ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิตบัดซบของคุณแดริล :: บทส่งท้าย [27/01/2019]  (อ่าน 52148 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :m16:

ขอเหตุผลดีๆ ที่ไม่บอกกันตั้งแต่ตอนแรกหน่อย


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อย่าใจอ่อนง่ายสิพ่อคุณ

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ขีวิตแดริลมันบัดซบจริงๆด้วย แต่อย่ากลับไปคบกับวินซง่ายๆนะ เพราะมันจะยิ่งบัดซบไปอีก สู้นะคุณแดริล

ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0


บทที่ 12 Alcohol Should Be Banned  (1/2)


   แคทเธอรีน บราวน์ ติดต่อไม่ได้จนวันนี้…

   อันที่จริงงานเดินแบบและถ่ายแบบของเจ้าหล่อนน่าจะรัดตัวพอควร ชายหนุ่มเองก็ไม่อยากจะรบกวนหล่อนนัก สุดท้ายก็ทำแค่ทิ้งข้อความไว้

   สุดท้ายตอนเช้าที่ว่าจะหนีหลบหน้าชิงลาป่วย ก็หนีไม่ได้อยู่ดีเพราะติดประชุมที่ลากกันมาตั้งแต่เมื่อวานของทีมSEOกับฝ่ายไอทีทำให้แดริลต้องลากขาไปทำงานอย่างเลี่ยงไม่ได้

   ก็ใครใช้ให้เขามีความรับผิดชอบขนาดนี้…

   ผ่านไปวันเดียว… วันเดียวเท่านั้น… คุณโจนส์ก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิม หนวดขึ้นไม่เรียบร้อย ผมเผ้าดูราวไม่ได้หวี ใส่แว่นหนาเตอะ สวมสูทราคาถูกทับเสื้อยืดเก่าๆ
   ทำไมคนคนนึงถึงทำตัวเสียของได้ขนาดนี้… เขาทำได้เพียงเหม่อมองเพดานอย่างไม่เข้าใจ… ด้วยหน้าตากับรูปร่างแบบนั้นจับไปถ่ายแบบชุดแบรนด์ของบริษัทได้เลยด้วยซ้ำ

   เวลาในวันนี้เหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว… วินเซนต์ ซัมเมอร์ ยังคงเป็นหัวข้อสนทนาของสาวๆในออฟฟิศ แต่ก็ไม่ได้มากเท่าเมื่อวาน
   
   เดิมทีก็คิดว่าจะกลับให้เร็วเสียหน่อย แต่ก็ต้องรอเซ็นอนุมัติเอกสารอีกจนได้.. สุดท้ายพอถึงเวลาใกล้เลิกงาน แดริลก็เก็บข้าวของและคอมพิวเตอร์โน้ตบุค มุ่งหน้าไปยังลิฟต์เพื่อออกไปลานจอดรถทันที

   หากแต่ยังไม่ทันจะออกจากลิฟต์ ก็มีโทรศัพท์โทรมาหาเขาเสียก่อน เป็นสายจากซาร่า รีเซปชั่นนิสสาวที่นั่งประจำอยู่ทางเข้าชั้นล่าง

   “คุณเชนคะ คุณซัมเมอร์มารอพบตามนัดน่ะค่ะ จะให้ขึ้นไปพบเลยไหมคะ?” อย่างที่บอกว่าออฟฟิศนี้ยึดนโยบายเวลาเข้า-ออกงานที่ยืดหยุ่น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากมีนัดคุยงานกันนอกเวลาแต่อย่างใด บางทีมันก็แล้วแต่ความสะดวกของทั้งสองฝ่าย

   แต่นี่… เขาไม่ได้นัดเสียหน่อย ไม่ได้ตอบรับเลยด้วยซ้ำว่าจะไป

   บัดซบเอ๊ย หนีไม่ทัน!

   แต่คิดดูแล้วการหนีทันแล้วปล่อยให้วินเซนต์มานั่งรออยู่ในบริษัทอาจจะสร้างความชิบหายมากกว่าเดิมก็ได้… ปลงได้แล้วชายหนุ่มก็กดลิฟต์ลงไปชั้นล่าง เผชิญหน้ากับผีจากอดีตที่มาในคราบของนักกีฬาชื่อดัง

   ออกจากลิฟต์ไปก็เห็นคนคุ้นเคยแทบจะในทันที ร่างสูงใหญ่ที่แสนจะดึงดูดความสนใจคนรอบข้างยกยิ้มมุมปาก โบกมือมาทางCMOหนุ่มอย่างชัดเจน…

   “....” ท่ามกลางสายตาทุกคู่ แดริล เชน จำเป็นต้องโบกมือกลับอย่างช่วยไม่ได้…

   วันนี้วินเซนต์แต่งตัวมาดีพอๆกับเมื่อวาน เป็นแนว smart casual ที่เหมาะสมกับการมาคุยงานกับบริษัทสตาร์ทอัพ… และไปดินเนอร์ดีๆสักที่

   รูปร่างสูงกับไหล่กว้างรับกับแจ็คเกตสูทตัวนอกได้อย่างดี และดูจากการตัดเย็บแล้วหากจะให้เดามันคงมีราคาแพงน่าดูทีเดียว

   “ไปกันหรือยัง ฉันจองร้านอาหารไว้แล้ว”

   แล้วฉันมีทางเลือกอะไรด้วยเหรอ….

   แดริลตอบรับในลำคอเบา ดวงตาพยายามไม่มองคนข้างๆนานจนเกินไป… และก็พยายามไม่สนใจสายตาสอดรู้สอดเห็นของพนักงานบางคนด้วย...

   ร่างสูงเดินนำไปจนถึงที่จอดรถ เห็นรถหรูคันสีแดงตรงหน้าที่ดูจะราคาแพงกว่าคันเมื่อสมัยไฮสคูลอยู่โข ชายหนุ่มก็หรี่ตาพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย

   ราคาของรถคันนี้ เกรงว่าเขาทำงานสิบปีก็ยังซื้อยาก ให้ตายสิ… ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

   “ฉันไม่ได้ตกลงว่าฉันจะไปกินข้าวกับนาย…” แดริลพยายามบอกปัด แต่ข้อมือกลับถูกกุมไว้หลวมๆ จะสะบัดก็รู้ดีว่าคงสะบัดไม่หลุดและเหนื่อยเปล่าเขาก็เลยปล่อยไว้แบบนั้นนั่นล่ะ (...)

   “ยังไงซะเราก็มีเรื่องที่ควรคุยกันให้จบ นายอยากคุยให้มันจบๆไปหรือให้ฉันยืดเยื้อมาหานายแบบนี้ในวันที่ฉันว่างดีล่ะ?” ร่างสูงใหญ่ยกยิ้มเห็นฟันเขี้ยว ดูแล้วน่ากระทืบแปลกๆ แต่แดริลไม่มีปัญญาจะไปกระทืบมันไหวหรอก… จึงทำได้เพียงก่นด่าในใจเท่านั้น

   วินเซนต์พูดถูก… เรื่องนี้ควรทำให้มันชัดเจนและจบๆไป.. การที่นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลชื่อดังโผล่หน้ามาตามตื๊อเขาที่ออฟฟิศบ่อยๆนั่น… แค่คิดก็ไมเกรนขึ้นแล้ว

   “ก็ได้… มาคุยให้มันจบ” ชายหนุ่มผมดำพยักหน้า มือเปิดประตูเพื่อเข้าไปนั่งในรถซุเปอร์คาร์ราคาแพง แค่คิดถึงความต่างของรถคันนี้กับรถแบรนด์ตลาดราคากลางๆของตนเองแล้วก็อยากร้องไห้ขึ้นมา

   รถสปอร์ตคันงามแล่นออกจากตึกบริษัท แค่ดีไซน์ของมันก็ดึงดูดความสนใจจากรอบข้างมากพอแล้ว ยังไม่นับสีแดงที่ล่อสายตาเป็นอย่างมาก ราวเจ้าของรถกลัวทุกคนจะไม่รู้ว่า ‘วินเซนต์ ซัมเมอร์อยู่ที่นี่!’ อย่างนั้นล่ะ

   “ทำไมต้องใช้รถที่มันดึงความสนใจขนาดนี้ด้วย…” แดริลบ่นเบา
   “ก็ฉันมีเงินนี่” คำตอบนั่นทำให้หยุดบ่นในทันที จู่ๆผู้โดยสารก็นึกเจ็บใจกับความต่างของไลฟ์สไตล์ของทั้งคู่เหลือเกิน
   เรื่องของนายเลย ไอ้คนเงินเหลือ!
แม้ว่ารายได้ของแดริลจะไม่ได้น้อย แต่ก็ไม่ได้นับว่ามากเพราะการชดใช้ทุน MBA ให้บริษัท...  แค่มีพอให้ใช้สบาย แต่ไอ้เรื่องประเภทซื้อของฟุ่มเฟือยแบบซุเปอร์คาร์น่ะอย่าได้หวัง..

“นายไม่ชอบหรือไง? ไว้วันหลังจะขับคันอื่นมานะ”

อย่า… ขอร้อง อย่าทำให้ฉันรู้สึกแพ้ไปมากกว่านี้เลย..

   “เปล่า… ก็สวยดี” กัดฟันตอบ ดวงตาสีฟ้าเบือนมองนอกหน้าต่างไปทางรถคันข้างๆที่ติดไฟแดงอย่างไม่สบอารมณ์
   “อ้อ… อิจฉา” วินซ์กล่าวคำพูดแทงใจดำด้วยน้ำเสียงติดตลกอยู่บ้าง แดริลเลือกที่จะไม่ตอบอะไร “ไม่ตอบ… แปลว่าใช่สินะ?”
   ช่วยหยุดตอกย้ำทีเถอะพ่อนักกีฬาชื่อดัง พ่อคนรวย…

   เจ้าของรถหัวเราะเบา พูดจาตรงไปตรงมาเหมือนเคย แต่ด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ไม่ได้มีแววจะยั่วโมโหเลยแม้แต่น้อย
   “...ฉันแค่อยากทำให้นายประทับใจ... แต่ดูเหมือนจะทำให้หงุดหงิดแทนซะแล้ว?”
   
   แค่ประโยคนั้นกับน้ำเสียงนั่น… ก็ทำให้อารมณ์ลดลงไปครึ่งแล้ว

   อันที่จริงวินเซนต์จะขับอะไรมา มันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะไปโมโห หากตัวเองหาเงินได้น้อยมันก็ควรเป็นปัญหาที่ตัวเองต้องแก้... ไม่ใช่ไปพาลใส่แฟนเก่าที่ประสบความสำเร็จ...
   “ฉันแค่พาลในความไม่ได้เรื่องของตัวเองเฉยๆ ช่างมันเถอะ”
   “วันหลังจะขับคันที่มันธรรมดากว่านี้มา” แค่วินเซนต์ตอบอย่างเรียบง่ายมาอีกประโยค… ทำให้คนฟังนึกประหลาดใจ...
   วินเซนต์ ซัมเมอร์ ที่เขารู้จัก ต่อให้คนอื่นจะคิดหรือรู้สึกอย่างไร ก็จะทำตามที่ตัวเองอยากทำทุกครั้ง การพูดอะไรแบบนี้ แม้จะเป็นแค่เรื่องง่ายๆ แต่ก็ขัดกับนิสัยเจ้าตัว...

   ชายหนุ่มก็ไม่ได้อยากคิดเล็กคิดน้อย… อีกฝ่ายอยากขับอะไรก็ควรจะขับไป สุดท้ายคนที่พาลไม่เข้าเรื่องนั่นก็เขาเอง..

   “… โทษที…” พึมพำคำขอโทษออกมาในที่สุด…
   “ฉันไม่อยากให้นายขอโทษ แค่อยากให้นายดีใจ” วินซ์กล่าวขณะดึงพวงมาลัยเพื่อหักเลี้ยว ดวงตาสีเขียวจับจ้องบนถนน แต่น้ำเสียงไม่ได้เจือด้วยแววขบขันดังเช่นทุกที “...เหมือนฉันจะลืมไปแล้วว่าต้องทำยังไงให้นายยิ้มออกได้บ้าง”

   “....” แดริลไม่ได้ตอบ เขาไม่รู้ว่าควรตอบอะไร หรือจะตอบอะไรดี… จนในที่สุดรถคันใหญ่ก็เลี้ยวเข้าจอดเทียบริมฟุตบาธข้างๆมิเตอร์ที่จอดรถ

   “...อย่างน้อยก่อนจะปฏิเสธ นายก็ช่วยรับฟังสิ่งที่ฉันจะพูดหน่อยได้ไหม” มือใหญ่กดดับเครื่องยนต์ ดวงตาสีเขียวมองตรงยังคนข้างๆ ...ที่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ยอมหันมาสบตา

   “ฉันก็ฟังอยู่…”

   “ฟังแบบที่ไม่คิดว่าฟังจบแล้วจะปฏิเสธ… ขอร้องล่ะ”

คนคนนี้ขอร้องใครเป็นด้วยเหรอ… ?

   แดริลหันมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ สบเข้ากับสายตาของอีกคนที่ดูเหมือนกำลังวิงวอนอยู่จริงๆ และอีกส่วนก็ดูเหมือนคนที่กำลังทำอะไรไม่ถูก

   ชายหนุ่มเม้มปากเล็กน้อย แสดงสีหน้าลำบากใจแล้วก็หลุบตาหนี

   “...ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ แล้วค่อยว่ากัน” พอไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไรก็รีบเปลี่ยนเรื่องในทันที

คนเราย่อมมีใครสักคนที่เป็นจุดอ่อนหรือแพ้ทางเป็นธรรมดา… และถึงในสายตาคนอื่น วินเซนต์จะเป็นไอ้สารเลว แต่ความลำเอียงก็ทำให้แดริลมองอีกฝ่ายเป็นเหมือนสุนัขเกเรที่น่าเอ็นดูมาตลอด

   ใช่… สำหรับเขา ผู้ชายสูงหกฟุตสามนิ้วที่เอาแต่ใจและโลกหมุนรอบตัวเองคนนี้เป็นคนน่ารัก

   … คิดย้อนไปตอนที่เอาวินเซนต์กับคำว่าน่ารักมาไว้ในประโยคเดียวกัน แคทเธอรีนถึงขั้นทำถ้วยโยเกิร์ตโลว์แฟทร่วง…

   ฉันจะต้องพูดอีกกี่ครั้งยะว่ารสนิยมเธอน่ะมันมี-ปัญ-หา!!

   จะว่าไปแคทก็เคยบ่นอะไรแบบนั้นตอนที่เขาเลิกกับแฟนเก่าผู้แสนดีเพราะอีกฝ่ายน่าเบื่อเกินไป...
   มันก็คงเป็นเหมือนการที่ผู้ชายปกติมองแฟนสาวของตนเองว่าน่ารักเสมอละมั้ง… แม้ว่าอีกฝ่ายจะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรก็ตาม แค่เห็นทำท่าหงอยนิดหน่อยก็รู้สึกอดที่จะปลอบไม่ได้แล้ว…

   “รู้อะไรไหม ถ้าเธอไม่ได้เป็นเกย์คงจะเป็นสามีที่ดีสุดๆไปเลย น่าเสียดายจัง” นึกย้อนไปถึงประโยคของมิสเวสเมื่อสองปีที่แล้วก็อดจะนึกเย้ยตนเองในใจไม่ได้…

   ร้านอาหารที่วินเซนต์จองไว้ค่อนข้างเป็นร้านหรู… แค่ดูบรรยากาศการตกแต่ง และเมนูอาหารเป็นคอร์สที่ราคาค่อนไปทางแพงก็บ่งบอกได้ชัดเจนแล้ว

   อันที่จริงแดริลก็แค่อยากกินอะไรง่ายๆเท่านั้นเอง… ไม่ได้ต้องการการเอาใจประเภทนี้เลย ทั้งรถหรู มื้ออาหารหรู…. มุกง้อสาวแบบนี้มันควรเอามาใช้กับชายหนุ่มที่ไหนกัน

   แต่เห็นความพยายามแบบนี้ก็นึกเอ็นดูอยู่บ้าง… จนอดกลุ้มใจกับความใจอ่อนของตนเองไม่ได้
   
   ชายหนุ่มฝังหน้าลงกับเมนูอาหาร พยายามไม่สบตากับคนรักเก่า ระหว่างเดียวกันก็ลอบมองโต๊ะรอบข้างไปด้วย…

   นั่งอยู่กลางร้านแบบนี้จะมีใครสังเกตไหมนะ..

   มีบางคนที่มองมาทางพวกเขา อาจจะเพราะจำวินเซนต์ได้… แต่ก็ไม่มีใครเสียมารยาทจ้อง หรือลุกขึ้นมาทัก แต่แม้จะแค่มองผ่านๆก็มีโอกาสที่พวกเขาจะสงสัยได้อยู่ดี..

   ชายหนุ่มนึกหวาดระแวง นั่งมุ่นคิ้วคร่ำเครียด

   “นายเป็นอะไร?” มือกร้านวางลงบนหลังมือของอีกฝ่าย ซึ่งรีบชักหนีในทันใด
   “.... ตรงนี้ไม่ได้” ฟังแล้ววินเซนต์ก็มุ่นคิ้ว มองไปรอบๆอย่างไม่เข้าใจอยู่พักหนึ่ง จนที่สุดแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นคล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

   “....นายยังกลัวที่จะเปิดเผยเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ?” วินเซนต์พูดด้วยน้ำเสียงติดจะประหลาดใจ
   “แล้วนายไม่กลัวหรือยังไง?” กดเสียงต่ำกระซิบถาม คิ้วขมวดจนแทบชิดขณะพยายามวางท่าให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด…
   “....แต่ก่อนใช่ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว” ดวงตาสีเขียวคู่นั้นจ้องมองตรงมาอย่างจริงจัง เจ้าของร่างสูงกว่าเปิดปากพูดอย่างไม่ลังเล “แดริล… ฉันไม่สนใจแล้ว”
   “แต่ฉันสน.. ขอร้องล่ะเราอย่าคุยเรื่องนี้กันตรงนี้เลย” นิ้วเรียวยาวกำแน่นจนข้อนิ้วเป็นสีขาว แดริลมีท่าทีลำบากใจอย่างชัดเจน

   คนฟังมีท่าทีไม่เห็นด้วยนัก แต่ก็พยักหน้ายอมถอย เปลี่ยนเรื่องคุยในทันที…

   “เจฟฟ์ลูกสองแล้วล่ะนายรู้ไหม ทำงานเป็นโค้ชอยู่ที่โรงเรียน” ฟังแล้วแดริลก็เลิกคิ้วประหลาดใจเล็กน้อย
   “ก็รู้อยู่ว่าหมอนั่นเรียนไปทางวิทยาศาสตร์การกีฬา… แต่กลับไปเป็นโค้ชเนี่ยนะ ไม่อยากเชื่อเลย”
   “อืม… ก่อนย้ายมานิวยอร์กฉันแวะไปอุ้มลูกของหมอนั่นมาด้วย ซนเป็นบ้า” วินซ์
   “แบบนายยังมีหน้าไปว่าคนอื่นอีก” แดริล
   “นายน่าจะกลับดีซีบ้างนะ ไปดูหมอนั่นตอนนี้สิ เริ่มจะลงพุงแล้ว” วินซ์
   “นายก็รู้… ฉันไม่ค่อยอยากกลับไปเจอพ่อเท่าไหร่” แดริลถอนหายใจ “ล่าสุดเขาโหวตทรัมป์ด้วยรู้ไหม…”
   “อืม… อันที่จริงฉันกลับบ้านทุกวันขอบคุณพระเจ้า… ก็ไม่เคยเจอนาย” วินซ์

   ...ก็ถึงแดริลจะกลับบ้านบ้างแต่ก็รีบไปรีบกลับตลอด ไม่ค่อยจะเพ่นพ่านไปไหนจะได้ไม่ต้องเจอคนที่ไม่อยากเจอ
   ทุกครั้งที่เขาได้ยินข่าววินเซนต์ควงดาราสาวคนใหม่ ก็มักจะหงุดหงิดใจ พอเริ่มทำใจให้ชินได้… ก็เห็นว่าเปลี่ยนคนแล้ว ระยะเวลาทั้งปวงไม่เคยเกินสองเดือน
   ยิ่งหากเจอตัวจริง… ใจก็คงยิ่งไม่สงบ เห็นในข่าวกีฬา ใจก็ไม่สงบ สุดท้ายเลยตัดสินใจบล็อกทิ้งมันทุกช่องทาง
   เป็นความหึงหวงที่ไร้สาระ… เขารู้ดี แต่ในใจบางส่วนก็ยังคงตะโกนออกมาว่าผู้ชายคนนี้เป็นของเขา และในโลกนี้ใครมันจะไปทนวินเซนต์ที่ทั้งเอาแต่ใจและโลกหมุนรอบตัวเองได้นอกจากเขากัน (...)

