บทส่งท้าย
เพราะชีวิตไม่ได้สวยงาม แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียด… โลกเรามีหลายมุม แต่โลกก็คือโลก.. ไม่ว่าจะบอกว่าน้ำในแก้วเหลือตั้งครึ่งหนึ่งหรือเหลืออยู่แค่ครึ่งหนึ่ง ความเป็นจริงก็คือมีน้ำอยู่ครึ่งแก้วอยู่ดี
คนเราเสียบางอย่าง และคนเราก็ได้บางอย่างคืนมา… แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ต้องดำเนินต่อไป
หลังจากนั้นวินเซนต์ ซัมเมอร์ยังคงได้รับเลือกให้เป็นนักกีฬา NFL ในฤดูกาลนั้นโดยไม่ได้ถูกถอดออกจากตำแหน่งกัปตันทีม มีคนภายนอกให้กำลังใจอย่างล้นหลาม ได้ออกรายการทอล์กโชว์กับพิธีกรดัง จัดว่าเป็นกระแสในโลกออนไลน์อยู่ช่วงหนึ่งทีเดียว
แต่แม้เขาจะได้ลงสนามและทำอย่างเต็มที่แล้ว ก็ไม่อาจทำลายสถิติที่ตนเองทำไว้เมื่อสามปีก่อน การเล่นก็จัดได้ว่าฟอร์มดี และทำได้ในระดับที่น่าพอใจ
มีกระแสข่าวออกมาว่าเดิมทีผู้จัดการทีมคิดจะถอนรายชื่อวินเซนต์ออกจากการเป็นนักกีฬาในลีกของฤดูกาลนั้น แต่ทางสมาคมติดต่อมาและยืนกรานว่าวินเซนต์ ซัมเมอร์ ต้องได้ลงแข่ง เพราะกลัวข้อกล่าวหาเรื่องการเหยียดเพศจากสาธารณชน
เรื่องจริงเป็นอย่างไรไม่อาจทราบ ก็ขึ้นกับว่าจะมองให้มันเป็นเรื่องน่าเศร้าหรือน่ายินดี
ในปีต่อมา ซัมเมอร์ไม่ได้เป็นกัปตันทีม แต่เขาก็ยังได้ลงแข่ง และหลังจบการแข่งขันในปีนั้น เขาก็ประกาศเกษียณจากอาชีพนักอเมริกันฟุตบอล โดยที่ไม่สามารถทำลายสถิติของตนเองแบบที่ตั้งใจเอาไว้
ส่วนไลน์กีฬาของ fashionistaa.com ที่วินเซนต์เป็นพรีเซนเตอร์ หลังจากการประกาศตัวครั้งนั้น แดริล เชน ผู้ซึ่งเป็น CMO ก็สั่งการให้บริษัทออกประกาศว่าสนับสนุนความแตกต่างทางเพศและไม่ถอดถอนวินเซนต์ออกจากแคมเปญ ทำให้ได้รับคำชมอย่างล้นหลาม ยอดขายโดยรวมในเดือนนั้นเพิ่มขึ้นในเกือบทุกแบรนด์… ยกเว้นแบรนด์กีฬา
ต่อมาพอมีประเด็นใหม่ให้ผู้คนสนใจ และประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นเก่าที่ไม่มีใครอยากพูดถึง ตัวเลขก็กลับสู่ระดับปกติ
ในปีถัดมาบริษัทไม่ได้ต่อสัญญากับวินเซนต์ ซัมเมอร์ โดยอ้างกับสื่อและทางโซเชียลว่าเป็นการปรับกลยุทธ์ทางการตลาด เมื่อกระแสทั้งหมดมวลซาลงแล้วจึงไม่มีใครเอะใจหรือใส่ใจ ว่าภาพของซัมเมอร์ค่อยๆ โดนถอดถอนออกไ
ต่อมา fashionistaa.com กลายเป็นยูนิคอร์น และได้ชื่อว่าเป็นออนไลน์แฟชั่นชอปปิ้งมอลล์อันดับหนึ่งในประเทศ
คนเพียงไม่กี่คนไม่สามารถเปลี่ยนมุมมองของสังคมโดยรวมที่ถูกฝังรากฐานมาเป็นร้อยเป็นพันปีได้ สุดท้ายก็คงมีแต่ต้องใช้เวลาอีกเป็นร้อยเป็นพันปีเท่านั้นกว่าที่มันจะเปลี่ยน
แต่ไม่ว่าเรื่องจะจบลงอย่างไร ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปในแบบของมัน…
เวลาราวสี่ทุ่ม แดริล เชนไขประตูอพาร์ทเมนต์เข้ามาพร้อมกับถือถุงกระดาษใส่ของชำเต็มแขน ยังไม่ทันได้วางข้าวของลงบนเคานต์เตอร์ครัว จู่ๆ ร่างที่สูงใหญ่กว่าตัวเองก็โถมเข้าใส่จนแอปเปิลแดงสองลูกร่วงลงพื้น
“ฉันได้บทในหนังซุเปอร์ฮีโร่!”
