แล้วนายล่ะ? ” วินซ์

“ฉันเล็งนิวยอร์กน่ะ สายที่ฉันอยากเรียน ไปยูนั้นจะเวิร์กกว่า” แดริล





วินเซนต์ตอบรับในลำคอ ไม่ได้คอมเมนท์อะไร ผ่านไปอีกครู่หนึ่งรถก็จอดสนิทที่หน้าบ้านแล้ว





แปลว่าพอเรียนจบแล้วก็ต้องแยกย้าย...





แดริลคิดขึ้นมาวูบหนึ่งก็ใจหาย… แดดยามเย็นสีส้มจัดส่องกระทบเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งของร่างสูงจนดูเหมือนภาพวาด เขาไม่ได้แสดงสีหน้า และก็ไม่ได้พูดอะไร





“... จริงสิ เกือบลืม” พูดจบเด็กหนุ่มผมดำก็ล้วงห่อของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเป้ ยื่นให้อีกฝ่าย “อาจจะเร็วไปหนึ่งวัน… แต่แฮปปี้เบิร์ธเดย์ วินซ์ แล้วก็ยินดีด้วยที่ได้เป็นกัปตันทีม”





ร่างซึ่งสูงกว่าเอื้อมมือรับถุงกระดาษสีดำห่อนั้นมาถือเอาไว้ เปิดมันออกและเทของข้างในออกมา เป็นพวงกุญแจลูกอเมริกันฟุตบอลที่ส่วนซึ่งเป็นแผ่นเหล็กสลักชื่อ Vincent





เด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีนิ่งไปพักหนึ่ง จับของในมือพลิกซ้ายพลิกขวา





“เห็นกุญแจรถนายไม่มีอะไรห้อย เลยว่าให้เป็นพวงกุญแจน่าจะดีสุด” แดริล

“...จริงๆ ฉันไม่ชอบใช้พวงกุญแจเพราะมันเกะกะน่ะ” วินซ์

“....” แดริล





ถึงจะรู้ว่าวินเซนต์เป็นพวกพูดจาขวานผ่าซากและตรงไปตรงมา แต่ก็อดหน้าเสียไม่ได้อยู่ดี





“ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องใช้หรอก โทษทีนะ ไม่รู้ว่าควรซื้ออะไรให้” คนให้ของไม่ได้น้อยใจ ไม่ได้โกรธ และไม่ได้ประชด เพียงถอนหายใจเบาๆ ด้วยความกลัดกลุ้ม





แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เมื่อเจ้าของรถดึงกุญแจรถออก จับเอามันมาห้อยกับของขวัญวันเกิดของตนเอง

“ก็ไม่เลวนักหรอก อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” วินเซนต์จูบหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ “รู้ไหมจริงๆ แล้ววันเกิดฉันอยากได้อะไร”





“อะไร? ” ดวงตาสีฟ้ามองปริบ





“นายไง… คืนนี้ค้างบ้านฉันไหม” คนพูดยิ้มกริ่ม





“......... นายจะเลิกลากเข้าเรื่องประเภทนี้สักวัน (ตอน) ได้ไหม” แดริลได้แต่ลูบหน้ากลุ้มใจ

“ทำไมล่ะ ผู้ชายวัยนี้เขาก็คิดกันทั้งนั้น หรือนายไม่คิด? ” เจ้าคนหน้าด้านเลิกคิ้วตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “เอาจริงนะแดริล บางทีนายก็ทำตัวเหมือนบาทหลวง ผ่อนคลายซะบ้าง”

“คิดก็ไม่จำเป็นต้องพูดเฟ้ย” แดริล

“อ๋อ เมาแล้วค่อยพูดใช่ไหม” วินซ์

“.....” แดริล

“พรุ่งนี้มีเรียน ฉันไม่ทำอะไรหรอก วันเกิดก็แค่อยากเห็นหน้านายเป็นคนแรกเฉยๆ” ไม่ว่าเปล่ายังคว้ามือไปจับไว้ คล้ายจะกันไม่ให้หนี “ได้ไหม?”





….ขี้โกงชะมัด





“...ได้”





เด็กหนุ่มรับคำสั้น… และหวังว่าเวลาแบบนี้จะสามารถอยู่ต่อไปอีกเนิ่นนาน





………..

…….

...





วันเวลาผ่านไปอย่างสงบสุขจนน่าเหลือเชื่อ… ไม่นานนักก็เข้าสู่เทอมสุดท้ายของชีวิตไฮสคูล





นอกจากโปสต์การ์ดจากอิรักที่ซีมัสส่งมาแล้ว ก็ยังมีซองสีขาวประทับตรามหาวิทยาลัยชื่อดังในนิวยอร์กส่งมาถึงบ้าน แดริลมองมัน จับพลิกหน้าพลิกหลังอย่างตื่นเต้น





เขาส่งสมัครไปหลายที่ และได้รับการตอบรับมาหลายที่แล้วเช่นกัน แต่ที่นี่คือตัวเลือกอันดับหนึ่ง…





เด็กหนุ่มค่อยๆ เปิดซองมือสั่น หวิดจะร่วงไปหลายที สุดท้ายก็หยิบแผ่นกระดาษออกมา แต่ก็ยังไม่กล้าเปิดดู… ตลอดเดือนที่ผ่านมาแดริลคอยสอดส่องเปิดกล่องจดหมายดูอย่างกระวนกระวาย เพื่อรอกระดาษแผ่นนี้มานานมาก





สูดหายใจลึกเพื่อเตรียมใจ สุดท้ายก็คลี่เปิดออก กวาดสายตาอ่านข้อความด้านในอย่างรวดเร็ว





ผ่าน!!!





เขาผ่านแล้ว!!!





“เยส!!” เด็กหนุ่มวัยสิบแปดร้องออกมาด้วยความดีใจ ถือกระดาษวิ่งเข้าไปในครัวอย่างลืมตัว “แม่ครับ! แม่! ผมเข้ามหาวิทยาลัย C ได้แล้ว!!”

แม่ที่กำลังอบขนมปังค่อยๆ ปิดเตา และหันมายิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน กล่าวยินดีกับเขาและบอกเขาว่าอีกครึ่งชั่วโมงให้มากินขนมปัง





ยังไม่จบแค่นั้น เขายังวิ่งไปบอกพ่อที่กำลังดูแข่งเบสบอล… แต่ปฏิกิริยาของผู้เป็นพ่อ ก็แค่พยักหน้ารับ.. และสนใจเกมบนทีวีต่อไป





ช่างแตกต่างกับตอนที่ซีมัสไปรบที่อิรักเอามากๆ ….





แดริลไม่ได้กล่าวอะไร เพียงเดินหันหลังกลับไปเงียบๆ แต่ขณะที่กำลังเดินจากไป เสียงของผู้เป็นบิดาก็กล่าวขึ้นประโยคหนึ่ง





“ได้ยินว่าเด็กบ้านซัมเมอร์ที่สนิทกับแกได้ทุนกีฬาไปเรียนที่ม. H ใช่ไหม อันดับสูงกว่าของแกอีกนี่ ฉันบอกแกแล้วให้หัดเล่นกีฬา ไม่รู้จักฟัง”





แดริลเพียงยืนนิ่งตรงนั้น ไม่ได้เถียง เขารู้ว่าพ่อเป็นคนแบบไหน ฉะนั้นป่วยการที่จะไปเถียงอะไร เพราะเถียงมาทั้งชีวิตแล้ว ก็ไม่อาจเปลี่ยนความคิดได้...





“....ครับ”





รับคำสั้นๆ จากนั้นก็ก้าวขึ้นบันไดเพื่อเข้าไปยังห้องของตนเอง ทุกย่างก้าวกลับรู้สึกหนักอึ้ง แตกต่างจากตอนเพิ่งเปิดซองจดหมายโดยสิ้นเชิง





ร่างที่สูงตามมาตรฐานเด็กหนุ่มวัยสิบแปดทิ้งตัวลงบนเตียง ระบายลมหายใจยาวและหลับตาลง





นานแล้วที่เขารู้สึกราวว่าโลกส่วนนี้ถูกปกครองโดยพวกนักกีฬาและพวกบ้าสงคราม… นานแล้วที่รู้สึกว่า ต่อให้ทำให้ตาย พ่อก็ไม่เห็นค่าเขา





ช่างเถอะ…





แดริลได้แต่คิดปลอบตัวเอง





อีกไม่นานเขาก็จะได้ไปนิวยอร์ก ออกห่างจากบ้านหลังนี้ที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกราวว่าตนเองเป็นตัวประหลาดที่ไม่ควรมีตัวตนอยู่ในสังคมเสียที





อีกไม่นานแล้ว… อีกไม่นาน





เขาก็จะได้หลุดพ้นจากเงามืดนี่เสียที





…………………….





งานพรอมเวียนมาถึงในเวลาไม่นาน… ทุกคนต่างกำลังจัดเตรียมและตกแต่งกันอย่างสุดความสามารถ แดริลเองก็วุ่นวายกับการคุมงานเช่นกัน ส่วนธีมของปีนี้คือ Yule Ball จากนิยายขายดีชื่อดังอันดับโลก แฮร์รี่ พอตเตอร์…





สภานักเรียนต้องหาของตกแต่งสีขาวจำนวนมากมาจัดวางในโรงยิม ทั้งต้นไม้ทาสีขาว ปูพรม ห้อยม่าน จัดแสง… การเนรมิตให้โรงยิมเก่ามีสภาพเป็นดินแดนในฝันไม่ใช่เรื่องง่าย จนแดริล เชน นึกอยากสาปแช่งไอ้คนที่โหวตเลือกธีมนี้กันมาเลยทีเดียว





ทางสภาตกลงกันแล้วว่าแดริลต้องเป็นพิธีกรร่วมกับมาร์คัส เขาไม่ได้มีโอกาสไปรับแคทจากบ้านหล่อนเสียด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่ต้องเตรียมความเรียบร้อยกันตั้งแต่บ่าย และซ้อมสคริปต์กันในช่วงเย็นก่อนงานเริ่ม
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 8 [06/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 07-12-2018 13:57:23
บทที่ 9 (2/2)

แสงไฟกะพริบถูกแขวนขึ้นบนกิ่งไม้สีขาวตลอดทางเข้างาน เหล่าสภานักเรียนที่ทำงานกันจนแทบกระอักเลือดยืนมองโรงยิมที่แปรสภาพเป็นป่าน้ำแข็งสีขาวที่ดูมีมนต์ขลังแบบในหนังกันน้ำตาแทบไหล





แต่พอนึกถึงตอนที่ต้องเก็บกวาดแล้ว… ทุกคนก็น้ำตาแทบไหลอีกเช่นกัน





เมื่อเลยเวลาเริ่มงานไปได้สักพักแล้ว เด็กหนุ่มผมดำยืนรอหน้างานด้วยสีหน้าสงบ คอยมองนาฬิกาเพื่อรอเวลานัด ไม่นานนักก็พบกับแคทที่ใส่เดรสสีขาวเหลือบเงินยาวแตะพื้น พร้อมกับส้นเข็มสีเข้ากัน เดินตรงมาทางเขาทั้งรอยยิ้ม





วันนี้เจ้าหล่อนเกล้าผมสูง แต่งหน้าดูบรรจงกว่าปกติ แต่เดิมที่เป็นคนสวยอยู่แล้วก็ยิ่งดูสวยเป็นพิเศษ





“ฮาย ที่รักคะ รอนานไหม” เด็กสาวทำเป็นควงแขนแฟนหนุ่มปลอมของหล่อน

“ไม่นานหรอก งานยุ่งไม่ได้หยุดเลย” แคทฟังแล้วก็หัวเราะ

“ก็เป็นท่านประธานนี่นา…” เธอลากเด็กหนุ่มเข้างาน โบกมือทักทายคนโน้นคนนี้ ยังคงสวมบทบาทเป็นคู่รักกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“แอชลีย์ล่ะ?”

“มากับเพื่อนเธอ… จอห์นน่ะ รู้จักไหม หมอนั่นก็เป็นเกย์นะคะ ฉันแนะนำให้ได้” แดริลฟังแล้วก็กลอกตาเล็กน้อย

“แคท...“ พูดตอบเพื่อนสาวด้วยเสียงเหนื่อยใจ...

“รู้แล้วย่ะ นั่นชมรมวารสาร ยิ้มเดี๋ยวนี้เลย” เธอกระตุกแขนเรียกแรงๆ ก่อนจะหันไปทางกล้อง ฉีกยิ้มหวานที่สุดที่สามารถทำได้เพื่อให้ภาพในหนังสือรุ่นออกมาสวยที่สุด





แดริลเพียงยกยิ้มให้กล้องเล็กน้อย ปล่อยให้พวกวารสารถ่ายจนพอใจแล้วก็ลากแคทไปยังมุมอาหารและเครื่องดื่ม

หันไปอีกทีแม่เพื่อนตัวดีก็ยกกระจกขึ้นส่องเช็คเมคอัพแล้ว





“วันนี้ฉันต้องสวยที่สุด ตำแหน่งพรอมควีนต้องเป็นของฉัน”

“สวยแล้ว… สวยแล้ว…”





เพราะเป็นพิธีกร ประธานนักเรียนจึงโดนบังคับให้ใส่ชุดแดงพาดผ้าคลุมขอบเฟอร์ตามในหนัง แค่คุณภาพต่ำกว่าและพยายามเลียนแบบให้เหมือนที่สุด… ถูกต้อง มันเป็นชุดของวิคเตอร์ ครัม..





เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องคอสเพลย์มางานพรอม ดูคนอื่นก็ไม่เห็นมีใครจะแต่งแนวพ่อมดมาสักคน แต่รองประธานของเขาบอกว่าถ้าจะให้มันตามธีม ยังไงพิธีกรก็จำเป็นจะต้องตามธีมให้สุด





แดริลอยากร้องไห้ ส่วนมาร์คัสดูเป็นพวกไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว ต่อให้ต้องใส่ชุดตัวตลกขึ้นเวทีไปเป็นพิธีกร เจ้าตัวก็ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด





ดวงตาสีฟ้าสอดส่องหาคนบางคนท่ามกลางฝูงชน ซึ่งก็หาไม่ยากเท่าใดนักเพราะเจ้าคนที่ว่าสูงจนโดดเด่น สังเกตเห็นได้ง่าย

วินเซนต์ถูกล้อมรอบด้วยพวกเพื่อนทีมนักกีฬา กำลังยืนคุยกันที่มุมเครื่องดื่มอย่างท่าทางสนุกสนาน





“ฉันไปหาพวกเพื่อนสาวฉันก่อนล่ะ” แคทเธอรีน.. แค่เห็นหน้าวินซ์ก็เบ้ปากขอตัวเดินหนีไปแล้ว… ไวจนแดริลไม่ทันได้เอ่ยปากห้ามด้วยซ้ำ...





และจังหวะนั้น ดวงตาสีเขียวเข้มก็มองมาทางเขา… และหัวเราะพรืดออกมา เรียกความสนใจจากคนอื่นๆ ด้วย

“วิคเตอร์ ครัม? ถามจริง?” พอกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็พบว่าวินเซนต์ไม่ได้ควงใครมาด้วย ตามที่เจ้าตัวได้รับปากไว้จริงๆ





“ความคิดลี…. หมอนั่นอยากให้พิธีกรช่วยดึงให้มันตามธีม….” แดริลนวดขมับ ขณะเดินเข้าไปทักทายพวกนักกีฬาตัวสูงผิดมนุษย์มนาพวกนั้น ลากผ้าคลุมเฟอร์ไปด้วย…



“แบบนี้เขาเรียกว่าคอสเพลย์ใช่ไหม เจ๋งไปเลย” เจฟฟ์เองก็ขำ มือยกขึ้นตบบ่าคนตัวเล็กกว่าเต็มแรง





อันที่จริงแดริลไม่ได้ตัวเล็ก เมื่อยืนกับแคทที่สูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสี่เซนติเมตรและใส่ส้นสูง เขาก็ยังสูงกว่าเจ้าหล่อน แต่เมื่อมายืนกับไอ้พวกนักกีฬาตัวใหญ่ผิดมนุษย์มนาพวกนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นตัวเล็กไปถนัดตา…



“สีแดงก็ดีนะ” ครั้งนี้เป็นวินเซนต์พูด ทั้งยังลูบคางมองมาด้วยท่าทางหยอกล้อ คนฟังก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

“เดี๋ยวฉันต้องขึ้นเวทีไปประกาศแล้ว นายก็เตรียมตัวล่ะ” เห็นวินเซนต์ลอบถอนหายใจเล็กน้อยแดริลก็อดขำออกมาไม่ได้ ท่าทางไม่อยากเต้นรำกับสาวฮอทที่สุดในโรงเรียนนั่นอะไรกัน แตกต่างจากตอนพบกันครั้งแรกโดยสิ้นเชิงเลย เห็นท่าแบบนั้นก็อดเดินไปแตะไหล่และกระซิบเตือนข้างหูไม่ได้



“ระวังเท้านายด้วย” แดริล





“....” วินซ์





ท่านประธานโบกมือให้ ก่อนจะหนีไปขึ้นเวทีเตรียมประกาศตำแหน่งพรอมคิงและพรอมควีน ที่เอาเข้าจริงคนส่วนมากก็เดาได้อยู่แล้วว่าใครจะได้ จึงไม่ค่อยน่าลุ้นแต่อย่างใด





ไฟทั้งห้องดับลง เหลือไว้เพียงไฟที่ส่องไปยังเวที แดริลและมาร์คัสในชุดสีแดงพร้อมผ้าคลุมสะดุดตาเดินขึ้นเวทีพร้อมโบกมือให้ผู้ชมน้อยๆ





“สวัสดีทุกคน สวัสดี! เป็นยังไงกันบ้าง! ขอเสียงหน่อยเร็ว!!” มาร์คัสเป็นคนเปิดก่อน หมอนี่มีพรสวรรค์ในการคุมผู้ชมเป็นอย่างมาก ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเชียร์ดังมาจากทุกทาง “ยินดีต้อนรับสู่งานพรอมประจำปีของบลูฮิลล์ไฮ!!!"





แดริลแค่ยืนยิ้มวางมาดนิ่งๆ ตามที่ทำเป็นประจำ รอจนเสียงเชียร์และโห่ร้องเงียบลงแล้วถึงเริ่มพูดบ้าง





“ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณสภานักเรียนและอาจารย์ รวมทั้งสต๊าฟของโรงเรียนทุกคนที่มีส่วนร่วมในการจัดงานนี้” เสียงฝูงชนค่อยๆ เงียบลงเป็นการตั้งใจฟังแทน แดริลยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อยขณะพูดใส่ไมค์ “...และต่อไปนี้… จะเป็นการประกาศชื่อพรอมคิงและพรอมควีนในปีนี้ ทุกคนพร้อมกันหรือยัง!? ”





“พร้อม!!” เสียงร้องดังมาจากทุกทาง ทำเอาท่านประธานสภานักเรียนหัวเราะเบา หันไปมองลีที่ยืนชูนิ้วโป้งอยู่ข้างเวทีเล็กน้อย แล้วก็โยนบทให้มาร์คัสต่อ… “มาร์คัส นายมีรายชื่อพร้อมแล้วใช่ไหม?”





“แน่นอนท่านประธาน” เด็กหนุ่มผิวสีดึงซองกระดาษออกมาจากในผ้าคลุม “แต่ โอ๊ะ เดี๋ยวก่อน จะรีบประกาศมันก็ไม่ได้ลุ้นน่ะสิ เราควรคุยกับทุกคนกันก่อนหรือเปล่า? ”





“จะเอาอย่างนั้นก็ได้ คุยเรื่องอะไรดีล่ะ? ” แดริล





“เรื่องชุดที่เราใส่กันตอนนี้เป็นไง ใครรู้ไหมว่าไอ้ชุดสีแดงแสบตาที่พวกเราใส่อยู่นี่คือชุดของใคร” ทุกคนตะโกนตอบมาแทบเป็นเสียงเดียวกันว่า วิคเตอร์ ครัม…. อาจเพราะหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคสี่เพิ่งจะประกาศฉายในสิ้นปีนี้เอง… กระแสกำลังมา ธีมปีนี้ก็เลยเป็นยูลบอลตามหนังสือ...





“ไม่เอาน่า มาร์คัส เรื่องชุดนั่นใครๆ ก็คงรู้กันอยู่” แดริล





“แหง แต่เหมือนพวกเราจะตามธีมมันกันอยู่สองคนนะแดริล” มาร์คัส





“เหมือนทุกคนจะรอไม่ไหวแล้ว นายก็ประกาศไปเถอะ” แดริล





ขณะนั้นเอง แอนน์ก็แอบย่องขึ้นมาด้านหลังพวกเขาสองคน พร้อมมงกุฎของคิงและควีนในปีนี้ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ของราคาแพงอะไร…. เป็นของเล่นตามงบด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนสาวๆ จะอยากแย่งชิงมงกุฎนี้กันมาก





“เอาล่ะ… ถ้าอย่างนั้น ขอดนตรีหน่อยดีเจ!” มาร์คัสหันไปทางดีเจที่กดเปิดเพลงให้ทันทีอย่างรู้งาน เสียงกลองบรรเลงขึ้นเพื่อเพิ่มบรรยากาศให้ทุกคนช่วยกันลุ้น “แล้วพรอมคิงปีนี้ก็คือ…. วินเซนต์ ซัมเมอร์!! ยินดีด้วยวินซ์!!”





แสงไฟฉายไปยังร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่กลางห้อง รอยยิ้มมั่นใจนั่นคล้ายจะบ่งบอกว่าแน่นอนสิ ตำแหน่งนี้มันต้องเป็นของฉันอยู่แล้ว (...)





วินเซนต์ในชุดสูทก้าวยาวๆ ขึ้นเวที เดินมาถึงก็ก้มมองประธานนักเรียนที่ถือมงกุฎในมือ เอื้อมแขนเล็กน้อยเพื่อวางมันลงบนผมสีทองของอีกฝ่าย

แดริลยื่นไมค์ให้พรอมคิงกล่าวอะไรกับเหล่าผู้คนล่างเวทีที่กำลังส่งเสียงเชียร์กันอึกทึก โดยเฉพาะพวกทีมอเมริกันฟุตบอลตัวยักษ์ตรงนั้น...





อันที่จริงมันก็แปลกมากที่ปีนี้พรอมคิงกลับไม่ได้ควงสาวมาสักคน… หลายคนก็ว่าแปลก แต่เจ้าตัวพอใจให้เป็นแบบนั้นใครจะไปว่าอะไรได้





“ขอบคุณพวกนายทุกคนที่โหวตให้ฉัน… สามปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ดีมาก ฉันดีใจที่ได้เจอและรู้จักพวกนายทุกคน ขอบใจนะ” พูดแค่สั้นๆ ก็เรียกเสียงตอบกลับดังมาก วินเซนต์ไม่ใช่พวกชอบพูดอะไรยืดยาวอยู่แล้ว ยื่นไมค์คืนแทบจะทันทีเหมือนเขาไม่ได้รู้สึกดีใจกับตำแหน่งที่ได้อะไรขนาดนั้น… แต่ทุกคนก็รักหมอนี่อยู่ดี



“พรอมคิงก็จบไปแล้ว… ต่อไปเรามาลุ้นตำแหน่งพรอมควีนกันดีกว่าว่าจะเป็นของสาวคนไหน! ”มาร์คัสพูดต่อทันทีเพื่อไม่ให้เสียจังหวะ…





และก็ตามคาด คนที่เป็นพรอมควีนคือแคทเธอรีน บราวน์





เด็กสาวที่ตอนนั้นยืนอยู่กับแอชลีย์ปาดน้ำตากุมอกปลาบปลื้มอย่างเสแสร้งสุดๆ (ในสายตาแดริล) ท่านประธานลอบหันหนีไปกลอกตาแทบไม่ทัน เจ้าหล่อนเดินนวยนาดลากกระโปรงยาวขึ้นมารับมงกุฎและไมโครโฟนไปอย่างรู้งานราวว่าซ้อมมาแล้วเป็นร้อยรอบ…





แถมสิ่งที่พูดออกไมค์ก็ยาวอย่างกับสุนทรพจน์ บ่งบอกว่าเขียนบทมาและท่องมาดีมาก… แดริลอดกลอกตาไม่ได้จริงๆ กับที่เจ้าหล่อนว่า ‘ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย’ ‘เหลือเชื่อมาก’ ‘ฉันดีใจและเซอร์ไพรส์มากค่ะ’





แม่คนตอแหล….





ดีเจเริ่มเปิดเพลง วินเซนต์ผายมือพร้อมทั้งยิ้มบาง…. หากรู้จักกับอีกฝ่ายดีจะมองออกทันทีว่านั่นยิ้มเสแสร้ง… แคทเธอรีนเองก็แสร้งฉีกยิ้มหวานหยด พากันไปเปิดฟลอร์เต้นรำ





เพลงที่ดีเจเลือกเปิดเป็นเพลงบรรเลงช้า คนสองคนที่กำลังเต้นรำกันช่างดูเหมาะสมกันเหลือเกิน





หากแต่พวกเขาก็รู้กันดีว่าความเป็นจริงเบื้องหลังภาพอันสวยงามนั้นคือวินเซนต์กำลังชักเท้าหลบแคท ส่วนแคทก็แทบจะโดนจับยกจากพื้นเพื่อกันไม่ให้เจ้าหล่อนกระทืบรองเท้าหนังของคู่เต้น





แดริล เชน ดูแล้วก็อดยกยิ้มขำกับภาพอันสวยงามนั่น ที่หากสังเกตรายละเอียดดีๆ แล้วจะรู้ว่ามันช่างน่าปวดหัวไม่ได้





แต่ในใจของเขาก็เศร้าอยู่บ้าง ที่ไม่อาจยืนเคียงข้างวินเซนต์ได้ในเวลาแบบนี้… สถานที่แบบนี้





เขาไม่สามารถเป็นคนที่วินซ์แนะนำให้ใครรู้จักในฐานะคนรักอย่างน่าภาคภูมิใจได้ และไม่ว่าจะพยายามมากกว่านี้อีกสักกี่เท่า ก็ไม่มีทางจะเป็น ในใจรู้ดี แต่เด็กหนุ่มก็ยังดึงดันที่จะอยู่...





พอเพลงจบคู่พรอมคิงและควีนคู่นั้นก็แยกจากกันแทบจะทันที ทำเอาคนบนเวทียิ้มขำ แดริลวางไมค์ลง ตบบ่าเบาๆ วานให้มาร์คัสจัดการรับช่วงต่อและลงจากเวทีไปตรวจดูความเรียบร้อยส่วนอื่น จากนั้นไม่นานก็โดนแคทลากไปที่ฟลอร์เต้นรำ ยังคงจำเป็นต้องแสดงเป็นแฟนหนุ่มแสนสมบูรณ์แบบต่อไป





“ชิ ฉันเหยียบไม่โดน”





ได้ยินเสียงกระซิบแบบเจ็บใจนั่นแล้วแดริลก็หัวเราะเบา ขณะที่ดวงตาสีฟ้าสอดส่องคอยจะหาแต่วินเซนต์





ตั้งแต่ต้นจนจบงาน นอกจากแคทแล้วคนคนนั้นไม่ได้เต้นรำกับใครอีกเลย...





แดริลทั้งดีใจและเสียใจไปในเวลาเดียวกัน..







…………..





หลังงานพรอม ทุกคนก็ทยอยกันไปปาร์ตี้อาฟเตอร์พรอมซึ่งจัดกันที่คลับในเมือง





เด็กหนุ่มเปลี่ยนออกจากชุดวิคเตอร์ ครัมสีแสบตาเป็นสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงธรรมดา แล้วก็โดนคนรักที่ยืนรออยู่แล้วจับลากขึ้นรถแทบจะทันที





“รอนานไหม?” แดริล

“ไม่หรอก” วินซ์

“นายไม่ไปกับพวกนั้นจะไม่เป็นไรเหรอ…” แดริล

“ใครจะว่าอะไรฉันล่ะ แล้วนายไม่ไปกับแคทจะดี? ” วินซ์

“แม่ควีนบีนั่นทิ้งฉันไปกับแก๊งเชียร์ลีดเดอร์แล้ว” แดริลหัวเราะเบา





จู่ๆ ริมฝีปากก็ถูกแนบจูบ… เมื่อผละออกร่างสูงกว่าก็เอ่ยปากชวนกึ่งบังคับ





“ไปดูวิวกัน” วินซ์

“แล้วอาฟเตอร์ปาร์ตี้ล่ะ?” แดริล

“สายหน่อยไม่มีใครว่าหรอก” วินซ์





พรอมคิงว่าแบบนั้นแล้วเขาจะพูดอะไรได้… เด็กหนุ่มพยักหน้ารับน้อยๆ รถก็แล่นออกไปอย่างเชื่องช้า





ในหัวสมองของแดริลมีหลายเรื่องที่ต้องคิด… หลังจากนี้เขาต้องย้ายไปนิวยอร์ก วินเซนต์เองก็ไปไกลถึงแมตซาชูเซตส์ ระยะเวลาเดินทางด้วยรถก็ห่างกันเกือบห้าชั่วโมงเข้าไปแล้ว..





จะไปรอดหรือเปล่านะ...



ดวงตาสีฟ้าลอบมองคนที่กำลังขับรถอยู่ข้างๆ ที่ไม่ได้แสดงท่าทีบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรเลย…





เรียนจบแล้วเราจะเลิกกันไหม





แดริลไม่กล้าที่จะถาม เพราะเขากลัวคำตอบ สุดท้ายจึงกล้ำกลืนความสงสัยกลับลงคอ และตัดสินใจเก็บมันไว้แบบนั้น





คิดมากจนรู้ตัวอีกทีรถคันสีแดงก็จอดที่หน้าสวนสาธารณะ วินเซนต์เปิดประตูก้าวเดินลงไปก่อนจนผู้โดยสารตั้งตัวไม่ทัน รีบปลดเข็มขัดนิรภัยตามลงไป





ร่างสูงใหญ่เดินเร็วจนน่าใจหาย เสียจนเขาต้องก้าวให้ไวขึ้นเพื่อตามให้ทัน





สวนสาธารณะยามดึกแบบนี้แทบไม่มีคน วินซ์พาอีกฝ่ายเดินมาจนถึงมุมลับตาที่ริมน้ำ กว่าจะตามทันเด็กหนุ่มก็เริ่มหอบแล้ว





“ช้าหน่อยสิ วินซ์”





ยังไม่ทันได้พักหายใจ รู้ตัวเอวก็โดนรวบจับ มือข้างหนึ่งถูกยึดไว้เช่นกัน…





ท่านี้มัน…





“นายจะทำอะไร...”

“เห็นในงาน สายตาเหมือนนายอยากเต้นรำกับฉัน” ฟังจบแดริลก็ก้มหน้าหลบตาทันที แต่แก้มที่ขึ้นสีน้อยๆ บ่งบอกว่าเขาถูกจับได้แบบคาหนังคาเขาแล้ว…

“แล้วทำไมฉันต้องเต้นท่าฝ่ายหญิงด้วย” แดริลหรี่ตา

“ก็นายเป็นเจ้าหญิง” วินซ์

“ฉันเป็นผู้ชาย! ที่! โต! แล้ว!” แดริล

“ฉันก็ผู้ชาย ใจคอนายจะให้ฉันเต้นท่าฝ่ายหญิงเหรอ…” วินซ์

“ใช่!” แดริล

“ฉันไม่อยาก… แต่ฉันอยากเต้นรำกับนาย” ดวงตาสีเขียวสบมองอย่างจริงจัง กึ่งขอร้อง กึ่งบีบบังคับ

“....” เด็กหนุ่มผมดำนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ มุ่นคิ้วน้อยๆ อย่างไม่ชอบใจ แต่พอมองสายตาของคนรักนานเข้า คำว่า ‘ไม่เอา’ ที่ติดอยู่บนริมฝีปากก็ค่อยๆ จะถูกกลืนกลับลงท้องไป…





ก็ใครใช้ให้เขาเป็นคนที่ตามใจแฟนจนติดเป็นนิสัยขนาดนี้...





“...อยากทำอะไรก็ทำเถอะ” แดริล

“นั่นน่ะ นายไม่ต้องบอกฉันก็ทำอยู่แล้ว” วินซ์ฉีกยิ้ม





นี่นาย…





รู้ตัวอีกทีก็โดนจับให้วางมือบนบ่าหนา ขาก้าวตามไปแบบช่วยไม่ได้





ในสวนที่เงียบสงัด มีเพียงแสงจันทร์กับแสงไฟจากเสาไฟที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เงียบสงัดไม่มีเสียงดนตรี เด็กหนุ่มกำลังไล่ตามจังหวะที่ไม่อาจได้ยินด้วยหู

ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแบบนี้มาแต่เริ่ม วินเซนต์เป็นคนกำหนดว่าจะไปเร็วขนาดไหน ส่วนเขาก็ถูกดึงให้ตามมาเรื่อยๅจนลงเอยที่จุดนี้ …





แต่วินซ์ก็คือวินซ์แบบนี้… มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้





เด็กหนุ่มผมดำเงยหน้าขึ้น คำหนึ่งหลุดออกจากปาก เป็นคำที่เขาเคยตั้งใจไว้ ว่าจะไม่พูด





“ฉันรักนาย… วินซ์”





จังหวะการก้าวขาชะงักไปเล็กน้อย แวบหนึ่งที่แดริลเห็นความสับสนใจดวงตาสีเขียวคู่นั้น แล้วจู่ๆ ก็ไม่เห็นอีกเพราะร่างไม่หนาไม่บางถูกดึงเข้าไปกอด จมลงกับอกอีกฝ่าย





วินเซนต์กอดแน่นแทบจนเขาหายใจไม่ออก





“อืม” อีกฝ่ายตอบรับเพียงเท่านั้น… และก็ไม่ได้กล่าวคำพูดใดอีก





เป็นความทรงจำในปีนั้นที่แดริลจำได้ดี เก้าปีต่อมาก็ยังจำได้ดี... มีแค่คำว่า ‘...อืม’ ที่แสนเรียบง่ายเท่านั้น





และอาจเป็นจังหวะนั้นเอง… ที่ในใจของเขาสังหรณ์ไม่ดีเอาเสียเลย

------------------------------------------

สามารถติดตามอัพเดตได้จากทวิตเตอร์เราที่แอค @anonymmeow นะคะ ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 9 [07/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-12-2018 14:07:16
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 9 [07/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-12-2018 14:35:24
 :pig4:  เวลาแห่งการจากลามาถึงแล้ว
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 9 [07/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 07-12-2018 14:36:57
ไม่ใช่มาหลอกคบกับน้องเพราะเพื่อนท้าหรอกนะ นิสัยเด็กเมกันเป็นงี้ซะด้วยสิ ฟฟฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 9 [07/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-12-2018 18:50:09
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 9 [07/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-12-2018 19:51:49
ชอบบบบบบบบบ........   :mew1:
พล็อตเรื่องดี  เขียนดี นิยายคุณภาพ  พื้นฐานชีวิตจริงในสังคม  :katai2-1:  :katai2-1:  :katai2-1:
ตามอย่างใจจดจ่อ   :z3:

วินซ์  แดริล   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 9 [07/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-12-2018 00:06:45
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 9 [07/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 08-12-2018 18:47:39
บทที่ 10 “End of The Road” (1/2)







นิวยอร์กเป็นเมืองป่าคอนกรีตตามที่คนได้กล่าวกัน พอเงยมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็จะเห็นสีเทาขมุกขมัวที่ผสมปนมากับสีฟ้าอ่อน





แคท และแอชลีย์ตัดสินใจเช่าอพาร์ทเมนต์เล็กๆ ที่มีห้องนั่งเล่นรวม ห้องครัว และห้องนอนสองห้อง อยู่ด้วยกันในย่านที่จัดว่าไม่ดีไม่เลวนัก ซึ่งในช่วงวันหยุดแดริลก็มักจะมาเยี่ยมพวกหล่อนเสมอ บางครั้งก็นอนค้างในห้องนอนว่าง





อันที่จริงเขาก็คิดว่าเมื่อจบปีหนึ่งก็จะทำเรื่องย้ายออกจากหอมหาวิทยาลัยมาอาศัยอยู่กับสองสาวเช่นกัน การหารสามค่าอพาร์ทเมนต์ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และตัวเขาเองก็ไม่ได้ชอบชีวิตหอพักเพราะเหตุผลด้านความเป็นส่วนตัว ติดแต่เป็นธรรมเนียมบังคับว่าเด็กปีหนึ่งทุกคนต้องอยู่หอใน





เพราะค่าเช่าห้องในมหานครแห่งนี้นั้นแพงแสนแพง หากไปย่านที่ถูกกว่านี้ก็มีการก่อเหตุอาชญกรรมสูง เรียกได้ว่าได้ยินเสียงปืนลั่นกับเสียงหวอของรถตำรวจกันเป็นเรื่องปกติ หากจะย้ายออกมาอยู่ข้างนอก การมาหารสามค่าเช่าแบบนี้ก็จัดว่าเป็นอะไรที่คุ้มกว่า แถมที่ตั้งของอพาร์ทเมนต์แห่งนี้ก็ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย C มากนัก





… ส่วนคำถามว่าแคทกับแอชลีย์มาทำอะไรที่นิวยอร์กนั้น เรื่องมันมีอยู่ว่า แคทใฝ่ฝันจะเป็นนางแบบอาชีพบนรันเวย์ระดับโลกมานานแล้ว อันที่จริงเขาไม่เคยเล่า ว่าตั้งแต่สมัยเรียน แคทรับงานพิเศษถ่ายแบบให้กับแบรนด์เสื้อผ้าเล็กๆ อยู่หลายแบรนด์... แต่เธอต้องการมากกว่านั้น และบังเอิญว่าเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่ธุรกิจแฟชั่นเฟื่องฟู เจ้าหล่อนจึงมาแสวงโชคเสี่ยงดวง ไปออดิชั่นวันเว้นวันเพื่อเริ่มไต่เต้าในวงการ





ส่วนวันไหนไม่ได้ไปออดิชั่นหางาน ก็จะทำงานพิเศษเสิร์ฟอาหารเพื่อมาจ่ายค่ากินอยู่ แต่เจ้าหล่อนก็ไม่ได้เป็นสาวเสิร์ฟนานนักเพราะถึงนิวยอร์กไม่กี่เดือน แคทก็ได้เข้าวงการนางแบบแล้ว แต่นั่นเป็นเรื่องในภายหลัง





ส่วนแอชลีย์มาเรียนสายแฟชั่นที่โรงเรียนด้านแฟชั่นชื่อดังในนิวยอร์ก เธอเป็นสาวร่างเล็กผมแดง สวมแว่นตา ชอบถักเปียไม่ก็ผูกแกละสองข้าง ชอบใส่เสื้อผ้าไซส์ใหญ่กว่าตัวเองหนึ่งไซส์ ให้ความรู้สึกน่ารักน่าเอ็นดู บุคลิกก็เป็นคนพูดจาน่าฟัง น้ำเสียงอ่อนโยนดูใส่ใจคนอื่น อันที่จริงก็ไม่ใช่ไทป์สาวเชียร์ตามปกติ แต่ที่แอชเข้าทีมเชียร์ก็เพราะแคท





...แต่หากจะให้นินทา สาวร่างเล็กคนนี้น่ะมีอะไรมากกว่าภายนอกที่ดูนุ่มนิ่ม… แคทกลัวเจ้าหล่อนจะตายไป





“อรุณสวัสดิ์จ้ะแดริล” หญิงสาวร่างเล็กคนนั้นมักส่งยิ้มสดใสมาให้ในยามเช้าขณะที่ทอดไข่ดาวเป็นอาหารเช้าให้ทุกคนกิน ให้ความรู้สึกคล้ายๆ คุณแม่ไซส์มินิอยู่ในที





“อรุณสวัสดิ์ แอช” แดริลยิ้มและตอบคำ ขณะนั่งลงบนเก้าอี้ในครัว รอเวลาที่แคทจะตื่นนอนและออกมาจากห้องเสียที.. ซึ่งไม่นานนักแม่ควีนบีก็ออกจากห้องมาในสภาพผมเผ้ากระเซิงกับชุดนอน ไม่สนใจจะรักษาภาพลักษณ์แต่อย่างใด





“มอร์นิ่ง เรจิน่า จอร์จ” แดริล

“หุบปากไปเลยย่ะ ฉันเกลียดหนังเรื่องนั้น” แคท





เรจิน่า จอร์จ คือคาร์แรคเตอร์นางร้ายจากหนังเรื่อง Mean Girls ที่โด่งดังมากตั้งแต่ปี2004 ตลอดช่วงปีซีเนียร์แคทเธอรีนบราวน์ถูกแซวว่ามีความเป็นมีนเกิร์ลเกือบจะตลอดปี จนเจ้าหล่อนเกลียดหนังเรื่องนั้นไปเลย





หญิงสาวร่างสูงเพรียวนั่งลงบนเก้าอี้ รออาหารเช้าของหล่อน หันมามองเพื่อนเกย์ของตัวเองด้วยสีหน้าเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน เพื่อพบว่าชายหนุ่มกำลังก้มลงกดมือถือ





“ส่งข้อความอยู่เหรอ? ” แคท

“อืม… หาวินซ์น่ะ”

“....ยังจะพยายามอีกเหรอ…” หญิงสาวเป่าโกโก้ในถ้วยของตนเองให้หายร้อน “เขาไม่ตอบมากี่อาทิตย์แล้วล่ะ? ”

“....2” ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะให้คำตอบ

“อืม แล้วล่าสุดก็บอกว่า ‘ยุ่งอยู่ ไว้ทีหลัง’ แล้วก็หายไปเลยใช่ไหมล่ะ”

“....”





แคทเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาเป็นกังวล





“เอาจริงๆ นะ… ที่รัก--” ยังไม่ทันที่แคทจะพูดจบประโยค จานใส่ขนมปังธัญพืช สลัด และลวกแบบกึ่งสุกอย่างที่เจ้าหล่อนชอบก็ถูกวางลงตรงหน้าเสียก่อน



“อาหารเช้าของเธอจ้ะแคท” แอชลีย์ยิ้มหวาน แคทมีสีหน้าดูเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ขัด ก้มหน้าก้มตากินโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ…





แดริลรู้ดีว่าแอชลีย์คงจะกันไม่ให้แคทมายุ่งเรื่องนี้มากเกินไปด้วยความเป็นห่วง… และเขาก็เข้าใจ





แคทเธอรีนพูดมาหลายทีแล้วว่าการห่างกันขาดนี้มันก็คือการเลิกกันโดยไม่ได้พูดออกมานั่นละ.. แต่เขาก็ยังเฝ้าบอกตนเองซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่ามหาวิทยาลัยปีแรกนั้นงานยุ่งเสมอ อีกทั้งวินเซนต์อยู่ทีมกีฬาด้วยย่อมต้องยิ่งยุ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่





….จะไม่ว่างมาตอบก็ไม่แปลกหรอกมั้ง





เธอน่ะมันตาบอด บอดไปถึงคอมมอนเซนส์แล้ว เสียงแคทในหัวเขาแย้งขึ้นมา…





อันที่จริงแดริลก็สังหรณ์ไม่ดี… ไม่ดีมาตั้งแต่คืนงานพรอม… แต่เขาตัดสินใจที่จะกลืนความรู้สึกนั้นลงไปและปล่อยมันทิ้งเอาไว้ มองข้ามและไม่คิดจะเก็บมันขึ้นมาขบคิด





มันไม่ได้มีการบอกเลิก… กระทั่งวันสุดท้ายของไฮสคูล วินเซนต์ก็ยังจับมือของเขาเอาไว้ และกอดแน่นเสียจนอึดอัด





หลังจากนั้นข้อความที่ถูกส่งเข้ามาทั้งทางมือถือและโปรแกรมเมสเซนเจอร์ก็ลดจำนวนลงเรื่อยๆ …





แรกเริ่มก็มีการตอบรับบ้าง คุยถามไถ่กันอยู่บ้าง แต่ก็ค่อยๆ ลดจำนวนลงทุกที จนสุดท้ายวินเซนต์ก็แทบไม่ตอบ… และไม่ตอบอีกเลย





“ยอมรับความจริงเถอะ แดริล” แคทพูดประโยคนี้มาตั้งแต่อาทิตย์ก่อน





แต่ใจส่วนหนึ่งเขายังอยากจะเชื่อ… เพราะทุกครั้งที่เขาสงสัยหรือเคลือบแคลง คนคนนั้นจะดูหงุดหงิดและไม่สบายใจ





ตลอดอาทิตย์ต่อมาแดริลส่งข้อความไปอีกสองครั้ง ซึ่งไม่ได้รับการตอบกลับแต่อย่างใด… แรกเริ่มแดริลก็นึกกังวลว่าเกิดอะไรขึ้นกับวินเซนต์หรือไม่ แต่พอเห็นภาพอัปเดตในโซเชียลมีเดียก็รู้ว่าไม่ได้เกิดอะไรร้ายแรงขึ้นทั้งนั้น...



ประกอบกับตัวเขาค่อนข้างยุ่งเพราะเรื่องวุ่นวายที่เกี่ยวกับแคทเธอรีน หลังจากนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้พยายามติดต่อไปอีกทั้งอาทิตย์...





ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แคทยังทำงานเป็นสาวเสิร์ฟอยู่ร้านอาหารแนวคาเฟ่ท้องถิ่นใกล้อพาร์ทเมนต์… เจ้าหล่อนรู้ตัวมานานแล้วว่ามีสตอล์กเกอร์คอยตาม ในทุกวันยามดึกหลังจากที่หล่อนเลิกงาน แดริลจะออกไปรับเธอเสมอ





แต่ในอาทิตย์นี้มีวันหนึ่งที่เขาต้องทำโปรเจกต์ส่งอาจารย์ ทำให้ไปรับแคทสาย ไอ้โรคจิตใช้จังหวะนั้นคุกคามเธอ แต่ยังเคราะห์ดีที่ชายหนุ่มไปช่วยไว้ทัน ซัดไอ้สตอล์กเกอร์ไปหลายหมัด… แต่ในจังหวะที่ไม่ทันระวัง ไอ้ชั่วนั่นควักมีดพกออกมาจ้วงแทง ทำให้แดริลโดนเข้าไปหนึ่งแผลลึก ก่อนที่เจ้าของร้านสะดวกซื้อแถวนั้นจะเรียกตำรวจมาจัดการ





ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาล แคทเธอรีนร้องไห้น้ำตานองหน้าแบบไม่ห่วงสวย นั่งจับมือเขาทั้งตัวสั่นแบบที่แดริลไม่เคยเห็น ชายหนุ่มต้องบีบมือเธอเบาๆ บอกซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าไม่เป็นไร แม้จะเจ็บจนน้ำตาแทบเล็ด แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกเพราะกลัวว่าจะทำให้แคทตื่นตกใจกว่าเดิม





... จนกระทั่งแอชลีย์มา เจ้าหล่อนถึงสงบลง





แดริลมองหญิงสาวทั้งสอง… มองแอชลีย์ที่กอดแคทเอาไว้กระทั่งเพื่อนสนิทของเขาหยุดร้องไห้ บาดแผลที่แขนเจ็บแปลบ แล้วจังหวะนั้นจู่ๆ ก็นึกถึงวินเซนต์ขึ้นมา…





ชายหนุ่มใช้แขนข้างที่ไม่ถนัดหยิบมือถือขึ้นมากดอ่านข้อความ… ก็ยังคงพบว่ากล่องข้อความว่างเปล่าอยู่ดี





อันที่จริงก็รู้สึกได้ ว่าในใจรู้สึกเย็นเยียบขึ้นทุกวัน…





….แต่เขาไม่สามารถจบมันไปได้ทั้งแบบนี้ ยิ่งไม่สามารถปล่อยวางได้ทั้งที่มันยังค้างคา





ในวันต่อมา… แดริลจึงโทรหาลีที่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับวินเซนต์





….และในอาทิตย์ถัดไป เขาขับรถไปแมตซาชูเซตส์





“ก็ตามที่ฉันบอกนายไปทางโทรศัพท์นั่นแหละ… อยู่คนละคณะฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนักหรอก ฉันเรียนคณะฟิสิกส์ ส่วนหมอนั่นน่ะเรียนคณะสังคมวิทยา ไม่ได้เรียนด้วยกันหรอก” ลียังคงกล่าวเสียงเรียบหน้าตายแบบทุกครั้ง มือถือโค้กกระป๋อง ค่อยๆ จิบมันช้าๆ “แถมอยู่กันคนละหออีกต่างหาก”





“อืม… แต่นายพอพาฉันเข้าหอของวินซ์ได้ไหม” ชายหนุ่มชาวเอเชียมองอย่างสงสัย เกาหัวอย่างไม่ค่อยเข้าใจ





“นายก็ออกจะสนิทกับเขา ทำไมไม่เรียกออกมาล่ะ?”





คำถามนั้นแดริลตอบออกไปไม่ได้… จนแสดงออกมาทางสีหน้าว่าลำบากใจ





ข้อความไม่ตอบ… มือถือคงยิ่งไม่รับ





“ช่างเถอะเพื่อน… ไว้นายอยากเล่าเมื่อไหร่ค่อยเล่าแล้วกัน ฉันก็พอมีเพื่อนที่อยู่หอนั้นอยู่หรอก ขอให้ช่วยพาเข้าไปก็พอได้” ลีตบบ่าเพื่อนเบาๆ สีหน้าบ่งบอกอารมณ์น้อยมากแบบที่เป็นลี

“...ขอบใจ… จริงๆ นะ ลี” ขอบใจ… ที่ไม่กดดันให้ฉันต้องอธิบายอะไร

“ยังไงเราก็เพื่อนกันนี่ แต่ไว้ฉันไปนิวยอร์กฉันจะไปอาศัยนายพาเที่ยวบ้างนะ” ศอกของชายหนุ่มชาวเอเชียถองเบาๆ จากนั้นลีจึงลากเพื่อนสมัยไฮสคูลไปแนะนำให้เพื่อนอีกหลายคนรู้จัก





คนที่พาพวกเขาเข้าหอของวินเซนต์เป็นครึ่งเอเชีย และเป็นนักกีฬาทีมบาสเกตบอลชายของมหาลัยฯ … เหมือนว่าลีจะมีความสามารถในการเข้าหากลุ่มคนชาวเอเชียเสมอ ไม่รู้ทำไม… เห็นว่าเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยมาไม่นานก็ไปเข้าพวกชมรมคนจีน ชมรมเอเชีย-อเมริกัน และทำกิจกรรมอย่างจริงจังแล้ว...





“ยังไงก็ขอบใจนะชิน” ลีพูดขึ้นขณะที่พวกเขาอยู่ที่ประตูหน้าของหอ

“แค่นี้เอง ได้เสมอเลยบรูซ” ...บรูซคือใครน่ะเหรอ? บรูซก็คือลี ใช่แล้ว ชื่อต้นของลีก็คือบรูซ บรูซ ลีไงล่ะ…. แต่เจ้าตัวเกลียดการถูกเรียกว่า บรูซ ลี มากจนแนะนำกับทุกคนว่าให้เรียกตนเองว่าลีแล้วไม่ค่อยจะยอมใช้ชื่อบรูซ





นานแล้วที่แดริลไม่ได้ยินใครเรียกหมอนี่ว่า บรูซ …..





ลีขยับแว่นเล็กน้อย หว่างคิ้วมุ่นลงไม่ชอบใจ





“ฉันชื่อลี…”

“ได้เลย บรูซ ลี!” เหมือนนักกีฬาลูกครึ่งเอเชียคนนั้นจะชอบใจกับความ บรูซ ลี นี้มาจนเรียกเสียเต็มยศ ส่วนเจ้าขอชื่อก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเอือมระอา



แดริลตบบ่าเพื่อนให้กำลังใจ… พ่อแม่ทำร้ายด้วยชื่อประเภทนี้มันช่างน่าเห็นใจ..





หอพักมหาวิทยาลัยที่นี่ไม่ได้หรูหราไปกว่าหอที่เขาอยู่นัก ค่อนข้างเก่าตามสภาพหอทั่วไป และก็มีเสียงเอะอะตามทางเดินเหมือนทุกๆ ที่ซึ่งผู้ชายวัยคึกคะนองมาอยู่รวมกัน





การก้าวขึ้นบันไดแต่ละก้าวช่างหนักอึ้งสำหรับแดริล





“อันที่จริงฉันก็ชอบมาชวนหมอนั่นไปดูหนังโป๊เป็นเพื่อนกันบ่อยๆ ไปเคาะประตูเรียกเลยก็ได้นะ” ชิน กัลละเวย์ ชายหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกันพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงแบบไม่ได้สนใจบรรยากาศที่หนักอึ้งเลยแม้แต่น้อย..





ลีส่งสายตามาคล้ายจะบอกว่า ทำใจนะ หมอนี่มันก็เป็นแบบนี้แหละ… ซึ่งเขาก็ส่ายหัวยิ้มๆ อย่างไม่ถือสานัก





ในที่สุดคนทั้งสามก็มาหยุดยืนหน้าประตูสีน้ำตาลบานหนึ่งที่มีหมายเลขห้องอยู่ด้านหน้า ยังไม่ทันจะได้เตรียมใจ ชินผู้ซึ่งสูงพอๆ กับแดริลก็เดินเข้าไปเคาะประตูรัวๆ แบบไม่นึกเกรงใจใครทั้งนั้น





“เฮ้ วินซ์ เฮ้ เฮ้ เฮ้ เฮ้ เฮ้ พวกกกก นี่ฉันเองชินไง! นายมีแขกมาเยี่ยมแน่ะ!! ”





คำพูดและการกระทำทำให้ลีถึงกับเฟสปาล์ม…





“ขอโทษนะ เพื่อนฉันที่อยู่หอนี้ดันมีแต่ไอ้ทึ่มนี่… มันเข้ามาด้วยทุนบาสเกตบอลน่ะ….” ลีกระซิบบอกเพื่อนอย่างทนไม่ไหว





จู่ๆ ประตูก็เปิดออก มาพร้อมกับเจ้าของห้องที่ดูจะกำลังโกรธจัด





“หุบปาก!! ชิน กัลละเวย์! ฉันบอกนายกี่ทีแล้วว่า--” ดวงตาสีเขียวคู่นั้นหยุดมองที่ร่างด้านหลังคาเคาะประตู จากที่กำลังตะโกนใส่อารมณ์อยู่ก็ขาดช่วง





แดริลมองคนที่เขาไม่ได้พบมาหลายเดือน ซึมซับเสียงที่ไม่ได้ฟังมานาน….





วินเซนต์อยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน บนร่างกายมีร่องรอยแดงๆ ทั่วตัว และบนอกเห็นรอยกัดที่ยังดูใหม่อย่างชัดเจน





จู่ๆ ร่างเล็กบางร่างหนึ่งที่แต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อยนักก็รีบวิ่งสวนออกมาจากห้องและหนีออกไป อาจจะด้วยความอับอายหรืออะไร ตัวเขาก็ไม่ทราบ และไม่ทันได้มองใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นด้วย





เพราะดวงตาสีฟ้าจับจ้องแต่ที่วินเซนต์ที่นิ่งไป และมองตรงมาทางเขาด้วยแววตาสับสน





แดริลเห็นบรรยากาศไม่ค่อยดี ทั้งชิน ทั้งลีต่างก็เริ่มมีสีหน้าสงสัย





ชายหนุ่มผมดำฝืนยิ้ม คุมเสียงของตนไม่ให้สั่น





“ไงวินซ์ บังเอิญฉันผ่านมาแถวนี้เลยแวะมาเซอร์ไพรส์นายน่ะ ก็เลยวานให้ลีพาเข้ามา… โทษทีนะที่มาขัดจังหวะ” คำพูดออกจากปากแบบลื่นไหลและเป็นธรรมชาติที่สุด





“....ไม่เป็นไร” เหมือนวินเซนต์จะพูดออกมาได้แค่นั้น





“............. เอ่อ… ก็….พวกนายคงมีเรื่องต้องคุยกันใช่ไหม? …. งั้นเดี๋ยวพวกนายคุยกันไปนะ ฉันกับชินไปรอนายที่ร้านอาหารล่ะแดริล” ลีที่มองสลับซ้ายทีขวาทีระหว่างแดริลและวินเซนต์พอจะอ่านสถานการณ์แปลกประหลาดที่น่ากระอักกระอ่วนใจนี้ออก... และรู้สึกอะไรได้รางๆ... จึงรีบล็อกคอเพื่อนเวรเสียแน่นไม่ให้มันพูดอะไรออกมา และจัดการลากชินออกไปให้พ้นทางอย่างรวดเร็ว





ชายหนุ่มผมดำมองตามลีที่เดินห่างออกไป ขณะระบายลมหายใจออกมาน้อยๆ





“...ไปหาที่คุยกันดีไหม? ” เขายิ้มออกมา แต่ไม่สบตากับคู่สนทนา ที่ตอบรับเพียงคำสั้นๆ

“.....อืม”





เป็นเวลาค่อนข้างดึกที่คนบางตา ชายหนุ่มสอคนนั่งบนเก้าอี้ภายในบริเวณสวนมหาวิทยาลัย ระหว่างพวกเขาคือความเงียบอันน่าอึดอัด





จนสุดท้ายคนที่พูดออกมาก่อนคือแดริล





“...ทำไมไม่บอกฉันตรงๆ ” ถามไป แต่จริงๆ เขาก็รู้คำตอบ วินเซนต์ไม่เคยบอกเลิกใครก่อน แต่ใช้วิธีทำให้อีกฝ่ายทนไม่ไหวจนต้องไปเอง… แต่ในใจลึกๆ เขาก็คาดหวังว่าตนเองพิเศษกว่าสาวๆ ทีมเชียร์พวกนั้น





แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ต่างเลย…





“ฉันบอกไม่ลง…” เป็นคำตอบที่ทำให้แดริลนึกประหลาดใจอยู่บ้าง ดวงตาสีฟ้าเงยมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เป็นสีดำสนิท

“อืม” เขารับคำสั้น ยังคงไม่มองไปทางวินเซนต์ “...ฉันรอให้นายพูดอยู่”

“...อย่าบังคับฉัน แดริล” ในจังหวะนั้นเจ้าของชื่อไม่รู้ว่าผู้พูดมีสีหน้าเช่นไร… เพราะเขาไม่ได้มอง

“นายเริมมัน นายก็ควรจะจบมัน” แดริลยังคงพูดเสียงเรียบ ตนเองยังรู้สึกประหลาดใจที่ใจเย็นได้ขนาดนี้

“ฉันเลือกนายไม่ได้… ฉันปล่อยให้มีอะไรมาขวางอนาคตฉันในวงการกีฬาไม่ได้”



หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 9 [07/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 08-12-2018 18:48:30
บทที่ 10 (2/2)

ในจังหวะนั้นเองที่แดริล เชน เข้าใจอะไรบางอย่าง…





ถึงแม้เพศที่สามจะได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ในทุกวงการ… ในขณะที่นักกีฬาคนอื่นควงนางแบบสาวสวยออกงาน วินเซนต์ไม่มีทางที่จะพาเขาออกไปสู่สปอตไลท์ได้





และเรื่องฉาวก็ฆ่าอนาคตของคนมาแล้วมากมาย… การที่มีคนรักเป็นผู้ชายอาจนำมาซึ่งปัญหามากมาย ตั้งแต่การไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควรในทีม จนถึงข่าวซุบซิบที่ทำให้กระทบไปถึงฐานแฟน





ในปีนี้วินเซนต์เพิ่งจะย่างก้าวเข้าวงการอเมริกันฟุตบอลอาชีพ… ย่อมต้องมีเรื่องให้คิดหลายเรื่อง





และแดริลรู้ดีที่สุด ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของอีกฝ่าย ไม่ใช่สาวๆ ไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่เขา… แต่เป็นอเมริกันฟุตบอล





และชายหนุ่มก็นึกเกลียดนัก ที่ตนเองเข้าใจดีทุกอย่าง…





“เราเลิกกันเถอะ” ในที่สุดเขาก็ได้ประโยคที่ต้องการเสียที… แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นึกดีใจเลย แต่กลับเจ็บจนด้านชา





“อืม” ถึงแบบนั้นแดริลก็ยังตอบรับอย่างสงบ “...ได้”





“หากนายเป็นผู้หญิง… ฉันจะไม่ลังเลที่จะแต่งงานกับนาย… จริงๆ นะ” คำพูดปลอบใจพรรค์นั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด





หากเป็นผู้หญิง? เป็นผู้หญิงงั้นรึ? ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้ จะพูดไปทำไมกัน





“และหากฉันไม่ได้เป็นเกย์ ฉันก็คงไม่มีทางมาพัวพันกับนาย…” แดริลพูดเสียงเย็น ชำเลืองมองไปข้างๆ ก็เห็นร่างสูงใหญ่ที่ปกติแล้วจะเปี่ยมด้วยความมั่นใจนั่งก้มหน้า ประสานมือเข้าด้วยกันอย่างคร่ำเครียด





…. นั่นทำให้ดวงตาสีฟ้ามองอีกฝ่ายด้วยแววตาอ่อนลงเล็กน้อย มือข้างหนึ่งวางบนบ่าหนา บีบเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ





“ฉันหวังว่าวันหนึ่ง… นายจะได้เป็นแชมป์ซุเปอร์โบวตามที่หวังเอาไว้นะ วินเซนต์” พูดเท่านั้นและชายหนุ่มก็ปล่อยมือ ลุกขึ้นจากม้านั่ง ปล่อยให้สายลมยามค่ำพัดผ่านจนเรือนผมยุ่งไปหมด “ลาก่อน”





แดริลไม่ได้หันกลับไปมอง เขาไม่รู้ว่าวินเซนต์มีสีหน้าหรือท่าทางอย่างไร…. แต่เรื่องเหล่านั้นมันไม่ได้สำคัญอีกแล้ว





ในคืนนั้นเอง ชายหนุ่มกลับนิวยอร์ก... พร้อมกับคำตอบที่เขาต้องการ





……………………….





เป็นเช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง…





แดริลนอนพักอยู่ในหอมหาวิทยาลัย ไม่นึกอยากลุกจากที่นอน





คอมพิวเตอร์โน้ตบุคเปิดเพลงวนซ้ำไปซ้ำมา และเขาก็นอนฟังมันแบบนั้นไม่ยอมลุก น้ำตาไหลซึมออกจากหางตา ทั้งที่นอนนิ่งอยู่แบบนั้น มันเป็นเพลงของวงบอยแบนด์ BoyzIIMen ที่เขากับวินซ์ออกจะเกลียดแสนเกลียด





Although we've come

To the end of the road

Still I can't let go

It's unnatural

You belong to me

I belong to you…







แดริลถอนหายใจเป็นรอบที่สิบของวัน





….แล้วจู่ๆ ประตูหอก็ถูกเคาะ





“ที่รักคะ ฉันเองค่ะ เปิดประตูหน่อยสิคะ” ...จะเป็นใครไปได้นอกจากแคท





เพื่อนร่วมหอรู้จักแคทเธอรีนในนามแฟนของเขา ก็ไม่แปลกที่หล่อนจะขอความช่วยเหลือจากใครสักคนให้ช่วยพาเข้ามาในนี้...



แดริลรู้สึกไม่อยากขยับตัว แต่ก็ยังเดินลากขาไปเปิดประตู มองใบหน้าสวยเป๊ะของเจ้าหล่อนแล้วก็ถอนหายใจใส่

“เข้ามา…” แดริล

“อี๋ อะไรเนี่ย End of the Road? BoyzIIMen ถามจริง? ที่รักคะ” เข้ามาได้หญิงสาวก็ปรี่ไปจับเมาส์คลิกข้ามไปเล่นเพลงต่อไปทันที





From the bottom of my broken heart

There's just a thing or two I'd like you to know

You were my first love

You were my true love

From the first kisses to the very last rose





“........................... โอเคค่ะที่รัก ถึงฉันจะรักบริทนีย์แค่ไหน แต่ก็ไม่เอาเพลงนี้นะคะ” แคทกดปิดมันทันที…





“มาทำไม…” แดริลถามเสียงห้วน สภาพหน้าตาไม่ใคร่ดีนัก

“เธอไม่ตอบข้อความ แล้วฉันยังได้ยินจากลีว่าเธอไปแมตซาชูเซตส์มาด้วย ก็เลยรู้ว่าเกิดเรื่องแล้วน่ะสิ” หญิงสาวยืนกอดอก มองเพื่อนรักที่ทิ้งตัวกลับลงเตียงอย่างหมดสภาพ





“นี่.. ที่รัก เธอจะเศร้าก็ไม่เป็นไรแต่แบบนี้จะดีเหรอคะ ไม่ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือเดี๋ยวเกรดก็ตกหรอก” พูดจบชายหนุ่มก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้า เห็นคะแนนสอบล่าสุด 92/100 แล้วแคทก็ปิดปากสนิท “.....”