   “คงแค่ดวงไม่ดี…” จะไม่บอกหรอกว่าเขาพยายามไม่ออกจากบ้านพ่อแม่ และรีบร้อนกลับนิวยอร์กทันทีที่เสร็จธุระ
   
   พูดจบออเดิร์ฟจานแรกก็มาเสิร์ฟพร้อมกับไวน์ขวดหนึ่งที่วินเซนต์สั่งมา คนกินก็กินแบบไม่ได้อยากอาหารมากนัก เน้นหนักไปทางเหล้าเสียมากกว่า… ดังเช่นที่เขาว่า เมื่อคิดอะไรไม่ออกก็จงดื่มให้หายเครียด
   อันที่จริงความคิดหลายอย่างไหลผ่านในหัว เช่นว่าระหว่างพวกเขาอาจจะยังพอเป็นเพื่อนกันได้… ไม่หรอก นั่นมันหลอกตัวเองชัดๆเลย
   
   คิดแล้วก็อยากนวดขมับอีกหน

   “เหล้าน่ะเพลาๆหน่อย กินข้าวสิ” วินเซนต์แย้งขึ้นมาเมื่อเห็นว่าไวน์หมดไปสามแก้วแล้ว
   “ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ฉันต้องการมันมากๆ…” พออายุมากขึ้นก็เมายากขึ้น และต่อให้เมาก็ไม่ถึงขั้นควบคุมตัวเองไม่ได้แบบในปีนั้นอีกแล้ว
   เหล้าไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา แต่มันก็ช่วยคลายเครียดได้ชั่วคราว…

   “เหล้าไม่ได้ทำให้ฉันหายไปจากชีวิตนายหรอกนะ…” วินเซนต์เพียงมองด้วยสายตาอ่อนใจแบบที่นานๆทีจะเห็น พูดแค่นั้น และก็ตัดสินใจไม่ห้ามอีก ส่วนตนเองดื่มไม่มากเพราะต้องขับรถต่อ
   
มื้ออาหารนั้นจบลงด้วยความเงียบ ไวน์หนึ่งขวดไม่อาจทำให้แดริลเมาขาดสติได้ แต่มันก็ทำให้เขาเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง

ระหว่างทางเดินไปขึ้นรถสปอร์ตคันหรู ลมกลางคืนชวนให้รู้สึกเย็น ชายหนุ่มห่อไหล่น้อยๆขณะเหม่อมองไปข้างหน้า ไม่นานนักก็เดินมาถึงที่หมาย หลังวินเซนต์จัดการกับมิเตอร์จอดรถเรียบร้อยแล้ว เขาก็เปิดประตูเข้ามานั่ง หากแต่ยังไม่ได้ขยับรถออกไป

“เหมือนสมัยก่อน...” แดริลเปรยเบา… พอเหล้าเข้าปาก หลายอย่างก็ออกจากปากได้ง่ายขึ้น
“ไม่เหมือน คันนี้แพงกว่า” คนข้างๆพูดติดตลก “...ฉันจับมือนายได้หรือยัง?”

“.... ไม่ได้... นายควรระวังตัวให้มากกว่านี้นะ วินซ์” แดริล
“ฉันต้องระวังอะไร?” วินซ์
“ปาปารัสซี่… ข่าวซุบซิบ… อาชีพนายกำลังอยู่ในช่วงพีค ทำไมถึงชอบหาเรื่องใส่ตัวแบบนี้” ชายหนุ่มผมดำพูดออกมาตามที่ตัวเองคิดด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลล์

วินเซนต์ฟังแล้วก็ถอนหายใจ ไม่ได้ตอบคำถามนั้น

“...ไปหาที่คุยเรื่องของเรากันเถอะ นายอยากคุยแบบเป็นส่วนตัวที่สุดใช่ไหม?”
“อืม” คู่สนทนารับคำในลำคอ พยักหน้าเล็กน้อย
“บ้านฉัน?” วินเซนต์ถามออกมา แต่คนฟังกลับส่ายหน้า… หน้าบ้านอีกฝ่ายน่าจะมีโอกาสเจอปาปารัสซี่สูงกว่า…
“อพาร์ทเมนต์ฉันก็ได้”
เจ้าของร่างสูงกว่าเพียงมีสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ขัด
“ได้ นายบอกทางเลย”


ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
บทที่ 12 (2/2)

…………….

   อพาร์ทเมนต์ของแดริลไม่ได้หรูหราเต็มไปด้วยของแพง แต่ก็ตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์นโทนดำ-เทาอย่างดูมีระดับ ข้าวของด้านในถูกวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ว่าจะแจกันสีเข้มที่ดูเรียบง่ายหรือที่เขี่ยบุหรี่ก็ถูกจัดวางอย่างพิถีพิถัน

   เจ้าของห้องถอดแจ็คเกทสูท แขวนไว้กับที่แขวน ขณะปลดกระดุมเม็ดบนให้สบายเนื้อสบายตัวขึ้น

   “ดื่มอะไรไหม?”
   “ไม่ล่ะ ฉันจำกัดแอลกอฮอลล์ต่อวัน” คำปฏิเสธทำให้เจ้าของห้องถึงกับต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงตั้งคำถาม วินเซนต์ยกยิ้มขบขันก่อนจะอธิบาย “ฉันเป็นนักกีฬาอาชีพ การดูแลสุขภาพให้พร้อมเป็นหน้าที่”

“สมัยไฮสคูลเห็นออกจะดื่มเอาๆ” แดริล
“การจะเป็นเบอร์หนึ่งในวงการนี้ หากร่างกายไม่พร้อมก็เป็นไม่ได้หรอก” วินซ์ยักไหล่ “อาหารฉันก็ต้องจ้างนักโภชนาการมาช่วยดู ที่มากินกับนายวันนี้นับเป็นชีทเดย์”
คนฟังเงียบไปนิด… อันที่จริงถึงหลายๆเรื่องวินเซนต์จะเละเทะ แต่กับเรื่องงานและอนาคต คนคนนี้มีความมุ่งมั่นกับมันเสมอ และนั่นเป็นจุดที่เขาชอบ

“งั้นก็ไม่เป็นไรหรอก…” พูดแล้วก็หยิบขวดวิสกี้มารินให้ตัวเองดื่มแทน… กระดกเข้าไปทั้งแก้วหน้าตาเฉย… และหลายรอบอีกด้วย จนสุดท้ายชายหนุ่มก็สะบัดหัวเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมาสบตากับวินเซนต์ “...ฉันพร้อมฟังแล้ว”

“พร้อมจริงๆ?” คู่สนทนานั่งลงบนเก้าอี้ที่บาร์ เท้าคางมองคนที่ดวดเหล้าอย่างกับน้ำเปล่า “...ฉันไม่ใช่ภาพลวงตานะแดริล ต่อให้นายเมาหนีฉันก็ยังอยู่…”

เจ้าของห้องหัวเราะออกมาเบาๆ เผลอหลุดพูดตามที่คิด
“แต่หลายครั้ง… ฉันเห็นภาพลวงตาของนาย… เก้าปี วินซ์ เก้าปี นายไปอยู่ที่ไหนมา...” มือกระแทกแก้วเหล้าลงกับเคานต์เตอร์สีดำ รู้สึกว่าสายตาเริ่มพร่าเลือนจนเห็นใบหน้าของคู่สนทนาไม่ชัด เพราะถูกบดบังด้วยน้ำตา “แล้วอยู่ดีๆนายก็กลับมา ทำเหมือนกับว่านายไม่เคยหายไปไหน ฉันควรจะรู้สึกยังไงดี? ตัวฉันเองยังไม่มั่นใจเลย”

วินเซนต์ถอนหายใจ มือใหญ่ปาดน้ำตาออกจากหางตาของคนที่กินไวน์มาทั้งขวดต่อด้วยวิสกี้อีกหลายแก้ว...
“ฉันว่านายเมาแล้ว… ให้ตายสิ” ร่างสูงใหญ่ก้มลงจูบหน้าผากของคนตรงหน้าเบาๆ รวบดึงเอวไม่หนาไม่บางเข้ามากอดไว้หลวมๆ ในดวงตาสีเขียวฉายแววเจ็บปวดชัดเจน “... ฉันขอโทษ อย่าร้อง ฉันไม่ดีเอง”

“ทั้งที่เริ่มตัดใจได้แล้ว ทำใจได้แล้ว ทั้งๆที่ฉันกำลังจะเดินต่อ… นายจะกลับมาทำไม?” สองมือยึดกำเสื้อเชิ้ตของวินเซนต์ไว้แน่น น้ำตายิ่งทะลักออกมามากกว่าเดิม “ฉันต้องตัดใจปล่อยนายไปอีกรอบ รู้รึเปล่าว่ามันรู้สึกแย่แค่ไหน”

“...ก็อย่าปล่อย” มือใหญ่ที่สากกร้านจากการเล่นกีฬามาหลายปีวางลงบนแผ่นหลังของคนตรงหน้า ลูบเบาเหมือนกำลังปลอบประโลม “อย่าตัดใจ”
 
“จะไม่ให้ปล่อยได้ยังไง… ในเมื่อถ้าฉันอยู่มันจะพังอนาคตในวงการฟุตบอลของนาย!!”

วินเซนต์ยิ่งกอดอดีตคนรักแน่นขึ้นอีก

“มันก็ไม่แน่หรอก… นี่มันปีอะไรแล้ว? แดริล สมัยก่อนอาจจะใช่… แต่ตอนนี้หลายๆอย่างมันไม่เหมือนเดิม… ผู้ชายยังแต่งงานกันแบบถูกกฎหมายได้แล้วเลย”
“แต่มันก็มีความเสี่ยงอยู่ดี… ที่นายจะโดนเกลียด โดนว่าร้าย โดนแฟนๆแอนตี้” คนพูดสะอื้นเบา “แฟนกีฬาที่เป็นแบบนั้นมีเยอะแยะไป… แบบพ่อฉัน”

 “โดนแล้วจะทำไมกัน.. ที่ผ่านมาฉันพิสูจน์ตัวเองในฐานะนักกีฬามาตั้งเท่าไหร่? หากคนพวกนั้นตัดสินความสามารถของฉันแค่เพราะฉันมีคนรักเป็นผู้ชาย ฉันก็ไม่อยากจะได้แฟนๆแบบนั้นหรอก.. หากพวกเขาจะไม่สปอนเซอร์ ไล่ฉันออกจากทีม แค่เพราะคนที่ฉันรักเป็นผู้ชาย คนพวกนั้นก็ไม่คู่ควรให้ฉันทำงานด้วย” คำพูดคำจาทั้งโอหังเอาแต่ใจเหมือนเคย.. “แล้วฉันก็เก็บเงินได้เยอะพอแล้วด้วย งานในวงการบันเทิงก็ใช่จะไปไม่ได้”

“ฟุตบอล… คือชีวิตของนาย”
“ไม่รู้สิ… ก่อนหน้านั้นก็เคยคิดแบบนั้น แต่ก่อนมาที่นี่ ฉันเกือบตายไปรอบนึง… แล้วตอนนั้นก็เอาแต่คิดว่าอยากพบนายอีกสักครั้ง… ไม่ได้คิดถึงอเมริกันฟุตบอลเลย” มืออีกข้างลูบเรือนผมสีดำไว้ยาวเบามือ ค่อยๆปลดยางรัดผมออก “เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม คราวนี้ฉันจะทำให้มันถูกต้อง ฉันสัญญา”

พูดถึงขนาดนี้แล้วแต่คนฟังยังคงส่ายหน้าอยู่ดี

“วันนึงนายอาจจะเกลียดฉันก็ได้… ถ้าเกิดอะไรขึ้น….”
“ฉันบอกแล้วไง.. ว่าฉันไม่สนใจแล้ว” วินเซนต์มุ่นคิ้ว ถอนหายใจยาวคล้ายกำลังเหนื่อยใจ
“แต่ฉันสน! นายใช้เก้าปีทุ่มเทมาจนถึงจุดนี้… จะให้ฉันฉุดนายลงมาได้ยังไง! ตอนนี้นายก็แค่กำลังสับสน แต่พอนายคิดได้… นายก็จะทิ้งฉันไปอีก”
“ไม่ทิ้ง… ฉันไม่ทำขนาดนี้หรอกถ้าไม่มั่นใจว่าอยากใช้ชีวิตที่เหลือเริ่มใหม่กับนาย” มือข้างหนึ่งประคองใบหน้าของแดริลขึ้น ก้มลงจูบซับน้ำตาที่หยดลงบนแก้มแดงจัดเบาๆ
   “...นายมีทางเลือก วินซ์” ผู้พูดส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องเป็นฉัน… เป็นผู้หญิงสวยๆสักคน กับลูกที่น่ารักก็ได้”
   “เก้าปีที่ผ่านมา ไม่ว่าใครก็ทำให้ฉันใจเต้นไม่ได้… ส่วนลูกนั่นก็ไม่ได้อยากมี อย่ามายัดเยียดสิ่งที่นายคิดว่าดีให้ฉัน”

   ดวงตาสีฟ้าคลอด้วยน้ำตา ไม่ว่าร่างที่สูงกว่าจะพยายามซับให้เท่าใดก็เหมือนจะไม่หมดสักที

   ทั้งสองสบตากับครู่ใหญ่ ก่อนที่แดริลจะทำในสิ่งที่นักกีฬาหนุ่มไม่คาดคิด… จู่ๆคอเสื้อก็ถูกดึงลง คนในอ้อมแขนที่กำลังเมาดันตัวขึ้นประทับจูบบนริมฝีปาก จังหวะที่ลิ้นอุ่นร้อนแทรกเข้ามา ก็ได้กลิ่นวิสกี้จางๆ

   “ฉันคิดถึงนาย…” สองมือปลดกระดุมเสื้อของร่างซึ่งสูงกว่าออกจนครบ ก่อนจะสอดมือเข้าไปลูบไล้ร่างกายกำยำ ริมฝีปากผละไปไล่จูบบริเวณต้นคอ จงใจขบเบาทิ้งรอยแดงเอาไว้เป็นหลักฐาน

   “...ยังเมาแล้วระรานเหมือนเดิม”
   “ระรานแค่นายคนเดียว” ยิ่งเมาก็ยิ่งพูดตรงไปตรงมา.. เหมือนเจ้าตัวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพูดอะไรออกมา วินเซนต์ฟังแล้วก็ยกยิ้มขบขัน ก้มลงกระซิบข้างหูของแดริล
   “พรุ่งนี้เช้านายต้องเกลียดตัวเองแน่…”

   พูดจบร่างสูงใหญ่ก็โดนผลักจนถอยไปล้มตัวลงนั่งบนโซฟา เจ้าของห้องปลดกระดุมเสื้อของตนเอง ถอดมันทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ และตามมานั่งคร่อมลงบนตักของวินเซนต์

   “นั่นก็ปล่อยให้ฉันในตอนเช้ารับมือไปแล้วกัน”

   คนฟังหัวเราะในลำคอ มือใหญ่สางเรือนผมสีดำสนิท ดันลงมาเล็กน้อยให้อีกฝ่ายก้มลงมาแนบจูบ ผละริมฝีปากออกเล็กน้อยก่อนจะกระซิบ

   “เอาแบบนั้นก็ได้... นายพูดเองนะ“

ชายหนุ่มรับคำเสียงแผ่วในลำคอ… และหลังจากนั้นค่ำคืนก็ดำเนินต่อไปอย่างยาวนาน…

…………….
…………
……….
…..

(ในส่วนNCตรงนี้จะไปเขียนรวบยอดเอาในตอนที่เป็นมุมมองของวินเซนต์นะคะ)

………………

เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุด..

   แดริล เชน ตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดหัวเพราะเมาค้าง… นึกอยากได้น้ำเปล่าสักแก้ว...แต่เขากลับลุกไม่ขึ้น

   ลุกไม่ขึ้นเพราะสองอย่าง ข้อแรก มีแขนขนาดใหญ่รัดเอวเขาอยู่ ข้อสอง ร่างกายทั้งไร้เรี่ยวแรงและปวดระบม โดยเฉพาะท่อนล่างที่ผ่านการใช้งานมาเมื่อคืน…
   
   บนร่างกายสมส่วนมีรอยแดงเป็นจ้ำ ไล่ตั้งแต่ต้นคอลงไปถึงต้นขา ส่วนยอดอกที่บวมแดงยังคงเจ็บระบมอยู่เล็กน้อย เป็นหลักฐานชั้นดีว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้น
   ดวงตาสีฟ้ามองใบหน้าของคนกำลังหลับ ถึงกับตื่นเต็มตาพอเริ่มจำได้ว่าเมื่อคืนเกิดบ้าอะไรขึ้นบ้าง ที่คราวนี้จะโทษวินเซนต์ก็ไม่ได้เพราะเขาเป็นคนก่อเรื่องเอง
   ชายหนุ่มสุดจะเกลียดตัวเอง… ปกติแล้วช่วงหลายปีที่ผ่านมาเวลาเขาเมาก็แค่พูดเยอะหน่อย ตรงไปตรงมาขึ้นหน่อย ไม่ได้ถึงขั้นไปลวนลามใคร...

   แดริลลูบหน้าเครียด ไม่รู้จะเอาตัวเองออกจากความวุ่นวายครั้งนี้อย่างไรดี…

   เรื่องเมื่อคืนเขาจำได้… แต่กลับจำได้ไม่ครบถ้วน ความทรงจำสุดท้ายคือผลักวินเซนต์ลงบนโซฟาแล้วก็เริ่มปลุกปล้ำ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามานอนที่เตียงตั้งแต่เมื่อไหร่

   ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด…

   มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยจากคนข้างๆ วินเซนต์ส่งเสียงครางเบาในลำคอ ดวงตาสีเขียวค่อยๆปรือเปิด

   “อรุณสวัสดิ์” พูดแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส จนคนที่กำลังเมาค้างรู้สึกแสบตา รู้ตัวอีกทีก็โดนจูบแบบไม่ทันตั้งตัว “นายหิวหรือยัง เดี๋ยวฉันไปซื้ออะไรมาให้กิน”
   “....ไม่หิว...เท่าไหร่”

   เอาล่ะ ข้อแรก เขาควรจะเคลียร์เรื่องนี้ยังไงดี… นึกสาปแช่งตัวเองที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังจนอยากเอาหัวโขกกำแพงให้มันรู้แล้วรูรอด

    “งั้นทำอีกสักรอบเผื่อนายจะหิว” ไม่พูดเปล่า มือหยาบเริ่มลูบลงไปถึงสะโพก จนแดริลต้องรีบตะครุบมือข้างนั้นเอาไว้ไม่ให้เรื่องมันเลยเถิดไปกว่านี้

   ชายหนุ่มเจ้าของห้องกระแอมเบาๆ เรียบเรียงคำพูดยังไม่ค่อยดีก็ต้องรีบพูดออกมาแล้ว
   “คือ... นายก็รู้ใช่ไหมว่าเมื่อคืนฉันเมา…”
   “อืม… ก็เห็นๆกันอยู่” คนตอบก็เลิกคิ้วตอบเหมือนจะถามว่าแล้วมันทำไม?
   “นายไม่ควรถือสาคนเมา นายรู้ใช่ไหม” แดริล
   “แต่เวลานายเมาแล้วจะปากตรงกับใจมากเลยนะ รู้ตัวไหม” วินซ์
   “.....” แดริล

   ……...เมื่อคืนฉันพูด***อะไรไปบ้างเนี่ย!?
   
   “เอาเป็นว่า… ฉันกลับไปคบกับนายไม่ได้หรอก วินเซนต์” มือวางบนบ่าหนา พยายามผลักเขาออกไป แต่เจ้าตัวไม่ยอมขยับ และหากวินเซนต์ไม่ยอม ใครก็ผลักไม่ได้… “ไลฟ์สไตล์พวกเรามันต่างกันเกินไป แล้วอาชีพนายกำลังไปได้สวย นายไม่ต้องการดราม่าในชีวิตหรอก…”

   ดวงตาสีเขียวมองเขานิ่ง

   “นายจะฟันแล้วทิ้ง?”
   ……..คนฟังถึงกับหน้าชาไปห้าวิ
   
เดี๋ยว นายควรจะเป็นคนสุดท้ายที่จะเอาประโยคเวรนั่นมายัดเยียดใส่คนอื่นนะวินซ์!!

“......”
“ฉันไม่ยอม เมื่อคืนนายสัญญาอะไรไว้ตั้งเยอะแยะ ใช้ร่างกายฉันสำเร็จความใคร่ พอตื่นแล้วจะทำเป็นลืม ง่ายไปหน่อยมั้ง?” ไม่แน่ใจว่าเพราะเขายังผลักไสไม่หนักแน่นพอหรือเพราะวินเซนต์หน้าด้านเกินไปกันแน่ คำพูดคำจาอย่างกับหลุดออกมาจากในละครน้ำเน่าสักเรื่อง

อีกอย่าง ฝ่ายที่ปวดสะโพกจนเดินไม่ไหวน่ะมันทางนี้ต่างหาก นายจะมาเรียกร้องหาความรับผิดชอบอะไรจากฉัน หา?!

สุดท้ายก็คิดว่าในเมื่อพูดตรงๆไม่ฟัง ก็หาข้ออ้างตัดให้มันจบๆไปแล้วกัน...
“..ฉันมีแฟนใหม่แล้ว” ก็เคยมีจริงๆแต่เลิกไปหมดแล้ว..
“อ๋อ แฟนใหม่ที่ผมบลอนด์ตาเขียวตัวสูงบ้ากีฬา ที่ไม่กี่เดือนนายก็บอกเลิกเพราะไม่เร้าใจเท่าฉันน่ะนะ?” วินซ์ฉีกยิ้มที่หากดูเผินๆไม่คิดอะไรก็หล่อเหลาน่ามองดี แต่มากับประโยคนี้แล้วชวนให้อยากกระทืบเสียมากกว่า ทำเอาคนฟังหน้าชาไปอีกห้าวิ...

“.................” แดริลเบิกตากว้าง… ในหัวตะโกนโวยวายถ้อยคำมากมายที่อยากส่งถึงแคทเธอรีน

แคท!! ยัยเรจิน่า จอร์จ!! ยัยคนทรยศ!!
มิน่า… มิน่า!!