ตอนแรกก็ว่าจะดุเสียหน่อย แต่พอวินเซนต์ประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจแบบเด็กๆ แดริลก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ยินดีด้วย”
พูดแล้วก็ลูบหลังคนตัวโตเบาๆ เขายังจำได้ดีว่าในห้องนอนของวินเซนต์นอกจากจะมีโปสเตอร์นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลแล้วก็ยังมีหนังสือการ์ตูนฮีโร่พวกนี้อยู่ด้วย
ตลอดสามปีที่ผ่านมาวินเซนต์พยายามเข้าสู่วงการบันเทิงตามรอยเทอรี่ ครูวส์ที่เป็นไอดอล ยังดีที่พ่อคนคลั่งกีฬาคนนี้ไม่ได้มีดีแค่แรงเยอะแต่ยังสามารถแสดงตามบทบาทได้ (อาจเพราะเสแสร้งหน้ากล้องเก่ง) จากบทเล็กๆ ในฐานะนักแสดงรับเชิญ ก็ค่อยๆ รับบทใหญ่ขึ้นจนสุดท้ายก็ได้บทสำคัญ และกลายเป็นนักแสดงนำ
อันที่จริงคนดังในวงการกีฬาที่ผันตัวไปเล่นหนังก็มีให้เห็นมาหลายคนแล้ว เดอะร็อคก็เริ่มต้นจากการเป็นนักกีฬามวยปล้ำ อาร์โนลด์ก็เริ่มต้นมาจากการเป็นนักกีฬาเพาะกาย
“นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” แดริลวางถุงของชำลงบนโต๊ะข้างๆ ก้มลงเก็บลูกแอปเปิลแดงที่ตกพื้น
“เมื่อเย็น” วินเซนต์ตอบ มือก็รื้อถุงของชำไปพลาง หยิบผลไม้ออกมาแทะกินโดยไม่ขออนุญาต “หลับรอนายไปตื่นนึง”
ช่วงนี้วินเซนต์เดินทางไปๆ กลับๆ ระหว่างแคลิฟอร์เนียกับนิวยอร์กเพราะงานที่ต้องทำ จนดูจะเหนื่อยไม่น้อย..
แดริลยังคงทำงานอยู่ที่เดิม ในตำแหน่งเดิม แค่บริษัทใหญ่ขึ้น ตอนนี้บริษัทเกินคำว่าสตาร์ทอัพไปมากแล้ว และเขาก็ต้องคุมคนหลายสิบ มีโครงสร้างที่ซับซ้อนขึ้น ขั้นตอนที่เพิ่มมากขึ้น… จนรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ และเริ่มไม่ต่างอะไรกับบริษัทใหญ่บริษัทอื่น… ความรวดเร็วและเสน่ห์ของคำว่า ‘สตาร์ทอัพ’ ไม่หลงเหลืออีกแล้ว
“นี่… วินซ์” ขณะที่จัดเก็บอาหารใส่ตู้เย็น ชายหนุ่มก็ทักขึ้นมา “ฉันว่าฉันจะไปหางานที่ซิลิคอนแวลีย์ดู นายคิดว่ายังไง”