“....ฉันรับผิดชอบชีวิตตัวเองอยู่น่า”

แคทฟังแล้วก็กลอกตา

“เอาล่ะ เอาล่ะ พ่อคนเรียนเก่ง พ่อคนหัวดี ใจคอเธอจะนอนเน่าไม่ออกไปทำอะไรแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน? ”

“... ให้เวลาฉันอีกหน่อย” ชายหนุ่มเอื้อมคว้ามือของแม่สาวช่างพูดมากุมไว้หลวมๆ “เดี๋ยวก็ดีเอง”

“สภาพดูไม่ได้เลยค่ะ…” หญิงสาวถอนหายใจ บีบมือตอบ “ฉันจะไม่บอกหรอกนะว่าฉันเตือนเธอแล้ว”



แดริลหัวเราะออกมาเบาๆ





“...ฉันสู้ซุเบอร์โบวไม่ได้หรอก แคท” แดริล

“...............เธอหมายความว่าไงล่ะนั่น” แคท

“หมายถึง… เขาเลือกอเมริกันฟุตบอลน่ะสิ” แดริลยิ้มบาง แคทเองก็ยังมีสีหน้าไม่เข้าใจ

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน ทำไมต้องเลือกด้วยล่ะ การที่เขาต้องเลือกแปลว่าเขาไม่ได้รักเธอมากพอน่ะสิ” แคทตอบ

“ฉันรับผิดชอบไม่ไหวหรอก… ความฝันของเขาน่ะ… ใครมันจะไปขอให้ทิ้งมาเลือกตัวเองได้กันล่ะ” ภาพของเด็กหนุ่มวัยสิบหกที่พูดถึงฮีโร่ของตัวเองในวันนั้นยังคงจำได้ติดตา มือข้างหนึ่งยกขึ้นปิดหน้า น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างดูไม่ได้



แคทมีท่าทางไม่เข้าใจ ทำได้เพียงลูบหลังมือเพื่อนรักเบาๆ





“ที่รัก… ช่างหัวไอ้สารเลวนั่นไปเถอะ เธอยังมีฉันนะ มีแอชด้วย ฉันรักเธอนะ”

“อืม ฉันก็รักเธอ แคทเธอรีน” ชายหนุ่มตอบกลับ พยายามหยุดน้ำตาไม่ให้ไหล เขาไม่ชอบการที่ตัวเองมีท่าทางดูไม่ได้ต่อหน้าแคทเอาเสียเลย





หญิงสาวยิ้มให้ มืออีกข้างลูบบ่าปลอบเบา





“มันก็แค่อีกเรื่องแย่ๆ ในชีวิต… เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเอง” เธอนั่งอยู่ข้างเตียง พูดแบบนั้น และนั่งข้างๆ เขาไม่ยอมไปไหน





และวันธรรมดาในชีวิตของแดริล เชน ก็ได้ผ่านพ้นไปอีกวันหนึ่ง…





………………………..







อาทิตย์ถัดมา ชายหนุ่มไปนั่งรอแคทที่อพาร์ทเมนต์ของสองสาว… แอชลีย์ยังคงยืนทำอาหารเช้า รอแคทตื่นนอน





แต่น่าแปลกที่วันนี้เธอกลับวางกระทะจานชาม มานั่งข้างๆ แดริลที่สภาพดูไม่ค่อยดีนักพร้อมจานไข่ดาว ขนมปังปิ้งและเบคอน



เธอคงรู้เรื่องทั้งหมดจากแคทแล้ว ถึงมีท่าทีแบบนี้…





แดริลกล่าวขอบใจ และก้มหน้ากินอาหารแบบไม่รอเพื่อนสาวที่ยังไม่ตื่น





“นี่ แดริล เธอเรียนสายธุรกิจใช่ไหมจ๊ะ” แอชยิ้มให้คู่สนทนา ตาของหล่อนโค้งขึ้นเล็กน้อยจนดูน่าเอ็นดู





คำถามทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากจานอาหาร





“ก็.. ใช่” แดริล

“ใกล้ปิดเทอมแล้วใช่ไหม” แอช

“อืม” แดริล

“พอดีเลย พี่สาวที่ฉันรู้จักกำลังหาคนไปฝึกงานแบบทำพาร์ทไทม์ เป็นบริษัทแนวอีคอมเมิร์ซสตาร์ทอัพ เธอสนใจไหมฉันจะได้แนะนำให้” แอชลีย์ยิ้มให้เขาอย่างสดใส

“....ปิดเทอมนี้เลยน่ะนะ? ”

“ใช่จ้ะ มีค่าแรงนิดๆ หน่อยๆ ด้วยนะ น่าจะดีกว่าทำแมคโดนัลด์เยอะ แถมได้ประสบการณ์ด้วย” หญิงสาวตัวเล็กจ้องสบตา มองหน้าเขาคล้ายจะรอคอยคำตอบ





ตอนนั้นแดริลไม่แน่ใจนัก… เขาใช้ชีวิตไปวันๆ โดยยังพยายามลืมเรื่องวินเซนต์... และก็ไม่ได้วางแผนอะไรเอาไว้สำหรับปิดเทอมเลย





“...ไม่รู้สิ ขอฉันคิดอีกหน่อย…”

แอชลีย์พยักหน้ารับ ทั้งรอยยิ้มน้อยๆ ตามปกติของเจ้าหล่อน มองแล้วแดริลก็ไม่สบายใจนัก..

“ฉันไม่มั่นใจเลยว่าฉันในตอนนี้… สภาพแบบนี้ จะทำอะไรไหว” ในที่สุดชายหนุ่มก็ยอมรับออกมาจนได้..

แอชนิ่งไปเล็กน้อย คล้ายกำลังครุ่นคิดว่าควรพูดอะไร สุดท้ายเธอก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“เรื่องนั้นน่ะ… ถึงแคทจะไม่เข้าใจบางเรื่อง แต่ฉันเข้าใจเธอนะ” แอชว่า ดวงตามองไปยังประตูห้องนอนที่แฟนสาวยังหลับอยู่ในนั้น “แคทน่ะ… แต่ไหนแต่ไรมา ก็อยากเป็นนางแบบมาตลอดเลยจ้ะ”





“อืม… ตั้งแต่เด็กๆ แล้วที่ชอบดูพวกรันเวย์ แฟชั่นโชว์ พวกนั้น” แดริลหัวเราะเบา ขณะนึกถึงภาพแคทในวัยเด็กที่พยายามเดินเลียนแบบพวกนางแบบในทีวี





“ใช่… สมัยก่อนน่ะฉันก็ไม่ได้สนใจแฟชั่นหรอก… แต่ความฝันของเธอ ถ้าฉันไม่ไล่ตาม สุดท้ายฉันก็จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง” หญิงสาวร่างเล็กประคองถ้วยช็อกโกแลตร้อนขึ้นมาเป่าเบาๆ “สุดท้ายฉันถึงศึกษาแฟชั่นอย่างจริงๆ จังๆ ”





ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย





“จนสุดท้ายความฝันของฉันก็กลายเป็น ฉันอยากทำเสื้อผ้าให้แคทใส่… เสื้อผ้าที่เธอจะใส่แล้วสวยที่สุด เปล่งประกายบนรันเวย์ที่สุด” แอชลีย์หัวเราะเบา.. “ซึ่งเธอไม่รู้หรอกว่าฉันพยายามไล่ตามมาตลอด.. ฉันก็ไม่ได้อยากให้เธอรู้”





“หากฉันเป็นเธอนะ แดริล… ฉันก็คงขอให้คนที่ฉันรักวางมือจากความฝันของเขาไม่ลงเหมือนกัน และหากฉันขวางทางความฝันนั่น ฉันก็อาจจะยอมหายตัวไปซะเอง เพราะหากวันหนึ่งที่อีกฝ่ายล้มเหลวและหันมามองฉันด้วยสายตาสิ้นหวังเกลียดชัง โทษว่าฉันเป็นสาเหตุของความล้มเหลวทั้งหมด… ฉันคงทนไม่ได้แน่ๆ ” หญิงสาวจิบช็อกโกแลตร้อนเล็กน้อย “ฉะนั้นเธอทำถูกแล้วล่ะจ้ะ”

“อืม….” แดริลรับคำสั้น

“แต่ว่า… เราก็จะปล่อยให้ทุกอย่างมันจบแค่นี้ไม่ได้เนอะ? ” แฟนสาวของเพื่อนรักยกยิ้มให้เล็กน้อย อันที่จริงแดริลก็พอจะรู้มาตลอดว่าเจ้าหล่อนเป็นคนที่สุดยอดมาก… ถึงจะเป็นสาวตัวเล็กๆ แบบนี้แต่หลายๆ อย่างของเธอก็ทำให้เขารู้สึกอับอายและไม่ได้เรื่องเมื่อคิดถึงการฟูมฟายของตนเองในช่วงที่ผ่านมา





“เธอเองก็ควรหาความฝันของเธอ สิ่งที่เธออยากทำเหมือนกัน ฉันอยากให้เธอไปลองดูนะ ในฐานะเพื่อนเธอ” แอชลีย์เป็นคนที่มักจะสร้างบรรยากาศอบอุ่นผ่อนคลายให้เขาวางใจได้เสมอ จนบางทีก็นึกอิจฉาแคทเหมือนกันที่ได้พบกับคนดีๆ แบบนี้





แดริลฟังแล้ว.. ก็คิดพิจารณาอย่างจริงจัง





นั่งกินอาหารเช้าเงียบๆ ไปอีกครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ตัดสินใจได้… และเอ่ยปากออกมาด้วยตนเอง





“....ฉันขอรายละเอียดเพิ่มหน่อยได้ไหม เกี่ยวกับงานที่ว่า..”







…………………………….





วันแรกที่แดริลได้พบกับมิสวี หรือวิเวียน เวสท์ เป็นวันจันทร์แรกที่เขาปิดเทอม…





เจ้าหล่อนแต่งกายสวยเป๊ะ จิกส้นสูง วิ่งวุ่นทั้งตอบข้อความ ตอบโทรศัพท์ สั่งการเรื่องแคมเปญ ดูจะกำลังหัวหมุนกับทุกสิ่งอย่าง





แต่ก็กลับมาสวยเป๊ะขณะที่มาสัมภาษณ์เขา….





ตอนนั้นเจ้าหล่อนอายุยี่สิบหก เป็นผู้จัดการแผนกการตลาด ส่วนแดริลอายุสิบเก้าย่างยี่สิบ…





เธอดูประวัติของเด็กหนุ่มแค่ผ่านๆ ยกยิ้มให้ และกล่าวว่า ‘ยินดีต้อนรับสู้โลกสตาร์ทอัพ มันไม่ง่ายเหมือนโลกของการศึกษาหรอกนะ เตรียมใจไว้ให้ดีล่ะ’





สำหรับแดริลแล้วมิสวีเป็นคนที่เท่มาก ตั้งแต่แรกพบก็เห็นเป็นสาวสวยสุดเท่ และจนถึงทุกวันนี้ที่เจ้าหล่อนกลายเป็นซีอีโอของบริษัทลูก เขาก็ยังคิดว่าเธอเท่อยู่





มิสวีที่คนเขาเรียกกัน อันที่จริงมันมาจากคำว่า วี ฟอร์ เวนเด็ตต้า….. บ่งบอกความเฮี๊ยบที่ว่างานทุกอย่างต้องออกมาอย่างมีคุณภาพสุด และทุกคนต้องทำงานกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็เอาใจใส่คนของเธอ พยายามสู้และให้กำลังใจพวกเขา





ไม่มีใครในบริษัทที่ไม่รู้ ว่าวิเวียน เวสท์ ทำงานหนักขนาดไหน.. หากลูกน้องไม่ได้พัก ก็อย่าหวังว่าเจ้าหล่อนจะพัก





ชายหนุ่มจำได้ดี ว่าครั้งหนึ่งในช่วงที่บริษัทกำลังต้องการทำยอดเพื่อไปยื่นสำหรับการระดมทุนครั้งสำคัญ ตอนนั้นแดริลเพิ่งเรียนจบและบรรจุเป็นพนักงานประจำได้ไม่นาน หญิงสาวถามเขาว่า..



“เธอพร้อมสู้ไปกับฉันไหม แดริล?”



แดริลยิ้ม ตอบกลับอย่างมั่นใจ

“พร้อมครับ บอส”





เพราะกับคนคนนี้… ไม่ว่าจะไปที่ไหนเขาก็พร้อมจะไปด้วยจนสุดทาง





ไม่นานนัก การพาบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ก็กลายเป็นความฝันร่วมกันของคนทั้งคู่ ทำงานกันแบบไม่ได้โงหัวหยุดพัก เสียจนจากสตาร์ทอัพเล็กๆ ที่เป็นออฟฟิศห้องเดียวและมีพนักงานไม่กี่คน ก็ขยายใหญ่เป็นทั้งตึก ทุกสิ่งทุกอย่างเติบโตอย่างรวดเร็วในยุคเริ่มของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล





ต่อมามิสวีก็ผลักดันวิ่งเต้น จนขอทุนส่งเขาไปเรียน MBA ได้สำเร็จ… และต่อมาบริษัทก็ลงทุนเปิดบริษัทลูกชื่อ fashionistaa.com ซึ่งเป็นอีคอมเมิร์ซแฟชั่นสตาร์ทอัพ





ในที่สุดแดริล เชน ก็ค้นพบสิ่งที่เขาอยากทำ และทุ่มเทให้กับมันมาเป็นเวลาเก้าปีเต็ม..
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 10 [08/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-12-2018 19:14:14
 o13


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 10 [08/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-12-2018 21:27:00
 o13
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 10 [08/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 09-12-2018 02:12:52
อ่าทันแล้ว สนุกมากๆเลยค่ะ ชีวิจตแดริลจะต้องเจอกับอะไรอีก หมั่นไส้วินซ์ไม่เลิกนิสัยเดิมๆสินะ  :mew5: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 10 [08/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 10-12-2018 16:53:35
บทที่ 11 (1/2)

แดริล เชน ตื่นมาออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้อพาร์ทเมนต์ตามปกติ เขาใส่เสื้อยืดเข้ารูปกับกางเกงวอร์มขายาว สูดรับอากาศยามเช้าที่ไม่ค่อยจะบริสุทธิ์นักของนิวยอร์กซิตี้







วันนี้เป็นวันที่วินเซนต์ ซัมเมอร์ จะเข้ามารับฟังข้อตกลงและเซ็นสัญญากับทางบริษัท อันที่จริงนับเป็นเรื่องแปลก เจ้าตัวไม่จำเป็นต้องมาเอง บิลสามารถส่งเอกสารผ่านเอเจนซี่ไปให้เขาเซ็นได้เลย…แต่ผู้จัดการส่วนตัวยืนกรานมาว่า ‘คุณซัมเมอร์อยากเข้ามาทำความรู้จักและคุ้นเคยกับทุกคนครับ เพราะเขาต้องเป็นตัวแทนของแบรนด์และบริษัทนี้ไปอีกหนึ่งปี เลยอยากจะเข้าใจแนวทางการตลาดและตัวสินค้าให้มากกว่านี้’





แน่นอน ก็เขาเป็นคนดังที่มีอำนาจต่อรอง เขาอยากได้อะไรก็ย่อมต้องได้ แถมคำพูดทำนองนี้ทำให้สาวๆ ในทีมถึงกับเป็นปลื้ม พูดไม่ขาดปากว่านอกจากจะหน้าตาดีไม่ถือตัวแล้วยังจริงจังกับงาน กลายเป็นว่าพวกหล่อนตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้พบนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลคนดังไปเสียแล้ว





อันที่จริงตอนแรกเขากะจะแกล้งป่วย… ไหนๆ ก็แทบไม่ได้ลาป่วยเลยในปีนี้





แน่นอนว่าในฐานะ CMO เรื่องแบบนี้เขาปล่อยให้มือขวาแบบบิลรับหน้าไปแล้วแกล้งลาป่วยก็ไม่ผิดหรอก…. ติดแต่ว่า เมื่อวานมิสวีดันมาบอกว่า...





“บ่ายพรุ่งนี้นักลงทุนจะมาประชุมและดูการทำงาน เตรียมตัวด้วยนะ” ด้วยยิ้มหวานหยดเคลือบด้วยลิปสติกดิออร์แอดดิคโทนสีแดงคล้ายเลือด ประหนึ่งต้องการบอกว่าพรุ่งนี้ห้ามสาย ห้ามตาย ห้ามป่วย จากนั้นหล่อนก็จิกส้นสูงเดินจากไป…





แดริลหยุดวิ่ง มองนาฬิกาในสวนสาธารณะพบว่าใกล้จะเจ็ดโมงเช้าแล้ว เขาต้องกลับอพาร์ทเมนต์ไปอาบน้ำแต่งตัว และเข้างานให้ทันเก้าโมงครึ่ง





ที่ออฟฟิศ fashionistaa นั้นถือนโยบายการเข้า-ออกงานแบบยืดหยุ่นได้ ซึ่งก็เป็นปกติของวัฒนธรรมองค์กรของสตาร์ทอัพยุคนี้ ตราบใดที่งานเสร็จก็จะไม่มีใครว่าอะไร แต่หากงานไม่เสร็จนั่นคุณก็ต้องเริ่มหาข้อแก้ต่างให้ตัวเองแล้ว จะไม่มีการตอกบัตรหรือเช็กชื่อ มีแต่เช็กว่างานได้ตามกำหนดหรือไม่ หากงานไม่ส่งตามกำหนดโดยไม่มีเหตุผลที่ดีพอ คุณก็จะเสียความเชื่อใจจากทั้งเพื่อนร่วมทีมและฝ่ายบริหาร





และเชื่อเถอะ ไม่มีใครอยากเสียความเชื่อใจจากฝ่ายบริหารไปหรอก…





ระบบการทำงานแบบนี้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพสูง และทำให้พนักงานสามารถบริหารเวลาของตนเองได้ดีขึ้น อีกทั้งลดความเครียดจากการวิ่งแข่งกันเบียดเสียดผู้คนมาทำงานในช่วงเวลาเร่งด่วนด้วย





มันหมดยุคของการที่พนักงานเป็นแค่ฟันเฟืองในบริษัทตอกบัตรเข้า-ออกงานไปวันๆแล้ว ในยุคดิจิทัล คุณสามารถทำงานได้จากทุกที่ในโลกหากคุณต้องการทำ





แต่ยังไงซะหากนักลงทุนโผล่มา… เขาก็ต้องเข้าบริษัทไปรับหน้าอยู่ดี……….





อย่างน้อยมองโลกในแง่ดี วันนี้มิสเตอร์โจนส์ก็จะโกนหนวดเคราใส่สูทเรียบร้อย ไม่หล่อเสียของแบบทุกวัน (แม้ว่าจะยังคงซกมกเกาก้นโชว์ทั้งๆ ที่ใส่สูทเนี้ยบมาอย่างหล่อก็ตาม ให้ตายเถอะถึงจะหล่อยังไงคนคนนี้ก็เสียของอยู่ดี…)





แดริลก้าวออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่สระผมสะอาดสะอ้าน ร่างกายของเขายังคงไม่หนาไม่บาง มีกล้ามเนื้อมากขึ้นเล็กน้อยจากช่วงวัยเรียนเพราะการออกกำลังกายทุกเช้า แต่โครงสร้างสรีระก็ยังคงดูค่อนไปทางเพรียวมากกว่าบึกบึน





ชายหนุ่มจัดการผมเผ้าตนเองให้เรียบร้อย เลือกสูทออกจากตู้เสื้อผ้าอย่างพิถีพิถัน จับคู่สีทุกอย่างให้เข้ากันดี พวกเขาทำบริษัทแฟชั่น ภาพลักษณ์ผู้บริหารย่อมสะท้อนถึงภาพลักษณ์องค์กร ฉะนั้นในวันแบบนี้ทุกอย่างต้องเพอร์เฟกต์





...ไม่ใช่ว่าเขาแต่งตัวดีเพื่อไปอวดแฟนเก่าหรอกนะ ไม่ใช่เลยสักนิด





เหรอคะทูนหัว เสียงของแคทเธอรีนดังขึ้นในจิตใต้สำนึก ทั้งๆ ที่ตอนนี้เจ้าหล่อนตัวจริงอยู่บนรันเวย์ที่ปารีส…

เงียบเถอะน่า...



อันที่จริงระหว่างแดริลกับแคท ไม่ได้มีการพูดถึงวินเซนต์มานานมากแล้ว จนกระทั่งเมื่อไม่นานที่ผ่านมาตอนที่เพิ่งตกลงกันว่าบริษัทจะจ้างมิสเตอร์ซัมเมอร์มาเป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์ใหม่ตัวนี้...





“เฮ้อ…. จะเก้าปีแล้วนะคะที่รัก” หญิงสาวพูดเสียงเนือย มองเขาด้วยสายตาเหนื่อยใจขณะจิบมาร์การิต้า “ทำไมยังไม่ลืมเขาอีก”

“ใครว่าฉันไม่ลืม ฉันก็แค่บ่นเฉยๆ ว่าจะเลี่ยงยังไงดี”

“การที่เธอแค่คิดว่าต้องเลี่ยง… มันก็คือการไม่ลืมแล้วล่ะทูนหัว ถ้าลืมแล้วจะกลัวทำไม หลบทำไม ก็เผชิญหน้าสิ” แคทเธอรีนกลอกตา มีท่าทางนึกปลงอย่างเห็นได้ชัด ทุกถ้อยคำล้วนแทงใจดำชัดเจน

“...ไม่จริง” คนปากแข็งก็ยังคงปากแข็งอยู่ดี “บางทีมันก็แค่ไม่สบายใจ…”

“เฮอะ… ถามจริงเถอะค่ะ ในจำนวนหนุ่มๆ ที่เธอเดทมา ทำไมถึงไปไม่รอด เอาคนแรกเลยนะยะ พอล?”

“...ฉันว่าเขาตัวเล็กไป” แดริล

“จอห์น?” แคท

“เขาไม่ออกกำลัง ไม่เล่นกีฬา” แดริล

“ลูคัส” แคท

“...ดีเกินไป สุภาพไป บนเตียงก็น่าเบื่อ” แดริล

“มาร์ค” แคท

“....ไม่ชอบสีผม” แดริล





นางแบบสาวชื่อดังกลอกตามองบนแรงมาก





“เอาล่ะ ให้ฉันสรุปให้นะคะที่รัก เธอชอบผู้ชายหล่อล่ำตัวโต ผมบลอนด์ ตาเขียว ที่บ้ากีฬา เถื่อนสถุลเล็กๆ แล้วยังเป็นไอ้สารเลว คุ้นๆ ไหมคะว่าใคร?”

“.....”

“แล้วเธอก็เลือกคบกับทุกคนโดยที่ใช้หมอนั่นเป็นเกณฑ์วัดมาตลอด ถึงไปไม่รอดสักราย ไม่เกินสองเดือนก็เลิก น่าสงสารผู้ชายพวกนั้น อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่าที่เธอเลือกมาแต่ละคนมันจะมีอะไรบางอย่างที่คล้ายๆ หมอนั่น ฉันก็แค่ขี้เกียจจะพูด” หญิงสาวพูดอย่างขัดใจ ท่าทางหงุดหงิดชัดเจน “ถ้าก้าวต่อไปไม่ได้ก็ไปจัดการตกลงกันให้เรียบร้อยเถอะค่ะ ฉันไม่ยุ่งแล้ว”





“...เดี๋ยวสิ แคท เรื่องนี้เธอห้ามฉันมาตลอดไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มจับแขนเพื่อนสาวเอาไว้คล้ายหาที่พึ่ง

“ห้ามแล้วสุดท้ายก็ไม่ฟัง เก้าปีผ่านไปสุดท้ายก็ไม่จบ บอกให้เลยนะคะว่าพวกเธอ-ทั้ง-คู่น่ะมัน เกิน-เยียว-ยา” แคทเธอรีนกลอกตาแรงอีกรอบอย่างเหนื่อยใจ

“....”

“ไม่รู้ล่ะค่ะเรื่องนี้เลสเบี้ยนไม่เกี่ยว อีกสามวันฉันต้องบินไปปารีสแฟชั่นวีคแล้ว โชคดีนะคะทูนหัว” เธอกล่าวตัดบท กรอกมาร์การิต้าใส่มะกอกทั้งแก้วเข้าปาก แล้วชูมือขึ้นเรียกบริกรมาเก็บเงิน





อันที่จริงแคทจะเอือมระอากับเรื่องนี้ก็ไม่แปลก… เก้าปีมันนานมากจริงๆ ….





แต่เขาลืมได้แล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาชื่อของวินเซนต์ไม่เคยหลุดจากปาก แฮชแท็กอเมริกันฟุตบอล ทวิตเตอร์ ทุกสิ่งอย่างบนโซเชียล แดริลล้วนบล็อกชื่อวินเซนต์ ซัมเมอร์ อเมริกันฟุตบอล และซุเปอร์โบวออกไปจากชีวิตจนหมด





ก็ถ้าลืมแล้ว จะเลี่ยงทำไม





...นั่นสิ… จะหนีไปทำไมกันนะ…นอกเสียจากว่าจริงๆ ก็ไม่เคยลืม





…………….





วินเซนต์จะมาในช่วงเช้า…





แดริลคิดว่าจะรับมือกับมันอย่างเป็นมืออาชีพที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ้ม กล่าวทักทาย เหมือนเพื่อนเก่าคนหนึ่ง เหมือนคนที่ต้องทำงานร่วมกัน..





และก็ใช่ว่าเขาจะต้องรับมือเสียเมื่อไหร่ บิลต้องเป็นคนคุยกับผู้จัดการส่วนตัวของพวกนักกีฬาเพื่อส่งบรีฟ และผู้จัดการก็จะเป็นคนไปสื่อสารให้ ไม่จำเป็นต้องให้ฝ่ายบริหารลงไปทำเองแม้แต่นิดเดียว





ใช่… เขาจะกลัวอะไรกัน? ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลสักนิดเดียว





เปิดประตูกระจกเข้าออฟฟิศไปแล้ว ก็เจอกับสายตาทุกคู่ที่มองมายังประตูอย่างรอคอย จากนั้นพอเห็นว่าเป็นใครที่เดินเข้ามา สายตาพวกนั้นก็เปลี่ยนเป็นผิดหวัง





ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงน้อยๆ กระนั้นแดริล เชน ก็ยังส่งยิ้มเย็นให้ทุกคนเป็นการทักทายในยามเช้า





ขอโทษนะที่ฉันไม่ใช่วินเซนต์





เดินไปจนถึงห้องครัวก็เจอคุณเดวิด โจนส์ สุดหล่อที่โกนหนวดเคราถอดแว่นใส่ชุดสูทเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า คิดว่าจะได้ดูอาหารตาสักหน่อยพอหันมาเท่านั้นก็เป็นอันฝันสลาย





คุณโจนส์แคะขี้มูกแบบไม่สนใจสายตาคนเลยแม้แต่น้อย





แดริลถอนหายใจยาวมาก





เสียของ… เสียของ… เสียของสุดๆ





“ฮายแดริล” ชายหนุ่มผู้ที่แค่ปราดมองก็รู้แล้วว่าเป็นชายแท้ที่ชอบผู้หญิงร้อยเปอร์เซ็นต์แต่หล่อมากจนน่าเหนื่อยใจยอมหยุดแคะจมูกแล้วโบกมือให้เขาอย่างเริงร่า





“ครับ.. คุณโจนส์ วันนี้แต่งตัวดีผิดหูผิดตาเลย” ทักกึ่งจะชมด้วยรอยยิ้มสุภาพ อีกฝ่ายก็เกาหัวน้อยๆ

“ช่วยไม่ได้ วันนี้นักลงทุนมานี่นา มิสวีได้บ่นตายถ้าฉันมาด้วยสภาพปกติ”





คุณก็รู้ตัวนี่นา….





“ช่วงนี้ก็เหนื่อยหน่อยนะครับ เดี๋ยวเย็นๆ ผมอาจจะไปคุยด้วยหน่อย เรื่องงานของทีม SEO ที่ต้องให้ฝ่ายไอทีช่วยดูน่ะครับ” ลากเข้าเรื่องงานเพื่อความสบายใจ และก็ยืนคุยด้วยอีกหน่อยเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดี..





“ได้สิ ถ้านักลงทุนกลับไปแล้วฉันก็น่าจะพอมีเวลาอยู่… อยากคุยกับทีมนายเรื่องการปรับ UX UI ล่าสุดอยู่ด้วยเหมือนกัน” เดวิดตอบขณะจิบกาแฟเกรดต่ำในถ้วยกระดาษ นอกจากหล่อเสียของแล้วรสนิยมก็ไม่เข้ากับใบหน้าเอาซะเลย…





“ครับ งั้นเดี๋ยวผมไปเตรียมตัวเข้าประชุมเช้าก่อนล่ะ”





“อ๋อ ประชุมกับคุณซัมเมอร์ใช่ไหม เห็นสาวๆ เขาพูดกันอยู่ว่า ว่าหล่อพอๆ กับผมเวลาไม่ทำตัวซกมกเลย ตลกดีนะ ถ้ายังไงขอลายเซ็นมาให้ผมหน่อยสิ ผมเป็นแฟนกีฬาน่ะ” บางทีแดริลก็ไม่ค่อยชอบเสวนากับพวกชายแท้เพราะแบบนี้… เจ้าตัวหัวเราะฮ่าๆ แบบดูไม่ใส่ใจอะไรเลย





คุณน่าจะคิดบ้างว่าสาวๆ เขาว่าคุณซกมก!! ส่วนลายเซ็นน่ะไปขอเองสิเฟ้ย!







“ผมจะบอกบิลให้แล้วกัน ให้ผมขอให้คงไม่เหมาะละมั้งครับ” ยิ้มเครียดให้อีกฝ่าย นี่คุณผมเป็นCMOบริษัท จะให้ไม่รักษามาดทำตัวเป็นแฟนเกิร์ลไปขอลายเซ็นได้ยังไง… ในหัวของคุณนี่เคยมีคำว่าภาพลักษณ์บ้างไหมหรือไม่ใส่ใจอะไรพวกนี้เลย…





“ฝากด้วยล่ะเชน ซีซันนี้เขาท็อปฟอร์มมากเลยนะ นายก็น่าจะลองดูอเมริกันฟุตบอลบ้าง ไหนๆ เราก็จะจ้างเขาแล้วนี่” คุณเดวิดตบบ่าแรงๆ ทั้งยังขยิบตาให้ เพราะแบบนี้ล่ะพวกชายแท้ถึงน่าดูอย่างเดียวไม่น่าไปยุ่งด้วยมากไง…





หลายคนในบริษัทรู้ดีว่าแดริลไม่สนใจจะดูอเมริกันฟุตบอล.. และไม่สนใจจะอ่านหนังสือพิมพ์ในส่วนของข่าวกีฬา ไม่เคยมีใครกล้าถามว่าทำไม เพราะว่ายังไงซะมันก็ความชอบ-ไม่ชอบส่วนตัวที่ไม่ได้เกี่ยวกับงาน

ปลีกตัวเข้าไปนั่งในออฟฟิศตนเองได้แล้วก็เริ่มสะสางงานอย่างใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว สายตาคอยมองดูเวลาทุกห้านาที...



สุดท้ายตรวจรีพอร์ทเสร็จแล้วก็เช็กอีเมลต่อ จากนั้นก็เกือบสะดุ้งเมื่อบิลมายืนอยู่หน้าประตู





“บอสครับ คุณซัมเมอร์ ผู้จัดการทีมของเขา กับทางเอเจนซี่ มาถึงแล้วครับ ผมให้คนพาไปที่ห้องประชุมแล้ว”





ทำไมต้องมากันหมดด้วยนะ เฮ้อ..





“รู้แล้ว จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ คุณไปก่อนเลย” ชายหนุ่มลุกขึ้น เหลือบมองภาพตนเองในเงาสะท้อนจากประตูกระจก มองให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรที่ดูผิดปกติถึงก้าวขาออกจากออฟฟิศพร้อมไอโฟนเครื่องเล็ก





เดินไปไม่นานก็ถึงห้องประชุมขนาดกลาง ตามเวลานัดพอดิบพอดี คิดว่าทุกคนคงรออยู่ในห้องแล้ว.. เหลือบมองไปทางซ้ายก็เจอกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของสาวแผนกอื่น ทางขวาก็เจอกับสายตาคาดหวังของแฟนบอยสายกีฬา





CMOหนุ่มนวดขมับ เปิดประตูก้าวเข้าไปเพื่อจัดการให้เรื่องมันจบๆ ไป





สิ่งแรกที่แดริลเห็นคือดวงตาสีเขียวคู่ที่คุ้นเคยที่มองตรงมาสบตากับเขา… แม้จะไม่ได้เห็นมันมาเก้าปีเต็ม ในจังหวะนั้นช่วงเวลาดูเหมือนจะหยุดลงชั่วขณะ...





ร่างกายนั้นดูจะใหญ่โตกว่าเมื่อเก้าปีที่แล้วอยู่บ้าง ใบหน้าก็ดูมีอายุและหยาบกร้านขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้หลงเหลือแววของเด็กหนุ่มสดใสคึกคะนองเท่าในอดีต แต่ก็ยังดูเปี่ยมด้วยความมั่นใจและมีเสน่ห์ในแบบของวินเซนต์





แดริลยืนนิ่งไปพักหนึ่ง พอตั้งสติได้เพราะบิลสะกิดก็ล้วงหานามบัตรในกระเป๋าเสื้อสูท แต่วินเซนต์กลับลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียก่อน ทำให้ทุกคนเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ





“แดริล แดริล เชน ใช่ไหม ไม่เจอกันนานเลยนะ ตั้งแต่ช่วงไฮสคูลแล้วใช่ไหม” มือที่กำลังหยิบนามบัตรถึงกับชะงัก ดวงตาสีฟ้ามองผู้พูดด้วยความตกตะลึง “ตอนนายติดต่อมาเรื่องโปรเจกต์นี้ฉันตกใจแทบแย่”





นายกำลังเล่นอะไรของนาย





แดริลนึกอยากถาม แต่วินเซนต์เล่นมาแบบนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเออออตามไป



“สวัสดี… วินเซนต์… ไม่เจอกันนานนะ” ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะคุยกันแบบ ‘มืออาชีพ’ ตั้งใจว่าจะเรียกว่า ‘คุณซัมเมอร์’ แบบไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น แผนที่เตรียมไว้กลับพังเพราะไอ้เวรนี่…





จะกี่ปีก็ยังเป็นไอ้บ้าที่ทำอะไรตามใจตัวเองอยู่ดี ให้ตายเถอะ...

“อ้าว นี่ทั้งคู่รู้จักกันเหรอครับ ไม่เห็นรู้มาก่อนเลย” บิลเอ่ยขึ้น ท่าทางดีใจออกนอกหน้า.. นายดีใจอะไรของนายไม่ทราบ..





“ใช่ เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยไฮสคูลเลย ที่ผมสนใจรับงานนี้ตอนแรกก็เพราะคุณเชนติดต่อมานี่ล่ะครับ”





ประโยคนั้นสร้างเสียงฮือฮาให้คนในห้อง แต่คนถูกพาดพิงกลับยืนแข็งตัวเป็นหิน...



“แบบนี้นี่เอง ขอบคุณมากนะครับบอส!!” บิลคนซื่อยิ้มออกมาอย่างสดใส มองหัวหน้าของตนอย่างเทิดทูนสุดหัวใจ เพราะกำลังเข้าใจอะไรผิดๆ …





“...ไม่...เป็นไร” คนที่จู่ๆ ก็โดนยัดเยียดเครดิตให้ได้แต่กัดฟันยิ้มบาง… สายตามองไปทางวินเซนต์อย่างไม่เข้าใจ… อีกฝ่ายเพียงยิ้มให้เขา ทำราวว่าไม่ได้มีอะไรผิดปกติทั้งนั้น





ทำอะไรที่คาดไม่ถึงเสมอ ท่าทางของนักกีฬาชื่อดังคนนั้นชัดเจนมากว่าจะไม่ปล่อยให้เขาปฏิบัติประหนึ่งตนเองเป็นคนแปลกหน้า… แดริลควรจะรู้ดีกว่านี้…





เขาเข้าใจวินเซนต์แค่ไหน อีกฝ่ายก็รู้ทันเขาเช่นกัน...





“ยังไงเริ่มการประชุมกันดีไหมครับ…” CMOบริษัทหยิบนามบัตรของตนออกมา ขณะหันมองไปทางบิล ส่งสัญญาณให้เปิดจอโปรเจกเตอร์เดี๋ยวนี้ ทุกอย่างถึงสงบลงได้ มองไปทางผู้จัดการส่วนตัวของวินเซนต์ก็แอบเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังลอบปาดเหงื่อ ส่วนทางตัวแทนเอเจนซี่ก็ดูจะงุนงงเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น





บิลเริ่มจากอธิบายบรีฟเรื่องภาพลักษณ์ของแบรนด์ ‘Sportster’ ตัวใหม่ของบริษัทที่ต้องการจะสื่อ ด้วยความที่อยากจะมุ่งเป้าไปทางพวกคนรักสุขภาพและพวกแฟนกีฬาในช่วงอายุวัยรุ่นถึงวัยทำงาน จึงจำเป็นต้องใช้พรีเซนเตอร์สองคนสำหรับโปรเจกต์นี้





“อย่างที่ได้อธิบายไปครับ สำหรับแบรนด์ตัวนี้เราอยากจะสื่อภาพลักษณ์ออกไปว่าความท้าทายมีไว้ให้เอาชนะ ความพยายามทำให้ทุกคนดูเท่ได้ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ช่วงแรกเราจะปล่อยสินค้าสำหรับผู้ชายก่อนช่วงนี้ก็เลยจะต้องเน้นขายผู้ชายหน่อยน่ะครับ เลยอยากจะสื่อสารกันแบบจริงใจ เหมือนเป็นพี่น้องน่ะครับ”





ขณะที่บิลกำลังนำเสนอภาพลักษณ์แบรนด์ และไล่ไปถึงตัวสินค้า… ดวงตาของใครบางคนก็จับจ้องตรงมาทางแดริล ที่พยายามสุดความสามารถที่จะจ้องมองแต่สไลด์บนกระดานและไม่วอกแวกไปมองทางอื่น





ในที่สุดผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง การบรีฟงานก็จบลง คำถามจากเอเจนซี่บิลล้วนตอบได้อย่างฉะฉาน เขาไม่จำเป็นต้องสอดหรือช่วยอะไรมากนัก เพียงยิ้มตามมารยาทและถามรายละเอียดที่เขาอยากรู้หลายๆ อย่างจากเอเจนซี่เท่านั้น
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 10 [08/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 10-12-2018 16:54:09
บทที่ 11 (2/2)

“ครับ ยังไงด้วยเรื่องงบประมาณแล้วผมคิดว่าการแข่งเป็นทีมอาจจะมากเกินไป หากปรับเปลี่ยนเป็นแบบ one on one match และเราถ่ายทอดสดใช้งบโปรโมท พวกคุณคิดว่ายังไง” บิลเป็นคนเสนอการปรับแผนขึ้นมาเอง มาร์เกตติ้งก็แบบนี้… มันไม่จบที่ proposal ตัวแรกเสมอ… สุดท้ายก็มีการปรับเปลี่ยน





“ผมก็ว่าดีนะครับ เพราะหากให้เทรนทีมนักกีฬาหน้าใหม่มันก็งานใหญ่อยู่ และอาจจะไม่น่าสนใจเท่า one on one ด้วย… แดริล คุณคิดว่ายังไง” วินเซนต์ตอบแบบสุภาพจนแทบจะไม่คุ้นชิน แถมยังหันมาชวนลูกค้าคุยอีกต่างหาก… แต่เขาเป็นคนดังแถมผู้เชี่ยวชาญในเรื่องกีฬาชนิดนี้ ใครมันจะกล้าว่าอะไรได้…





“ก็เป็นไอเดียที่ดีครับ ให้โฟกัสที่สองคนไปเลยก็ได้… บิลเราจะจัดกิจกรรมทายผลผู้ชนะกันหน้าเว็บไซต์ของเราด้วยใช่ไหม” ตอบแบบให้มันจบๆ ไป แล้วก็เบี่ยงหันไปคุยกับบิลแทนทันที

“ใช่ครับบอส” ชายหนุ่มตอบรับอย่างรู้งาน

“อีกอย่างคือ… ทางเราต้องให้พรีเซนเตอร์ทั้งสองคนช่วยใช้สินค้าของเราในชีวิตประจำวัน ระหว่างที่สัญญายังมีผลด้วยนะครับ” แดริลเน้นย้ำ ครั้งนี้หันไปคุยกับผู้จัดการส่วนตัวของนักกีฬาคนดังแทน

“นั่นน่ะ ครอบคลุมอยู่ในข้อตกลงอยู่แล้วครับ” ชายหัวล้านรูปร่างเล็กหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อขณะตอบรับ “ทีนี้… สำหรับตัวสัญญา ทางคุณโอคอนเนอร์ได้เตรียมมาแล้วใช่ไหมครับ”





โอคอนเนอร์เป็นนามสกุลของบิล… เจ้าของชื่อพยักหน้าเล็กน้อยและหยิบเอกสารปึกหนาออกมาจากแฟ้ม





“เอาไปตรวจดูก่อนก็ได้นะครับ แล้วค่อยส่งไปรษณีย์กลับมาให้ทางผมก่อนวันที่สิบห้า” เพราะเนื้อหาในสัญญาค่อนข้างเยอะและยิบย่อย จึงจำเป็นต้องให้เวลาทีมกฎหมายหรือทนายส่วนตัวได้นั่งอ่านและพิจารณา อันที่จริงตามที่บอก… วันนี้วินเซนต์ไม่จำเป็นต้องมาที่บริษัท เขาสามารถปล่อยให้เอเจนซี่และผู้จัดการส่วนตัวจัดการทุกอย่าง แต่เจ้าตัวก็ยังจะโผล่มาอยู่ดี…





ดวงตาสีเขียวที่คอยเฝ้าแต่จะจ้องมองมาทำให้คนถูกมองอึดอัด แถมยังพยายามชวนคุยถามความเห็นเขาในหลายๆ เรื่องอีกต่างหาก… แค่พยายามบ่ายเบี่ยงให้ไม่ดูมีพิรุธก็เต็มกลืนแล้ว





สี่สิบนาทีแห่งความกระอักกระอ่วนผ่านไปในที่สุดการประชุมก็จบลงด้วยดี แดริลแทบจะรอหนีออกจากห้องไม่ไหว ลาทุกคนเสร็จเขาก็แยกไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาในทันที





“ผมขอเข้าห้องน้ำหน่อย ไม่ทราบว่าไปทางไหนครับ” แต่เสียงอันคุ้นเคยนั่นทำให้เขาชะงักเท้า..

“อ๋อ ทางนั้นครับ เชิญเลย” บิล โอคอนเนอร์กล่าวเชิญด้วยรอยยิ้มสดใสจนคนเป็นเจ้านายอยากกระทืบมันขึ้นมาตงิดๆ …

“ขอบคุณครับ”





CMOหนุ่มจะถอยแล้วกลับหลังไปทางเดิมตอนนี้ก็ดูประหลาดเกินไป...มันจะดูเหมือนเขากำลังหนีชัดๆ .. และแดริล เชนไม่สามารถหนีจากวินเซนต์ ซัมเมอร์ต่อหน้าคนในบริษัทได้ จึงทำได้เพียงเร่งฝีเท้าเลี้ยวเข้าห้องน้ำชายที่ดันอยู่สุดทางเดิน...





วินเซนต์ก้าวขาไม่ช้าไม่เร็ว แต่ก็ตามเข้ามาทันที….





แถมยังปิดประตูไล่หลัง แล้วล็อกอีกต่างหาก……………….





แดริลกลืนน้ำลาย ค่อยๆ หันกลับไปมองช้าๆ ด้วยท่าทีและสายตาหวาดระแวง… แต่นึกไม่ถึงเลยว่าประโยคแรกที่อีกฝ่ายจะพูดออกจากปากก็คือ…





“นายเล่นบล็อกฉันทุกช่องทางโซเชียล… แล้วยังเปลี่ยนเบอร์มือถือ กว่าจะตามหาเจอรู้ไหมว่าฉันลำบากแค่ไหน” คนพูดเหมือนกำลังตัดพ้อประหนึ่งคนบล็อกเป็นคนใจดำอย่างนั้น… นั่นเป็นประโยคแรกที่นายควรพูดกับแฟนเก่าที่ไม่ได้พบกันมาเก้าปีหรือยังไง วินเซนต์ ซัมเมอร์?! “แต่นายดูดีขึ้นนะ”





โอเค ประโยคหลังพอฟังได้… แต่เดี๋ยวสิ!





“.......ฉันว่าฉันมีสิทธิจะทำนะ ซัมเมอร์” ดวงตาสีฟ้ามองติดจะสับสนเล็กน้อย คล้ายกำลังประเมินสถานการณ์ หรือเค้นหาคำตอบบางอย่าง สุดท้ายก็อดไม่ได้ต้องถามออกมา “ต้องการอะไรกันแน่? เงินจากงานนี้มันต่ำกว่าค่าตัวนายตั้งมาก”





“...แต่นายเล่นบล็อกแอคเคานท์ออฟฟิชเชียลเชียวนะ แล้วเป็นอะไรทำไมนายต้องล็อกทุกช่องทางโซเชียลมีเดียด้วย? แค่จะเข้าไอจีไปดูภาพนายฉันยังต้องไปดูผ่านมือถือเจฟฟ์เลย” ท่าทางการบ่นคล้ายจะตัดพ้อเบาๆ …

แอคเคานท์ออฟฟิชเชียลก็คือแอคเคานท์ที่มีติ๊กสีฟ้ารับรองว่าเป็นตัวจริง ซึ่งมียอดคนติดตามเป็นหลักแสนหลักล้าน





นายจะบอกว่านายเอาแอคเคานท์ออฟฟิชเชียลของตัวเองมาส่องดูแอคเคานท์ฉันเนี่ยนะ…..





คนฟังรู้สึกปั้นหน้าไม่ถูก… มันก็ใช่ที่เขาล็อกทุกช่องทาง ความเป็นส่วนตัวในโลกโซเชียลสมัยนี้มันน้อยจะตายไป แถมพวกคนสมัครงาน เฮ้ดฮันท์ หรือHRบริษัทต่างๆ ก็ชอบแอบส่องโซเชียลเพื่อตรวจสอบประวัติกันด้วย...





“แล้วนายก็รู้ดีนี่ ว่ามันงานเงินน้อย ที่ถามนี่ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องการอะไรหรือแค่อยากได้คำยืนยัน? ” คนพูดยักไหล่น้อยๆ ยกยิ้มขำ ท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้นตามปกติของเจ้าตัว ชายหนุ่มนักกีฬาก้าวขายาวๆ สองก้าวก็เข้ามาประชิดร่างเล็กกว่าที่อันที่จริงก็ไม่ได้เตี้ยแต่อย่างใด แต่ก็ต้องเงยหน้ามองคู่สนทนาอยู่ดี “...ฉันมาหานาย… ต้องการนาย”





ท่าทาง ถ้อยคำ ทุกอย่างชัดเจน… วินเซนต์ก็คือวินเซนต์อยู่ดี ถึงจะดูสุขุมกว่าแต่ก่อน ใจเย็นขึ้น สุภาพขึ้น แต่ก็ยังเป็นคนพูดความต้องการของตนเองออกมาได้อย่างไม่อ้อมค้อม ทำราวว่ามันเป็นเรื่องง่ายดายเสียเหลือเกิน





ใจของแดริลเต้นรัวเมื่อได้ฟัง บนใบหน้าของนักกีฬาหนุ่มไม่ได้มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด เขาทำได้แค่พยายามบอกตนเองให้แข็งใจไว้





ถามว่าโกรธไหม…? ป่านนี้แล้วจะโกรธอะไรอีก ในเมื่อแต่แรกแทบจะเรียกว่าไม่ได้โกรธเลย ก็แค่ผิดหวังและเสียใจ… แต่พอคิดตกแล้วมันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ยิ่งครุ่นคิดถึงมันหลายหนก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น…. กลับกันว่าถ้าเขาเป็นวินเซนต์ก็คงจะเลือกเลิกเหมือนกัน… แค่คงเลิกกันในแบบที่ดีกว่านั้น





สุดท้ายทางมันก็ตันแค่นั้น จะหาคนผิดไปเพื่ออะไรกัน…?





แล้วเด็กสิบแปด-สิบเก้าที่ทำอะไรไม่ถูกกันทั้งสองคน จะรับมือเรื่องประเภทนี้ได้ดีกันแค่ไหนเชียว…? ตอนนี้อายุก็ตั้งยี่สิบแปดเข้าไปแล้ว มองย้อนกลับไปก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ดี...





ใช่แล้ว…. นอกจากจะตามใจแฟนแล้ว แดริล เชนยังเป็นคนประเภทปกป้องแฟนอีกต่างหาก… (แม้ตัวเองจะโดนทิ้งมาก็ตาม) แคทบ่นเสียจนไม่รู้จะบ่นยังไงเมื่อเธอด่าวินเซนต์แล้วเขาก็ยังบอกว่าวินซ์ไม่ได้แย่ขนาดนั้น…

รักเข้าไป ปกป้องเข้าไป ตัวเองเละเทะขนาดนี้แล้วยังจะไปปกป้องมันอีก โอ๊ย ที่รักคะ! จะรักอะไรมันนักหนา!

แม่สาวคนนั้นเคยวีนประโยคนี้ออกมา ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว...







วินเซนต์คือจุดอ่อนของเขา ก็รู้ดีตั้งแต่สมัยไฮสคูล… จนถึงตอนนี้แค่พบกัน ใจก็ยังเต้นเหมือนกับตอนยังเด็กไม่มีผิด… แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงปากแข็งไม่อยากจะยอมรับอยู่ดี





อีกอย่าง… คิดว่าไม่รู้หรือยังไงว่าทั้งควงนักร้องนักแสดง ไฮโซสาวออกงานตั้งมากมาย แล้วจะบอกว่า ‘มาหา’ อะไรกัน? ...ทำอย่างกับชีวิตคนดังนั่นจะมีที่ว่างอะไรให้คนรักที่เป็นเกย์แบบเขา





“ป่านนี้แล้ว…” คิดแล้วคิ้วสีดำก็มุ่นลงเล็กน้อย พยายามเว้นระยะห่างจากอีกฝ่าย แต่พอขาถอยหลังห่างไปหนึ่งก้าว อีกฝ่ายก็ก้าวเข้ามาสองก้าวแทน “อย่ามาล้อฉันเล่นเลย”





“นายไม่ได้โง่ แล้วก็ไม่ได้เจ้าอารมณ์ด้วย แดริล...ถามจริงฉันดูเหมือนล้อเล่นอยู่รึไง? …คนบ้าที่ไหนจะล้อเล่นกับเงินมากขนาดนี้ นายรู้หรือเปล่าว่าฉันปฏิเสธแบรนด์ใหญ่ไปกี่แบรนด์เพื่อมารับงานนี้ แถมเปลี่ยนทีมเพื่อย้ายมานิวยอร์กอีก” มือใหญ่ที่สากกร้านแตะผิวแก้ม ไล้เบาๆ อย่างอ่อนโยนเหมือนเดิม และก็ชัดเจนกับความต้องการของตนเองเหมือนเคย ในดวงตาสีเขียวแทบจะเป็นการวิงวอนร้องขอ เสียจนคนมองต้องรีบหลบตาก่อนจะเผลอตอบตกลง แก้มขึ้นสีเล็กน้อยแบบที่เจ้าตัวควบคุมไม่ได้ “แดริล… กลับมา”





ใช่… เขามันใจง่าย ให้อภัยง่ายๆ ด้วย บ้าเอ๊ย…!! แต่หากมีผู้ชายมาบอกคุณว่ายอมเสียเงินหลักล้านเพื่อให้ได้พบคุณอีกสักครั้ง เป็นใครมันก็ใจอ่อนทั้งนั้นล่ะ!!





คิดแล้วก็ยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างกลุ้มใจ..





แต่มันก็ยังมีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ... เขาไม่ควรกลับไปด้วยเหตุผลทั้งปวง… ที่ว่าวินเซนต์ ซัมเมอร์ ไอคอนวงการอเมริกันฟุตบอล….. ไม่ควรจะเป็นเกย์





จะกลับไปได้ที่ไหนกัน… ควรกลับไปที่ไหนกัน?





“...ฉันไม่ใช่สิ่งของ ที่นายอยากโยนทิ้งก็โยน อยากเก็บขึ้นมาก็เก็บ วินซ์” ดวงตาสีฟ้าเบือนหนีไม่ยอมสบตา ก้มหน้าเพื่อซ่อนความสับสนที่ฉายชัดบนใบหน้า กลัวว่าอีกนิดเดียวก็จะตอบตกลงไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลังแล้ว….

“แต่นายยังรักฉันอยู่” วินเซนต์พูดออกมาแบบเต็มปากเต็มคำและไม่อายปากตนเองแม้แต่น้อย ดวงตาสีเขียวที่มองมาอย่างอ่อนโยนฉายแววขบขัน นั่นทำให้คนฟังกัดฟันแน่น นึกหงุดหงิดขึ้นมาแปลกๆ





ไอ้บ้านี่… อายุขนาดนี้แล้วไอ้นิสัยหลงตัวเองก็ไม่ได้เปลี่ยนเลย!! นายต้องพูดว่า ‘ฉันยังรักนายอยู่’ มากกว่าไม่ใช่เรอะ!?





“...คิดไปเอง เรื่องมันก็นานแล้ว ฉันลืมไปหมดแล้ว ขอทีเถอะวินเซนต์… เรื่องนี้น่ะยังไงก็เป็นไปไม่ได้หรอก”





“ถ้านายลืมฉันได้แล้วจริงๆ จะเกร็งขนาดนี้ทำไมกัน…? ” มือใหญ่วางบนบ่า ลูบไล้เบามือ จากนั้นก็ดึงรวบทั้งร่างเข้ามากอดแน่น และก้มกระซิบถามที่ข้างหู “เก้าปี… ฉันก็ยังไม่ลืมนายเหมือนกัน… เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม? ”





คำพูด สายตา น้ำเสียง… ล้วนทำให้กลางอกคล้ายกำลังถูกบีบรัดแน่น….





ท่าทางเหมือนกำลังขอร้องคนอื่นแบบนี้ ราวไม่ใช่วินเซนต์ ซัมเมอร์ในความทรงจำเลย... จนชายหนุ่มเกือบจะหลุดออกไปแล้ว ว่า ‘ได้’





ใช่… ง่ายๆ แบบนั้นล่ะ ...เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ได้โทษวินเซนต์อยู่แล้ว





แต่ไหนแต่ไรมันก็เป็นความผิดหวังเสียใจมากกว่าความโกรธ...





เข้มแข็งไว้ แดริล… คนเราต้องเข้มแข็ง





ต่อให้แคทจะพูดถูกในหลายๆ เรื่อง… ใช่ เขายังไม่ลืม ใช่ เขาคบกับทุกคนโดยไล่ตามเงาของวินซ์มาตลอด… แต่ในชีวิตอันรุ่งโรจน์ของอีกฝ่าย มันจะมีที่ให้แทรกเข้าไปได้เสียเมื่อไหร่? ทำได้อย่างดีสุดก็คงแค่เก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ ในวัยเรียนเท่านั้น





เรื่องนี้นายก็น่าจะเข้าใจดีนี่… วินเซนต์ คนแบบนายควรจะควงนางแบบสาวเดินอยู่ท่ามกลางสปอตไลท์ มีครอบครัวที่อบอุ่นน่ารัก ชีวิตที่สวยงาม… ไม่ใช่ชีวิตที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ จากสายตานักข่าว กับเป็นหัวข้อข่าวฉาวในคอลัมน์ซุบซิบคนดัง...





นายมีทางเลือก…. แต่ฉันไม่มี





“...นายก็รู้ดี ว่าชีวิตของนายไม่มีที่ว่างให้กับฉัน วินเซนต์… ตอนนั้นไม่มี ตอนนี้ก็ไม่มี” มือพยายามผลักอกของอีกฝ่ายออก วินเซนต์ในตอนนี้ดูจะตัวหนักและแรงเยอะกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ดันอย่างไรก็ไม่เขยื้อน จนแดริล เชนอยากร้องไห้ “.... อีกอย่าง นายกำลังทำสูทฉันยับ เดี๋ยวบ่ายนี้ฉันมีประชุมนักลงทุน….”





ฟังประโยคหลังที่แสนจะขัดอารมณ์แล้วคนตัวโตกว่าก็หลุดหัวเราะออกมา ยอมคลายอ้อมกอดให้เล็กน้อย





“แดริล… ฟังนะ ฉัน---” ยังไม่ทันพูดจบประโยค เสียงริงโทนมือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน วินเซนต์ส่งเสียงจิ๊อย่างรำคาญใจ หยิบมือถือของตนออกมาดู คิ้วสีทองมุ่นลงเล็กน้อย… ถอนหายใจออกมา “...ฉันต้องรับ ขอโทษนะ”





“ครับ… โค้ช… มาคุยงานน่ะครับ…. ครับ… ได้ เดี๋ยวผมไป” คนพูดไม่ได้แสดงท่าทางไม่พอใจออกทางน้ำเสียง แต่สีหน้ามุ่นคิ้วไม่ชอบใจชัดเจน…





เห็นไหมล่ะ… ที่สุดแล้วอเมริกันฟุตบอลก็สำคัญที่สุดอยู่ดี





...ที่แย่สุดคือมิสเตอร์เชนรู้ตัวว่าเขากำลังพาลในเรื่องที่ไม่ควรพาลและมันเป็นความคิดที่งี่เง่า… เป็นตัวเองหากมิสวีเรียกก็คงต้องตอบก่อนอยู่แล้ว…





“ฉันต้องไปแล้ว… ไว้จะมาหาใหม่”

คำว่า ไม่ต้องมา ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนาย ค้างอยู่ที่ริมฝีปาก แต่ยังไม่ทันได้พูดออกไป ร่างที่สูงกว่าก็ก้มลงประทับจูบแนบบนปาก หยุดยั้งคำปฏิเสธไม่ให้พูดออกไป “ฉันคิดถึงนายนะ”





พูดเสร็จแล้วคนคนนั้นก็เดินจากไปอย่างรีบร้อน… พอๆ กับตอนที่เขามา… ทิ้งให้คนที่ถูกกระทำได้แต่ยืนโง่มองตามทั้งแบบนั้น จนสุดท้ายหลังจากที่วินเซนต์หายไปจากสายตาแล้ว ร่างไม่หนาไม่บางก็ทรุดลงพิงขอบอ่างล้างมือ ยกแขนขึ้นปิดใบหน้าเห่อร้อนแบบที่จนบัดนี้ก็ยังควบคุมไม่ได้





พระเจ้าช่วยนี่ฉันยังเป็นวัยรุ่นหรือยังไง... ปฏิกิริยาแบบนี้มันอะไรกัน





จินตนาการไว้ต่างๆ นาๆ ว่าจะทำเย็นชาอย่างไร ทำเป็นไม่รู้จักอย่างไร สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า วินเซนต์ก็ยังคงเป็นวินเซนต์ ผู้ชายคนนี้ทำให้จังหวะทุกอย่างของเขารวนได้เสมอ… ไม่ว่าจะตอนสิบห้าหรือใกล้สามสิบ...



พักใหญ่กว่าที่แดริลจะปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติ… และเดินออกจากห้องน้ำชายด้วยท่าทางไร้เรี่ยวแรงกลับไปที่ออฟฟิศห้องกระจกของตน





“บอสครับ บอสไม่เคยเห็นบอกผมเลยนี่นาว่าบอสรู้จักกับคุณซัมเมอร์ ผมก็ว่าทำไมเขายอมรับงานนี้ ตอนแรกก็นึกว่าบอสไม่อยากใช้เขาด้วยซ้ำ…. ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ!” มาถึงก็เจอกับสีหน้าและน้ำเสียงสดใสของไอ้บิลทันที…





ไม่.. ฉันไม่ได้อยากได้ยินชื่อนั้น





“...ช่างมันเถอะ” เหมือนทีมการตลาดจะเข้าใจผิดกันยกใหญ่แล้ว

“บอสเนี่ย สุดยอดไปเลยครับ!” ………… ไม่… ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น





เหมือนอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะปฏิเสธก็น้ำท่วมปากอย่างไรชอบกล





“..... ยังไงก็ตั้งใจทำงานนี้ให้ดีล่ะ” บิลกะพริบตามองด้วยแววสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมเจ้านายของเขาดูไม่สดชื่นแจ่มใสเอาเสียเลยที่ได้เจอเพื่อนเก่า แต่ก็ยังจะพูดต่อออกมาแบบไม่ได้รู้ตัวเลย...





“แน่นอนครับ คุณวินเซนต์นี่ก็ดูเป็นคนอัธยาศัยดีนะครับ ไม่ถือตัวด้วย สมัยเรียนคงสนิทกันสินะครับ”





ใช่ สนิท… สนิทมาก สนิทขั้นเห็นหมอนั่นแก้ผ้าทั้งตัวมาแล้ว….





“บิล รายงานSEM สรุปส่งมาให้ผมก่อนหกโมงเย็นวันนี้นะ” แดริลยิ้มอ่อนโยน ขณะเร่งเดดไลน์งานที่ควรจะส่งพรุ่งนี้เย็นมาเป็นวันนี้เย็นเสียแทน ทำเอาลูกน้องมือขวาได้แต่อ้าปากเหวอ “ผมจะได้รีบสรุปแผนการดันยอดของเราให้มิสเวสด้วย เราจะได้มีเวลาทำแคมเปญกีฬากันมากขึ้น”





CMOยิ้มพ่อพระ แต่การกระทำไม่พ่อพระเลยแม้แต่น้อย





“รีบไปสิ…” แดริล

“.......ครับ.. บอส” บิล





ในที่สุดไล่ตัวน่ารำคาญออกจากออฟฟิศได้แล้ว ครึ่งวันหลังก็ผ่านไปอย่างราบรื่น ทั้งการประชุมรับมือกับนักลงทุนที่มาดูงาน จนถึงตอนเย็น





ขณะออกจากออฟฟิศช่วงหนึ่งทุ่มก็ยังไม่วายได้ยินสาวๆ คุยกันเรื่องวินเซนต์





โห คนอะไรหล่อมาก หล่อพอๆ กับคุณเดวิดเลย

ใช่ แต่บุคลิกดีกว่ามากเลยนะ

เห็นว่าเป็นเพื่อนสมัยไฮสคูลของคุณเชนด้วยนี่นา คุณเชนนี่ก็ปิดซะเงียบเลย

ท่าจะสนิทกันมากด้วยนะ เห็นคุณโอคอนเนอร์บอกว่าที่คุณซัมเมอร์มารับงานนี้ก็เพราะคุณเชนขอร้อง

ว้ายจริงเหรอเนี่ย..







ข้อแรกที่อยากจะบอก ผู้ชายที่เขาเลือกมาทำแฟนย่อมไม่ใช่พวกหล่อเสียของแบบเดวิด โจนส์… ช่วยอย่าเอามาเทียบกัน…. และข้อที่สองที่อยากจะบ่น… นายว่างมากใช่ไหมบิล?





แดริล เชนปั้นหน้าโป๊กเกอร์เฟส แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงซุบซิบ ขณะที่ก้าวเดินออกจากบริษัทไปเผชิญอากาศเย็นด้านนอก





จู่ๆ ก็มีเสียงข้อความมือถือดัง เขาหยิบขึ้นมาดู





Vivienne says:

เห็นว่าพ่อหนุ่มหล่อล่ำกล้ามโตนั่นเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนของเธอเหรอ ฉันว่าก็ดูเข้าทีอยู่นะ :)





“...................” ปิดมือถือแล้วยัดมันกลับเข้ากระเป๋ากางเกงทันที กับมิสวีที่รู้ว่าเขาเป็นเกย์ การส่งอะไรแบบนี้มาย่อมเป็นการแซวกันอยู่แล้ว





แดริล เชนนึกอยากเอาหัวโขกกำแพงไปให้รู้แล้วรู้รอดเสียเดี๋ยวนี้ แล้วมือถือเจ้ากรรมก็ยังคงสั่นอยู่นั่น เป็นข้อความจากเบอร์ที่เขาไม่รู้จัก…





‘พรุ่งนี้จะมารับไปดินเนอร์ รอฉันด้วยล่ะ - วินซ์’





………… นายจะบังคับพาคนไปกินข้าวเย็นอย่างเผด็จการแบบนี้ไม่ได้!!