หลายอย่างในหัวค่อยๆปะติดปะต่อกันจนเป็นภาพชัดเจน เขานึกย้อนไปถึงถ้อยคำของแคทก่อนที่เจ้าหล่อนจะเผ่นไปปารีสแฟชั่นวีค…

‘ถ้าก้าวต่อไปไม่ได้ก็ไปจัดการตกลงกันให้เรียบร้อยเถอะค่ะ ฉันไม่ยุ่งแล้ว’
‘พวกเธอ-ทั้ง-คู่น่ะมันเกินเยียวยา’

เธอรู้อยู่แล้วนี่นาแคทเธอรีน!!

“แคทเล่าอะไรให้นายฟังแค่ไหนกัน” ชายหนุ่มกัดฟันถาม พยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่คว้ามือถือมาส่งข้อความไปสาปแช่งนางแบบสาวให้ลื่นล้มหัวทิ่มบนรันเวย์

“ก็… หลายเรื่อง แต่อย่าโทษเธอเลย เป็นฉันที่ไปขอร้องเธอเอง”

   “....”

   “เช่นว่าที่นายยังไม่ลืมฉัน… ยังละเมอเรียกชื่อฉันเวลาเมา จีบแต่ผู้ชายผมบลอนด์ตาเขียว แล้วอะไรอีกนะ… มีเลิกกับผู้ชายรายนึงเพราะเขาดีเกินไปด้วยใช่ไหม ฮ่าๆ” พูดถึงไม่พอ มันยังมีหัวเราะเย้ย...
   “หุบปากไปเลย”
นึกอยากโวยวาย แต่ตัวต้นเหตุก็อยู่ไกลคนละทวีป สุดท้ายเลยสงบสติอารมณ์รอคิดบัญชีทีเดียวตอนเจ้าหล่อนกลับมา…
วินเซนต์กับแคทไม่ถูกกันมานานแล้ว การที่วินซ์ไปขอร้องแคทค่อนข้างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ… และการที่แคทเธอรีนยอมช่วยนี่ก็น่าเหลือเชื่อเหมือนกัน
แดริลนึกว่าตัวเองกำลังฝันไป

“อันที่จริงข่าวเรื่องที่บริษัทนายจะออกไลน์กีฬา ฉันก็รู้มาจากแคท...เธอว่านายมันเกินเยียวยาถึงขั้นต้องยอมช่วยฉันแล้วน่ะ…“

   ก็ว่าอยู่ว่าทำไมจู่ๆถึงโผล่มาได้แบบกะทันหันขนาดนี้…
   “ตอนแรกฉันว่าจะส่งดอกไม้ไปง้อนาย แต่แคทบอกว่าไม่เวิร์ก ให้ทำตัวหน้าหนามาหานายไปเลย”
“.....” เพื่อนทรยศ

แดริลได้แต่นอนมองเพดาน…. จะโกหกยังไงก็ป่วยการ ในเมื่อเพื่อนรักแฉเขาจนหมดสิ้นแล้ว…

“...ยังไงฉันก็ยังไม่ตกลง” เจ้าของห้องพูดเสียงอ่อนลง ท่าทางเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก “ฉันให้เหตุผลนายไปหมดแล้ว…”
“ไม่เป็นไร...ฉันรอได้” ชายหนุ่มอีกคนตอบทั้งรอยยิ้ม
“...ไม่ได้ขอให้รอ” แดริลบอกปัด รู้สึกว่าการปฏิเสธอีกฝ่ายเป็นเรื่องยากเหลือเกิน
“ก็จะรอ…” ทั้งคำพูด สายตา และน้ำเสียงจริงจังทำให้ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออกอีก ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจเล็กๆ…

……………..
………..
……


ขณะที่วินเซนต์ออกไปซื้ออาหารจากคาเฟ่ด้านล่างอพาร์ทเมนต์ คนที่ยังคงนอนเจ็บตัวก็เหลือบมองไปทางวัตถุบางอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงที่ดูคุ้นตา

พวงกุญแจสแตนเลสพ่วงลูกอเมริกันฟุตบอลจิ๋ว ห้อยอยู่กับรีโมทกุญแจรถ

   วินเซนต์ไม่ใช่พวกที่ชอบอะไรที่มันเกะกะเกินความจำเป็น… ขนาดที่ว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีเครื่องประดับเลยสักชิ้น แต่ขนาดเปลี่ยนรถแล้ว เขาก็ยังเก็บของเกะกะชิ้นนี้ไว้อยู่ดี

   .. ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ ชายหนุ่มรู้ดีที่สุดว่าคนที่แสนจะหยิ่งยโสไม่เห็นหัวใครคนนั้นยอมลงให้เขาตั้งเท่าไหร่แล้ว คำว่าขอโทษสำหรับวินเซนต์ไม่ใช่พูดง่าย คำว่าขอร้องยิ่งไม่ง่าย… แต่สิ่งที่น่ากลัวคืออนาคตมากกว่า

   อีกฝ่ายเป็นคนดังขนาดนี้ไม่มีทางที่จะคบกันแบบแอบๆซ่อนๆไปได้ตลอดหรอก… นั่นล่ะ สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คืออนาคต…

   ขณะที่นอนคว่ำปวดเอวอยู่นั่นเอง สมาร์ตโฟนเครื่องเล็กก็มีสายเรียกเข้า ชายหนุ่มเอื้อมมือไปคว้ามันมา รีบกดรับทันทีเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนโทรมา

   “บองชูววว ฮันนี่ ฉันมีคำถาม เธอชอบมาการองรสอะไรคะทูนหัว ฉันเลือกไม่ถูกระหว่างพราลีนกับวนิลา” ประโยคแรกมาก็ทักมาด้วยน้ำเสียงสดใส คาดว่าคงกำลังชอปปิ้งอย่างเมามันอยู่ที่ปารีส
   “...เรจิน่า จอร์จ ยัยคนขายเพื่อน!” เขาไม่ได้ตอบคำถามเรื่องมาการอง กัดฟันพูดใส่โทรศัพท์อย่างเจ็บแค้น
“ฉันเกลียดมีนเกิร์ลชะมัดยาด…” หญิงสาวบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “วินเซนต์เล่าให้เธอฟังแล้วล่ะสิ”
“ใช่… และเธอเผาฉันซะยับ” แดริล
“ฉันก็แค่เล่นบทคิวปิดเท่านั้นเองย่ะ หากเธอลืมไม่ได้สักทีก็ให้เขามาเจอเธอไปเลย ถ้าไม่หักกันก็กลับไปคบกันซะ” แคท
“แต่ฉันไม่ได้อยากกลับไปคบกับวินเซนต์...” แดริล
“ทูนหัวเธอกำลังหลอกใครอยู่คะ? ให้เดานะ… นี่ลากเขาขึ้นเตียงแล้วใช่ไหม” แคท
“......” แดริล
“ใช่จริงด้วย พระเจ้าช่วย!! เห็นไหมล่ะยะ ไม่อยากกลับไปคบอะไรกัน” แคท   
   “แคท เธอก็รู้ว่ามันมีเหตุผลมากกว่านั้น… เรื่องนี้มีปัญหาตั้งหลายอย่าง” แดริล
   “เอาล่ะที่รักคะ... ให้ฉันสรุปให้ ปัญหาเรื่องนี้อยู่ที่ตัวเธอใช่ไหม? ก่อนฉันจะส่งพ่อนักกีฬาสารเลวคนนั้นกลับไปหาเธอก็ถามอะไรหลายๆอย่างแล้ว เขาอยากควงเธอออกสื่ออย่างเปิดเผยด้วยนี่นา”
   “นั่นล่ะคือปัญหา ฉันไม่อยากเปิดเผยตัว ไม่อยากออกสื่อ ไม่อยากอะไรทั่งนั้น ฉันแค่อยากเป็นเกย์แอบเงียบๆอยู่ในมุมของตัวเองแบบนี้ต่อไป!”
   แคทฟังแล้วก็เงียบไปเล็กน้อย

   “...รู้ไหมแดริล ฉันคิดจะเผยตัวมาสักพักแล้วล่ะ” คำพูดนั้นของหญิงสาวทำให้คนฟังนึกตกใจ “เธอก็รู้ วงการแฟชั่นไม่มีใครเขาสนใจอะไรพวกนี้กันหรอก ส่วนทางบ้านถึงจะรับไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพวกเขาแล้วนี่นา”
   “เธอ… แน่ใจแล้วเหรอ…” รู้สึกตกใจไม่น้อยที่อยู่ดีๆแฟนหลอกๆที่ช่วยคบกันบังหน้ามาเกือบสิบห้าปีจะพูดแบบนี้..
   “อืม… แน่สิ ฉันคิดมานานแล้วว่ามันไม่แฟร์กับแอช ถึงเธอจะไม่เคยบ่นอะไรแต่ฉันก็รู้สึกแย่ ฉันอยากบอกทุกคนว่าฉันมีแฟนสาวที่น่ารักมาก แล้วฉันก็ไม่สนใจว่าพวกเขาจะคิดยังไงด้วย กลับไปคราวนี้ฉันจะขอเธอแต่งงาน” น้ำเสียงของหญิงสาวจริงจังจนผิดวิสัย ฟังแล้วชวนให้รู้สึกว่างโหวงในอก “ฉันจะออกไปเผชิญหน้ากับมันแล้วล่ะที่รัก ฉันควรทำมานานแล้ว”
   “...แล้วฉันล่ะ… ควรทำยังไง” ถ้อยคำนั้นหลุดออกจากปากไปโดยไม่ได้ผ่านการกลั่นกรอง แดริลรู้สึกเหมือนอยู่ๆตัวเองก็หลงทางอยู่คนเดียว เพราะเพื่อนที่ร่วมทางมาด้วยกันตลอดกลับพบทางออกก่อนเขาเสียอีก
“นั่นน่ะเธอก็ต้องหาคำตอบเองนะทูนหัว… ค่อยๆคิดไป เธอเองก็ทำงานบริษัทแฟชั่น เป็นเกย์แล้วจะเดือดร้อนอะไรล่ะ?”
“มุมมองของคนน่ะ… มีความอคติต่อสิ่งที่แตกต่างเสมอล่ะ แคท แล้วทำไมฉันต้องออกไปเป็นเป้าให้โดนโจมตีด้วย?” ชายหนุ่มตอบเสียงเบาลง “สังคมเปิดมากขึ้นแล้ว… แต่มันก็ใช่จะเท่าเทียม”
“แต่ความแตกต่างนั่นก็คือตัวเธอ และมันไม่ใช่ความผิดบาปอะไรเลย ที่รัก และการที่เราต้องออกไป ก็เพื่อจะประกาศว่ามันไม่ใช่เรื่องผิดไงล่ะ หากเราไม่เริ่มทำอะไรสักอย่าง มันก็จะไม่มีวันเท่าเทียม”
“เธอไปเอาความกล้าแบบนี้มาจากไหนกันนะ แคทเธอรีน…”
“ไม่รู้สิ… มันมากับเวลาละมั้งคะ” หญิงสาวคนนั้นที่พูดผ่านโทรศัพท์หัวเราะเบา “เธอก็ลองเก็บไปคิดดู… ให้เวลากับมันนานๆเลยก็ได้ ปล่อยหมอนั่นรอไปนานๆเลย”
“..... อืม” ชายหนุ่มรับคำ แต่เอาเข้าจริงถึงเขาจะไม่อยากให้เวลา แต่ก็ไม่รู้จะสลัดวินเซนต์ให้หลุดออกไปจากวงโคจรชีวิตอย่างไรดีเหมือนกัน
“เดี๋ยวฉันจะไปชอปปิ้งต่อแล้วนะคะ เธอว่าระหว่างแอร์เมสกับหลุยส์วิตตอง ฉันแวะชอปไหนก่อนดี”
“...กระเป๋าเต็มบ้านแล้ว เดี๋ยวแอชก็ดุอีกหรอก” ถึงจะพูดปรามแต่ไม่มีทางห้ามนางแบบสาวได้แม้แต่น้อย..
“แอร์เมสเนอะคะ เท่านี้ก่อนนะคะฮันนี่ บาย”

เลือกร้านได้แล้วก็วางสายหน้าตาเฉย แดริลเพียงยกยิ้มขำเบาๆอย่างนึกเอ็นดู

เขาเองก็หวังว่าสักวันจะเข้มแข็งได้เท่ากับสาวๆพวกนั้นเหมือนกัน…

……………

สิบห้านาทีผ่านไป วินเซนต์ยังคงไม่กลับมา...

แดริลนอนเล่นมือถือไปสักพัก ก็มีข้อความเข้าจากแอปแชทที่ชื่อ AnonyMate… มันเป็นแอปคล้ายๆทินเดอร์ที่มิสวีแนะนำให้เขาใช้หาเพื่อนคุยมาหลายเดือนแล้ว ต่างแค่ไม่แสดงหน้าตาเท่านั้น..

‘J.W.: ช่วงนี้คุณยุ่งรึครับ… เหมือนจะไม่ค่อยตอบข้อความเลย’

   คนคนนี้เป็นผู้ชายที่เขาคุยด้วยฆ่าเวลา เพราะรสนิยมตรงกันหลายอย่างเลยทำให้คุยกันถูกคอ

   ‘Wilde: อืม ยุ่งพอตัวเลยครับ ทั้งงาน ทั้งเรื่องส่วนตัว’

   Wildeเป็นชื่อที่ชายหนุ่มมักจะใช้ในโลกออนไลน์ มันมาจากชื่อของ Oscar Wilde นักเขียนคนดังในช่วงยุควิคตอเรี่ยนสมัยที่การรักร่วมเพศนั้นผิดกฎหมาย และออสการ์ก็ถูกจับเข้าคุกเพราะเป็นเกย์…

   และเกณฑ์การเลือกตอบข้อความของคนที่ทักมาของแดริลก็คือ
ไวยากรณ์ต้องถูก…
ประวัติต้องไม่ดูโอเวอร์จนเซอร์เรียล..
ต้องรู้จัก Oscar Wilde และเดาที่มาชื่อล็อกอินของเขาถูก (แม้ว่าวินเซนต์ไม่น่าจะรู้ว่าออสการ์ ไวลด์คือใครก็ตามเถอะ)

   ...ใช่ เขาเป็นคนเรื่องมากและเลือกมากเวลาจะคบหาเพื่อนทางออนไลน์
   ‘J.W.: นี่ก็สามเดือนแล้ว ผมอยากรู้ว่าคุณสะดวกใจจะมาพบผมหรือยังครับ..’

คนคนนี้คอยตื๊อให้เขาไปพบมาตลอด… แต่แดริลก็บ่ายเบี่ยงทุกครั้ง ถึงจะคุยกันถูกคอ แต่การไปพบกับคนแปลกหน้าก็เป็นเรื่องที่ชวนให้อึดอัดใจอยู่ดี สุดท้ายก็ปฏิเสธไปอีกครั้ง… ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าปฏิเสธไปทุกครั้งแล้วทำไมยังจะถามอีก...

‘Wilde: ขอโทษนะครับ.. ช่วงนี้งานที่บริษัทยุ่งมากเลย’
‘J.W.: ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจ’

   แดริลอ่านข้อความนั่น แล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรอีก เขาก็แค่… ไม่พร้อมสำหรับอะไรทั้งนั้น

   บางทีความรู้สึกคนเรา หากสามารถบังคับได้ดั่งใจก็คงดี…

   เขาเคยหลอกใช้คนอื่นในการลืมวินเซนต์ให้ได้ และมันก็จบลงอย่างเละเทะทุกครั้ง.. ผ่านไปห้ารอบก็ตัดสินใจได้ว่าจนกว่าจะสะสางความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงนี้ได้ ก็จะไม่เปิดรับใครเข้ามาอีก….

   แต่สุดท้ายวินเซนต์ก็กลับมา….

   แดริลถอนหายใจยาว ดวงตาสีฟ้ามองร่างสูงที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาพร้อมถุงใส่อาหารมากมายในมือด้วยสายตาอ่อนใจ

   แล้วเรื่องนี้เขาควรจะสะสางยังไงดีนะ?



--------------------------------------

มาลงต่อแล้วค่ะ!! (; v ; /

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ชีวิตคุณแดริลยังบัดซบอย่างต่อเนื่องง   :katai1: วินซ์ต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะๆนะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ชอบน้องแดริลมาก เอ็นดูน้องและชีวติบัดซบของน้อง เฮ้อออออออออ เป็นกำลังใจให้ทั้งแดริลและคนเขียนค่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ลุยไปเลย

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ชีวิตแดริลจะบัดซบไปมากกว่านี้มั้ย :ling1: :pig4:

ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
บทที่ 13 J.W. (1/2)

เช้าวันจันทร์ ในที่สุดวินเซนต์ก็ยอมกลับบ้านกลับช่อง…

แดริล เชน ออกมาวิ่งออกกำลังกายยามเช้าที่สวนแถวบ้าน ด้วยท่าทางเหมือนซอมบี้ไม่มีผิด

อยู่ๆหางตาก็เหมือนจะเห็นชายคนหนึ่งที่ดูค่อนข้างสะดุดตา สวมสูทยาวใส่แว่นตากรอบเหลี่ยมมานั่งในเก้าอี้สวนสาธารณะ ผมสีน้ำตาลเข้มตัดสั้นจัดทรงเรียบร้อยดูดีไม่น้อย แต่ก็ดูไม่เหมาะที่จะมานั่งเล่นในสวนที่ทุกคนกำลังออกกำลังกายยามเช้าเช่นกัน วิ่งผ่านไปหนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ คนคนนั้นก็ยังนั่งอยู่แบบนั้น..

ชายหนุ่มไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก เพียงดำเนินกิจวัตรประจำวันของเขาไปตามปกติ กลับบ้าน อาบน้ำ เข้าออฟฟิศ วันนี้ชายหนุ่มต้องใส่เสื้อคอสูงแขนยาวมาทำงาน ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าเพราะใคร..

ตรวจรีพอร์ทของทั้งแผนกการตลาดและบริการลูกค้าเสร็จก็อนุมัติค่าใช้จ่ายงานแผนกโปรดั๊กชั่นต่อ  สั่งงาน รับมือมิสวี ช่วยทำpitching deck ประชุมกับพาร์ทเนอร์ หารือเรื่องโปรเจกต์ใหม่ เรียกได้ว่าทั้งวันชีวิตไม่มีเวลาว่าง เพราะตารางแน่นเอี๊ยดไปด้วยการประชุมทั้งภายในและภายนอก...


...เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องไปเป็นวิทยากรรับเชิญในอีเวนท์สตาร์ทอัพอีก ถึงจะไม่อยากไป แต่งานพวกนี้มันก็ช่วยเรื่องการสร้างแบรนด์อยู่ไม่น้อย

แดริลเปิดกล่องอินบอกซ์มหาศาล เมล์หนึ่งมีภาพเซตใหม่ของสินค้าไลน์ผู้ชายทำงาน ที่ส่งCCให้เขาดูคร่าวๆ อันที่จริงหน้าที่อนุมัติเป็นของผู้จัดการฝ่ายโปรดั๊กชั่น ก็แค่พ่วงเขาเข้ามาในเมลด้วยเพื่อให้รับทราบโดยทั่วกันเฉยๆ

แดริลไล่ดูภาพสินค้าใหม่ นายแบบแต่ละคนที่เลือกมาดูเข้าท่าดี บางคนมองแวบเดียวก็รู้ว่าเกย์สาว.. แต่ทุกคนล้วนช่วยยกระดับให้สินค้าดูสมราคาขาย

กระทั่งสายตาไปสะดุดกับคนคนหนึ่งที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูกแต่มั่นใจว่าเป็นนายแบบใหม่ คล้ายๆคนที่เห็นเมื่อเช้า... ไหล่กว้าง ตัวสูง แต่ลำตัวไม่หนาเทอะทะ รูปร่างรับกับชุดสูทที่ใส่เป็นอย่างดี… เลื่อนลงไปดูเครดิตชื่อนายแบบ ก็เป็นชื่อที่คุ้นๆเช่นกัน… Joseph West?

คนคนนี้เป็นอะไรกับมิสเวสรึเปล่านะ...

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจ สนแค่นายแบบงานดี ค่าตัวสมเหตุสมผลก็พอแล้ว

เซ็นอนุมัติงบ ตรวจงาน อนุมัติงาน ตอบอีเมล สั่งงานเพิ่ม แค่นี้ก็กินเวลาไปจนเที่ยงแล้ว กระทั่งบิลมาเคาะประตูกระจกห้องทำงาน ชายหนุ่มผมดำถึงเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ

“เที่ยงแล้วนะครับ บอสจะออกไปกินข้าวหรือสั่งเข้ามากินดี” แดริลเงยหน้าขึ้นจากแลปทอป ถกแขนเสื้อมองนาฬิกาข้อมือแบรนด์ของบริษัทแล้วก็พบว่าถึงเวลาพักเที่ยงได้สิบนาทีแล้ว...

“วันนี้งานยุ่งน่ะคงไม่ออก… พวกคุณจะออกไปกินข้างนอกหรือเปล่า? ฝากซื้อซับเวย์ไก่มายองเนสใส่ผักทุกอย่างมาให้ผมสักชิ้นได้ไหม” 
“ครับ กำลังจะพาทีมไปกินข้าวอยู่พอดี เดี๋ยวซื้อขึ้นมาเผื่อให้นะครับ” บิลพยักหน้ารับ ก่อนจะขอตัวออกไปพักกลางวัน

ออฟฟิศค่อนข้างโล่ง เหลือเพียงพวกบ้างานหรือพวกที่งานไม่เสร็จไม่กี่คนที่กำลังนั่งทำงานกันแบบเอาเป็นเอาตาย

แดริลตัดสินใจวางมือจากคอมพิวเตอร์ นั่งพักนวดเปลือกตาเล็กน้อย นั่งคิดอะไรสักพักก็ลุกขึ้นไปสูบบุหรี่….