ซิลิคอนแวลีย์ตั้งอยู่ในแคลิฟอร์เนีย เป็นแหล่งรวมธุรกิจสตาร์ทอัพและบริษัทเทคมากมาย กระทั่งบริษัทเทคยักษ์ใหญ่อย่างกูเกิ้ลหรือแอปเปิลก็ตั้งอยู่ที่นี่ เป็นศูนย์รวมคนเก่งโปรไฟล์เลิศระดับท็อปของวงการเทคและสตาร์ทอัพเลยทีเดียว
ปากที่กำลังแทะลูกแอปเปิลของวินเซนต์ชะงักเล็กน้อย
“ไม่ใช่ว่านายรักบริษัทที่ทำอยู่หรือยังไง”
“ฉันรักงานที่ทำ ไม่ได้รักบริษัท” ชายหนุ่มผมดำหัวเราะเบา “แล้วฉันรู้สึกว่าวัฒนธรรมองค์กรใหญ่ไม่เหมาะกับตัวเองเท่าไหร่… ฉันมีความสุขกับสมัยที่มันยังเป็นสตาร์ทอัพ เรานั่งช่วยกันทำงานในออฟฟิศห้องเล็กๆ ชั้นเดียวมากกว่า”
วินเซนต์เดินเข้าใกล้ขณะที่แดริลกำลังปิดประตูตู้เย็น
“นายไม่จำเป็นต้องทิ้งมันไปเพื่อฉันหรอก ฉันไหว จริงๆ นะ” วินซ์มุ่นคิ้วขณะก้มลงมองคนที่มองตอบเขาซึ่งกำลังยิ้มน้อยๆ
“นายเริ่มคิดมากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ตั้งแต่คบกับนาย...”
ชายหนุ่มฟังแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ฉันอยากให้มันสะดวกนาย แต่ฉันก็อยากไปเริ่มทำอะไรใหม่ๆ เองด้วย วินซ์ เราจะได้ซื้อบ้าน แล้วนายจะได้เลี้ยงหมาด้วยไง” แดริลดึงคอเสื้อให้อดีตนักกีฬาโน้มตัวลงมาเล็กน้อย แนบจูบเบาลงบนแก้มสากของคนที่ดูเหมือนจะลืมโกนหนวด… อีกแล้ว
“ถ้านายว่าอย่างนั้นฉันก็ไม่เกรงใจล่ะนะ” วินซ์ยกยิ้มมุมปาก ท่าทางเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมาก
แรกเริ่มในตอนที่เพิ่งเกษียณใหม่ๆ แม้เจ้าตัวจะพยายามไม่แสดงอะไรให้เห็น แต่แดริลก็รู้สึกได้ถึงความเศร้า... หลายครั้งที่วินเซนต์เหม่อมองลูกอเมริกันฟุตบอลอยู่นาน บางครั้งเปิดทีวีเจอแข่งกีฬาก็จะรีบปิดหรือเปลี่ยนช่องหนี แต่ระยะหลังเหมือนจะดีขึ้นมากแล้ว...
ชายหนุ่มจากวงการมาด้วยดี จนปีสุดท้ายเขาก็ยังพยายามเล่นอย่างดีที่สุด และทีมก็ชนะ แต่ก็ได้ไม่เท่าที่วินซ์หวังเอาไว้
พอถามว่ามีปัญหาอะไรไหม อีกฝ่ายก็จะตอบว่า
มีบ้าง… แต่ไม่ใช่ปัญหาที่ฉันรับมือไม่ได้
ด้วยสีหน้าและรอยยิ้มมั่นใจแบบทุกครั้ง…
มีทั้งคนที่เข้าใจ… และคนที่ไม่เข้าใจ ซึ่งแดริลช่วยอะไรคนรักของตนเองไม่ได้เลย นอกจากคอยกอดอีกฝ่ายเอาไว้
มันคุ้มแล้วเหรอ?