แดริลนึกอยากปิดประสาทการรับรู้ของตนเองไปเสียเดี๋ยวนี้ วันนั้นเขาขับรถกลับบ้าน อาบน้ำเสร็จก็ฝังหัวลงไปบนหมอน ไม่อยากจะคิดเรื่องอะไรอีกแล้วทั้งนั้น





พระเจ้าช่วย แค่เป็นเกย์ ทำไมชีวิตถึงต้องวุ่นวายขนาดนี้ด้วยเนี่ย...
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 11 [10/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-12-2018 17:24:51
 :z1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 11 [10/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 10-12-2018 21:14:40
ปวดหัวแทนเชนจริงๆพ่อของเชนก็ทำตัวเวรเหลือเกินบ้าสงครามเถิดทูลแต่กีฬาเหยียดเชื้อชาติเหยียดเพศแล้วเชื้อที่น่ารังเกียจตกทอดไปให้พี่ชายเชนอีกแม่ก็คลั่งศาสนาคนรุ่นเก่าในประเทศที่เจริญแล้วเนี่ยน่าเกลียดที่สุดอะเหยียดการกระทำไม่ว่านะแต่เหยียดเพราะแตกต่างรับไม่ได้  :angry2:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 11 [10/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 10-12-2018 22:56:21
หวงแดริล ไม่อยากให้กลับไปคบกับวินซ์เลย  กลัววินซ์จะทำนิสัยแบบเดิมอีก ไม่อยากให้แดริวเสียใจ :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 11 [10/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-12-2018 01:27:28
 :m16:

ขอเหตุผลดีๆ ที่ไม่บอกกันตั้งแต่ตอนแรกหน่อย

หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 11 [10/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-12-2018 01:53:07
อย่าใจอ่อนง่ายสิพ่อคุณ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 11 [10/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 11-12-2018 12:27:12
ขีวิตแดริลมันบัดซบจริงๆด้วย แต่อย่ากลับไปคบกับวินซง่ายๆนะ เพราะมันจะยิ่งบัดซบไปอีก สู้นะคุณแดริล
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 11 [10/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 12-12-2018 17:45:39


บทที่ 12 Alcohol Should Be Banned  (1/2)


   แคทเธอรีน บราวน์ ติดต่อไม่ได้จนวันนี้…

   อันที่จริงงานเดินแบบและถ่ายแบบของเจ้าหล่อนน่าจะรัดตัวพอควร ชายหนุ่มเองก็ไม่อยากจะรบกวนหล่อนนัก สุดท้ายก็ทำแค่ทิ้งข้อความไว้

   สุดท้ายตอนเช้าที่ว่าจะหนีหลบหน้าชิงลาป่วย ก็หนีไม่ได้อยู่ดีเพราะติดประชุมที่ลากกันมาตั้งแต่เมื่อวานของทีมSEOกับฝ่ายไอทีทำให้แดริลต้องลากขาไปทำงานอย่างเลี่ยงไม่ได้

   ก็ใครใช้ให้เขามีความรับผิดชอบขนาดนี้…

   ผ่านไปวันเดียว… วันเดียวเท่านั้น… คุณโจนส์ก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิม หนวดขึ้นไม่เรียบร้อย ผมเผ้าดูราวไม่ได้หวี ใส่แว่นหนาเตอะ สวมสูทราคาถูกทับเสื้อยืดเก่าๆ
   ทำไมคนคนนึงถึงทำตัวเสียของได้ขนาดนี้… เขาทำได้เพียงเหม่อมองเพดานอย่างไม่เข้าใจ… ด้วยหน้าตากับรูปร่างแบบนั้นจับไปถ่ายแบบชุดแบรนด์ของบริษัทได้เลยด้วยซ้ำ

   เวลาในวันนี้เหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว… วินเซนต์ ซัมเมอร์ ยังคงเป็นหัวข้อสนทนาของสาวๆในออฟฟิศ แต่ก็ไม่ได้มากเท่าเมื่อวาน
   
   เดิมทีก็คิดว่าจะกลับให้เร็วเสียหน่อย แต่ก็ต้องรอเซ็นอนุมัติเอกสารอีกจนได้.. สุดท้ายพอถึงเวลาใกล้เลิกงาน แดริลก็เก็บข้าวของและคอมพิวเตอร์โน้ตบุค มุ่งหน้าไปยังลิฟต์เพื่อออกไปลานจอดรถทันที

   หากแต่ยังไม่ทันจะออกจากลิฟต์ ก็มีโทรศัพท์โทรมาหาเขาเสียก่อน เป็นสายจากซาร่า รีเซปชั่นนิสสาวที่นั่งประจำอยู่ทางเข้าชั้นล่าง

   “คุณเชนคะ คุณซัมเมอร์มารอพบตามนัดน่ะค่ะ จะให้ขึ้นไปพบเลยไหมคะ?” อย่างที่บอกว่าออฟฟิศนี้ยึดนโยบายเวลาเข้า-ออกงานที่ยืดหยุ่น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากมีนัดคุยงานกันนอกเวลาแต่อย่างใด บางทีมันก็แล้วแต่ความสะดวกของทั้งสองฝ่าย

   แต่นี่… เขาไม่ได้นัดเสียหน่อย ไม่ได้ตอบรับเลยด้วยซ้ำว่าจะไป

   บัดซบเอ๊ย หนีไม่ทัน!

   แต่คิดดูแล้วการหนีทันแล้วปล่อยให้วินเซนต์มานั่งรออยู่ในบริษัทอาจจะสร้างความชิบหายมากกว่าเดิมก็ได้… ปลงได้แล้วชายหนุ่มก็กดลิฟต์ลงไปชั้นล่าง เผชิญหน้ากับผีจากอดีตที่มาในคราบของนักกีฬาชื่อดัง

   ออกจากลิฟต์ไปก็เห็นคนคุ้นเคยแทบจะในทันที ร่างสูงใหญ่ที่แสนจะดึงดูดความสนใจคนรอบข้างยกยิ้มมุมปาก โบกมือมาทางCMOหนุ่มอย่างชัดเจน…

   “....” ท่ามกลางสายตาทุกคู่ แดริล เชน จำเป็นต้องโบกมือกลับอย่างช่วยไม่ได้…

   วันนี้วินเซนต์แต่งตัวมาดีพอๆกับเมื่อวาน เป็นแนว smart casual ที่เหมาะสมกับการมาคุยงานกับบริษัทสตาร์ทอัพ… และไปดินเนอร์ดีๆสักที่

   รูปร่างสูงกับไหล่กว้างรับกับแจ็คเกตสูทตัวนอกได้อย่างดี และดูจากการตัดเย็บแล้วหากจะให้เดามันคงมีราคาแพงน่าดูทีเดียว

   “ไปกันหรือยัง ฉันจองร้านอาหารไว้แล้ว”

   แล้วฉันมีทางเลือกอะไรด้วยเหรอ….

   แดริลตอบรับในลำคอเบา ดวงตาพยายามไม่มองคนข้างๆนานจนเกินไป… และก็พยายามไม่สนใจสายตาสอดรู้สอดเห็นของพนักงานบางคนด้วย...

   ร่างสูงเดินนำไปจนถึงที่จอดรถ เห็นรถหรูคันสีแดงตรงหน้าที่ดูจะราคาแพงกว่าคันเมื่อสมัยไฮสคูลอยู่โข ชายหนุ่มก็หรี่ตาพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย

   ราคาของรถคันนี้ เกรงว่าเขาทำงานสิบปีก็ยังซื้อยาก ให้ตายสิ… ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

   “ฉันไม่ได้ตกลงว่าฉันจะไปกินข้าวกับนาย…” แดริลพยายามบอกปัด แต่ข้อมือกลับถูกกุมไว้หลวมๆ จะสะบัดก็รู้ดีว่าคงสะบัดไม่หลุดและเหนื่อยเปล่าเขาก็เลยปล่อยไว้แบบนั้นนั่นล่ะ (...)

   “ยังไงซะเราก็มีเรื่องที่ควรคุยกันให้จบ นายอยากคุยให้มันจบๆไปหรือให้ฉันยืดเยื้อมาหานายแบบนี้ในวันที่ฉันว่างดีล่ะ?” ร่างสูงใหญ่ยกยิ้มเห็นฟันเขี้ยว ดูแล้วน่ากระทืบแปลกๆ แต่แดริลไม่มีปัญญาจะไปกระทืบมันไหวหรอก… จึงทำได้เพียงก่นด่าในใจเท่านั้น

   วินเซนต์พูดถูก… เรื่องนี้ควรทำให้มันชัดเจนและจบๆไป.. การที่นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลชื่อดังโผล่หน้ามาตามตื๊อเขาที่ออฟฟิศบ่อยๆนั่น… แค่คิดก็ไมเกรนขึ้นแล้ว

   “ก็ได้… มาคุยให้มันจบ” ชายหนุ่มผมดำพยักหน้า มือเปิดประตูเพื่อเข้าไปนั่งในรถซุเปอร์คาร์ราคาแพง แค่คิดถึงความต่างของรถคันนี้กับรถแบรนด์ตลาดราคากลางๆของตนเองแล้วก็อยากร้องไห้ขึ้นมา

   รถสปอร์ตคันงามแล่นออกจากตึกบริษัท แค่ดีไซน์ของมันก็ดึงดูดความสนใจจากรอบข้างมากพอแล้ว ยังไม่นับสีแดงที่ล่อสายตาเป็นอย่างมาก ราวเจ้าของรถกลัวทุกคนจะไม่รู้ว่า ‘วินเซนต์ ซัมเมอร์อยู่ที่นี่!’ อย่างนั้นล่ะ

   “ทำไมต้องใช้รถที่มันดึงความสนใจขนาดนี้ด้วย…” แดริลบ่นเบา
   “ก็ฉันมีเงินนี่” คำตอบนั่นทำให้หยุดบ่นในทันที จู่ๆผู้โดยสารก็นึกเจ็บใจกับความต่างของไลฟ์สไตล์ของทั้งคู่เหลือเกิน
   เรื่องของนายเลย ไอ้คนเงินเหลือ!
แม้ว่ารายได้ของแดริลจะไม่ได้น้อย แต่ก็ไม่ได้นับว่ามากเพราะการชดใช้ทุน MBA ให้บริษัท...  แค่มีพอให้ใช้สบาย แต่ไอ้เรื่องประเภทซื้อของฟุ่มเฟือยแบบซุเปอร์คาร์น่ะอย่าได้หวัง..

“นายไม่ชอบหรือไง? ไว้วันหลังจะขับคันอื่นมานะ”

อย่า… ขอร้อง อย่าทำให้ฉันรู้สึกแพ้ไปมากกว่านี้เลย..

   “เปล่า… ก็สวยดี” กัดฟันตอบ ดวงตาสีฟ้าเบือนมองนอกหน้าต่างไปทางรถคันข้างๆที่ติดไฟแดงอย่างไม่สบอารมณ์
   “อ้อ… อิจฉา” วินซ์กล่าวคำพูดแทงใจดำด้วยน้ำเสียงติดตลกอยู่บ้าง แดริลเลือกที่จะไม่ตอบอะไร “ไม่ตอบ… แปลว่าใช่สินะ?”
   ช่วยหยุดตอกย้ำทีเถอะพ่อนักกีฬาชื่อดัง พ่อคนรวย…

   เจ้าของรถหัวเราะเบา พูดจาตรงไปตรงมาเหมือนเคย แต่ด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ไม่ได้มีแววจะยั่วโมโหเลยแม้แต่น้อย
   “...ฉันแค่อยากทำให้นายประทับใจ... แต่ดูเหมือนจะทำให้หงุดหงิดแทนซะแล้ว?”
   
   แค่ประโยคนั้นกับน้ำเสียงนั่น… ก็ทำให้อารมณ์ลดลงไปครึ่งแล้ว

   อันที่จริงวินเซนต์จะขับอะไรมา มันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะไปโมโห หากตัวเองหาเงินได้น้อยมันก็ควรเป็นปัญหาที่ตัวเองต้องแก้... ไม่ใช่ไปพาลใส่แฟนเก่าที่ประสบความสำเร็จ...
   “ฉันแค่พาลในความไม่ได้เรื่องของตัวเองเฉยๆ ช่างมันเถอะ”
   “วันหลังจะขับคันที่มันธรรมดากว่านี้มา” แค่วินเซนต์ตอบอย่างเรียบง่ายมาอีกประโยค… ทำให้คนฟังนึกประหลาดใจ...
   วินเซนต์ ซัมเมอร์ ที่เขารู้จัก ต่อให้คนอื่นจะคิดหรือรู้สึกอย่างไร ก็จะทำตามที่ตัวเองอยากทำทุกครั้ง การพูดอะไรแบบนี้ แม้จะเป็นแค่เรื่องง่ายๆ แต่ก็ขัดกับนิสัยเจ้าตัว...

   ชายหนุ่มก็ไม่ได้อยากคิดเล็กคิดน้อย… อีกฝ่ายอยากขับอะไรก็ควรจะขับไป สุดท้ายคนที่พาลไม่เข้าเรื่องนั่นก็เขาเอง..

   “… โทษที…” พึมพำคำขอโทษออกมาในที่สุด…
   “ฉันไม่อยากให้นายขอโทษ แค่อยากให้นายดีใจ” วินซ์กล่าวขณะดึงพวงมาลัยเพื่อหักเลี้ยว ดวงตาสีเขียวจับจ้องบนถนน แต่น้ำเสียงไม่ได้เจือด้วยแววขบขันดังเช่นทุกที “...เหมือนฉันจะลืมไปแล้วว่าต้องทำยังไงให้นายยิ้มออกได้บ้าง”

   “....” แดริลไม่ได้ตอบ เขาไม่รู้ว่าควรตอบอะไร หรือจะตอบอะไรดี… จนในที่สุดรถคันใหญ่ก็เลี้ยวเข้าจอดเทียบริมฟุตบาธข้างๆมิเตอร์ที่จอดรถ

   “...อย่างน้อยก่อนจะปฏิเสธ นายก็ช่วยรับฟังสิ่งที่ฉันจะพูดหน่อยได้ไหม” มือใหญ่กดดับเครื่องยนต์ ดวงตาสีเขียวมองตรงยังคนข้างๆ ...ที่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ยอมหันมาสบตา

   “ฉันก็ฟังอยู่…”

   “ฟังแบบที่ไม่คิดว่าฟังจบแล้วจะปฏิเสธ… ขอร้องล่ะ”

คนคนนี้ขอร้องใครเป็นด้วยเหรอ… ?

   แดริลหันมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ สบเข้ากับสายตาของอีกคนที่ดูเหมือนกำลังวิงวอนอยู่จริงๆ และอีกส่วนก็ดูเหมือนคนที่กำลังทำอะไรไม่ถูก

   ชายหนุ่มเม้มปากเล็กน้อย แสดงสีหน้าลำบากใจแล้วก็หลุบตาหนี

   “...ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ แล้วค่อยว่ากัน” พอไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไรก็รีบเปลี่ยนเรื่องในทันที

คนเราย่อมมีใครสักคนที่เป็นจุดอ่อนหรือแพ้ทางเป็นธรรมดา… และถึงในสายตาคนอื่น วินเซนต์จะเป็นไอ้สารเลว แต่ความลำเอียงก็ทำให้แดริลมองอีกฝ่ายเป็นเหมือนสุนัขเกเรที่น่าเอ็นดูมาตลอด

   ใช่… สำหรับเขา ผู้ชายสูงหกฟุตสามนิ้วที่เอาแต่ใจและโลกหมุนรอบตัวเองคนนี้เป็นคนน่ารัก

   … คิดย้อนไปตอนที่เอาวินเซนต์กับคำว่าน่ารักมาไว้ในประโยคเดียวกัน แคทเธอรีนถึงขั้นทำถ้วยโยเกิร์ตโลว์แฟทร่วง…

   ฉันจะต้องพูดอีกกี่ครั้งยะว่ารสนิยมเธอน่ะมันมี-ปัญ-หา!!

   จะว่าไปแคทก็เคยบ่นอะไรแบบนั้นตอนที่เขาเลิกกับแฟนเก่าผู้แสนดีเพราะอีกฝ่ายน่าเบื่อเกินไป...
   มันก็คงเป็นเหมือนการที่ผู้ชายปกติมองแฟนสาวของตนเองว่าน่ารักเสมอละมั้ง… แม้ว่าอีกฝ่ายจะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรก็ตาม แค่เห็นทำท่าหงอยนิดหน่อยก็รู้สึกอดที่จะปลอบไม่ได้แล้ว…

   “รู้อะไรไหม ถ้าเธอไม่ได้เป็นเกย์คงจะเป็นสามีที่ดีสุดๆไปเลย น่าเสียดายจัง” นึกย้อนไปถึงประโยคของมิสเวสเมื่อสองปีที่แล้วก็อดจะนึกเย้ยตนเองในใจไม่ได้…

   ร้านอาหารที่วินเซนต์จองไว้ค่อนข้างเป็นร้านหรู… แค่ดูบรรยากาศการตกแต่ง และเมนูอาหารเป็นคอร์สที่ราคาค่อนไปทางแพงก็บ่งบอกได้ชัดเจนแล้ว

   อันที่จริงแดริลก็แค่อยากกินอะไรง่ายๆเท่านั้นเอง… ไม่ได้ต้องการการเอาใจประเภทนี้เลย ทั้งรถหรู มื้ออาหารหรู…. มุกง้อสาวแบบนี้มันควรเอามาใช้กับชายหนุ่มที่ไหนกัน

   แต่เห็นความพยายามแบบนี้ก็นึกเอ็นดูอยู่บ้าง… จนอดกลุ้มใจกับความใจอ่อนของตนเองไม่ได้
   
   ชายหนุ่มฝังหน้าลงกับเมนูอาหาร พยายามไม่สบตากับคนรักเก่า ระหว่างเดียวกันก็ลอบมองโต๊ะรอบข้างไปด้วย…

   นั่งอยู่กลางร้านแบบนี้จะมีใครสังเกตไหมนะ..

   มีบางคนที่มองมาทางพวกเขา อาจจะเพราะจำวินเซนต์ได้… แต่ก็ไม่มีใครเสียมารยาทจ้อง หรือลุกขึ้นมาทัก แต่แม้จะแค่มองผ่านๆก็มีโอกาสที่พวกเขาจะสงสัยได้อยู่ดี..

   ชายหนุ่มนึกหวาดระแวง นั่งมุ่นคิ้วคร่ำเครียด

   “นายเป็นอะไร?” มือกร้านวางลงบนหลังมือของอีกฝ่าย ซึ่งรีบชักหนีในทันใด
   “.... ตรงนี้ไม่ได้” ฟังแล้ววินเซนต์ก็มุ่นคิ้ว มองไปรอบๆอย่างไม่เข้าใจอยู่พักหนึ่ง จนที่สุดแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นคล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

   “....นายยังกลัวที่จะเปิดเผยเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ?” วินเซนต์พูดด้วยน้ำเสียงติดจะประหลาดใจ
   “แล้วนายไม่กลัวหรือยังไง?” กดเสียงต่ำกระซิบถาม คิ้วขมวดจนแทบชิดขณะพยายามวางท่าให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด…
   “....แต่ก่อนใช่ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว” ดวงตาสีเขียวคู่นั้นจ้องมองตรงมาอย่างจริงจัง เจ้าของร่างสูงกว่าเปิดปากพูดอย่างไม่ลังเล “แดริล… ฉันไม่สนใจแล้ว”
   “แต่ฉันสน.. ขอร้องล่ะเราอย่าคุยเรื่องนี้กันตรงนี้เลย” นิ้วเรียวยาวกำแน่นจนข้อนิ้วเป็นสีขาว แดริลมีท่าทีลำบากใจอย่างชัดเจน

   คนฟังมีท่าทีไม่เห็นด้วยนัก แต่ก็พยักหน้ายอมถอย เปลี่ยนเรื่องคุยในทันที…

   “เจฟฟ์ลูกสองแล้วล่ะนายรู้ไหม ทำงานเป็นโค้ชอยู่ที่โรงเรียน” ฟังแล้วแดริลก็เลิกคิ้วประหลาดใจเล็กน้อย
   “ก็รู้อยู่ว่าหมอนั่นเรียนไปทางวิทยาศาสตร์การกีฬา… แต่กลับไปเป็นโค้ชเนี่ยนะ ไม่อยากเชื่อเลย”
   “อืม… ก่อนย้ายมานิวยอร์กฉันแวะไปอุ้มลูกของหมอนั่นมาด้วย ซนเป็นบ้า” วินซ์
   “แบบนายยังมีหน้าไปว่าคนอื่นอีก” แดริล
   “นายน่าจะกลับดีซีบ้างนะ ไปดูหมอนั่นตอนนี้สิ เริ่มจะลงพุงแล้ว” วินซ์
   “นายก็รู้… ฉันไม่ค่อยอยากกลับไปเจอพ่อเท่าไหร่” แดริลถอนหายใจ “ล่าสุดเขาโหวตทรัมป์ด้วยรู้ไหม…”
   “อืม… อันที่จริงฉันกลับบ้านทุกวันขอบคุณพระเจ้า… ก็ไม่เคยเจอนาย” วินซ์

   ...ก็ถึงแดริลจะกลับบ้านบ้างแต่ก็รีบไปรีบกลับตลอด ไม่ค่อยจะเพ่นพ่านไปไหนจะได้ไม่ต้องเจอคนที่ไม่อยากเจอ
   ทุกครั้งที่เขาได้ยินข่าววินเซนต์ควงดาราสาวคนใหม่ ก็มักจะหงุดหงิดใจ พอเริ่มทำใจให้ชินได้… ก็เห็นว่าเปลี่ยนคนแล้ว ระยะเวลาทั้งปวงไม่เคยเกินสองเดือน
   ยิ่งหากเจอตัวจริง… ใจก็คงยิ่งไม่สงบ เห็นในข่าวกีฬา ใจก็ไม่สงบ สุดท้ายเลยตัดสินใจบล็อกทิ้งมันทุกช่องทาง
   เป็นความหึงหวงที่ไร้สาระ… เขารู้ดี แต่ในใจบางส่วนก็ยังคงตะโกนออกมาว่าผู้ชายคนนี้เป็นของเขา และในโลกนี้ใครมันจะไปทนวินเซนต์ที่ทั้งเอาแต่ใจและโลกหมุนรอบตัวเองได้นอกจากเขากัน (...)

   “คงแค่ดวงไม่ดี…” จะไม่บอกหรอกว่าเขาพยายามไม่ออกจากบ้านพ่อแม่ และรีบร้อนกลับนิวยอร์กทันทีที่เสร็จธุระ
   
   พูดจบออเดิร์ฟจานแรกก็มาเสิร์ฟพร้อมกับไวน์ขวดหนึ่งที่วินเซนต์สั่งมา คนกินก็กินแบบไม่ได้อยากอาหารมากนัก เน้นหนักไปทางเหล้าเสียมากกว่า… ดังเช่นที่เขาว่า เมื่อคิดอะไรไม่ออกก็จงดื่มให้หายเครียด
   อันที่จริงความคิดหลายอย่างไหลผ่านในหัว เช่นว่าระหว่างพวกเขาอาจจะยังพอเป็นเพื่อนกันได้… ไม่หรอก นั่นมันหลอกตัวเองชัดๆเลย
   
   คิดแล้วก็อยากนวดขมับอีกหน

   “เหล้าน่ะเพลาๆหน่อย กินข้าวสิ” วินเซนต์แย้งขึ้นมาเมื่อเห็นว่าไวน์หมดไปสามแก้วแล้ว
   “ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ฉันต้องการมันมากๆ…” พออายุมากขึ้นก็เมายากขึ้น และต่อให้เมาก็ไม่ถึงขั้นควบคุมตัวเองไม่ได้แบบในปีนั้นอีกแล้ว
   เหล้าไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา แต่มันก็ช่วยคลายเครียดได้ชั่วคราว…

   “เหล้าไม่ได้ทำให้ฉันหายไปจากชีวิตนายหรอกนะ…” วินเซนต์เพียงมองด้วยสายตาอ่อนใจแบบที่นานๆทีจะเห็น พูดแค่นั้น และก็ตัดสินใจไม่ห้ามอีก ส่วนตนเองดื่มไม่มากเพราะต้องขับรถต่อ
   
มื้ออาหารนั้นจบลงด้วยความเงียบ ไวน์หนึ่งขวดไม่อาจทำให้แดริลเมาขาดสติได้ แต่มันก็ทำให้เขาเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง

ระหว่างทางเดินไปขึ้นรถสปอร์ตคันหรู ลมกลางคืนชวนให้รู้สึกเย็น ชายหนุ่มห่อไหล่น้อยๆขณะเหม่อมองไปข้างหน้า ไม่นานนักก็เดินมาถึงที่หมาย หลังวินเซนต์จัดการกับมิเตอร์จอดรถเรียบร้อยแล้ว เขาก็เปิดประตูเข้ามานั่ง หากแต่ยังไม่ได้ขยับรถออกไป

“เหมือนสมัยก่อน...” แดริลเปรยเบา… พอเหล้าเข้าปาก หลายอย่างก็ออกจากปากได้ง่ายขึ้น
“ไม่เหมือน คันนี้แพงกว่า” คนข้างๆพูดติดตลก “...ฉันจับมือนายได้หรือยัง?”

“.... ไม่ได้... นายควรระวังตัวให้มากกว่านี้นะ วินซ์” แดริล
“ฉันต้องระวังอะไร?” วินซ์
“ปาปารัสซี่… ข่าวซุบซิบ… อาชีพนายกำลังอยู่ในช่วงพีค ทำไมถึงชอบหาเรื่องใส่ตัวแบบนี้” ชายหนุ่มผมดำพูดออกมาตามที่ตัวเองคิดด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลล์

วินเซนต์ฟังแล้วก็ถอนหายใจ ไม่ได้ตอบคำถามนั้น

“...ไปหาที่คุยเรื่องของเรากันเถอะ นายอยากคุยแบบเป็นส่วนตัวที่สุดใช่ไหม?”
“อืม” คู่สนทนารับคำในลำคอ พยักหน้าเล็กน้อย
“บ้านฉัน?” วินเซนต์ถามออกมา แต่คนฟังกลับส่ายหน้า… หน้าบ้านอีกฝ่ายน่าจะมีโอกาสเจอปาปารัสซี่สูงกว่า…
“อพาร์ทเมนต์ฉันก็ได้”
เจ้าของร่างสูงกว่าเพียงมีสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ขัด
“ได้ นายบอกทางเลย”

หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 11 [10/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 12-12-2018 17:47:07
บทที่ 12 (2/2)

…………….

   อพาร์ทเมนต์ของแดริลไม่ได้หรูหราเต็มไปด้วยของแพง แต่ก็ตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์นโทนดำ-เทาอย่างดูมีระดับ ข้าวของด้านในถูกวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ว่าจะแจกันสีเข้มที่ดูเรียบง่ายหรือที่เขี่ยบุหรี่ก็ถูกจัดวางอย่างพิถีพิถัน

   เจ้าของห้องถอดแจ็คเกทสูท แขวนไว้กับที่แขวน ขณะปลดกระดุมเม็ดบนให้สบายเนื้อสบายตัวขึ้น

   “ดื่มอะไรไหม?”
   “ไม่ล่ะ ฉันจำกัดแอลกอฮอลล์ต่อวัน” คำปฏิเสธทำให้เจ้าของห้องถึงกับต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงตั้งคำถาม วินเซนต์ยกยิ้มขบขันก่อนจะอธิบาย “ฉันเป็นนักกีฬาอาชีพ การดูแลสุขภาพให้พร้อมเป็นหน้าที่”

“สมัยไฮสคูลเห็นออกจะดื่มเอาๆ” แดริล
“การจะเป็นเบอร์หนึ่งในวงการนี้ หากร่างกายไม่พร้อมก็เป็นไม่ได้หรอก” วินซ์ยักไหล่ “อาหารฉันก็ต้องจ้างนักโภชนาการมาช่วยดู ที่มากินกับนายวันนี้นับเป็นชีทเดย์”
คนฟังเงียบไปนิด… อันที่จริงถึงหลายๆเรื่องวินเซนต์จะเละเทะ แต่กับเรื่องงานและอนาคต คนคนนี้มีความมุ่งมั่นกับมันเสมอ และนั่นเป็นจุดที่เขาชอบ

“งั้นก็ไม่เป็นไรหรอก…” พูดแล้วก็หยิบขวดวิสกี้มารินให้ตัวเองดื่มแทน… กระดกเข้าไปทั้งแก้วหน้าตาเฉย… และหลายรอบอีกด้วย จนสุดท้ายชายหนุ่มก็สะบัดหัวเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมาสบตากับวินเซนต์ “...ฉันพร้อมฟังแล้ว”

“พร้อมจริงๆ?” คู่สนทนานั่งลงบนเก้าอี้ที่บาร์ เท้าคางมองคนที่ดวดเหล้าอย่างกับน้ำเปล่า “...ฉันไม่ใช่ภาพลวงตานะแดริล ต่อให้นายเมาหนีฉันก็ยังอยู่…”

เจ้าของห้องหัวเราะออกมาเบาๆ เผลอหลุดพูดตามที่คิด
“แต่หลายครั้ง… ฉันเห็นภาพลวงตาของนาย… เก้าปี วินซ์ เก้าปี นายไปอยู่ที่ไหนมา...” มือกระแทกแก้วเหล้าลงกับเคานต์เตอร์สีดำ รู้สึกว่าสายตาเริ่มพร่าเลือนจนเห็นใบหน้าของคู่สนทนาไม่ชัด เพราะถูกบดบังด้วยน้ำตา “แล้วอยู่ดีๆนายก็กลับมา ทำเหมือนกับว่านายไม่เคยหายไปไหน ฉันควรจะรู้สึกยังไงดี? ตัวฉันเองยังไม่มั่นใจเลย”

วินเซนต์ถอนหายใจ มือใหญ่ปาดน้ำตาออกจากหางตาของคนที่กินไวน์มาทั้งขวดต่อด้วยวิสกี้อีกหลายแก้ว...
“ฉันว่านายเมาแล้ว… ให้ตายสิ” ร่างสูงใหญ่ก้มลงจูบหน้าผากของคนตรงหน้าเบาๆ รวบดึงเอวไม่หนาไม่บางเข้ามากอดไว้หลวมๆ ในดวงตาสีเขียวฉายแววเจ็บปวดชัดเจน “... ฉันขอโทษ อย่าร้อง ฉันไม่ดีเอง”

“ทั้งที่เริ่มตัดใจได้แล้ว ทำใจได้แล้ว ทั้งๆที่ฉันกำลังจะเดินต่อ… นายจะกลับมาทำไม?” สองมือยึดกำเสื้อเชิ้ตของวินเซนต์ไว้แน่น น้ำตายิ่งทะลักออกมามากกว่าเดิม “ฉันต้องตัดใจปล่อยนายไปอีกรอบ รู้รึเปล่าว่ามันรู้สึกแย่แค่ไหน”

“...ก็อย่าปล่อย” มือใหญ่ที่สากกร้านจากการเล่นกีฬามาหลายปีวางลงบนแผ่นหลังของคนตรงหน้า ลูบเบาเหมือนกำลังปลอบประโลม “อย่าตัดใจ”
 
“จะไม่ให้ปล่อยได้ยังไง… ในเมื่อถ้าฉันอยู่มันจะพังอนาคตในวงการฟุตบอลของนาย!!”

วินเซนต์ยิ่งกอดอดีตคนรักแน่นขึ้นอีก

“มันก็ไม่แน่หรอก… นี่มันปีอะไรแล้ว? แดริล สมัยก่อนอาจจะใช่… แต่ตอนนี้หลายๆอย่างมันไม่เหมือนเดิม… ผู้ชายยังแต่งงานกันแบบถูกกฎหมายได้แล้วเลย”
“แต่มันก็มีความเสี่ยงอยู่ดี… ที่นายจะโดนเกลียด โดนว่าร้าย โดนแฟนๆแอนตี้” คนพูดสะอื้นเบา “แฟนกีฬาที่เป็นแบบนั้นมีเยอะแยะไป… แบบพ่อฉัน”

 “โดนแล้วจะทำไมกัน.. ที่ผ่านมาฉันพิสูจน์ตัวเองในฐานะนักกีฬามาตั้งเท่าไหร่? หากคนพวกนั้นตัดสินความสามารถของฉันแค่เพราะฉันมีคนรักเป็นผู้ชาย ฉันก็ไม่อยากจะได้แฟนๆแบบนั้นหรอก.. หากพวกเขาจะไม่สปอนเซอร์ ไล่ฉันออกจากทีม แค่เพราะคนที่ฉันรักเป็นผู้ชาย คนพวกนั้นก็ไม่คู่ควรให้ฉันทำงานด้วย” คำพูดคำจาทั้งโอหังเอาแต่ใจเหมือนเคย.. “แล้วฉันก็เก็บเงินได้เยอะพอแล้วด้วย งานในวงการบันเทิงก็ใช่จะไปไม่ได้”

“ฟุตบอล… คือชีวิตของนาย”
“ไม่รู้สิ… ก่อนหน้านั้นก็เคยคิดแบบนั้น แต่ก่อนมาที่นี่ ฉันเกือบตายไปรอบนึง… แล้วตอนนั้นก็เอาแต่คิดว่าอยากพบนายอีกสักครั้ง… ไม่ได้คิดถึงอเมริกันฟุตบอลเลย” มืออีกข้างลูบเรือนผมสีดำไว้ยาวเบามือ ค่อยๆปลดยางรัดผมออก “เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม คราวนี้ฉันจะทำให้มันถูกต้อง ฉันสัญญา”

พูดถึงขนาดนี้แล้วแต่คนฟังยังคงส่ายหน้าอยู่ดี

“วันนึงนายอาจจะเกลียดฉันก็ได้… ถ้าเกิดอะไรขึ้น….”
“ฉันบอกแล้วไง.. ว่าฉันไม่สนใจแล้ว” วินเซนต์มุ่นคิ้ว ถอนหายใจยาวคล้ายกำลังเหนื่อยใจ
“แต่ฉันสน! นายใช้เก้าปีทุ่มเทมาจนถึงจุดนี้… จะให้ฉันฉุดนายลงมาได้ยังไง! ตอนนี้นายก็แค่กำลังสับสน แต่พอนายคิดได้… นายก็จะทิ้งฉันไปอีก”
“ไม่ทิ้ง… ฉันไม่ทำขนาดนี้หรอกถ้าไม่มั่นใจว่าอยากใช้ชีวิตที่เหลือเริ่มใหม่กับนาย” มือข้างหนึ่งประคองใบหน้าของแดริลขึ้น ก้มลงจูบซับน้ำตาที่หยดลงบนแก้มแดงจัดเบาๆ
   “...นายมีทางเลือก วินซ์” ผู้พูดส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องเป็นฉัน… เป็นผู้หญิงสวยๆสักคน กับลูกที่น่ารักก็ได้”
   “เก้าปีที่ผ่านมา ไม่ว่าใครก็ทำให้ฉันใจเต้นไม่ได้… ส่วนลูกนั่นก็ไม่ได้อยากมี อย่ามายัดเยียดสิ่งที่นายคิดว่าดีให้ฉัน”

   ดวงตาสีฟ้าคลอด้วยน้ำตา ไม่ว่าร่างที่สูงกว่าจะพยายามซับให้เท่าใดก็เหมือนจะไม่หมดสักที

   ทั้งสองสบตากับครู่ใหญ่ ก่อนที่แดริลจะทำในสิ่งที่นักกีฬาหนุ่มไม่คาดคิด… จู่ๆคอเสื้อก็ถูกดึงลง คนในอ้อมแขนที่กำลังเมาดันตัวขึ้นประทับจูบบนริมฝีปาก จังหวะที่ลิ้นอุ่นร้อนแทรกเข้ามา ก็ได้กลิ่นวิสกี้จางๆ

   “ฉันคิดถึงนาย…” สองมือปลดกระดุมเสื้อของร่างซึ่งสูงกว่าออกจนครบ ก่อนจะสอดมือเข้าไปลูบไล้ร่างกายกำยำ ริมฝีปากผละไปไล่จูบบริเวณต้นคอ จงใจขบเบาทิ้งรอยแดงเอาไว้เป็นหลักฐาน

   “...ยังเมาแล้วระรานเหมือนเดิม”
   “ระรานแค่นายคนเดียว” ยิ่งเมาก็ยิ่งพูดตรงไปตรงมา.. เหมือนเจ้าตัวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพูดอะไรออกมา วินเซนต์ฟังแล้วก็ยกยิ้มขบขัน ก้มลงกระซิบข้างหูของแดริล
   “พรุ่งนี้เช้านายต้องเกลียดตัวเองแน่…”

   พูดจบร่างสูงใหญ่ก็โดนผลักจนถอยไปล้มตัวลงนั่งบนโซฟา เจ้าของห้องปลดกระดุมเสื้อของตนเอง ถอดมันทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ และตามมานั่งคร่อมลงบนตักของวินเซนต์

   “นั่นก็ปล่อยให้ฉันในตอนเช้ารับมือไปแล้วกัน”

   คนฟังหัวเราะในลำคอ มือใหญ่สางเรือนผมสีดำสนิท ดันลงมาเล็กน้อยให้อีกฝ่ายก้มลงมาแนบจูบ ผละริมฝีปากออกเล็กน้อยก่อนจะกระซิบ

   “เอาแบบนั้นก็ได้... นายพูดเองนะ“

ชายหนุ่มรับคำเสียงแผ่วในลำคอ… และหลังจากนั้นค่ำคืนก็ดำเนินต่อไปอย่างยาวนาน…

…………….
…………
……….
…..

(ในส่วนNCตรงนี้จะไปเขียนรวบยอดเอาในตอนที่เป็นมุมมองของวินเซนต์นะคะ)

………………

เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุด..

   แดริล เชน ตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดหัวเพราะเมาค้าง… นึกอยากได้น้ำเปล่าสักแก้ว...แต่เขากลับลุกไม่ขึ้น

   ลุกไม่ขึ้นเพราะสองอย่าง ข้อแรก มีแขนขนาดใหญ่รัดเอวเขาอยู่ ข้อสอง ร่างกายทั้งไร้เรี่ยวแรงและปวดระบม โดยเฉพาะท่อนล่างที่ผ่านการใช้งานมาเมื่อคืน…
   
   บนร่างกายสมส่วนมีรอยแดงเป็นจ้ำ ไล่ตั้งแต่ต้นคอลงไปถึงต้นขา ส่วนยอดอกที่บวมแดงยังคงเจ็บระบมอยู่เล็กน้อย เป็นหลักฐานชั้นดีว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้น
   ดวงตาสีฟ้ามองใบหน้าของคนกำลังหลับ ถึงกับตื่นเต็มตาพอเริ่มจำได้ว่าเมื่อคืนเกิดบ้าอะไรขึ้นบ้าง ที่คราวนี้จะโทษวินเซนต์ก็ไม่ได้เพราะเขาเป็นคนก่อเรื่องเอง
   ชายหนุ่มสุดจะเกลียดตัวเอง… ปกติแล้วช่วงหลายปีที่ผ่านมาเวลาเขาเมาก็แค่พูดเยอะหน่อย ตรงไปตรงมาขึ้นหน่อย ไม่ได้ถึงขั้นไปลวนลามใคร...

   แดริลลูบหน้าเครียด ไม่รู้จะเอาตัวเองออกจากความวุ่นวายครั้งนี้อย่างไรดี…

   เรื่องเมื่อคืนเขาจำได้… แต่กลับจำได้ไม่ครบถ้วน ความทรงจำสุดท้ายคือผลักวินเซนต์ลงบนโซฟาแล้วก็เริ่มปลุกปล้ำ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามานอนที่เตียงตั้งแต่เมื่อไหร่

   ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด…

   มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยจากคนข้างๆ วินเซนต์ส่งเสียงครางเบาในลำคอ ดวงตาสีเขียวค่อยๆปรือเปิด

   “อรุณสวัสดิ์” พูดแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส จนคนที่กำลังเมาค้างรู้สึกแสบตา รู้ตัวอีกทีก็โดนจูบแบบไม่ทันตั้งตัว “นายหิวหรือยัง เดี๋ยวฉันไปซื้ออะไรมาให้กิน”
   “....ไม่หิว...เท่าไหร่”

   เอาล่ะ ข้อแรก เขาควรจะเคลียร์เรื่องนี้ยังไงดี… นึกสาปแช่งตัวเองที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังจนอยากเอาหัวโขกกำแพงให้มันรู้แล้วรูรอด

    “งั้นทำอีกสักรอบเผื่อนายจะหิว” ไม่พูดเปล่า มือหยาบเริ่มลูบลงไปถึงสะโพก จนแดริลต้องรีบตะครุบมือข้างนั้นเอาไว้ไม่ให้เรื่องมันเลยเถิดไปกว่านี้

   ชายหนุ่มเจ้าของห้องกระแอมเบาๆ เรียบเรียงคำพูดยังไม่ค่อยดีก็ต้องรีบพูดออกมาแล้ว
   “คือ... นายก็รู้ใช่ไหมว่าเมื่อคืนฉันเมา…”
   “อืม… ก็เห็นๆกันอยู่” คนตอบก็เลิกคิ้วตอบเหมือนจะถามว่าแล้วมันทำไม?
   “นายไม่ควรถือสาคนเมา นายรู้ใช่ไหม” แดริล
   “แต่เวลานายเมาแล้วจะปากตรงกับใจมากเลยนะ รู้ตัวไหม” วินซ์
   “.....” แดริล

   ……...เมื่อคืนฉันพูด***อะไรไปบ้างเนี่ย!?
   
   “เอาเป็นว่า… ฉันกลับไปคบกับนายไม่ได้หรอก วินเซนต์” มือวางบนบ่าหนา พยายามผลักเขาออกไป แต่เจ้าตัวไม่ยอมขยับ และหากวินเซนต์ไม่ยอม ใครก็ผลักไม่ได้… “ไลฟ์สไตล์พวกเรามันต่างกันเกินไป แล้วอาชีพนายกำลังไปได้สวย นายไม่ต้องการดราม่าในชีวิตหรอก…”

   ดวงตาสีเขียวมองเขานิ่ง

   “นายจะฟันแล้วทิ้ง?”
   ……..คนฟังถึงกับหน้าชาไปห้าวิ
   
เดี๋ยว นายควรจะเป็นคนสุดท้ายที่จะเอาประโยคเวรนั่นมายัดเยียดใส่คนอื่นนะวินซ์!!

“......”
“ฉันไม่ยอม เมื่อคืนนายสัญญาอะไรไว้ตั้งเยอะแยะ ใช้ร่างกายฉันสำเร็จความใคร่ พอตื่นแล้วจะทำเป็นลืม ง่ายไปหน่อยมั้ง?” ไม่แน่ใจว่าเพราะเขายังผลักไสไม่หนักแน่นพอหรือเพราะวินเซนต์หน้าด้านเกินไปกันแน่ คำพูดคำจาอย่างกับหลุดออกมาจากในละครน้ำเน่าสักเรื่อง

อีกอย่าง ฝ่ายที่ปวดสะโพกจนเดินไม่ไหวน่ะมันทางนี้ต่างหาก นายจะมาเรียกร้องหาความรับผิดชอบอะไรจากฉัน หา?!

สุดท้ายก็คิดว่าในเมื่อพูดตรงๆไม่ฟัง ก็หาข้ออ้างตัดให้มันจบๆไปแล้วกัน...
“..ฉันมีแฟนใหม่แล้ว” ก็เคยมีจริงๆแต่เลิกไปหมดแล้ว..
“อ๋อ แฟนใหม่ที่ผมบลอนด์ตาเขียวตัวสูงบ้ากีฬา ที่ไม่กี่เดือนนายก็บอกเลิกเพราะไม่เร้าใจเท่าฉันน่ะนะ?” วินซ์ฉีกยิ้มที่หากดูเผินๆไม่คิดอะไรก็หล่อเหลาน่ามองดี แต่มากับประโยคนี้แล้วชวนให้อยากกระทืบเสียมากกว่า ทำเอาคนฟังหน้าชาไปอีกห้าวิ...

“.................” แดริลเบิกตากว้าง… ในหัวตะโกนโวยวายถ้อยคำมากมายที่อยากส่งถึงแคทเธอรีน

แคท!! ยัยเรจิน่า จอร์จ!! ยัยคนทรยศ!!
มิน่า… มิน่า!!

หลายอย่างในหัวค่อยๆปะติดปะต่อกันจนเป็นภาพชัดเจน เขานึกย้อนไปถึงถ้อยคำของแคทก่อนที่เจ้าหล่อนจะเผ่นไปปารีสแฟชั่นวีค…

‘ถ้าก้าวต่อไปไม่ได้ก็ไปจัดการตกลงกันให้เรียบร้อยเถอะค่ะ ฉันไม่ยุ่งแล้ว’
‘พวกเธอ-ทั้ง-คู่น่ะมันเกินเยียวยา’

เธอรู้อยู่แล้วนี่นาแคทเธอรีน!!

“แคทเล่าอะไรให้นายฟังแค่ไหนกัน” ชายหนุ่มกัดฟันถาม พยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่คว้ามือถือมาส่งข้อความไปสาปแช่งนางแบบสาวให้ลื่นล้มหัวทิ่มบนรันเวย์

“ก็… หลายเรื่อง แต่อย่าโทษเธอเลย เป็นฉันที่ไปขอร้องเธอเอง”

   “....”

   “เช่นว่าที่นายยังไม่ลืมฉัน… ยังละเมอเรียกชื่อฉันเวลาเมา จีบแต่ผู้ชายผมบลอนด์ตาเขียว แล้วอะไรอีกนะ… มีเลิกกับผู้ชายรายนึงเพราะเขาดีเกินไปด้วยใช่ไหม ฮ่าๆ” พูดถึงไม่พอ มันยังมีหัวเราะเย้ย...
   “หุบปากไปเลย”
นึกอยากโวยวาย แต่ตัวต้นเหตุก็อยู่ไกลคนละทวีป สุดท้ายเลยสงบสติอารมณ์รอคิดบัญชีทีเดียวตอนเจ้าหล่อนกลับมา…
วินเซนต์กับแคทไม่ถูกกันมานานแล้ว การที่วินซ์ไปขอร้องแคทค่อนข้างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ… และการที่แคทเธอรีนยอมช่วยนี่ก็น่าเหลือเชื่อเหมือนกัน
แดริลนึกว่าตัวเองกำลังฝันไป

“อันที่จริงข่าวเรื่องที่บริษัทนายจะออกไลน์กีฬา ฉันก็รู้มาจากแคท...เธอว่านายมันเกินเยียวยาถึงขั้นต้องยอมช่วยฉันแล้วน่ะ…“

   ก็ว่าอยู่ว่าทำไมจู่ๆถึงโผล่มาได้แบบกะทันหันขนาดนี้…
   “ตอนแรกฉันว่าจะส่งดอกไม้ไปง้อนาย แต่แคทบอกว่าไม่เวิร์ก ให้ทำตัวหน้าหนามาหานายไปเลย”
“.....” เพื่อนทรยศ

แดริลได้แต่นอนมองเพดาน…. จะโกหกยังไงก็ป่วยการ ในเมื่อเพื่อนรักแฉเขาจนหมดสิ้นแล้ว…

“...ยังไงฉันก็ยังไม่ตกลง” เจ้าของห้องพูดเสียงอ่อนลง ท่าทางเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก “ฉันให้เหตุผลนายไปหมดแล้ว…”
“ไม่เป็นไร...ฉันรอได้” ชายหนุ่มอีกคนตอบทั้งรอยยิ้ม
“...ไม่ได้ขอให้รอ” แดริลบอกปัด รู้สึกว่าการปฏิเสธอีกฝ่ายเป็นเรื่องยากเหลือเกิน
“ก็จะรอ…” ทั้งคำพูด สายตา และน้ำเสียงจริงจังทำให้ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออกอีก ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจเล็กๆ…

……………..
………..
……


ขณะที่วินเซนต์ออกไปซื้ออาหารจากคาเฟ่ด้านล่างอพาร์ทเมนต์ คนที่ยังคงนอนเจ็บตัวก็เหลือบมองไปทางวัตถุบางอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงที่ดูคุ้นตา

พวงกุญแจสแตนเลสพ่วงลูกอเมริกันฟุตบอลจิ๋ว ห้อยอยู่กับรีโมทกุญแจรถ

   วินเซนต์ไม่ใช่พวกที่ชอบอะไรที่มันเกะกะเกินความจำเป็น… ขนาดที่ว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีเครื่องประดับเลยสักชิ้น แต่ขนาดเปลี่ยนรถแล้ว เขาก็ยังเก็บของเกะกะชิ้นนี้ไว้อยู่ดี

   .. ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ ชายหนุ่มรู้ดีที่สุดว่าคนที่แสนจะหยิ่งยโสไม่เห็นหัวใครคนนั้นยอมลงให้เขาตั้งเท่าไหร่แล้ว คำว่าขอโทษสำหรับวินเซนต์ไม่ใช่พูดง่าย คำว่าขอร้องยิ่งไม่ง่าย… แต่สิ่งที่น่ากลัวคืออนาคตมากกว่า

   อีกฝ่ายเป็นคนดังขนาดนี้ไม่มีทางที่จะคบกันแบบแอบๆซ่อนๆไปได้ตลอดหรอก… นั่นล่ะ สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คืออนาคต…

   ขณะที่นอนคว่ำปวดเอวอยู่นั่นเอง สมาร์ตโฟนเครื่องเล็กก็มีสายเรียกเข้า ชายหนุ่มเอื้อมมือไปคว้ามันมา รีบกดรับทันทีเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนโทรมา

   “บองชูววว ฮันนี่ ฉันมีคำถาม เธอชอบมาการองรสอะไรคะทูนหัว ฉันเลือกไม่ถูกระหว่างพราลีนกับวนิลา” ประโยคแรกมาก็ทักมาด้วยน้ำเสียงสดใส คาดว่าคงกำลังชอปปิ้งอย่างเมามันอยู่ที่ปารีส
   “...เรจิน่า จอร์จ ยัยคนขายเพื่อน!” เขาไม่ได้ตอบคำถามเรื่องมาการอง กัดฟันพูดใส่โทรศัพท์อย่างเจ็บแค้น
“ฉันเกลียดมีนเกิร์ลชะมัดยาด…” หญิงสาวบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “วินเซนต์เล่าให้เธอฟังแล้วล่ะสิ”
“ใช่… และเธอเผาฉันซะยับ” แดริล
“ฉันก็แค่เล่นบทคิวปิดเท่านั้นเองย่ะ หากเธอลืมไม่ได้สักทีก็ให้เขามาเจอเธอไปเลย ถ้าไม่หักกันก็กลับไปคบกันซะ” แคท
“แต่ฉันไม่ได้อยากกลับไปคบกับวินเซนต์...” แดริล
“ทูนหัวเธอกำลังหลอกใครอยู่คะ? ให้เดานะ… นี่ลากเขาขึ้นเตียงแล้วใช่ไหม” แคท
“......” แดริล
“ใช่จริงด้วย พระเจ้าช่วย!! เห็นไหมล่ะยะ ไม่อยากกลับไปคบอะไรกัน” แคท   
   “แคท เธอก็รู้ว่ามันมีเหตุผลมากกว่านั้น… เรื่องนี้มีปัญหาตั้งหลายอย่าง” แดริล
   “เอาล่ะที่รักคะ... ให้ฉันสรุปให้ ปัญหาเรื่องนี้อยู่ที่ตัวเธอใช่ไหม? ก่อนฉันจะส่งพ่อนักกีฬาสารเลวคนนั้นกลับไปหาเธอก็ถามอะไรหลายๆอย่างแล้ว เขาอยากควงเธอออกสื่ออย่างเปิดเผยด้วยนี่นา”
   “นั่นล่ะคือปัญหา ฉันไม่อยากเปิดเผยตัว ไม่อยากออกสื่อ ไม่อยากอะไรทั่งนั้น ฉันแค่อยากเป็นเกย์แอบเงียบๆอยู่ในมุมของตัวเองแบบนี้ต่อไป!”
   แคทฟังแล้วก็เงียบไปเล็กน้อย

   “...รู้ไหมแดริล ฉันคิดจะเผยตัวมาสักพักแล้วล่ะ” คำพูดนั้นของหญิงสาวทำให้คนฟังนึกตกใจ “เธอก็รู้ วงการแฟชั่นไม่มีใครเขาสนใจอะไรพวกนี้กันหรอก ส่วนทางบ้านถึงจะรับไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพวกเขาแล้วนี่นา”
   “เธอ… แน่ใจแล้วเหรอ…” รู้สึกตกใจไม่น้อยที่อยู่ดีๆแฟนหลอกๆที่ช่วยคบกันบังหน้ามาเกือบสิบห้าปีจะพูดแบบนี้..
   “อืม… แน่สิ ฉันคิดมานานแล้วว่ามันไม่แฟร์กับแอช ถึงเธอจะไม่เคยบ่นอะไรแต่ฉันก็รู้สึกแย่ ฉันอยากบอกทุกคนว่าฉันมีแฟนสาวที่น่ารักมาก แล้วฉันก็ไม่สนใจว่าพวกเขาจะคิดยังไงด้วย กลับไปคราวนี้ฉันจะขอเธอแต่งงาน” น้ำเสียงของหญิงสาวจริงจังจนผิดวิสัย ฟังแล้วชวนให้รู้สึกว่างโหวงในอก “ฉันจะออกไปเผชิญหน้ากับมันแล้วล่ะที่รัก ฉันควรทำมานานแล้ว”
   “...แล้วฉันล่ะ… ควรทำยังไง” ถ้อยคำนั้นหลุดออกจากปากไปโดยไม่ได้ผ่านการกลั่นกรอง แดริลรู้สึกเหมือนอยู่ๆตัวเองก็หลงทางอยู่คนเดียว เพราะเพื่อนที่ร่วมทางมาด้วยกันตลอดกลับพบทางออกก่อนเขาเสียอีก
“นั่นน่ะเธอก็ต้องหาคำตอบเองนะทูนหัว… ค่อยๆคิดไป เธอเองก็ทำงานบริษัทแฟชั่น เป็นเกย์แล้วจะเดือดร้อนอะไรล่ะ?”
“มุมมองของคนน่ะ… มีความอคติต่อสิ่งที่แตกต่างเสมอล่ะ แคท แล้วทำไมฉันต้องออกไปเป็นเป้าให้โดนโจมตีด้วย?” ชายหนุ่มตอบเสียงเบาลง “สังคมเปิดมากขึ้นแล้ว… แต่มันก็ใช่จะเท่าเทียม”
“แต่ความแตกต่างนั่นก็คือตัวเธอ และมันไม่ใช่ความผิดบาปอะไรเลย ที่รัก และการที่เราต้องออกไป ก็เพื่อจะประกาศว่ามันไม่ใช่เรื่องผิดไงล่ะ หากเราไม่เริ่มทำอะไรสักอย่าง มันก็จะไม่มีวันเท่าเทียม”
“เธอไปเอาความกล้าแบบนี้มาจากไหนกันนะ แคทเธอรีน…”
“ไม่รู้สิ… มันมากับเวลาละมั้งคะ” หญิงสาวคนนั้นที่พูดผ่านโทรศัพท์หัวเราะเบา “เธอก็ลองเก็บไปคิดดู… ให้เวลากับมันนานๆเลยก็ได้ ปล่อยหมอนั่นรอไปนานๆเลย”
“..... อืม” ชายหนุ่มรับคำ แต่เอาเข้าจริงถึงเขาจะไม่อยากให้เวลา แต่ก็ไม่รู้จะสลัดวินเซนต์ให้หลุดออกไปจากวงโคจรชีวิตอย่างไรดีเหมือนกัน
“เดี๋ยวฉันจะไปชอปปิ้งต่อแล้วนะคะ เธอว่าระหว่างแอร์เมสกับหลุยส์วิตตอง ฉันแวะชอปไหนก่อนดี”
“...กระเป๋าเต็มบ้านแล้ว เดี๋ยวแอชก็ดุอีกหรอก” ถึงจะพูดปรามแต่ไม่มีทางห้ามนางแบบสาวได้แม้แต่น้อย..
“แอร์เมสเนอะคะ เท่านี้ก่อนนะคะฮันนี่ บาย”

เลือกร้านได้แล้วก็วางสายหน้าตาเฉย แดริลเพียงยกยิ้มขำเบาๆอย่างนึกเอ็นดู

เขาเองก็หวังว่าสักวันจะเข้มแข็งได้เท่ากับสาวๆพวกนั้นเหมือนกัน…

……………

สิบห้านาทีผ่านไป วินเซนต์ยังคงไม่กลับมา...

แดริลนอนเล่นมือถือไปสักพัก ก็มีข้อความเข้าจากแอปแชทที่ชื่อ AnonyMate… มันเป็นแอปคล้ายๆทินเดอร์ที่มิสวีแนะนำให้เขาใช้หาเพื่อนคุยมาหลายเดือนแล้ว ต่างแค่ไม่แสดงหน้าตาเท่านั้น..

‘J.W.: ช่วงนี้คุณยุ่งรึครับ… เหมือนจะไม่ค่อยตอบข้อความเลย’

   คนคนนี้เป็นผู้ชายที่เขาคุยด้วยฆ่าเวลา เพราะรสนิยมตรงกันหลายอย่างเลยทำให้คุยกันถูกคอ

   ‘Wilde: อืม ยุ่งพอตัวเลยครับ ทั้งงาน ทั้งเรื่องส่วนตัว’

   Wildeเป็นชื่อที่ชายหนุ่มมักจะใช้ในโลกออนไลน์ มันมาจากชื่อของ Oscar Wilde นักเขียนคนดังในช่วงยุควิคตอเรี่ยนสมัยที่การรักร่วมเพศนั้นผิดกฎหมาย และออสการ์ก็ถูกจับเข้าคุกเพราะเป็นเกย์…

   และเกณฑ์การเลือกตอบข้อความของคนที่ทักมาของแดริลก็คือ
ไวยากรณ์ต้องถูก…
ประวัติต้องไม่ดูโอเวอร์จนเซอร์เรียล..
ต้องรู้จัก Oscar Wilde และเดาที่มาชื่อล็อกอินของเขาถูก (แม้ว่าวินเซนต์ไม่น่าจะรู้ว่าออสการ์ ไวลด์คือใครก็ตามเถอะ)

   ...ใช่ เขาเป็นคนเรื่องมากและเลือกมากเวลาจะคบหาเพื่อนทางออนไลน์
   ‘J.W.: นี่ก็สามเดือนแล้ว ผมอยากรู้ว่าคุณสะดวกใจจะมาพบผมหรือยังครับ..’

คนคนนี้คอยตื๊อให้เขาไปพบมาตลอด… แต่แดริลก็บ่ายเบี่ยงทุกครั้ง ถึงจะคุยกันถูกคอ แต่การไปพบกับคนแปลกหน้าก็เป็นเรื่องที่ชวนให้อึดอัดใจอยู่ดี สุดท้ายก็ปฏิเสธไปอีกครั้ง… ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าปฏิเสธไปทุกครั้งแล้วทำไมยังจะถามอีก...

‘Wilde: ขอโทษนะครับ.. ช่วงนี้งานที่บริษัทยุ่งมากเลย’
‘J.W.: ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจ’

   แดริลอ่านข้อความนั่น แล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรอีก เขาก็แค่… ไม่พร้อมสำหรับอะไรทั้งนั้น

   บางทีความรู้สึกคนเรา หากสามารถบังคับได้ดั่งใจก็คงดี…

   เขาเคยหลอกใช้คนอื่นในการลืมวินเซนต์ให้ได้ และมันก็จบลงอย่างเละเทะทุกครั้ง.. ผ่านไปห้ารอบก็ตัดสินใจได้ว่าจนกว่าจะสะสางความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงนี้ได้ ก็จะไม่เปิดรับใครเข้ามาอีก….

   แต่สุดท้ายวินเซนต์ก็กลับมา….

   แดริลถอนหายใจยาว ดวงตาสีฟ้ามองร่างสูงที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาพร้อมถุงใส่อาหารมากมายในมือด้วยสายตาอ่อนใจ

   แล้วเรื่องนี้เขาควรจะสะสางยังไงดีนะ?



--------------------------------------

มาลงต่อแล้วค่ะ!! (; v ; /
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 12 [12/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 12-12-2018 19:03:04
ชีวิตคุณแดริลยังบัดซบอย่างต่อเนื่องง   :katai1: วินซ์ต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะๆนะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 12 [12/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-12-2018 19:25:41
 :กอด1: :man1: :กอด1:

 o13 :pig4: o13
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 12 [12/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 12-12-2018 19:33:01
ชอบน้องแดริลมาก เอ็นดูน้องและชีวติบัดซบของน้อง เฮ้อออออออออ เป็นกำลังใจให้ทั้งแดริลและคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 12 [12/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-12-2018 02:18:27
ลุยไปเลย
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 12 [12/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-12-2018 14:56:03
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 12 [12/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 13-12-2018 22:59:38
ชีวิตแดริลจะบัดซบไปมากกว่านี้มั้ย :ling1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 12 [12/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 15-12-2018 20:26:14
บทที่ 13 J.W. (1/2)

เช้าวันจันทร์ ในที่สุดวินเซนต์ก็ยอมกลับบ้านกลับช่อง…

แดริล เชน ออกมาวิ่งออกกำลังกายยามเช้าที่สวนแถวบ้าน ด้วยท่าทางเหมือนซอมบี้ไม่มีผิด

อยู่ๆหางตาก็เหมือนจะเห็นชายคนหนึ่งที่ดูค่อนข้างสะดุดตา สวมสูทยาวใส่แว่นตากรอบเหลี่ยมมานั่งในเก้าอี้สวนสาธารณะ ผมสีน้ำตาลเข้มตัดสั้นจัดทรงเรียบร้อยดูดีไม่น้อย แต่ก็ดูไม่เหมาะที่จะมานั่งเล่นในสวนที่ทุกคนกำลังออกกำลังกายยามเช้าเช่นกัน วิ่งผ่านไปหนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ คนคนนั้นก็ยังนั่งอยู่แบบนั้น..

ชายหนุ่มไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก เพียงดำเนินกิจวัตรประจำวันของเขาไปตามปกติ กลับบ้าน อาบน้ำ เข้าออฟฟิศ วันนี้ชายหนุ่มต้องใส่เสื้อคอสูงแขนยาวมาทำงาน ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าเพราะใคร..

ตรวจรีพอร์ทของทั้งแผนกการตลาดและบริการลูกค้าเสร็จก็อนุมัติค่าใช้จ่ายงานแผนกโปรดั๊กชั่นต่อ  สั่งงาน รับมือมิสวี ช่วยทำpitching deck ประชุมกับพาร์ทเนอร์ หารือเรื่องโปรเจกต์ใหม่ เรียกได้ว่าทั้งวันชีวิตไม่มีเวลาว่าง เพราะตารางแน่นเอี๊ยดไปด้วยการประชุมทั้งภายในและภายนอก...


...เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องไปเป็นวิทยากรรับเชิญในอีเวนท์สตาร์ทอัพอีก ถึงจะไม่อยากไป แต่งานพวกนี้มันก็ช่วยเรื่องการสร้างแบรนด์อยู่ไม่น้อย

แดริลเปิดกล่องอินบอกซ์มหาศาล เมล์หนึ่งมีภาพเซตใหม่ของสินค้าไลน์ผู้ชายทำงาน ที่ส่งCCให้เขาดูคร่าวๆ อันที่จริงหน้าที่อนุมัติเป็นของผู้จัดการฝ่ายโปรดั๊กชั่น ก็แค่พ่วงเขาเข้ามาในเมลด้วยเพื่อให้รับทราบโดยทั่วกันเฉยๆ

แดริลไล่ดูภาพสินค้าใหม่ นายแบบแต่ละคนที่เลือกมาดูเข้าท่าดี บางคนมองแวบเดียวก็รู้ว่าเกย์สาว.. แต่ทุกคนล้วนช่วยยกระดับให้สินค้าดูสมราคาขาย

กระทั่งสายตาไปสะดุดกับคนคนหนึ่งที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูกแต่มั่นใจว่าเป็นนายแบบใหม่ คล้ายๆคนที่เห็นเมื่อเช้า... ไหล่กว้าง ตัวสูง แต่ลำตัวไม่หนาเทอะทะ รูปร่างรับกับชุดสูทที่ใส่เป็นอย่างดี… เลื่อนลงไปดูเครดิตชื่อนายแบบ ก็เป็นชื่อที่คุ้นๆเช่นกัน… Joseph West?

คนคนนี้เป็นอะไรกับมิสเวสรึเปล่านะ...

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจ สนแค่นายแบบงานดี ค่าตัวสมเหตุสมผลก็พอแล้ว

เซ็นอนุมัติงบ ตรวจงาน อนุมัติงาน ตอบอีเมล สั่งงานเพิ่ม แค่นี้ก็กินเวลาไปจนเที่ยงแล้ว กระทั่งบิลมาเคาะประตูกระจกห้องทำงาน ชายหนุ่มผมดำถึงเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ

“เที่ยงแล้วนะครับ บอสจะออกไปกินข้าวหรือสั่งเข้ามากินดี” แดริลเงยหน้าขึ้นจากแลปทอป ถกแขนเสื้อมองนาฬิกาข้อมือแบรนด์ของบริษัทแล้วก็พบว่าถึงเวลาพักเที่ยงได้สิบนาทีแล้ว...

“วันนี้งานยุ่งน่ะคงไม่ออก… พวกคุณจะออกไปกินข้างนอกหรือเปล่า? ฝากซื้อซับเวย์ไก่มายองเนสใส่ผักทุกอย่างมาให้ผมสักชิ้นได้ไหม” 
“ครับ กำลังจะพาทีมไปกินข้าวอยู่พอดี เดี๋ยวซื้อขึ้นมาเผื่อให้นะครับ” บิลพยักหน้ารับ ก่อนจะขอตัวออกไปพักกลางวัน

ออฟฟิศค่อนข้างโล่ง เหลือเพียงพวกบ้างานหรือพวกที่งานไม่เสร็จไม่กี่คนที่กำลังนั่งทำงานกันแบบเอาเป็นเอาตาย

แดริลตัดสินใจวางมือจากคอมพิวเตอร์ นั่งพักนวดเปลือกตาเล็กน้อย นั่งคิดอะไรสักพักก็ลุกขึ้นไปสูบบุหรี่….

พื้นที่ที่สูบบุหรี่ได้อยู่บนดาดฟ้า บริษัทของเขาเช่าพื้นที่หลายชั้น ชั้นหนึ่งเป็นรีเซปชั่น ชั้นสองเป็นส่วนของสตูดิโอเล็กและที่ทำงานของทีมโปรดั๊กชั่นกับกราฟฟิก สามเป็นแผนกมาร์เกตติ้ง บริการลูกค้าและพวกไอที สี่เป็นพวกโอเปอเรชั่นที่ทำเรื่องงานจัดส่งของให้ลูกค้ากับประสานงานระบบลอจิสติกและห้องทำงานของมิสเวส

แดริล เชน ได้อัดควันเข้าปอดแล้วก็รู้สึกสมองโล่งขึ้นบ้าง การทำงานช่วยให้เขาพักสมองเกี่ยวกับเรื่องของวินซ์ไม่น้อยเลย

วันนี้อีกฝ่ายไปเข้ายิม ออกจากอพาร์ทเมนต์เขาไปแต่เช้า ทิ้งท้ายว่าว่างแล้วจะมาหาใหม่แต่ไม่ได้บอกว่าจะว่างเมื่อไหร่ และเมื่อแดริลไปเช็กดูกุญแจสำรองที่ซ่อนไว้ใต้พรมก็พบว่ามันหายไปแล้ว..