พื้นที่ที่สูบบุหรี่ได้อยู่บนดาดฟ้า บริษัทของเขาเช่าพื้นที่หลายชั้น ชั้นหนึ่งเป็นรีเซปชั่น ชั้นสองเป็นส่วนของสตูดิโอเล็กและที่ทำงานของทีมโปรดั๊กชั่นกับกราฟฟิก สามเป็นแผนกมาร์เกตติ้ง บริการลูกค้าและพวกไอที สี่เป็นพวกโอเปอเรชั่นที่ทำเรื่องงานจัดส่งของให้ลูกค้ากับประสานงานระบบลอจิสติกและห้องทำงานของมิสเวส

แดริล เชน ได้อัดควันเข้าปอดแล้วก็รู้สึกสมองโล่งขึ้นบ้าง การทำงานช่วยให้เขาพักสมองเกี่ยวกับเรื่องของวินซ์ไม่น้อยเลย

วันนี้อีกฝ่ายไปเข้ายิม ออกจากอพาร์ทเมนต์เขาไปแต่เช้า ทิ้งท้ายว่าว่างแล้วจะมาหาใหม่แต่ไม่ได้บอกว่าจะว่างเมื่อไหร่ และเมื่อแดริลไปเช็กดูกุญแจสำรองที่ซ่อนไว้ใต้พรมก็พบว่ามันหายไปแล้ว..

จะเปลี่ยนกลอนก็ไม่มีเวลาและเรื่องใหญ่….

อันที่จริงชีวิตนักกีฬา NFL หากไม่ใช่ช่วงฤดูกาลแข่งขันก็ดูจะมีเวลาว่างมากโข แต่ก็ต้องเอาเวลาพวกนั้นมาดูแลตัวเองเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมรับศึกหนักในฤดูกาลต่อไป.. วินเซนต์ควบคุมอาหารแบบเข้มงวดกว่าเขาเสียอีก แม้จะไม่เท่าแคทเธอรีนที่ต้องรักษาหุ่นก่อนขึ้นรันเวย์ก็ตาม แถมวันพักแท้ๆก็ยังต้องหาทางออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างกับว่าช่วงแข่งออกกำลังกายมาไม่พออย่างนั้นล่ะ..

ทุ่มเทเพื่ออเมริกันฟุตบอลขนาดนี้ หากวันหนึ่งเสียมันไป อีกฝ่ายจะรับได้จริงๆหรือ… นั่นเป็นเรื่องที่แดริลไม่แน่ใจ

‘เอาเป็นว่าถ้าฉันตกงานเป็นNEET นายก็เลี้ยงดูฉันแล้วกัน’

… คิดถึงประโยคล้อเล่นนั่นแล้วก็ถอนหายใจ ปัญหาไม่ใช่เรื่องเงินสักหน่อย… มันคือแพชชั่นต่างหาก….

ถ้าโลกนี้มันง่ายดายขนาดรักกันแล้วทุกอย่างจบลงด้วยดีก็ดีสิ… แต่เราทุกคนล้วนรู้ว่ามันไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น

สูบบุหรี่ไปได้จนครึ่งมวน ประตูดาดฟ้าก็เปิดออก ร่างที่สูงกว่าเขาเล็กน้อยแต่ดูค่อนข้างโดดเด่นก้าวออกมา ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มสวมแว่นทรงเหลี่ยมกรอบบางมองตรงมา ดูจากเสื้อโค้ตที่สวมใส่ น่าจะเป็นคนเดียวกับเมื่อเช้า และดูจากใบหน้า… ก็น่าจะเป็นคนเดียวกับนายแบบคนใหม่ของบริษัท

   “คุณเชน..” เสียงที่ทักทำให้เจ้าของชื่อเลิกคิ้วเล็กน้อย สองนิ้วคีบบุหรี่ออกจากปากขณะระบายลมหายใจออกเป็นควันสีขมุกขมัว และถามออกไปตรงๆ...
   “ขอโทษนะครับ… เราเคยพบกันด้วยเหรอ?” คำถามทำให้คนตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย ทำเอาแดริลรู้สึกผิดที่ไม่จำคนให้ดีกว่านี้ เขาอาจจะเป็นเพื่อนในวงการของแคทเธอรีนที่เคยเจอก็ได้
   “ผมโจเซฟไงครับ… โจเซฟ เวส” ...เรื่องชื่อน่ะรู้แล้ว
   “..ครับ คุณเวสที่เป็นนายแบบใหม่ของเราใช่ไหม” แดริลเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่ดีจึงปั้นหน้ายิ้มแถไป “ขอโทษด้วยนะครับผมจำคนไม่ค่อยเก่งน่ะ ฮะๆ”
   “....เปล่าครับ เราเคยเรียนไฮสคูลด้วยกัน”

   จากที่ทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนอยู่ ยิ้มนั้นถึงกับค้างอยู่บนหน้า…… ในหัวมีแค่ประโยคเดียวที่อยากถาม

   ใครวะ?

   ไม่ใช่เพื่อนนักกีฬาแน่นอน… เพื่อนสภานักเรียนก็ไม่ใช่… ไม่… เขาไม่รู้จักคนรูปร่างหน้าตาแบบนี้แน่นอน…
   แดริลกลืนน้ำลายลงคอ พยายามคิดหาทางออกจากสถานการณ์นี้ ตอบว่าจำไม่ได้ก็ดูจะเสียมารยาทเอามากๆ
   “ออ… ครับ…” บังเกิดเดดแอร์ระหว่างคนทั้งคู่ CMOหนุ่มแสร้งทำเป็นใจเย็น ยกบุหรี่ขึ้นจรดริมฝีปากและสูดควันเข้าไป เก๊กเข้มกลบเกลื่อนมันหน้าตาเฉย
“คุณเคยช่วยผมไว้ตอนเกรดเก้า… ลืมไปแล้วเหรอครับ” คนคนนั้นยังไม่ยอมแพ้ เข้ามาใกล้ขึ้นอีกก้าวหนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตจ้องเค้นหาคำตอบ ดูๆไปแล้วก็หล่อสบายตาดีเหมือนกัน

ช่วยไว้…? ใคร?

คิดๆย้อนๆไปแล้วช่วงไฮสคูลเขาก็คลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะเดินเข้าไปเจอเด็กคนหนึ่งโดนบุลลี่พอดี… และเด็กคนนั้นเหมือนจะชื่อ...

โจเซฟ..

อา… การเติบโตนี่มันน่ากลัวจริงๆ จะจำไม่ได้ก็ไม่แปลก

“นาย… ดูดีขึ้นนะ” ชมไปแบบนั้นตามมารยาท ชายคนนั้นก็ยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มแล้ว… อา… โลกแคบชะมัด
“คุณจำได้แล้วใช่ไหมครับ ผมอยากพบคุณอีกครั้งมาตั้งนานแล้ว” มือข้างที่ไม่ได้ถือบุหรี่อยู่ถูกจับไปเขย่าหลายครั้ง เจ้าตัวก็ทำได้แค่ปั้นหน้ายิ้มหน้าเดิม

จู่ๆประตูดาดฟ้าก็เหวี่ยงเปิดขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงส้นเข็มที่กระทบพื้นคอนกรีต CEOสาวผมบลอนด์วันนี้ใส่กางเกงสแล็คกับสูทสีเทา ด้านในเป็นเสื้อคว้านคอลึกจนเห็นเนินอก ดูเท่มีสไตล์ไม่เบา พอเห็นทั้งคู่แล้ววิเวียนก็เลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะพูดออกมา..

“อ้าวเจอกันแล้วเหรอ เชน โจเซฟ”

แดริลยังคงยิ้มนิ่ง นึกอยากถามว่านี่มันเรื่องอะไรกัน…

“นี่โจเซฟ ญาติฉันเอง เชน ตอนนี้เป็นนักแสดงบรอดเวย์ เห็นว่ารู้จักกันอยู่แล้วนี่ใช่ไหม?” มิสเวสเข้าประเด็น ดึงบุหรี่ออกมาจากซอง ชัดเจนว่ามาสูบบุหรี่เหมือนกัน

   “ครับ.. เคยเจอสมัยไฮสคูล” เด็กที่เขาเคยช่วยไว้และหลังจากนั้นก็คอยหลบอยู่หลังกำแพงแอบจ้องมาจนบางทีก็รู้สึกแปลกๆไงล่ะ...

“อืม… โลกแคบเนอะว่าไหม” วิเวียน
“...ครับ” แดริลชักไม่แน่ใจว่ามันแค่โลกแคบจริงๆหรือเปล่า…

“คุณเชนครับ คือว่า… ผมอยากขอบคุณคุณมานานแล้ว คุณพอว่างให้ผมเลี้ยงกาแฟสักแก้วไหมครับ” เด็กนี่ยังคงจับมือของเขาไม่ปล่อย จะดึงกลับเลยก็เสียมารยาท ยิ่งคำถามชวนไปดื่มกาแฟยิ่งทำให้กลุ้มใจ

ขอโทษนะแต่นายไม่ใช่สเป๊กฉัน…

“วันนี้ออกจากออฟฟิศเร็วหน่อยก็ได้นะเชน ไม่ได้มีงานด่วนนี่นา” กำลังจะอ้าปากปฏิเสธ มิสเวสก็ชิงพูดตัดหน้า นี่...บอสครับ…

“...จริงๆเรื่องมันก็นานแล้วไม่ต้องไปใส่ใจมันนักก็ได้ แต่ถ้าแค่กาแฟแก้วเดียวก็...ได้ละมั้ง” พูดไปพลางก็เหลือบไปมองหญิงสาวที่จุดไฟแช็กสูบบุหรี่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ไปพลาง

“ครับ ไว้เย็นนี้ผมถ่ายแบบเสร็จแล้วจะรออยู่ข้างล่างนะครับ ขอเบอร์โทรศัพท์ไว้ได้ไหมครับจะได้ติดต่อได้…” เห็นท่าทางกระตือรือร้นนั่นแล้วก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเลย แต่เขาก็ยอมให้เบอร์มือถือไปอยู่ดี ก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นและเหยียบให้ไฟมอดด้วยส้นรองเท้า

“งั้นไว้เจอกันนะ ฉันลงไปกินข้าวเที่ยงก่อนล่ะ” ป่านนี้บิลน่าจะกลับมาพร้อมซับเวย์ของเขาแล้ว ชายหนุ่มหาข้ออ้างปลีกตัวทันที ท่าทางค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ได้สนใจที่จะต่อบทสนทนา

อยู่มาจนป่านนี้จะมองไม่ออกว่าใครสนใจตัวเองก็คงเป็นเกย์ที่แย่เต็มทน แต่โดนผู้ชายรุกอย่างเปิดเผยต่อหน้าเจ้านายขนาดนี้เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก…

แถมมิสเวสก็สมรู้ร่วมคิดอีก.. เห็นทีเราคงมีเรื่องต้องคุยกันสักหน่อย…


บ่ายแก่ๆวันนั้นเพิ่งประชุมเสร็จก็มีสายเรียกเข้า...

โจเซฟ เวส นัดเขาไปที่ร้านกาแฟไม่ไกลจากบริษัทเท่าไหร่ ชายหนุ่มเก็บข้าวของ ส่งอีเมลสั่งงานทิ้งไว้ และออกจากบริษัทด้วยท่าทางไม่เต็มใจนัก

อีกฝ่ายนั่งรออยู่ในร้านกาแฟ กำลังก้มหน้ากดสมาร์ตโฟน พอแดริลเดินเข้าใกล้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมาคลี่ยิ้มทันที ชนิดที่ว่าหากมีหางคงกระดิกไปแล้ว…

“คุณดื่มอะไรดีครับ” เจ้ามือถาม ท่าทางพร้อมจะวิ่งไปสั่งกาแฟให้ แดริลเพียงยกยิ้มบางตามมารยาท ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“อเมริกาโน่แล้วกัน”

พูดไปไม่นาน กาแฟร้อนถ้วยเล็กสีขาวก็มาวางตรงหน้าแล้ว ชายหนุ่มละเลียดจิบมันช้าๆ ปล่อยให้ความเงียบเข้าแทรกระหว่างคนทั้งคู่

“คุณเชน… จริงๆแล้ว.. ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณครับ” โจเซฟพูดเสียงเบา ท่าทางไม่ค่อยมั่นใจนัก ทำเอาคนที่กำลังจดจ่อกับกาแฟต้องเงยหน้าขึ้นพลางเลิกคิ้ว
“หืม เรื่องอะไร?”
“จริงๆใช้คำว่าสารภาพจะเหมาะกว่า..”
โจเซฟหยิบสมาร์ตโฟนของตนขึ้นมา กดเปิดแอปหนึ่งขึ้น… มันคือ AnonyMate หรือแอปหาเพื่อนคุยที่เขาใช้อยู่นั่นเอง และหน้าโปรไฟล์ก็เขียนชัดเจนว่า J.W.

….ทุกอย่างค่อยๆปะติดปะต่อกันในหัว ตัวแดริลเองก็ไม่ได้คิดว่ามิสวีจะขายเขาแบบนี้

ชายหนุ่มมุ่นคิ้วลง นึกอยากส่งข้อความไปหาเจ้านายสาวเสียเดี๋ยวนี้เลย…

“อย่าเพิ่งโมโหนะครับ เป็นผมที่ไปขอร้องวิเวียนเอง… คือ… ผมเพิ่งรู้มาว่าคุณทำงานกับเธอ เลยขอให้เธอช่วย… แต่เธอบอกว่าพยายามบอกคุณแล้วว่าจะแนะนำคนให้ แต่คุณปฏิเสธมาตลอด เธอก็เลยเสนอวิธีนี้แทน...” คนพูดมีท่าทีลนลาน ส่วนคนฟังก็นั่งนวดขมับเพราะรู้สึกว่าเรื่องราวมันชักจะวุ่นวายเกินไปแล้ว… “ผมน่ะอยากพบคุณมาตลอดเลย ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วที่คุณเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอด”

“อืม….” คนฟังรับคำ พร้อมถอนหายใจเล็กน้อย “ฉันดีใจนะที่ชีวิตนายดีขึ้น...”

แต่ไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่กับสถานการณ์ตอนนี้

เขาเลือกใช้แอปในการคุยกับคนแปลกหน้าก็เพราะมันสบายใจกว่าที่จะเล่าเรื่องต่างๆที่เล่าให้คนรู้จักฟังไม่ได้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้เอ่ยชื่อผู้คนหรือสถานที่ หรือกระทั่งจะเปิดเผยว่าตนเองเป็นใคร… แต่พอมาพบว่าอีกฝ่ายเป็นคนรู้จักแบบนี้มันก็ลำบากใจไม่น้อยเลย

   ตอนที่เขาสวมล็อกอิน Wilde ก็ได้บ่นระบายให้อีกฝ่ายฟัง ทั้งเรื่องที่โดนแฟนหนุ่มนักกีฬาทิ้งไปหาอเมริกันฟุตบอล บ่นเรื่องที่ตัวเองเป็นเกย์แต่ต้องหลบๆซ่อนๆอย่างอึดอัด เรื่องสังคม และเรื่องความสะเทือนใจที่เขามีต่อเรื่องราวของออสการ์ ไวลด์ที่เข้าคุกแค่เพราะไปรักกับลูกชายขุนนาง…

แปลว่าโจเซฟรู้ทั้งหมดว่าชายหนุ่มคบกับนักกีฬาบางคนมาตั้งแต่สมัยไฮสคูล… และอาจจะเดาได้ว่าเป็นวินเซนต์ เพราะตอนนั้นแดริลก็ไปไหนมาไหนกับควอเตอร์แบคคนดังบ่อยๆ..

มือที่จับหูแก้วกาแฟบีบแน่นขึ้นเล็กน้อย… นอกจากแคทกับแอช แดริลก็ไม่เคยเล่าเรื่องที่ตนคบกับวินซ์แบบลับๆให้ใครฟังเพราะกลัวข่าวจะรั่วไปถึงสื่อ และหากคนคนนี้พูดออกไป…?

 ไม่… ไม่มีหลักฐาน

   “คุณเชน ผมจริงจังนะครับ เรื่องที่ผมบอกอยากพบคุณ.. แล้วก็จริงจังกับคุณด้วย”
   แดริลรู้สึกเหมือนผู้ชายที่โดนสาวเปรยถึงเรื่องการแต่งงานในเดทแรกไม่มีผิดเลย…. อยากเผ่น

“ฉันดีใจนะ… แต่ว่า… ฉันยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนั้นในตอนนี้น่ะ….” ชายหนุ่มยกมือขึ้นปราม แทบจะเรียกว่าเบรกเลยก็ว่าได้…. โจเซฟมองเขาด้วยตาคล้ายลูกหมา ดูผิดหวังอยู่ไม่น้อย
“... เพราะ ‘เขา’ กลับมารึครับ” ประโยคนั้นทำให้คนฟังชะงักไปเล็กน้อย ไม่ได้ตอบ และก็ไม่ได้สบตากลับ “...ผมได้ยินมาจากวิเวียนว่าเขารับงานของบริษัทคุณ… วินเซนต์ ซัมเมอร์น่ะ”

รู้จริงๆด้วย…

“ได้ยินอะไร? ไร้สาระน่า คนแบบวินเซนต์ ซัมเมอร์ที่เปลี่ยนสาวควงไม่ซ้ำหน้าจะเกี่ยวอะไรกับเรื่องฉันกัน” ชายหนุ่มผมดำยกยิ้มขำ จิบกาแฟจนหมดแก้วแล้วก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับมุมปาก “เป็นคนอื่น”

โจเซฟมีสีหน้าไม่เชื่อคำโกหกของเขา แต่ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้อยู่ดี
J.W.เป็นคนที่คุยกันถูกคอมาสามเดือน ทั้งเรื่องวิเคราะห์วรรณกรรม สังคม ปรัชญา ประวัติศาสตร์ ล้วนคุยด้วยได้ทุกหัวข้อ… ใช่…คนที่จะคุยเรื่องประเภทนี้กับเขาได้มันค่อนข้างหายากในชีวิตจริงสักหน่อย จะมีก็ลีที่กำลังเรียนปริญญาเอกหัวฟู แต่หมอนั่นก็สายฟิสิกส์ไม่ได้ชอบด้านสังคม...

ถึงจะชอบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย แต่ตัวเขาก็ไม่เคยคิดอยากนัดพบหรือสานต่อความสัมพันธ์ให้มันมากกว่านั้น และแดริลก็พยายามทำให้มันชัดเจนในเรื่องนี้ จึงบ่ายเบี่ยงการนัดพบต่อหน้ามาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
จนกว่าจะเคลียร์เรื่องยุ่งเหยิงของวินซ์จบ ชายหนุ่มไม่ควรไปวุ่นวายกับใครทั้งนั้น… แต่ถึงเคลียร์จบแล้วแบบโจเซฟนี่ก็ไม่ใช่สเป๊กอยู่ดี ตัวบางเกินไปนิด.. สูงใกล้ๆกัน… สุภาพ มีความประหม่าเล็กๆ คุยกันถูกคอในหลายๆเรื่อง ก็น่าเอ็นดูดีหรอกแต่ไม่ใช่แนวเขาจริงๆ ดูแล้วไม่ชวนให้ใจเต้นเลย (...)

คือ… บังเอิญว่าสเป๊กเธอมันจะจำกัดแคบๆหน่อยค่ะ แคบแบบแค๊บแคบ ผมทอง ตาเขียว ตัวสูงมาก กล้ามล่ำ เป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ยิ้มชั่วๆ มั่นหน้า กวนประสาท เอาแต่ใจ สารเลว ต้องชื่อวินเซนต์ นามสกุลซัมเมอร์ ด้วย

...อันที่จริงนี่เป็นข้อความในwhatsappที่แคทเพิ่งส่งมาหาเขาเมื่อวานตอนที่คุยแชทกัน พอนึกถึงมันแล้วก็แทงใจดำอย่างไรชอบกล...

ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
บทที่ 13 (2/2)


“ถ้าอย่างนั้นผมขอโอกาสสักหน่อยไม่ได้รึครับ… พอได้ลองคุยกับคุณผมก็คิดว่าพวกเราน่าจะเข้ากันได้ในหลายๆเรื่อง” โจเซฟยังคงพยายามโน้มน้าวต่อไป อันที่จริงอีกฝ่ายก็รุกหนักและพูดตรงไปบ้างสำหรับการเจอกันครั้งแรก (ถึงจะไม่เท่าวินเซนต์ก็ตาม แต่หมอนั่นมันเกินมาตรฐานคนปกติไปมากจนไม่ควรเอามาเทียบกัน…) แต่อันที่จริงการคุยกันมาตลอดสามเดือนมันก็ถึงจุดที่สมควรตกลงกันแล้วว่าจะเอาอย่างไรต่อดี… ซึ่งคำตอบของแดริลก็ชัดเจนอยู่แล้ว

“ฉันไม่…” ยังไม่ทันจะจบประโยค ริงโทนโทรศัพทก็ดังขึ้นก่อน บนหน้าจอปรากฏชื่อวินเซนต์… ชายหนุ่มผมดำรีบกดวางทิ้งทันทีพลางกดส่ง SMS แบบอัตโนมัติไปว่าไม่ว่างเดี๋ยวโทรกลับ

จะโทรมาอะไรตอนนี้ เดี๋ยวก็ความแตกกันพอดี!