คุ้มสิ…
แค่คำตอบสั้นๆก็รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาแล้ว…
“แล้วเราจะย้ายเมื่อไหร่กันดี” วินซ์
“ปีหน้า… น่าจะดี” แดริล
“ได้ ปีหน้า” วินซ์
“จะว่าไป… หนังซุเปอร์ฮีโร่ที่ว่า นายได้บทอะไรน่ะ” แดริลถามอย่างสงสัย อีกฝ่ายเลิกคิ้วน้อยๆ แล้วก็มองตอบด้วยแววตาขบขัน ก่อนจะโน้มตัวเข้าใกล้ กระซิบบอกเสียงเบา
คนฟังเลิกคิ้วสูง หลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่
“ฉันรอดูนายในชุดรัดรูปนั่นไม่ไหวแล้ว”
“ต่อให้เป็นชุดรัดรูป หุ่นอย่างฉันใส่อะไรก็ดูดี ที่รัก” เจ้าของร่างสูงใหญ่ฉีกยิ้มตอบอย่างน่าหมั่นไส้ จนอดกลอกตาสักทีไม่ได้ แต่กลอกตาไปมันก็ไม่สะทกสะท้าน จึงเดินหนีดื้อๆ เสียแบบนั้น แต่วินเซนต์ก็ก้าวยาวตามมาถึงโซฟาอยู่ดี
“นี่ แดริล… คริสต์มาสนี้กลับดีซีกันไหม”
คำถามทำให้คนฟังมีสีหน้าเหมือนเห็นผี อย่างที่รู้กันดี บ้านครอบครัวซัมเมอร์อยู่เยื้องกับบ้านของพ่อแม่แดริล และเขาก็ไม่ได้คุยกับทั้งพ่อและแม่มาสามปีแล้ว
พอคิดถึงบุพการีที่จนบัดนี้ก็ยังไม่ยอมรับเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกฝาดขมในใจอยู่บ้าง
“ฉันอยากพานายไปคุยกับที่บ้านสักที แม่บ่นอยากเจอนาย…” พูดไปมือไม้ที่อยู่ไม่สุขก็รวบตัวคนข้างๆ มากอดด้วย
“... พวกเขาโอเคแล้วจริงๆ ใช่ไหม”
เมื่อตอนนั้นที่วินเซนต์ประกาศตัว เหมือนเจ้าตัวต้องอธิบายให้พ่อและแม่ฟังยกใหญ่ แรกเริ่มก็เหมือนจะมีปัญหา แต่ต่อมาทั้งสองคนก็เหมือนจะค่อยๆ ยอมรับได้อย่างช้าๆ
…. ว่าลูกชายคนเดียวของพวกเขามีคนรักเป็นผู้ชาย
“ก็คิดว่าทำใจได้แล้ว วันก่อนบอกให้คริสต์มาสนี้พานายกลับบ้านด้วย พวกเขาคงเข้าใจแล้วว่าฉันจะไม่เปลี่ยนใจ”
“....” แดริลเงียบไปเล็กน้อย
“บางที ‘เวลา’ ก็ทำให้อะไรอะไรดีขึ้น” มือใหญ่ลูบแผ่นหลังของชายหนุ่มอย่างเบามือ “คำตอบของนายล่ะ”
“...ฉันจะไป” และก็จะกลับไปพบหน้าครอบครัวของตัวเองด้วยหากทำได้… เพราะคงถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้าแล้ว “นายจะอยู่ข้างๆ ฉัน ตอนพ่อเอาปืนมาไล่ยิงฉันใช่ไหม”
วินซ์ฟังแล้วก็หัวเราะดังอย่างชอบใจ
“แน่นอน ฉันจะไม่ปล่อยให้นายต้องเผชิญกับอะไรตามลำพังอีกแล้ว” ร่างสูงใหญ่ก้มลงแนบจูบเบาอย่างอ่อนโยน และกระซิบถ้อยคำแผ่ว
“...ฉันสัญญา”
------------
สวัสดีค่า สำหรับตอนสุดท้ายขอโทษด้วยนะคะที่มาลงสายไปหน่อย ช่วงนี้ยุ่งมากๆเลย รู้ตัวอีกทีก็ตีสามตีสี่แล้วเลยไม่ค่อยอยากอัพดึกค่ะฮืออ
ยังไงเดี๋ยวจะลงตอนพิเศษอีกหน่อยนะคะ รบกวนแอดมิรอย่าพึ่งเก็บกระทู้
คำติชมขอน้อมรับไว้นะคะ ตอนนี้เราแก้งานเสร็จไป 90% แล้วค่ะ ตอนพิเศษเฉพาะในเล่มเขียนครบหมดแล้ว (; v ; / จะไม่ทันเดดไลน์แล้ว ฮือออ
สำหรับเรื่องนี้จะมี e-book นะคะ แต่จะมาหลังส่งรูปเล่มออกไปแล้วค่า
ช่วงนี้ขอเคลียร์หลายๆอย่างก่อนค่ะ ปกก็ใกล้เสร็จแล้วไว้จะอัพเดตทางเฟสบุคกับทวิตเตอร์นะคะ!