จะเปลี่ยนกลอนก็ไม่มีเวลาและเรื่องใหญ่….

อันที่จริงชีวิตนักกีฬา NFL หากไม่ใช่ช่วงฤดูกาลแข่งขันก็ดูจะมีเวลาว่างมากโข แต่ก็ต้องเอาเวลาพวกนั้นมาดูแลตัวเองเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมรับศึกหนักในฤดูกาลต่อไป.. วินเซนต์ควบคุมอาหารแบบเข้มงวดกว่าเขาเสียอีก แม้จะไม่เท่าแคทเธอรีนที่ต้องรักษาหุ่นก่อนขึ้นรันเวย์ก็ตาม แถมวันพักแท้ๆก็ยังต้องหาทางออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างกับว่าช่วงแข่งออกกำลังกายมาไม่พออย่างนั้นล่ะ..

ทุ่มเทเพื่ออเมริกันฟุตบอลขนาดนี้ หากวันหนึ่งเสียมันไป อีกฝ่ายจะรับได้จริงๆหรือ… นั่นเป็นเรื่องที่แดริลไม่แน่ใจ

‘เอาเป็นว่าถ้าฉันตกงานเป็นNEET นายก็เลี้ยงดูฉันแล้วกัน’

… คิดถึงประโยคล้อเล่นนั่นแล้วก็ถอนหายใจ ปัญหาไม่ใช่เรื่องเงินสักหน่อย… มันคือแพชชั่นต่างหาก….

ถ้าโลกนี้มันง่ายดายขนาดรักกันแล้วทุกอย่างจบลงด้วยดีก็ดีสิ… แต่เราทุกคนล้วนรู้ว่ามันไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น

สูบบุหรี่ไปได้จนครึ่งมวน ประตูดาดฟ้าก็เปิดออก ร่างที่สูงกว่าเขาเล็กน้อยแต่ดูค่อนข้างโดดเด่นก้าวออกมา ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มสวมแว่นทรงเหลี่ยมกรอบบางมองตรงมา ดูจากเสื้อโค้ตที่สวมใส่ น่าจะเป็นคนเดียวกับเมื่อเช้า และดูจากใบหน้า… ก็น่าจะเป็นคนเดียวกับนายแบบคนใหม่ของบริษัท

   “คุณเชน..” เสียงที่ทักทำให้เจ้าของชื่อเลิกคิ้วเล็กน้อย สองนิ้วคีบบุหรี่ออกจากปากขณะระบายลมหายใจออกเป็นควันสีขมุกขมัว และถามออกไปตรงๆ...
   “ขอโทษนะครับ… เราเคยพบกันด้วยเหรอ?” คำถามทำให้คนตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย ทำเอาแดริลรู้สึกผิดที่ไม่จำคนให้ดีกว่านี้ เขาอาจจะเป็นเพื่อนในวงการของแคทเธอรีนที่เคยเจอก็ได้
   “ผมโจเซฟไงครับ… โจเซฟ เวส” ...เรื่องชื่อน่ะรู้แล้ว
   “..ครับ คุณเวสที่เป็นนายแบบใหม่ของเราใช่ไหม” แดริลเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่ดีจึงปั้นหน้ายิ้มแถไป “ขอโทษด้วยนะครับผมจำคนไม่ค่อยเก่งน่ะ ฮะๆ”
   “....เปล่าครับ เราเคยเรียนไฮสคูลด้วยกัน”

   จากที่ทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนอยู่ ยิ้มนั้นถึงกับค้างอยู่บนหน้า…… ในหัวมีแค่ประโยคเดียวที่อยากถาม

   ใครวะ?

   ไม่ใช่เพื่อนนักกีฬาแน่นอน… เพื่อนสภานักเรียนก็ไม่ใช่… ไม่… เขาไม่รู้จักคนรูปร่างหน้าตาแบบนี้แน่นอน…
   แดริลกลืนน้ำลายลงคอ พยายามคิดหาทางออกจากสถานการณ์นี้ ตอบว่าจำไม่ได้ก็ดูจะเสียมารยาทเอามากๆ
   “ออ… ครับ…” บังเกิดเดดแอร์ระหว่างคนทั้งคู่ CMOหนุ่มแสร้งทำเป็นใจเย็น ยกบุหรี่ขึ้นจรดริมฝีปากและสูดควันเข้าไป เก๊กเข้มกลบเกลื่อนมันหน้าตาเฉย
“คุณเคยช่วยผมไว้ตอนเกรดเก้า… ลืมไปแล้วเหรอครับ” คนคนนั้นยังไม่ยอมแพ้ เข้ามาใกล้ขึ้นอีกก้าวหนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตจ้องเค้นหาคำตอบ ดูๆไปแล้วก็หล่อสบายตาดีเหมือนกัน

ช่วยไว้…? ใคร?

คิดๆย้อนๆไปแล้วช่วงไฮสคูลเขาก็คลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะเดินเข้าไปเจอเด็กคนหนึ่งโดนบุลลี่พอดี… และเด็กคนนั้นเหมือนจะชื่อ...

โจเซฟ..

อา… การเติบโตนี่มันน่ากลัวจริงๆ จะจำไม่ได้ก็ไม่แปลก

“นาย… ดูดีขึ้นนะ” ชมไปแบบนั้นตามมารยาท ชายคนนั้นก็ยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มแล้ว… อา… โลกแคบชะมัด
“คุณจำได้แล้วใช่ไหมครับ ผมอยากพบคุณอีกครั้งมาตั้งนานแล้ว” มือข้างที่ไม่ได้ถือบุหรี่อยู่ถูกจับไปเขย่าหลายครั้ง เจ้าตัวก็ทำได้แค่ปั้นหน้ายิ้มหน้าเดิม

จู่ๆประตูดาดฟ้าก็เหวี่ยงเปิดขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงส้นเข็มที่กระทบพื้นคอนกรีต CEOสาวผมบลอนด์วันนี้ใส่กางเกงสแล็คกับสูทสีเทา ด้านในเป็นเสื้อคว้านคอลึกจนเห็นเนินอก ดูเท่มีสไตล์ไม่เบา พอเห็นทั้งคู่แล้ววิเวียนก็เลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะพูดออกมา..

“อ้าวเจอกันแล้วเหรอ เชน โจเซฟ”

แดริลยังคงยิ้มนิ่ง นึกอยากถามว่านี่มันเรื่องอะไรกัน…

“นี่โจเซฟ ญาติฉันเอง เชน ตอนนี้เป็นนักแสดงบรอดเวย์ เห็นว่ารู้จักกันอยู่แล้วนี่ใช่ไหม?” มิสเวสเข้าประเด็น ดึงบุหรี่ออกมาจากซอง ชัดเจนว่ามาสูบบุหรี่เหมือนกัน

   “ครับ.. เคยเจอสมัยไฮสคูล” เด็กที่เขาเคยช่วยไว้และหลังจากนั้นก็คอยหลบอยู่หลังกำแพงแอบจ้องมาจนบางทีก็รู้สึกแปลกๆไงล่ะ...

“อืม… โลกแคบเนอะว่าไหม” วิเวียน
“...ครับ” แดริลชักไม่แน่ใจว่ามันแค่โลกแคบจริงๆหรือเปล่า…

“คุณเชนครับ คือว่า… ผมอยากขอบคุณคุณมานานแล้ว คุณพอว่างให้ผมเลี้ยงกาแฟสักแก้วไหมครับ” เด็กนี่ยังคงจับมือของเขาไม่ปล่อย จะดึงกลับเลยก็เสียมารยาท ยิ่งคำถามชวนไปดื่มกาแฟยิ่งทำให้กลุ้มใจ

ขอโทษนะแต่นายไม่ใช่สเป๊กฉัน…

“วันนี้ออกจากออฟฟิศเร็วหน่อยก็ได้นะเชน ไม่ได้มีงานด่วนนี่นา” กำลังจะอ้าปากปฏิเสธ มิสเวสก็ชิงพูดตัดหน้า นี่...บอสครับ…

“...จริงๆเรื่องมันก็นานแล้วไม่ต้องไปใส่ใจมันนักก็ได้ แต่ถ้าแค่กาแฟแก้วเดียวก็...ได้ละมั้ง” พูดไปพลางก็เหลือบไปมองหญิงสาวที่จุดไฟแช็กสูบบุหรี่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ไปพลาง

“ครับ ไว้เย็นนี้ผมถ่ายแบบเสร็จแล้วจะรออยู่ข้างล่างนะครับ ขอเบอร์โทรศัพท์ไว้ได้ไหมครับจะได้ติดต่อได้…” เห็นท่าทางกระตือรือร้นนั่นแล้วก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเลย แต่เขาก็ยอมให้เบอร์มือถือไปอยู่ดี ก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นและเหยียบให้ไฟมอดด้วยส้นรองเท้า

“งั้นไว้เจอกันนะ ฉันลงไปกินข้าวเที่ยงก่อนล่ะ” ป่านนี้บิลน่าจะกลับมาพร้อมซับเวย์ของเขาแล้ว ชายหนุ่มหาข้ออ้างปลีกตัวทันที ท่าทางค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ได้สนใจที่จะต่อบทสนทนา

อยู่มาจนป่านนี้จะมองไม่ออกว่าใครสนใจตัวเองก็คงเป็นเกย์ที่แย่เต็มทน แต่โดนผู้ชายรุกอย่างเปิดเผยต่อหน้าเจ้านายขนาดนี้เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก…

แถมมิสเวสก็สมรู้ร่วมคิดอีก.. เห็นทีเราคงมีเรื่องต้องคุยกันสักหน่อย…


บ่ายแก่ๆวันนั้นเพิ่งประชุมเสร็จก็มีสายเรียกเข้า...

โจเซฟ เวส นัดเขาไปที่ร้านกาแฟไม่ไกลจากบริษัทเท่าไหร่ ชายหนุ่มเก็บข้าวของ ส่งอีเมลสั่งงานทิ้งไว้ และออกจากบริษัทด้วยท่าทางไม่เต็มใจนัก

อีกฝ่ายนั่งรออยู่ในร้านกาแฟ กำลังก้มหน้ากดสมาร์ตโฟน พอแดริลเดินเข้าใกล้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมาคลี่ยิ้มทันที ชนิดที่ว่าหากมีหางคงกระดิกไปแล้ว…

“คุณดื่มอะไรดีครับ” เจ้ามือถาม ท่าทางพร้อมจะวิ่งไปสั่งกาแฟให้ แดริลเพียงยกยิ้มบางตามมารยาท ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“อเมริกาโน่แล้วกัน”

พูดไปไม่นาน กาแฟร้อนถ้วยเล็กสีขาวก็มาวางตรงหน้าแล้ว ชายหนุ่มละเลียดจิบมันช้าๆ ปล่อยให้ความเงียบเข้าแทรกระหว่างคนทั้งคู่

“คุณเชน… จริงๆแล้ว.. ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณครับ” โจเซฟพูดเสียงเบา ท่าทางไม่ค่อยมั่นใจนัก ทำเอาคนที่กำลังจดจ่อกับกาแฟต้องเงยหน้าขึ้นพลางเลิกคิ้ว
“หืม เรื่องอะไร?”
“จริงๆใช้คำว่าสารภาพจะเหมาะกว่า..”
โจเซฟหยิบสมาร์ตโฟนของตนขึ้นมา กดเปิดแอปหนึ่งขึ้น… มันคือ AnonyMate หรือแอปหาเพื่อนคุยที่เขาใช้อยู่นั่นเอง และหน้าโปรไฟล์ก็เขียนชัดเจนว่า J.W.

….ทุกอย่างค่อยๆปะติดปะต่อกันในหัว ตัวแดริลเองก็ไม่ได้คิดว่ามิสวีจะขายเขาแบบนี้

ชายหนุ่มมุ่นคิ้วลง นึกอยากส่งข้อความไปหาเจ้านายสาวเสียเดี๋ยวนี้เลย…

“อย่าเพิ่งโมโหนะครับ เป็นผมที่ไปขอร้องวิเวียนเอง… คือ… ผมเพิ่งรู้มาว่าคุณทำงานกับเธอ เลยขอให้เธอช่วย… แต่เธอบอกว่าพยายามบอกคุณแล้วว่าจะแนะนำคนให้ แต่คุณปฏิเสธมาตลอด เธอก็เลยเสนอวิธีนี้แทน...” คนพูดมีท่าทีลนลาน ส่วนคนฟังก็นั่งนวดขมับเพราะรู้สึกว่าเรื่องราวมันชักจะวุ่นวายเกินไปแล้ว… “ผมน่ะอยากพบคุณมาตลอดเลย ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วที่คุณเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอด”

“อืม….” คนฟังรับคำ พร้อมถอนหายใจเล็กน้อย “ฉันดีใจนะที่ชีวิตนายดีขึ้น...”

แต่ไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่กับสถานการณ์ตอนนี้

เขาเลือกใช้แอปในการคุยกับคนแปลกหน้าก็เพราะมันสบายใจกว่าที่จะเล่าเรื่องต่างๆที่เล่าให้คนรู้จักฟังไม่ได้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้เอ่ยชื่อผู้คนหรือสถานที่ หรือกระทั่งจะเปิดเผยว่าตนเองเป็นใคร… แต่พอมาพบว่าอีกฝ่ายเป็นคนรู้จักแบบนี้มันก็ลำบากใจไม่น้อยเลย

   ตอนที่เขาสวมล็อกอิน Wilde ก็ได้บ่นระบายให้อีกฝ่ายฟัง ทั้งเรื่องที่โดนแฟนหนุ่มนักกีฬาทิ้งไปหาอเมริกันฟุตบอล บ่นเรื่องที่ตัวเองเป็นเกย์แต่ต้องหลบๆซ่อนๆอย่างอึดอัด เรื่องสังคม และเรื่องความสะเทือนใจที่เขามีต่อเรื่องราวของออสการ์ ไวลด์ที่เข้าคุกแค่เพราะไปรักกับลูกชายขุนนาง…

แปลว่าโจเซฟรู้ทั้งหมดว่าชายหนุ่มคบกับนักกีฬาบางคนมาตั้งแต่สมัยไฮสคูล… และอาจจะเดาได้ว่าเป็นวินเซนต์ เพราะตอนนั้นแดริลก็ไปไหนมาไหนกับควอเตอร์แบคคนดังบ่อยๆ..

มือที่จับหูแก้วกาแฟบีบแน่นขึ้นเล็กน้อย… นอกจากแคทกับแอช แดริลก็ไม่เคยเล่าเรื่องที่ตนคบกับวินซ์แบบลับๆให้ใครฟังเพราะกลัวข่าวจะรั่วไปถึงสื่อ และหากคนคนนี้พูดออกไป…?

 ไม่… ไม่มีหลักฐาน

   “คุณเชน ผมจริงจังนะครับ เรื่องที่ผมบอกอยากพบคุณ.. แล้วก็จริงจังกับคุณด้วย”
   แดริลรู้สึกเหมือนผู้ชายที่โดนสาวเปรยถึงเรื่องการแต่งงานในเดทแรกไม่มีผิดเลย…. อยากเผ่น

“ฉันดีใจนะ… แต่ว่า… ฉันยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนั้นในตอนนี้น่ะ….” ชายหนุ่มยกมือขึ้นปราม แทบจะเรียกว่าเบรกเลยก็ว่าได้…. โจเซฟมองเขาด้วยตาคล้ายลูกหมา ดูผิดหวังอยู่ไม่น้อย
“... เพราะ ‘เขา’ กลับมารึครับ” ประโยคนั้นทำให้คนฟังชะงักไปเล็กน้อย ไม่ได้ตอบ และก็ไม่ได้สบตากลับ “...ผมได้ยินมาจากวิเวียนว่าเขารับงานของบริษัทคุณ… วินเซนต์ ซัมเมอร์น่ะ”

รู้จริงๆด้วย…

“ได้ยินอะไร? ไร้สาระน่า คนแบบวินเซนต์ ซัมเมอร์ที่เปลี่ยนสาวควงไม่ซ้ำหน้าจะเกี่ยวอะไรกับเรื่องฉันกัน” ชายหนุ่มผมดำยกยิ้มขำ จิบกาแฟจนหมดแก้วแล้วก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับมุมปาก “เป็นคนอื่น”

โจเซฟมีสีหน้าไม่เชื่อคำโกหกของเขา แต่ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้อยู่ดี
J.W.เป็นคนที่คุยกันถูกคอมาสามเดือน ทั้งเรื่องวิเคราะห์วรรณกรรม สังคม ปรัชญา ประวัติศาสตร์ ล้วนคุยด้วยได้ทุกหัวข้อ… ใช่…คนที่จะคุยเรื่องประเภทนี้กับเขาได้มันค่อนข้างหายากในชีวิตจริงสักหน่อย จะมีก็ลีที่กำลังเรียนปริญญาเอกหัวฟู แต่หมอนั่นก็สายฟิสิกส์ไม่ได้ชอบด้านสังคม...

ถึงจะชอบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย แต่ตัวเขาก็ไม่เคยคิดอยากนัดพบหรือสานต่อความสัมพันธ์ให้มันมากกว่านั้น และแดริลก็พยายามทำให้มันชัดเจนในเรื่องนี้ จึงบ่ายเบี่ยงการนัดพบต่อหน้ามาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
จนกว่าจะเคลียร์เรื่องยุ่งเหยิงของวินซ์จบ ชายหนุ่มไม่ควรไปวุ่นวายกับใครทั้งนั้น… แต่ถึงเคลียร์จบแล้วแบบโจเซฟนี่ก็ไม่ใช่สเป๊กอยู่ดี ตัวบางเกินไปนิด.. สูงใกล้ๆกัน… สุภาพ มีความประหม่าเล็กๆ คุยกันถูกคอในหลายๆเรื่อง ก็น่าเอ็นดูดีหรอกแต่ไม่ใช่แนวเขาจริงๆ ดูแล้วไม่ชวนให้ใจเต้นเลย (...)

คือ… บังเอิญว่าสเป๊กเธอมันจะจำกัดแคบๆหน่อยค่ะ แคบแบบแค๊บแคบ ผมทอง ตาเขียว ตัวสูงมาก กล้ามล่ำ เป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ยิ้มชั่วๆ มั่นหน้า กวนประสาท เอาแต่ใจ สารเลว ต้องชื่อวินเซนต์ นามสกุลซัมเมอร์ ด้วย

...อันที่จริงนี่เป็นข้อความในwhatsappที่แคทเพิ่งส่งมาหาเขาเมื่อวานตอนที่คุยแชทกัน พอนึกถึงมันแล้วก็แทงใจดำอย่างไรชอบกล...
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 12 [12/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 15-12-2018 20:27:30
บทที่ 13 (2/2)


“ถ้าอย่างนั้นผมขอโอกาสสักหน่อยไม่ได้รึครับ… พอได้ลองคุยกับคุณผมก็คิดว่าพวกเราน่าจะเข้ากันได้ในหลายๆเรื่อง” โจเซฟยังคงพยายามโน้มน้าวต่อไป อันที่จริงอีกฝ่ายก็รุกหนักและพูดตรงไปบ้างสำหรับการเจอกันครั้งแรก (ถึงจะไม่เท่าวินเซนต์ก็ตาม แต่หมอนั่นมันเกินมาตรฐานคนปกติไปมากจนไม่ควรเอามาเทียบกัน…) แต่อันที่จริงการคุยกันมาตลอดสามเดือนมันก็ถึงจุดที่สมควรตกลงกันแล้วว่าจะเอาอย่างไรต่อดี… ซึ่งคำตอบของแดริลก็ชัดเจนอยู่แล้ว

“ฉันไม่…” ยังไม่ทันจะจบประโยค ริงโทนโทรศัพทก็ดังขึ้นก่อน บนหน้าจอปรากฏชื่อวินเซนต์… ชายหนุ่มผมดำรีบกดวางทิ้งทันทีพลางกดส่ง SMS แบบอัตโนมัติไปว่าไม่ว่างเดี๋ยวโทรกลับ

จะโทรมาอะไรตอนนี้ เดี๋ยวก็ความแตกกันพอดี!

“เราเป็นเพื่อนกันได้ไหม โจเซฟ” แดริลรีบตัดบทด้วยเฟรนด์โซน เก็บสมาร์ตโฟนใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต
“...เริ่มจากเพื่อนก็ได้ครับ” คนตรงหน้ามีท่าทีผิดหวัง และตัวต้นเหตุก็ไม่คิดจะปลอบใจ เขาบอกว่า ‘เป็นเพื่อน’ ไม่ใช่ว่าจะดูก่อน

ถือว่าปฏิเสธไปชัดเจนแล้วก็ขอตัวกลับทันที

“ฉันไปก่อน… มีนัดต่อน่ะ ขอบใจสำหรับกาแฟนะ” พูดจบก็เผ่นทันทีไม่รอ และพยายามไม่สบตากับสายตาลูกหมาน้อยขอความเมตตานั่นด้วย

พอเดินพ้นมุมถนนออกมาแล้ว ถึงหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมา กดโทรกลับทันที

“มีอะไร?” แดริลถามทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย
“จะถามว่าวันนี้นายกลับอพาร์ทเมนต์กี่โมง ฉันมาเล่นเกมรอแล้ว” วินซ์
“...นี่นายว่างเหรอ” แดริล
“ช่วงนี้อ๊อฟซีซันนี่ อีกตั้งหลายเดือนกว่าNFLเทรนนิ่งแคมป์จะเริ่ม นอกจากงานเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาแล้วช่วงนี้ฉันก็ไม่ค่อยมีอะไร” วินซ์
“.....” แดริลนวดขมับ… ชีวิตนายจะสบายไปไหน

ช่วงที่นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลจะยุ่งจริงๆก็คือช่วงเข้าฤดูกาลแข่งขันหกเดือน ส่วนอีกหกเดือนเรียกว่าช่วง อ๊อฟซีซัน ซึ่งจะเป็นช่วงที่ว่างให้ทำอะไรก็ได้… ว่างจนแดริลนึกอิจฉา
แต่ ‘อะไรก็ได้’ ที่ว่าไม่ควรจะเป็นการมาขลุกอยู่อพาร์ทเมนต์แฟนเก่าไหมวินเซนต์… ไปหาอย่างอื่นทำไหม...

“กำลังจะกลับ…” ถึงแบบนั้นก็ตอบเสียงอ่อนอยู่ดี “อยากกินอะไรไหม… จะซื้อเข้าไปเผื่อ”
“ไม่เป็นไรฉันซื้อมาแล้ว อาหารแบบที่ฉันกินนายน่าจะหาลำบาก”

ใช่ อาหารประเภทโปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ… เห็นอีกฝ่ายนั่นก็กินไม่ได้ นี่ก็กินไม่ได้ แล้วก็นึกสงสารอยู่บ้าง พอๆกับแคทที่ต้องเน้นผักเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากนมเลย… ไขมันหล่อนก็กินแบบเอาน้ำมันมะกอกราดจานสลัดไปสองช้อน และดื่มเปล่าน้ำเยอะมาก...

อาชีพเงินดีแต่กินอะไรตามใจปากไม่ได้นี่มันดูลำบากจัง…

“ไม่ต้องคิดเยอะหรอก เอาก้นนายกลับมาหย่อนบนตักฉันก็พอแล้ว” ฟังแล้วก็หน้าขึ้นสี แดริลด่าคนพูดในใจไปหลายประโยค
“...แค่นี้นะ” พูดจบก็วางสายทันทีไม่รอฟังอะไรอีก


ถึงอพาร์ทเมนต์ก็หนึ่งทุ่มแล้ว ไขประตูเข้ามาก็พบกับร่างสูงใหญ่ที่เอาเครื่องเกมรุ่นใหม่ล่าสุดมาต่อจอทีวีของเขาเล่นหน้าตาเฉย…
แดริลวางกล่องสลัดที่ซื้อมาแบบขอไปทีลงบนเคานต์เตอร์ มองไอ้คนที่มานั่งในอพาร์ทเมนต์คนอื่นประหนึ่งเป็นเจ้าของอย่างเหนื่อยใจ

“ไง วันนี้งานหนักไหม” วินซ์ถามทั้งที่ไม่ละสายตาจากเกมที่เล่นอยู่..
“ไม่เท่าไหร่…” ขณะที่เดินเข้าไปใกล้บริเวณโซฟาเพื่อจะนั่ง จู่ๆก็โดนอีกฝ่ายรวบเอวแบบไม่ทันตั้งตัว จับให้นั่งลงบนตักของร่างที่สูงกว่าอย่างง่ายดาย วินเซนต์วางจอยเกมลงและยกยิ้มที่ดูกวนประสาทอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งคนโดนกอดดิ้นจะให้ปล่อย แขนนั่นก็ยิ่งรัดแน่นจนสุดท้ายแดริลต้องยอมอยู่เฉยๆเพราะเหนื่อยเกินไปที่จะดิ้นให้หลุด

“วินเซนต์.. เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนี่ว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“อืม...ใช่ นายก็แค่รักฉันมากๆ” ไม่พูดเปล่ายังจูบเบาที่ริมฝีปาก ร่างที่เล็กกว่าจะเอี้ยวตัวหลบก็หลบไม่ได้เพราะหลังคอถูกมือใหญ่จับเอาไว้

ใบหน้าของชายหนุ่มเริ่มขึ้นสี ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่เคยเอาชนะไอ้บ้านี่ได้เลยตั้งแต่อายุสิบห้ายันตอนนี้ ได้เพียงเรียกขู่เสียงดุเท่านั้น
“วินเซนต์ ซัมเมอร์!!”
“เรียกเหรอที่รัก?” … ซึ่งก็ดูจะไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย

โว้ย!!

ยิ่งแดริลหน้ายุ่งเท่าไหร่คนแกล้งยิ่งยิ้มกว้าง และดูจะสนุกขึ้นเท่านั้น ดวงตาสีฟ้าจ้องเจ้าคนยิ้มหน้าระรื่นอย่างไม่พอใจ...
“นายบอกจะให้เวลาฉัน”
“อืม ก็ให้อยู่ เราก็ไม่ได้เป็นแฟนกัน แค่ฉันพอใจจะมาขลุกอยู่อพาร์ทเมนต์นาย แถมพร้อมเสียสละตัวเองให้นายย่ำยีได้เต็มที่ ดูสิเป็นโซฟาให้นายนั่งด้วย” ไม่พูดเปล่ายังยกยิ้มที่ดูแล้วชวนให้เอาเท้าลูบหน้าอีกด้วย…
ไอ้……@$(*!@)#(@!_(#

แดริลโมโหจนอดทุบไหล่มันแรงๆสักทีไม่ได้.. แต่พอทุบลงไปแล้ววินเซนต์ก็งอตัวร้องโอดโอยในทันที

“โอ๊ย… ไหล่ฉัน..”
ชายหนุ่มผมดำเห็นแล้วก็ตกใจ มีสีหน้าลนลานชัดเจน มันเป็นเรื่องปกติที่ร่างกายของนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลจะได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขัน เพราะมันเป็นกีฬาที่ค่อนข้างฮาร์ดคอร์ที่สร้างความเสียหายกับร่างกายหนักทีเดียว
“วินซ์ เป็นอะไรมากไหม” แดริลวางมือบนต้นแขนใหญ่ที่มีแต่กล้ามเนื้ออย่างเบามือ พูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เริ่มรู้สึกผิดที่ตนเองไปทุบซี้ซั้ว “นายบาดเจ็บมาจากแข่งฤดูกาลที่แล้วเหรอ?”
ร่างสูงใหญ่ไม่ตอบ ร้องครวญเบาๆแทบ ถึงแสดงท่าทีเจ็บปวดแต่มือข้างหนึ่งก็ยังไม่ยอมปล่อยเอวเจ้าของห้องอยู่ดี
“จูบที… แล้วจะหาย” พูดจบก็เงยหน้าขึ้นมาชิงจูบไปอีกทีอย่างเร็ว แดริลจะหลบก็หลบไม่ทัน ขโมยจูบเสร็จยังยิ้มเยาะอีกต่างหาก

………………………...ไอ้@#)@#(_#()#$@

“ปล่อยฉัน”
“ไม่ปล่อย” ชายหนุ่มผมดำยกมือขึ้นเขกหัวเจ้าคนดื้อเสียทีหนึ่ง นึกอยากให้โลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าคู่มือการรับมือวินเซนต์ ซัมเมอร์ขายเสียจริง “ฉันรู้ว่าจริงๆแล้วนายชอบ”
แดริลนึกอยากเถียง แต่หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะอยู่ตอนนี้ทำให้เขาเถียงไม่ออกนัก.. อีกอย่าง หลายเรื่องปฏิเสธไปก็เท่านั้น... ในเมื่อโดนเพื่อนรักขายจนหมดเปลือกแล้ว
สรุปได้อย่างเดียวเท่านั้น… คือวินซ์เป็นคนประเภทที่เขาแพ้ทาง…

“.....” สุดท้ายหาคำพูดแก้ตัวไม่ได้ชายหนุ่มผมดำก็หันหนีไปทางอื่น ไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ยอมรับ ทำเอาคนมองหลุดขำออกมา
“ผ่านไปเก้าปีนายก็ยังน่ารักเป็นบ้า…” วินเซนต์หัวเราะเบา ขณะวางหัวลงบนบ่าเจ้าของห้อง “เราไปที่เตียงกันเลยได้ไหม?”
“ไม่ได้เฟ้ย” แดริล
“ดื่มเหล้าไหมแดริล สักห้าแก้ว?” วินซ์
“ไม่!!” แดริล
“ชิ…” วินซ์

จู่ๆระหว่างที่กำลังเถียงกันอยู่ โทรศัพท์สมาร์ตโฟนของแดริลก็เกิดสั่นขึ้น ชายหนุ่มพักรบกับวินเซนต์ชั่วครู่เพื่อหยิบมันขึ้นมาเปิดเช็ก เผื่อว่าเป็นข้อความจากมิสเวส…

แต่ที่เด้งเตือนไม่ใช่แอปพลิเคชั่นส่งข้อความหรืออีเมล หากแต่เป็นแอปหาเพื่อนคุยแอปนั้น… AnonyMate
คนส่วนมากที่ใช้แอปนี้มักใช้ในการหาคู่ ถึงวัตถุประสงค์ของแดริลจะไม่ใช่แบบนั้น แต่มันก็ชวนให้เข้าใจผิดอยู่ดี

‘ข้อความจาก J.W.

วันนี้ขอบคุณมากนะครับที่ยอมให้ผมเลี้ยงกาแฟ และผมหวังว่าเราจะยังคุยกันได้อย่างสบายใจอยู่นะครับ ‘

อ่านแล้วก็มุ่นคิ้วเล็กน้อย.. ท่าทางหมอนั่นจะไม่ยอมแพ้จริงๆ

จู่ๆวินเซนต์ก็เงยหน้าขึ้น ชะโงกดูอย่างสงสัย แล้วคิ้วสีบลอนด์ทองนั่นก็มุ่นลงด้วย
“อะไรน่ะ แอปหาคู่? กาแฟ? ...หมอนี่ใคร” น้ำเสียงที่เมื่อครู่ยังฟังดูหยอกล้อเปลี่ยนเป็นกระด้างขึ้นทันที แขนที่โอบรอบช่วงเอวก็เหมือนจะรัดแน่นขึ้นเล็กน้อย
“เพื่อน…” แดริลตอบตามตรง ด้วยคำที่ตรงตัว และตรงความหมาย
“เพื่อนจากแอปหาคู่?” น้ำเสียงนั่นไม่น่าฟังขึ้นทุกที อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโจเซฟมันก็ไม่มีอะไรเลย… แต่เขาไม่จำเป็นต้องตอบ วินเซนต์ก็ไม่มีสิทธิจะถาม
“ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้นายฟังนะ วินซ์” เจ้าของห้องเก็บมือถือ พอเงยหน้าขึ้นอีกที สีหน้าของชายร่างสูงใหญ่ก็ดูทะมึนขึ้นทุกที…

คนมองยังคงใจแข็ง ไม่พูดอะไร ไม่สบตา…

“ลบแอปทิ้ง…” วินเซนต์กระซิบเสียงต่ำที่ข้างหู มันเป็นการออกคำสั่งตามนิสัยเจ้าตัว นั่นทำให้แดริลมุ่นคิ้วลงเล็กน้อย
“ไม่ลบ” อันที่จริงก็ไม่ได้ใส่ใจแอปนี้มากนัก คนที่คุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันเรื่องวรรณกรรม ปัญหาสังคมและปรัชญา ได้นั้นมีน้อยนิดเหลือเกิน เรียกว่านอกจาก J.W.ก็แทบจะไม่มีแล้ว… และอันที่จริงเขาก็อยากจะสลัดโจเซฟทิ้งเต็มทน แต่วินเซนต์ควรเข้าใจสถานะของพวกเขาทั้งคู่ บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกันก็คือไม่ได้เป็นอะไรกัน แค่ปล่อยให้เอากุญแจสำรองไปแล้วเข้ามานั่งเล่นแบบนี้ก็เรียกว่ายอมให้มากแล้ว…

เรื่องส่วนตัวไม่ควรยอมให้อีกอย่างเด็ดขาด

คิ้วสีบลอนด์ทองมุ่นลง สีหน้ายังคงทะมึนไม่น่ามอง ดวงตาสีเขียวจับจ้องอย่างต้องการหาคำตอบ
“ฉันไม่ใช่แฟนนาย ต่อให้ฉันไปเดทกับใคร หรือกินกาแฟกับใคร นายก็ไม่มีสิทธิถาม…” แขนแกร่งคู่ใหญ่กอดรัดแน่นจนเริ่มจะอึดอัด จนแดริลต้องกล่าวเสริม “ถ้าทนไม่ได้ก็ไม่ต้องรอ”
   
   ประโยคสุดท้ายรู้สึกเหมือนต้องฝืนพูดอย่างไรชอบกล..

   รอบด้านเกินความเงียบที่น่าอึดอัดอยู่พักใหญ่ จนสุดท้ายแล้วคนที่ยอมแพ้ก่อนคือวินเซนต์

    “ไม่ลบก็ไม่ลบ” วินซ์กัดฟันตอบ ก้มลงแนบริมฝีปากกับแก้มของคนในอ้อมแขน “แต่อะไรก็ตามที่นายอยากได้จากแอปบ้าๆนั่น ฉันทำให้นายได้ทุกอย่าง”

   ……….ฉันต้องการเพื่อนไว้คุยเรื่องวรรณกรรมสมัยเชคสเปียร์กับยุควิคตอเรี่ยนน่ะ นายแน่ใจเหรอว่านายทำได้?

   แดริลคิดในใจ มองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่มั่นใจเอาเสียเลย

   “ทำไมล่ะ กาแฟฉันก็เลี้ยงได้ จีบนายฉันก็ทำได้” เจ้าของร่างสูงใหญ่เห็นแล้วยิ่งไม่พอใจ พูดจาฮึดฮัดอย่างหงุดหงิด

   “... นายรู้ไหมว่าออสการ์ ไวลด์คือใคร?” แดริลถามหน้าตาย
   “.....ใคร….” วินซ์
   “..... นายทำไม่ได้แล้วล่ะ” แดริล
“แฟนเก่านายเหรอ?” วินซ์
“................บางทีฉันก็สงสัยว่าทำไมนายกับแคทไม่ถูกกัน ทั้งๆที่มีส่วนที่เหมือนกันตั้งหลายอย่าง” แดริลส่ายหัว “ไปกูเกิ้ลซะ”

พูดจบแล้วก็ยังลูบเรือนผมสีทองนั่น เห็นท่าทางขุ่นเคืองนั่นแล้วแดริลก็ขยับตัวไปจูบหน้าผากปลอบเบาๆอย่างอดไม่ได้
คิ้วหนาของวินเซนต์ค่อยๆคลายออก ท่าทางและน้ำเสียงค่อยๆอ่อนลงไม่หงุดหงิดเท่าเมื่อครู่แล้ว แต่ก็ยังคงมีท่าทางไม่ยอมแพ้อยู่ดี

“...ฉันไม่โง่ขนาดแม่นั่น” วินซ์
“ฉันว่าพวกนายก็พอๆกัน...” แดริล
“ไม่จริง” วินซ์
“When shall we three meet again… In thunder, lightning, or in rain? ประโยคนี้ใครเป็นคนแต่ง?” แดริล
“...ใคร” วินซ์
“......เชคสเปียร์ไง แมคเบธน่ะ.. ที่เรียนกันตอนเกรดสิบ นายจำไม่ได้แล้วเหรอ” แดริล
“ฉันจำได้แค่โรมิโอกับจูเลียต” วินซ์
“.......” แดริลเฟสปาล์ม “นายคงมีประโยชน์แค่เป็นโซฟาจริงๆ…”
“อะไร? ฉันทำอะไรได้มากกว่านั้นตั้งหลายอย่าง” มือใหญ่ดึงมือข้างที่กำลังก่ายหน้าผากออก จับมางับนิ้วชี้เบา ลากปลายลิ้นไล้ไปตามท้องนิ้วก่อนจะผละออก ยกยิ้มจนห็นฟันเขี้ยว ดวงตาสีเขียวฉายแววหยอกล้อชัดเจน “เช่นอุ่นเตียง”
เจ้าของมือหน้าขึ้นสีเล็กน้อยขณะชักมือหนี เบือนสายตาหลบไปทางอื่น
“พรุ่งนี้ฉันต้องทำงาน”
“แปลว่าศุกร์ได้?” เหมือนแวบหนึ่งที่ประกายคาดหวังปรากฏบนใบหน้าคนตรงหน้า แดริลไม่แน่ใจว่าควรตอบอะไร เลยตัดสินใจเงียบไม่ตอบแทน
“....”
เรื่องนี้กับเรื่องกลับไปคบกันมันก็คนละเรื่องไม่ใช่รึไง

    ร่างสูงใหญ่ฉีกยิ้มได้ใจ ทำเอาเจ้าของห้องถอนหายใจอย่าเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก

“นายจะกลับบ้านไหม…” แดริล
“ไม่ล่ะ จะค้างที่นี่” วินซ์

…. ตอบแบบนี้ก็พอจะรู้ดีว่าป่วยการที่จะไล่ ตามนิสัยวินเซนต์ที่หน้าด้านขนาดนี้แล้ว ไล่ไปก็เหนื่อยตัวเองเปล่าๆจึงทำได้แค่ปลง
“ถ้าจะค้างก็นอนโซฟา…” แรกเริ่มคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจ แต่วินเซนต์กลับยอมรับอย่างง่ายๆ…
“ได้”
ถึงจะรุกไล่จนไม่เปิดโอกาสให้เขาปฏิเสธ แต่ในจังหวะที่เรียกร้องขอพื้นที่ส่วนตัว อีกฝ่ายก็ยอมถอยให้ก้าวหนึ่งเสมอ… วินซ์ก็ยังคงเป็นวินซ์
“แล้วห้ามไปที่ออฟฟิศฉันโดยไม่จำเป็นอีก…” ยิ่งโจเซฟสงสัยแบบนี้เขายิ่งไม่วางใจให้วินเซนต์โผล่หัวไป… หากความแตกว่าวินเซนต์เคยคบผู้ชายละก็แย่แน่...
“ได้” วินซ์ไม่ถามว่าทำไม แค่รับปากง่ายๆเท่านั้น “จะไปแค่เรื่องงาน”
“ฉันไม่ได้ตกลงว่าจะกลับไปคบกับนาย ฉะนั้นห้ามถามอีกว่าฉันไปทำอะไร ที่ไหน กับใคร…” พอมาถึงข้อนี้เจ้าของร่างสูงใหญ่มุ่นคิ้วลง… เหมือนกำลังสู้กับตัวเองสักพักกว่าจะยอมรับปาก
“....ได้… จะไม่ถาม”

เห็นอีกฝ่ายยอมรับปากทุกข้อแล้วเจ้าของห้องก็มองด้วยสายตาอ่อนลง… ถึงจะเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นตั้งมากมาย แต่ก็อดรู้สึกว่า ‘น่ารักดี’ ไม่ได้อยู่ดี
ทำไมผู้ชายสูงหกฟุตสามนิ้วมีดีแต่กล้ามที่เป็นไอ้งี่เง่าถึงน่าเอ็นดูในสายตาเขาได้ขนาดนี้นะ… แดริลเองก็ไม่เข้าใจความคิดตัวเอง ที่พูดให้ใครฟังก็คงมีแต่คนทำหน้าเหมือนเห็นผี

   “ปล่อยเถอะ ฉันหิว… จะกินข้าว” พูดแบบนั้นท่อนแขนที่แข็งอย่างกับท่อนไม้ถึงยอมคลายออกโดยดี ในที่สุดเขาก็เป็นอิสระจากกล้ามอกของวินเซนต์เสียที

   ค่ำวันนั้นผ่านไปอย่างเรียบง่าย พวกเขาเพียงคุยหยอกล้อกันอีกเล็กน้อยก็แยกย้ายกันเข้านอน… ก็ไม่รู้ว่าวินเซนต์จะมายึดโซฟาเขานานแค่ไหน และก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะหมดความอดทนเมื่อไหร่

   แดริลรู้ว่าวินซ์มีเพนท์เฮาส์หรูทำเลดีอยู่ใจกลางเมืองนิวยอร์ก… แต่กลับมานอนขลุกอยู่บนโซฟาในอพาร์ทเมนต์เล็กๆที่นอนไม่สบายอย่างกับคนไม่มีบ้าน.. เห็นแล้วก็ชวนให้รู้สึกอาดูรแปลกๆ

   เรื่องว่าจะเอายังไง… ตัวเขาเองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ ทั้งตนเองและวินเซนต์ไม่สามารถอยู่ในสถานะแบบนี้ได้ตลอดไป แดริลรู้ดี แค่ยังคิดไม่ตก
   ด้วยความสัตย์จริง… เขาอยากอยู่กับวินเซนต์ แต่ด้วยความสัตย์จริงอีกเช่นกัน เขาไม่อยากทำลายอาชีพนักฟุตบอลของอีกฝ่าย
   ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักกีฬา NFL คนล่าสุดที่ประกาศตัวว่าเป็นเกย์เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว… งานในฐานะนักฟุตบอลอาชีพตกต่ำลงเรื่อยๆ จนกระทั่งต้องเกษียณในสองปีหลังจากที่ประกาศตัว… ถึงวินเซนต์จะบอกว่าไม่สนใจแล้ว แต่ภาพของเด็กหนุ่มคนนั้นที่มองโปสเตอร์นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลอย่างเทิดทูน แดริลยังจำได้ติดตา..

   แค่คิดถึงภาพวินเซนต์ที่อาจตกอยู่ในสภาพนั้น ท้อแท้ เครียด หมดหวังกับอนาคต เพราะเขาเป็นต้นเหตุ… แดริลก็รู้สึกรับไม่ได้
   หากวันหนึ่งอีกฝ่ายหันมาบอกว่า ทั้งหมดนี่เป็นเพราะนาย หรือ ฉันไม่น่าเลือกนายเลย ฉันน่าจะมีชีวิตปกติ เขาก็ไม่แน่ใจว่าตนเองจะทนรับได้แค่ไหน

   เขาอาจจะเป็นคนคิดมาก วินเซนต์บ่นเสมอ.. แต่เรื่องอาชีพการงาน เรื่องอนาคต ไม่คิดมากได้ด้วยรึ?
   ไม่มีทางที่นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลคนหนึ่งจะสามารถเก็บทั้งอาชีพทั้งคนรักที่เป็นผู้ชายของตนเองไว้เลยหรือยังไงนะ…
   
   ชายหนุ่มนอนเอาแขนก่ายหน้าผาก เล่นสมาร์ตโฟนไปเรื่อยเปื่อยก่อนนอน เลื่อนไปมาก็มาถึงหน้าที่มีไอคอนของแอป AnonyMate …
   ดวงตาสีฟ้ามองไปทางมุมห้องมืดๆอันเป็นที่ตั้งของโซฟา… ริมฝีปากเม้มน้อยๆจนเป็นเส้นตรง จากนั้นนิ้วก็เลื่อนกด uninstall แอปพลิเคชั่นตัวนั้นทิ้งไปเงียบๆ...



-----------------------

เราเพิ่งพบว่าในเล้าสามารถลงNCได้ เดี๋ยวจะไปใส่ส่วนที่ตัดไปในตอนเก่าๆให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 13 [15/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-12-2018 21:29:14
กลัวเงาแค้นแบบฝั่งหุ่นของโจเซฟจังเลย (ถ้ามันมีนะ)
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 13 [15/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 15-12-2018 22:18:40
วินซ์ต้องทำให้แดริลมั่นใจจริงๆนะว่าจะจริงจัง สู้!
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 13 [15/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 15-12-2018 23:06:53
ในเล้าลงเอนซีได้ค่ะ ก็ว่าจะกระซิบบอกคนเขียนอยุ่แต่เกรงใจ  :jul1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 13 [15/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-12-2018 00:46:05
 :katai2-1:


เอาไงดี
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 13 [15/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-12-2018 01:06:53
 :z1:
 :L1: :pig4: :L1:

หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 13 [15/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 16-12-2018 11:08:28
รู้สึกกลัวว่าโจเซฟจะมาทำให้ชีวิตแดริวบัดซบไปมากกว่านี้ :hao5:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 13 [15/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 16-12-2018 20:01:43
โจเซพจะมาดีหรือมาร้ายกัน
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 13 [15/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 17-12-2018 01:41:09
มาติดตามชีวิตคุณแดริลด้วยคนค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 13 [15/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 18-12-2018 20:47:18
บทที่ 14 Kat's Declaration (1/2)



ในวันรุ่งขึ้นแดริลขึ้นไปยังออฟฟิศชั้นสี่แต่เช้าตรู่ เดินผ่านแผนกโอเปอเรชั่นและพัฒนาบุคคล มุ่งตรงไปที่ออฟฟิศ CEO





มิสเวสกำลังนั่งจิบกาแฟ ใช้เวลายามเช้านั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไทมส์อย่างใจเย็น สองนิ้วเคาะประตูกระจกเพื่อดึงความสนใจของเจ้าหล่อน ซึ่งก็ได้ผล... พอเห็นเขา ดวงตาคู่โตประดับด้วยแพขนตาหนาของเจ้าหล่อนก็หันมองมาทันที





“อรุณสวัสดิ์เชน” พูดแล้วก็หุบหนังสือพิมพ์กระดาษปิดลง “มีอะไรรึเปล่า ฉันจำได้ว่าวันนี้ไม่มีประชุมเช้านี่”

“สะดวกคุยรึเปล่าครับ ผมอยากคุยกับคุณนิดหน่อย” พูดแล้วเขาก็ดึงประตูปิด เพราะไม่อยากให้คนข้างนอกได้ยินบทสนทนา

“ฉันมีเวลาครึ่งชั่วโมงก่อนจะต้องไปคุยกับทีมโปรดักต์… นั่งสิ”

ได้รับคำอนุญาตแล้วชายหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนั่ง มองสบตาหญิงสาวตรงๆ





“...เรื่องโจเซฟ… คุณไม่ควรทำแบบนี้ ผมปฏิเสธไปชัดเจนแต่แรกแล้วนะครับ” ชายหนุ่มพูดอย่างใจเย็น พยายามไม่แสดงอารมณ์อะไรมากนัก

“อา… เรื่องนี้ ฉันผิดเอง ขอโทษนะ” มิสเวสไม่ใช่คนถือตัว ยอมรับผิดและขอโทษแบบง่ายๆ “...คือโจเซฟน่ะ… ไปเห็นบนสัมภาษณ์ของเธอทางออนไลน์เข้าเลยรู้ว่าเราทำงานที่เดียวกัน เขาขอร้องฉันหลายที ตอนแรกที่เธอปฏิเสธฉันก็บอกไปแล้ว แต่เขาก็ยังรบเร้าอยู่เรื่อยๆ ”





วันนี้หญิงสาวสวมเดรสสีแดงดึงดูดตาเข้าคู่กับส้นสูงสีเดียวกัน ขาสองข้างนั่งในท่าไขว่ห้าง ยกมือขึ้นเท้าคางพลางถอนหายใจออกมาเล็กน้อย แม้ล่วงเข้าวัยเลขสามแล้วเธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่ดูดีทั้งใบหน้าและรูปร่าง





“เด็กคนนั้นน่ะ ตั้งแต่เล็กมาก็ไม่เคยจะตื๊อฉันเรื่องอะไรขนาดนี้.. อันที่จริงฉันก็สงสัยมาตลอดว่าจากเด็กที่ไม่มั่นใจเอาแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือ ทำไมอยู่ๆ ถึงหันมาใส่ใจตัวเองแล้วเลือกเดินทางสายบรอดเวย์ได้” เธอเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงปกติ ออกจะฟังดูกลุ้มใจเล็กๆ “ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอนะ… เชน ฉันจะไม่ยุ่งอีก”





“ครับ… หากคุณเข้าใจแล้วผมก็ไม่ติดใจอะไร” ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว มิสเวสเป็นคนที่พูดจากันด้วยเหตุผลพอๆ กัน พวกเขาถึงทำงานเข้าขากันได้… ก็ไม่บ่อยนักหรอกที่เธอจะทำอะไรแบบนี้





“แต่ฉันมีคำถามเหมือนกันนะ แดริล… วินเซนต์ ซัมเมอร์ เป็นคนรักของเธอหรือเปล่า? ” คำถามตรงไปตรงมานั่นทำให้คนฟังชะงัก ไหล่สองข้างเกร็งขึ้นเล็กน้อย “ฉันได้ยินเรื่องที่ว่าคุณซัมเมอร์คนนั้นยอมรับค่าตัวที่ต่ำกว่าราคาของเขาเพราะเธอมาจากบิล… แล้วพอโจเซฟได้ยินว่าคุณซัมเมอร์จะมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้บริษัทเรา เขาก็แทบจะนั่งไม่ติดที่ รีบร้อนยื่นพอร์ทมาสมัครเป็นนายแบบสินค้าไลน์คนวัยทำงานของเราแทบจะทันทีเลย”





วิเวียนพูดถึงมันแล้วก็นวดขมับปวดหัว

“และขอบอกไว้ก่อนเลยว่าฉันไม่ได้ใช้เส้นให้โจเซฟได้งาน ทีมโปรดั๊กชั่นเลือกกันเอง ฉันไม่ได้ออกความเห็นอะไรเลย ไม่ได้บอกทีมด้วยซ้ำว่าเป็นญาติกัน”

ชายหนุ่มรับฟังประโยคหลัง พร้อมทั้งพยักหน้าน้อยๆ จากที่รู้จักบอสของเขามาหลายปี ก็รู้ดีว่าเธอไม่ใช่คนประเภทที่จะเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน





ส่วนเรื่องวินเซนต์…





“ไม่ได้เป็น… ครับ” ดวงตาเลื่อนหลบไปมองอย่างอื่น ชายหนุ่มมีท่าทีไม่ค่อยเต็มใจจะตอบคำถามอย่างชัดเจน

“อย่าโกหกฉัน เชน ฉันไม่ได้จะว่าอะไรเธอ ตอนแคทเธอรีนฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร ตอนที่รู้ว่าเธอเป็นเกย์ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร แค่อยากรู้ความสัมพันธ์เอาไว้เท่านั้นเพราะบริษัทต้องร่วมงานกับเขาไปอีกทั้งปี” หญิงสาวผมบลอนด์มองคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมือขวาของตนเองด้วยสายตาจริงจัง

“.... ครับ เขาเป็นแฟนเก่า แต่ผมไม่ได้เรียกเขามารับงาน” CMOหนุ่มถอนหายใจ ท่าทางเหมือนจำนนด้วยหลักฐาน “อยู่ๆ ชื่อเขาก็โผล่ขึ้นมา ผมเองยังตกใจ แล้วเขาก็อ้างไปเองว่าเพราะผม… แต่มันไม่ใช่”

“ฉันเชื่อใจเธอ… แต่เธอมั่นใจไหมว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเธอ… เขาจะยังรับผิดชอบงานของเราอยู่ ฉันรู้ว่ามันมีสัญญาผูกมัด แต่หลายๆ อย่างสัญญาก็ไม่ได้ครอบคลุม และฉันก็ไม่คิดว่าคนดังแบบคุณซัมเมอร์จะจ่ายค่าปรับไม่ไหว…” สิ่งที่วิเวียนกังวลนั้นล้วนเกี่ยวกับเรื่องงาน คำถามเหล่านี้แดริลเองก็ไม่มั่นใจว่าจะตอบอย่างไรดี





เขาไม่ใช่วินเซนต์ เขาตอบแทนอีกฝ่ายไม่ได้…





“เขาเป็นคนมีชื่อเสียง ผมไม่คิดว่าเขาจะยอมเสียเครดิตตัวเองในวงการแค่เพื่อจะประชดใครหรอกครับ”

“เชน เพราะเขาเป็นคนดัง เขาถึงเลือกได้ เขามีอำนาจต่อรอง โลกของธุรกิจมันเป็นแบบนี้ และมันก็เป็นหน้าที่ฉันที่ต้องทำให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดผลเสียกับบริษัท” หญิงสาวผมบลอนด์หลับตาลงพร้อมกับระบายลมหายใจออกมา ท่าทางเหมือนว่าหล่อนคิดพิจารณาเรื่องนี้มาดีแล้ว “...แต่ฉันเชื่อใจเธอ ฉะนั้นก็ทำให้มันเวิร์กเถอะ แคมเปญนี้น่ะ”

“ครับ บอส”

“แล้วก็ขอถามเรื่องส่วนตัวอีกสักเรื่องเถอะนะ เรื่องสุดท้ายแล้ว” รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนริมฝีปากที่ทาเคลือบด้วยลิปสติกสีสด “เรื่องโจเซฟ เธอจะไม่ให้โอกาสจริงๆ ใช่ไหม? เขาเคยบอกว่าคุยกับเธอถูกคอ แต่อาจจะไม่ใช่สำหรับเธอ?”





คำถามนี้ไม่ใช่ถามในฐานะเจ้านาย แต่ท่าทางเหมือนถามในฐานะพี่สาวคนหนึ่งเสียมากกว่า





แดริลมีสีหน้าลำบากใจ คุยกันถูกคอก็ใช่ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าคนเราจะตกหลุมรักกันได้เพราะแค่คุยกันถูกคอเฉยๆ …

“ผมคิดว่าเป็นเพื่อนกันดีกว่าครับ”





วิเวียนพยักหน้าเข้าใจ ไม่ได้เซ้าซี้อะไรชายหนุ่มต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้





“อืม เข้าใจแล้วล่ะ” เธอตอบรับแบบง่ายๆ ทั้งยังยกยิ้มให้น้อยๆ “ไว้วันหลังหาเวลาไปกินข้าวเย็นกันเถอะ ฉันเลี้ยงเอง”

“ได้ครับ” แดริลยิ้มตอบ ก่อนจะขอตัวกลับชั้นสามไปทำงานของเขาต่อ… ท่าทางดูโล่งใจขึ้นมากกับหลายๆ เรื่อง





ขณะที่กำลังจะเข้าห้องทำงานของตนเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นนิตยสารแฟชั่นชื่อดังที่วางหราอยู่แถวๆ นั้น เนื่องจากนี่เป็นบริษัทแฟชั่น การมีของประเภทนี้อยู่นั้นไม่แปลกแต่อย่างใด





….ติดแต่หน้าปกนั่น… เป็นคนที่คุ้นตามาก





คนเดียวกับที่ยึดเอาโซฟาเขาเป็นที่นอน… วินเซนต์ ซัมเมอร์





ชายหนุ่มหยิบเอานิตยสารฉบับนั้นขึ้นมาดู มองใบหน้ายิ้มๆ ของคนขึ้นปกด้วยความไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกอย่างไร… อันที่จริงช่วงนี้เขาก็พอสังเกตเห็นมาสักพักแล้วหรอกว่าวินซ์รับงานออกสื่อเยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขึ้นปก บทสัมภาษณ์ ไปเป็นดารารับเชิญในซิตคอม ไปออกรายการ เป็นพรีเซนเตอร์ให้แบรนด์ต่างๆ ทั้งนาฬิกา รถยนต์… และล่าสุดสิ่งที่ทำให้เกือบสำลักกาแฟคืองานถ่ายแบบกางเกงในแบรนด์ดังเมื่อสองเดือนที่แล้ว ยิ่งเห็นภาพบนบิลบอร์ดแล้วทำเอารถเกือบชน..





นับตั้งแต่คว้าถ้วยแชมป์และเป็นหนึ่งในกัปตันทีมสามสมัยติดกัน เหมือนชีวิตของอีกฝ่ายก็จะมีแต่ขาขึ้น เงินค่าตัวแค่งานเป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์ดังงานเดียวก็ตั้งเท่าไหร่แล้ว มากกว่าเงินที่เขาทำได้ทั้งปีอีก... ไหนจะค่าถ่ายแบบขึ้นปก ค่าดารารับเชิญ…





“เป็นคนที่เท่ไปเลยนะครับ” บิล ชายตัวสูงผู้มีความจืดจาง ชะโงกดูนิตยสารเล่มดังกล่าวที่เขากำลังถืออยู่ในมือ “วันที่เขามานี่สาวๆ พูดถึงกันไม่หยุดเลย อันที่จริงตอนนี้ก็ยังพูดถึงกันอยู่”





“...อืม” แดริลตอบรับในลำคอเสียงเบา วางหนังสือลงบนโต๊ะใกล้โซฟารับแขก ค่อนข้างชินแล้วกับความป๊อปปูลาร์ของใครบางคน ที่ยังไม่ชินคงมีแค่โฆษณาถ่ายแบบกางเกงในขึ้นบิลบอร์ดเท่านั้นล่ะ...





ว่าไปแล้วเย็นนี้เขาก็น่าจะไปแวะแผงลอยนิตยสารเสียหน่อย… ว่าแต่ควรจะซ่อนไอ้เล่มนี้ให้พ้นหูพ้นตาเจ้าคนที่ขึ้นปกอย่างไรดีนะ…





………………….





กลับถึงบ้านก็พบวินเซนต์ที่นอนหลับคาโซฟา… มีหนังสือเรื่อง The Picture of Dorian Gray โดย ออสการ์ ไวลด์ กางปิดหน้า…





เจ้าของอพาร์ทเมนต์มองด้วยสายตาอ่อนใจ ย่องไปซ่อนนิตยสารในลิ้นชักก่อนถึงค่อยเดินมาหยิบหนังสือเล่มนั้นออกจากหน้าคนหลับ





“...วินซ์ ฉันกลับมาแล้ว” เรียกเบาๆ นักกีฬาหนุ่มก็ลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง

“....หนังสือของออสการ์ ไวลด์น่าเบื่อเป็นบ้า” นั่นเป็นประโยคแรกที่วินเซนต์ทักออกมา แต่ก็ทำให้คนฟังยิ้มขำ

“นายเคยอ่านอะไรแล้วคิดว่าสนุกด้วยรึไง”

“...เพลย์บอย” คนตัวใหญ่พูดจบก็โดนสันหนังสือเคาะหัวเบาๆ

“นั่นไม่นับสิ” จู่ๆ ข้อมือก็ถูกจับ วินเซนต์ลุกขึ้นนั่ง ดึงหนังสือเล่มดังกล่าวออกจากมือเขา วางไว้ที่โต๊ะข้างๆ แล้วดึงร่างที่บางกว่าให้นั่งลงแทน

“ฉันก็แค่สงสัยว่าทำไมนายถึงชอบอะไรพวกนี้จริง…” วินซ์

“ไม่จำเป็นหรอก ฉันเองก็ใช่จะเคยนั่งดูอเมริกันฟุตบอลเป็นเพื่อนนายซะเมื่อไหร่” แดริล

“นั่นก็จริง… วันนี้เหนื่อยไหม?”

“นิดหน่อย นายล่ะ?”

“เหนื่อย.. ไปยิม แล้วก็ไปเซ็นสัญญา แล้วก็กลับมานอนอ่านหนังสือ”





นั่นฟังดูไม่เห็นจะเหนื่อยตรงไหน..





“ช่วงนี้ดูนายรับงานในวงการบันเทิงเยอะขึ้นนะ” เผลอตัวปุ๊บมือหยาบก็วางลงบนเอว ดึงเข้าไปกอด แดริลกระทั่งจะขัดขืนยังขี้เกียจไปแล้ว…

“เกษียณแล้วจะได้มีอะไรทำ...ไม่เกาะนายกิน” วินเซนต์พูดหน้าตาเฉย “อีกอย่าง… นายลืมไปแล้วหรือไงว่าเทอรี่ ครูวส์ก็เป็นไอดอลของฉันเหมือนกัน”

“....จากโฆษณาโอล์ดสไปซ์แบร์โกลฟใช่ไหม? จำได้ว่านายเคยพูดถึง” เป็นคนที่แดริลคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างมาก ทั้งเห็นในโฆษณาและทีวีออกบ่อย…

“ใช่ เขาเกษียณจากการเป็นนักกีฬาแล้วก็ไปเป็นผู้ประกาศข่าว เล่นโฆษณา กับนักแสดงต่อ เขาเป็นไอดอลขั้นทำให้ฉันซื้อโอล์ดสไปซ์แบร์โกลฟมาใช้เลยนะ” จมูกที่คลอเคลียบริเวณต้นคอทำให้รู้สึกจั๊กจี้ สองมืออดไม่ได้ต้องพยายามผลักวินเซนต์ให้ออกห่าง แต่แน่นอนว่าไม่สำเร็จ





“พอแล้วน่า... วินซ์”

“นายใช้น้ำหอมอะไรน่ะ? ฉันชอบ” ถึงจะบอกให้พอร่างซึ่งสูงใหญ่กว่าก็ยังไม่พอ จูบลงบนต้นคอเสียอย่างนั้น

ทั้งที่สมัยก่อนไม่ได้ติดแจขนาดนี้แท้ๆ …





“อาร์มานี่ Acqua di gio เลิกนัวเนียฉันได้แล้ว ฉันจะไปทำอาหาร” พอบอกแบบนั้นวินเซนต์ถึงยอมปล่อยแต่โดยดี หลุดพ้นได้ร่างที่บางกว่าก็รีบเผ่นไปทางครัวบิวด์อินหลังเคานต์เตอร์ทันที





ชายหนุ่มเริ่มหยิบของสดจากในตู้เย็นมาวางเรียงกัน แต่สมาร์ทโฟนที่สั่นทำให้เขาต้องหยุดมือมากดเช็กดู





มิสวีส่งภาพแคปหน้าจอจากทวิตเตอร์มาให้ผ่านโปรแกรมแชท… มันเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ออนไลน์ฉบับหนึ่ง





‘นางแบบสาวชื่อดัง ขอแฟนสาวดีไซน์เนอร์แต่งงานกลางเวทีหลังจากจบชุดฟินาเล่!! ’





… ไม่ได้มาแค่หัวข้อ มายันภาพประกอบ… และก็ใช่ นั่นเป็นสองคนที่เขาคิดจริงๆ





แคทกับแอช





เห็นแดริลมองมือถือสีหน้าเหม่อลอย วินเซนต์ก็ลุกขึ้นเดินมายืนข้างๆ ดวงตาสีเขียวมองสิ่งที่อยู่บนจอ คอมเมนท์ออกมาแค่สองคำ

“ว้าว เจ๋ง”

“.....” อา… อยู่ๆ ก็ป่วย… ไม่อยากไปบริษัทพรุ่งนี้เลย… คงจะต้องมีคำถามมากมาย หรือสายตาตั้งคำถามมากมายแน่ๆ





ที่บริษัทต่างรู้กันดีว่าเขาเป็นแฟนหนุ่ม (ปลอมๆ) ของแคท และเชื่อได้ว่าเหล่าคนทำงานในวงการแฟชั่นพวกนั้นจะต้องรู้ข่าวนี้กันทุกคน..

ในใจรู้สึกว่างโหวงอยู่บ้าง แม้จะเริ่มทำใจตั้งแต่วันนั้นที่แคทบอกกับเขาว่าหล่อนจะประกาศตัวแล้วก็ตามที…

ใจหนึ่งก็ยินดีกับทั้งแคทและแอชลีย์ อีกใจก็เหมือนโดนทิ้งไว้เบื้องหลังอยู่คนเดียว… แต่หากจะให้บอกแคทว่าอย่าทำแบบนี้ ช่วยกันปิดบังต่อไปได้ไหม นั่นเขาก็พูดไม่ได้หรอก เพราะมันเห็นแก่ตัวเกินไป





หลังจากคุยกันวันนั้น ชายหนุ่มก็ได้ทำใจมาส่วนหนึ่งแล้ว… แต่เขาก็ยังอดอารมณ์ดิ่งไม่ได้





เหมือนถูกบังคับลากออกไปกลางแสงไฟ ทั้งที่ยังไม่พร้อม...





เรื่องโดนมองเป็นเกย์ แน่นอนว่าน่าจะเลี่ยงไม่ได้จริงๆ .. ก็หวังแต่ว่าจะไม่มีคนอคติมากนัก เคราะห์ดีที่เขาอยู่ในวงการธุรกิจแฟชั่นซึ่งเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติ… ทั้งยังมีมิสเวสที่เข้าใจกัน

ที่ผ่านมาชายหนุ่มไม่เห็นประโยชน์จากการเปิดตัว ล้วนเห็นแต่ข้อเสีย และไม่คิดว่าการต้องออกไปประกาศว่าตนเองเป็นเกย์เป็นเรื่องที่ฉลาดนัก… เพราะมีทั้งอคติจากหลายคนในสังคม กับคำถามมากมายที่ไม่อยากจะตอบ…

แล้ววันหนึ่งหากเขาตัดสินใจไปทำงานในบริษัทสตาร์ทอัพนอกวงการแฟชั่น ก็จะถูกครอบด้วยอคติหรือมุมมองเดิมๆ ที่สังคมมีต่อเพศที่สามหรือเปล่า?





… แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นสิ่งที่เขาต้องออกไปเผชิญหน้า





เรื่องที่ทำงานน่ะยังไม่เท่าไหร่หรอก… เพราะพอคิดไปถึงที่บ้าน (ที่ยังคาดหวังว่าเขาจะแต่งงานกับแคท) เมื่อเห็นข่าวนี้แล้ว แดริลก็นึกอยากจะหายตัวไปจากโลก





“ฉันไม่กลับดีซีอีกแล้วได้ไหม…” เจ้าตัวโอดครวญเบาๆ ...

“....นี่อย่าบอกนะว่า… จนป่านนี้พวกนายยังคบเป็นแฟนหลอกๆ กันอยู่อีกเหรอ?” คิ้วสีทองเลิกขึ้นสูง ท่าทางคล้ายไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก...





ร่างที่ผอมกว่าพยักหน้าช้าๆ ให้กับคำถามดังกล่าว ท่าทางดูเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด มือหนึ่งหยิบมีดทำครัว อีกมือหยิบของสดวางบนเขียง เริ่มหั่นผักด้วยสายตาเลื่อนลอย

“...ฉันกลับบ้านไม่ได้อีกแล้ว พ่อต้องเอาปืนมายิงฉันแน่”

วินเซนต์เห็นแล้วก็นวดขมับ แย่งมีดในมืออีกฝ่ายไปวางไว้ให้ไกลๆ ก่อน ถึงจะเอ่ยปากไล่

“หั่นแบบนี้เดี๋ยวก็บาดนิ้วกันพอดี ไปนั่งตรงนั้น ฉันทำให้”





แดริลพยักหน้าอย่างว่าง่าย ในหัวยังคงติดอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง เขาหย่อนก้นลงบนโซฟา เหม่อมองเพดานแบบคิดไม่ตก





รู้ตัวอีกทีก็มีจานออมเล็ตสอดไส้ผักหอมฉุยมาวางตรงหน้า… หน้าตาดูไม่น่ากินเอาเสียเลยแต่ก็ดูเหมือนจะกินได้… วินเซนต์นั่งลงข้างๆ เงยมองเพดานเป็นเพื่อนกัน





“พ่อนายเหยียดเพศที่สามนี่นะ…”

“ใช่”

“แม่ก็คลั่งพระเจ้า”

“...ใช่”





แดริลปิดหน้าเครียด





“ไว้ฉันจะกลับไปกับนายด้วย… ยังไงซะคนที่ทำให้นายเป็นเกย์แต่แรกก็ฉันนี่?” วินเซนต์ยกยิ้ม พลางพูดจาติดตลก “ฉันฮอตมากจนหลังจากที่นายลองกับฉันในห้องล็อกเกอร์ไปวันนั้นแล้วนายก็ไม่สามารถคิดอะไรกับสาวๆ ได้อีกเลยไงล่ะ”





คนกำลังเครียดเงยหน้ามองคนพูดมาได้ไม่อายปากทั้งขอบตาแดงๆ





“....พ่อจะยิงนายด้วย”

วินเซนต์หัวเราะเบา จับมือชายหนุ่มอีกคนไว้หลวมๆ ดึงขึ้นมาแนบจูบลงบนหลังมือ

“มันจะไม่เป็นไร เชื่อฉันสิ”





แดริลไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเอาอะไรมามั่นใจ… และก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมั่นใจ แต่คำพูดนั้นก็ช่วยให้อุ่นใจขึ้นไม่น้อย

“หลายๆ ทีนายก็คิดมากเกินไป นายชอบคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก่อนที่เรื่องมันจะเกิด” วินเซนต์พูดด้วยน้ำเสียงปกติ มองไปทางชายหนุ่มผมดำด้วยสายตาไม่บ่งบอกอารมณ์

“...กลับกัน นายน่ะคิดน้อยเกินไป” แดริล

“ช่วยไม่ได้ ฉันชอบเอาเวลาไปลงมือทำมากกว่านั่งกังวล” วินซ์ตอบทั้งยกยิ้มขำเบาๆ “ตอนนี้คิดไปแล้วช่วยอะไรไหมล่ะ?”





คนฟังมุ่นคิ้ว แล้วส่ายหน้า





“ไม่ต้องไปคิด แล้วทำให้ดีที่สุด” ฟังแล้วก็รู้สึกว่าคำพูดคำจาสมเป็นวินเซนต์ ซัมเมอร์เหลือเกิน…





แดริลเพียงพยักหน้ารับช้าๆ ตักออมเล็ตที่เริ่มจะเย็นแล้วกิน เคี้ยวไปก็เหมือนจะเจอเศษเปลือกไข่อยู่เล็กน้อยแต่ก็จัดว่ายังกินได้…





“อาจจะเป็นจังหวะที่ไม่ดีนัก แต่ฉันต้องไปทำงานนอกเมืองสัก2-3วัน…นายอยู่ได้ใช่ไหม?” เจ้าของร่างสูงใหญ่เอ่ย ก่อนจะลุกไปจัดการเก็บกวาดซากอารยธรรมในครัวแบบลวกๆ แดริลเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกเหมือนอารมณ์ดิ่งลงไปอีก แต่ปากกลับบอกว่า...

“ไปเถอะ”





วินเซนต์ไปทำงานทีนึงได้เงินตั้งเท่าไหร่ จะมารั้งให้เขาอยู่อะไรกับแค่เรื่องดราม่าแบบนี้ล่ะ…





“ฉันจะรีบไปรีบกลับ” ร่างสูงใหญ่พูดออกมาขณะจัดการกับกระทะที่เจ้าตัวเพิ่งใช้ทอดไข่ไปเมื่อครู่ ประโยคดังกล่าวฟังดูคล้ายคำสัญญา… ประโยคนั้นไม่ได้ถูกพูดอย่างอ่อนโยน ไม่ได้ให้ความรู้สึกหวานซึ้ง





มันก็เป็นแค่คำพูดเรียบง่าย ที่พูดออกมาอย่างง่ายๆ ตามแบบของวินซ์… แต่แค่นี้ก็กลับทำให้ในใจรู้สึกอุ่นร้อนขึ้นอย่างประหลาดแล้ว…





…………..





สายตาของทุกคนพร้อมใจกันลอบมองชายหนุ่มด้วยแววประหลาดใจ เหมือนเต็มไปด้วยคำถามและความสงสัย… แต่เจ้าตัวก็ทำเป็นไม่เห็นและไม่ใส่ใจ ก้าวขายาวๆ มุ่งไปขึ้นลิฟต์ ถึงชั้นสามก็ตรงดิ่งไปทางห้องทำงาน





… แต่อนิจจา ระหว่างทางดันเจอเดวิด โจนส์ ซะได้





วันนี้มิสเตอร์โจนส์แต่งตัวโกนหนวดเครามาเรียบร้อย เพราะเป็นวันที่หนึ่งในนักลงทุนจะมาที่บริษัท… เพราะช่วงนี้เป็นช่วงใกล้ระดมทุนรอบหน้า ก็จะต้องต้อนรับกันบ่อยเสียหน่อย



สองคนยืนประจันหน้ากัน จะหลบไม่ทักก็ไม่ได้ เดวิดก็ดูเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่กล้าพูด ทำให้บรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนใจ





“อรุณสวัสดิ์ครับคุณโจนส์” แดริลเป็นฝ่ายตัดสินใจทำลายความเงียบอันน่าอึดอัด ยกยิ้มเล็กน้อยที่ดูเป็นธรรมชาติ

“อ...อ้อ...อรุณสวัสดิ์เชน เอ้อ วันนี้เป็นไงมั่ง” ท่าทางยิ้มเกร็งๆ นั่นทำให้รู้สึกไม่สบายใจเท่าใดนัก





ความเป็นไปได้มีสองทาง เพราะสงสัยว่าเขาเป็นเกย์ ไม่ก็วางตัวไม่ถูกเพราะเรื่องแคทประกาศตัว..





“ก็สบายดีครับ… ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ”

“อืม ดีแล้วล่ะ ดี” ผู้ชายสายไอทีคนนั้นยกมือขึ้นตบบ่าเขาสองที ท่าทางดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย “เอ้อ… วันนี้งานเยอะมาก ฉันไปเคลียร์ก่อนนะ”





ปกติจะยืนคุยกันนานกว่านี้แท้ๆ … วันนี้เล่นตัดบทชิ่งเอาดื้อๆ แบบนี้เลยนะครับ…





“ครับ ไปเถอะ ผมก็ต้องทำงาน” ชายหนุ่มยกยิ้มบาง เรื่องโดนซุบซิบสงสัย… มันห้ามกันไม่ได้อยู่แล้ว





จู่ๆ หูก็ได้ยินเสียงส้นสูงที่กระทบพื้นแว่วๆ …. หันหลังไปอีกทีก็เจอกับมิสวีที่ยืนกอดอกอยู่ในชุดสูทกระโปรงทรงเอยาวเหนือเข่า กับถุงน่องโทนสีดำ





“เชน อ๊อฟฟิศฉัน ตอนนี้” พูดแล้วยังปรายหางตามอง ‘จิก’ ผู้ชายที่นานๆ จะยอมแต่งตัวหล่อเนี๊ยบที่กำลังย่องหนีไปอีกด้วย “...ตั้งใจทำงานล่ะคุณโจนส์”





เจ้าของชื่อเกาหัว ถอนหายใจออกมาแล้วโบกมือให้ไล่หลัง





“คร้าบ คร้าบ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” ชายหนุ่มบ่นพึมพำอะไรบางอย่างที่แดริลไม่ทันฟัง แต่คิดสงสัยไม่นานเขาก็โดนลากไปนั่งในออฟฟิศCEOซะแล้ว….



หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 13 [15/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 18-12-2018 20:50:11
บทที่ 14 (2/2)


“ข่าวเมื่อวาน…” ยังนั่งไม่ทันติดเก้าอี้ หญิงสาวก็เปรยขึ้นแล้ว “...เรื่องแคทเธอรีนน่ะ”

“อืม เธอบอกผมล่วงหน้าแล้วล่ะครับ ยังไงก็ไม่กระทบแบรนด์เราหรอก ผมว่าอาจจะเป็นผลดีกับWorking Womanด้วยซ้ำ” ชายหนุ่มยิ้มบาง หากแต่เป็นยิ้มที่ดูคล้ายสวมหน้ากากชอบกล

“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น… ฉันห่วงเธอต่างหาก”





ดวงตาสีฟ้าหลุบมองพื้น ระบายลมหายใจยาว





“มิสเวส… ผมเป็นCMOตั้งแต่อายุยังน้อยมาก ข้อนี้ผมรู้ดี… และผมมีอะไรที่ต้องทำเพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกหลายอย่าง… เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ” เปลือกตาปิดลงเพื่อซุกซ่อนความไม่สบายใจที่เกิดเพราะเรื่องนี้จนมิด “ผมรับมือได้”

“...แดริล”





เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นไปทั่ว… เมื่อดวงตาคู่นั้นเปิดขึ้นอีกครั้งก็ไร้ซึ่งวี่แววกังวลใจ ชายหนุ่มเพียงขยับยิ้มบาง

“ผมไม่เป็นไร”

“ฉันแค่อยากให้เธอรู้ไว้… ว่าสายตาที่มองเธอแบบสงสัย บางทีพวกเขาก็แค่สงสัยจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาอื่น แบบเดวิดนั่นตอนแรกก็เข้าใจไปว่าเธอโดนแคทเธอรีนหลอกด้วยซ้ำ”

ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้





“แล้วบริษัทเราก็มีนโยบายต่อต้านเรื่องการเหยียดเพศอย่างเด็ดขาดอยู่แล้ว… คนที่เป็นเกย์แบบเปิดเผยก็หลายคน เรื่องแค่นี้ไม่กวนใจใครหรอก” หญิงสาวยังคงมีสีหน้ากังวลใจขณะกล่าว

“อืม ผมเข้าใจ” เจ้าของร่างสูงพยักหน้ารับพร้อมกับตอบ ไม่ใช่เขาไม่เข้าใจหรอก แต่การโดนตั้งคำถาม เป็นใครมันก็น่าจะรู้สึกอึดอัดทั้งนั้น “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”





ชายหนุ่มตอบทั้งรอยยิ้ม ก่อนจะขอตัวกลับออกมาทำงาน มิสเวสยังคงมีสีหน้าไม่วางใจนักแต่ก็ยอมปล่อยเขาไป





ขณะที่เดินออกมา ก็เห็นกลุ่มคนกำลังยืนดูทีวีในห้องพักกันอยู่ บนจอข่าวคือรายการทอล์กโชว์ที่ออกอากาศในช่วงเช้า เป็นบทสัมภาษณ์ของแคทเธอรีนกับนักข่าวสาว





หัวข้อนี้ดูจะเป็นที่สนอกสนใจในออฟฟิศ เพราะแคทไม่ใช่คนไกลตัวสำหรับพวกเขา จนกึงทุกวันนี้แคทเธอรีนก็ยังเป็นพรีเซนเตอร์ให้แบรนด์ WW (Working Woman) อยู่





“โอ้โห คบกันมาตั้งแต่สมัยไฮสคูลแบบนี้ไม่อึดอัดแย่เหรอคะเนี่ย” พิธีกรสาวถามซุเปอร์โมเดลคนดังที่นั่งคลี่ยิ้มไม่มากไปไม่น้อยไป แสดงให้เห็นว่าหล่อนคุ้นชินกับการออกหน้ากล้องขนาดไหน

“ก็มีบ้างค่ะ แต่ทั้งแรงกดดันจากสังคม ทั้งเรื่องทางบ้าน ก็เลยจำเป็นต้องปิดบังมาตลอด”

“แล้วนึกยังไงถึงตัดสินใจเปิดตัวคะ” พิธีกรสาวผมแดงถามต่อ หากจำไม่ผิดหล่อนยังเป็นนักข่าวสายบันเทิงอีกด้วย

“เพราะฉันอยากส่งข้อความออกไปให้ทุกคนที่รักร่วมเพศเหมือนกับฉันค่ะ ว่ามันไม่ใช่เรื่องผิด เราไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน และฉันก็ภูมิใจในตัวคนรักของฉันมากๆ จนไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมต้องเก็บเรื่องของเธอไว้เป็นความลับค่ะ”





หญิงสาวผมบรูเนตต์เผยยิ้มเห็นฟัน ดูมีความสุขไม่น้อยเวลาได้พูดถึงแอชลีย์





“โอ้โห--” ยังไม่ทันฟังนักข่าวสาวจบประโยค สองขาเขาก็พาตนเองออกจากบริเวณนั้นจนไม่ได้ยินส่วนที่เหลือของบทสัมภาษณ์แล้ว





แดริล เชน ไม่ได้กลับออฟฟิศของตนเอง เขากลับเข้าลิฟต์กดขึ้นชั้นบน ขึ้นดาดฟ้าไปจุดบุหรี่สูบ… ปล่อยควันสีเทาให้ลายขึ้นฟ้าจนกลมกลืนไปกับสีเทาของมลพิษในเมืองใหญ่... เขามีเรื่องให้ต้องคิด





ในจังหวะนั้นที่ได้ยินเสียงริงโทนดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือ หยิบมันขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเบอร์จากที่บ้าน ซึ่งเขาไม่อยากจะเห็นมากที่สุดในตอนนี้





ชายหนุ่มมองมันอยู่ครู่หนึ่ง…





ถึงเวลาต้องเผชิญหน้ากับความจริง สิบสองปีมันนานเกินไปแล้ว





“... ครับ แดริลพูดอยู่” ชายหนุ่มกดรับสาย ยกสมาร์ทโฟนขึ้นแนบหู

“แกเห็นสัมภาษณ์รายการตอนเช้าหรือยัง นี่มันเรื่องอะไรกัน เพื่อนบ้านเขาพูดกันให้ทั่ว พวกแกเล่นอะไรกันอยู่ บอกฉันสิว่านี่มันแค่เรื่องลวงโลกที่พวกแกกุขึ้นเพื่อขายของเฉยๆ ” ยังไม่ทันจะได้ทักทายก็เจอประโยคยาวที่พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะบีบคั้น





อาจจะเป็นเพราะแถวบ้านล้วนคาดหวังงานวิวาห์ระหว่างเขากับแคทเธอรีนในอีกไม่นาน… พอเกิดข่าวใหญ่แบบนี้เข้าเลยวุ่นวายกันไปหมด





“เป็นเรื่องจริงครับพ่อ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “แคทเป็นเลสเบี้ยน”

“ว่าไงนะ!!” เสียงนั่นแทบจะเป็นเสียงตะคอก “แกโดนแม่นั่นหลอกมาตลอดงั้นเรอะ!! แบบนี้แกจะยอมไม่ได้นะ”





แดริลฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักใจ… ดวงตาสีฟ้าหลุบลงต่ำ รู้สึกเหมือนฝันร้ายที่สุดในชีวิตกำลังดำเนินไป ณ ขณะนี้





“พ่อ….”

“แกต้องออกสื่อบ้าง! ประจานเลสเบี้ยนน่ารังเกียจนั่นให้โลกรู้ธาตุแท้ของคนพวกนี้”

“พ่อครับ…”

“อะไร!!”

“..... ผมเป็นเกย์”





สิ่งที่ตามมาคือความเงียบอันน่าอึดอัด บุหรี่ที่ปลายนิ้วยังคงมอดไหม้กลืนกินกระดาษขาวไปเรื่อยๆ





“ชีวิตนี้… แกไม่ต้องโผล่หน้ากลับมาให้ฉันเห็นอีก”





สายถูกตัด…





บุหรี่ที่เหลือน้อยกว่าครึ่งมวนค่อยๆ ร่วงลงพื้น เปลวไฟที่ลามเลียเผาโดนนิ้วชี้ แต่แดริลเชนไม่ได้แสดงสีหน้าเจ็บปวดใด

เขายังคงยืนเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ตรงนั้นอย่างไม่เข้าใจ… ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาพยายามจะเป็นประธานนักเรียน เข้ามหาวิทยาลัยไอวี่ลีก มุ่งมั่นกับหน้าที่การงาน และเป็นคนรักที่ดี





….แต่โลกก็เหมือนจะพังลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แค่เพราะว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง

จะต้องผิดหวังกับชีวิตอีกกี่ครั้งมันถึงจะจบ?





แดริลไม่ได้ร้องไห้ เขาก็แค่ยืนนิ่งเป็นเหมือนรูปปั้นอยู่ตรงนั้น สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ และค่อยๆ ผ่อนมันออกมา ปลอบตนเองให้ใจเย็น และนึกทบทวนเรื่องงานที่ต้องทำ





จะทำอย่างไรได้ ก็มีแต่ต้องประคองตัวเองให้ผ่านพ้นวันนี้ไปได้เท่านั้นเอง...





เขารับปากมิสเวสเอาไว้แล้ว… ฉะนั้นก็มีแต่ต้องทำให้ได้





คนเป็นหัวหน้างาน จะอ่อนแอให้ลูกน้องเห็นได้อย่างไร? … หากปล่อยให้เรื่องส่วนตัวมาทำให้งานเสีย แล้วจะยังมีใครมาเคารพเชื่อใจกันอีก?





แดริล เชนเสยผมขึ้น จัดเสื้อผ้าให้ดี เหยียบก้นบุหรี่บนฟื้นให้ไฟมอดดับ เก็บเศษซากที่แตกของตนเองและประคองมันกลับไปเพื่อเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า’ชีวิต’…





……………………





ตีสองวันเสาร์ วินเซนต์ ซัมเมอร์ ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กเข้ามาในอพาร์ทเมนต์ของคนรักเก่า ในกระเป๋ากางเกงยังยัดตั๋วเครื่องบินติดมาด้วย...





ชายหนุ่มผมดำยังไม่นอน สองนิ้วคีบบุหรี่สูบอยู่นอกระเบียง ริมฝีปากได้รูปพ่นควันสีขุ่นออกจากปาก มองมันค่อยๆ จางลงและกลมกลืนไปกับอากาศที่เต็มไปด้วยมลภาวะของนิวยอร์ก





ดวงตามองตึกที่เรียงรายกันอย่างไม่เป็นระเบียบอย่างเลื่อนลอย กระทั่งร่างที่สูงใหญ่กว่ามายืนข้างๆ ถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่ามีคน





ชายหนุ่มผมดำปล่อยผมลง สวมเสื้อเชิ้ตไม่เก็บชายพับแขนเสื้อขึ้น ปล่อยตัวตามสบายจนผิดวิสัย ยืนพิงกำแพงของระเบียงด้านนอก ทั้งปากยังคาบบุหรี่

“วินซ์…” เรียกชื่อคนที่เพิ่งกลับมาแบบไม่ประหลาดใจนัก เพราะวินเซนต์ส่งข้อความมาล่วงหน้าตั้งแต่ตอนที่อยู่สนามบินแล้ว…





ร่างสูงใหญ่วางมือข้างหนึ่งลงบนกำแพง ก้มลงมองแดริลทั้งยกยิ้มขำ





“สูบบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพ” คนเพิ่งมากระซิบเบา สองนิ้วคีบมวนยาสูบที่ยังติดไฟออกจากปากเจ้าของห้อง แล้วแนบจูบลงไปแทน





ริมฝีปากร้อนที่แนบทับเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายที่เย็นเฉียบจากลมกลางคืน แดริลเผยอปาก ปล่อยให้ลิ้นของอีกฝ่ายแทรกเข้ารุกราน เกี่ยวกระหวัดจนหลุดเสียงครางในลำคอแผ่ว





“สูบฉันแทน” วินเซนต์ผละออกเล็กน้อย กระซิบถ้อยคำหยอกล้อทั้งที่ยังไม่ออกห่างไปไหน แต่อีกคนกลับไม่หือไม่อือ “อะไรกัน ทำไมวันนี้ว่าง่าย นายไม่ได้เมาใช่ไหม? ”

“เปล่า…”

“ฉันรีบกลับมาไวที่สุดแล้ว… เกิดเรื่องอะไรอีก? ”

“พ่อฉันรู้แล้ว”





วินเซนต์ขยี้ก้นบุหรี่กับที่เขี่ยซึ่งวางไว้ไม่ไกลเท่าใดนัก ก่อนจะดึงร่างที่บางกว่าเข้ามากอดหลวมๆ





“อืม”

“เขาไม่อยากเห็นหน้าฉันอีกแล้ว”

“อืม”

“...ที่ผ่านมาจะทำดีชดเชยให้ยังไงมันก็ไม่เคยพอ… แล้วแค่เพราะฉันเป็นเกย์…”

“...อืม” มือใหญ่ลูบเรือนผมสีดำเบามือเหมือนปลอบเด็ก

“นายก็เหมือนกัน… นายก็ทิ้งฉันด้วยเหตุผลเดียวกัน” มือขึ้นหนึ่งยกขึ้นวางบนหน้าผากจนปิดตาสีฟ้าไปข้างหนึ่ง แดริลรู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังควบคุมอารมณ์ไม่ได้ แต่เขาก็ห้ามมันไม่ได้ “...เพราะฉันเป็นเกย์… แล้วตอนนี้ทุกคนจะมาพูดว่ามันไม่ใช่เรื่องผิด มันไม่ง่ายไปรึไง! ”





น้ำเสียงแตกพร่าเบาๆ คนพูดก้มหน้าลงพลางส่ายหัว





“...เรื่องนั้นฉันผิดเอง ฉันขอโทษ” วินเซนต์ยังคงกอดปลอบคนพูดเอาไว้แนบอก ถึงอีกฝ่ายจะพยายามสลัดให้หลุดก็ไม่ยอมปล่อยอยู่ดี

“ที่แย่ที่สุดคือฉันเข้าใจเหตุผลของนาย… แต่ฉันก็เฝ้าถามว่าแล้วฉันผิดอะไร ซึ่งคำตอบเดียวที่ได้ก็คือฉันผิดที่เป็นเกย์” แดริลเริ่มหัวเราะเบา ปลายหางตาเอ่อคลอด้วยหยดน้ำอุ่น “ที่แย่อีกคือฉันรักนายมากไป… ก็เลยไม่เคยจะโยนความผิดให้นายได้ มันคงง่ายกว่านี้รู้ไหม ถ้าฉันสามารถคิดว่านายมันแค่ไอ้สารเลวสมควรตายคนนึง”

“ฉันมันก็เป็นไอ้สารเลวสมควรตายจริงๆ” วินเซนต์จูบเบาที่ขมับของอีกฝ่าย ยอมรับความจริงทั้งสีหน้าไม่เปลี่ยน “แต่พูดตามตรงฉันชอบนายที่เป็นแบบนี้…”





“...แบบไหนกัน”

“ไม่เรียกร้อง ไม่พยายามชี้นิ้วหาคนผิด มีเหตุผล… แล้วก็ให้อภัยฉันเสมอ…. หลังคบกับนายแล้วฉันก็ทนคนอื่นไม่ได้พอกัน โดนนายตามใจจนเสียคนไปนานแล้ว” นักกีฬาหนุ่มวางคางลงบนไหล่ของร่างที่เล็กกว่า ถอนหายใจออกมายาวๆ “ฉันจะไม่พูดบ่อยๆ หรอกนะ ฟังดีๆ ล่ะ…”





“ฉันรักนาย”





แดริลถึงกับนิ่งไป… เพราะประโยคนี้ อีกฝ่ายไม่เคยพูดมาก่อน





คบกันสองปีกว่า… โดนลากขึ้นเตียงไม่รู้กี่ครั้ง จนกระทั่งกลับมาพบกันใหม่ ก็เพิ่งจะได้ยินจากปากของวินเซนต์วันนี้ เหมือนลำดับความสัมพันธ์อะไรหลายๆ อย่างมันจะสลับกันแปลกๆ ... แต่อันที่จริงตัวเขาเองก็ใช่จะพูดเยอะนัก





นั่นทำให้ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้… เพราะไหนๆ ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว...



“...นายวางแผนจะเกษียณเมื่อไหร่?” แดริลเอ่ยปากถาม

“สามสิบ… ช่วงนี้ฉันเตรียมเงินกับเตรียมเริ่มอาชีพด้านวงการบันเทิงอยู่ ขอเวลาฉันอีกสองปี… ฉันยังอยากทิ้งชื่อไว้ให้เป็นตำนานของวงการอเมริกันฟุตบอลก่อนจะบอกลามัน”

“... อย่างนั้นอีกสองปีเราค่อยกลับมาคบกัน”





วินเซนต์ยิ้มกว้างจนน่าหมั่นไส้…





“นายรับปาก?” วินซ์

“...มาถึงขั้นนี้แล้วฉันก็รู้สึกว่าตอนนี้ก็เหมือนคบกันอยู่ ต้องรับปากจริงๆ เหรอ?” …. แดริลมองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์… ทั้งหน้าด้านมานอนค้าง เอากุญแจสำรองไปไม่คืน เผลอเป็นลวนลาม….





“แปลว่านายจะเลิกไปเดทกับคนที่เลี้ยงกาแฟนายคนนั้นแล้วใช่ไหม”





ฉันไม่เคยเดทกับหมอนั่น… และมันไม่มีอะไรตั้งแต่แรกนอกจากการคุยถกกันเรื่องวรรณกรรมยุคคลาสสิค…….

แดริลคิดในใจ… แต่ก็ตัดสินใจไม่พูดออกไป

“เขาเป็นแค่เพื่อนคนนึง… เหมือนกับลี กับมาร์คัส” แดริล

“ที่นายเจอผ่านแอปหาคู่? ” วินซ์

“แอปพวกนี้บางทีก็ใช้หาเพื่อนได้” แดริล

“ถ้าฉันโหลดมาใช้ ‘หาเพื่อน’ บ้าง? ” วินซ์

“..... นึกอยากคืนกุญแจอพาร์ทเมนต์ฉันแล้วใช่ไหม วินเซนต์” แดริล





วินเซนต์หัวเราะ ก้มลงพรมจูบบนใบหน้าที่มีสีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน





“เพื่อนฉันเยอะแล้ว… แต่นายแน่ใจจริงๆ นะว่าจะรอสองปี? ”

“อืม… ฉันสบายใจกว่า”

“รู้อะไรไหม… ฉันไม่ใช่คนขี้แพ้ไม่ได้เรื่องขนาดที่จะล้มเหลวหรือผิดหวังกับอะไรแล้วโทษนายหรอก… กังวลให้มันน้อยกว่านี้หน่อย สารเลวกับขี้แพ้มันไม่เหมือนกันนะ”

“....อืม” แดริลวางหน้าผากลงบนไหล่ของอีกคน หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้ากับหลายๆ เรื่อง “จะพยายาม”

“พานายไปอาบน้ำนอนดีกว่า” ไม่พูดเปล่ามือสากกร้านยังเลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ บีบบริเวณสะโพกจนเจ้าของร่างสะดุ้ง แล้วถึงจับอุ้มตัวลอยพาเข้าอพาร์ทเมนต์







คนถูกอุ้มบ่นเบา แต่ไม่กล้าขัดขืนเพราะกลัวจะได้ร่วงลงกระแทกอะไรสักอย่างในห้อง พอลงยืนกับพื้นได้แล้วชายหนุ่มก็พึมพำอะไรบางอย่าง เสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน





“หืม? นายว่าไงนะ” วินเซนต์เลิกคิ้วถามหน้าซื่อๆ คนที่ไม่อยากพูดซ้ำเริ่มจะแก้วขึ้นสี เบือนมองไปทางอื่น





“...บอกว่าคืนนี้ไม่ต้องนอนโซฟาแล้วก็ได้...”



---------------------------------

สวัสดีค่ะ ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะคะ (; v ; / เราได้ไปแก้ใส่NCเพิ่มแล้วค่ะ (...) /เด๋ออยู่ตั้งนาน

สำหรับติดตามข่าวและภาพประกอบนิยายสามารถติดตามได้ที่ช่องทางทวิตเตอร์ @anonymmeow กับเฟสบุคนะคะ https://www.facebook.com/anonymouslycatwrite/?ref=br_rs (https://www.facebook.com/anonymouslycatwrite/?ref=br_rs)

หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 13 [15/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-12-2018 21:27:08
 o13
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 14 [18/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 30-12-2018 17:35:23
บทที่ 15 Acceptance (1/2)

   หลังเซ็นสัญญากันสองฝ่าย แคมเปญก็เป็นอันเริ่ม เดือนที่ผ่านมาทั้งเดือนจัดว่าเป็นช่วงวุ่นวายในที่ทำงาน

   เดดไลน์อีเวนท์ใหญ่นับถอยหลังวันเข้าไปทุกที จนกระทั่งอาทิตย์หน้าก็จะถึงวันดีเดย์ ไม่แปลกว่าทำไมช่วงนี้บิลมีท่าทีคร่ำเครียดเป็นพิเศษ แดริลเองก็วุ่นกับการดีลงานพีอาร์พอๆกัน งานของบิลมหาศาลเกินไปแล้วจนเขาต้องแบ่งมาทำส่วนหนึ่ง

   หลังผ่านไปสองอาทิตย์จากการประกาศขอแต่งงานของแคทเธอรีน สายตาประหลาดที่มองมาทางชายหนุ่มก็เริ่มลดน้อยลง และเขาปฏิเสธที่จะตอบแทบทุกคำถามที่โดนถาม ถ้าไม่บ่ายเบี่ยงไปเรื่องงาน ก็แค่บอกไปตรงๆว่าไม่สะดวกใจที่จะตอบ แค่นี้ก็ไม่มีใครกล้าเซ้าซี้แล้ว

   แต่เสียงเล่าลือกระซิบกระซาบเรื่องที่เขาเป็นเกย์ก็ยังคงอยู่ และดังให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ… แต่ชายหนุ่มเลือกที่จะเมินเฉยต่อมัน

   และเพราะแคมเปญเริ่มแล้ว วินเซนต์ก็ดูวุ่นวายมากขึ้นพอสมควรในช่วงนี้เพราะต้องเข้าสตูดิโอถ่ายแบบโฆษณา และวางแพลนการเล่นเกมกับทีมและเกรกเกอรี่ นอกจากแคมเปญนี้แล้วเจ้าตัวก็ยังไปรับงานมาอีกมากมาย… รวมถึงถ่ายแบบกางเกงในเซตสอง...

   ชายหนุ่มเหม่อมองเพดานอย่างไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี วินเซนต์ก็เป็นคนหน้าด้านตามประสาวินเซนต์ ให้ขายอะไรที่มันหนักกว่านี้อีกฝ่ายก็คงไม่อายหรอก

   ยิ่งมีไอดอลเป็นเทอรี่ ครูวส์ ที่ขายโอล์ดสไปซ์นั่นแล้วด้วย…

   หลังจากกลับมาจากการออกไปกินข้าวกับทีม ชายหนุ่มยังมีเวลาพักเที่ยงเหลือเล็กน้อยก็เลื่อนมือถือไปเรื่อยเปื่อย เข้าเว็บอีคอมเมิร์ซชื่อดังที่ตนเองเคยทำงานเพื่อหาโซฟาดีๆสักตัว… แล้วสุดท้ายก็เปลี่ยนใจไปดูอิเกียแทน

   โซฟาปัจจุบันเก่าและเล็กเกินไปแล้ว ทางที่ดีควรหาเป็นโซฟาเบ้ดตัวใหญ่ๆที่ยาวสักสองเมตร…

   จังหวะนั้นเองที่เดวิด โจนส์ มาเคาะประตูเรียก.. ชายหนุ่มที่วันนี้แต่ตัวเนี้ยบเป็นพิเศษโผล่หน้ามาทักด้วยน้ำเสียงและท่าทางปกติ

   “นายได้ข่าวเรื่องที่นักลงทุน ‘คนนั้น’ มาแล้วใช่ไหม” แดริลเงยหน้าขึ้นจากภาพขอโซฟาเบ้ดสีเทาที่ดูจะนอนสบาย ขึ้นมามองคนทัก
   “ครับ นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่วันนี้คุณสบายตาเป็นพิเศษนี่…” พูดจบแล้วก็กวาดสายตาไล่มองตั้งแต่ทรงผมที่จัดด้วยเจล ชุดสูทที่แม้จะราคาไม่แพงแต่พอเดวิดใส่แล้วมันก็ดูแพง รองเท้าหนังขัดเงามันวับ กับนาฬิการาคากลางๆค่อนไปทางสูง และเนกไทที่เป็นลายปกติ ไม่ใช่ลายเพี้ยนๆแบบที่ปกติเจ้าตัวชอบใส่
   “เฮ้ บอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันชอบสาวๆเท่านั้น” เดวิดถูกมองไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้านานเข้าก็ดูทำท่าไม่ถูกอยู่บ้าง ถึงจะไม่ได้เหยียดเพศแต่มันก็มีการแสดงออกบางอย่างที่แตกต่างออกไปอยู่ดี..
   “ครับ ผมก็ชอบคนที่สระผมเป็นประจำเหมือนกัน” แดริลยิ้มเย็น ดูไม่ออกก็แย่เต็มทนแล้วว่าคุณน่ะมันชายแท้ทั้งแท่ง…
   “อะไรกัน ฉันช่วยโลกโดยการสระผมให้น้อยลง สารเคมีจะได้ปนเปื้อนสภาพแวดล้อมน้อยลงอยู่นะ”
   … ข้ออ้างชัดๆเลยครับ

   “เรื่องนั้นน่ะช่างมันแล้วกันครับ… คุณมาถามแบบนี้มีอะไรรึเปล่า” คิ้วสีดำเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงตั้งคำถาม
   “จริงๆก็ไม่มีอะไรมาก ยังไงซะเขาก็นับว่าเป็นคนดัง… ในเรื่องฉาวๆน่ะนะ ก็พอรู้หรอกว่าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทแม่เราด้วย แต่ก็ไม่เคยเจอ เลยจะมาถามนายนี่ล่ะว่าเคยเจอไหม” เดวิดถามจบ CMOหนุ่มก็ลูบคางครุ่นคิดสักพัก
   “อันที่จริงตอนฝึกงานก็เคยเห็นอยู่ครั้งเดียวครับ เป็นคนที่ทำให้คิดว่า… สวยดี… แต่ไม่น่าเข้าใกล้เท่าไหร่” เห็นเบอร์หนึ่งฝ่ายไอทีทำหน้าว่างเปล่าก็รีบเสริมทันที... “สวยแบบผู้ชายน่ะครับ คุณอาจจะไม่เข้าใจ”
   “...ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก ถึงวันๆฉันจะฝังหัวอยู่กับคอมพ์ ชั่วดียังไงฉันก็ทำงานบริษัทแฟชั่นนะ”
   “....ครับ” น่้ำเสียงและสีหน้าของแดริลมีแต่ความไม่ค่อยจะเชื่อนัก “แต่เหมือนมาคราวนี้มิสวีบอกรับมือคนเดียวได้ รีพอร์ทก็ยังใช้ของสิ้นเดือนที่แล้ว พวกเราคงไม่ต้องคุยหรอกมั้งครับ”
   “อันที่จริงที่ถามเนี่ย คือ… รู้แล้วนายก็อย่าไปบอกใครล่ะ คือญาติฉัน… ลูกพี่ลูกน้องน่ะ ทำงานให้กับคนคนนั้น เป็นเลขาน่ะ”
   
   แดริลเลิกคิ้วเล็กน้อย ก็เหมือนจะเคยเห็นชายร่างผอมสูงใส่แว่นเดินเร่งๆตามอยู่หรอกนะ…

    “เป็นห่วงสินะครับ?” พูดออกไปแล้วผู้ฟังก็พยักหน้ายอมรับ
   “นายก็รู้ ว่าคนคนนั้นน่ะข่าวฉาวๆเยอะจะตายไป”

   ...อืม ก็ใช่ ตั้งแต่นอนกับผู้หญิงผู้ชายไม่เลือกยันลือกันว่าเป็นเอดส์..
   
   “ไม่ลองโทรคุยกับญาติดูล่ะครับ”
   “ที่บ้านเคยคุยด้วยแล้ว เจ้าตัวก็บอกว่ารับมือได้…” แค่ดูท่าก็รู้แล้วว่าคุณโจนส์ไม่ค่อยเชื่อนัก

   บ่นขิงข่าอีกเล็กน้อยเดวิด โจนส์ ก็ยอมออกจากห้องทำงานเขาเพื่อไปทำงานต่อ แดริลไม่ได้ใส่ใจอะไรเรื่องที่นักลงทุนคนสำคัญเดินทางมาเยี่ยมเยือนมากนัก แม้จะนึกประหลาดใจอยู่บ้างก็ตาม

   ช่วงบ่ายเป็นเวลาพัก ชายหนุ่มขึ้นดาดฟ้าไปสูบบุหรี่เพิ่มมลพิษให้สังคมและคลายเครียดเช่นเคย… ช่วงนี้เวลาอยู่บ้านตัวเองเขาไม่สามารถจะสูบได้เพราะคนที่ก็รู้ๆกันอยู่ว่าใคร หยิบซองบุหรี่กับไฟแช็กออกมาทีไรก็จะลงเอยที่ปากเกือบจะระบม

อันที่จริงเขาก็แค่สูบเวลาเครียดและเวลางานเดือดเท่านั้นเอง.. ทั้งยังออกกำลังสม่ำเสมอและระวังเรื่องอาหาร แต่วินเซนต์เหมือนจะบ้าสุขภาพยิ่งกว่าเสียอีก…

   แก้มขึ้นสีเล็กน้อยขณะที่จุดบุหรี่สูบ เหม่อมองบิลบอร์ดต่างๆที่สามารถเห็นได้จากบนดาดฟ้า จนกระทั่งหูได้ยินเสียงประตูด้านหลัง ไม่ใช่เสียงดังปึงปัง แต่ด้วยความที่บานประตูมันเก่าจนสนิมขึ้นแล้ว เปิดทีก็จะได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าด

   แดริลไม่ได้มีท่าทางแปลกใจ ปกติดาดฟ้าตึกก็ถูกใช้เป็นโซนสูบบุหรี่อยู่แล้ว ถึงลมพัดแรงหน่อยแต่ยืนหลบๆหลังแทงก์น้ำก็พอจะช่วยได้อยู่...
   คนที่เพิ่งมาใหม่เดินมายืนข้างๆ ร่างที่ค่อนข้างผอมสวมโค้ตยาวมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ล้วงกล่องบุหรี่ยี่ห้อแพงออกมา ก้มลงดึงมวนยาสูบด้วยริมฝีปากออกมาจากซอง

   มือสีซีดตบตามกระเป๋าเสื้อโค้ตเพื่อหาบางสิ่ง เหมือนจะหาไม่เจอจึงหันมาหาคนข้างๆแทน...
   “สายัณห์สวัสดิ์… เธอพอมีไฟแช็กให้ฉันยืมบ้างไหม?” เสียงนั้นค่อนข้างสบายหู ฟังดูเนิบนาบไม่รีบร้อนอยู่ในที ตอนแรกแดริลยังไม่ได้ไปหันมองว่าผู้มาใหม่คือใคร แค่พอเห็นเท่านั้นก็แทบจะสะดุ้ง

คนคนนั้นคือนักลงทุนรายใหญ่ของบริษัทคนเดียวกับที่เดวิดเพิ่งพูดถึงไปเมื่อครู่… คุณแบล็ควู้ดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นที่รักของนักข่าวคอลัมน์ซุบซิบคนดัง โดยเฉพาะพวกข่าวฉาวๆดูเหมือนจะไม่เคยไกลตัวชายคนนี้เลย แถมนักข่าวถามอะไรเจ้าตัวก็ไม่เคยปฏิเสธ

   ทำผู้หญิงท้อง?
   ก็อาจจะ ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ฉันคุมกำเนิดตลอดนะ

   เป็นเอดส์?
   ไม่รู้สิให้ฉันไปถามหมอก่อน

   ดื่มเลือด?
   รสชาติมันก็มีกลิ่นเหล็กหน่อยๆ...
   
   ควงผู้ชาย?
   อืม ผู้ชายก็ไม่เลวหรอก

   และเพราะชอบตอบอะไรแบบนี้ ข่าวลือก็ยิ่งโหมกระหน่ำเป็นอะไรแปลกพิสดารตั้งแต่เป็นคันนิบาลยันมีลูกลับๆอยู่ในสำนักนางชี

   แต่เจ้าตัวก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจ ตอบคำถามแบบที่ทั้งไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เดินหน้าออกงานสังคมต่อไปแบบไม่แคร์สื่อ… ตามประสาคนมีเงินที่จะทำอะไรก็ได้

   ใบหน้าที่สวยในแบบของผู้ชายกับการทำท่าเรียบเรื่อยราวว่าเขามีเวลาทั้งโลกอยู่ในกำมือทำให้ดูน่าอิจฉา หากแต่แม้จะกำลังยิ้ม ทว่าบรรยากาศกลับไม่ชวนให้รู้สึกอุ่นใจน่าเข้าใกล้สักนิดเดียว

   “...มีครับ” เห็นคาบบุหรี่ที่จุดแล้วกันอยู่โต้งๆแบบนี้ คำถามนั้นไม่ใช่ต้องการคำตอบ แต่เป็นการขอยืมต่างหาก แดริลล้วงกระเป๋าเสื้อ หยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดยื่นให้อีกฝ่าย ที่ก็ก้มตัวลงน้อยๆเพื่อให้ปลายบุหรี่แตะเปลวไฟ

ชายหนุ่มยืนมองอีกฝ่าย แพขนตาสีทองยาวต้องลมไหวน้อยๆ ผมสีแพลตินั่มบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าจาง ประกอบกับผิวที่ซีดคล้ายไม่ค่อยได้ต้องแดดดูตัดกับสีดำของชุดที่สวมใส่จนเห็นได้ชัด จู่ๆดวงตาสีฟ้าจางก็เหลือบมองขึ้นมา ทำเอาแดริลที่กำลังพิจารณามองอีกฝ่ายถึงกับสะดุ้งไปเล็กน้อย

“มีอะไรติดหน้าฉันหรือไง คุณเชน?” คุณแบล็ควู้ดยกยิ้มขำ ในดวงตาคู่โตแฝงแววหยอกล้อขบขัน
“...เปล่าครับ” แดริล เชน ชักมือกลับ เก็บไฟแช็ก แล้วก็ต้องเลิกคิ้วประหลาดใจเล็กน้อยกับบางอย่างในประโยคเมื่อครู่ “คุณรู้ชื่อผมด้วยรึครับ”
“อืม… ถ้าฉันจะไม่รู้อะไรเลยในบริษัทที่ตัวเองลงทุนคงจะประหลาดน่าดูนะว่าไหม?” นิ้วเรียวยาวคีบบุหรี่จรดริมฝีปากได้รูป ชายหนุ่มหลุบเปลือกตาลงเล็กน้อยจนแพนขนตายาวแนบกับแก้ม และระบายควันออกมาอย่างช้าๆคล้ายกำลังดื่มด่ำกับมัน
คุณแบล็ควู้ดดูไม่รีบร้อน มุมปากค่อยๆเหยียดรอยยิ้ม ประกอบกับสายตาแล้วดูคล้ายแมวที่กำลังหยอกหนู

“เธอเองก็คงรู้จักฉันใช่ไหม?”

คนคนนี้ทำให้แดริลเกร็งไม่น้อย หนึ่งคือเพราะสถานะนักลงทุนที่นับว่าเป็นคนสำคัญสำหรับบริษัท และอีกส่วนก็เพราะข่าวมากมายที่รายล้อมคนคนนี้… อีกทั้งหน้าตาด้วย
ตัวชายหนุ่มไม่ได้นิยมแบบคุณแบล็ควู้ด แต่หากก่อนหน้านี้มาพบกันในบาร์เหล้าและอีกฝ่ายมาชวนกลับด้วยกัน หากมองกันแค่หน้าตาก็เป็นไปได้ว่าเขาจะไป….

 “รู้สิครับ… ตอนประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อหลายปีก่อนผมก็เคยเห็นคุณครับ คุณแบล็ควู้ด” CMOหนุ่มยิ้มรักษามารยาท ค่อยๆสูบบุหรี่ของตนไปโดยไม่คิดจะรีบขอตัวไปไหน

ชายหนุ่มผมทองตอบรับเบาในลำคอ สูดควันบุหรี่อีกหนึ่งรอบ เงยหน้าขึ้นฟ้าระบายควันสีจางออกจากริมฝีปาก

อีกฝ่ายอายุมากกว่าแดริลหลายปี ทว่ารูปร่างหน้าตากลับเหมือนคนยังไม่สามสิบ ดูแทบไม่เปลี่ยนจากในปีนั้นที่เขาเคยเห็นจากที่ไกลๆสมัยยังเป็นเด็กฝึกงาน…

ใบหน้านั้นค่อยๆเบือนมองกลับมา ดวงตาสีอ่อนยังคงไว้ซึ่งแววขบขัน ปล่อยให้ระหว่างทั้งคู่เข้าสู่ความเงียบ ทว่าไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัด ชายหนุ่มผมทองวางท่าทีสบายๆและเป็นธรรมชาติ ละเลียดสูบบุหรี่ของตนไปแบบไม่รีบร้อน

ผ่านไปหลายนาที กว่าที่เขาจะยอมทำลายความเงียบ

“... ฉันจะบอกอะไรดีๆให้ฟังเรื่องหนึ่งดีไหม?” คนพูดเหยียดยิ้มมุมปาก ยกมือขึ้นกระดิกสองนิ้วเป็นเชิงส่งสัญญาณให้ขยับเข้าใกล้
“ครับ?” แดริลคล้ายโดนสายตานั่นสะกด ถึงจะดูไม่ค่อยไว้วางใจแต่ก็นึกสงสัยว่ามันเรื่องอะไรกัน เขาก้าวเข้าไปใกล้ก้าวหนึ่ง รอฟังว่ามันเรื่องอะไร..
แบล็ควู้ดโน้มตัวเล็กน้อย กระซิบเสียงเบาที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงขบขัน

“พี่ชายเธอน่ะ--”

ยังไม่ทันจบประโยค ประตูดาดฟ้าขึ้นสนิมก็ถูกเหวี่ยงเปิดออกเสียงดังเสียก่อน จนแดริลถึงกับสะดุ้งหันไปมองตามเสียงดังกล่าว

…. และคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือพี่ชายที่ไม่กลับบ้านกลับช่องและหาตัวลำบากคนนั้นของเขา… ซีมัส เชน ที่ใส่สูทดำกับเนกไทแบบไม่ค่อยจะเข้ากันเลยสักนิด หรืออาจเพราะเขาเห็นพี่ชายในชุดทหารมากไปเลยไม่ชินกับสูทก็เป็นได้

ชายหนุ่มอดีตทหารผ่านศึกหอบเบา ดูท่าทางคล้ายรีบวิ่งมามากๆ….

“คุณแบล็ควู้ด!!” ท่าทางของพี่ชายเหมือนจะฆ่าคนได้ แต่เจ้าชอบชื่อกลับหัวเราะเบาๆเหมือนกำลังสนุก
“... นั่นไง มานั่นแล้ว”

แดริลเพียงยืนมองสมาชิกในครอบครัวที่ไม่พบกันหลายปีปริบๆ ที่ผ่านมาก็มีมาแค่โปสต์การ์ดกับจดหมาย… ตั้งแต่ที่พี่ทะเลาะกับพ่อตอนจะออกจากราชการทหาร เขาก็หายหัวไปเลยแถมติดต่อได้ยากมาก

…..แล้วทำไมซีมัสถึงมาอยู่นี่?

ชายหนุ่มเพียงมองสองคนสลับกันอย่างงุนงง พี่ชายเดินย่ำเท้าเข้ามาจากนั้นก็ดึงตัวเขาออกห่างจากคุณแบล็ควู้ด

“...เขาไม่ได้ทำอะไรแปลกๆกับนายใช่ไหม”
 “.....ก็เปล่า… แล้วพี่มาอยู่นี่ได้ไง” คนงงก็ยังคงงง มองสีหน้าของเศรษฐีหนุ่มที่ยืนกลั้นขำแล้วก็คิดว่าพวกเขาน่าจะเกี่ยวข้องกัน
แล้วซีมัสผู้แหยงเกย์ไปเกี่ยวข้องกับนักลงทุนของบริษัทที่มีข่าวฉาวเรื่องมั่วกับทั้งชายทั้งหญิงไม่เลือกได้อย่างไรกัน??

   “ฉันปล่อยให้พวกเธอคุยกันก็แล้วกัน” สองนิ้วปล่อยบุหรี่ราคาแพงที่เพิ่งสูบไปได้ไม่เท่าไหร่ลงพื้น เหยียบให้ไฟมอดอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นมือข้างหนึ่งก็สอดเข้าไปหลังต้นคอของคนที่สูงกว่า ดึงซีมัสลงมาแนบจูบเบา “ฉันจะไปรอที่รถ”

   ชายผมทองกระซิบเบา ในดวงตายังคงเต็มไปด้วยแววขบขัน จากนั้นเขาก็เดินจากไปราวว่าเมื่อครู่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
   คนที่เบิกตาโพลงราวว่าโลกจะถล่มคือแดริล… เมื่อมองปฏิกิริยาของพี่ชายที่เพียงลูบแก้มเบาๆ สีหน้าเหมือนจะขัดเขินอยู่เล็กน้อยแต่ก็ดีใจอยู่ในที… นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นฟะเนี่ย!?!?!
   นิ้วชี้ยกขึ้นทั้งมือสั้น ริมฝีปากอ้าออก แล้วหุบ อ้าออก แล้วหุบแบบพูดอะไรไม่ออก หากเป็นพี่ชายที่คนเดียวกับที่เขารู้จัก ต้องตั๊นหน้าผู้ชายที่มาจูบแบบนี้ไปแล้ว

   “...พี่เป็นใคร นี่ไม่ใช่พี่… พระเจ้า เอาพี่ชายผมคืนมา” แดริลแทบจะหลุดมาดและโวยวายออกมา ตลอดชีวิตที่ผ่านมายี่สิบแปดปีเข้าใจว่าพี่ไม่โอเคกับรักร่วมเพศมาตลอด หัวใจน้อยๆรู้สึกได้รับการกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวงมาก

   “แดริล… นายต้องใจเย็นๆก่อน” พี่ชายจับไหล่ของคนกำลังช็อกเขย่าเบาๆ “นี่ฉันเอง ซีมัส”
   “....... แต่ซีมัสไม่ชอบผู้ชาย” พูดด้วยสีหน้าอย่างกับเห็นผี
   “เอ่อ… คือ… อะไรๆมันก็เปลี่ยนกันได้” ซีมัสเกาแก้มเบาๆ
   “แล้วจะผู้ชายที่ไหนพี่ไม่เลือก ดันไปเลือกรายนั้นเนี่ยนะ!!” พระเจ้าช่วย ประโยคนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแคทเธอรีนเลย… “คุณแบล็ควู้ดที่ไม่รู้เป็นเอดส์หรือเปล่า ไม่รู้มีลูกลับๆกี่คน แถมขยันมีข่าวในทางแปลกๆเนี่ยนะ!?”
   “....ก็….จริงๆฉันไม่ได้ชอบผู้ชายหรอก แต่ไม่รู้ทำไมถึง….. ช่างมันเถอะ” พี่ชายขยี้หัวตนเองเบาๆจนยุ่งเหยิง “ก็มันชอบไปแล้ว แค่นั้นล่ะ”
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 14 [18/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 30-12-2018 17:36:10
บทที่ 15 (2/2)
   “.... พ่อรู้หรือยัง” แดริลรู้สึกแทบจะเป็นลมอย่างไรชอบกล
   “ยังไม่รู้ แต่ฉันก็ใช่จะกลับบ้าน เขารู้หรือไม่ก็ไม่ต่างหรอก” คนพูดยักไหล่อย่างแสดงความไม่สนใจชัดเจน “... ตั้งแต่เห็นข่าวเรื่องแคทฉันก็อยากจะติดต่อนายมาสักพักแล้ว… แต่ไม่กล้าโทรเพราะไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรกับนายดี… ยึกยักไปมาก็เลยโดนคุณแบล็ควู้ดลากมานี่”

   แดริลมองพี่ชาย แล้วก็ถอนหายใจ ความไม่ค่อยสนใจครอบครัวของซีมัสก็ยังคงเหมือนเดิมจนน่าอิจฉา หากเขาสามารถไม่ใส่ใจได้บ้างก็คงดี

   “นายโอเคไหม เรื่องมันเป็นยังไง แคทหลอกนายหรือช่วยกันปิดบังล่ะ?”
   “...ช่วยกันปิดบัง” คนถูกถามตัดสินใจตอบตามตรง ยังไงซะนี่ก็พี่ชาย… ถึงจะเป็นพี่ชายที่ตามหาตัวยากและชอบหายหัวไปบ่อยๆก็เถอะ…
   “นานแค่ไหนแล้ว” ซีมัส
   “ก็ตั้งแต่14-15…” แดริล
   “...โห” ซีมัส
   “อืม...แคทมีแฟนสาว และจริงๆผมก็เดทผู้ชาย” แดริล

   ซีมัสนิ่งอึ้ง

   “ตั้งแต่ไฮสคูลน่ะนะ?”
   “...ใช่”

   ร่างซึ่งสูงกว่ายืนพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่...
   “...........ฉันรู้สึกเหมือนเป็นไอ้โง่เลย ขอโทษนะแดริล ที่ไม่เคยรู้เลย” ร่างสูงที่ดูแข็งแรงกำยำยกมือขึ้นเฟสปาล์มขณะนึกย้อนไปถึงหลายๆอย่างที่ตนเองเคยพูดเอาไว้สมัยยังเด็ก
“ไม่เป็นไร มันไม่ใช่ความผิดพี่สักหน่อย” 
   “แล้วนายโอเคนะ?”
   “โอเคสิ.. ผมคิดอะไรได้หลายอย่างแล้วล่ะ” ชายหนุ่มผมดำยกยิ้มเล็กน้อยให้กับคู่สนทนา “แล้วก็รู้แล้วด้วยว่าควรทำยังไงต่อ”
   “แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ… รู้ตัวอีกทีนายก็โตขนาดนี้แล้วแฮะ” พี่ชายยกยิ้มให้น้อยๆ
   “...จะสามสิบอยู่แล้วไม่โตก็แย่แล้ว” แดริล
   “นายน่ะคิดมากเกินไปมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ชอบคิดเรื่องการวางตัวในสังคม หลบเลี่ยงปัญหา อะไรของนายก็ไม่รู้ แค่ฟังฉันก็เหนื่อยแล้ว” ซีมัส
   “การที่พี่จะเรียนดีโดยไม่ถูกมองเป็นเนิร์ดได้มันไม่ง่ายเลยนะ… แต่พี่คงไม่เข้าใจหรอก สมัยนั้นพี่เป็นนักกีฬานี่นา” แดริลถอนหายใจ “ว่าแต่พี่เถอะ ซีมัส.. เรื่องคนคนนั้นน่ะ… นี่จริงจังจริงๆเหรอ”

   คนถูกถามเกาแก้มเล็กน้อย มองไปทางอื่นหลบสายตาคาดคั้น

   “... เขาไม่ได้แย่อย่างที่ทุกคนลือๆกันหรอก อย่างน้อยก็ไม่ได้ดื่มเลือด แล้วก็ไม่ได้เป็นเอดส์...”
   
   แดริลมองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์… คือเรื่องนี้มันจะดูมีปัญหาเยอะกว่าเรื่องดื่มเลือดกับเป็นเอดส์นะพี่...

   “...แต่เขาใช้คู่ควงเปลืองกว่าถุงยาง” น้องชายท้วง
   “......... เขาเลิกแล้ว” ซีมัส
   “หน้าตาพี่ดูไม่มั่นใจเลย…” แดริล
“ได้โปสต์การ์ดที่ฉันส่งมาครบใช่ไหม” พอโดนต้อนถามมากๆเข้า คนพี่เลยเปลี่ยนเรื่องมันเอาดื้อๆเสียเลย
   “ครับ... แต่พี่ควรมาหาผม ไม่ก็ใช้โซเชียลมีเดีย ไม่ใช่ส่งโปสต์การ์ดมา...” แดริลถอนหายใจ “นี่มันปีอะไรแล้ว ทำไมต้องทำตัวลึกลับติดต่อยากด้วย…”
   “นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบพวกโซเชียลมีเดีย ยิ่งทำงานสายนี้ด้วย ไม่มีตัวตนในโลกออนไลน์ชีวิตจะง่ายกว่าน่ะ อีกอย่าง ฉันก็ไม่แน่ใจว่าควรจะอธิบายหลายๆเรื่องกับครอบครัวยังไง...”
   “แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ---”
 
   จู่ๆเสียงแจ้งเตือนที่ตั้งไว้ในโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ทั้งคู่ชะงักไปเล็กน้อย จนเจ้าของมือถือหยิบมันออกมากดปิดสัญญาณแจ้งเตือน

   … ยังมีประชุมต่อ

“ผมต้องไปทำงานต่อแล้ว… ไว้วันหลังนัดกินข้าวกันไหม แล้วผมจะแนะนำคนคนนั้นให้พี่รู้จัก…”
   “เอาสิ… นี่เบอร์ฉัน หากมีเรื่องอะไรก็ติดต่อมาได้ตลอดนะ” ซีมัสยื่นนามบัตรมาให้ บนนั้นเขียนชื่อบริษัทนักสืบเอกชนแห่งหนึ่ง ชื่อเจ้าตัว และเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งชายหนุ่มก็เก็บมันเข้าไปในกระเป๋าเสื้ออย่างดี
   “ครับ… ไว้จะติดต่อไป”

   มือใหญ่ที่อบอุ่นยกขึ้นวางลงบนหัวน้องชาย ลูบมันเบามือ รู้ดีว่าน้องไม่ชอบถูกเล่นหัวเพราะมันทำให้ผมยุ่งก็ยังจะเล่น ซีมัส เชน ฉีกยิ้มกวน แล้วก็รีบเผ่นก่อนที่แดริลจะทันได้อ้าปากด่า….

   …..พี่ขึ้นเลข3แล้วนะ ยังจะเล่นอะไรแบบนี้อีก

   ขณะที่ทำหน้ายุ่งมือก็ปัดๆผมจัดทรงให้เข้าที่ และไม่นานชายหนุ่มก็ยกยิ้มขำออกมาเล็กน้อย พลางมองบนท้องฟ้าสีฟ้าอมเทา.. ที่ในวันนี้ดูจะฟ้ากว่าทุกที

   บางทีสิ่งที่เรียกว่าเวลาก็ทำให้อะไรอะไรเปลี่ยนแปลงได้...

…………………..

สองอาทิตย์ต่อมา...

   ภาพที่ถ่ายขึ้นจอใหญ่บนสเตเดี้ยมเป็นภาพที่ทำให้แดริลรู้สึกเหมือนกำลังย้อนกลับไปในวัยเด็กอีกครั้ง

   เขาไม่ดูหรือตามข่าวกีฬาอเมริกันฟุตบอลมานานมากแล้ว… เรียกว่าลบมันออกไปจากชีวิตก็ว่าได้ แต่งานใหญ่วันนี้อย่างไรเสียก็ต้องมาในฐานะคนรับผิดชอบโปรเจกต์

   ชายหนุ่มยืนมองอยู่เบื้องหน้ากระจกบานสูงในห้องวีไอพีพร้อมกับแขกคนอื่นๆ ตั๋วที่เป็นของรางวัลแจกฟรีให้แก่ผู้โชคดีที่ซื้อสินค้าแบรนด์กีฬาที่เพิ่งเปิดตัวในเว็บไซต์เมื่อสองเดือนที่แล้วช่วยเพิ่มยอดขายจากทางฝั่งแฟนกีฬาได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ก็ยังมีเสื้อพร้อมลายเซ็นกับสิทธิที่จะได้ถ่ายรูปคู่กับนักกีฬาอีกด้วย

   อันที่จริงที่แคมเปญนี้เป็นที่ฮือฮาขึ้นมาได้ก็เพราะอีกประเด็นหนึ่ง…. นั่นก็คือเมื่อประมาณสองปีที่แล้ววินเซนต์เคยไปก่อเรื่องไว้… รายละเอียดไม่ต้องพูดถึงมากเอาเป็นว่าอดีตแฟนสาวของเกร็กเกอรี่เปลี่ยนมาควงวินซ์อยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าไม่นานก็เลิกรากันไป แต่ช่วงนั้นเห็นว่ามีเรื่องกระทบกระทั่งกันในสนามจนถูกกรรมการเตือน แต่เจ้าตัวว่าดีกันแล้วหลังปรับความเข้าใจกันในปีต่อมา เพียงแค่ไม่ได้ออกสื่อคนเยยังเข้าใจว่าเกลียดขี้หน้ากันอยู่...

   ตอนได้ฟังเรื่องนี้จากบิลคนฟังก็เพียงยิ้มเย็น ในใจนึกปลง… อย่างไรเสียวินเซนต์ก็คือวินเซนต์อยู่วันยังค่ำ

   ร่างสูงใหญ่พออยู่กลางสนามก็ไม่ได้ดูสูงกว่าคนอื่นเท่าใดนัก แต่ก็ยังดูโดดเด่นออกมา วินซ์ในชุดสีแดงรับบอลและวิ่งหลบหลีก ซ้ายทีขวาทีให้หลุดจากแนวป้องกัน ไปจนถึงจุดทัชดาวน์แล้วก็ปาบอลลงสนาม ชูสองแขนขึ้นรับเสียงเชียร์จากเหล่าแฟนกีฬาในสเตเดี้ยมด้วยท่าทางคุ้นชิน

   ชายหนุ่มหันมายิ้มให้กล้อง พร้อมทั้งขยิบตาให้ แฟนๆพากันส่งเสียงเฮ แต่คนที่อยู่ในห้องวีไอพีรู้สึกหมั่นไส้มันแปลกๆ…

   หลังเกมจบ นักข่าวหนุ่มสายกีฬาวิ่งเข้าไปสัมภาษณ์คนที่ทำทัชดาวน์ปิดเกมส่งท้ายทันที

   วินเซนต์ถอดหมวกออก ใบหน้ายังชุ่มเหงื่อ หันตรงมายิ้มโบกมือให้กล้อง แดริลไม่ได้สนใจฟังบทสัมภาษณ์นั่นนัก เขาเพียงยกยิ้มบาง มองดูอีกฝ่ายที่มีชีวิตชีวาบนสนามอเมริกันฟุตบอล ท่าทางที่กอดไหล่กับเพื่อนร่วมทีม เหมือนว่าเจ้าตัวเป็นเจ้าของสถานที่อย่างไรอย่างนั้น

   ทุกครั้งที่ได้ลงสนาม… ชายคนนั้นจะดูมีความสุขเสมอ จนหลายๆทีก็คิดว่าแค่วินเซนต์มีฟุตบอล จะมีเขาอยู่หรือไม่มีเขาอยู่ก็ไม่ต่างหรอก ในใจของอีกฝ่าย แดริลมั่นใจว่าหากตนเองจะแพ้อะไรสักอย่าง ก็คงเป็นอเมริกันฟุตบอล

   “เดี๋ยวต้องไปกล่าวแถลงข่าวแล้วจัดกิจกรรมต่อแล้วนะครับ บอส” บิลทักขึ้นมา มือเก็บข้าวของอีกทั้งถือแพลนเนอร์ดูยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก

   “อืม ไปกัน” คุณเชนก้าวขาออกห่างจากกระจกใสทรงสูง เดินตามร่างซึ่งสูงกว่าพร้อมทีมการตลาดครึ่งทีมออกไปเพื่อจัดการปิดงานและดำเนินกิจกรรมต่อ อีกทั้งให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในเรื่องของแบรนด์กีฬาที่เปิดตัวใหม่

   ก่อนออกจากห้องวีไอพี ชายหนุ่มหยุดเท้าลง มองตามแผ่นหลังของทุกคน สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดสิ่งที่ติดค้างในใจออกมา

   “ขอบคุณพวกคุณทุกคนมาก… ที่สู้มาด้วยกัน”

   แรกเริ่มคิดว่าหลังจากที่ความลับของเขาถูกเปิดเผย ทุกคนจะปฏิบัติกับเขาต่างออกไปหรือไม่ จะเกร็งหรือมองเขาด้วยสายตาที่ต่างออกไปหรือไม่

   แต่นอกจากความประหลาดใจในช่วงแรกๆ… ก็ไม่มีท่าทีต่อต้าน หรือท่าทีที่แปลกออกไปซึ่งเขาเคยคิดว่าจะมี

   “พูดอะไรน่ะครับบอส พวกเราก็ต้องทำตามหน้าที่ให้เต็มที่อยู่แล้ว” บิลยิ้มกว้างอย่างซื่อๆ ท่าทางไม่ได้ถือตัวเหมือนทุกที “ยังไงการทำให้บริษัทนี้เป็นยูนิคอร์นให้ได้ก็เป็นความฝันของพวกเราเหมือนกัน บอสอย่าคิดมากเลยครับ”
   
   แดริลหัวเราะออกมาได้ในที่สุด หันมองทุกคนในทีม และพูดออกมาด้วยท่าทีมั่นใจ

   “ไปเถอะ… พวกเราไปขายของกัน”
   ทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน เดินตามเจ้านายของพวกเขาออกไปเบื้องนอกที่แสงแดดยามบ่ายกำลังสาดส่อง

   แล้วการเปิดตัวแบรนด์กีฬาก็จบลงด้วยดีเช่นนี้… แต่ก็ยังมีงานอีกมากที่พวกเขาต้องจัดการ

……..