“เราเป็นเพื่อนกันได้ไหม โจเซฟ” แดริลรีบตัดบทด้วยเฟรนด์โซน เก็บสมาร์ตโฟนใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต
“...เริ่มจากเพื่อนก็ได้ครับ” คนตรงหน้ามีท่าทีผิดหวัง และตัวต้นเหตุก็ไม่คิดจะปลอบใจ เขาบอกว่า ‘เป็นเพื่อน’ ไม่ใช่ว่าจะดูก่อน

ถือว่าปฏิเสธไปชัดเจนแล้วก็ขอตัวกลับทันที

“ฉันไปก่อน… มีนัดต่อน่ะ ขอบใจสำหรับกาแฟนะ” พูดจบก็เผ่นทันทีไม่รอ และพยายามไม่สบตากับสายตาลูกหมาน้อยขอความเมตตานั่นด้วย

พอเดินพ้นมุมถนนออกมาแล้ว ถึงหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมา กดโทรกลับทันที

“มีอะไร?” แดริลถามทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย
“จะถามว่าวันนี้นายกลับอพาร์ทเมนต์กี่โมง ฉันมาเล่นเกมรอแล้ว” วินซ์
“...นี่นายว่างเหรอ” แดริล
“ช่วงนี้อ๊อฟซีซันนี่ อีกตั้งหลายเดือนกว่าNFLเทรนนิ่งแคมป์จะเริ่ม นอกจากงานเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาแล้วช่วงนี้ฉันก็ไม่ค่อยมีอะไร” วินซ์
“.....” แดริลนวดขมับ… ชีวิตนายจะสบายไปไหน

ช่วงที่นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลจะยุ่งจริงๆก็คือช่วงเข้าฤดูกาลแข่งขันหกเดือน ส่วนอีกหกเดือนเรียกว่าช่วง อ๊อฟซีซัน ซึ่งจะเป็นช่วงที่ว่างให้ทำอะไรก็ได้… ว่างจนแดริลนึกอิจฉา
แต่ ‘อะไรก็ได้’ ที่ว่าไม่ควรจะเป็นการมาขลุกอยู่อพาร์ทเมนต์แฟนเก่าไหมวินเซนต์… ไปหาอย่างอื่นทำไหม...

“กำลังจะกลับ…” ถึงแบบนั้นก็ตอบเสียงอ่อนอยู่ดี “อยากกินอะไรไหม… จะซื้อเข้าไปเผื่อ”
“ไม่เป็นไรฉันซื้อมาแล้ว อาหารแบบที่ฉันกินนายน่าจะหาลำบาก”

ใช่ อาหารประเภทโปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ… เห็นอีกฝ่ายนั่นก็กินไม่ได้ นี่ก็กินไม่ได้ แล้วก็นึกสงสารอยู่บ้าง พอๆกับแคทที่ต้องเน้นผักเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากนมเลย… ไขมันหล่อนก็กินแบบเอาน้ำมันมะกอกราดจานสลัดไปสองช้อน และดื่มเปล่าน้ำเยอะมาก...

อาชีพเงินดีแต่กินอะไรตามใจปากไม่ได้นี่มันดูลำบากจัง…

“ไม่ต้องคิดเยอะหรอก เอาก้นนายกลับมาหย่อนบนตักฉันก็พอแล้ว” ฟังแล้วก็หน้าขึ้นสี แดริลด่าคนพูดในใจไปหลายประโยค
“...แค่นี้นะ” พูดจบก็วางสายทันทีไม่รอฟังอะไรอีก


ถึงอพาร์ทเมนต์ก็หนึ่งทุ่มแล้ว ไขประตูเข้ามาก็พบกับร่างสูงใหญ่ที่เอาเครื่องเกมรุ่นใหม่ล่าสุดมาต่อจอทีวีของเขาเล่นหน้าตาเฉย…
แดริลวางกล่องสลัดที่ซื้อมาแบบขอไปทีลงบนเคานต์เตอร์ มองไอ้คนที่มานั่งในอพาร์ทเมนต์คนอื่นประหนึ่งเป็นเจ้าของอย่างเหนื่อยใจ

“ไง วันนี้งานหนักไหม” วินซ์ถามทั้งที่ไม่ละสายตาจากเกมที่เล่นอยู่..
“ไม่เท่าไหร่…” ขณะที่เดินเข้าไปใกล้บริเวณโซฟาเพื่อจะนั่ง จู่ๆก็โดนอีกฝ่ายรวบเอวแบบไม่ทันตั้งตัว จับให้นั่งลงบนตักของร่างที่สูงกว่าอย่างง่ายดาย วินเซนต์วางจอยเกมลงและยกยิ้มที่ดูกวนประสาทอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งคนโดนกอดดิ้นจะให้ปล่อย แขนนั่นก็ยิ่งรัดแน่นจนสุดท้ายแดริลต้องยอมอยู่เฉยๆเพราะเหนื่อยเกินไปที่จะดิ้นให้หลุด

“วินเซนต์.. เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนี่ว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“อืม...ใช่ นายก็แค่รักฉันมากๆ” ไม่พูดเปล่ายังจูบเบาที่ริมฝีปาก ร่างที่เล็กกว่าจะเอี้ยวตัวหลบก็หลบไม่ได้เพราะหลังคอถูกมือใหญ่จับเอาไว้

ใบหน้าของชายหนุ่มเริ่มขึ้นสี ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่เคยเอาชนะไอ้บ้านี่ได้เลยตั้งแต่อายุสิบห้ายันตอนนี้ ได้เพียงเรียกขู่เสียงดุเท่านั้น
“วินเซนต์ ซัมเมอร์!!”
“เรียกเหรอที่รัก?” … ซึ่งก็ดูจะไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย

โว้ย!!

ยิ่งแดริลหน้ายุ่งเท่าไหร่คนแกล้งยิ่งยิ้มกว้าง และดูจะสนุกขึ้นเท่านั้น ดวงตาสีฟ้าจ้องเจ้าคนยิ้มหน้าระรื่นอย่างไม่พอใจ...
“นายบอกจะให้เวลาฉัน”
“อืม ก็ให้อยู่ เราก็ไม่ได้เป็นแฟนกัน แค่ฉันพอใจจะมาขลุกอยู่อพาร์ทเมนต์นาย แถมพร้อมเสียสละตัวเองให้นายย่ำยีได้เต็มที่ ดูสิเป็นโซฟาให้นายนั่งด้วย” ไม่พูดเปล่ายังยกยิ้มที่ดูแล้วชวนให้เอาเท้าลูบหน้าอีกด้วย…
ไอ้……@$(*!@)#(@!_(#

แดริลโมโหจนอดทุบไหล่มันแรงๆสักทีไม่ได้.. แต่พอทุบลงไปแล้ววินเซนต์ก็งอตัวร้องโอดโอยในทันที

“โอ๊ย… ไหล่ฉัน..”
ชายหนุ่มผมดำเห็นแล้วก็ตกใจ มีสีหน้าลนลานชัดเจน มันเป็นเรื่องปกติที่ร่างกายของนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลจะได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขัน เพราะมันเป็นกีฬาที่ค่อนข้างฮาร์ดคอร์ที่สร้างความเสียหายกับร่างกายหนักทีเดียว
“วินซ์ เป็นอะไรมากไหม” แดริลวางมือบนต้นแขนใหญ่ที่มีแต่กล้ามเนื้ออย่างเบามือ พูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เริ่มรู้สึกผิดที่ตนเองไปทุบซี้ซั้ว “นายบาดเจ็บมาจากแข่งฤดูกาลที่แล้วเหรอ?”
ร่างสูงใหญ่ไม่ตอบ ร้องครวญเบาๆแทบ ถึงแสดงท่าทีเจ็บปวดแต่มือข้างหนึ่งก็ยังไม่ยอมปล่อยเอวเจ้าของห้องอยู่ดี
“จูบที… แล้วจะหาย” พูดจบก็เงยหน้าขึ้นมาชิงจูบไปอีกทีอย่างเร็ว แดริลจะหลบก็หลบไม่ทัน ขโมยจูบเสร็จยังยิ้มเยาะอีกต่างหาก

………………………...ไอ้@#)@#(_#()#$@

“ปล่อยฉัน”
“ไม่ปล่อย” ชายหนุ่มผมดำยกมือขึ้นเขกหัวเจ้าคนดื้อเสียทีหนึ่ง นึกอยากให้โลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าคู่มือการรับมือวินเซนต์ ซัมเมอร์ขายเสียจริง “ฉันรู้ว่าจริงๆแล้วนายชอบ”
แดริลนึกอยากเถียง แต่หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะอยู่ตอนนี้ทำให้เขาเถียงไม่ออกนัก.. อีกอย่าง หลายเรื่องปฏิเสธไปก็เท่านั้น... ในเมื่อโดนเพื่อนรักขายจนหมดเปลือกแล้ว
สรุปได้อย่างเดียวเท่านั้น… คือวินซ์เป็นคนประเภทที่เขาแพ้ทาง…

“.....” สุดท้ายหาคำพูดแก้ตัวไม่ได้ชายหนุ่มผมดำก็หันหนีไปทางอื่น ไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ยอมรับ ทำเอาคนมองหลุดขำออกมา
“ผ่านไปเก้าปีนายก็ยังน่ารักเป็นบ้า…” วินเซนต์หัวเราะเบา ขณะวางหัวลงบนบ่าเจ้าของห้อง “เราไปที่เตียงกันเลยได้ไหม?”
“ไม่ได้เฟ้ย” แดริล
“ดื่มเหล้าไหมแดริล สักห้าแก้ว?” วินซ์
“ไม่!!” แดริล
“ชิ…” วินซ์

จู่ๆระหว่างที่กำลังเถียงกันอยู่ โทรศัพท์สมาร์ตโฟนของแดริลก็เกิดสั่นขึ้น ชายหนุ่มพักรบกับวินเซนต์ชั่วครู่เพื่อหยิบมันขึ้นมาเปิดเช็ก เผื่อว่าเป็นข้อความจากมิสเวส…

แต่ที่เด้งเตือนไม่ใช่แอปพลิเคชั่นส่งข้อความหรืออีเมล หากแต่เป็นแอปหาเพื่อนคุยแอปนั้น… AnonyMate
คนส่วนมากที่ใช้แอปนี้มักใช้ในการหาคู่ ถึงวัตถุประสงค์ของแดริลจะไม่ใช่แบบนั้น แต่มันก็ชวนให้เข้าใจผิดอยู่ดี

‘ข้อความจาก J.W.

วันนี้ขอบคุณมากนะครับที่ยอมให้ผมเลี้ยงกาแฟ และผมหวังว่าเราจะยังคุยกันได้อย่างสบายใจอยู่นะครับ ‘

อ่านแล้วก็มุ่นคิ้วเล็กน้อย.. ท่าทางหมอนั่นจะไม่ยอมแพ้จริงๆ

จู่ๆวินเซนต์ก็เงยหน้าขึ้น ชะโงกดูอย่างสงสัย แล้วคิ้วสีบลอนด์ทองนั่นก็มุ่นลงด้วย
“อะไรน่ะ แอปหาคู่? กาแฟ? ...หมอนี่ใคร” น้ำเสียงที่เมื่อครู่ยังฟังดูหยอกล้อเปลี่ยนเป็นกระด้างขึ้นทันที แขนที่โอบรอบช่วงเอวก็เหมือนจะรัดแน่นขึ้นเล็กน้อย
“เพื่อน…” แดริลตอบตามตรง ด้วยคำที่ตรงตัว และตรงความหมาย
“เพื่อนจากแอปหาคู่?” น้ำเสียงนั่นไม่น่าฟังขึ้นทุกที อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโจเซฟมันก็ไม่มีอะไรเลย… แต่เขาไม่จำเป็นต้องตอบ วินเซนต์ก็ไม่มีสิทธิจะถาม
“ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้นายฟังนะ วินซ์” เจ้าของห้องเก็บมือถือ พอเงยหน้าขึ้นอีกที สีหน้าของชายร่างสูงใหญ่ก็ดูทะมึนขึ้นทุกที…

คนมองยังคงใจแข็ง ไม่พูดอะไร ไม่สบตา…

“ลบแอปทิ้ง…” วินเซนต์กระซิบเสียงต่ำที่ข้างหู มันเป็นการออกคำสั่งตามนิสัยเจ้าตัว นั่นทำให้แดริลมุ่นคิ้วลงเล็กน้อย
“ไม่ลบ” อันที่จริงก็ไม่ได้ใส่ใจแอปนี้มากนัก คนที่คุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันเรื่องวรรณกรรม ปัญหาสังคมและปรัชญา ได้นั้นมีน้อยนิดเหลือเกิน เรียกว่านอกจาก J.W.ก็แทบจะไม่มีแล้ว… และอันที่จริงเขาก็อยากจะสลัดโจเซฟทิ้งเต็มทน แต่วินเซนต์ควรเข้าใจสถานะของพวกเขาทั้งคู่ บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกันก็คือไม่ได้เป็นอะไรกัน แค่ปล่อยให้เอากุญแจสำรองไปแล้วเข้ามานั่งเล่นแบบนี้ก็เรียกว่ายอมให้มากแล้ว…

เรื่องส่วนตัวไม่ควรยอมให้อีกอย่างเด็ดขาด

คิ้วสีบลอนด์ทองมุ่นลง สีหน้ายังคงทะมึนไม่น่ามอง ดวงตาสีเขียวจับจ้องอย่างต้องการหาคำตอบ
“ฉันไม่ใช่แฟนนาย ต่อให้ฉันไปเดทกับใคร หรือกินกาแฟกับใคร นายก็ไม่มีสิทธิถาม…” แขนแกร่งคู่ใหญ่กอดรัดแน่นจนเริ่มจะอึดอัด จนแดริลต้องกล่าวเสริม “ถ้าทนไม่ได้ก็ไม่ต้องรอ”
   
   ประโยคสุดท้ายรู้สึกเหมือนต้องฝืนพูดอย่างไรชอบกล..

   รอบด้านเกินความเงียบที่น่าอึดอัดอยู่พักใหญ่ จนสุดท้ายแล้วคนที่ยอมแพ้ก่อนคือวินเซนต์

    “ไม่ลบก็ไม่ลบ” วินซ์กัดฟันตอบ ก้มลงแนบริมฝีปากกับแก้มของคนในอ้อมแขน “แต่อะไรก็ตามที่นายอยากได้จากแอปบ้าๆนั่น ฉันทำให้นายได้ทุกอย่าง”

   ……….ฉันต้องการเพื่อนไว้คุยเรื่องวรรณกรรมสมัยเชคสเปียร์กับยุควิคตอเรี่ยนน่ะ นายแน่ใจเหรอว่านายทำได้?

   แดริลคิดในใจ มองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่มั่นใจเอาเสียเลย

   “ทำไมล่ะ กาแฟฉันก็เลี้ยงได้ จีบนายฉันก็ทำได้” เจ้าของร่างสูงใหญ่เห็นแล้วยิ่งไม่พอใจ พูดจาฮึดฮัดอย่างหงุดหงิด

   “... นายรู้ไหมว่าออสการ์ ไวลด์คือใคร?” แดริลถามหน้าตาย
   “.....ใคร….” วินซ์
   “..... นายทำไม่ได้แล้วล่ะ” แดริล
“แฟนเก่านายเหรอ?” วินซ์
“................บางทีฉันก็สงสัยว่าทำไมนายกับแคทไม่ถูกกัน ทั้งๆที่มีส่วนที่เหมือนกันตั้งหลายอย่าง” แดริลส่ายหัว “ไปกูเกิ้ลซะ”

พูดจบแล้วก็ยังลูบเรือนผมสีทองนั่น เห็นท่าทางขุ่นเคืองนั่นแล้วแดริลก็ขยับตัวไปจูบหน้าผากปลอบเบาๆอย่างอดไม่ได้
คิ้วหนาของวินเซนต์ค่อยๆคลายออก ท่าทางและน้ำเสียงค่อยๆอ่อนลงไม่หงุดหงิดเท่าเมื่อครู่แล้ว แต่ก็ยังคงมีท่าทางไม่ยอมแพ้อยู่ดี

“...ฉันไม่โง่ขนาดแม่นั่น” วินซ์
“ฉันว่าพวกนายก็พอๆกัน...” แดริล
“ไม่จริง” วินซ์
“When shall we three meet again… In thunder, lightning, or in rain? ประโยคนี้ใครเป็นคนแต่ง?” แดริล
“...ใคร” วินซ์
“......เชคสเปียร์ไง แมคเบธน่ะ.. ที่เรียนกันตอนเกรดสิบ นายจำไม่ได้แล้วเหรอ” แดริล
“ฉันจำได้แค่โรมิโอกับจูเลียต” วินซ์
“.......” แดริลเฟสปาล์ม “นายคงมีประโยชน์แค่เป็นโซฟาจริงๆ…”
“อะไร? ฉันทำอะไรได้มากกว่านั้นตั้งหลายอย่าง” มือใหญ่ดึงมือข้างที่กำลังก่ายหน้าผากออก จับมางับนิ้วชี้เบา ลากปลายลิ้นไล้ไปตามท้องนิ้วก่อนจะผละออก ยกยิ้มจนห็นฟันเขี้ยว ดวงตาสีเขียวฉายแววหยอกล้อชัดเจน “เช่นอุ่นเตียง”
เจ้าของมือหน้าขึ้นสีเล็กน้อยขณะชักมือหนี เบือนสายตาหลบไปทางอื่น
“พรุ่งนี้ฉันต้องทำงาน”
“แปลว่าศุกร์ได้?” เหมือนแวบหนึ่งที่ประกายคาดหวังปรากฏบนใบหน้าคนตรงหน้า แดริลไม่แน่ใจว่าควรตอบอะไร เลยตัดสินใจเงียบไม่ตอบแทน
“....”
เรื่องนี้กับเรื่องกลับไปคบกันมันก็คนละเรื่องไม่ใช่รึไง

    ร่างสูงใหญ่ฉีกยิ้มได้ใจ ทำเอาเจ้าของห้องถอนหายใจอย่าเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก

“นายจะกลับบ้านไหม…” แดริล
“ไม่ล่ะ จะค้างที่นี่” วินซ์

…. ตอบแบบนี้ก็พอจะรู้ดีว่าป่วยการที่จะไล่ ตามนิสัยวินเซนต์ที่หน้าด้านขนาดนี้แล้ว ไล่ไปก็เหนื่อยตัวเองเปล่าๆจึงทำได้แค่ปลง
“ถ้าจะค้างก็นอนโซฟา…” แรกเริ่มคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจ แต่วินเซนต์กลับยอมรับอย่างง่ายๆ…
“ได้”
ถึงจะรุกไล่จนไม่เปิดโอกาสให้เขาปฏิเสธ แต่ในจังหวะที่เรียกร้องขอพื้นที่ส่วนตัว อีกฝ่ายก็ยอมถอยให้ก้าวหนึ่งเสมอ… วินซ์ก็ยังคงเป็นวินซ์
“แล้วห้ามไปที่ออฟฟิศฉันโดยไม่จำเป็นอีก…” ยิ่งโจเซฟสงสัยแบบนี้เขายิ่งไม่วางใจให้วินเซนต์โผล่หัวไป… หากความแตกว่าวินเซนต์เคยคบผู้ชายละก็แย่แน่...
“ได้” วินซ์ไม่ถามว่าทำไม แค่รับปากง่ายๆเท่านั้น “จะไปแค่เรื่องงาน”
“ฉันไม่ได้ตกลงว่าจะกลับไปคบกับนาย ฉะนั้นห้ามถามอีกว่าฉันไปทำอะไร ที่ไหน กับใคร…” พอมาถึงข้อนี้เจ้าของร่างสูงใหญ่มุ่นคิ้วลง… เหมือนกำลังสู้กับตัวเองสักพักกว่าจะยอมรับปาก
“....ได้… จะไม่ถาม”

เห็นอีกฝ่ายยอมรับปากทุกข้อแล้วเจ้าของห้องก็มองด้วยสายตาอ่อนลง… ถึงจะเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นตั้งมากมาย แต่ก็อดรู้สึกว่า ‘น่ารักดี’ ไม่ได้อยู่ดี
ทำไมผู้ชายสูงหกฟุตสามนิ้วมีดีแต่กล้ามที่เป็นไอ้งี่เง่าถึงน่าเอ็นดูในสายตาเขาได้ขนาดนี้นะ… แดริลเองก็ไม่เข้าใจความคิดตัวเอง ที่พูดให้ใครฟังก็คงมีแต่คนทำหน้าเหมือนเห็นผี

   “ปล่อยเถอะ ฉันหิว… จะกินข้าว” พูดแบบนั้นท่อนแขนที่แข็งอย่างกับท่อนไม้ถึงยอมคลายออกโดยดี ในที่สุดเขาก็เป็นอิสระจากกล้ามอกของวินเซนต์เสียที

   ค่ำวันนั้นผ่านไปอย่างเรียบง่าย พวกเขาเพียงคุยหยอกล้อกันอีกเล็กน้อยก็แยกย้ายกันเข้านอน… ก็ไม่รู้ว่าวินเซนต์จะมายึดโซฟาเขานานแค่ไหน และก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะหมดความอดทนเมื่อไหร่

   แดริลรู้ว่าวินซ์มีเพนท์เฮาส์หรูทำเลดีอยู่ใจกลางเมืองนิวยอร์ก… แต่กลับมานอนขลุกอยู่บนโซฟาในอพาร์ทเมนต์เล็กๆที่นอนไม่สบายอย่างกับคนไม่มีบ้าน.. เห็นแล้วก็ชวนให้รู้สึกอาดูรแปลกๆ

   เรื่องว่าจะเอายังไง… ตัวเขาเองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ ทั้งตนเองและวินเซนต์ไม่สามารถอยู่ในสถานะแบบนี้ได้ตลอดไป แดริลรู้ดี แค่ยังคิดไม่ตก
   ด้วยความสัตย์จริง… เขาอยากอยู่กับวินเซนต์ แต่ด้วยความสัตย์จริงอีกเช่นกัน เขาไม่อยากทำลายอาชีพนักฟุตบอลของอีกฝ่าย
   ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักกีฬา NFL คนล่าสุดที่ประกาศตัวว่าเป็นเกย์เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว… งานในฐานะนักฟุตบอลอาชีพตกต่ำลงเรื่อยๆ จนกระทั่งต้องเกษียณในสองปีหลังจากที่ประกาศตัว… ถึงวินเซนต์จะบอกว่าไม่สนใจแล้ว แต่ภาพของเด็กหนุ่มคนนั้นที่มองโปสเตอร์นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลอย่างเทิดทูน แดริลยังจำได้ติดตา..

   แค่คิดถึงภาพวินเซนต์ที่อาจตกอยู่ในสภาพนั้น ท้อแท้ เครียด หมดหวังกับอนาคต เพราะเขาเป็นต้นเหตุ… แดริลก็รู้สึกรับไม่ได้
   หากวันหนึ่งอีกฝ่ายหันมาบอกว่า ทั้งหมดนี่เป็นเพราะนาย หรือ ฉันไม่น่าเลือกนายเลย ฉันน่าจะมีชีวิตปกติ เขาก็ไม่แน่ใจว่าตนเองจะทนรับได้แค่ไหน

   เขาอาจจะเป็นคนคิดมาก วินเซนต์บ่นเสมอ.. แต่เรื่องอาชีพการงาน เรื่องอนาคต ไม่คิดมากได้ด้วยรึ?
   ไม่มีทางที่นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลคนหนึ่งจะสามารถเก็บทั้งอาชีพทั้งคนรักที่เป็นผู้ชายของตนเองไว้เลยหรือยังไงนะ…
   
   ชายหนุ่มนอนเอาแขนก่ายหน้าผาก เล่นสมาร์ตโฟนไปเรื่อยเปื่อยก่อนนอน เลื่อนไปมาก็มาถึงหน้าที่มีไอคอนของแอป AnonyMate …
   ดวงตาสีฟ้ามองไปทางมุมห้องมืดๆอันเป็นที่ตั้งของโซฟา… ริมฝีปากเม้มน้อยๆจนเป็นเส้นตรง จากนั้นนิ้วก็เลื่อนกด uninstall แอปพลิเคชั่นตัวนั้นทิ้งไปเงียบๆ...



-----------------------

เราเพิ่งพบว่าในเล้าสามารถลงNCได้ เดี๋ยวจะไปใส่ส่วนที่ตัดไปในตอนเก่าๆให้นะคะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
กลัวเงาแค้นแบบฝั่งหุ่นของโจเซฟจังเลย (ถ้ามันมีนะ)

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
วินซ์ต้องทำให้แดริลมั่นใจจริงๆนะว่าจะจริงจัง สู้!

ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ในเล้าลงเอนซีได้ค่ะ ก็ว่าจะกระซิบบอกคนเขียนอยุ่แต่เกรงใจ  :jul1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:


เอาไงดี

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
รู้สึกกลัวว่าโจเซฟจะมาทำให้ชีวิตแดริวบัดซบไปมากกว่านี้ :hao5:  :pig4:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
โจเซพจะมาดีหรือมาร้ายกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
มาติดตามชีวิตคุณแดริลด้วยคนค่ะ ^^

ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
บทที่ 14 Kat's Declaration (1/2)



ในวันรุ่งขึ้นแดริลขึ้นไปยังออฟฟิศชั้นสี่แต่เช้าตรู่ เดินผ่านแผนกโอเปอเรชั่นและพัฒนาบุคคล มุ่งตรงไปที่ออฟฟิศ CEO





มิสเวสกำลังนั่งจิบกาแฟ ใช้เวลายามเช้านั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไทมส์อย่างใจเย็น สองนิ้วเคาะประตูกระจกเพื่อดึงความสนใจของเจ้าหล่อน ซึ่งก็ได้ผล... พอเห็นเขา ดวงตาคู่โตประดับด้วยแพขนตาหนาของเจ้าหล่อนก็หันมองมาทันที





“อรุณสวัสดิ์เชน” พูดแล้วก็หุบหนังสือพิมพ์กระดาษปิดลง “มีอะไรรึเปล่า ฉันจำได้ว่าวันนี้ไม่มีประชุมเช้านี่”

“สะดวกคุยรึเปล่าครับ ผมอยากคุยกับคุณนิดหน่อย” พูดแล้วเขาก็ดึงประตูปิด เพราะไม่อยากให้คนข้างนอกได้ยินบทสนทนา

“ฉันมีเวลาครึ่งชั่วโมงก่อนจะต้องไปคุยกับทีมโปรดักต์… นั่งสิ”

ได้รับคำอนุญาตแล้วชายหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนั่ง มองสบตาหญิงสาวตรงๆ





“...เรื่องโจเซฟ… คุณไม่ควรทำแบบนี้ ผมปฏิเสธไปชัดเจนแต่แรกแล้วนะครับ” ชายหนุ่มพูดอย่างใจเย็น พยายามไม่แสดงอารมณ์อะไรมากนัก

“อา… เรื่องนี้ ฉันผิดเอง ขอโทษนะ” มิสเวสไม่ใช่คนถือตัว ยอมรับผิดและขอโทษแบบง่ายๆ “...คือโจเซฟน่ะ… ไปเห็นบนสัมภาษณ์ของเธอทางออนไลน์เข้าเลยรู้ว่าเราทำงานที่เดียวกัน เขาขอร้องฉันหลายที ตอนแรกที่เธอปฏิเสธฉันก็บอกไปแล้ว แต่เขาก็ยังรบเร้าอยู่เรื่อยๆ ”





วันนี้หญิงสาวสวมเดรสสีแดงดึงดูดตาเข้าคู่กับส้นสูงสีเดียวกัน ขาสองข้างนั่งในท่าไขว่ห้าง ยกมือขึ้นเท้าคางพลางถอนหายใจออกมาเล็กน้อย แม้ล่วงเข้าวัยเลขสามแล้วเธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่ดูดีทั้งใบหน้าและรูปร่าง





“เด็กคนนั้นน่ะ ตั้งแต่เล็กมาก็ไม่เคยจะตื๊อฉันเรื่องอะไรขนาดนี้.. อันที่จริงฉันก็สงสัยมาตลอดว่าจากเด็กที่ไม่มั่นใจเอาแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือ ทำไมอยู่ๆ ถึงหันมาใส่ใจตัวเองแล้วเลือกเดินทางสายบรอดเวย์ได้” เธอเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงปกติ ออกจะฟังดูกลุ้มใจเล็กๆ “ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอนะ… เชน ฉันจะไม่ยุ่งอีก”





“ครับ… หากคุณเข้าใจแล้วผมก็ไม่ติดใจอะไร” ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว มิสเวสเป็นคนที่พูดจากันด้วยเหตุผลพอๆ กัน พวกเขาถึงทำงานเข้าขากันได้… ก็ไม่บ่อยนักหรอกที่เธอจะทำอะไรแบบนี้





“แต่ฉันมีคำถามเหมือนกันนะ แดริล… วินเซนต์ ซัมเมอร์ เป็นคนรักของเธอหรือเปล่า? ” คำถามตรงไปตรงมานั่นทำให้คนฟังชะงัก ไหล่สองข้างเกร็งขึ้นเล็กน้อย “ฉันได้ยินเรื่องที่ว่าคุณซัมเมอร์คนนั้นยอมรับค่าตัวที่ต่ำกว่าราคาของเขาเพราะเธอมาจากบิล… แล้วพอโจเซฟได้ยินว่าคุณซัมเมอร์จะมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้บริษัทเรา เขาก็แทบจะนั่งไม่ติดที่ รีบร้อนยื่นพอร์ทมาสมัครเป็นนายแบบสินค้าไลน์คนวัยทำงานของเราแทบจะทันทีเลย”





วิเวียนพูดถึงมันแล้วก็นวดขมับปวดหัว

“และขอบอกไว้ก่อนเลยว่าฉันไม่ได้ใช้เส้นให้โจเซฟได้งาน ทีมโปรดั๊กชั่นเลือกกันเอง ฉันไม่ได้ออกความเห็นอะไรเลย ไม่ได้บอกทีมด้วยซ้ำว่าเป็นญาติกัน”

ชายหนุ่มรับฟังประโยคหลัง พร้อมทั้งพยักหน้าน้อยๆ จากที่รู้จักบอสของเขามาหลายปี ก็รู้ดีว่าเธอไม่ใช่คนประเภทที่จะเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน





ส่วนเรื่องวินเซนต์…





“ไม่ได้เป็น… ครับ” ดวงตาเลื่อนหลบไปมองอย่างอื่น ชายหนุ่มมีท่าทีไม่ค่อยเต็มใจจะตอบคำถามอย่างชัดเจน

“อย่าโกหกฉัน เชน ฉันไม่ได้จะว่าอะไรเธอ ตอนแคทเธอรีนฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร ตอนที่รู้ว่าเธอเป็นเกย์ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร แค่อยากรู้ความสัมพันธ์เอาไว้เท่านั้นเพราะบริษัทต้องร่วมงานกับเขาไปอีกทั้งปี” หญิงสาวผมบลอนด์มองคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมือขวาของตนเองด้วยสายตาจริงจัง

“.... ครับ เขาเป็นแฟนเก่า แต่ผมไม่ได้เรียกเขามารับงาน” CMOหนุ่มถอนหายใจ ท่าทางเหมือนจำนนด้วยหลักฐาน “อยู่ๆ ชื่อเขาก็โผล่ขึ้นมา ผมเองยังตกใจ แล้วเขาก็อ้างไปเองว่าเพราะผม… แต่มันไม่ใช่”

“ฉันเชื่อใจเธอ… แต่เธอมั่นใจไหมว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเธอ… เขาจะยังรับผิดชอบงานของเราอยู่ ฉันรู้ว่ามันมีสัญญาผูกมัด แต่หลายๆ อย่างสัญญาก็ไม่ได้ครอบคลุม และฉันก็ไม่คิดว่าคนดังแบบคุณซัมเมอร์จะจ่ายค่าปรับไม่ไหว…” สิ่งที่วิเวียนกังวลนั้นล้วนเกี่ยวกับเรื่องงาน คำถามเหล่านี้แดริลเองก็ไม่มั่นใจว่าจะตอบอย่างไรดี





เขาไม่ใช่วินเซนต์ เขาตอบแทนอีกฝ่ายไม่ได้…





“เขาเป็นคนมีชื่อเสียง ผมไม่คิดว่าเขาจะยอมเสียเครดิตตัวเองในวงการแค่เพื่อจะประชดใครหรอกครับ”

“เชน เพราะเขาเป็นคนดัง เขาถึงเลือกได้ เขามีอำนาจต่อรอง โลกของธุรกิจมันเป็นแบบนี้ และมันก็เป็นหน้าที่ฉันที่ต้องทำให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดผลเสียกับบริษัท” หญิงสาวผมบลอนด์หลับตาลงพร้อมกับระบายลมหายใจออกมา ท่าทางเหมือนว่าหล่อนคิดพิจารณาเรื่องนี้มาดีแล้ว “...แต่ฉันเชื่อใจเธอ ฉะนั้นก็ทำให้มันเวิร์กเถอะ แคมเปญนี้น่ะ”

“ครับ บอส”

“แล้วก็ขอถามเรื่องส่วนตัวอีกสักเรื่องเถอะนะ เรื่องสุดท้ายแล้ว” รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนริมฝีปากที่ทาเคลือบด้วยลิปสติกสีสด “เรื่องโจเซฟ เธอจะไม่ให้โอกาสจริงๆ ใช่ไหม? เขาเคยบอกว่าคุยกับเธอถูกคอ แต่อาจจะไม่ใช่สำหรับเธอ?”





คำถามนี้ไม่ใช่ถามในฐานะเจ้านาย แต่ท่าทางเหมือนถามในฐานะพี่สาวคนหนึ่งเสียมากกว่า





แดริลมีสีหน้าลำบากใจ คุยกันถูกคอก็ใช่ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าคนเราจะตกหลุมรักกันได้เพราะแค่คุยกันถูกคอเฉยๆ …

“ผมคิดว่าเป็นเพื่อนกันดีกว่าครับ”





วิเวียนพยักหน้าเข้าใจ ไม่ได้เซ้าซี้อะไรชายหนุ่มต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้





“อืม เข้าใจแล้วล่ะ” เธอตอบรับแบบง่ายๆ ทั้งยังยกยิ้มให้น้อยๆ “ไว้วันหลังหาเวลาไปกินข้าวเย็นกันเถอะ ฉันเลี้ยงเอง”

“ได้ครับ” แดริลยิ้มตอบ ก่อนจะขอตัวกลับชั้นสามไปทำงานของเขาต่อ… ท่าทางดูโล่งใจขึ้นมากกับหลายๆ เรื่อง





ขณะที่กำลังจะเข้าห้องทำงานของตนเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นนิตยสารแฟชั่นชื่อดังที่วางหราอยู่แถวๆ นั้น เนื่องจากนี่เป็นบริษัทแฟชั่น การมีของประเภทนี้อยู่นั้นไม่แปลกแต่อย่างใด





….ติดแต่หน้าปกนั่น… เป็นคนที่คุ้นตามาก





คนเดียวกับที่ยึดเอาโซฟาเขาเป็นที่นอน… วินเซนต์ ซัมเมอร์





ชายหนุ่มหยิบเอานิตยสารฉบับนั้นขึ้นมาดู มองใบหน้ายิ้มๆ ของคนขึ้นปกด้วยความไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกอย่างไร… อันที่จริงช่วงนี้เขาก็พอสังเกตเห็นมาสักพักแล้วหรอกว่าวินซ์รับงานออกสื่อเยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขึ้นปก บทสัมภาษณ์ ไปเป็นดารารับเชิญในซิตคอม ไปออกรายการ เป็นพรีเซนเตอร์ให้แบรนด์ต่างๆ ทั้งนาฬิกา รถยนต์… และล่าสุดสิ่งที่ทำให้เกือบสำลักกาแฟคืองานถ่ายแบบกางเกงในแบรนด์ดังเมื่อสองเดือนที่แล้ว ยิ่งเห็นภาพบนบิลบอร์ดแล้วทำเอารถเกือบชน..





นับตั้งแต่คว้าถ้วยแชมป์และเป็นหนึ่งในกัปตันทีมสามสมัยติดกัน เหมือนชีวิตของอีกฝ่ายก็จะมีแต่ขาขึ้น เงินค่าตัวแค่งานเป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์ดังงานเดียวก็ตั้งเท่าไหร่แล้ว มากกว่าเงินที่เขาทำได้ทั้งปีอีก... ไหนจะค่าถ่ายแบบขึ้นปก ค่าดารารับเชิญ…





“เป็นคนที่เท่ไปเลยนะครับ” บิล ชายตัวสูงผู้มีความจืดจาง ชะโงกดูนิตยสารเล่มดังกล่าวที่เขากำลังถืออยู่ในมือ “วันที่เขามานี่สาวๆ พูดถึงกันไม่หยุดเลย อันที่จริงตอนนี้ก็ยังพูดถึงกันอยู่”





“...อืม” แดริลตอบรับในลำคอเสียงเบา วางหนังสือลงบนโต๊ะใกล้โซฟารับแขก ค่อนข้างชินแล้วกับความป๊อปปูลาร์ของใครบางคน ที่ยังไม่ชินคงมีแค่โฆษณาถ่ายแบบกางเกงในขึ้นบิลบอร์ดเท่านั้นล่ะ...





ว่าไปแล้วเย็นนี้เขาก็น่าจะไปแวะแผงลอยนิตยสารเสียหน่อย… ว่าแต่ควรจะซ่อนไอ้เล่มนี้ให้พ้นหูพ้นตาเจ้าคนที่ขึ้นปกอย่างไรดีนะ…





………………….





กลับถึงบ้านก็พบวินเซนต์ที่นอนหลับคาโซฟา… มีหนังสือเรื่อง The Picture of Dorian Gray โดย ออสการ์ ไวลด์ กางปิดหน้า…





เจ้าของอพาร์ทเมนต์มองด้วยสายตาอ่อนใจ ย่องไปซ่อนนิตยสารในลิ้นชักก่อนถึงค่อยเดินมาหยิบหนังสือเล่มนั้นออกจากหน้าคนหลับ





“...วินซ์ ฉันกลับมาแล้ว” เรียกเบาๆ นักกีฬาหนุ่มก็ลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง

“....หนังสือของออสการ์ ไวลด์น่าเบื่อเป็นบ้า” นั่นเป็นประโยคแรกที่วินเซนต์ทักออกมา แต่ก็ทำให้คนฟังยิ้มขำ

“นายเคยอ่านอะไรแล้วคิดว่าสนุกด้วยรึไง”

“...เพลย์บอย” คนตัวใหญ่พูดจบก็โดนสันหนังสือเคาะหัวเบาๆ

“นั่นไม่นับสิ” จู่ๆ ข้อมือก็ถูกจับ วินเซนต์ลุกขึ้นนั่ง ดึงหนังสือเล่มดังกล่าวออกจากมือเขา วางไว้ที่โต๊ะข้างๆ แล้วดึงร่างที่บางกว่าให้นั่งลงแทน

“ฉันก็แค่สงสัยว่าทำไมนายถึงชอบอะไรพวกนี้จริง…” วินซ์

“ไม่จำเป็นหรอก ฉันเองก็ใช่จะเคยนั่งดูอเมริกันฟุตบอลเป็นเพื่อนนายซะเมื่อไหร่” แดริล

“นั่นก็จริง… วันนี้เหนื่อยไหม?”

“นิดหน่อย นายล่ะ?”

“เหนื่อย.. ไปยิม แล้วก็ไปเซ็นสัญญา แล้วก็กลับมานอนอ่านหนังสือ”





นั่นฟังดูไม่เห็นจะเหนื่อยตรงไหน..





“ช่วงนี้ดูนายรับงานในวงการบันเทิงเยอะขึ้นนะ” เผลอตัวปุ๊บมือหยาบก็วางลงบนเอว ดึงเข้าไปกอด แดริลกระทั่งจะขัดขืนยังขี้เกียจไปแล้ว…

“เกษียณแล้วจะได้มีอะไรทำ...ไม่เกาะนายกิน” วินเซนต์พูดหน้าตาเฉย “อีกอย่าง… นายลืมไปแล้วหรือไงว่าเทอรี่ ครูวส์ก็เป็นไอดอลของฉันเหมือนกัน”

“....จากโฆษณาโอล์ดสไปซ์แบร์โกลฟใช่ไหม? จำได้ว่านายเคยพูดถึง” เป็นคนที่แดริลคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างมาก ทั้งเห็นในโฆษณาและทีวีออกบ่อย…

“ใช่ เขาเกษียณจากการเป็นนักกีฬาแล้วก็ไปเป็นผู้ประกาศข่าว เล่นโฆษณา กับนักแสดงต่อ เขาเป็นไอดอลขั้นทำให้ฉันซื้อโอล์ดสไปซ์แบร์โกลฟมาใช้เลยนะ” จมูกที่คลอเคลียบริเวณต้นคอทำให้รู้สึกจั๊กจี้ สองมืออดไม่ได้ต้องพยายามผลักวินเซนต์ให้ออกห่าง แต่แน่นอนว่าไม่สำเร็จ





“พอแล้วน่า... วินซ์”

“นายใช้น้ำหอมอะไรน่ะ? ฉันชอบ” ถึงจะบอกให้พอร่างซึ่งสูงใหญ่กว่าก็ยังไม่พอ จูบลงบนต้นคอเสียอย่างนั้น

ทั้งที่สมัยก่อนไม่ได้ติดแจขนาดนี้แท้ๆ …





“อาร์มานี่ Acqua di gio เลิกนัวเนียฉันได้แล้ว ฉันจะไปทำอาหาร” พอบอกแบบนั้นวินเซนต์ถึงยอมปล่อยแต่โดยดี หลุดพ้นได้ร่างที่บางกว่าก็รีบเผ่นไปทางครัวบิวด์อินหลังเคานต์เตอร์ทันที





ชายหนุ่มเริ่มหยิบของสดจากในตู้เย็นมาวางเรียงกัน แต่สมาร์ทโฟนที่สั่นทำให้เขาต้องหยุดมือมากดเช็กดู





มิสวีส่งภาพแคปหน้าจอจากทวิตเตอร์มาให้ผ่านโปรแกรมแชท… มันเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ออนไลน์ฉบับหนึ่ง





‘นางแบบสาวชื่อดัง ขอแฟนสาวดีไซน์เนอร์แต่งงานกลางเวทีหลังจากจบชุดฟินาเล่!! ’





… ไม่ได้มาแค่หัวข้อ มายันภาพประกอบ… และก็ใช่ นั่นเป็นสองคนที่เขาคิดจริงๆ





แคทกับแอช





เห็นแดริลมองมือถือสีหน้าเหม่อลอย วินเซนต์ก็ลุกขึ้นเดินมายืนข้างๆ ดวงตาสีเขียวมองสิ่งที่อยู่บนจอ คอมเมนท์ออกมาแค่สองคำ

“ว้าว เจ๋ง”

“.....” อา… อยู่ๆ ก็ป่วย… ไม่อยากไปบริษัทพรุ่งนี้เลย… คงจะต้องมีคำถามมากมาย หรือสายตาตั้งคำถามมากมายแน่ๆ





ที่บริษัทต่างรู้กันดีว่าเขาเป็นแฟนหนุ่ม (ปลอมๆ) ของแคท และเชื่อได้ว่าเหล่าคนทำงานในวงการแฟชั่นพวกนั้นจะต้องรู้ข่าวนี้กันทุกคน..