หลังจากจบแคมเปญได้หนึ่งอาทิตย์...

ช่วงนี้เหมือนวินเซนต์จะติดงานถ่ายซีรียส์ที่เจ้าตัวถูกจ้างไปเล่นเป็นตัวเอง… เรียกว่าก็งานดารารับเชิญอีกตามเคย นักกีฬาหนุ่มจึงหายไปจากโซฟาที่น่าสงสารนานหลายวัน…

แดริลใช้ชีวิตไปตามปกติ วุ่นวายกับงานเสียส่วนมากจนไม่มีเวลาว่างให้ได้คิดอะไร ยิ่งใกล้ช่วงออกไลน์ใหม่เขาก็ยิ่งวุ่นวายขึ้นเท่านั้น

ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น.. จนกระทั่งสองวันต่อมาที่แดริลกลับจากประชุมข้างนอกกับพาร์ทเนอร์

 อยู่ๆบนโต๊ะทำงานก็มีกล่องกระดาษทรงยาวมาวางเอาไว้ ถามใครก็มีแต่คนบอกว่าเจ้าหน้าที่ส่งพัสดุมาส่งในระหว่างที่เขาไม่อยู่เลยให้ทิ้งเอาไว้

เป็นกล่องห่อด้วยริบบิ้นอย่างดี จนชวนให้สงสัยว่ามันเป็นอะไร… ดึงออกแล้วเปิดดูก็พบดอกกุหลาบดอกโตนอนนิ่งอยู่ในนั้น… แวบแรกเกือบจะหยิบโทรศัพท์มาส่งข้อความไปเอ็ดวินเซนต์ว่าอย่าส่งของประเภทนี้มาที่ทำงานจะได้ไหม แต่สายตาไปสะดุดกับการ์ดที่แนบมาด้วยเสียก่อน…

J.W.

แดริลทำหน้ายุ่งทันที พอหยิบซองจดหมายมาเปิด ก็พบกับตั๋วละครบรอดเวย์หนึ่งใบถ้วน เป็นเรื่องที่เขาเคยบ่นอยากดูให้อีกฝ่ายฟังตอนที่ยังคุยกันอยู่… แต่ก็ไม่สบายใจนักที่จะรับมันมาแบบนี้

ชายหนุ่มปิดฝากล่อง เอาออกมาแค่การ์ดกับตั๋ว พลิกไปดูด้านหลังก็พบว่าเป็นการแสดงของรอบเย็นวันนี้...
อยากส่งข้อความไปปฏิเสธ ตั๋วก็อยากคืน… ในการ์ดเขียนข้อความมาสั้นๆเพียงแค่

‘อยากให้คุณมาดูผมแสดง’
   จากที่รู้มาโจเซฟไม่ใช่นักแสดงชื่อดัง เดาว่าเขาน่าจะเล่นเป็นบทซัพพอร์ทอยู่ในฉาก

   ลำบากใจจริง… จะยกให้คนอื่นไปดูแทนก็คงโหดร้ายเกินไป… หรือจะฝากมิสวีไปคืนดีนะ?
   
   ยังไม่ทันจะตัดสินใจได้ว่าควรทำอย่างไรกับมันดี ริงโทนสมาร์ตโฟนเพลงบีโทเฟ่นคลาสสิคก็ดังขึ้น ทำให้เขาต้องหยิบมือถือขึ้นมามอง เป็นเบอร์ที่คุ้นๆตาแต่ไม่ได้เมมเอาไว้ในเครื่อง

   “ฮัลโหล…” แดริล เชนรับสาย
   “คุณเชน ผมเองครับ โจเซฟ… คุณได้ของขวัญแล้วหรือยังครับ”
   “อืม ได้แล้ว…” ชายหนุ่มมองตั๋วในมือที่เหมือนเผือกร้อน เขาอาจจะลองโกหกว่าไม่ว่างติดนัดดู เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึกจนเกินไป?
   “...วันนี้ผมได้บทสำคัญครั้งแรกเลยล่ะครับ ถึงจะยังเป็นแค่บทซัพพอร์ทแต่ก็เป็นบทที่เด่นขึ้นมาแล้ว” ระหว่างสามเดือนที่พวกเขาคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันผ่านแอปพลิเคชั่น โจเซฟเคยพูดถึงเรื่องที่ตนเองเป็นแค่ตัวประกอบมาตลอด แต่กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้บทที่ใหญ่ขึ้น “...ฉะนั้นก็เลยอยากให้คุณมาดู พอจะสะดวกไหมครับ”

   คำว่า ไม่ค่อยสะดวก ติดอยู่ที่ปลายลิ้น…

   “หากไม่สะดวกผมจะส่งตั๋วของวันอื่นไปให้แทน”
   …………….นายจะไม่ปล่อยให้ฉันอ้างไม่ว่างสินะ

   พอคิดว่าวันนี้ไม่มีอะไรทำ… วินเซนต์ก็ไม่อยู่ เขาจึงส่ายหัวคิดว่ายอมไปครั้งเดียวแล้วพูดให้มันจบไปอาจจะดีที่สุด ทางที่ดีหาเพื่อนไปด้วยกัน…

   ยังไงซะสถานะ ‘เพื่อน’ เรื่องเท่านี้มันก็ควรทำให้กันได้
   “...ไม่เป็นไร เย็นนี้ฉันว่างพอดี ...จะไปดูนะ” ชายหนุ่มตอบไปแต่สีหน้าขณะพูดคือไม่สบายใจนัก
   “ครับ ผมจะรอ” เสียงจากปลายสายฟังดูเหมือนกำลังยินดีจริงๆ…

   หลังจากวางสายแล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจยาว…

   สังหรณ์ไม่ดีเลยจริงๆ ให้ตายสิ

หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 15 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: aha_aha ที่ 30-12-2018 22:00:24
สนุกจร้า เป็นกำลังใจให้คนแต่ง กับแดริลคนเก่งน้า ขอให้ลางสังหรณ์เป็นเรื่องดีๆนะ ^^
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 15 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 30-12-2018 23:33:10
  J.W คือโจเซฟก็ว่าพีคแล้วอิตาซีมัสพีคกว่าอีกอุทานว่า nani วนไปเลยค่ะพีคต่อไม่รอแล้วนะ :a5: o22
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 15 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 30-12-2018 23:55:53
ขอให้ลางสังหรณ์ที่ว่าเป็นเรื่องดีๆเถอะนะ แอบขำตอนรู้ว่าพี่ชายชอบผู้ชายด้วยกันแล้วก็เขินตอนที่พี่ชายเล่าให้ฟังแหะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 15 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-12-2018 00:07:48
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 15 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 31-12-2018 02:16:42
สนุกดี อ่านรวดเดียวเลย
J.W.จะน่ากลัวไหมนะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 15 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 31-12-2018 10:54:20
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 15 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 31-12-2018 11:31:15
 o13


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 15 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 01-01-2019 18:38:08
สนุกมากๆๆๆในที่สุดก็ตามอ่านทัน เราว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นแน่เลย รอตอนต่อไป มาอัพเร็วๆน้า เป็นกลจให้นักเขียน สุดท้ายHNY2K19นะคะ ขอให้เป็นปีที่ดีและเขียนนิยายดีๆสนุกๆมาให้เราอ่านเรื่อยๆเลยนะคะ จะคอยติดตามผลงานน้าา
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 15 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 04-01-2019 21:19:11
บทที่ 16 Intuition (1/2)



“ช่วงนี้ฉันไม่ว่างเลยน่ะทูนหัว ขอโทษนะ ต้องไปลองชุดแต่งงานที่แอชออกแบบให้ฉัน แอชออกแบบเองเชียวนะคะ” เสียงของแคทเธอรีนที่ดังออกมาจากปลายสายทำให้เขาส่ายหัวกับแม่คนขี้อวด ชายหนุ่มโทรมาด้วยว่าตั้งใจจะชวนเธอไปดูละครบรอดเวย์ด้วยกัน แต่ถูกปฏิเสธตั้งแต่เริ่ม...





ช่วงนี้เขาแทบไม่ได้คุยกับแคทเพราะงานการรัดตัวทั้งคู่ อีกทั้งหญิงสาวยังต้องวางแผนงานแต่งของตนเองก็เลยยิ่งทำให้ไม่ว่างคุยกันใหญ่ ชายหนุ่มเลยค่อยๆ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างที่ทั้งคู่ไม่ได้ติดต่อกันให้เธอฟัง…





หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบให้หล่อนฟังหญิงสาวก็รับคำสั้นๆ ในลำคอ มีจิ๊ปากเล็กน้อยพอพูดถึงวินเซนต์...

“จริงๆ เลยจะมายึกยักอยู่ทำไมกัน เขาอยากประกาศตัวเธอก็ปล่อยเขาประกาศตัวไปสิยะ”

“ก็แค่สองปีเองน่า…”



ไม่ต้องเห็นหน้าก็พอจะเดาได้ว่าแคทคงกำลังกลอกตาอยู่เป็นแน่



“ไม่ ‘เอง’ ค่ะที่รัก… ฉันล่ะไม่เข้าใจเธอเลย... จริงๆ นะ คนเขาก็ไม่ได้อยากซ่อน เธอกลับซ่อนตัวเอง นี่คิดอะไรของเธออยู่” แคท

“ฉันไม่อยากเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไปไม่ถึงเป้าหมายที่เขาอยากไป” แดริล

“เอาจริงนะ... ฉันว่าเธอกำลังคิดมากไป… อีกแล้ว” แคทถอนหายใจ “หมอนั่นประสบความสำเร็จตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังจะเอาอะไรจากอาชีพนี้อีก”

“แต่ตราบใดที่เขายังอยู่ในวงการ ฉันว่าอย่าให้ต้องโดนกดดันอะไรเลยจะดีกว่า” แดริลตอบเสียงเบา

“เธอปกป้องเขามากไปนะคะที่รัก” แคท

“ไม่หรอก… เพราะฉันยังคิดว่าหากเขาต้องเลือกระหว่างฉันกับฟุตบอล เขาคงเลือกอย่างหลังเหมือนเดิม..”

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเพื่อนรักฉันต้องมาแย่งผู้ชายกับลูกบอล” ฟังจากเสียงก็รู้ว่าหญิงสาวต้องกลอกตาเป็นรอบที่ร้อยแล้ว “นี่หมอนั่นรู้รึเปล่าเนี่ยว่าเธอยังคิดอะไรแบบนี้อยู่? ”

“.....” แดริล

“เขาไม่รู้สินะ” แคท “ทูนหัว เธอจะคิดเองเออเองสรุปเองแบบนี้ไม่ได้นะคะ”

“....ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเลือกแบบนั้นมาแล้ว…ที่เขากลับมาก็แค่เพราะเขาไม่ต้องเลือกแล้วไงล่ะ” ชายหนุ่มตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ ดวงตาสีฟ้าดูหมองลงเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าฉันโกรธหรอกนะ… หากตอนนั้นเขาเลือกฉันแล้วสุดท้ายกลายเป็นโค้ชโรงเรียนหรือพนักงานประจำที่เกลียดงานตัวเอง ฉันก็ไม่มีความสุขเหมือนกัน”

“แต่ก็ปล่อยเขาไปไม่ลงด้วย อา ทำไมเธอถึงทำให้มันยากนักนะ” แคท

“แคท....เธอรู้ใช่ไหมว่านักกีฬาNFLคนล่าสุดที่ออกมาประกาศตัวว่าเป็นเกย์ต้องเจอกับแรงกดดันอะไรบ้าง… อาชีพที่กำลังไปได้สวย สุดท้ายร่วงไม่เป็นท่า” แดริล

“ฉันไม่ได้อ่านหรอกนะที่รัก แต่คนคนนั้นไม่ใช่วินเซนต์ พอต่างคนต่างนิสัย เรื่องมันอาจจะจบในแบบที่ต่างออกไปก็ได้นี่” แคท

“ขนาดเป็นฉัน ถึงที่บริษัทจะไม่มีใครเหยียดLGBTแบบโจ่งแจ้ง เวลาเข้าห้องน้ำชายบางทีก็ยังสังเกตเลยว่าพนักงานบางคนมีท่าทางเกร็งๆ รีบๆ แบบที่ก่อนหน้านี้ไม่มี... มันน่าอึดอัดนะ สำหรับบางคน มันก็คงเกร็งเหมือนการให้ผู้ชายไปใช้ห้องน้ำหญิงนั่นแหละ... แล้วเธอคิดดูสินักกีฬาต้องแชร์ห้องอาบน้ำรวม หนักกว่าห้องน้ำอีก” แดริลพูดยาว ระบายความกังวลทั้งหมดทั้งมวลของตนเองออกมา “แล้วมันจะกระทบทีมเวิร์กในสนามไหม เขาจะโดนกดดันแบบคนก่อนหน้านี้หรือเปล่า เรื่องพวกนี้ฉันไม่อยากให้เขาต้องเจอ”

“โอเคค่ะ โอเค ฉันเข้าใจแล้วก็ได้” น้ำเสียงนางแบบสาวคล้ายจะปลงแล้ว… “แล้วเรื่องพ่อนักแสดงบรอดเวย์ที่เธอหลวมตัวรับปากเขาไปแล้ววันนี้ จะเอาไงดีคะเบ้บ? ”



“...ไม่รู้สิ ตอนแรกโทรชวนลีแล้ว ลีก็ไม่ว่าง” แดริล

“หมอนั่นไม่ใช่อยู่แมตซาชูเซตส์ทำปริญญาเอกอยู่เหรอ? ” แคท

“เห็นว่าช่วงนี้ทำวิจัย แล้วพอมีเวลาว่าง เลยโดนพ่อลากมานิวยอร์กเพื่อมาลงทุนเปิดกิจการ ‘ชานมไข่มุก’ แถวย่านคนจีน…” แดริล

“.... ชานั่นชื่อฟังดูแปลกๆ นะคะทูนหัว ฟังเหมือนเมนูวันฮัลโลวีนยังไงชอบกล” แคท

“ลีว่ามันฮิตมากในเอเชีย… ฉันเหมือนจะเคยได้ยินคนพูดถึงแต่ไม่เคยกิน” แดริล

“ฉันเพิ่งกูเกิ้ลดู พระเจ้าช่วย ส่วมผสมมันดูมีแต่ของห้ามกินในลิสต์ฉันทั้งนั้น” แคท

“.....แล้วเรื่องโจเซฟฉันควรจะทำยังไงดี” ชายหนุ่มลากบทสนทนากลับเข้าเรื่อง...

“วินเซนต์ล่ะ หมอนั่นก็ไปกับเธอได้นี่? ”

“ฉันควรไปไหนมาไหนกับเขาที่ไหนกัน อีกอย่างช่วงนี้วินเซนต์ก็ยุ่งมากด้วย ไม่เจอกันมาสามวันแล้ว” แดริลถอนหายใจ

“งั้นถ้าต้องไปก็ไป ทำให้มันจบซะ พูดจาให้ชัดเจนค่ะ ถ้าจะมาแนวนี้เพื่อนก็ไม่ต้องเป็น” แคท

“จริงๆ ฉันก็ไม่อยากใจร้ายนักหรอก ยังไงซะคุยกับเขาในบางหัวข้อมันก็สนุกดี…” แดริล

“แปลว่าหลังจากปฏิเสธไปวันนั้นก็ยังตอบข้อความเขาอยู่? ” แคท

“พวกเมสเสจในแอปแชทน่ะ.. ตอบเฉพาะที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนังสือ แต่ที่ชวนไปกินกาแฟอะไรพวกนี้ฉันก็ปฏิเสธไปหมดแล้ว” แดริล

“... แล้วก็ยังส่งกุหลาบมาให้เนี่ยนะ ที่รักคะ… ฉันว่ามันแปลกๆ คนอะไรจะตามตื๊อได้ขนาดนี้กัน” แคท

“ก็แค่… เป็นคนไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ...ละมั้ง” แดริล

“ทำสิ่งที่ต้องทำเถอะค่ะ บอกให้ชัดไปเลยว่าเธอมีผู้ชายที่ทั้งรักทั้งหลงอยู่ทั้งคนแล้วจะใครมันก็คงไม่เข้าตาทั้งนั้น” แคท

“....” แดริล

“อะไรกันคะ หรือว่าที่พูดมาเนี่ยไม่จริง? ”

“...เงียบเถอะน่า” คนฟังแก้มขึ้นสีเล็กน้อย อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาแทงกลางอกดังฉึก “แค่นี้ก่อนล่ะ… ฉันต้องไปแล้ว”

“โชคดีนะคะที่รัก จบยังไงอย่าลืมมาเล่าให้ฉันฟังด้วยล่ะ จุ๊บ” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่มได้ยินก่อนที่แคทเธอรีนจะวางสายไป…





………...





ที่หน้าโรงละครในย่านบรอดเวย์แขวนป้ายเรื่องต่างๆ และเวลาแสดงของเย็นวันนี้





แดริล เชน ถือตั๋วที่ตนได้รับมา ใบหน้าไม่ได้แสดงออกอะไรแต่เขากำลังกระวนกระวายใจ… อันที่จริงเขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรปฏิเสธอย่างไรให้เรื่องนี้มันจบดีที่สุด





การถนอมน้ำใจคนนี่มันยากจริงๆ เลย…





ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้บุผ้าแสนสบาย บรรยากาศรอบด้านมืดสนิทเว้นเพียงบริเวณเวที พลันนั้นเองสายไฟก็ฉายลงมา ปรากฏร่างของหญิงสาวในชุดขาวร่างแบบบาง ออกมาร้องเพลงที่แสนจะคุ้นหูเป็นการเปิดเรื่อง จากนั้นชายสวมหน้ากากครึ่งซีกก็ปรากฏตัว ออกมาประสานเสียงร้องไปกับหล่อน





ใช่… นี่คือเรื่องPhantom of the Operaสุดคลาสสิคที่ตัวเขาดูมาหลายรอบจนจำเนื้อเรื่องได้หมดแล้ว แต่การดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงและการแสดงบนเวทีก็เป็นอะไรที่แดริลชื่นชอบ





สองฉากผ่านไปดวงตาสีฟ้าเพิ่งเห็นใบหน้าของคนคุ้นเคย ที่ยืนเต้นประกอบอยู่ท่ามกลางฝูงชนในบทซัพพอร์ทคาร์แรคเตอร์ คล้ายว่าวูบหนึ่งที่อีกฝ่ายจะหันมามองทางที่นั่งของเขา ทว่าสีหน้าท่าทางก็ไม่ได้เปลี่ยนหรือแสดงพิรุธอะไรเลย





แดริลอยากจะดื่มด่ำไปกับการแสดงอย่างสบายใจ แต่เอาเข้าจริงมันทำได้ยากมากเลยในเวลานี้…





มือสองข้างประสานวางลงที่กลางลำตัว แม้จะนั่งดูการแสดงด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่งแต่ในหัวก็ทวนบทพูดที่คิดเอาไว้ไปด้วย..





ฉันคงมาพบนายไม่ได้แล้ว

ฉันคิดว่าฉันอาจจะไม่ควรตอบข้อความของนาย

ฉันมีคนรักแล้ว ของแบบนี้น่ะอย่าส่งมาอีก ฉันไม่สบายใจ





….จะแบบไหนก็ฟังดูแย่ทั้งนั้นล่ะ







มัวแต่คิดมากอยู่นาน รู้ตัวอีกทีละครเวทีก็จบแล้ว เหล่านักแสดงต่างมายืนเรียงหน้ากระดานและโค้งให้กับผู้ชม โจเซฟเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งยังยิ้มเห็นฟันโบกมือมาทางนี้ด้วย





..ลำบากใจจริงๆ เลย

แดริลได้แต่ตัดพ้อกับตนเองถึงชีวิตที่น่าเศร้า ว่าช่วงนี้ตนต้องเผชิญหน้ากับหลายสิ่งมากเกินไปแล้ว… ปีนี้มันปีอะไรกันแน่เนี่ยทำไมชีวิตถึงมีแต่เรื่อง





กระทั่งละครจบ ถึงมีข้อความเข้ามาในโทรศัพท์มือถือ ต่อให้เขาอันอินสตอลแอปหาคู่นั่นออกไปจากมือถือแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังติดต่อได้ทางแชทแอปอื่นอยู่ดีเพราะมีเบอร์โทร…

‘รอก่อนนะครับ เดี๋ยวผมรีบไป รอบนี้รอบสุดท้ายของวันแล้วล่ะ’





ชายหนุ่มผมดำเพียงตอบรับไปคำสั้นๆ นั่งรออยู่ที่นั่งด้านนอกตามที่ได้นัดกันเอาไว้ ไม่นานนักอีกฝ่ายก็ออกมาในชุดธรรมดา ใบหน้าเหมือนจะล้างเครื่องสำอางออกจนหมดแล้ว





“รอนานรึเปล่าครับ” อีกฝ่ายดูจะมีท่าทางเกรงอกเกรงใจ ดูท่าทางเหมือนจะรีบร้อนออกมา





แดริลยกยิ้มตามมารยาท

“ไม่นานหรอก วันนี้นายทำได้ดีมาก”

ได้รับคำชมแล้วอีกฝ่ายก็มีท่าทางขัดเขินเล็กน้อย ดูจะดีใจอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว

“อันที่จริงผมดีใจที่คุณมาดู…”





นายช่วยอย่าทำให้ฉันรู้สึกผิดไปมากกว่านี้ได้ไหม





“...ไปหาที่นั่งคุยดีๆ กันไหม โจเซฟ” จะคุยเรื่องอะไรๆ หน้าทางเข้าโรงละครดูอย่างไรก็ไม่เหมาะ คนอายุมากกว่าเลยเอ่ยปากชวนก่อน

“ได้ครับ แถวนี้มีร้านอาหารแนวแฟมิลี่เรสเตอรองก์อยู่เจ้าหนึ่ง ราคาไม่แพง รสชาติก็ไม่เลว… คุณคงไม่รังเกียจ?” อีกฝ่ายมีท่าทีไม่มั่นใจ จนเขาต้องยิ้มปลอบ

“ไม่เป็นไรหรอกฉันกินอะไรก็ได้ทั้งนั้นล่ะ”





เห็นท่าทางดีใจเหมือนกับลูกหมาที่กระดิกหางดิ๊กๆ นั่นแล้วแดริลก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจที่จะต้องพูดสิ่งที่เขาต้องพูดอยู่ดี



ระหว่างมื้ออาหารไม่ค่อยเงียบนัก โจเซฟชวนเขาคุยเรื่องต่างๆ ตั้งแต่เรื่องนิยายเรื่องล่าสุดของนักเขียนชื่อดัง ไปถึงเรื่องหนัง บทละคร และข่าวเศรษฐกิจ ซึ่งบทสนทนาเป็นไปอย่างลื่นไหล ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะพวกเขามีความสนใจตรงกันหลายอย่าง





แดริลละเลียดอาหารจนหมดจาน สุดท้ายก็ไม่แน่ใจว่าควรเริ่มบทสนทนาอย่างไรดี แต่คิดว่ามันก็ไม่น่าจะจบลงด้วยดีเท่าใดนัก…





“โจเซฟ… ฟังนะ…”

“ครับ?”

“คือฉันคิดว่า… เราไม่ควรพบกันอีก... เรื่องส่งข้อความก็ด้วย”





เกิดความเงียบขึ้นยาวนาน





“...ทำไมล่ะครับ” จนสุดท้ายโจเซฟก็ปริปากถามขึ้นมาก่อน ชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามมีสีหน้าลำบากใจ เบือนมองออกไปนอกกระจก “ผมทำอะไรให้คุณรำคาญหรือลำบากใจรึเปล่า”





แดริลจิบกาแฟราคาถูกที่ขมแสนขม… ขมพอๆ กับสถานการณ์ตอนนี้ที่จำเป็นต้องรับมือ





“...ไม่ใช่หรอก… แค่ว่า… ตอนนี้ฉันกำลังคบกับคนคนหนึ่งอยู่ แล้วก็… ฉันคงไม่สามารถเป็นสิ่งที่นายหวังให้เป็นได้หรอก ต้องขอโทษจริงๆ”





เกิดความเงียบที่น่าอึดอัดขึ้นอีกครั้ง….





“...ไม่มีทางเลยจริงๆ เหรอครับ” โจเซฟก้มหน้าลงเล็กน้อย บนใบหน้าดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด “ผมคิดว่าเราเข้ากันได้ในหลายๆ เรื่อง… คิดมาตลอด”





แดริลรู้ดีว่าอีกฝ่ายพยายามกับเรื่องนี้ พยายามจนเขาอดคิดบ่อยๆ ไม่ได้ว่าตนเองไม่สมควรจะได้รับความรู้สึกดีๆ แบบนี้เลย





“ความเข้ากันได้มันไม่เกี่ยวกับเรื่องความรักนะ… โจเซฟ”

“...” ร่างซึ่งสูงกว่าก้มหน้าลงมองจานอาหารว่างเปล่า สักพักก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ทว่าเสียงหัวเราะนั่นฟังดูเหยียดหยันตนเองเสียมากกว่าเป็นเสียงหัวเราะขบขัน “กระทั่งพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว… มันก็ยังลงเอยเหมือนเดิมสินะ”





“.......” แดริลไม่รู้ว่าควรตอบอะไรในสถานการณ์ที่ยิ่งพูดก็ดูเหมือนจะยิ่งแย่ จึงปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบในตัวมันเอง





สุดท้ายก็ตอบออกมาได้แค่คำสั้นๆ

“ฉันขอโทษ”

“...ไม่หรอกครับ เรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้นี่” โจเซฟฝืนยิ้ม ดวงตาเบื้องหลังกรอบแว่นทรงเหลี่ยมดูขุ่นมัวกว่าปกติ “จะสั่งอะไรเพิ่มไหมครับ…”





คนที่เดิมทีก็ไม่มีอารมณ์จะกินอยู่แล้วส่ายหน้าน้อยๆ





“..กลับกันเถอะ”





หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยทั้งคู่ก็ออกมายืนริมถนน บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนและความเงียบ





“...คุณกลับยังไงครับ”

“แท็กซี่น่ะ” วันนี้ชายหนุ่มเอารถที่ใช้มาอย่างสมบุกสมบันเป็นเวลาสี่ปีของตนเองไปซ่อมพอดี… ช่วงนี้ไปไหนมาไหนจึงต้องโบกรถเอา

“...ให้ผมไปส่งได้ไหมครับ”

“อย่าเลย...”

“อย่างน้อยก็ครั้งสุดท้าย… หลังจากนี้คุณจะไม่ตอบข้อความผมอีกแล้วใช่ไหม”





แดริลมีสีหน้าลำบากใจอย่างปิดไม่มิด สุดท้ายก็รับคำในลำคอเบาๆ ตลอดทางไปรถรู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆ มากดทับบ่า กระทั่งที่รถแล่นออกจากที่จอดแล้วก็ยังอธิบายได้ด้วยคำเดียว ว่าน่าหนักใจ





หลังจากตอบคำถามเรื่องที่อยู่แล้ว รถทั้งคันก็กลับสู่ความเงียบ… เป็นเวลาสามทุ่มที่ด้านนอกเปิดไฟสว่างไสว คนใช้ชีวิตกลางคืนเริ่มออกเดินตามถนนข้างทางกันเต็มไปหมด





แต่ระหว่างพวกเขาที่อยู่ด้านในรถก็ยังมีเพียงความเงียบสงบที่น่าอึดอัด





“...ถึงยังไงก็ขอบคุณนะครับ ที่ยอมมาพบผมวันนี้” ระหว่างติดไฟแดงสี่แยก เจ้าของรถก็เอ่ยปากขึ้นมา

“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง”

“... อันที่จริงก็ต้องขอบคุณคุณหลายเรื่อง.. ตั้งแต่สมัยไฮสคูลแล้ว คุณเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอด”

“....”

“คุณเป็นคนแรกที่กล้าช่วยผมจากคนพวกนั้น… ทั้งใจดี และก็เข้มแข็ง ไม่รังเกียจคนอื่น ไม่ปฏิบัติกับคนอื่นเหมือนเขาเป็นแค่ขยะ” สีหน้าของโจเซฟขณะกำลังเล่าดูเหมือนเขานึกย้อนกลับไปในความทรงจำอันแสนไกล “...ผมอยากเป็นแบบคุณมาตลอด”

“... ฉันไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้นหรอก โจเซฟ แล้วก็ไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้นด้วย… เอาเข้าจริงต่อให้ฉันช่วยนาย ต่อให้ทำแคมเปญรณรงค์ต่อต้านการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียน แต่สุดท้ายฉันก็ไม่กล้าเป็นศัตรูกับพวกนักกีฬาอยู่ดี… สุดท้ายมันก็ช่วยแก้ปัญหาอะไรให้ใครไม่ได้อยู่ดี” ดวงตาสีฟ้าเบือนมองออกนอกหน้าต่าง ก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงอย่างเชื่องช้า หลบซ่อนความเหนื่อยล้าเอาไว้อย่างมิดชิด

“ไม่หรอกครับ อย่างน้อยมันก็ทำให้พวกเราได้รู้ว่ายังมีคนที่สนใจ…”

“แม้ว่าปีต่อมาจะมีเด็กผู้หญิงฆ่าตัวตายเพราะโดนแกล้งรุนแรงขนาดโดนล่วงละเมิดทางเพศน่ะเหรอ สุดท้ายฉันเองก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ ประธานนักเรียนมันก็เหมือนตำแหน่งว่างๆ ที่เป็นใบเบิกทางเข้าไอวี่ลีกเท่านั้นล่ะ”

“นั่นไม่ใช่ความผิดคุณ”

“... แต่มันเกิดขึ้นหลังจากที่ฉันรณรงค์ให้คนหยุดแกล้งกันมาทั้งปี มันก็เป็นข้อพิสูจน์พอแล้วว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรใครเลย”





เรื่องพวกนี้แดริลไม่เคยพูดให้ใครฟัง กระทั่งแคทหรือวินเซนต์เขาก็ไม่เคยระบายมันออกมา… เพราะถึงพูดไปสองคนนั้นที่อยู่แทบจะระดับบนสุดของพีระมิดสังคมไฮสคูลก็ใช่จะเข้าใจ และเขาก็เก็บฝังมันไว้ลึกจนเรียกได้ว่าแทบลืมไปแล้วด้วยซ้ำหากโจเซฟไม่พูดถึง





“... คุณพยายามแล้ว ผมรู้” รถสีดำแล่นไปตามทาง เสียงจีพีเอสในโทรศัพท์มือถือแจ้งเตือนให้เลี้ยวขวา อีกไม่นานก็จะถึงที่หมาย

“สิ่งที่ฉันทำลงไปก็แค่ติดโปสเตอร์ที่ไม่มีใครอ่าน… จริงๆ นะ”

“... ไม่หรอกครับ คุณทำยิ่งกว่านั้น คุณให้ความหวังผมในการใช้ชีวิตต่อ.. คุณทำให้ผมรู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่พวกงี่เง่าที่เอาแต่กดคนอื่นให้ต่ำ… และนั่น ผมก็ต้องขอบคุณจริงๆ ”





“ก่อนจะพบคุณผมเคยคิดว่าโลกนี้มันไม่มีที่ให้คนแบบผม… ไอ้อ้วนขี้แพ้ ที่ทำได้อย่างเดียวคือเรียนหนังสือ ไม่ว่าจะขอโทษ ขอร้อง พูดออกไปจากใจจริง สิ่งที่ผมได้คืนมาก็คือการหัวเราะเยาะ การเหยียดหยาม… บางทีแค่ผมมองพวกเชียร์ลีดเดอร์ พวกหล่อนก็ตั้งท่ารังเกียจเหมือนผมเป็นตัวน่าขยะแขยงแล้ว”





“....” คนฟังนิ่งเงียบไปนาน นึกย้อนไปถึงตอนที่โจเซฟเคยแอบมองเขาอย่างหวาดกลัวจากหลังกำแพงบ่อยๆ ในปีนั้น





“แต่คุณไม่เหมือนกัน… ผมรู้สึกได้ ทั้งสีหน้าท่าทาง คุณไม่เคยตั้งท่ารังเกียจพวกเรา ไม่เคยพูดจาใจร้าย… มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ สำหรับคุณ แต่ในโลกที่เลวร้ายแบบนั้น มันก็เป็นเรื่องที่มีความหมายสำหรับหลายๆ คนแล้วล่ะครับ”





“...ฉันไม่เคยรู้เลย ขอโทษนะ”

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ” รถจอดลงหน้าอพาร์ทเมนต์ของชายหนุ่มพอดิบพอดี โจเซฟยกยิ้มบางให้กับคนที่มองตอบอย่างเศร้าใจ “ไปเถอะครับ”





“อืม…” แดริลเปิดประตูรถ ขาก้าวลงไปแล้วข้างหนึ่ง เขาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพูดทิ้งท้าน “ฉันหวังว่านายจะเจอแต่สิ่งดีๆ ในชีวิตต่อจากนี้นะ…”





“...ครับ”





ทุกสิ่งคล้ายจะจบลงด้วยดี เขาก้าวลง ปิดประตูรถ หากแต่ภาพที่เห็นคือบนถนนฝั่งตรงข้าม คนที่คุ้นเคยกันดีกำลังมองตรงมาทางนี้ สีหน้าเหมือนภรรยาที่จับชู้สามีได้ไม่มีผิด





วินเซนต์ในชุดวอร์มกางเกมวอร์มกับเสื้อยืดที่ดูสบายๆ และเป็นลุคที่แสนจะเหมาะกับการอยู่บ้านเดินข้ามถนนมาพร้อมถุงของชำ หยุดอยู่หน้ารถด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม





“วินซ์…” ชายหนุ่มร้องเตือน แต่เหมือนจะไม่ทันแล้วเพราะร่างสูงเกินมาตรฐานคนทั่วไปก้มลงเคาะกระจกรถฝั่งคนขับ ซึ่งโจเซฟเองก็หาได้แสดงท่าทีเกรงกลัว เปิดกระจกออกมาจ้องหน้าตอบอย่างไม่เกรงใจ





“ฉันก็นึกว่าใคร… ไอ้เด็กอ้วนตอนนั้นนี่เอง” พูดทั้งๆ ที่ยกยิ้มอยู่แต่ก็รู้สึกได้ถึงท่าทีข่มขู่กดดันอย่างเห็นได้ชัด

“...ซัมเมอร์” โจเซฟตอบกลับสั้นๆ จ้องตอบกับนักกีฬาคนดังอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ท่าทางคราวที่แล้วนายจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย...” ชายหนุ่มหรี่ตา ท่าทางคุกคามจนน่ากลัวว่าจะได้มีเรื่องกัน จังหวะนั้นเองที่แดริลเดินไปถึงตัวร่างซึ่งสูงกว่า ดึงแขนแข็งแรงนั่นเอาไว้





“วินซ์… ฉันขอร้อง หยุดเถอะ”





วินเซนต์มีสายตาไม่พอใจชัดเจน ทว่าก็ไม่ได้ชักแขนหลบ กลับจับมือข้างนั้นไว้แทนแล้วออกแรงดึง





“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”





ร่างซึ่งเล็กกว่าโดนดึงไปตามแรง แต่ขาก็ก้าวเดินตามไปแบบไม่ได้ขัดขืนเพราะไม่อยากให้สถานการณ์แย่กว่านี้ จังหวะหนึ่งที่หันไปมองโจเซฟก็เป็นสายตาที่เศร้ากว่าเดิมมองตอบกลับมา





“... คุณโกหกผม”





เสียงพูดแสนเบาทว่าได้ยินชัดทุกคำ แต่ไม่ทันจะได้ตอบก็โดนลากเข้ามาในอพาร์ทเมนต์แล้ว





วินเซนต์ไม่ได้ออมแรงเท่าใดนักจนข้อมือของคนโดนดึงออกสีแดง ดูก็รู้ว่ากำลังโมโห… แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ร้องเจ็บอะไร และแดริลก็ไม่คิดว่าตัวเองบอบบางจนต้องร้องเจ็บให้อีกฝ่ายสงสาร ทั้งๆ ที่ถ้าร้องอาจจะดีกว่า...





หลายๆ ทีเขาก็หน้าบางไม่เข้าเรื่อง ซ้ำยังห่วงศักดิ์ศรีไม่เข้าเรื่อง





ขึ้นมาถึงห้องแล้ววินเซนต์ถึงยอมปล่อย ชายหนุ่มมองข้อมือของตนที่แดงเป็นรอยมือคนจับ ขยับมันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดถึงมัน





“ทำไมถึงกลับมากับหมอนั่น” วินเซนต์นั่งลงบนโซฟา ใบหน้ายังคงไม่ยิ้ม มือข้างหนึ่งหยิบกระป๋องเบียร์จากถุงร้านสะดวกซื้อออกมาเปิดดื่ม…





“เขาขอมาส่ง…” แดริลไม่แน่ใจว่าควรเริ่มอธิบายจากตรงไหนดี เขาพยายามใจเย็น ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ วินซ์ รู้สึกเหนื่อยกับการรับมือกับอารมณ์คนเสียเหลือเกิน “วันนี้ฉันไปดูละครบรอดเวย์ที่เขาแสดง”

“นายชอบหมอนั่น? ดูๆ กันอยู่รึไง? ”

“เปล่า.. ฉันชอบผู้ชายตัวสูงกว่านี้ ที่เป็นนักกีฬา… ที่อ่านนิยายคลาสสิคไม่รู้เรื่อง” ร่างเล็กกว่าแย่งกระป๋องเบียร์มาวางไว้บนโต๊ะ “...ที่ต้องควบคุมอาหารเตรียมเปิดซีซันใหม่แต่ดันมานั่งดื่มเบียร์ด้วย”





“วันนี้ชีทเดย์” วินเซนต์พึมพำตอบ “ทำไมถึงปล่อยให้มาส่งได้ แล้วรถนายล่ะ”

“...รถซ่อมอยู่ แล้วเจ้าตัวยืนกรานขอมาส่ง…. มันไม่มีอะไรทั้งนั้น วันนี้ฉันปฏิเสธเขาไปชัดเจนแล้ว ต่อไปนี้จะไม่ตอบข้อความ ไม่ไปเจออีกแล้ว”





คล้ายว่าวินเซนต์จะอารมณ์เย็นลงมากแล้ว… แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจจางๆ





“...นายจะไม่นอกใจเพื่อเอาคืนฉันใช่ไหม” วินซ์

“พูดอะไรบ้าๆ ฉันเป็นคนงี่เง่าแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่” แดริล

“อืม…” วินเซนต์ดึงคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เข้ามากอดแน่น “โทษที เมื่อกี๊เจ็บไหม”

“ฉันไม่เป็นไร” มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ “แค่ตกใจนิดหน่อย นายอย่าใจร้อนทำอะไรบุ่มบ่ามนักสิ เจอปาปารัสซี่เข้าจะทำยังไง”

“...ขอโทษ” อันที่จริงวินเซนต์ ซัมเมอร์ ไม่ใช่คนที่จะขอโทษใครง่ายๆ แม้เจ้าตัวจะผิดจริงๆ ก็ตาม “แต่นายก็น่าจะบอกฉันบ้าง…”

“ถ้าบอกแล้วจะให้ไปคุยไหม? ” แดริล

“ข้ามศพฉันไปก่อน” วินซ์

“.... นั่นแหละ” แดริล

“ฉันไม่ชอบให้ใครมาวอแวกับนาย ฉันจีบนายได้คนเดียว”วินซ์

“อย่าพูดจาเอาแต่ใจนักสิ” แดริล

“เกิดหมอนั่นพานายไปที่ไหนไกลๆ หรือเกิดฉันไม่อยู่แล้วดึงดันบุกรุกเข้าอพาร์ทเมนต์นายล่ะ” วินซ์

“........... ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นเหมือนนายนะวินเซนต์” แดริลพอเข้าใจความกังวลของอีกฝ่าย เพราะที่พูดมาแต่ละอย่างล้วนเป็นสิ่งที่วินเซนต์สามารถทำได้ทั้งนั้นเลย… “...ฉันว่าคนที่น่ากลัวสุดก็นายนี่แหละ”

ร่างสูงใหญ่โน้มตัวลงจูบเบาแทนคำตอบ

หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 15 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 04-01-2019 21:20:02
ตอนที่ 16 (2/2)

“....แล้วพวกนายเคยมีเรื่องอะไรกัน? ทำไมเหมือนจะรู้จักกันล่ะ? ”





พอมาถึงตรงนี้ กลับเป็นวินเซนต์ที่หลบตา





“นายกินอะไรมาหรือยัง? สั่งอะไรมากินกันไหม” พูดแล้วก็ทำท่าจะลุกไป แต่แดริลจับเสื้อวอร์มของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน

“... วินซ์… นายไปทำอะไรมา” ถามย้ำอีกครั้ง คราวนี้มั่นใจว่ามันน่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน...





วินเซนต์เมื่อเห็นหนีไม่พ้นแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ





“ทำเรื่องที่นายน่าจะไม่ชอบ” วินซ์

“... บอกมาเถอะ ปกตินายก็ทำหลายเรื่องที่ฉันไม่ชอบอยู่แล้ว” แดริล

“... ช่วงเกรดสิบเอ็ด จำได้ไหม หมอนั่นตามนายแจเลย แล้วก็ชอบแอบมองนายจนน่ารำคาญ” วินซ์

“อืม…” แดริล

“ฉันอาจจะ… ส่งเพื่อนไป… ข่มขู่นิดหน่อย” วินซ์

“.................” แดริล





มิน่า หลังจากปีนั้นก็เหมือนจะไม่ค่อยเห็นโจเซฟอีกเลยจนแทบลืมไปแล้ว





แดริลนวดขมับ อันที่จริงก็ไม่แปลกใจ นิสัยของวินเซนต์สมัยนั้นเป็นยังไงก็รู้ๆ กันอยู่ ตอนนี้ถึงจะเบาลงแล้วแต่ก็ยังมีความเอาแต่ใจอยู่ดี





“นายนี่นะ… รู้ทั้งรู้ว่าฉันไม่ชอบก็ยังจะทำ แล้วทำไมต้องขยันสร้างศัตรูนัก” การบ่นนั้นมีเพียงความไม่เห็นด้วย แต่ไม่ได้มีอารมณ์โมโห ชายหนุ่มผมดำกดวินเซนต์ไว้กับโซฟาไม่ให้ลุกหนี ซ้ำยังปีนขึ้นตักคร่อมทับเอาไว้ ก้มลงสบตาตรงๆ “...อย่าทำอะไรแบบนี้อีกได้ไหม? ขอร้องล่ะ”

“ก็อย่าทำให้ฉันหึง” วินเซนต์เพียงเลิกคิ้ว สองมือวางบนต้นขาแล้วเริ่มนวดคลึงหนัก ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อจูบอีกฝ่ายบนริมฝีปาก

“อย่าทำตัวไม่มีเหตุผลสิ นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจ” จบประโยคแดริลก็สะดุ้งตัวเล็กน้อยเมื่อต้นคอถูกขบขย้ำ ไม่ได้แรงจนรู้สึกเจ็บแต่ก็พอที่จะเรียกเสียงครางแผ่ว

“อืม... รู้แล้ว ฉันโตแล้วไม่ทำอะไรเด็กๆ แบบนั้นหรอก” เห็นไม่มีเสียงห้าม มือหยาบก็ยิ่งล้วงเข้าไปในเสื้อเชิ้ตขาว ปลายนิ้วกดหนักหยอกล้อยอดอกที่แข็งขึ้นรับสัมผัส “พรุ่งนี้วันหยุด…”





วินเซนต์ยกยิ้มขณะกระซิบข้างหูคนในอ้อมแขน ที่กำลังนั่งหน้าแดง ไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ





ริมฝีปากได้รูปเคลื่อนลงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตทีละเม็ด ดวงตาสีเขียวเหลือบขึ้นมอง จับจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา ทำเอาคนโดนมองนึกอยากมุดหนีไปไกลๆ





มือข้างหนึ่งแหวกสาบเสื้อเชิ้ตออก ท้องนิ้วสากที่สัมผัสผิวกายชวนให้ถูกกระตุ้นมากกว่าเก่า ไฟยังเปิดสว่าง ดวงตาคู่นั้นไล่มองตั้งแต่ต้นคอลงไปถึงหน้าท้องราบ





“ไม่มีรอย…” วินเซนต์ยกยิ้มขำ ไล่จูบทิ้งร่องรอยสีแดงเป็นจ้ำตั้งแต่อกต่ำลงไปเรื่อยๆ

“แน่สิ จะไปมีได้ยังไง ฉันไม่เหมือนนายสักหน่อย” น้ำเสียงนั่นแฝงความขัดเขินปนขุ่นเคืองเบาๆ ลมหายใจสะดุดเล็กน้อยเมื่อริมฝีปากอุ่นแนบลงบนผิวกาย

“ตอนนั้นฉันไม่ดีเอง ฉันขอโทษ” การได้ยินคำว่าขอโทษสองครั้งจากปากวินเซนต์ในวันเดียวทำให้รู้สึกเหมือนฟ้ากำลังจะถล่มและวันสิ้นโลกจะมาถึงในพรุ่งนี้อย่างไรชอบกล

“ช่างเถอะ มันผ่านมานานแล้ว”

“ผ่านนานแล้วแต่นายปล่อยมันไปได้จริงๆ หรือเปล่า? ” สองมือเคลื่อนลงไปที่เอว รู้ตัวอีกทีเข็มขัดหนังเส้นยาวก็ถูกปลดออกเสียแล้ว

“นี่เราจะคุยเรื่องนี้กันตอนนี้จริงๆ เหรอวินซ์? ” คนที่ทั้งเสื้อผ้าหลุดลุ่ยทั้งแก้มขึ้นสีมุ่นคิ้วถาม ทำเอาวินเซนต์ที่กำลังมืออยู่ไม่สุขถึงกับหลุดขำ

“ไม่คุยก็ไม่คุย” มือหยาบเอื้อมไปหลังศีรษะ นิ้วชี้เกี่ยวดึงยางรัดผมออก ปล่อยให้เรือนผมสีดำยาวตกระบ่า ร่างสูงใหญ่หัวเราะเบา จับรวบเอวดันให้ร่างที่บางกว่านอนลงบนโซฟาหนัง จับลอกคราบเสื้อผ้าแล้วโยนไว้ลวกๆ บนพื้น

ร่างในอ้อมแขนตอบสนอง ยกแขนขึ้นโอบรอบบ่าอีกฝ่าย กระซิบบอกเบาๆ ที่ข้างหู

“...ถุงยาง… ในลิ้นชัก”

“... โทษทีนะที่รัก แต่ฉันใช้ของนายไม่ได้หรอก มันคับ” คนพูดไม่ได้พูดเปล่า ยังฉีกยิ้มกวนจนอีกฝ่ายหน้าเสีย ยกขาถีบมันไปทีหนึ่ง แต่กลับโดนจับไว้ได้เสียก่อน

“วินเซนต์!!”

“อะไรกัน? ฉันแค่พูดความจริง” คนหน้าด้านยักไหล่ ท่าทางราวว่าตนเองไม่มีความผิดอะไรเลย ก่อนจะดึงเสื้อยืดของตนเองขึ้นเหนือศีรษะ เผยให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เป็นหลักฐานของการฝึกฝนร่างกายอย่างหนัก เขาโยนผ้าชิ้นนั้นมั่วๆ ไว้ที่มุมห้อง หยิบกล่องกระดาษทรงสี่เหลี่ยมออกจากถุงร้านสะดวกซื้อมาวางไว้ใกล้ๆ

เจ้าของห้องเริ่มหน้าแดงขึ้นทุกที ขณะพยายามจะลุกไปปิดไฟเอวก็ถูกดึงรั้งไว้

“จะไปไหน?” วินเซนต์ถาม ขณะดึงร่างซึ่งบางกว่ากลับมาให้นอนอยู่ท่าเดิม

“...ปิดไฟ”

“ไม่ต้องปิด ฉันชอบดูนายเขิน” นึกอยากด่าแล้วทุบมันสักที แต่ยังไม่ทันได้ทำเช่นนั้นสองขาก็ถูกจับยกขึ้น ร่างที่บางกว่านอนหงายกลับลงไปแบบไม่ทันตั้งตัว

ไฟห้องยังสว่างจ้า ทั้งยังไม่มีที่ให้หลบ จึงได้เพียงยกมือขึ้นปิดใบหน้าแดงๆ ของตนเองอย่างไม่มีทางเลือก

“นายมันแย่--” ปลายเสียงหายไปพร้อมกับสองนิ้วที่เปียกชุ่มด้วยของเหลวซึ่งสอดเข้ามาในร่างกาย ทำเอาแดริลเผลอหลุดเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ

มือของวินเซนต์เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ดันเข้าลึกแล้วค่อยๆ นวดคลึงให้ช่องทางนั้นผ่อนคลายลง





“อย่าปิดหน้าแบบนั้นสิ” วินเซนต์พูดกลั้วด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ ลมหายใจระบายออกหนักขึ้นอย่างรู้สึกได้

“ไม่” ตอนกลับอย่างหนักแน่น แล้วก็ต้องสะดุ้งตัวเมื่อสัมผัสชุ่มชื้นไล้ลงบนยอดอกแล้วขบเบา พร้อมๆ กับสองนิ้วที่กดย้ำบริเวณจุดอ่อนไหวด้านหลัง จนเจ้าของร่างเผลอยกสองมือออกไปขยุ้มเรือนผมสีทองตัดสั้น

ดวงตาที่ฉายแววหยอกล้อปนกระหายคล้ายกำลังรอปฏิกิริยานั้นอยู่แล้ว วินเซนต์ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะที่มองสบกับเจ้าของดวงตาสีฟ้าที่กำลังหน้าแดงจัด ที่หางตามีน้ำคลอออกมาเล็กน้อย





“ทำไมต้องแกล้งทุกทีเล--” ยังไม่ทันจบประโยคเสียงพูดก็ขาดช่วงและเปลี่ยนเป็นเสียงคราง ท่อนแขนแข็งแรงที่ยังว่างก็รวบดึงแผ่นหลังของอีกฝ่ายให้เอนขึ้น ขบขย้ำยอดอกสีเรื่อแล้วดูดซ้ำจนเริ่มรู้สึกเจ็บ นิ้วที่สามที่สอดเข้ามาทำให้อึดอัด แต่ก็กระตุ้นเร้าไปพร้อมๆ กัน





“ก็นายชอบให้ฉันแกล้ง รู้ตัวไหม?” วินซ์ตวัดลิ้นหยอก ดวงตาไม่ยอมย้ายจากใบหน้าที่กำลังแดงจัดเลยสักนิด ระหว่างนั้นมือก็ทำงานไปด้วย หลังจากสอดนิ้วกระแทกเข้าลึก คนในอ้อมแขนก็ผวากอด สักพักสะโพกถึงขยับรับไปเองอย่างห้ามไม่อยู่ “เห็นไหม? … นายชอบ”

คนพูดยกยิ้มร้าย กระซิบข้างหูเสียงเบา ทำเอาใบหูที่แดงอยู่แล้วยิ่งออกสีไปกันใหญ่





สามนิ้วค่อยๆ ถอนออกจากกาย เจ้าของร่างส่งเสียงครางแผ่วคล้ายจะไม่ชอบใจ แต่ก็ยังไม่ยอมตอบคำถามอยู่ดี ทั้งๆ ที่ในใจมีคำตอบชัดเจนอยู่แล้ว





วินเซนต์ขยับตัวถอยไปเล็กน้อย เอื้อมหยิบกล่องถุงยางที่วางไว้บนโต๊ะข้างๆ มือเปิดกล่องหยิบออกมาซองหนึ่ง แต่แทนที่จะจัดการเอง ก็กลับยัดใส่มือเจ้าของห้อง จากนั้นก็โน้มลงกระซิบข้างหู ด้วยประโยคออกคำสั่ง “ใส่ให้ฉัน”





แดริลทั้งฉุนทั้งเขิน สีแดงบนใบหน้าลามลงไปถึงบนต้นคอ ดวงตาสีฟ้าเบือนมองไปทางอื่นไม่ยอมสบตา แต่ถึงอย่างนั้นมือก็รับซองพลาสติกที่ว่ามาอยู่ดี





ความร้อนบนใบหน้าคล้ายจะแผ่ลามไปถึงใบหู สองนิ้วเกี่ยวขอบกางเกงของอีกฝ่าย ดึงรั้งลงเสียจนส่วนนั้นปรากฏแก่สายตา ยิ่งรู้สึกถึงสายตากระหายของวินเซนต์ที่จ้องมา ประกอบกับท่าทีรอคอยนั่นแล้วก็ยิ่งรู้สึกทำตัวไม่ถูก...

ฟันเขี้ยวงับเข้าที่มุมซอง ก่อนจะใช้มือช่วยดึงให้ขาด หยิบชิ้นของที่อยู่ข้างในออกมาแล้วมองส่วนที่กำลังแข็งขึ้นของอีกฝ่ายอย่างกระดากอาย ยิ่งไฟสว่างจ้าก็ยิ่งเห็นรายละเอียดได้ชัดเจนเกินไป หน้าร้อนเสียจนแทบไหม้ แล้วก็ไม่รู้ว่าควรเอาไปฝังไว้ที่ไหนดี แต่กระนั้นมือก็ยังเอื้อมออกไปอยู่ดี

สองนิ้วค่อยๆ รูดลงจนสุดความยาว ขณะที่ทำก็ทั้งไม่มองหน้า ไม่สบตา แต่หูก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของอีกฝ่ายที่โน้มลงมากระซิบข้างๆ “นายเห็นมากี่รอบแล้ว จะเขินอะไรอีก”





“...ปิดไฟ” เสียงตอบกระซิบแผ่ว น้ำเสียงฟังดูคล้ายเป็นการร้องขอ วินเซนต์ฟังแล้วก็เพียงฉีกยิ้ม และตอบสั้นๆ ว่า…





“ไม่”





ต้นขาทั้งสองข้างถูกจับยกขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว พร้อมกำสิ่งที่ค่อยๆ ดันตัวเข้ามาในช่องทางด้านหลัง เจ้าของร่างสูงใหญ่ลากลิ้นเลียริมฝีปาก ค่อยๆ เริ่มเคลื่อนตัวจังหวะช้า ดวงตาสีเขียวไล่มองบนร่างกายของอีกฝ่ายที่แทบจะแดงไปทั้งตัว





แดริลหลุดเสียงร้องเมื่อจู่ๆ วินซ์ก็กระแทกเข้ามาจนสุดความยาว ร่างที่บางกว่าสะท้านเบาเมื่อจุดอ่อนไหวด้านในถูกบดขยี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนสะโพกขยับตอบสนองตามจังหวะอีกฝ่าย





วินซ์ไล่มองร่างนั้นแทบทุกสัดส่วน กระทั่งหยุดลงที่เอวซึ่งกำลังเคลื่อนไหวตอบสนองอย่างเต็มที่





“เอวนายดี” แล้วก็พูดออกมาตามที่คิด ซ้ำร้ายมือหยาบยังลูบขยำตามใจ เลื่อนลงไปเรื่อยจนถึงสะโพก แล้วตีเบา “สะโพกก็ดี…”





บริเวณที่ถูกตีสะดุ้งเล็กน้อย แดริลเบือนหน้าหลบสายตาคู่นั้นที่มองมาอย่างหิวกระหาย

“จะหยุดพูดได้รึยัง…”

“พอฉันพูด.. ด้านหลังนายยิ่งตอดแน่นเลยรู้ไหม” เสียงทุ้มกล่าวปนหอบเบา มือหยาบลูบไล้สะโพกที่กำลังยกขึ้นเพื่อขยับตอบรับตนเอง “เซ็กซี่เป็นบ้า…”

พูดจบก็ก้มลงจูบสั้น ขยับท่อนล่างเร่งจังหวะจนทำเอาอีกฝ่ายร้องครางไม่เป็นภาษา

“ชอบไหม?” วินเซนต์ถามแล้วก็จูบอีกที ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนริมฝีปากเริ่มจะบวมแดง

“.............ชอบ” คนตอบยอมรับเสียงเบา

“ชอบแบบไหน?" สิ้นคำถาม สองมือของแดริลก็ยกขึ้นบังใบหน้าแดงจัดของตนเองอีกครั้ง

“........แรงๆ ”





วินซ์ยิ้มกว้าง ยิ่งยกสะโพกของอีกฝ่ายขึ้นสูง โถมตัวกระแทกย้ำจนสุดความยาว





“แบบนี้?” ถามปนเสียงหอบหนัก เสียงการกระทบที่ฟังดูลามกดังสะท้อนไปทั้งห้อง ถึงแดริลไม่อยากฟังก็ต้องฟัง แต่ครั้นอ้าปากจะตอบ ก็กลับหลุดเสียงครางพอใจออกมาแทน

“วินซ์… จะ… ไม่ไหวแล้ว”

“ไหนให้ฉันดูชัดๆ หน่อย” ไม่ทันจะได้พูดปฏิเสธ มือก็ถูกดึงออก เรือนผมสีดำค่อนข้างยุ่งเหยิง ใบหน้าแดงจัดกำลังหอบหนัก หยดน้ำซึมออกมาจากหางตาทั้งสองข้าง





วินซ์มองแล้วก็ลากลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผาก จังหวะการขยับเร่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ





ร่างข้างใต้ร้องดัง มือประสานบีบมืออีกฝ่ายแน่น เอวเหยียดกายยกตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ส่วนกลางลำตัวจะชุ่มไปด้วยของเหลวสีขุ่น





วินเซนต์กัดฟันแน่น ในลำคอคล้ายจะหลุดเสียงคำราม ขยับสะโพกกระแทกหนักเข้ามาอีกสองที และทุกอย่างก็สงบลง



ร่างสูงใหญ่รวบคนรักของตนที่ยังนอนหอบไร้เรี่ยวแรงมากอดเบาพร้อมก้มลงจูบขมับอย่างพอใจ





“ฉันว่าเราควรเปิดไฟบ่อยๆ”



อีกคนไม่ตอบ เพียงเบือนหน้าหนี… แต่วินเซนต์ก็ไม่ได้สะทกสะท้านหรือกระทบอะไรแต่อย่างใด มือหยาบลูบบนเอวอีกฝ่ายเล่นอย่างเพลิดเพลิน แล้วเลื่อนลงมาถึงต้นขา





“ฉันจะไปอาบน้ำ” พูดจบแดริลก็ลุกหนี ก้าวขามุ่งไปทางห้องน้ำอย่างเร่งรีบ หากแต่อีกคนกลับเดินตามมา รวบตัวเอาไว้ และจับหิ้วเดินไปทางห้องน้ำ





“อีกรอบในห้องน้ำก็ไม่เลว” คนโดนหิ้วแก้มขึ้นสีขึ้นมาอีกเล็กน้อย ไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ…





และเช้าวันรุ่งขึ้นกว่าเขาจะตื่นเต็มตาก็เลยเที่ยงวันไปแล้ว….





…………….





เช้าวันอาทิตย์ แดริลยืนมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจก สำรวจร่องรอยตามตัวมากมายที่ถูกทิ้งไว้เมื่อคืน ไล่ตั้งแต่ต้นคอลงไปถึงหน้าท้องและต่ำลงกว่านั้น แทบไม่มีส่วนไหนที่ไม่ถูกประทับตรา





ชายหนุ่มมุ่นคิ้วไม่พอใจ นิ้วปาดรอยบนต้นคอให้หายแดง แต่ก็เหมือนจะไม่เป็นผล จึงได้แต่พยายามหาอะไรมาทาตามตัวเพื่อให้มันจางลง แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่มีทางทันวันจันทร์





ใส่เสื้อคอเต่าแขนยาวจนจะหมดตู้แล้ว.. บ้าเอ๊ย



ตอนออกไปวิ่งออกกำลังทุกวันนี้ก็ต้องใส่เสื้อวอร์มแขนยาวตลอด ใส่เสื้อเชิ้ตก็ต้องติดกระดุมแทบทุกเม็ดเลยลงเอยที่ช่วงนี้เขาผูกเนกไทไปเกือบทุกวันไม่ก็ใส่เสื้อคอเต่า จนคนในทีมแตกตื่นนึกว่านักลงทุนจะมาวันเว้นวันแล้วช่วงนี้





ปลดผ้าเช็ดตัวที่พันร่างกายท่อนล่างออกดู ก็พบรอยแดงที่ต้นขาเต็มไปหมด กับรอยช้ำที่ใต้เข่า





แดริล เชนลูบหน้าแดงๆ ของตน ขณะนั้นวินซ์ก็ออกจากห้องน้ำมาอย่างได้จังหวะ ร่างซึ่งสูงกว่ายืนพิงตู้เสื้อผ้า ผิวปากเบาเป็นเชิงหยอกล้อ





“วิวดีแต่เช้า” คนฟังตอบสนองด้วยการหันหลังใส่ กระทั่งบนแผ่นหลังยังมีรอยแดงกระจายอยู่หลายจุด

ชยหนุ่มรีบสวมเสื้อผ้า เดินหลบวินเซนต์ไปหยิบกุญแจรถที่แขวนอยู่บนตะขอเกี่ยวติดกำแพง





“นายจะออกไปไหน? ”

“ไปซื้อโซฟาใหม่” แดริลพึมพำตอบขณะหยิบกระเป๋าสตางค์หนังมายัดใส่กระเป๋ากางเกง และสวมนาฬิกาแบรนด์ดังใส่ข้อมือ

“ฉันไปด้วย”





คนที่กำลังพยายามสวมนาฬิกาให้เข้าที่ถึงกับชะงัก ก่อนจะตอบเสียงเบา





“อย่าเลย แปบเดียวเดี๋ยวก็กลับ”

“แต่โซฟาฉันใช้เยอะสุด ฉันควรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและการจ่ายเงินด้วย”





แดริลมีสีหน้าลำบากใจชัดเจน





“ทำไม? นายขายหน้าที่ให้ใครเห็นว่าไปไหนมาไหนกับฉันหรือไง” วินเซนต์ยิ้มหยอก ก่อนก้มลงจูบเบาบนริมฝีปาก

“ไม่ใช่อย่างนั้น… ก็แค่--”

“ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่? เลยคิดจะซ่อนฉันไว้ไม่ใช่ใครเห็น… อา ฉันรู้สึกเหมือนเรากำลังเล่นชู้กันอยู่เลย” คนพูดหัวเราะออกมาเบาๆ ทำเอาแดริลถอนหายใจทีหนึ่ง

“นายก็รู้นี่..”

“ไม่เอาน่า แค่ผู้ชายสองคนไปเดินดูเฟอร์นิเจอร์ด้วยกันเฉยๆ ไม่มีใครคิดว่าแปลกหรอก” พูดแล้วก็แย่งกุญแจรถไปถือเอง เดินไปหยิบแจ็คเกตมาสวม แล้วก็ชิงเดินออกจากห้องไปก่อนโดยไม่ฟังความเห็นอีกคนเลย





“วินเซนต์! ” แดริลก้าวขายาวๆ ตามไป ต้องหยุดล็อกประตูทำให้คว้าตัวห้ามไม่ทัน กว่าจะตามทันเจ้าคนเอาแต่ใจก็ไปนั่งในที่นั่งฝั่งคนขับเรียบร้อยแล้ว





ไอ้บ้านี่...





“เร็วหน่อยสิ ฉันว่าจะแวะซื้อกาแฟด้วย”

“......”