ในใจรู้สึกว่างโหวงอยู่บ้าง แม้จะเริ่มทำใจตั้งแต่วันนั้นที่แคทบอกกับเขาว่าหล่อนจะประกาศตัวแล้วก็ตามที…

ใจหนึ่งก็ยินดีกับทั้งแคทและแอชลีย์ อีกใจก็เหมือนโดนทิ้งไว้เบื้องหลังอยู่คนเดียว… แต่หากจะให้บอกแคทว่าอย่าทำแบบนี้ ช่วยกันปิดบังต่อไปได้ไหม นั่นเขาก็พูดไม่ได้หรอก เพราะมันเห็นแก่ตัวเกินไป





หลังจากคุยกันวันนั้น ชายหนุ่มก็ได้ทำใจมาส่วนหนึ่งแล้ว… แต่เขาก็ยังอดอารมณ์ดิ่งไม่ได้





เหมือนถูกบังคับลากออกไปกลางแสงไฟ ทั้งที่ยังไม่พร้อม...





เรื่องโดนมองเป็นเกย์ แน่นอนว่าน่าจะเลี่ยงไม่ได้จริงๆ .. ก็หวังแต่ว่าจะไม่มีคนอคติมากนัก เคราะห์ดีที่เขาอยู่ในวงการธุรกิจแฟชั่นซึ่งเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติ… ทั้งยังมีมิสเวสที่เข้าใจกัน

ที่ผ่านมาชายหนุ่มไม่เห็นประโยชน์จากการเปิดตัว ล้วนเห็นแต่ข้อเสีย และไม่คิดว่าการต้องออกไปประกาศว่าตนเองเป็นเกย์เป็นเรื่องที่ฉลาดนัก… เพราะมีทั้งอคติจากหลายคนในสังคม กับคำถามมากมายที่ไม่อยากจะตอบ…

แล้ววันหนึ่งหากเขาตัดสินใจไปทำงานในบริษัทสตาร์ทอัพนอกวงการแฟชั่น ก็จะถูกครอบด้วยอคติหรือมุมมองเดิมๆ ที่สังคมมีต่อเพศที่สามหรือเปล่า?





… แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นสิ่งที่เขาต้องออกไปเผชิญหน้า





เรื่องที่ทำงานน่ะยังไม่เท่าไหร่หรอก… เพราะพอคิดไปถึงที่บ้าน (ที่ยังคาดหวังว่าเขาจะแต่งงานกับแคท) เมื่อเห็นข่าวนี้แล้ว แดริลก็นึกอยากจะหายตัวไปจากโลก





“ฉันไม่กลับดีซีอีกแล้วได้ไหม…” เจ้าตัวโอดครวญเบาๆ ...

“....นี่อย่าบอกนะว่า… จนป่านนี้พวกนายยังคบเป็นแฟนหลอกๆ กันอยู่อีกเหรอ?” คิ้วสีทองเลิกขึ้นสูง ท่าทางคล้ายไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก...





ร่างที่ผอมกว่าพยักหน้าช้าๆ ให้กับคำถามดังกล่าว ท่าทางดูเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด มือหนึ่งหยิบมีดทำครัว อีกมือหยิบของสดวางบนเขียง เริ่มหั่นผักด้วยสายตาเลื่อนลอย

“...ฉันกลับบ้านไม่ได้อีกแล้ว พ่อต้องเอาปืนมายิงฉันแน่”

วินเซนต์เห็นแล้วก็นวดขมับ แย่งมีดในมืออีกฝ่ายไปวางไว้ให้ไกลๆ ก่อน ถึงจะเอ่ยปากไล่

“หั่นแบบนี้เดี๋ยวก็บาดนิ้วกันพอดี ไปนั่งตรงนั้น ฉันทำให้”





แดริลพยักหน้าอย่างว่าง่าย ในหัวยังคงติดอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง เขาหย่อนก้นลงบนโซฟา เหม่อมองเพดานแบบคิดไม่ตก





รู้ตัวอีกทีก็มีจานออมเล็ตสอดไส้ผักหอมฉุยมาวางตรงหน้า… หน้าตาดูไม่น่ากินเอาเสียเลยแต่ก็ดูเหมือนจะกินได้… วินเซนต์นั่งลงข้างๆ เงยมองเพดานเป็นเพื่อนกัน





“พ่อนายเหยียดเพศที่สามนี่นะ…”

“ใช่”

“แม่ก็คลั่งพระเจ้า”

“...ใช่”





แดริลปิดหน้าเครียด





“ไว้ฉันจะกลับไปกับนายด้วย… ยังไงซะคนที่ทำให้นายเป็นเกย์แต่แรกก็ฉันนี่?” วินเซนต์ยกยิ้ม พลางพูดจาติดตลก “ฉันฮอตมากจนหลังจากที่นายลองกับฉันในห้องล็อกเกอร์ไปวันนั้นแล้วนายก็ไม่สามารถคิดอะไรกับสาวๆ ได้อีกเลยไงล่ะ”





คนกำลังเครียดเงยหน้ามองคนพูดมาได้ไม่อายปากทั้งขอบตาแดงๆ





“....พ่อจะยิงนายด้วย”

วินเซนต์หัวเราะเบา จับมือชายหนุ่มอีกคนไว้หลวมๆ ดึงขึ้นมาแนบจูบลงบนหลังมือ

“มันจะไม่เป็นไร เชื่อฉันสิ”





แดริลไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเอาอะไรมามั่นใจ… และก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมั่นใจ แต่คำพูดนั้นก็ช่วยให้อุ่นใจขึ้นไม่น้อย

“หลายๆ ทีนายก็คิดมากเกินไป นายชอบคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก่อนที่เรื่องมันจะเกิด” วินเซนต์พูดด้วยน้ำเสียงปกติ มองไปทางชายหนุ่มผมดำด้วยสายตาไม่บ่งบอกอารมณ์

“...กลับกัน นายน่ะคิดน้อยเกินไป” แดริล

“ช่วยไม่ได้ ฉันชอบเอาเวลาไปลงมือทำมากกว่านั่งกังวล” วินซ์ตอบทั้งยกยิ้มขำเบาๆ “ตอนนี้คิดไปแล้วช่วยอะไรไหมล่ะ?”





คนฟังมุ่นคิ้ว แล้วส่ายหน้า





“ไม่ต้องไปคิด แล้วทำให้ดีที่สุด” ฟังแล้วก็รู้สึกว่าคำพูดคำจาสมเป็นวินเซนต์ ซัมเมอร์เหลือเกิน…





แดริลเพียงพยักหน้ารับช้าๆ ตักออมเล็ตที่เริ่มจะเย็นแล้วกิน เคี้ยวไปก็เหมือนจะเจอเศษเปลือกไข่อยู่เล็กน้อยแต่ก็จัดว่ายังกินได้…





“อาจจะเป็นจังหวะที่ไม่ดีนัก แต่ฉันต้องไปทำงานนอกเมืองสัก2-3วัน…นายอยู่ได้ใช่ไหม?” เจ้าของร่างสูงใหญ่เอ่ย ก่อนจะลุกไปจัดการเก็บกวาดซากอารยธรรมในครัวแบบลวกๆ แดริลเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกเหมือนอารมณ์ดิ่งลงไปอีก แต่ปากกลับบอกว่า...

“ไปเถอะ”





วินเซนต์ไปทำงานทีนึงได้เงินตั้งเท่าไหร่ จะมารั้งให้เขาอยู่อะไรกับแค่เรื่องดราม่าแบบนี้ล่ะ…





“ฉันจะรีบไปรีบกลับ” ร่างสูงใหญ่พูดออกมาขณะจัดการกับกระทะที่เจ้าตัวเพิ่งใช้ทอดไข่ไปเมื่อครู่ ประโยคดังกล่าวฟังดูคล้ายคำสัญญา… ประโยคนั้นไม่ได้ถูกพูดอย่างอ่อนโยน ไม่ได้ให้ความรู้สึกหวานซึ้ง





มันก็เป็นแค่คำพูดเรียบง่าย ที่พูดออกมาอย่างง่ายๆ ตามแบบของวินซ์… แต่แค่นี้ก็กลับทำให้ในใจรู้สึกอุ่นร้อนขึ้นอย่างประหลาดแล้ว…





…………..





สายตาของทุกคนพร้อมใจกันลอบมองชายหนุ่มด้วยแววประหลาดใจ เหมือนเต็มไปด้วยคำถามและความสงสัย… แต่เจ้าตัวก็ทำเป็นไม่เห็นและไม่ใส่ใจ ก้าวขายาวๆ มุ่งไปขึ้นลิฟต์ ถึงชั้นสามก็ตรงดิ่งไปทางห้องทำงาน





… แต่อนิจจา ระหว่างทางดันเจอเดวิด โจนส์ ซะได้





วันนี้มิสเตอร์โจนส์แต่งตัวโกนหนวดเครามาเรียบร้อย เพราะเป็นวันที่หนึ่งในนักลงทุนจะมาที่บริษัท… เพราะช่วงนี้เป็นช่วงใกล้ระดมทุนรอบหน้า ก็จะต้องต้อนรับกันบ่อยเสียหน่อย



สองคนยืนประจันหน้ากัน จะหลบไม่ทักก็ไม่ได้ เดวิดก็ดูเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่กล้าพูด ทำให้บรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนใจ





“อรุณสวัสดิ์ครับคุณโจนส์” แดริลเป็นฝ่ายตัดสินใจทำลายความเงียบอันน่าอึดอัด ยกยิ้มเล็กน้อยที่ดูเป็นธรรมชาติ

“อ...อ้อ...อรุณสวัสดิ์เชน เอ้อ วันนี้เป็นไงมั่ง” ท่าทางยิ้มเกร็งๆ นั่นทำให้รู้สึกไม่สบายใจเท่าใดนัก





ความเป็นไปได้มีสองทาง เพราะสงสัยว่าเขาเป็นเกย์ ไม่ก็วางตัวไม่ถูกเพราะเรื่องแคทประกาศตัว..





“ก็สบายดีครับ… ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ”

“อืม ดีแล้วล่ะ ดี” ผู้ชายสายไอทีคนนั้นยกมือขึ้นตบบ่าเขาสองที ท่าทางดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย “เอ้อ… วันนี้งานเยอะมาก ฉันไปเคลียร์ก่อนนะ”





ปกติจะยืนคุยกันนานกว่านี้แท้ๆ … วันนี้เล่นตัดบทชิ่งเอาดื้อๆ แบบนี้เลยนะครับ…





“ครับ ไปเถอะ ผมก็ต้องทำงาน” ชายหนุ่มยกยิ้มบาง เรื่องโดนซุบซิบสงสัย… มันห้ามกันไม่ได้อยู่แล้ว





จู่ๆ หูก็ได้ยินเสียงส้นสูงที่กระทบพื้นแว่วๆ …. หันหลังไปอีกทีก็เจอกับมิสวีที่ยืนกอดอกอยู่ในชุดสูทกระโปรงทรงเอยาวเหนือเข่า กับถุงน่องโทนสีดำ





“เชน อ๊อฟฟิศฉัน ตอนนี้” พูดแล้วยังปรายหางตามอง ‘จิก’ ผู้ชายที่นานๆ จะยอมแต่งตัวหล่อเนี๊ยบที่กำลังย่องหนีไปอีกด้วย “...ตั้งใจทำงานล่ะคุณโจนส์”





เจ้าของชื่อเกาหัว ถอนหายใจออกมาแล้วโบกมือให้ไล่หลัง





“คร้าบ คร้าบ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” ชายหนุ่มบ่นพึมพำอะไรบางอย่างที่แดริลไม่ทันฟัง แต่คิดสงสัยไม่นานเขาก็โดนลากไปนั่งในออฟฟิศCEOซะแล้ว….




ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
บทที่ 14 (2/2)


“ข่าวเมื่อวาน…” ยังนั่งไม่ทันติดเก้าอี้ หญิงสาวก็เปรยขึ้นแล้ว “...เรื่องแคทเธอรีนน่ะ”

“อืม เธอบอกผมล่วงหน้าแล้วล่ะครับ ยังไงก็ไม่กระทบแบรนด์เราหรอก ผมว่าอาจจะเป็นผลดีกับWorking Womanด้วยซ้ำ” ชายหนุ่มยิ้มบาง หากแต่เป็นยิ้มที่ดูคล้ายสวมหน้ากากชอบกล

“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น… ฉันห่วงเธอต่างหาก”





ดวงตาสีฟ้าหลุบมองพื้น ระบายลมหายใจยาว





“มิสเวส… ผมเป็นCMOตั้งแต่อายุยังน้อยมาก ข้อนี้ผมรู้ดี… และผมมีอะไรที่ต้องทำเพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกหลายอย่าง… เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ” เปลือกตาปิดลงเพื่อซุกซ่อนความไม่สบายใจที่เกิดเพราะเรื่องนี้จนมิด “ผมรับมือได้”

“...แดริล”





เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นไปทั่ว… เมื่อดวงตาคู่นั้นเปิดขึ้นอีกครั้งก็ไร้ซึ่งวี่แววกังวลใจ ชายหนุ่มเพียงขยับยิ้มบาง

“ผมไม่เป็นไร”

“ฉันแค่อยากให้เธอรู้ไว้… ว่าสายตาที่มองเธอแบบสงสัย บางทีพวกเขาก็แค่สงสัยจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาอื่น แบบเดวิดนั่นตอนแรกก็เข้าใจไปว่าเธอโดนแคทเธอรีนหลอกด้วยซ้ำ”

ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้





“แล้วบริษัทเราก็มีนโยบายต่อต้านเรื่องการเหยียดเพศอย่างเด็ดขาดอยู่แล้ว… คนที่เป็นเกย์แบบเปิดเผยก็หลายคน เรื่องแค่นี้ไม่กวนใจใครหรอก” หญิงสาวยังคงมีสีหน้ากังวลใจขณะกล่าว

“อืม ผมเข้าใจ” เจ้าของร่างสูงพยักหน้ารับพร้อมกับตอบ ไม่ใช่เขาไม่เข้าใจหรอก แต่การโดนตั้งคำถาม เป็นใครมันก็น่าจะรู้สึกอึดอัดทั้งนั้น “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”





ชายหนุ่มตอบทั้งรอยยิ้ม ก่อนจะขอตัวกลับออกมาทำงาน มิสเวสยังคงมีสีหน้าไม่วางใจนักแต่ก็ยอมปล่อยเขาไป





ขณะที่เดินออกมา ก็เห็นกลุ่มคนกำลังยืนดูทีวีในห้องพักกันอยู่ บนจอข่าวคือรายการทอล์กโชว์ที่ออกอากาศในช่วงเช้า เป็นบทสัมภาษณ์ของแคทเธอรีนกับนักข่าวสาว





หัวข้อนี้ดูจะเป็นที่สนอกสนใจในออฟฟิศ เพราะแคทไม่ใช่คนไกลตัวสำหรับพวกเขา จนกึงทุกวันนี้แคทเธอรีนก็ยังเป็นพรีเซนเตอร์ให้แบรนด์ WW (Working Woman) อยู่





“โอ้โห คบกันมาตั้งแต่สมัยไฮสคูลแบบนี้ไม่อึดอัดแย่เหรอคะเนี่ย” พิธีกรสาวถามซุเปอร์โมเดลคนดังที่นั่งคลี่ยิ้มไม่มากไปไม่น้อยไป แสดงให้เห็นว่าหล่อนคุ้นชินกับการออกหน้ากล้องขนาดไหน

“ก็มีบ้างค่ะ แต่ทั้งแรงกดดันจากสังคม ทั้งเรื่องทางบ้าน ก็เลยจำเป็นต้องปิดบังมาตลอด”

“แล้วนึกยังไงถึงตัดสินใจเปิดตัวคะ” พิธีกรสาวผมแดงถามต่อ หากจำไม่ผิดหล่อนยังเป็นนักข่าวสายบันเทิงอีกด้วย

“เพราะฉันอยากส่งข้อความออกไปให้ทุกคนที่รักร่วมเพศเหมือนกับฉันค่ะ ว่ามันไม่ใช่เรื่องผิด เราไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน และฉันก็ภูมิใจในตัวคนรักของฉันมากๆ จนไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมต้องเก็บเรื่องของเธอไว้เป็นความลับค่ะ”





หญิงสาวผมบรูเนตต์เผยยิ้มเห็นฟัน ดูมีความสุขไม่น้อยเวลาได้พูดถึงแอชลีย์





“โอ้โห--” ยังไม่ทันฟังนักข่าวสาวจบประโยค สองขาเขาก็พาตนเองออกจากบริเวณนั้นจนไม่ได้ยินส่วนที่เหลือของบทสัมภาษณ์แล้ว





แดริล เชน ไม่ได้กลับออฟฟิศของตนเอง เขากลับเข้าลิฟต์กดขึ้นชั้นบน ขึ้นดาดฟ้าไปจุดบุหรี่สูบ… ปล่อยควันสีเทาให้ลายขึ้นฟ้าจนกลมกลืนไปกับสีเทาของมลพิษในเมืองใหญ่... เขามีเรื่องให้ต้องคิด





ในจังหวะนั้นที่ได้ยินเสียงริงโทนดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือ หยิบมันขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเบอร์จากที่บ้าน ซึ่งเขาไม่อยากจะเห็นมากที่สุดในตอนนี้





ชายหนุ่มมองมันอยู่ครู่หนึ่ง…





ถึงเวลาต้องเผชิญหน้ากับความจริง สิบสองปีมันนานเกินไปแล้ว





“... ครับ แดริลพูดอยู่” ชายหนุ่มกดรับสาย ยกสมาร์ทโฟนขึ้นแนบหู

“แกเห็นสัมภาษณ์รายการตอนเช้าหรือยัง นี่มันเรื่องอะไรกัน เพื่อนบ้านเขาพูดกันให้ทั่ว พวกแกเล่นอะไรกันอยู่ บอกฉันสิว่านี่มันแค่เรื่องลวงโลกที่พวกแกกุขึ้นเพื่อขายของเฉยๆ ” ยังไม่ทันจะได้ทักทายก็เจอประโยคยาวที่พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะบีบคั้น





อาจจะเป็นเพราะแถวบ้านล้วนคาดหวังงานวิวาห์ระหว่างเขากับแคทเธอรีนในอีกไม่นาน… พอเกิดข่าวใหญ่แบบนี้เข้าเลยวุ่นวายกันไปหมด





“เป็นเรื่องจริงครับพ่อ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “แคทเป็นเลสเบี้ยน”

“ว่าไงนะ!!” เสียงนั่นแทบจะเป็นเสียงตะคอก “แกโดนแม่นั่นหลอกมาตลอดงั้นเรอะ!! แบบนี้แกจะยอมไม่ได้นะ”





แดริลฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักใจ… ดวงตาสีฟ้าหลุบลงต่ำ รู้สึกเหมือนฝันร้ายที่สุดในชีวิตกำลังดำเนินไป ณ ขณะนี้





“พ่อ….”

“แกต้องออกสื่อบ้าง! ประจานเลสเบี้ยนน่ารังเกียจนั่นให้โลกรู้ธาตุแท้ของคนพวกนี้”

“พ่อครับ…”

“อะไร!!”

“..... ผมเป็นเกย์”





สิ่งที่ตามมาคือความเงียบอันน่าอึดอัด บุหรี่ที่ปลายนิ้วยังคงมอดไหม้กลืนกินกระดาษขาวไปเรื่อยๆ





“ชีวิตนี้… แกไม่ต้องโผล่หน้ากลับมาให้ฉันเห็นอีก”





สายถูกตัด…





บุหรี่ที่เหลือน้อยกว่าครึ่งมวนค่อยๆ ร่วงลงพื้น เปลวไฟที่ลามเลียเผาโดนนิ้วชี้ แต่แดริลเชนไม่ได้แสดงสีหน้าเจ็บปวดใด

เขายังคงยืนเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ตรงนั้นอย่างไม่เข้าใจ… ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาพยายามจะเป็นประธานนักเรียน เข้ามหาวิทยาลัยไอวี่ลีก มุ่งมั่นกับหน้าที่การงาน และเป็นคนรักที่ดี





….แต่โลกก็เหมือนจะพังลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แค่เพราะว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง

จะต้องผิดหวังกับชีวิตอีกกี่ครั้งมันถึงจะจบ?





แดริลไม่ได้ร้องไห้ เขาก็แค่ยืนนิ่งเป็นเหมือนรูปปั้นอยู่ตรงนั้น สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ และค่อยๆ ผ่อนมันออกมา ปลอบตนเองให้ใจเย็น และนึกทบทวนเรื่องงานที่ต้องทำ





จะทำอย่างไรได้ ก็มีแต่ต้องประคองตัวเองให้ผ่านพ้นวันนี้ไปได้เท่านั้นเอง...