สุดท้ายตั้งแต่เด็กยันโต ทักษะการรับมือวินเซนต์ ซัมเมอร์ของเขาก็เหมือนจะไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยสักนิด ได้แต่นั่งหน้าบูดในที่นั่งข้างคนขับระหว่างทางไปซื้อโซฟาตัวใหม่ ตรงข้ามกับคนข้างๆ ซึ่งดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

สุดท้ายพวกเขาก็ได้โซฟาหนังตัวใหม่ที่ขนาดใหญ่กว่าเดิมและปรับเป็นโซฟาเบ้ดได้ หลังจากได้ของก็แวะกินข้าวกลางวัน และมุ่งหน้ากลับบ้าน





ระหว่างการเดินข้ามลานจอดรถ จู่ๆ แดริลก็รู้สึกถึงสัมผัสหยาบจากปลายนิ้วอีกฝ่ายบนฝ่ามือของตนเอง

แดริลรีบดึงมือกลับ เร่งฝีเท้าเดินด้วยสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดวงตาสีฟ้ากวาดมองบริเวณรอบๆ อย่างหวาดระแวง จนไม่ทันได้มองสายตาผิดหวังของคนข้างๆ





เมื่อคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย เงยหน้าขึ้นอีกทีวินเซนต์ก็ขยับตัวมาประทับจูบเบา ดวงตาสีเขียวสะท้อนความไม่ชอบใจจางๆ





ในจังหวะนั้นที่หางตาแดริลเหมือนจะเห็นแสงสีขาววูบหนึ่ง อาจเพราะแกล้งเป็นแฟนแคทมาหลายปีทำให้ความรู้สึกไวกับอะไรพวกนี้ สองมือของชายหนุ่มรีบดันอกวินซ์ออกห่าง





คนที่โดนปฏิเสธสามรอบในวันเดียวยิ่งมีหน้าตาไม่น่ามองเข้าไปอีก

“.... ฉันว่ามีแสงแฟลช” คิ้วสีดำมุ่นลง หันมองออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างระมัดระวังก็ไม่เห็นว่าจะมีใครอยู่แถวนั้น

“นายกังวลมากไป” วินเซนต์ถอนหายใจ แค่มองก็รู้ว่าหงุดหงิดไปแล้ว เจ้าตัวออกรถโดยเหยียบคันเร่ง รถคันที่ธรรมดาสามัญพอๆ กับราคาของมันแล่นออกจากที่จอด สู่ถนนใหญ่ที่หนาแน่น “เราจะปล่อยตัวตามสบายกันไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม”





ชายหนุ่มพยายามคิดปลอบใจตนเอง ว่าอาจจะคิดมากไปจริงๆ …. ทุกครั้งที่ออกมากับวินเซนต์เขาจะทั้งเกร็งทั้งระวังตัวเกินกว่าเหตุเสมอจนบางทียังรำคาญตัวเอง





วินเซนต์ไม่ใช่คนที่ทำอะไรหลบๆ ซ่อนๆ กระทั่งนอกใจแฟนสมัยไฮสคูลยังนอกใจอย่างเปิดเผยจนโดนตบหน้าหันมาแล้วไม่รู้กี่รอบ… นั่นแดริลก็รู้ดี





“อีกสองปี… รอให้นายทำลายสถิติของตัวเองได้…”

“นายถึงจะยอมไปไหนมาไหนด้วยกัน ให้ฉันจับมือ ไปเดท ใช่ไหม? ”

“อืม…”

“... ให้ตายสิ ตั้งแต่สมัยไฮสคูล ฉันไม่เคยพานายไปเลี้ยงข้าวหรือเที่ยวที่ไหนเลยนี่” วินเซนต์ยิ่งพูดและยิ่งนึกย้อนไปก็ยิ่งมุ่นคิ้ว “วันเกิดนายก็ไม่เคยซื้ออะไรให้ ไม่มีกระทั่งภาพคู่”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นอยู่แล้ว ไว้ถ้าอยากไปจริงๆ ฉันก็พานายไปเองนั่นล่ะ” ในน้ำเสียงไร้ซึ่งแววประชดประชันหรือน้อยใจสักเศษเสี้ยว...

“.... นายจะเรียกร้องเอาอะไรจากฉันให้มากกว่านี้สักหน่อยก็ได้นะ แดริล” คนฟังเลิกคิ้วให้กับประโยคนั้น…

เดี๋ยวนะ… มันฟังดูมีอะไรไม่ถูกต้องชอบกล





“ฉันก็เรียกร้องในแบบของฉันแล้ว…”

“หมายถึงให้พาไปเที่ยวบ้าง ให้ซื้อของขวัญวันเกิดให้บ้าง ให้จำวันครบรอบให้ได้ ให้สนใจนายมากๆ หน่อย อะไรทำนองนี้”

“..... นี่หัวไปกระแทกอะไรมา” แดริลมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์





“หัดอ้อนฉันบ้าง”





ฟังแล้วก็เกิดความเงียบกริบไปพักหนึ่ง แดริลหันไปปิดปากกลั้นขำ สุดท้ายก็ทนไม่ไหวขำออกมาจริงๆ ขำหนักจนถึงขั้นงอตัวลงเล็กน้อย





“นายก็ไม่ใช่ประเภทที่จะมาใส่ใจทำอะไรพวกนี้ให้ใครอยู่แล้ว วันเกิดแม่ยังแทบจำไม่ได้เลยมั้ง ฉันต้องคิดมากด้วยเหรอ? ” ชายหนุ่มปาดน้ำตาที่เล็ดออกมากเพราะหัวเราะมากไป

“ถ้าเป็นคนอื่นเรียกร้องมันก็น่ารำคาญอยู่หรอก…..นี่ฉันเป็นแฟนที่ห่วยแตกมากเลยใช่ไหม” ชายร่างใหญ่ถอนหายใจออกมา





นายเพิ่งรู้ตัวเหรอ….





“.......ใช่ แต่บังเอิญรสนิยมเรื่องผู้ชายของฉันก็ห่วย… คำพูดแคท” รถคันใหญ่แล่นเข้าที่จอดในอพาร์ทเมนต์ แล้ววินซ์ก็ดับเครื่องยนต์

“นายควรจะบอกว่า ‘ไม่ใช่ นายเป็นผู้ชายที่วิเศษมาก’ มากกว่านะ” วินเซนต์หรี่ตามองคนข้างๆ

“วันนี้ไม่ใช่เอพริลฟูล” พูดจบร่างสูงใหญ่ก็ขยับตัวมาจูบแก้มคนพูดหนักๆ อีกครั้ง “... วินซ์ ไม่ใช่ตรงนี้”





คนที่ถูกห้ามเป็นรอบที่สองของวันถอนหายใจ ยอมถอยไปแต่โดยดีพร้อมขยี้หัวตัวเองเบาๆ





“ก็ได้… ก็ได้” วินเซนต์ยกมือยอมแพ้ ยอมเปิดประตูก้าวลงจากรถแต่โดยดี ร่างซึ่งบางกว่าก้าวตามลงมา ส่ายหน้าน้อยๆ แล้วก็ค่อยๆ เดินตามไป





จังหวะนั้นหางตาเหมือนจะเห็นใครบางคนที่ดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก… เหมือนกับจะเห็นที่ร้านอาหารวันนี้

คนคนนั้นคล้ายสังเกตเห็นสายตาของเขาก็หันหลังเดินหนีไปทันที





“แดริล ลิฟต์มาแล้ว” เสียงเรียกของวินเซนต์ดึงความสนใจกลับไป ชายหนุ่มตอบรับและรีบก้าวขายาวๆ เพื่อตามอีกฝ่ายให้ทัน





เขาอาจจะคิดมากไปเอง…. ใช่… ก็คงคิดมากไปเองนั่นละ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-01-2019 22:02:47
 :katai2-1:

โดนเล่นแล้ววววว
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-01-2019 22:56:50
คงจะมีข่าวใหญ่เร็วๆนี้
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-01-2019 01:01:57
 :z1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 05-01-2019 13:19:28
ไม่อยากเปิด ก็ต้องเปิดแน่
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 05-01-2019 21:02:49
อยากให้เป็นแค่เรื่องคิดมาก จะดราม่าหรอแต่แกเขาพึ่งจะคืนดีกันหลังจากห่างกันไป9ปีเลยนะ :katai1: :hao5: แล้วก็พึ่งเคลียร์กันเสร็จ ชอบฉากต่อจากเคลียร์เสร็จเวอร์ แซ่บเผ็ชมาก :haun4: จะรอตอนต่อไป ได้โปรดอย่าทำร้ายใจกันเลย :กอด1: 
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kogomon ที่ 06-01-2019 14:49:40
พึ่งได้เข้ามาอ่าน ชอบมาก สนุกมากกก ภาษาก็ดีอ่านแล้วเพลิน มาลงให้เรื่อยๆนะครับ

 o13
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: skyberry ที่ 06-01-2019 18:23:13
เราชอบสำนวนของเรื่องนี้จังเลยค่ะ รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่นิวยอร์กไปด้วย ส่วนเรื่องปาปารัสซี่นี่ใช่แน่ๆ หนูแดริลจะทำยังไงต่อ  :katai3:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 06-01-2019 20:23:08
แวะเข้ามาอ่าน สนุกกว่าที่คิด  :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 06-01-2019 23:35:54
ตามคุณหมีมาอ่าน เรื่องนี้ภาษาดีมากกกกกก แง้เราพลาดไปได้ยังไง เป็นกำลังใจให้น้อง
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Fujoshi ที่ 07-01-2019 00:45:06
เป็นเรื่องที่ดีมากเลยค่ะ
สำนวนเหมือนอ่านนิยายแปลเลย
ขอบคุณคนเขียนมากนะคะที่สละเวลามาเขียนนิยายดีๆภาษาสวยแบบนี้ให้เราอ่าน
ชอบนายเอกมากๆๆๆ แต่ดูเหมือนจะชอบคิดเยอะไปหน่อย
รอวันที่นายเอกยอมรับอะไรหลายไปอย่างได้นะคะ 5555555
รอตอนต่อไปค่าาาา
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Stmmltww ที่ 07-01-2019 01:18:32
สนุกมากเลยค่ะ พึ่งมาอ่าน สำนวนไม่เหมือนนิยายไทยเลย ชอบมากเลยค่า
ขอบคุณนะคะ

ปาปาตามถ่ายแน่ๆเลย น่าจะใกล้เป็นข้าวแล้วใช่มั้ยนะคู่นี้ อยากให้แดริลก้าวผ่านไปได้กับวินซ์แบบเข้มแข็งนะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 07-01-2019 09:44:40
สนุกมากกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mew.kani ที่ 07-01-2019 11:52:47
ต้องมีเรื่องน่าปวดหัวตามมาอีกแน่ๆ
ไม่อยากให้แดริลคิดมากกเลย
อยากให้คุณเค้ามีความสุขซักที ฮือออ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-01-2019 14:14:52
สนุกมากค่ะ สำนวนเหมือนอ่านนิยายแปล เปิดไว้นานแล้วเพิ่งได้มาอ่าน อยากโอนตังซื้อเล่มเลย  :hao5:

คนเขียนมีนิยายเรื่องอื่นที่เคยแต่งไหมคะ อยากตามไปอ่านงานเขียน ดีมากเลย ประทับใจจจจ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 08-01-2019 09:39:45
ภาษาอ่านเพลินมากๆๆเป็นกำลังใจให้นะคะ o13
รอติดตามค้าาาาาา :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 10-01-2019 21:32:31
ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าเป็นมากกว่านิยายวายจริงๆนะคะ ดีมากเลย รอตอนต่อไปค่าาา
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Chobreadyaoi ที่ 11-01-2019 00:26:08
เอาละสิถ้าเป็นข่าวขึ้นมาจะเป๋นไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 11-01-2019 12:25:21
ชอบมากภาษาดีมากเลยค่ะ เนื้อเรื่องก็สนุกมากกกก

ทำไมเรารู้สึกระแวงโจเซฟยังไงก็ไม่รู้ ลางสังหรณ์มันบอกว่ากำลังจะเกิดเรื่องแน่ๆเลย :katai1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 11-01-2019 15:33:04
บทที่ 17 Exposed (1/2)

   ทุกอย่างผ่านไปโดยปกติดี จนกระทั่งสองอาทิตย์ถัดมา…

   ช่วงนี้วินซ์ค่อนข้างยุ่งกับการเตรียมตัวสำหรับฤดูกาลการแข่งขันที่กำลังจะมาถึง จึงต้องฟิตร่างกายเป็นพิเศษ ทำให้ไม่ค่อยจะโผล่มากวนใจเขาบ่อยเท่าช่วงก่อน

   วันนี้เป็นบ่ายวันหยุด แดริลชงกาแฟจิบ เปิดหนังสือพิมพ์อ่าน ดื่มด่ำกับช่วงเวลาเป็นส่วนตัวอันสงบสุขที่ค่อนข้างห่างหายไปนาน… แต่แล้วจู่ๆมือถือก็สั่น

   ชายหนุ่มถอนหายใจ คิดในใจว่าอาจจะเป็นปัญหาเรื่องงาน บางทีเว็บไซต์ล่มวันหยุดก็ต้องลุกมาแก้ปัญหากันบ้าง แม้จะเป็นวันหยุดแต่ยอดขายไม่ได้หยุดตามคนเสียหน่อย

   ปรากฏว่าเว็บไซต์ปลอดภัยดี คนที่ส่งข้อความมาคือแคทเธอรีน บราวน์

   ‘ทูนหัว ทำใจดีๆนะคะ เธอเห็นข่าวนี้หรือยัง?’ แคทแนบลิงก์มาด้วย มันเป็นลิงก์ข่าวแทบลอยด์ซุบซิบคนดัง เจ้าที่คุณแบล็ควู้ดชอบเป็นหัวข้อข่าวบ่อยๆนั่นละ….

   แดริลสังหรณ์ใจไม่ดีเมื่ออ่านประโยคนั้น แต่มือก็กดเข้าไปอ่านอยู่ดีเพราะความอยากรู้อยากเห็น

สายตาอ่านพาดหัวประโยคแรก หน้าก็ถึงกับชาไปวูบหนึ่ง

‘ภาพหลุดนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลดัง วินเซนต์ซัมเมอร์กันแฟนหนุ่มไม่ทราบชื่อ’
 
   ภาพถ่ายที่ปรากฏในหน้าข่าวเป็นรูปของวินเซนต์กับตัวเขาเองในที่จอดรถห้างในวันก่อน ภาพของตัวเขาไม่ค่อยชัดนักเพราะมุมกล้อง มันป็นภาพที่วินซ์ขยับตัวมาจูบในรถพอดิบพอดี

   ‘แหล่งข่าวนิรนามกล่าวว่าทั้งคู่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันตั้งแต่สมัยไฮสคูล มักไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ และยังเคยเห็นพวกเขาจูบกันที่ลานจอดรถของโรงเรียนอีกด้วย’

   ชายหนุ่มผมดำมือสั่น จนมือถือลื่นหลุดมือ ร่วงลงบนพื้นพรม

   ค่อนข้างนาน…. เขาไม่ได้ใส่ใจจะหยิบมันขึ้นมา ใบหน้าถอดสี คิดถึงเรื่องต่างๆที่จะเกิดขึ้นเพราะข่าวนี้ ผ่านไปประมาณหนึ่งถึงตั้งสติได้ รีบกดเบอร์มือถือ โทรหาใครบางคนทันที

   รับสิ รับสิ.. รับ

   “ฮัลโหล” ในที่สุดก็มีเสียงดังออกมาจากปลายสาย เสมือนห่วงยางชูชีพกลางคลื่นลมแรงให้สติของเขาเกาะเกี่ยวเอาไว้

   “วินซ์…นายรู้เรื่องหรือยัง” เสียงนั้นติดสะอื้นเบา ฟังดูคล้ายจะร้องไห้ อีกฝ่ายถอนหายใจ คล้ายจะแทนคำตอบทั้งมวลว่าเขารู้หมดแล้ว
   “แดริล… นายต้องใจเย็นๆ อย่าพึ่งทำอะไรทั้งนั้น รอฉันก่อน เข้าใจไหม” เสียงที่ปลายสายพูดเบาเป็นพิเศษ ดูเหมือนกำลังเป็นกังวล “ฉันอยู่กับผู้จัดการ… คงต้องเคลียร์เรื่องนี้กันอีกสักพัก ช่วงนี้ฉันน่าจะกลับไปไม่ได้ นายโอเคหรือเปล่า”

   “อืม… ฉันโอเค” เขาตอบสียงเบา พยายามคุมสติตนเองไม่ให้เตลิดไปเสียก่อน

วินซ์… ฉันต้องการนาย ตอนนี้

แดริลอ้าปากออก แล้วก็ปิดมันลง หลับตาข่มกลั้นอารมณ์ไม่ให้ปะทุออกมา

“ฉันไม่เป็นไร นายทำเรื่องที่ต้องทำเถอะ” แม้อีกฝ่ายจะไม่อยู่ตรงหน้า เขาก็ฝืนยิ้มอยู่ดี… ก็แค่จัดการอารมณ์ตัวเอง อายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ต้องมีปัญญาทำอยู่แล้ว เขาจะทำตัวให้วินซ์เป็นกังวลไม่ได้ ในเวลานี้ที่อีกฝ่ายน่าจะมีเรื่องต้องให้จัดการเยอะกว่าเขาอีก

“แน่ใจนะ?…. ฉันเคลียร์ทุกอย่างเสร็จแล้วจะรีบไปหานาย”
   “อืม แน่ใจ อย่าห่วงเลย” ชายหนุ่มย้ำอีกครั้ง ทั้งที่มือกำลังสั่น
   “ฉันต้องไปคุยกับทีมพีอาร์ต่อแล้ว… นาย…. หาอะไรกินด้วยล่ะ”
   “ได้”

   รับปากแล้ววินเซนต์ก็วางสายไป…

   แดริลยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มือถือเปิดกลับไปหน้าเดิม อ่านข่าวหน้านั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

   ‘แล้วแบบนี้NFLฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง เขาจะติดลิสต์ผู้เล่นอีกไหม? แบบนี้ก็คงต้องรอดูกันต่อไป’

   ‘ที่เดทสาวไม่ซ้ำหน้าที่ผ่านๆมาเป็นเรื่องหลอกลวงหรือเปล่า?’

‘วินเซนต์ ซัมเมอร์ เป็นเกย์’ ‘วินเซนต์ ซัมเมอร์ เป็นเกย์’ ‘วินเซนต์ ซัมเมอร์ เป็นเกย์’

ตัวอักษรตัวหนาที่ถูกย้ำตลอดบทความทำให้คนอ่านยิ่งรู้สึกโมโหเสียจนมือสั่น… ไม่ใช่สักหน่อย วินซ์ไม่ได้เป็นเกย์ มันก็แค่บังเอิญที่อีกฝ่ายมาคบกับผู้ชาย

หากให้พูดกันตามตรง เขารู้มาตลอดว่าหากนับกันแค่ภายนอก อีกฝ่ายดูจะชอบผู้หญิงมากกว่าด้วยซ้ำ
เขาต่างหากที่เป็นเกย์ และเขาก็ลากอีกฝ่ายมาในความสัมพันธ์ที่ผิดปกติไปกับตนเองด้วย

เป็นเขาเองที่ทำอีกฝ่ายพัง…

บางทีก็รู้สึกว่าแค่มีตัวตนอยู่ก็ผิดแล้ว...

แดริลไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร รู้สึกคิดอะไรไม่ออกเลยสักนิด และเขาก็ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น…
นั่งเครียดจนสมองตื้ออยู่นาน... สุดท้ายจึงหยิบยานอนหลับในลิ้นชักมากิน ปิดมือถือไม่ยอมรับสายจากแคทเธอรีน และฝืนตนเองให้หลับตั้งแต่บ่าย…

เขาไม่อยากตื่นขึ้นมาเผชิญกับความเป็นจริงเอาเสียเลย...

แต่ปัญหาบางอย่าง ถึงจะพยายามหนีจากมันได้ก็เพียงชั่วคราว… ในเช้าวันรุ่งขึ้นชายหนุ่มก็ตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุก และปัญหาของเขาก็ยังคงกองอยู่ตรงนั้นที่ข้างเตียง ไม่ได้หายไปไหน กำลังรอให้เขาไปเผชิญกับมัน…


แดริล เชน ไม่ได้ออกไปวิ่งออกกำลังยามเช้าก่อนไปทำงานเป็นครั้งแรกในรอบปี…

แม้จะนอนมาเกินสิบชั่วโมง แต่ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกอยากล้มตัวลงนอนต่อ อีกทั้งไม่มีความอยากอาหารแต่อย่างใด… แต่เขาก็ยังต้องมาทำงาน

เพราะคำว่าความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้างาน… ไม่ว่าอยากลาป่วยเพียงใด เขาก็จำเป็นต้องมาเผชิญหน้ากับมัน

ชายหนุ่มยืนถอนหายใจอยู่หน้าลิฟต์ กำลังใจนั้นติดลบ การที่มีข่าวของวินเซนต์ออกมาเช่นนี้ มันไม่ได้กระทบแค่ฝั่งวินซ์ ทางบริษัทที่จ้างเขาเป็นตัวแทนแบรนด์ก็ย่อมต้องได้รับผลกระทบ หากเป็นไลน์ผู้หญิงเก่ง ผู้หญิงทำงาน หรือไลน์เน้นแฟชั่นหนักๆ การใช้ LGBT เป็นตัวแทนแบรนด์นั้นแทบไม่มีผลกระทบ อาจจะเป็นผลดีด้วยซ้ำเพราะเป็นการสนับสนุนความหลากหลายทางเพศด้วยซ้ำไป

แต่แบรนด์กีฬาไม่เหมือนกัน… ปัจจุบันนี้โลกของแฟนกีฬาก็ยังถูกปกครองด้วยชายแท้เป็นส่วนมาก และกระแสโซเชียลก็เอาแน่เอานอนไม่ได้

ยังไม่ถึงเวลาเริ่มงาน ก็มีข้อความมาจากมิสวีแล้ว

‘ถึงอ๊อฟฟิศแล้วมาพบฉันด้วย….’

เขาพอเดาออก… ว่าจะเป็นเรื่องอะไร

ก้าวเข้าไปในห้อง นิตยสารข่าวซุบซิบก็ถูกโยนลงบนโต๊ะแผ่หราให้เห็นหน้าที่วินเซนต์ขึ้นพาดหัว กับภาพแดริลที่เห็นไม่ค่อยชัด แต่ถ้าเป็นคนรู้จักก็อาจจะเดาได้ว่าเป็นเขา

“เธอรู้ใช่ไหมว่าถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับบริษัทฉันจะไม่พูด… แต่เรื่องนี้สามารถกระทบแบรนด์ใหม่ของเราได้นะ แดริล” วิเวียนในชุดสูทสีเทานั่งนวดขมับหน้าเครียด “ฉันเข้าใจว่าพวกเธอจะรักกันมันเรื่องส่วนบุคคล และเรื่องรสนิยมน่ะมันก็ไม่ผิด… แต่กลไกตลาดไม่ได้ทำงานแบบนั้น

“....ครับ ผมเข้าใจ… ผมควรจะระวังกว่านี้”

หญิงสาวถอนหายใจ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้มีการใส่อารมณ์ แต่ก็ไม่ได้มีความอ่อนโยนหรือปลอบประโลม

“ในแง่คนทั่วไปที่รักกัน พวกเธอไม่ได้ทำผิด แต่ในฐานะCMOบริษัทกับคนที่เราจ้างมาให้เป็นหน้าเป็นตาของแบรนด์ มันผิด โดยเฉพาะเมื่อเราเพิ่งเปิดตัวแบรนด์กีฬาไปไม่ทันไร และยังต้องระดมทุนอีกครั้งในปลายปี ยอดของเราต้องถึง เธอเองก็รู้นี่”

“ครับ… ผมเข้าใจ ผมต้องขอโทษจริงๆ” ชายหนุ่มนั่งก้มหน้า ยอมรับข้อกล่าวหาทุกอย่าง
“ฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจจริงๆนะเชน… ฉันไม่ได้เหยียดในสิ่งที่เธอหรือเขาเป็น… สำหรับฉัน มันคือเรื่องของตัวเลข ของการแบกบริษัทต่อไป เรื่องของการรับผิดชอบพนักงานหลายสิบชีวิต ตอนนี้ที่เกิดปัญหาที่จะกระทบกับยอดขาย ฉันจำเป็นต้องตักเตือน”

   เขาไม่มีคำพูดจะแก้ตัวกับหล่อนได้เลย… เพราะเขาไม่ระวังเอง...

   นิ่งเงียบไปสักพัก หยิงสาวก็นั่งกอดอก หลับตาลง และถามคำถามออกมา

   “เธอคิดแผนแก้ไขและรับมือเรื่องนี้ไว้ยังไงบ้าง?”

   อันที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องที่เขาคิดมาตลอดเช้า

   “อย่างแรกคือทำพีอาร์ครับ ให้คุณซัมเมอร์แก้ข่าวว่าตัวเองไม่ได้คบกับผู้ชาย… ที่เห็นในภาพแค่คนหน้าคล้าย” พูดถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็กำมือแน่น ทว่าสีหน้าก็ยังคงเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ “หลังจากนั้นก็หา ‘แหล่งข่าวนิรนาม’ มาให้สัมภาษณ์เรื่องสมัยไฮสคูลและมหาวิทยาลัย ว่าคุณซัมเมอร์เดทสาวมากี่คน… อีกสักพัก ก็ประโคมข่าว ว่าเขาเดทกับสาวคนดังสักคน จนกว่าเรื่องจะเงียบลง”

“นันเป็นเรื่องที่ทางทีมพีอาร์ของทางนั้นต้องจัดการให้เรา…ไม่ใช่งบประมาณที่เราควรต้องแบก เธอคิดว่าจะคุยให้ได้ไหม”
“...ได้ครับ… ส่วนทางฝั่งเราก็ไม่ควรเคลื่อนไหวอะไรมาก การปลดคุณซัมเมอร์ออกจากการเป็นพรีเซนเตอร์ทันทีอาจเป็นผลเสียต่อธุรกิจโดยรวม เพราะจะเป็นการแสดงออกว่าเราเหยียดเพศ… เราควรแสดงออกในแง่ที่เป็นกลางมากกว่า และหากพีอาร์ของฝั่งนั้นไม่ได้ผล เราก็อาจจะต้องเตรียม…. จ้างคนอื่นมาแทนในปีหน้าหลังสัญญาหมด”

มือที่กำลังกำแน่นรู้สึกเจ็บขึ้นมา ทว่าเขาก็ไม่ได้ผ่อนแรงลงเลย

เรื่องที่ตลกร้ายที่สุดของเรื่องทั้งหมดนี่ก็คือ คำพูดเหล่านั้นออกมาจากปากตนเอง

ปลด… จ้างคนอื่น… แค่เพราะวินเซนต์เลือกที่จะอยู่กับเขา

“...การที่จะเป็นระดับC… ที่ต้องตัดสินใจเพื่อบริษัท มันก็แบบนี้ล่ะ แดริล ไม่ว่าจะบริษัทเล็กหรือใหญ่ก็ตาม” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย “บางทีตัวเลข… มันก็ต้องมาก่อนทุกสิ่งทุกอย่าง เรื่องส่วนตัว ความรู้สึกส่วนตัว อารมณ์ ความถูกต้อง… นั่นคือสาเหตุที่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทนนั่งเก้าอี้พวกนี้ได้”

แดริลฝืนกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกจุกอกอย่างบอกไม่ถูก

“ฉันยังไว้ใจให้เธอทำสิ่งที่ควรทำ เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของบริษัทได้อยู่ใช่ไหม?”

เพราะมันคือโลกของธุรกิจ… เพราะสิ่งที่ถูกต้องไม่ได้นำมาซึ่งตัวเลขที่จะทำให้บริษัทไปต่อเสมอไป
เพราะการเป็นผู้บริหาร… คุณไม่สามารถทำตามใจตนเอง แต่ต้องทำโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก...
 
   แม้บางทีการทำสิ่งที่ควรทำมันจะขัดต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้สึกอยู่ก็ตามที

   “ผมจะไปจัดการให้เรียบร้อยครับ…”

   เพราะเราเป็นเพียงปลาตัวเล็กๆที่เวียนว่ายอยู่ในกระแสสังคมที่เชี่ยวกราก การไปฝืนมันก็คงมีแต่ความตายเท่านั้น

และโลกของธุรกิจสตาร์ทอัพก็เป็นเหมือนแดนเถื่อน เราวัดตัวเลขกันเป็นรายวัน เป็นรายชั่วโมง เพราะการเติบโตต้องรวดเร็วพอที่จะระดมทุนในรอบต่อไป หากทำไม่ได้… ก็มีแต่ตาย แบบที่เห็นการล้มมาแล้วในหลายๆธุรกิจ

   แดริลเดินออกจากห้องทำงานของCEOด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

   เขาลากตนเองกลับลงมานั่งในห้องทำงานของตน จ้องหน้าจอที่เต็มไปด้วยอีเมลและรายงานมากมาย… และก็เริ่มต้นทำงานไปทั้งแบบนั้น วันนี้แทบไม่มีใครเข้ามาทัก แม้กระทั่งบิล คล้ายว่าทุกคนจะรู้กันหมดแล้วว่าชายปริศนาที่อยู่ในภาพกับวินเซนต์คือใคร… มีแค่อีเมลที่ส่งงานเข้ามาเท่านั้น

   ก็ไม่แปลก ยิ่งบทสัมภาษณ์นั่นบอกว่า ‘ตั้งแต่ไฮสคูล’ ก็เดาไม่ยากเลย

   แดริลไม่อยากอาหารนัก เขาจมตนเองลงกับงานจนเลยเที่ยงไปแล้ว ถึงลุกขึ้นพาตนเองไปเข้าห้องน้ำ พอเข้าไปในคอกเล็กแคบได้ก็ปิดประตูลงกลอน

   เขาเพียงดันฝาชักโครกลง และนั่งเงียบๆอย่างเหนื่อยล้าด้วยต้องการจะหลับตาผ่อนคลายสักเล็กน้อย แต่หูก็กลับได้ยินเสียงฝีเท้าของคนสองคน

   “ข่าวแทบลอยด์นั่นเห็นจะเป็นเรื่องใหญ่เลยน้า แล้วแบบนี้ทางแผนกนายจะเอายังไงล่ะนั่น” เสียงนั่นเป็นเสียงผู้ชาย น่าจะเป็นระดับผู้จัดการแผนกบริการลูกค้า
   “ไม่รู้สิ คุณเชนยังไม่ได้ว่าอะไร” เสียงที่สองเป็นเสียงที่แดริลคุ้นเคยดี นั่นทำให้เขาเกร็งเล็กน้อย… เพราะมันเป็นเสียงของบิล
   “นายว่าเรื่องนั้นมันจริงไหม ที่ว่าคนที่อยู่ในข่าวกับวินเซนต์ ซัมเมอร์คือ--”
   “จะจริงหรือไม่จริงมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา” บิลพูดเสียงเรียบเพื่อตัดบท จากนั้นเสียงน้ำไหลแถวอ่างล้างมือก็ดังขึ้น
   “แต่เรื่องส่วนตัวที่ว่ามันดูจะกระทบยอดแคมเปญใหม่น่าดู นี่ก็ไม่รู้จะหมู่หรือจ่า… เห็นว่าวันนี้ยอดแบรนด์กีฬาเริ่มลงแล้วนี่” ข่าวลือเป็นเหมือนไฟลามทุ่งในยุคที่อินเทอร์เนตกำลังเฟื่องฟู ไม่นานก็กลายเป็นไวรัลในอินเทอร์เนตที่ทุกคนรู้กันทั่ว “ฉันเข้าไปดูคอมเมนท์ในโซเชียล ก็ดูคนจะตั้งคำถามอย่างสนุกปากกันเยอะอยู่นะว่าจริงหรือเปล่า”
   “...ก็มีพวกโทรลบ้างล่ะนะ”
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [04/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 11-01-2019 15:33:54
บทที่ 17 2/2

   “พอเป็นคนดังแล้วจะใช้คำว่าเรื่องส่วนตัวมันก็ไม่ได้น่ะน้าของแบบนี้” ชายหนุ่มอีกคนถอนหายใจ “คุณเชนนั่นตอนแรกฉันเคยสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นเกย์ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นจริงๆ แถมคดีพลิก ไม่ได้ควงแคทเธอรีน บราวน์ แต่ควงวินเซนต์ ซัมเมอร์ โคตรเหนือความคาดหมาย”
   บิลไม่ได้ตอบ แต่ถอนหายใจแทน

   “แถมในบทความก็บอกว่าคบกันตั้งแต่ไฮสคูล นี่สงสัยที่ยอมรับงานบริษัทเราคงเพราะเห็นแก่หน้าแฟนแหงๆ ทำไมไม่ระวังกันให้ดีกว่านี้นะ เดือดร้อนกันไปหมด”
   
   “พอเถอะ...ฉันว่านายกำลังล้ำเส้น เรื่องนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก จะโทษก็ควรโทษพวกหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ที่ขุดเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาทำให้เป็นเรื่องแบบนี้” บิลเอ่ยปราม

   “ฉันไม่คิดแบบนั้น… ในเมื่อเขาเป็นคนดังไอ้คำว่าเรื่องส่วนตัวมันก็ใช้ไม่ค่อยได้แล้ว เขาควรจะรู้ตัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำน่ะ นิดๆหน่อยๆก็เป็นข่าว ยิ่งเป็นตัวแทนแบรนด์ตั้งหลายแบรนด์ แถมตัวเองขายความเป็นนักกีฬาแมนๆอีก ทำไมไม่ระวังตัว”

   บิลนิ่งเงียบไป คล้ายจะพูดไม่ออก

   “เอาล่ะๆ ฉันไม่ว่าบอสที่รักของนายกับคู่เกย์ของเขาแล้วก็ได้ ฉันไปทำงานต่อล่ะ” สิ้นประโยค เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก็ค่อยๆห่างออกไป หลงเหลือเพียงบิล ที่ก็ถอนหายใจยาวๆอีกรอบ

   แดริลผู้ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดตัดสินใจเปิดประตูออกไป ชายหนุ่มร่างสูงกว่าที่ยืนหน้าอ่างล้างมือเห็นเงาสะท้อนของอีกฝ่ายในกระจก ก็มีท่าทางตกใจอยู่บ้าง

   “บอสครับ… เมื่อครู่”
   “ไม่เป็นไรหรอก เรื่องนี้ทำหลายคนเดือดร้อนจริงๆนี่” ชายหนุ่มก้าวมายืนข้างๆลูกน้องคนสนิท เปิดก๊อกปล่อยให้น้ำไหลและถูมือของตนกับสบู่เบาๆ “ฉันขอโทษนะ บิล”
   “ผมไม่ได้ต้องการคำขอโทษ” ร่างซึ่งสูงกว่าตอบเสียงเรียบ หลุบสายตาลง “...แค่อยากให้คุณบอกพวกเราทีว่าจะทำยังไงต่อดีมากกว่าครับ ตอนนี้พวกเราไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาหรือเปล่า หรือให้อยู่เฉยรอดูสถานการณ์ไปก่อน”
   “...อืม”

   แดริลนวดหว่างคิ้ว เขามัวแต่เครียดทั้งเช้าจนไม่ได้สั่งงานลงไปจริงๆว่าบิลต้องรับมือกับเรื่องนี้แบบไหน บริษัทจะเลือกจุดยืนแบบใด

   “ฉันรอสรุปกับทางนั้นอยู่ ว่าพีอาร์จะเอายังไง… จะติดต่อผู้จัดการส่วนตัวของคุณซัมเมอร์ในวันนี้ล่ะ”
   “ครับ… ผมน่ะ… ไม่ได้สนใจเรื่องข่าวอะไรพวกนั้นหรอกครับบอส ปัญหามีเสมอในทุกๆงาน สิ่งสำคัญคือเราต้องแก้มัน และตอนนี้ทีมต้องการการนำทางของคุณนะครับ”

สิ่งที่บิลพูดทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกดดันกว่าเดิม... ทุกคนมีปัญหา แต่โลกไม่ได้หยุดหมุนเพื่อให้คุณแก้ปัญหาของคุณ… ถึงจะเครียดแค่ไหนงานก็ต้องเดินต่อไปอยู่ดี…
   
   ถึงเขาเหนื่อยจนอยากจะพักให้มันผ่านพ้นไป ก็ทำไม่ได้

   “อืม ฉันเข้าใจ ฉันไม่ได้ทิ้งงานหรอก”
   “....ถ้าพูดมากไปก็ขอโทษนะครับ” บิลพูดจบก็ค้อมตัวเล็กน้อย ไม่นานนักก็ขอตัวเดินจากไป

   ชายหนุ่มผมดำจ้องมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจก ใต้ตาดูจะคล้ำเล็กน้อย สภาพดูเหนื่อยล้าอย่างที่ปกติเขาจะระวังไม่ให้แสดงออกมา

   … ไม่ได้เรื่องเลย แดริล เชน

…………..

   ผู้จัดการส่วนตัวของวินเซนต์เพียบอกว่าพวกเขาจะพยายามแก้ไขปัญหา ตอนนี้กำลังปรึกษากับทีมพีอาร์อยู่ว่าจะหาทางกลบข่าวลือเรื่องนี้ได้อย่างไร

   เขาออกคำสั่งให้ฝ่ายการตลาดรอดูสถานการณ์ก่อน ซึ่งกระทั่งวันต่อมาก็ยังไม่มีข่าวใดเข้ามาเลย

   แดริลนอนไม่หลับ ถึงหลับก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาทั้งที่ไม่มีอะไร คอยมองโทรศัพท์มือถือรอสายเข้าจากใครคนหนึ่งเสมอ พอลองโทรไปก็พบว่าเครื่องปิด ส่งข้อความก็ไม่ขึ้นว่าอ่านแล้ว

   เป็นยังไงบ้างแล้วนะ… วินซ์

   จนเย็นวันถัดมา ถึงไม่มีประโยค ‘หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’ แต่เป็นเสียงรอสายแทน…

   หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นและเป็นกังวล ในที่สุดปลายสายก็มีเสียงคล้ายการกดรับ

   “วินซ์ ตอนนี้--” ยังไม่ทันจบประโยค ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาเสียก่อน
   “สวัสดีค่ะ ตอนนี้คุณซัมเมอร์ไม่ว่างรับสาย ไม่ทราบว่าใครกำลังพูดอยู่คะ”
   “.......... ไม่มีอะไรหรอกครับ”
   “ค่ะ จะทิ้งข้อความอะไรเอาไว้ไหมคะ”
   “ไม่มีครับ”

   นิ้วมือกดตัดสาย ร่างไม่หนาไม่บางทิ้งตัวลงบนโซฟา วางอุปกรณ์เครื่องนั้นไว้ข้างตัว ยกมือขึ้นนวดขมับและถอนหายใจยาว

   เหตุการณ์เมื่อตอนอายุสิบแปดกำลังย้อนกลับมาเล่นวนไปวนมาในหัวซ้ำอีกครั้ง… เงียบหายไป แล้วสุดท้ายก็คงเลือกเหมือนเดิม
   
   ขณะที่ใต้ตาสองข้างเริ่มจะแสบร้อน สมาร์ตโฟนข้างตัวก็สั่นไม่หยุด เขายกมันขึ้นมาอ่านชื่อบนนั้น… เป็นชื่อของวินเซนต์

   พอกดรับสาย คราวนี้เป็นเสียงของคนที่คุ้นเคยดี

   “เฮ้ แดริล เมื่อกี๊ทีมพีอาร์ฉันรับสาย นายอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ--” เสียงนั้นฟังดูเหมือนจะถูกกล่าวอย่างรีบร้อน
“ซัมเมอร์!! หยุดเดี๋ยวนี้ บอกแล้วไงว่าช่วงนี้ห้ามติดต่อ!!” เหมือนจะเป็นเสียงที่ค่อนข้างคุ้นหู… น่าจะเป็นผู้จัดการหัวล้านของวินซ์คนนั้นที่เขาเคยพบ
“วินซ์… นี่นาย...” แดริลชะงักไปเล็กน้อยพอได้ยินอีกเสียงที่เหมือนจะอยู่ใกล้ๆวินเซนต์
“สองวันมานี้พวกเขาให้ฉันอยู่เฉยๆ ไม่ได้คุยกับใครเลย โซเชียลมีเดียก็ห้ามเข้าจนกว่าจะสรุปสคริปต์ที่ต้องเล่นให้ฉันได้ นายคิดมากรึเปล่า”
“คุณซัมเมอร์!! กลับมานี่เดี๋ยวนี้นะ!!”
“.... นายวิ่งหนีผู้จัดการอยู่เหรอ” แดริล
“เอ่อ...ก็… ทำนองนั้น” วินซ์
“ใครก็ได้จับเขาไว้ที!! ช่วยกันหน่อยเซ่!” ผู้จัดการ
“.....” เสียงความวุ่นวายจากทางด้านหลังทำให้แดริลรู้สึกสงสารผู้จัดการส่วนตัวคนนั้นเป็นอย่างมาก
“พวกเขาจะให้ฉันทำเป็นควงสาวออกสื่อ... เพื่อปิดข่าวลือ”

แดริลรู้สึกใจหาย… แม้จะเข้าใจแต่ก็ใช่จะรู้สึกดีกับเรื่องนี้นัก

“แล้วนายว่ายังไง…”
“ฉันอยากคุยกับนายก่อนจะตัดสินใจทำอะไร” พูดจบก็มีเสียงโครมครามดังมาจากปลายสาย
“....ฉันว่า… นายน่าจะควงสาวไปจริงๆเลย วินเซนต์” แดริล
“เดี๋ยวสิ นี่นายโอเคกับเรื่องนี้เหรอ” วินซ์
“.... มันน่าจะดีกับชีวิตนายมากกว่า คนแบบนายไม่ควรจะมีคนรักเป็นผู้ชายมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว... ” แดริล
“เลิกคิดแทนแล้วตัดสินว่าอะไรดีกับฉันที่สุดสักที แดริล! นี่นายอยู่ที่ไหน อยู่บ้านหรือเปล่า ฉันจะไปหา รอแปบนะ” วินซ์
“ห้ามไป!!” เสียงโหวกเหวกเหมือนจะมาจากผู้จัดการคนเดิมคนนั้น...
   “...พอเถอะ วินเซนต์… พอแล้วล่ะ”
   “แดริล ห้ามวางสาย แดริล! แดริ--”

   ชายหนุ่มกดตัดสาย นั่งหลับตาคิดย้ำว่าเขาทำถูกแล้ว

   หากวินเซนต์เป็นดารา นักร้อง ไม่ใช่นักกีฬาที่ขายภาพลักษณ์ความเป็นเพลย์บอยแมนๆ เรื่องมันก็คงไม่ซับซ้อนขนาดนี้

   และหากเขาไม่ได้ทำงานอยู่ในบริษัทที่จ้างอีกฝ่าย… ก็คงไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีผลกระทบต่อหลายฝ่ายขนาดนี้

   สักพักสองขาถึงลุกขึ้น ไปคล้องโซ่ประตู และเลื่อนตู้รองเท้ามากั้นเอาไว้ จากนั้นก็ทรุดลงนั่งอยู่หน้าประตูทางเข้าอยู่นาน น้ำอุ่นค่อยไหลลงจากดวงตา อาบแก้มและหยดลงกระทบหลังมือ ชายหนุ่มนั่งขดตัวอยู่เพียงลำพัง

   ไม่อยากเลิก… ไม่อยากปล่อยมือเลยสักนิด

   ไม่อยาก...

   ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาก็ได้ยินเสียงปลดล็อกกุญแจตามคาด.. วินเซนต์พยายามจะดันประตูเข้ามา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ประตูจึงถูกแง้มออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

   “แดริล เปิดประตู ฉันรู้นายอยู่ในนั้น” นักกีฬาหนุ่มเคาะประตูแรง เจ้าของห้องนั่งส่ายหน้ากับตนเอง ไม่ยอมตอบอะไร

“ฟังนะ ฉันไม่เคยคิดจะเลิกกับนาย… ที่ให้ควงสาวบังหน้าเป็นข้อเสนอของทีมพีอาร์ ฉันไม่ได้จะทำ” น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูสิ้นหวังเสียจนคนฟังนึกปวดใจ
“...ฉันรู้” แดริลตอบเสียงเบา “ฉันไม่ได้โทษนาย”
“แล้วทำไมถึงพูดจาเหมือนจะเลิก?”
   “ถ้าสมมุติว่าครั้งนี้นายแถลงข่าวปฏิเสธ… แล้วคราวหน้าที่พวกเขาพบว่าเราไปไหนมาไหนด้วยกันอีกล่ะวินซ์ หรือหากมีคนรู้ว่าเราอยู่ด้วยกันล่ะ เรื่องมันจะไม่ยิ่งแย่กว่านี้สำหรับนายเหรอ?”
   “แดริล…”
   “นายเห็นหรือเปล่าว่าแฟนกีฬาหลายๆคนพูดถึงนายในโซเชียลยังไงบ้าง… ‘ตุ๊ด’ ‘หลอกลวง’ ‘ไม่รู้โดนไปกี่ทีแล้ว’ ‘อยากรู้จังว่าอยู่บนหรือล่าง’ มีบางคนที่เผาโปสเตอร์นายด้วย…” ยิ่งพูดคำเหล่านั้นออกมาเสียงของชายหนุ่มก็ยิ่งสั่น กระทั่งมือก็สั่ง เขาต้องประสานสองมือไว้ด้วยกันให้มันหยุด
   “เห็นสิ แล้วจะทำไม? นอกจากคนพวกนั้นก็มีคนมากมายยิ่งกว่าที่ให้กำลังใจและเข้าใจฉัน ทำไมนายต้องมองแต่ด้านที่มันเลวร้ายด้วยล่ะ?”
   “ผลกระทบจะตามมาอีกมาก นายก็รู้นี่…”
   “เราผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันไม่ได้รึไง แดริล.. ขอร้องล่ะ” ทั้งคำพูด ทั้งน้ำเสียง ยิ่งทำให้คนฟังปวดใจ เขาอยากจะเปิดประตูให้วินเซนต์เข้ามา แล้วบอกว่าจะอยู่ข้างๆอีกฝ่าย

   แต่เมื่อต้นตอของปัญหาทั้งหมดคือตนเอง จะทำแบบนั้นได้ยังไง…

   จนสุดท้ายแล้ว เขาก็จำใจต้องยื่นคำขาด ในรูปแบบของคำถาม… ที่ไม่อยากจะถาม

   “... ระหว่างฉันกับฟุตบอล นายเลือกสักอย่างได้หรือเปล่าล่ะ?” หลังจากคำถามนั่น วินเซนต์ก็นิ่งเงียบไปยาวนาน จนในที่สุดก็มีเสียงถอนหายใจดัง

   “............. ก็ได้”

   วินซ์พูดเท่านั้นว่า…. ‘ก็ได้’ และเขาก็จากไป..

   ชายหนุ่มได้เพียงนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน… จนถึงเช้า เขาก็นั่งอยู่แบบนั้น

   และในเวลาเช้าตรู่ เขาก็ส่งข้อความไปลาป่วยเป็นวันแรกในรอบปี


……………………….


   วินเซนต์ไม่อยู่แล้ว...

   ...สุดท้ายเรื่องก็จบลงแบบเดิมๆ วินซ์เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตตนเอง...
   ...และมันก็คงดีแล้ว ที่ทุกอย่างจบแบบนี้

   และตอนนี้เขาก็ไม่อยากจะลืมตาตื่นขึ้นมาเผชิญความจริงเลยสักนิด…


   สิ่งที่ทำให้แดริลสะดุ้งตื่นคือเสียงเคาะประตู พร้อมกับเสียงแหลมที่เสียดแก้วหู

   “ที่รักคะ นี่ฉันเอง ยู้ฮู เปิดประตูค่ะ เปิดประตู นี่เรื่องด่วน!”

   เป็นแคทเธอรีน.. แดริลลากสังขารโทรมๆที่ทั้งไม่ได้อาบน้ำโกนหนวด และแทบไม่ได้นอนไปเปิดประตูบานนั้น ระยะทางระหว่างเตียงจนถึงทางเข้าห้องตนเองช่างห่างไกลเหลือเกิน

   “มีอะไร แคท?” เปิดประตูออกไปรับเพื่อนสาวด้วยสีหน้าไม่กระตือรือร้นเท่าใดนัก แคทเห็นสภาพแล้วก็ต้องป้องปากอุทานพระเจ้าช่วยออกมาทีหนึ่ง
   “ทำไมโทรมแบบนี้ล่ะยะ? เอาเถอะ เรื่องด่วนๆ รีโมททีวีเธออยู่ไหนน่ะ?” แคท
   “...ข้างทีวีนั่นล่ะ” น้ำเสียงที่ใช้ตอบดูเหนื่อยหน่ายและไม่ใส่ใจ ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา คว้าเอาหมอนมานั่งกอดและเหม่อมองเพดาน
   “อย่ามาดราม่าอะไรตอนนี้ย่ะ อันนี้เธอต้องดู” นางแบบสาวกดสวิตช์เปิดและรีบเปลี่ยนช่องอย่างว่องไว
   “ดูอะไ--” พอเงยหน้ามองจอ คนถามก็ต้องมองตาค้าง กล้องกำลังจับอยู่บนใบหน้าของวินเซนต์ซัมเมอร์ที่นั่งคู่กับพิธีกรชื่อดังในรายการทอล์กโชว์ “...ปิดซะ”
“ไม่ เธอต้องดู ฟังซะ”

เจ้าของห้องที่โดนบังคับให้ฟัง จะไม่ฟังก็ไม่ได้ จึงจำใจนั่งดูรายการทอล์กโชว์นั้นอย่างไม่มีทางเลือก

“เรื่องข่าวลือในหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ที่ตีพิมพ์รูปคุณกับผู้ชายคนหนึ่ง มันยังไงกันแน่ครับ เรื่องจริงหรือเปล่า?” วินเซนต์รับฟังคำถามอย่างดูตั้งใจ ยกยิ้มให้พิธีกรด้วยท่าทางสบายๆ
“เรื่องจริงครับ”

หากแดริลจิบกาแฟยามเช้าอยู่คงได้พ่นพรู่ดใส่หน้าเพื่อนสาวไปแล้ว

หมอนั่นกำลังทำอะไรของเขา!!!

“แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าควรเรียกตัวเองว่าเกย์ไหม ไบอาจจะเหมาะกว่าละมั้งครับ ผมก็ยังชอบผู้หญิง เรื่องที่เดทใครที่ผ่านๆมาก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด แค่ว่าสุดท้ายแล้วคนคนนั้นที่ผมรักบังเอิญเป็นผู้ชาย” วินซ์จ้องตรงมาทางกล้อง จนคล้ายกำลังพูดกับใครบางคนผ่านจอโทรทัศน์
   “โอ้โห แล้วช่วงนี้ก็ยิ่งใกล้คัดตัวนักกีฬาเข้าไปทุกทีแล้ว ทำไมคุณถึงตัดสินใจเปิดเผยความจริงเอาเวลานี้ล่ะครับ แล้วคิดว่ามันจะส่งผลกับงานหรือเปล่า” พิธีกรไม่ได้ดูแปลกใจนัก และถามคำถามต่อไปได้อย่างลื่นไหล
   “ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะยอมรับความจริง อีกอย่างยิ่งมีรูปหลุดออกมาแล้ว ผมก็ไม่สบายใจนักที่จะปิดบังต่อไป แล้วผมก็ไม่อยากให้คนรักของผมเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้วด้วย” วินเซนต์หัวเราะเบา “ส่วนเรื่องจะส่งผลกับงานไหม ผมจะคบกับใคร ผมก็ยังเป็นผมนี่ครับ ฝีมือการเล่นของผมก็เท่าเดิม และการที่ผมจะรักใครสักคน มันกำหนดตัวตนของผมขนาดนั้นเลยเหรอ? มันทำให้ค่าในการเป็นนักกีฬาของผมลดลงขนาดนั้นเลย? ก็เป็นคำถามที่ผมถามตัวเองอยู่บ่อยๆ”
   “นั่นสินะครับ แต่ก็มีตัวอย่างในอดีตให้เห็นอยู่ว่ามันสามารถส่งผลกระทบกับ...หลายๆอย่างได้ คุณกังวลหรือเปล่า”
   “ก็มีบ้าง… แต่การกังวลไม่ใช่นิสัยผมเท่าไหร่ ผมเป็นคนประเภทที่เอาแต่มองไปข้างหน้า อะไรที่ทำไปแล้วก็คือทำไปแล้ว มันไม่มีทางที่ผิดหรอกครับ ก็มีแต่ทางที่เลือกไปแล้ว และการกังวลก็ไม่ช่วยอะไร ผมคิดว่าฤดูกาลนี้ผมจะทำให้ดีที่สุด แล้วได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นล่ะ”
“ผมนับถือคุณเลยนะ คุณซัมเมอร์ แล้วมีอะไรที่อยากฝากถึงนักกีฬา LGBT คนอื่นๆที่ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวไหมครับ”
   “ครับ… ผมคิดว่าความรักมันไม่ใช่เรื่องผิด การที่เราจะรักใครสักคนไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นเพศอะไร มันไม่ควรจะลดค่าความเป็นคนของเรา สังคมของเรากำลังเปิดกว้างมากขึ้นสู่ยุคที่เรื่องเหล่านี้จะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ผมอยากให้พวกเขามีกำลังใจและรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องผิด เพราะคนรักของผมเองก็เป็นทุกข์กับเรื่องนี้มานานแล้ว”

   แดริลนั่งฟังบทสัมภาษณ์ทั้งหมดนั่นด้วยสีหน้าเหม่อลอย… รู้สึกเหมือนยังคงติดอยู่ในฝันที่ไม่แน่ใจว่าเป็นฝันดีหรือฝันร้ายกันแน่ น้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งไปแล้วเอ่อคลอที่หางตา

   ไม่มีใครรู้หรอกว่าวินเซนต์รักอาชีพนักกีฬาของตนเองแค่ไหน ไม่มีใครเข้าใจว่าวินเซนต์พยายามแค่ไหนกว่าจะมาถึงจุดนี้ เพราะนิสัยที่ว่าอะไรๆก็ไม่ทำให้มันดูเป็นเรื่องใหญ่ของเจ้าตัว

   ทั้งกินอาหารอย่างเคร่งครัด ออกกำลังอย่างเคร่งครัด และดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่สมัยเรียนก็แทบไม่เคยเหลวไหลขาดซ้อม เกรดก็ไม่ยอมให้ตกต่ำกว่าสามจนมีปัญหาโดนถอดออกจากทีมแบบหลายๆคน… แต่ก็ทำท่าราวว่าทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายทั้งๆที่พยายามมาตลอด

   ไอ้คนที่ทั้งเผด็จการ นิสัยเสีย ชอบบังคับ เอาใจคนไม่ค่อยเป็น ง้อใครไม่เก่ง แถมอยากได้อะไรก็จะเอาจนได้ของเขาน่ะ… จริงๆแล้วก็แค่คนอวดดีที่ทำเป็นเก่งคนหนึ่งเท่านั้นเอง

   “... เขารักเธอนะ แดริล และฉันว่าเขาก็เลือกแล้วล่ะ” แคทซึ่งนั่งดูอยู่ข้างๆทักขึ้นมา ส่งทิชชู่แผ่นหนึ่งให้ชายหนุ่มไปซับน้ำตา “ไปหาเขาเถอะ”
   “อืม… แต่ฉันควรจัดการตัวเองก่อน” แดริล
   “ใช่ สภาพเธออย่างกับไปปาร์ตี้มาทั้งคืน อาบน้ำโกนหนวดซะค่ะ” แคท

   ขณะอ้าปากกำลังจะตอบ โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างโซฟาก็สั่นขึ้นเสียก่อน

   แดริล เชน หยิบสมาร์ตโฟนมากดดู พบว่าเป็นสายจากวิเวียน และด้วยความที่เป็นคนให้ความสำคัญกับงานเป็นอันดับหนึ่ง เขาจึงกดรับทันทีก่อนจะทันได้คิดเสียอีก

   “ครับบอส” รับสายด้วยเสียงค่อนข้างแห้ง เพราะตั้งแต่ตื่นมายังไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักแก้ว
   “แดริล… พอจะคุยได้ไหม ฉันรู้ว่าวันนี้เธอลา… แต่เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญ” แดริลหลับตาลง ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ อาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับที่วินเซนต์ให้สัมภาษณ์
   “...ได้ครับ”
   “ฉันเพิ่งรู้ว่า คนที่ให้ข่าวเรื่องเธอกับคุณซัมเมอร์กับปาปารัสซี่ และให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์แทบลอยด์… คือโจเซฟ” ประโยคนั้นไม่ใช่ประโยคที่เขาคาดเดาว่าจะได้ยินจากปากหล่อน
   “.......แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนรึครับ”
   “น่าจะอยู่ที่โรงละคร…” มิสวีตอบ น้ำเสียงฟังดูลังเล
   “ผมมีเรื่องต้องคุยกับเขา… ส่วนแผนแก้ไขปัญหาจะส่งให้พรุ่งนี้นะครับ” น้ำเสียงของชายหนุ่มราบเรียบไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใดทั้งนั้น
   “ฉันโทรไปตำหนิเขาแล้วรอบนึง เย็นนี้ก็จะไปดุอีกรอบ… เธอก็… เฮ้อ… เอาเป็นว่าผลกระทบจากช่วงไฮสคูลทำให้จนถึงทุกวันนี้โจเซฟยังต้องไปหาจิตแพทย์อย่างสม่ำเสมออยู่เลย ฉันเข้าใจหากเธอจะโกรธ เรื่องนี้เธอมีสิทธิโกรธ แต่หากเป็นไปได้ก็อย่ารุนแรงนักนะ”
   “... ผมจะพยายาม” แดริล
   “ฉันขอโทษนะ… ฉันไม่น่าช่วยเขาเลย” มิสวี
   “ไม่หรอกครับ… สุดท้ายคนที่ตัดสินใจทำเรื่องนี้ก็ตัวเขา ไม่เกี่ยวกับคุณ” แดริล

   หลังจากวางสายแล้วเขาก็เตรียมตัวและไปจัดการตนเองให้เรียบร้อย ล้างหน้า โกนหนวด เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อใหม่

   “เมื่อครู่นั่นคุณเวสเหรอ… แล้วเธอกำลังจะไปไหนกัน” แคท
“… โจเซฟเป็นคนปล่อยข่าว ฉันจะไปคุยกับเขาหน่อย” แดริล
“ไม่ติดต่อวินซ์ก่อนเหรอ เขารออยู่นะ” แคท
“.... ให้ฉันไปจัดการจบเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนแล้วกัน”

พูดจบแคทก็มีสีหน้าไม่เห็นด้วย แต่ก่อนที่เธอจะทันได้เอ่ยปากห้าม เขาก็ก้าวไวๆออกจากอพาร์ทเมนต์ไปเสียแล้ว…


………………………..


   ‘ออกมาพบฉันที่ลานจอดรถที’

   หลังจากส่งข้อความดังกล่าวไปแล้ว แดริล เชนก็ก้าวลงจากรถมายืนรออยู่ที่ชั้นใต้ดินของลานจอด สองมือสอดเข้ากระเป๋ากางเกง เหม่อมองเพดานด้วยสีหน้าเรียบเฉย
   
   รอไม่นานนัก คนที่เขารอก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางรีบร้อน

   “คุณเชน…”
   “นายทำไปเพื่ออะไร” แดริลถามเสียงเย็น ดวงตาสีฟ้ามองสบตากับอีกฝ่ายอย่างเฉยชา
   “...ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันกระทบคุณ… วิเวียนอธิบายหมดแล้ว ผมขอโทษ” ท่าทางสำนึกผิดไม่สามารถลดโทสะของคนฟังได้สักนิด จนเผลอขึ้นเสียงขึ้นมาอีกเล็กน้อย
   “นายทำร้ายวินเซนต์ของฉันทำไม!”
   “....” โจเซฟนิ่งไป สักพักก็หัวเราะออกมาเบาๆ เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูประชดประชันอย่างประหลาด “สุดท้ายทั้งหมดก็เป็นเรื่องเขา… เกี่ยวกับเขา เหมือนสมัยไฮสคูลไม่มีผิด”

   โจเซฟยกมือข้างหนึ่งขึ้นวางบนหน้าผากจนบดบังดวงตาสีเขียวไปข้างหนึ่ง

   “ผมเกลียดเขา…. เกลียดมานานแล้วรู้ไหม” ชายหนุ่มยังคงหัวเราะออกมาเบาๆ “ทำไมคนแบบเขาต้องได้ทุกอย่างมาง่ายๆโดยที่ไม่ต้องพยายามอะไร ทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนดีเลยสักนิด โลกนี้มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด”

   “กระทั่งผมเจอคุณ.. ผมรู้สึกเหมือนเจอทางออก แต่แล้วมันก็ไม่ใช่… เขาส่งคนมาทั้งข่มขู่ทั้งรุมกระทืบผม คุณรู้หรือเปล่า” ในดวงตาสีเขียวเต็มไปด้วยแววเจ็บปวดขณะเล่าถึงเรื่องในอดีต เหมือนกับว่าเขายังไม่สามารถจะหลุดพ้นออกมาจากช่วงเวลานั้นได้ “ผมแค้น… จนอยากให้เขารู้สึกบ้างว่าความพังมันเป็นยังไง ว่าไอ้ขี้แพ้คนหนึ่งก็พังเขาได้เหมือนกัน ทำไมคนเลวๆแบบเขาถึงได้ทุกอย่าง ทำไมคุณถึงรักเขาขนาดนี้ ทำไมกัน?!”
   “..... คำถามที่นายถาม ฉันก็เคยถามเหมือนกัน… ใช่ วินซ์เป็นไอ้สารเลว เขาอาจไม่สมควรได้รับหลายๆอย่าง และเขาก็เป็นคนแย่ๆที่ทำร้ายคนอื่นได้หน้าตาเฉย จะโดนประณามก็สมควร… แต่เรื่องที่นายเลือกใช้มาประณามเขา กลับไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองโดนเขารังแก แต่นายใช้ฉันเป็นเครื่องมือในการทำลายเขา” มือข้างหนึ่งดึงกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายลงมาโดยไม่ออมแรง

“ที่นายกำลังพยายามทำคือบอกสังคมว่าการที่เขารักฉันเป็นเรื่องผิดพลาด เรื่องน่ารังเกียจ…. สิ่งที่นายทำลงไปน่ะ มันเหมือนนายจะบอกว่าฉันเป็นตัวบัดซบอะไรกัน!! เขาทำร้ายนาย แล้วฉันทำผิดอะไร!?!”

ในสายตาของโจเซฟคล้ายจะเข้าใจอะไรในที่สุด ใบหน้าแสดงออกถึงความรู้สึกผิด ทว่าแดริลไม่คิดจะมองดู มืออีกข้างกำแน่น เงื้อขึ้นเตรียมจะเหวี่ยงหมัดอัดใบหน้านั่นเต็มแรง

ทว่าก่อนที่จะได้ต่อย ข้อมือกลับถูกจับยึดไว้เสียก่อน

“เซฟ…” เป็นเสียงที่คุ้นเคย พอหันไปก็เจอกับใบหน้าที่คุ้นเคย และร่างสูงที่คุ้นเคยดี “ไอ้ขี้แพ้นี่ไม่มีค่าพอให้นายลงมือหรอกที่รัก เก็บหมัดของนายไว้ต่อยฉันเถอะ”
“... วินซ์” มือที่กำลังกำอยู่ค่อยๆคลาย อีกข้างที่ดึงคอเสื้อของโจเซฟก็ปล่อยออกเช่นกัน… “ทำไมนายมาอยู่ที่นี่…”
“แคทบอก”

พูดจบวินเซนต์ก็ดึงร่างซึ่งเล็กกว่าตัวเองมากอดแนบอก ดวงตาสีเขียวเหลือบมองโจเซฟที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาเหม่อมองไปยังพื้นคอนกรีต คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างคร่ำเครียด

 “เฮ้ ไอ้ขี้แพ้… ฉันจะบอกอะไรให้ว่าไม่มีใครพังฉันได้นอกจากตัวฉันเอง และฉันเลือกที่จะไม่พังว่ะ” เจ้าของร่างสูงใหญ่ชี้นิ้วโป้งลงพื้น แสยะยิ้มชั่วร้ายที่มุมปาก “และฉันต่างกับนายตรงไหนรู้ไหม ตราบใดที่นายคิดจะเอาชนะชาวบ้านด้วยการฉุดคนอื่นลง ไม่ใช่ดันตัวเองขึ้น นายก็ยังจะเป็นไอ้ขี้แพ้อยู่วันยังค่ำ”

“... เลิกเรียกฉันว่าขี้แพ้สักที” โจเซฟกัดฟันตอบ มือกำแน่น ท่าทางดูไม่พอใจและพร้อมจะสู้กับวินเซนต์... แต่เมื่อดวงตาเหลือบมองไปทางแดริลที่ไม่ได้มองเขากลับ ก็คล้ายว่าความโกรธทั้งปวงจะสลายลง “...ผมขอโทษ… ที่มันกระทบคุณขนาดนี้”

   “ไปเถอะ…. ฉันไม่อยากเห็นหน้านายอีกแล้ว” มีเรื่องบางอย่างที่แดริล เชนไม่สามารถอภัยให้ใครได้ และเรื่องที่โจเซฟทำลงไปก็เป็นหนึ่งในเรื่องบางอย่างที่ว่า…
   
   การทำร้ายวินเซนต์โดยใช้เขาเป็นเครื่องมือ...

   ชายหนุ่มอีกคนก้มหัวลงพร้อมกับหลุบตามองพื้น อ้าปากคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ตัดสินใจไม่พูด
   สุดท้ายก็ดูพ่ายแพ้อย่างหมดรูป และเจ้าตัวก็ยอมรับความพ่ายแพ้นั้นแต่โดยดี...

คนคนนั้นค่อยๆเดินหันหลัง ลากขาจากไปโดยไม่ได้ว่าอะไรอีก

   ก่อนที่โจเซฟจะเปิดประตูกลับเข้าไปในอาคาร ก็หันกลับมองคนสองคนที่ยังคงยืนกอดกันอยู่ที่เดิม ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว ด้วยท่าทีสิ้นหวัง

   และพึมพำคำขอโทษเบาๆ ที่ไม่อาจชดเชยอะไรได้ และไม่มีใครได้ยิน
 
……………..

   “ ‘วินเซนต์ของฉัน’? ตอนนายเกรี้ยวกราดนี่ก็น่ารักดีนะ” พอไล่คนไปแล้ววินเซนต์ก็เลิกคิ้วพลางยิ้มหยอก สีหน้าเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
   “...........” แดริลไม่ยอมตอบ
   “เรียก วินเซนต์ของฉัน อีกทีสิ” วินซ์
   “...ไม่” แดริลรู้สึกว่าเรื่องนี้ก็น่าจะโดนล้อไปอีกนานแน่ๆ
   “วินเซนต์ของนายกำลังต้องการกำลังใจ เขาเพิ่งทำร้ายอาชีพตัวเองไปช่วงก่อนเปิดฤดูกาลแค่นิดเดียว” วินซ์
   “... นายไม่น่าทำแบบนั้น” แดริล
   “ถ้าฉันไม่เลือก นายก็จะเลือกให้ฉัน ไม่เอาด้วยหรอกแบบนั้น ต้องเกษียณเร็วสักสองปีก็ไม่เป็นไร” มือที่วางบนเอวดึงร่างข้างๆเข้ามากอดแน่น
   “... แบบนี้ดีแล้วจริงๆเหรอ พวกแบรนด์สปอนเซอร์ของนายจะว่ายังไง” แดริล
   “เลิกจ้างก็เลิกจ้าง… แต่มันก็มีแบนด์ที่ต้องการแนวLGBTหรือโอเคกับความแตกต่างอยู่เหมือนกัน ฉะนั้นก็ไม่มีปัญหาหรอก หลังจากเทปนั่นออกอากาศ เห็นผู้จัดการว่ามีงานใหม่เสนอเข้ามาหลายงานเหมือนกัน” วินซ์
   “...ฟุตบอลล่ะ” แดริล
   “ฉันว่าพวกเขาคงให้ฉันลงซีซันนี้ ไม่งั้นคงได้โดนข้อกล่าวหาเหยียดเพศกันพอดี… แต่ซีซันหน้านั่นอีกเรื่อง ฉันว่าจะลองสู้กับบรรทัดฐานสังคมดูสักตั้ง” วินซ์
   “มันคุ้มกันเหรอ… วินซ์” แดริล
   “คุ้ม ฉันไม่อยากปล่อยมือจากนาย” วินซ์
   “.....” แดริลถอนหายใจ แนบแก้มกับอกอีกฝ่ายอย่างเหนื่อยล้า “ตัวฉันเองยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนายรักฉัน...”
   “ฉันไม่เคยคิดถึงมัน ฉันก็แค่มีความสุข อยากเจอนาย อยากกอดนาย อยากอยู่กับนาย ก็แค่นั้นเอง”
“...คำตอบก็สมเป็นนายดี” แดริล
“นายก็ช่วยอย่าปล่อยฉันไปง่ายๆได้ไหม ฉันก็เสียใจเป็นนะ” วินเซนต์ก้มลงจูบหน้าผากคนฟัง
   “...ขอโทษ” แดริล
   “ทั้งที่ฉันเคยรับปากนายไว้แล้วแท้ๆ ว่าต่อให้โดนนายไล่ก็จะหน้าด้านไม่ไปไหน” วินซ์
   “....ตอนไหนกัน” แดริล
   “ตอนที่นายเมาวันนั้น นายพูดอะไรออกมาเยอะแยะเลยรู้ไหม” วินซ์
   “....” แดริล

   นี่เขาพูดอะไรออกไปบ้างฟะเนี่ย….

   วินเซนต์เห็นสีหน้ายุ่งยากใจของอีกฝ่ายแล้วก็หัวเราะเบา ก้มลงจูบที่ริมฝีปากคนช่างคิดมาก พอเห็นว่าแดริลไม่ได้มีท่าทีหวาดระแวงแบบก่อนหน้านี้แล้วก็ยิ่งได้ใจ จับพรมจูบไปทั่วใบหน้าจนแก้มนั่นเริ่มขึ้นสีเล็กน้อย

“อย่าไล่ฉันอีก” วินเซนต์กระซิบ
“...ได้ จะไม่ให้ไปแล้ว ต่อให้ตกงานเป็นNEETนายก็ต้องอยู่บ้านให้ฉันเลี้ยง” แดริลหัวเราะออกมาเบาๆ เหมือนจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ตัวเขายิ้มออก
“พูดว่านายรักฉัน” ...ไอ้ความวินเซนต์แบบนี้ก็ไม่เปลี่ยนเลย ให้ตาย… นายควรจะบอกว่า ฉันรักนาย มากกว่า

...แต่เห็นแก่ที่ว่าต่อจากนี้วินซ์จะต้องรับมือกับเรื่องยุ่งยากที่จะตามมาอีกหลายเรื่อง เขาก็ใจอ่อนอีกจนได้…

“ฉันรักนาย วินเซนต์”   
   “ฉันก็รู้ว่านายรักฉัน แดริล”

   และสุดท้ายแล้ววินเซนต์ก็ยังเป็นวินเซนต์อยู่วันยังค่ำนั่นละ……….


------------------------

เห็นมีสอบถามกันเรื่องงานเขียนอื่นๆด้วย สามารถตามที่เฟสบุคเราได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะเอามาทยอยลงในเล้าด้วยค่ะแต่ตอนนี้กำลังวุ่นๆกับการทำเล่มคุณแดริลอยู่เลยดองเค็มทุกอย่างลงไหชั่วคราวค่ะ  :hao5:  https://www.facebook.com/anonymouslycatwrite/?ref=br_rs (https://www.facebook.com/anonymouslycatwrite/?ref=br_rs)
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-01-2019 16:15:22
โล่งใจ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 11-01-2019 16:36:51
ตอนนี้ทำเอารุ้นมากๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Chobreadyaoi ที่ 11-01-2019 18:10:22
จริงๆเรื่องรั่วไหลก็ดีนะ สองคนนี้จะได้เข้าใจกัน เป็นกำลังใจให้วินเซนผ่านเรื่องราวไปให้ได้น้า
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 11-01-2019 20:45:31
ชอบแบบชอบมากๆๆๆๆๅ เลยค่ะ แงงง ชอบประเด็นในเรื่องด้วย คือเข้าใจความเจ็บปวดของแดริลมี่พยายามแทบตายแต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย สำหรับเรื่องนี้มันทัขมากสำหรับหลายๆ เรื่องที่เจอ อ่านแล้วจะร้องไห้เลยค่ะ 555
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 11-01-2019 21:25:31
จบเรื่องโจเซฟแล้วสินะ หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรที่แย่ไปกว่านี้
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 11-01-2019 22:42:20
หวังว่าจะไม่มีโจเซฟอีก555555  :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-01-2019 22:57:33
ชอบการเล่นประเด็น lgbt กับสังคมมากค่ะ แต่ถึงจะเป็นประเทศทางฝั่งนั้นก็เถอะ คนเหยียดก็คือคนเหยียด  :ling3:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-01-2019 00:31:14
 :man1:


 :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-01-2019 17:20:12
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 16 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 13-01-2019 23:54:54
เดาว่าโจเซฟทำเรื่องแน่ แต่ก็แอบสงสารอยู่เหมือนกัน
ผลพวงจากอดีตใช่ว่าจะเอาชนะกันได้ง่ายๆ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 17 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 15-01-2019 14:51:56
เราไปอ่านจากที่อื่นมาจนจบ แต่อยากมาเม้นในนี้ อิอิ
 
ตอนมีคนแนะนำเรื่องนี้ (น่าจะคุณหมีคุก) เราก็กะจะอ่านเพื่อความบันเทิง

กำลังหาเรื่องประมาณแฟนเก่าแบบนี้อ่านพอดี

แต่พออ่านแล้ว ได้ความรู้เรื่อง start up ด้วย

คือเราอ่ะ เป็นคนที่ได้ยินคำว่า start up บ่อยมากแต่ไม่เข้าใจ

รู้แค่ว่าเป็นธุรกิจใหม่ๆแบบแหวกแนว ที่กำลังนิยมกัน

ต้องขอบคุณมากเลยค่ะ ที่แต่งนิยายสนุกๆมาให้อ่านแถมได้ความรู้อีกด้วย

จะติดตามผลงานต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 17 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Maccagadz ที่ 19-01-2019 16:20:53
มันดีมากเลยค่ะ แงงง
ไอเริ้ปมากๆ สู้ๆ นะคะคนเขียน
ตัวละครพัฒนาขึ้น
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สะท้อนสังคมได้ดีเลยค่ะ
ดีใจที่ได้มาอ่านนะคะ /ส่งใจ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 17 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: oohsg94 ที่ 22-01-2019 21:40:06
แง้งง เรื่องดีมากๆเลยค่ะ วินซ์ตอนเจอกันใหม่นางน่ารักขึ้นเท่าตัวเลย ฮรื่อออ ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 17 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPlai ที่ 24-01-2019 18:53:09
น่ารักที่สุดดดด
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 17 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 26-01-2019 20:36:51
คุณคะ เราชอบนิยายของคุณมาก สนุกมากเว่อ แทบจะไม่สะดุดอะไรเลย
การกระทำของตัวละคร การตัดสินใจ บทพูดทุกอย่างดีมาก หนังหรือเพลงที่อ้างถึง ในเรื่องคือเราก็ดูอ่ะยิ่งอิน
เวลาแคทพูดกับแดริล ในหัวเราภาษาอังกฤษงี้วิ่งมาเป็นซับไตเติ้ลเลยอ่ะ
ชอบภาษาด้วย เหมือนคนเขียนจะรับแปลรู้เลยเพราะภาษาสวยมาก
แต่ขอตินิดนึงนะคะ ตอนเวลามีบทสนทนาแล้วคนเขียน เขียนให้ลงท้ายด้วยชื่อคนพูดอ่ะค่ะ
คือเรางงมากตอนแรก เพราะไม่เข้าใจว่าหมายความว่าไง
เช่น "เพราะผมหล่อ" วินซ์ <<ตอนแรกคืองงว่าวินซ์อะไร เพราะไม่เคยเจอสำนวนเขียนแบบนี้ค่ะ
นอกนั้นชอบหมดเลยทุกสิ่ง สมูทมากอ่ะทั้งเรื่อง
ชอบความคิดของทั้งสองคนมากด้วย

เราอยากรู้ว่าจะทำ ebook มั้ยคะ พอดีเราอยู่ต่างประเทศ ลำบากกับการสั่งหนังสือมากเลย
แต่ก็อยากอุดหนุน อยากสนับสนุนนิยายดีๆ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 17 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Ta_ii ที่ 26-01-2019 22:11:04
สนุกมาก ชอบมากค่ะ อยากให้มีตอนพิเศษ แล้วก็อยากได้เล่มเก็บไว้ด้วย
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 17 [11/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 27-01-2019 18:12:13
บทส่งท้าย

   เพราะชีวิตไม่ได้สวยงาม แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียด… โลกเรามีหลายมุม แต่โลกก็คือโลก.. ไม่ว่าจะบอกว่าน้ำในแก้วเหลือตั้งครึ่งหนึ่งหรือเหลืออยู่แค่ครึ่งหนึ่ง ความเป็นจริงก็คือมีน้ำอยู่ครึ่งแก้วอยู่ดี
   คนเราเสียบางอย่าง และคนเราก็ได้บางอย่างคืนมา… แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ต้องดำเนินต่อไป
   หลังจากนั้นวินเซนต์ ซัมเมอร์ยังคงได้รับเลือกให้เป็นนักกีฬา NFL ในฤดูกาลนั้นโดยไม่ได้ถูกถอดออกจากตำแหน่งกัปตันทีม มีคนภายนอกให้กำลังใจอย่างล้นหลาม ได้ออกรายการทอล์กโชว์กับพิธีกรดัง จัดว่าเป็นกระแสในโลกออนไลน์อยู่ช่วงหนึ่งทีเดียว
   แต่แม้เขาจะได้ลงสนามและทำอย่างเต็มที่แล้ว ก็ไม่อาจทำลายสถิติที่ตนเองทำไว้เมื่อสามปีก่อน การเล่นก็จัดได้ว่าฟอร์มดี และทำได้ในระดับที่น่าพอใจ
   มีกระแสข่าวออกมาว่าเดิมทีผู้จัดการทีมคิดจะถอนรายชื่อวินเซนต์ออกจากการเป็นนักกีฬาในลีกของฤดูกาลนั้น แต่ทางสมาคมติดต่อมาและยืนกรานว่าวินเซนต์ ซัมเมอร์ ต้องได้ลงแข่ง เพราะกลัวข้อกล่าวหาเรื่องการเหยียดเพศจากสาธารณชน
   เรื่องจริงเป็นอย่างไรไม่อาจทราบ ก็ขึ้นกับว่าจะมองให้มันเป็นเรื่องน่าเศร้าหรือน่ายินดี
   ในปีต่อมา ซัมเมอร์ไม่ได้เป็นกัปตันทีม แต่เขาก็ยังได้ลงแข่ง และหลังจบการแข่งขันในปีนั้น เขาก็ประกาศเกษียณจากอาชีพนักอเมริกันฟุตบอล โดยที่ไม่สามารถทำลายสถิติของตนเองแบบที่ตั้งใจเอาไว้
   ส่วนไลน์กีฬาของ fashionistaa.com ที่วินเซนต์เป็นพรีเซนเตอร์ หลังจากการประกาศตัวครั้งนั้น แดริล เชน ผู้ซึ่งเป็น CMO ก็สั่งการให้บริษัทออกประกาศว่าสนับสนุนความแตกต่างทางเพศและไม่ถอดถอนวินเซนต์ออกจากแคมเปญ ทำให้ได้รับคำชมอย่างล้นหลาม ยอดขายโดยรวมในเดือนนั้นเพิ่มขึ้นในเกือบทุกแบรนด์… ยกเว้นแบรนด์กีฬา
   ต่อมาพอมีประเด็นใหม่ให้ผู้คนสนใจ และประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นเก่าที่ไม่มีใครอยากพูดถึง ตัวเลขก็กลับสู่ระดับปกติ

   ในปีถัดมาบริษัทไม่ได้ต่อสัญญากับวินเซนต์ ซัมเมอร์ โดยอ้างกับสื่อและทางโซเชียลว่าเป็นการปรับกลยุทธ์ทางการตลาด เมื่อกระแสทั้งหมดมวลซาลงแล้วจึงไม่มีใครเอะใจหรือใส่ใจ ว่าภาพของซัมเมอร์ค่อยๆ โดนถอดถอนออกไ   
   ต่อมา fashionistaa.com กลายเป็นยูนิคอร์น และได้ชื่อว่าเป็นออนไลน์แฟชั่นชอปปิ้งมอลล์อันดับหนึ่งในประเทศ
   คนเพียงไม่กี่คนไม่สามารถเปลี่ยนมุมมองของสังคมโดยรวมที่ถูกฝังรากฐานมาเป็นร้อยเป็นพันปีได้ สุดท้ายก็คงมีแต่ต้องใช้เวลาอีกเป็นร้อยเป็นพันปีเท่านั้นกว่าที่มันจะเปลี่ยน
   แต่ไม่ว่าเรื่องจะจบลงอย่างไร ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปในแบบของมัน…

   เวลาราวสี่ทุ่ม แดริล เชนไขประตูอพาร์ทเมนต์เข้ามาพร้อมกับถือถุงกระดาษใส่ของชำเต็มแขน ยังไม่ทันได้วางข้าวของลงบนเคานต์เตอร์ครัว จู่ๆ ร่างที่สูงใหญ่กว่าตัวเองก็โถมเข้าใส่จนแอปเปิลแดงสองลูกร่วงลงพื้น
   “ฉันได้บทในหนังซุเปอร์ฮีโร่!”
   ตอนแรกก็ว่าจะดุเสียหน่อย แต่พอวินเซนต์ประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจแบบเด็กๆ แดริลก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
   “ยินดีด้วย”
   พูดแล้วก็ลูบหลังคนตัวโตเบาๆ เขายังจำได้ดีว่าในห้องนอนของวินเซนต์นอกจากจะมีโปสเตอร์นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลแล้วก็ยังมีหนังสือการ์ตูนฮีโร่พวกนี้อยู่ด้วย
   ตลอดสามปีที่ผ่านมาวินเซนต์พยายามเข้าสู่วงการบันเทิงตามรอยเทอรี่ ครูวส์ที่เป็นไอดอล ยังดีที่พ่อคนคลั่งกีฬาคนนี้ไม่ได้มีดีแค่แรงเยอะแต่ยังสามารถแสดงตามบทบาทได้ (อาจเพราะเสแสร้งหน้ากล้องเก่ง) จากบทเล็กๆ ในฐานะนักแสดงรับเชิญ ก็ค่อยๆ รับบทใหญ่ขึ้นจนสุดท้ายก็ได้บทสำคัญ และกลายเป็นนักแสดงนำ
   อันที่จริงคนดังในวงการกีฬาที่ผันตัวไปเล่นหนังก็มีให้เห็นมาหลายคนแล้ว เดอะร็อคก็เริ่มต้นจากการเป็นนักกีฬามวยปล้ำ อาร์โนลด์ก็เริ่มต้นมาจากการเป็นนักกีฬาเพาะกาย
   “นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” แดริลวางถุงของชำลงบนโต๊ะข้างๆ ก้มลงเก็บลูกแอปเปิลแดงที่ตกพื้น
   “เมื่อเย็น” วินเซนต์ตอบ มือก็รื้อถุงของชำไปพลาง หยิบผลไม้ออกมาแทะกินโดยไม่ขออนุญาต “หลับรอนายไปตื่นนึง”
   ช่วงนี้วินเซนต์เดินทางไปๆ กลับๆ ระหว่างแคลิฟอร์เนียกับนิวยอร์กเพราะงานที่ต้องทำ จนดูจะเหนื่อยไม่น้อย..
   แดริลยังคงทำงานอยู่ที่เดิม ในตำแหน่งเดิม แค่บริษัทใหญ่ขึ้น ตอนนี้บริษัทเกินคำว่าสตาร์ทอัพไปมากแล้ว และเขาก็ต้องคุมคนหลายสิบ มีโครงสร้างที่ซับซ้อนขึ้น ขั้นตอนที่เพิ่มมากขึ้น… จนรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ และเริ่มไม่ต่างอะไรกับบริษัทใหญ่บริษัทอื่น… ความรวดเร็วและเสน่ห์ของคำว่า ‘สตาร์ทอัพ’ ไม่หลงเหลืออีกแล้ว
   “นี่… วินซ์” ขณะที่จัดเก็บอาหารใส่ตู้เย็น ชายหนุ่มก็ทักขึ้นมา “ฉันว่าฉันจะไปหางานที่ซิลิคอนแวลีย์ดู นายคิดว่ายังไง”
   ซิลิคอนแวลีย์ตั้งอยู่ในแคลิฟอร์เนีย เป็นแหล่งรวมธุรกิจสตาร์ทอัพและบริษัทเทคมากมาย กระทั่งบริษัทเทคยักษ์ใหญ่อย่างกูเกิ้ลหรือแอปเปิลก็ตั้งอยู่ที่นี่ เป็นศูนย์รวมคนเก่งโปรไฟล์เลิศระดับท็อปของวงการเทคและสตาร์ทอัพเลยทีเดียว
   ปากที่กำลังแทะลูกแอปเปิลของวินเซนต์ชะงักเล็กน้อย
   “ไม่ใช่ว่านายรักบริษัทที่ทำอยู่หรือยังไง”
   “ฉันรักงานที่ทำ ไม่ได้รักบริษัท” ชายหนุ่มผมดำหัวเราะเบา “แล้วฉันรู้สึกว่าวัฒนธรรมองค์กรใหญ่ไม่เหมาะกับตัวเองเท่าไหร่… ฉันมีความสุขกับสมัยที่มันยังเป็นสตาร์ทอัพ เรานั่งช่วยกันทำงานในออฟฟิศห้องเล็กๆ ชั้นเดียวมากกว่า”
   วินเซนต์เดินเข้าใกล้ขณะที่แดริลกำลังปิดประตูตู้เย็น
   “นายไม่จำเป็นต้องทิ้งมันไปเพื่อฉันหรอก ฉันไหว จริงๆ นะ” วินซ์มุ่นคิ้วขณะก้มลงมองคนที่มองตอบเขาซึ่งกำลังยิ้มน้อยๆ
   “นายเริ่มคิดมากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
   “ตั้งแต่คบกับนาย...”
   ชายหนุ่มฟังแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ
   “ฉันอยากให้มันสะดวกนาย แต่ฉันก็อยากไปเริ่มทำอะไรใหม่ๆ เองด้วย วินซ์ เราจะได้ซื้อบ้าน แล้วนายจะได้เลี้ยงหมาด้วยไง” แดริลดึงคอเสื้อให้อดีตนักกีฬาโน้มตัวลงมาเล็กน้อย แนบจูบเบาลงบนแก้มสากของคนที่ดูเหมือนจะลืมโกนหนวด… อีกแล้ว
   “ถ้านายว่าอย่างนั้นฉันก็ไม่เกรงใจล่ะนะ” วินซ์ยกยิ้มมุมปาก ท่าทางเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมาก
   แรกเริ่มในตอนที่เพิ่งเกษียณใหม่ๆ แม้เจ้าตัวจะพยายามไม่แสดงอะไรให้เห็น แต่แดริลก็รู้สึกได้ถึงความเศร้า... หลายครั้งที่วินเซนต์เหม่อมองลูกอเมริกันฟุตบอลอยู่นาน บางครั้งเปิดทีวีเจอแข่งกีฬาก็จะรีบปิดหรือเปลี่ยนช่องหนี แต่ระยะหลังเหมือนจะดีขึ้นมากแล้ว...
   ชายหนุ่มจากวงการมาด้วยดี จนปีสุดท้ายเขาก็ยังพยายามเล่นอย่างดีที่สุด และทีมก็ชนะ แต่ก็ได้ไม่เท่าที่วินซ์หวังเอาไว้
   พอถามว่ามีปัญหาอะไรไหม อีกฝ่ายก็จะตอบว่า
   มีบ้าง… แต่ไม่ใช่ปัญหาที่ฉันรับมือไม่ได้
   ด้วยสีหน้าและรอยยิ้มมั่นใจแบบทุกครั้ง…

   มีทั้งคนที่เข้าใจ… และคนที่ไม่เข้าใจ ซึ่งแดริลช่วยอะไรคนรักของตนเองไม่ได้เลย นอกจากคอยกอดอีกฝ่ายเอาไว้
   มันคุ้มแล้วเหรอ?
   คุ้มสิ…
   แค่คำตอบสั้นๆก็รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาแล้ว…
   “แล้วเราจะย้ายเมื่อไหร่กันดี” วินซ์
   “ปีหน้า… น่าจะดี” แดริล
   “ได้ ปีหน้า” วินซ์
   “จะว่าไป… หนังซุเปอร์ฮีโร่ที่ว่า นายได้บทอะไรน่ะ” แดริลถามอย่างสงสัย อีกฝ่ายเลิกคิ้วน้อยๆ แล้วก็มองตอบด้วยแววตาขบขัน ก่อนจะโน้มตัวเข้าใกล้ กระซิบบอกเสียงเบา
   คนฟังเลิกคิ้วสูง หลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่
   “ฉันรอดูนายในชุดรัดรูปนั่นไม่ไหวแล้ว”
   “ต่อให้เป็นชุดรัดรูป หุ่นอย่างฉันใส่อะไรก็ดูดี ที่รัก” เจ้าของร่างสูงใหญ่ฉีกยิ้มตอบอย่างน่าหมั่นไส้ จนอดกลอกตาสักทีไม่ได้ แต่กลอกตาไปมันก็ไม่สะทกสะท้าน จึงเดินหนีดื้อๆ เสียแบบนั้น แต่วินเซนต์ก็ก้าวยาวตามมาถึงโซฟาอยู่ดี
   “นี่ แดริล… คริสต์มาสนี้กลับดีซีกันไหม”
   คำถามทำให้คนฟังมีสีหน้าเหมือนเห็นผี อย่างที่รู้กันดี บ้านครอบครัวซัมเมอร์อยู่เยื้องกับบ้านของพ่อแม่แดริล และเขาก็ไม่ได้คุยกับทั้งพ่อและแม่มาสามปีแล้ว
พอคิดถึงบุพการีที่จนบัดนี้ก็ยังไม่ยอมรับเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกฝาดขมในใจอยู่บ้าง
   “ฉันอยากพานายไปคุยกับที่บ้านสักที แม่บ่นอยากเจอนาย…” พูดไปมือไม้ที่อยู่ไม่สุขก็รวบตัวคนข้างๆ มากอดด้วย
   “... พวกเขาโอเคแล้วจริงๆ ใช่ไหม”
   เมื่อตอนนั้นที่วินเซนต์ประกาศตัว เหมือนเจ้าตัวต้องอธิบายให้พ่อและแม่ฟังยกใหญ่ แรกเริ่มก็เหมือนจะมีปัญหา แต่ต่อมาทั้งสองคนก็เหมือนจะค่อยๆ ยอมรับได้อย่างช้าๆ
   …. ว่าลูกชายคนเดียวของพวกเขามีคนรักเป็นผู้ชาย
   “ก็คิดว่าทำใจได้แล้ว วันก่อนบอกให้คริสต์มาสนี้พานายกลับบ้านด้วย พวกเขาคงเข้าใจแล้วว่าฉันจะไม่เปลี่ยนใจ”
   “....” แดริลเงียบไปเล็กน้อย
   “บางที ‘เวลา’ ก็ทำให้อะไรอะไรดีขึ้น” มือใหญ่ลูบแผ่นหลังของชายหนุ่มอย่างเบามือ “คำตอบของนายล่ะ”
   “...ฉันจะไป” และก็จะกลับไปพบหน้าครอบครัวของตัวเองด้วยหากทำได้… เพราะคงถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้าแล้ว “นายจะอยู่ข้างๆ ฉัน ตอนพ่อเอาปืนมาไล่ยิงฉันใช่ไหม”
   วินซ์ฟังแล้วก็หัวเราะดังอย่างชอบใจ

   “แน่นอน ฉันจะไม่ปล่อยให้นายต้องเผชิญกับอะไรตามลำพังอีกแล้ว” ร่างสูงใหญ่ก้มลงแนบจูบเบาอย่างอ่อนโยน และกระซิบถ้อยคำแผ่ว

“...ฉันสัญญา”


------------

สวัสดีค่า สำหรับตอนสุดท้ายขอโทษด้วยนะคะที่มาลงสายไปหน่อย ช่วงนี้ยุ่งมากๆเลย รู้ตัวอีกทีก็ตีสามตีสี่แล้วเลยไม่ค่อยอยากอัพดึกค่ะฮืออ

ยังไงเดี๋ยวจะลงตอนพิเศษอีกหน่อยนะคะ รบกวนแอดมิรอย่าพึ่งเก็บกระทู้

คำติชมขอน้อมรับไว้นะคะ ตอนนี้เราแก้งานเสร็จไป 90% แล้วค่ะ ตอนพิเศษเฉพาะในเล่มเขียนครบหมดแล้ว (; v ; / จะไม่ทันเดดไลน์แล้ว ฮือออ

สำหรับเรื่องนี้จะมี e-book นะคะ แต่จะมาหลังส่งรูปเล่มออกไปแล้วค่า   :hao5: :hao5: :hao5:

ช่วงนี้ขอเคลียร์หลายๆอย่างก่อนค่ะ ปกก็ใกล้เสร็จแล้วไว้จะอัพเดตทางเฟสบุคกับทวิตเตอร์นะคะ! 
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 27-01-2019 18:14:09
Extra #2 This Christmas

   แดริลก้าวลงจากรถพร้อมกับสารพัดถุงของชำเต็มแขน คุณนายซัมเมอร์(หรือแม่ของวินเซนต์) เดินนำอยู่ด้านหน้า สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
   “สูตรนี้น่ะ แม่ได้มาจากคุณยายอีกที ไว้จะสอนนะจ๊ะ อาหารจานนี้น่ะวินซ์ชอบมากเลย” แดริลยิ้มรับฟังอย่างสุภาพ ขณะวางถุงของทั้งหมดที่จะเอามาทำอาหารไว้เลี้ยงคนในครอบครัวในคืนวันคริสต์มาสบนโต๊ะอาหารในครัว
   “ครับ คุณนายซัมเมอร์”
   “ตายจริง บอกกี่ทีแล้วให้เรียกว่าแม่ เด็กคนนี้นี่ ทำไมดื้อแบบนี้นะ” แดริลเพียงหัวเราะแห้งๆ อันที่จริงตัวเขายังไม่ชิน และไม่คาดหวังว่าจะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นขนาดนี้ “บอกแล้วไง ว่าเธอก็เป็นเหมือนลูกชายของฉันอีกคน แถมยังน่ารักกว่าลูกชั่วนั่นด้วย”
   “ครับ… คุณแม่” อันที่จริงเรียกแล้วแดริลก็ยังรู้สึกแปลกและขัดแย้งในใจอยู่ดี แต่เขาก็ยอมเรียกเพื่อความสบายใจของเธอ
   หญิงวัยกลางคนยิ้มอย่างอบอุ่น
   “เฮ้อ นี่ถ้าแม่เกิดช้ากว่านี้อีกสักสามสิบปี--”

   จู่ๆก็มีเสียงกระแอมไอดังมาจากหน้าห้องครัว วินเซนต์กลับมาแล้ว พร้อมกับหัวที่เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ
   “ทำไมลูกชั่วคนนี้ถึงหาสามีดีๆ ได้นะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ” แม่ของวินเซนต์พูดหยอกพลางส่ายหัว
   “เพราะผมหล่อ” วินซ์
   “.......” แดริลเดินหนีไปช่วยหั่นแครอทเงียบๆ จากนั้นเจ้าคนอยู่ไม่สุขก็ตามติด มือที่อยู่ไม่สุขเริ่มกอดเอวและวางคางเกยกับบ่าของคนที่ถือมีดอยู่
   “วินซ์… เกรงใจคุณแม่ด้วย” ตอนอยู่ด้วยกันนี่ก็เป็นสิ่งที่วินเซนต์ทำเป็นประจำ แต่แดริลยังรู้สึกกระดากอายที่อีกฝ่ายทำแบบนี้ต่อหน้า…. แม่ตัวเอง
   “แต่ฉันอยากอวด” วินซ์
   “.....” แดริล
   ท่าทางดึงดันเอาแต่ใจทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมา และแม่ของวินเซนต์ก็มองสบตาแดริลอย่างเข้าใจกันดี…..
   “ออกไปดูทีวีกับพ่อเขาได้แล้ววินซ์ เกะกะ แม่จะทำอาหาร” คนเป็นแม่ถึงขั้นเอ่ยปากไล่ แต่เจ้าตัวเกะกะก็ไม่ยอมไปง่ายๆ
   “แม่ได้ลูกชายคนใหม่ก็ลืมคนเก่า?”
   “ใช่ ลูกชายคนใหม่ของแม่เป็นเด็กดีกว่าคนเก่าเยอะ ไป ชิ่วๆ” หลังโดนไล่วินเซนต์ก็ก้มลงจูบหนักลงบนแก้มของคนรักที่พยายามหดหัวหนีหลายที สุดท้ายก็ยอมผละไปนั่งดูทีวีในห้องรับแขกแต่โดยดี…
   หญิงวัยกลางคนดูไม่ได้ถือสา แค่ยกยิ้มขบขันและส่ายหน้า ก่อนจะหยิบผักออกมาหั่นล้างต่อไป
   “... รู้ไหม เธอเป็นคนแรกที่เขาบอกกับที่บ้าน… ว่านี่คือคนรัก” หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นมาเหมือนจะชวนคุยระหว่างทำครัว “ตอนแรกพวกเราก็ตกใจมาก… ที่เป็นเธอน่ะจ้ะ”
   “...ผมขอโทษครับ” แดริลรู้สึกติดค้างคำขอโทษแก่คุณและคุณนายซัมเมอร์ เพราะเขา คนคู่นี้ถึงไม่มีโอกาสได้อุ้มหลาน
   “ขอโทษทำไมกัน ไม่ได้หมายความในทางที่ไม่ดีสักหน่อย ก็แค่ประหลาดใจและก็ทำอะไรไม่ถูกน่ะจ้ะ เพราะที่ผ่านมาวินซ์มีแต่ข่าวกับผู้หญิงเต็มไปหมดจนพวกเราปวดหัวเลยล่ะ” หญิงวัยกลางคนหั่นมันฝรั่งเสร็จแล้วก็เริ่มตั้งหม้อต้มน้ำกับเตา “ตอนแรกหากให้บอกว่าไม่กังวลเลยก็คงจะโกหก แต่พอได้คุยกับเธอจริงจังแล้ว บวกกับเรื่องที่วินซ์เล่า แม่ก็วางใจแล้วล่ะ”
   “...ครับ” แดริลยกยิ้มบาง มือยังคงวุ่นกับการช่วยงานทำครัวไม่หยุด
   “อีกอย่าง เด็กเอาแต่ใจระดับจักรวาลหมุนรอบตัวเองคนนั้นน่ะ ก็เคยคิดเหมือนกันว่าใครมันจะไปทนเขาได้” สมเป็นแม่ของวินเซนต์ รู้จักลูกตัวเองดีจริงๆ…… “เป็นพวกบอกว่า ‘ไม่’ แล้วก็ยังจะเอาจนได้อยู่ดี เด็กคนนั้นน่ะ ทำให้กลุ้มใจมาตั้งแต่เล็กยันโตเลย เฮ้อ”
   ….ครับ… ผมเข้าใจดีเลยครับ
   แดริลมองเธออย่างเห็นอกเห็นใจมาก
   “ฉะนั้นได้เธอมาช่วยดู ก็โล่งอกขึ้นมากเลยล่ะจ้ะ”
   “... ขอบคุณนะครับ” คนฟังยกยิ้มให้น้อยๆ อย่างโล่งใจ
   “ส่วนตาแก่นั่นน่ะไม่ต้องไปสนใจหรอก เขาก็แค่ทำตัวไม่ถูกเท่านั้นล่ะ ปล่อยไปสักพักเดี๋ยวก็ดีเอง” พูดแล้วเธอก็เทผักลงน้ำเดือดในหม้อ
แดริลมองชิ้นมันฝรั่งในน้ำที่เดือดปุดแล้ว จากนั้นก็ละสายตามองออกนอกหน้าต่าง ไปยังบ้านฝั่งตรงข้าม ซึ่งก็คือบ้านของเขาเอง
“... คุณไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ได้เจอแม่ผมบ้างไหมครับ”
“.... เจอจ้ะ” เหมือนคำถามนั้นจะทำให้หญิงวัยกลางคนลำบากใจอยู่ไม่น้อย
“ท่านสบายดีไหมครับ”
 “เท่าที่ดูก็เหมือนจะดีนะ แต่ฉันกับมาร์กาเร็ตน่ะ ไม่คุยกันมาหลายปีแล้วล่ะ” …. ตั้งแต่ปีที่วินเซนต์ประกาศตัวและรูปของพวกเขาทั้งคู่ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์แทบลอยด์นั่นล่ะ
   แดริลผงกหัวรับคำเบาๆ อันที่จริงมันก็ไม่แปลกหรอก ผ่านไปหลายปีแล้วทั้งพ่อและแม่ก็ยังไม่อยากคุยกับเขาอยู่ดี
   แดริลได้ข่าวจากซีมัสว่าเมื่อสองปีก่อนเจ้าตัวก็โทรไปบอกพ่อมาแล้วเหมือนกันว่าตัวเองอยู่กินกับผู้ชาย และไม่คิดจะเลิก… เหมือนว่าก็จะโดนตัดพ่อตัดลูกเหมือนกัน
   บ้านหลังที่ตั้งเยื้องอยู่ฝั่งตรงข้ามหลังนั้นดูเงียบเหงาอย่างประหลาด มีการตกแต่งบ้านเพื่อรับเทศกาลคริสต์มาส แต่ก็ไม่มากนัก… ไม่มากเท่าในความทรงจำวัยเด็กของแดริล
สุดท้ายเขาเห็นประตูบานนั้นเปิดออก ชายวัยกลางคนคนนั้นดูแก่ลงไปมากจากครั้งล่าสุดที่พบกัน ผมจากที่เคยเป็นสีดำแซมขาว ตอนนี้ขาวแทบจะทั้งหัว…
พ่อเดินออกมาทิ้งขยะถุงโตลงถังหน้าบ้าน และเดินกลับเข้าไป ใบหน้าปราศจากรอยยิ้มหรือความยินดี แม้จะเป็นช่วงคริสต์มาสก็ตามที
แดริลยืนมองอยู่นาน… กระทั่งร่างนั้นหายไปหลังบานประตูบานเดิมที่แสนจะคุ้นตา

ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกเท่าใด… หรือไม่ วันนั้นอาจจะไม่มีทางมาถึงเลยก็เป็นได้
…………..

   หลังมื้ออาหารค่ำอันอบอุ่นพวกเขานั่งจิบโกโก้ร้อนอยู่หน้าเตาผิง คู่สามีภรรยาซัมเมอร์หลบขึ้นไปเข้านอนนานแล้ว เหลือเพียงชายหนุ่มสองคนที่นั่งดูหนังโปรแกรมพิเศษในคืนวันคริสต์มาสวันนี้ ซึ่งเป็นหนังรักสุดคลาสสิค ‘Love Actually’
   ปกติแล้ววินเซนต์และแดริลไม่ชอบดูหนังรักกันทั้งคู่ แต่เรื่องนี้เป็นกรณียกเว้น และคริสต์มาสก็เป็นเทศกาลพิเศษ
   ชายหนุ่มผมดำพิงหัววางบนบ่าแข็งของร่างที่สูงกว่า ที่ก็นั่งนิ่งทำตัวเป็นหมอนอิงโซฟาที่ดีอยู่แบบนั้น
   “ฉันชอบบิล แม็คที่สุดแล้วเรื่องนี้” วินเซนต์พึมพำ ขณะมองหน้าจอดูชายแก่วัยพ้นกลางคนไปแล้วที่กำลังพยายามจะเอาชนะวงบอยแบนด์ด้วยการแก้ผ้าร้องเพลงคริสต์มาส แดริลฟังแล้วก็หัวเราะเบาๆ
   “ก็สมเป็นนายดี” แดริล
   “แล้วนายล่ะชอบใคร” วินซ์
   “คนที่ตอนหลังไปเล่นเรื่องวอล์คกิ้งเด้ดน่ะ” แดริล
   “มาร์คน่ะนะ?” วินซ์
   “ใช่ นั่นละ” แดริล
   พวกเขาดูหนังกันต่อไปเงียบๆ จนจบเรื่อง มันไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัด แต่เป็นความเงียบที่ชวนให้สบายใจ แดริลประคองถ้วยช็อกโกแลตร้อนไว้ด้วยสองมือแล้วจิบเบา รู้สึกสบายใจอย่างประหลาดแม้พ่อแม่จะอยู่ห่างออกไปเพียงแค่บ้านหลังตรงข้ามเท่านั้น

   เวลาอาจจะช่วย หรืออาจจะไม่ช่วย แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้คนเราปล่อยวางหลายสิ่งลงได้

   อันที่จริงแดริล เชน ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย จะชีวิตที่หวือหวาหรือนักกีฬาชื่อดัง เขาต้องการแค่ความสบายใจเล็กๆ ณ เช่นที่เกิดขึ้นในตอนนี้เท่านั้นเอง
   ดูหนังในวันคริสต์มาสอย่างเรียบง่าย กับช็อกโกแลตร้อนหนึ่งถ้วย เท่านี้ก็พอแล้ว
   ...นาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน
   “เมอรี่คริสต์มาส วินเซนต์” แดริลชิงพูดก่อน วินซ์เพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย ก้มลงจูบเบาบนริมฝีปากของคนรักตนเอง และกระซิบตอบใกล้ริมฝีปาก
   “เมอรี่คริสต์มาส แดริล”
   “เราควรไปเข้านอนแล้ว” แดริลพูดเบาทั้งรอยยิ้มบาง แต่ขณะที่กำลังจะลุก วินเซนต์กลับดึงรั้งร่างที่บางกว่าให้นั่งลงบนโซฟา
   “อย่าเพิ่ง… ฉันมีอะไรอยากให้นาย”
   คนฟังเลิกคิ้วเล็กน้อย
   “ของขวัญวันคริสต์มาสควรจะเปิดตอนเช้านะ วินซ์”
   “เถอะน่า ตอนเช้าฉันก็มีให้อีกกล่อง” ไม่พูดเปล่า วินเซนต์ยังยัดกล่องขนาดเท่าฝ่ามือใส่มือให้อีกด้วย
   แดริลชะงัก เงยมองคนให้ด้วยสายตาไม่ค่อยอยากเชื่อ เหมือนเขาจะพอเดาได้ว่าของในกล่องคืออะไร
   “เปิดสิ” วินเซนต์พูดจบก็จูบหน้าผากคนข้างๆ “ฉันอยากรู้ว่านายจะชอบไหม”
   แดริลแกะริบบิ้นออก เปิดฝากล่อง ด้านในเป็นกล่องแหวนบุผ้ากำมะหยี่สีแดง…
ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมาทั้งมือสั่น มองของสลับกับวินเซนต์ สักพักอีกฝ่ายก็เหมือนจะใจร้อนจนทนไม่ไหว เจ้าคนรีบฉวยหยิบของในมือไปเปิด หยิบแหวนคู่สีทองสองวงออกมาเอง และจับดึงมือคนรักมาใส่แหวนโดยไม่ถามอะไรสักคำ…
   “แต่งเดือนไหนดี”
   เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน นายควรขอก่อน หรือถามก่อนไหม!
   จู่ๆ แดริลก็ไม่แน่ใจว่าควรจะซาบซึ้งหรือจับเจ้าบ้านี่ตีก่อนดี
   “วินซ์… นายข้ามขั้นตอนอะไรไปหรือเปล่า……”
   “อะไร ฉันรอจะให้นายจนพ้นเที่ยงคืนแล้วนะ ยังไงซะฉันก็รู้คำตอบอยู่แล้ว ทำไมต้องถาม” คนพูดเลิกคิ้วใส่หน้าตาเฉย จนแดริลได้แต่ส่ายหัว “นายจะตอบว่าแต่งใช่ไหมล่ะ”
   มันก็ไม่ผิดหรอก…...
“นายต้องรับผิดชอบฉัน ฉันไม่ให้ปฏิเสธอยู่แล้ว” พูดแล้ววินเซนต์ก็ยิ้มกว้าง แต่แดริลจับสังเกตได้ ว่าเหมือนใบหน้าของอีกฝ่ายจะแดงขึ้นเล็กน้อย
โธ่เอ๊ย… เจ้าคนทำอะไรซาบซึ้งกับเขาไม่ค่อยจะเป็นนี่   
   “อืม.. รับผิดชอบ” มือข้างหนึ่งบีบมือหนาเบาๆ พร้อมทั้งคลี่ยิ้มจาง “และก็ไม่ปฏิเสธ”
   หลังจากคบกันได้หลายปี เขาก็พอรู้แล้วว่าที่วินเซนต์ไม่ค่อยยอมบอกรักหรือทำอะไรที่มันซาบซึ้งหวานเลี่ยน… จริงๆ เจ้าตัวก็แค่เขินและไม่ชินกับการต้องทำเท่านั้นเอง

   ก็เลยชอบทำลายบรรยากาศแบบนี้ไงล่ะ…

   วินเซนต์ยังคงฉีกยิ้มสีหน้าเดิม จนคนมองเริ่มไม่วางใจแล้ว ก็หมอนี่น่ะ ไว้ใจได้ซะที่ไหนกัน
   ...จากนั้นร่างเล็กกว่าก็โดนอีกฝ่ายหิ้วตัวลอย ยังไม่ทันจะได้ร้องห้ามเจ้าคนบ้าพลังก็ยกเขาเดินขึ้นบันได มุ่งหน้าไปทางห้องนอนชั้นสอง
   “วินเซนต์! ไม่เอา ฉันเดินเองได้” แดริลร้องห้าม
   “นายไม่อยากโวยวายหรอกที่รัก เดี๋ยวพ่อแม่ฉันตื่นนะ” คำตอบที่จี้จุดอ่อนนั่นทำให้คนถูกกระทำได้แต่มุ่ยหน้าลงเล็กน้อย และยอมเงียบปากแต่โดยดี
พ้นประตูก็โดนจับโยนลงเตียงแทบทันที ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากต่อว่า วินเซนต์ก็คร่อมทับ ก้มลงจูบดูดดื่มแบบไม่เว้นเวลาให้พักหายใจ
   ชายหนุ่มต้องทุบบ่าอีกฝ่ายหลายทีกว่าจะยอมถอย พออ้าปากจะดุ ตาก็เหลือบเห็นช่อใบไม้เขียวแซมผลขาวผูกโบว์แดงดูน่าสงสาร ที่ถูกแปะเทปเอาไว้อย่างลวกๆ บนเพดานห้อง
   “เขาว่าอยู่ใต้ต้นมิสเซิลโทต้องจูบไงล่ะ” เจ้าบ้านั่นยังคงยิ้มชั่วร้าย “ให้ดีเราก็ทำกันใต้ช่อมิสเซิลโทเลยก็เข้ากับเทศกาลดีออก”
   แดริลนึกอยากลูบหน้าแรงๆ...
   “พ่อแม่นายอยู่ห่างออกไปไม่กี่ห้องนะ… วินซ์” เขาถอนหายใจออกมา พูดปรามทั้งดันอีกฝ่ายให้พ้นตัว
   “ไม่เป็นไรหรอก ห้องฉันเก็บเสียง” พูดจบก็โดนเคาะหัวไปตามระเบียบ “อะไรกัน วันนี้ฉันขอนายแต่งงานแท้ๆ  รางวัลฉันล่ะ”
   พูดทวงทั้งยังยักคิ้วทำหน้าตาน่าหมั่นไส้อีกต่างหาก…
   “...ไว้กลับแคลิฟอร์เนียก่อนค่อยว่ากัน” แม้จะแสดงสีหน้าไม่ชอบใจ แต่วินเซนต์ก็ไม่ได้ดึงดัน ยอมถอยให้แต่โดยดี
   “ดอกเบี้ยแพงนะ” ยังมีขู่...
   สุดท้ายแดริลก็ทนไม่ไหว อ้าปากงับคออีกฝ่ายสักทีอย่างอดไม่ได้    
“ฉันจ่ายไหว”

   และค่ำคืนวันคริสต์มาสของแดริล เชน ก็ผ่านพ้นไปอย่างสงบสุข ในเมืองที่ทุกอย่างเริ่มต้น และในห้องเดียวกับที่เรื่องทั้งหมดเริ่มต้น
   ชายหนุ่มมองใบหน้ายามหลับของวินเซนต์ ที่ก็ไม่ได้ดูร้ายกาจเสียเท่าไร จากนั้นก็ยิ้มออกมา
   “...ฉันดีใจที่ได้พบนาย” เขากระซิบเบาให้แก่คนที่กำลังหลับสนิท วางมือลงบนหลังมือของอีกฝ่ายที่สวมแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายเช่นเดียวกัน

   โดยที่แดริลตั้งใจว่าจะไม่มีวันปล่อยมือนี้ไปอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-01-2019 18:57:34
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-01-2019 19:26:48
 :กอด1: :man1: :กอด1:


 :L1: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L1:


 o13
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-01-2019 20:09:38
ดีใจกับคุณแดริล แฮปปี้กับชีวิตนะคะ ขอให้ไม่มีเรื่องยัดซบเข้ามาในชีวิตอีกต่อไปนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 27-01-2019 20:37:54
โรแมนติกใต้ช่อมิสเทินโซไปเลย ดีใจกับคุณแดริลด้วย ความบัดซบของชีวิตจบลงแล้ว ขอให้วินซ์ทำตัวดีๆนะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 27-01-2019 21:28:24
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ เป็นอีกเรื่องที่ประทับใจมาก นักเขียนยกประเด็นLGBTมาเล่นได้จริงมากและยังคงเป็นนิยายไม่ใช่วิจัยแทน ดีใจกับคุณแดริลที่ไม่เป็นคนเศร้าแล้ว มีความสุขสักทีนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 27-01-2019 23:32:16
ปุ๊บปั๊บจบซะแล้ว
ขอบคุณเรื่องสนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 28-01-2019 01:38:30
Congrats ทั้งสองคนรักกันสักที
แต่ก็สงสารบ้านแดริลนะยอมรับความหลากหลายไม่ได้แต่ก็ถือว่า Mindset ของพวกเขาแล้วละ  :L1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-01-2019 02:09:21
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 28-01-2019 11:30:36
 :L1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 02-02-2019 22:27:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: palipang ที่ 03-02-2019 17:55:53
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lemonphug ที่ 06-02-2019 15:50:11
อ่านรวดเดียวจบสนุกมาก อยากได้ตอนพิเศษเกี่ยวกับความรู้สึกของวินเซนต์หน่อย
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: jincool ที่ 08-02-2019 07:21:28
ชีวิตมันไม่ง่ายจริงๆ
มันบัดซบทุกอย่างแหละ แต่ก็อยู่ที่คนจะมอง
ทำชีวิตให้ง่าย ให้มีความสุขแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ดีกว่าเนอะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 08-02-2019 16:47:58
ขอบคุณจ้า​ ​เรื่องสนุกดี
ช่วงแรกร้องด้วยอ่ะ​ แต่จบดีค่ะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 09-02-2019 11:06:48
สนุกมาก ชอบมาก
ขอบคุณที่ลงให้อ่านค่ะ^^
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Rsun ที่ 15-02-2019 17:55:00
ขอบคุณ​ค่ะ​ที่​เขียนนิยายดีๆแบบนี้ออกมา​  :L1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 15-02-2019 18:06:50
สนุกมมาก :o8: :hao7: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 17-02-2019 11:21:43
สนุกมากกกกกก ยาวจุใจ เหมือนได้ดูซีรี่ย์วันรุ่น อเมริกาดีๆซักเรื่อง มีครบทุกรสจริงๆค่ะ ครอบครัว เพื่อน สังคมในวัยเรียน ความรัก เรื่องรสนิยม สังคมที่ทำงาน มุมมองสังคมในเรื่องLGBTQ  ไรท์เขียนได้ทัชมากๆๆ ภาษาดีด้วย นิยายขึ้นหิ้งอีกเรื่องเลย แง้ๆๆ ดีมากกกกกกกกกกก  :hao5: ติดตามต่อเรื่องของพี่ซีมัสและเรื่องอื่นๆนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 17-02-2019 11:28:51
กี๊ดดดดด เราพลาดมาก นิยานสนุกแบบนี้ผ่านตาเราไปได้ไงนะ
ก่อนอื่นเลย ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะคะ
เราตื่นเต้นมาก ช่วงนี้หาอ่านนิยายถูกใจมาก มาเจอเรื่องนี้เราอ่านยิงยาวห้าทุ่มถึงตีสี่ วางไม่ลงจริงๆค่ะ555
คุณแดริลน่ารักมากเลย ยิ่งมองมุมของวินซ์ยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่
คนอาไร๊ ขี้เขินจริงๆ
เราน่ะ เขินการแพ้ทางวินซ์ของคุณแดริลมาก รักเขาอะเนาะ คนตัวใหญ่นิสัยเสียแบบนั้นก็ยังมองว่าน่ารัก
แต่เรารู้สึกนะว่ากับแดริล วินซ์นะอ่อนลงให้มากๆ ฮือ เขินจัง
แต่มาตอนเข้ามหาลัยนี่ล่ะ อยากตบนังวินซ์สักที จริงๆเคืองมากที่นอกใจ แต่ถ้าคุณแดริลให้อภัย เราก็ให้ด้วย เชอะ ผ่านมาเก้าปีแต่ก็ได้กลับมารักกัน มันก็ดีแล้วล่ะเนาะ
ว่าแต่คุณนักเขียนบอกว่าจะมีช่วงพาร์ทวินซ์ใช่ไหมคะ เรารออ่านนะ อยากอ่านอีกมาเลยย สนุกกกก
ไปส่องเพจมาแล้วค่ะ มีเรื่องของคุณพี่ชายซีมัสด้วยใช่ม้า ต้องตามไปป

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับนิยายดีๆนะคะ เราจะติดตามผลงานต่อไปน้า
เป็นกำลังใจให้นะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 19-02-2019 13:49:33
เรื่องน่ารักมากเลย

ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Piiiimsen ที่ 19-02-2019 20:44:29
จะบอกว่าเรื่องนี้น่ารักมากกก เป็นเรื่องที่ลุ้นมาก มีเสียน้ำตาเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องที่สนุกจริงๆนะ ตอนแรกก็รู้สึกไม่ชอบที่ย้อนอดีตนานเกินไป แต่พออ่านไปเรื่อยๆก็ทำให้รู้ว่าในอดีตทั้งสองคนเป็นอย่างไร สรุปง่ายๆคือเรื่องนี้แต่งมาสนุกมากสำนวนภาษาก็โอเค มีให้ลุ้นตลอดเวลา ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้นะคะ ดีใจมากที่เลือกกดเข้ามาอ่านเรื่องนี้  :-[  :-[
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 20-02-2019 21:09:39
สนุกและน่ารักมากๆ เลย :katai3:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 21-02-2019 11:18:45
สนุกดีค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 26-02-2019 11:49:30
เป็นนิยายที่สนุกมากกกก ชอบจริงๆ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: abc_b ที่ 28-02-2019 14:33:58
อ่าาา แล้วตอนเรื่องวันนั้นในมุมมองของวินเซนต์ล่ะะะะะะ #ฮื้อออ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: junlifelove ที่ 28-02-2019 18:35:28
ต่อจากนี้ก็จะมีแต่ความสุขแล้วนะคะคุณแดริล
แต่เรื่องพ่อกับแม่ของคุณแดริลนี่คงต้องให้เวลาเค้าไปอีกซักพักเนอะ
สงสารคุณแดริลตอนมองพ่อ  :m15:

สนุกมากๆๆเลยค่ะ จะตามงานเขียนเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 06-03-2019 10:29:49
สนุกมากกก เขียนดีมากกก เขียนดีจริงๆนะคะ
มุมมองตะวันตกเนียนกริ๊บ อ่านลื่นไหล ชอบมากเลย
ได้อารมณ์หนังสือแปล หรือซีรี่ส์ฝรั่ง
ชอบพล็อตที่สุด ชอบความสมจริงนี้ ชอบดราม่าด้วยอ่ะ
ชอบความแอบฮาด้วยค่ะ บทพูด บทนึกในหัว ตลกมาก
จะติดตามอ่านเรื่องอื่นๆอีกนะคะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 11-03-2019 04:09:25
สนุก อ่านรวดเดียวจบ
ชอบทุกอย่างเลย
ภาษา ตัวละคร เนื้อเรื่อง
เดี๋ยวไปอ่านของคุณซีมัสด้วย
ขอบคุณนะคะ รอตอนคุณพระเอกเล่าบ้าง จะมีมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 11-03-2019 20:46:55
 :กอด1:
 :L2:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: dekfad ที่ 13-03-2019 12:56:27
สนุกมากเลยค่ะ ภาษาและ เส้นเรื่องดีมาก
เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 13-03-2019 19:57:55
 :L2:   :pig4:   :L1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: anonymouslycat ที่ 14-03-2019 13:05:30
มาแจ้งข่าวเล็กน้อย ตอนนี้เรื่องนี้มีเปิดพรีออเดอร์แล้วนะคะ ตามข่าวได้ที่ทวิตเตอร์หรือเฟสบุคเราได้เลยค่ะ ขอไม่ลงลิงค์ขายนะคะกลัวผิดกฎ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: w-for-winnie ที่ 14-03-2019 15:50:54
ขอบคุณนะคะ อ่านรวดเดียวจบเลย

อยากอ่านนิยายวายแนวอเมริกันฟุตบอลมานานแล้ว เจอเรื่องนี้เลยแฮปปี้มากๆ ชอบที่วินซ์เป็นคนตรงๆ คิดอะไรก็แสดงออกอย่างงั้น (แต่แอบผิดหวังนิดนึงที่วินซ์ไม่ได้ดูสำนึกผิดเรื่องที่เคย bully โจเซฟตอนสมัยก่อนเลย) ส่วนแดริลก็น่ารักตลอด ถ้าเราเป็นวินซ์ เราก็จะไม่ทน

รอตอนพิเศษนะคะ 5555555555
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: FeRnChOi ที่ 15-03-2019 18:39:15
ขอบคุณนะคะ อ่านรวดเดียวจบเลย

อยากบอกส่าภาษาสวยมากกกกกกกกก
อารมณ์เหมือนนิยายแปลเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้ในเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 17-03-2019 03:57:38
 :pig4:ใจ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 19-03-2019 21:53:04
ร้องไห้..อึดอัดกับความรักของทั้งคู่  :sad4:

หมั่นไส้ความมั่นหน้าของวินซ์มาก  :m31:

และอยากรู้เลยว่าวินซ์คิดอะไรถึงทิ้งแดริลไป..ไม่บอกเหตุผลเลย  :m15:

เหมือนที่แดริลพูด..จะไปก็ไม่บอกกล่าว จะกลับมาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดชึ้น

ไหน ๆ วินซ์..มาแก้ตัวให้ฟังหน่อย  :angry2:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ชอบอ่าน ที่ 20-03-2019 00:29:51
สนุกมากๆๆๆๆๆเลยค่ะ อ่านเพลินยาวเลย เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ
รอตอนพิเศษของวินซ์น้าาาา
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทที่ 10 [08/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: airjang ที่ 21-03-2019 22:13:10
เพิ่งอ่านไปได้ 10 ตอน ไม่รู้ว่าเรื่องจะเดินไปทางไหนแต่ขอเม้นท์ก่อน

เป็นเรื่องที่เลิศมาก โครงเรื่อง การใช้ภาษา อารมณ์ มันที่สุดจริงๆ ขอยกให้เป็น

One of the Best of the Best!!!
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 22-03-2019 10:04:58
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ChutiyaC ที่ 26-03-2019 22:36:36
ขอบคุณคนเขียนมากเลยคะ
นิยายน่ารัก  :)
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-03-2019 19:27:51
ตามมาจากห้องแนะนำนิยาย ไม่ผิดหวังเลยค่ะ
เขียนดีมาก ภาษา สำนวน ความรู้เรื่องสตาร์ทอัพ
ตัวละครมีชีวิตชีวา อ่านแล้วไม่สะดุดเลย
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 27-04-2019 17:31:15
เป็นเรื่องที่ดีอะ
เรียลดี
ดีใจที่วินซ์ตัดสินใจแถลงข่าววันนั้น
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 28-04-2019 14:19:01
สนุก ภาษาดี เหตุผลก็ดี เอาจริง LGBT มันเปิดกว้างแค่คำพูดจริงๆ แหละ คนหัวเก่ายังมีอีกมากมาย บางศาสนาถือเป็นบาปมหันต์เลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ใครมันกำหนดนะ ทั้งๆ ที่เรื่องนี้มีมาตั้งนานกาล ทำเป็นรับไม่ได้
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Ditweu ที่ 28-04-2019 23:18:11
รู้สึกว่ามันจบไม่สุดอ่ะค่ะ  ตลอดเรื่องเรายังคาใจที่วินซ์มีคนอื่นแล้วมาบอกเลิก แบบมันไม่อันล็อคอ่ะค่ะว่าตัวละครคนนี้คืดอะไรอยู่ บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป เราอ่านก็ได้แต่หงุดหงิดใจอ่ะ ฮื้อออ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 03-06-2019 14:08:15
เขียนดีมากเลยค่ะ สำนวนไม่น่าเบื่อ ชอบม้ากกกกก
ตอนแรกก็เอะใจ ตาวินซ์นี่จะกลับมาทำให้ชีวิตคุณแดริลบัดซบรอบสองเหรอ
แต่เปล่าเลย ไปตกหลุมรักคนเอาแต่ใจนี่ตอนไหนก็ไม่ทราบ โดนวินซ์ตก ฮืออออ
ชอบการวางตัวของแดริลมากค่ะ ถึงชีวิตไฮสกูลจะลำบาก แต่ก็โตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ
ยัยแคทเพื่อนรักทำให้นึกถึงมีนเกิร์ลจริงๆด้วย นักเขียนตีบทแตก 55555
แอบอยากให้เพิ่มบทของซีมัสอีกนิดเหมือนกัน ดูมีอะไรน่าให้เขียนอีก
แต่โดยรวมคือชอบค่ะ(อีกที) ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆมาให้อ่านนะคะ  :a9:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: koisuratreeJHZZ ที่ 13-06-2019 17:07:33
อยากบอกว่าเจอรีีวิวเรื่องนี้จากทวิตเตอร์
เนื้อเรื่องดีและภาษาดีมากๆเลยค่ะ
รอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: MaTazz ที่ 12-07-2019 18:37:59
เนื้อเรื่องดี
ภาษาดี
เหมือนนิยายแปลเลย ชอบมากๆค่ะ
ตัวละครน่ารักกันทั้งคู่เลย
ตอนแรกไม่อยากอ่านเพราะชื่อแท็กกลัวดราม่า
แต่คือดีมากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: LonelyBoiZ ที่ 16-07-2019 22:45:02
สนุกมากเลยครับ
ชอบการใช้ภาษามากครับ อ่านแล้วติดตามง่ายมากครับ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 18-08-2019 02:16:59
อ่านยิงยาวจนถึงตอนนี้นี่สุดจริงๆค่ะ ร้องไห้หนักมาก ตัวเองเล่นประเด็นlgbtqได้ค่อนข้างดีเลยนะคะ สงสารคุณแดริลมากๆ ตอนช่วงไฮสคูลนี่ให้ครส.เหมือนหนังรักเลย มีแทรกการบุลลี่ด้วย ส่วนตัวแอบสงสารโจเซฟนะคะ เพราะว่าเค้าก็เป็นเหยื่อที่โดนรังแกมาก่อนเหมือนกัน ส่วนวินซ์นี่ก็เป็นสารเลวที่เกลียดไม่ลงจริงๆค่ะ ดีใจที่สุดท้ายเค้าก็ยังกลับมาเลือกคุณแดริล เพราะคุณแดริลเป็นคนที่สมควรจะได้รับความรักมากๆ ไม่อยากให้เค้าต้องมาเสียใจทั้งๆที่ตัวเค้าไม่ได้ผิดอะไรเลย // แม่ควีนบีขอแต่งงานปาดหน้าพ่อพระเอกไปแล้ว คู่นี้นี่น่ารักนะคะ555 ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคับ รักเรื่องนี้มากๆๆๆ :hao5:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Blue ที่ 25-08-2019 13:30:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 21-10-2019 16:53:30
 :pig4:  สนุกมากๆเลยค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: yakusa ที่ 08-01-2020 23:25:55
ตามๆๆก่อน

Sent from my vivo 1919 using Tapatalk

หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ss.suttida ที่ 02-04-2020 13:22:15
เรื่องราวชีวิตแบบชีวิตจริงๆสมัยสังคมไม่ยอมรับแล้วก็ฟันฝ่าอุปสรรคจนได้มารักกันอีกรอบ ความจริงแอบด่าความเลวและความมั่นหน้าของวินซ์ไปหายรอบแล้วเหมือนกัน สุดท้ายอีหรอบเดิมคือหลงเมียสินะเจ้าคนบ้าฟุตบอล
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 07-04-2020 19:25:51
สนุกดีค่ะ
เหมือนจะเครียด แต่ก็ไม่เครียด

แม้สำนวน จะคล้ายนิยายแปล
อย่างที่หลาย ๆ คนรู้สึก
แต่ก็ชอบนะคะ นาน ๆ จะได้อ่านสำนวนแบบนี้ ในเว็บนี้
สักเรื่อง, อย่างเรื่องนี้ ที่ชอบ.
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: phai ที่ 12-04-2020 12:47:40
ดีมากกกก
สนุกมากๆๆ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 14-04-2020 09:17:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 15-05-2020 18:49:35
ชอบมากๆ ขอบคุณผลงานดีๆ ครับ
หัวข้อ: Re: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: politesseone ที่ 28-07-2020 17:40:24
เรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่องนึงเมื่อนานมาแล้ว เราเคยเดตกะหนุ่มตี๋กล้ามปู ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นสาววายเต็มตัว แต่ก็มาทางนี้แล้วล่ะ เจอคนที่มีทัศนคติแบบนี้มันเปลี่ยนยากมาก คบไปคบมาก็ไม่ไหวเลยต้องถอยห่าง เลยเข้าใจเลยว่ามันอาจจะมีจริงๆก็ได้นะคนที่สามารถตัดพ่อตัดลูกได้เพราะลูกเป็นรักร่วมเพศ #ทั้งสงสารทั้งหนักใจเลย