เขารับปากมิสเวสเอาไว้แล้ว… ฉะนั้นก็มีแต่ต้องทำให้ได้





คนเป็นหัวหน้างาน จะอ่อนแอให้ลูกน้องเห็นได้อย่างไร? … หากปล่อยให้เรื่องส่วนตัวมาทำให้งานเสีย แล้วจะยังมีใครมาเคารพเชื่อใจกันอีก?





แดริล เชนเสยผมขึ้น จัดเสื้อผ้าให้ดี เหยียบก้นบุหรี่บนฟื้นให้ไฟมอดดับ เก็บเศษซากที่แตกของตนเองและประคองมันกลับไปเพื่อเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า’ชีวิต’…





……………………





ตีสองวันเสาร์ วินเซนต์ ซัมเมอร์ ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กเข้ามาในอพาร์ทเมนต์ของคนรักเก่า ในกระเป๋ากางเกงยังยัดตั๋วเครื่องบินติดมาด้วย...





ชายหนุ่มผมดำยังไม่นอน สองนิ้วคีบบุหรี่สูบอยู่นอกระเบียง ริมฝีปากได้รูปพ่นควันสีขุ่นออกจากปาก มองมันค่อยๆ จางลงและกลมกลืนไปกับอากาศที่เต็มไปด้วยมลภาวะของนิวยอร์ก





ดวงตามองตึกที่เรียงรายกันอย่างไม่เป็นระเบียบอย่างเลื่อนลอย กระทั่งร่างที่สูงใหญ่กว่ามายืนข้างๆ ถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่ามีคน





ชายหนุ่มผมดำปล่อยผมลง สวมเสื้อเชิ้ตไม่เก็บชายพับแขนเสื้อขึ้น ปล่อยตัวตามสบายจนผิดวิสัย ยืนพิงกำแพงของระเบียงด้านนอก ทั้งปากยังคาบบุหรี่

“วินซ์…” เรียกชื่อคนที่เพิ่งกลับมาแบบไม่ประหลาดใจนัก เพราะวินเซนต์ส่งข้อความมาล่วงหน้าตั้งแต่ตอนที่อยู่สนามบินแล้ว…





ร่างสูงใหญ่วางมือข้างหนึ่งลงบนกำแพง ก้มลงมองแดริลทั้งยกยิ้มขำ





“สูบบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพ” คนเพิ่งมากระซิบเบา สองนิ้วคีบมวนยาสูบที่ยังติดไฟออกจากปากเจ้าของห้อง แล้วแนบจูบลงไปแทน





ริมฝีปากร้อนที่แนบทับเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายที่เย็นเฉียบจากลมกลางคืน แดริลเผยอปาก ปล่อยให้ลิ้นของอีกฝ่ายแทรกเข้ารุกราน เกี่ยวกระหวัดจนหลุดเสียงครางในลำคอแผ่ว





“สูบฉันแทน” วินเซนต์ผละออกเล็กน้อย กระซิบถ้อยคำหยอกล้อทั้งที่ยังไม่ออกห่างไปไหน แต่อีกคนกลับไม่หือไม่อือ “อะไรกัน ทำไมวันนี้ว่าง่าย นายไม่ได้เมาใช่ไหม? ”

“เปล่า…”

“ฉันรีบกลับมาไวที่สุดแล้ว… เกิดเรื่องอะไรอีก? ”

“พ่อฉันรู้แล้ว”





วินเซนต์ขยี้ก้นบุหรี่กับที่เขี่ยซึ่งวางไว้ไม่ไกลเท่าใดนัก ก่อนจะดึงร่างที่บางกว่าเข้ามากอดหลวมๆ





“อืม”

“เขาไม่อยากเห็นหน้าฉันอีกแล้ว”

“อืม”

“...ที่ผ่านมาจะทำดีชดเชยให้ยังไงมันก็ไม่เคยพอ… แล้วแค่เพราะฉันเป็นเกย์…”

“...อืม” มือใหญ่ลูบเรือนผมสีดำเบามือเหมือนปลอบเด็ก

“นายก็เหมือนกัน… นายก็ทิ้งฉันด้วยเหตุผลเดียวกัน” มือขึ้นหนึ่งยกขึ้นวางบนหน้าผากจนปิดตาสีฟ้าไปข้างหนึ่ง แดริลรู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังควบคุมอารมณ์ไม่ได้ แต่เขาก็ห้ามมันไม่ได้ “...เพราะฉันเป็นเกย์… แล้วตอนนี้ทุกคนจะมาพูดว่ามันไม่ใช่เรื่องผิด มันไม่ง่ายไปรึไง! ”





น้ำเสียงแตกพร่าเบาๆ คนพูดก้มหน้าลงพลางส่ายหัว





“...เรื่องนั้นฉันผิดเอง ฉันขอโทษ” วินเซนต์ยังคงกอดปลอบคนพูดเอาไว้แนบอก ถึงอีกฝ่ายจะพยายามสลัดให้หลุดก็ไม่ยอมปล่อยอยู่ดี

“ที่แย่ที่สุดคือฉันเข้าใจเหตุผลของนาย… แต่ฉันก็เฝ้าถามว่าแล้วฉันผิดอะไร ซึ่งคำตอบเดียวที่ได้ก็คือฉันผิดที่เป็นเกย์” แดริลเริ่มหัวเราะเบา ปลายหางตาเอ่อคลอด้วยหยดน้ำอุ่น “ที่แย่อีกคือฉันรักนายมากไป… ก็เลยไม่เคยจะโยนความผิดให้นายได้ มันคงง่ายกว่านี้รู้ไหม ถ้าฉันสามารถคิดว่านายมันแค่ไอ้สารเลวสมควรตายคนนึง”

“ฉันมันก็เป็นไอ้สารเลวสมควรตายจริงๆ” วินเซนต์จูบเบาที่ขมับของอีกฝ่าย ยอมรับความจริงทั้งสีหน้าไม่เปลี่ยน “แต่พูดตามตรงฉันชอบนายที่เป็นแบบนี้…”





“...แบบไหนกัน”

“ไม่เรียกร้อง ไม่พยายามชี้นิ้วหาคนผิด มีเหตุผล… แล้วก็ให้อภัยฉันเสมอ…. หลังคบกับนายแล้วฉันก็ทนคนอื่นไม่ได้พอกัน โดนนายตามใจจนเสียคนไปนานแล้ว” นักกีฬาหนุ่มวางคางลงบนไหล่ของร่างที่เล็กกว่า ถอนหายใจออกมายาวๆ “ฉันจะไม่พูดบ่อยๆ หรอกนะ ฟังดีๆ ล่ะ…”





“ฉันรักนาย”





แดริลถึงกับนิ่งไป… เพราะประโยคนี้ อีกฝ่ายไม่เคยพูดมาก่อน





คบกันสองปีกว่า… โดนลากขึ้นเตียงไม่รู้กี่ครั้ง จนกระทั่งกลับมาพบกันใหม่ ก็เพิ่งจะได้ยินจากปากของวินเซนต์วันนี้ เหมือนลำดับความสัมพันธ์อะไรหลายๆ อย่างมันจะสลับกันแปลกๆ ... แต่อันที่จริงตัวเขาเองก็ใช่จะพูดเยอะนัก





นั่นทำให้ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้… เพราะไหนๆ ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว...



“...นายวางแผนจะเกษียณเมื่อไหร่?” แดริลเอ่ยปากถาม

“สามสิบ… ช่วงนี้ฉันเตรียมเงินกับเตรียมเริ่มอาชีพด้านวงการบันเทิงอยู่ ขอเวลาฉันอีกสองปี… ฉันยังอยากทิ้งชื่อไว้ให้เป็นตำนานของวงการอเมริกันฟุตบอลก่อนจะบอกลามัน”

“... อย่างนั้นอีกสองปีเราค่อยกลับมาคบกัน”





วินเซนต์ยิ้มกว้างจนน่าหมั่นไส้…





“นายรับปาก?” วินซ์

“...มาถึงขั้นนี้แล้วฉันก็รู้สึกว่าตอนนี้ก็เหมือนคบกันอยู่ ต้องรับปากจริงๆ เหรอ?” …. แดริลมองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์… ทั้งหน้าด้านมานอนค้าง เอากุญแจสำรองไปไม่คืน เผลอเป็นลวนลาม….





“แปลว่านายจะเลิกไปเดทกับคนที่เลี้ยงกาแฟนายคนนั้นแล้วใช่ไหม”





ฉันไม่เคยเดทกับหมอนั่น… และมันไม่มีอะไรตั้งแต่แรกนอกจากการคุยถกกันเรื่องวรรณกรรมยุคคลาสสิค…….

แดริลคิดในใจ… แต่ก็ตัดสินใจไม่พูดออกไป

“เขาเป็นแค่เพื่อนคนนึง… เหมือนกับลี กับมาร์คัส” แดริล

“ที่นายเจอผ่านแอปหาคู่? ” วินซ์

“แอปพวกนี้บางทีก็ใช้หาเพื่อนได้” แดริล

“ถ้าฉันโหลดมาใช้ ‘หาเพื่อน’ บ้าง? ” วินซ์

“..... นึกอยากคืนกุญแจอพาร์ทเมนต์ฉันแล้วใช่ไหม วินเซนต์” แดริล





วินเซนต์หัวเราะ ก้มลงพรมจูบบนใบหน้าที่มีสีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน





“เพื่อนฉันเยอะแล้ว… แต่นายแน่ใจจริงๆ นะว่าจะรอสองปี? ”

“อืม… ฉันสบายใจกว่า”

“รู้อะไรไหม… ฉันไม่ใช่คนขี้แพ้ไม่ได้เรื่องขนาดที่จะล้มเหลวหรือผิดหวังกับอะไรแล้วโทษนายหรอก… กังวลให้มันน้อยกว่านี้หน่อย สารเลวกับขี้แพ้มันไม่เหมือนกันนะ”

“....อืม” แดริลวางหน้าผากลงบนไหล่ของอีกคน หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้ากับหลายๆ เรื่อง “จะพยายาม”

“พานายไปอาบน้ำนอนดีกว่า” ไม่พูดเปล่ามือสากกร้านยังเลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ บีบบริเวณสะโพกจนเจ้าของร่างสะดุ้ง แล้วถึงจับอุ้มตัวลอยพาเข้าอพาร์ทเมนต์







คนถูกอุ้มบ่นเบา แต่ไม่กล้าขัดขืนเพราะกลัวจะได้ร่วงลงกระแทกอะไรสักอย่างในห้อง พอลงยืนกับพื้นได้แล้วชายหนุ่มก็พึมพำอะไรบางอย่าง เสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน





“หืม? นายว่าไงนะ” วินเซนต์เลิกคิ้วถามหน้าซื่อๆ คนที่ไม่อยากพูดซ้ำเริ่มจะแก้วขึ้นสี เบือนมองไปทางอื่น





“...บอกว่าคืนนี้ไม่ต้องนอนโซฟาแล้วก็ได้...”



---------------------------------

สวัสดีค่ะ ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะคะ (; v ; / เราได้ไปแก้ใส่NCเพิ่มแล้วค่ะ (...) /เด๋ออยู่ตั้งนาน

สำหรับติดตามข่าวและภาพประกอบนิยายสามารถติดตามได้ที่ช่องทางทวิตเตอร์ @anonymmeow กับเฟสบุคนะคะ https://www.facebook.com/anonymouslycatwrite/?ref=br_rs


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
บทที่ 15 Acceptance (1/2)

   หลังเซ็นสัญญากันสองฝ่าย แคมเปญก็เป็นอันเริ่ม เดือนที่ผ่านมาทั้งเดือนจัดว่าเป็นช่วงวุ่นวายในที่ทำงาน

   เดดไลน์อีเวนท์ใหญ่นับถอยหลังวันเข้าไปทุกที จนกระทั่งอาทิตย์หน้าก็จะถึงวันดีเดย์ ไม่แปลกว่าทำไมช่วงนี้บิลมีท่าทีคร่ำเครียดเป็นพิเศษ แดริลเองก็วุ่นกับการดีลงานพีอาร์พอๆกัน งานของบิลมหาศาลเกินไปแล้วจนเขาต้องแบ่งมาทำส่วนหนึ่ง

   หลังผ่านไปสองอาทิตย์จากการประกาศขอแต่งงานของแคทเธอรีน สายตาประหลาดที่มองมาทางชายหนุ่มก็เริ่มลดน้อยลง และเขาปฏิเสธที่จะตอบแทบทุกคำถามที่โดนถาม ถ้าไม่บ่ายเบี่ยงไปเรื่องงาน ก็แค่บอกไปตรงๆว่าไม่สะดวกใจที่จะตอบ แค่นี้ก็ไม่มีใครกล้าเซ้าซี้แล้ว

   แต่เสียงเล่าลือกระซิบกระซาบเรื่องที่เขาเป็นเกย์ก็ยังคงอยู่ และดังให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ… แต่ชายหนุ่มเลือกที่จะเมินเฉยต่อมัน

   และเพราะแคมเปญเริ่มแล้ว วินเซนต์ก็ดูวุ่นวายมากขึ้นพอสมควรในช่วงนี้เพราะต้องเข้าสตูดิโอถ่ายแบบโฆษณา และวางแพลนการเล่นเกมกับทีมและเกรกเกอรี่ นอกจากแคมเปญนี้แล้วเจ้าตัวก็ยังไปรับงานมาอีกมากมาย… รวมถึงถ่ายแบบกางเกงในเซตสอง...

   ชายหนุ่มเหม่อมองเพดานอย่างไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี วินเซนต์ก็เป็นคนหน้าด้านตามประสาวินเซนต์ ให้ขายอะไรที่มันหนักกว่านี้อีกฝ่ายก็คงไม่อายหรอก

   ยิ่งมีไอดอลเป็นเทอรี่ ครูวส์ ที่ขายโอล์ดสไปซ์นั่นแล้วด้วย…

   หลังจากกลับมาจากการออกไปกินข้าวกับทีม ชายหนุ่มยังมีเวลาพักเที่ยงเหลือเล็กน้อยก็เลื่อนมือถือไปเรื่อยเปื่อย เข้าเว็บอีคอมเมิร์ซชื่อดังที่ตนเองเคยทำงานเพื่อหาโซฟาดีๆสักตัว… แล้วสุดท้ายก็เปลี่ยนใจไปดูอิเกียแทน

   โซฟาปัจจุบันเก่าและเล็กเกินไปแล้ว ทางที่ดีควรหาเป็นโซฟาเบ้ดตัวใหญ่ๆที่ยาวสักสองเมตร…

   จังหวะนั้นเองที่เดวิด โจนส์ มาเคาะประตูเรียก.. ชายหนุ่มที่วันนี้แต่ตัวเนี้ยบเป็นพิเศษโผล่หน้ามาทักด้วยน้ำเสียงและท่าทางปกติ

   “นายได้ข่าวเรื่องที่นักลงทุน ‘คนนั้น’ มาแล้วใช่ไหม” แดริลเงยหน้าขึ้นจากภาพขอโซฟาเบ้ดสีเทาที่ดูจะนอนสบาย ขึ้นมามองคนทัก
   “ครับ นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่วันนี้คุณสบายตาเป็นพิเศษนี่…” พูดจบแล้วก็กวาดสายตาไล่มองตั้งแต่ทรงผมที่จัดด้วยเจล ชุดสูทที่แม้จะราคาไม่แพงแต่พอเดวิดใส่แล้วมันก็ดูแพง รองเท้าหนังขัดเงามันวับ กับนาฬิการาคากลางๆค่อนไปทางสูง และเนกไทที่เป็นลายปกติ ไม่ใช่ลายเพี้ยนๆแบบที่ปกติเจ้าตัวชอบใส่
   “เฮ้ บอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันชอบสาวๆเท่านั้น” เดวิดถูกมองไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้านานเข้าก็ดูทำท่าไม่ถูกอยู่บ้าง ถึงจะไม่ได้เหยียดเพศแต่มันก็มีการแสดงออกบางอย่างที่แตกต่างออกไปอยู่ดี..
   “ครับ ผมก็ชอบคนที่สระผมเป็นประจำเหมือนกัน” แดริลยิ้มเย็น ดูไม่ออกก็แย่เต็มทนแล้วว่าคุณน่ะมันชายแท้ทั้งแท่ง…
   “อะไรกัน ฉันช่วยโลกโดยการสระผมให้น้อยลง สารเคมีจะได้ปนเปื้อนสภาพแวดล้อมน้อยลงอยู่นะ”
   … ข้ออ้างชัดๆเลยครับ

   “เรื่องนั้นน่ะช่างมันแล้วกันครับ… คุณมาถามแบบนี้มีอะไรรึเปล่า” คิ้วสีดำเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงตั้งคำถาม
   “จริงๆก็ไม่มีอะไรมาก ยังไงซะเขาก็นับว่าเป็นคนดัง… ในเรื่องฉาวๆน่ะนะ ก็พอรู้หรอกว่าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทแม่เราด้วย แต่ก็ไม่เคยเจอ เลยจะมาถามนายนี่ล่ะว่าเคยเจอไหม” เดวิดถามจบ CMOหนุ่มก็ลูบคางครุ่นคิดสักพัก
   “อันที่จริงตอนฝึกงานก็เคยเห็นอยู่ครั้งเดียวครับ เป็นคนที่ทำให้คิดว่า… สวยดี… แต่ไม่น่าเข้าใกล้เท่าไหร่” เห็นเบอร์หนึ่งฝ่ายไอทีทำหน้าว่างเปล่าก็รีบเสริมทันที... “สวยแบบผู้ชายน่ะครับ คุณอาจจะไม่เข้าใจ”
   “...ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก ถึงวันๆฉันจะฝังหัวอยู่กับคอมพ์ ชั่วดียังไงฉันก็ทำงานบริษัทแฟชั่นนะ”
   “....ครับ” น่้ำเสียงและสีหน้าของแดริลมีแต่ความไม่ค่อยจะเชื่อนัก “แต่เหมือนมาคราวนี้มิสวีบอกรับมือคนเดียวได้ รีพอร์ทก็ยังใช้ของสิ้นเดือนที่แล้ว พวกเราคงไม่ต้องคุยหรอกมั้งครับ”
   “อันที่จริงที่ถามเนี่ย คือ… รู้แล้วนายก็อย่าไปบอกใครล่ะ คือญาติฉัน… ลูกพี่ลูกน้องน่ะ ทำงานให้กับคนคนนั้น เป็นเลขาน่ะ”
   
   แดริลเลิกคิ้วเล็กน้อย ก็เหมือนจะเคยเห็นชายร่างผอมสูงใส่แว่นเดินเร่งๆตามอยู่หรอกนะ…

    “เป็นห่วงสินะครับ?” พูดออกไปแล้วผู้ฟังก็พยักหน้ายอมรับ
   “นายก็รู้ ว่าคนคนนั้นน่ะข่าวฉาวๆเยอะจะตายไป”

   ...อืม ก็ใช่ ตั้งแต่นอนกับผู้หญิงผู้ชายไม่เลือกยันลือกันว่าเป็นเอดส์..
   
   “ไม่ลองโทรคุยกับญาติดูล่ะครับ”
   “ที่บ้านเคยคุยด้วยแล้ว เจ้าตัวก็บอกว่ารับมือได้…” แค่ดูท่าก็รู้แล้วว่าคุณโจนส์ไม่ค่อยเชื่อนัก

   บ่นขิงข่าอีกเล็กน้อยเดวิด โจนส์ ก็ยอมออกจากห้องทำงานเขาเพื่อไปทำงานต่อ แดริลไม่ได้ใส่ใจอะไรเรื่องที่นักลงทุนคนสำคัญเดินทางมาเยี่ยมเยือนมากนัก แม้จะนึกประหลาดใจอยู่บ้างก็ตาม

   ช่วงบ่ายเป็นเวลาพัก ชายหนุ่มขึ้นดาดฟ้าไปสูบบุหรี่เพิ่มมลพิษให้สังคมและคลายเครียดเช่นเคย… ช่วงนี้เวลาอยู่บ้านตัวเองเขาไม่สามารถจะสูบได้เพราะคนที่ก็รู้ๆกันอยู่ว่าใคร หยิบซองบุหรี่กับไฟแช็กออกมาทีไรก็จะลงเอยที่ปากเกือบจะระบม

อันที่จริงเขาก็แค่สูบเวลาเครียดและเวลางานเดือดเท่านั้นเอง.. ทั้งยังออกกำลังสม่ำเสมอและระวังเรื่องอาหาร แต่วินเซนต์เหมือนจะบ้าสุขภาพยิ่งกว่าเสียอีก…

   แก้มขึ้นสีเล็กน้อยขณะที่จุดบุหรี่สูบ เหม่อมองบิลบอร์ดต่างๆที่สามารถเห็นได้จากบนดาดฟ้า จนกระทั่งหูได้ยินเสียงประตูด้านหลัง ไม่ใช่เสียงดังปึงปัง แต่ด้วยความที่บานประตูมันเก่าจนสนิมขึ้นแล้ว เปิดทีก็จะได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าด

   แดริลไม่ได้มีท่าทางแปลกใจ ปกติดาดฟ้าตึกก็ถูกใช้เป็นโซนสูบบุหรี่อยู่แล้ว ถึงลมพัดแรงหน่อยแต่ยืนหลบๆหลังแทงก์น้ำก็พอจะช่วยได้อยู่...
   คนที่เพิ่งมาใหม่เดินมายืนข้างๆ ร่างที่ค่อนข้างผอมสวมโค้ตยาวมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ล้วงกล่องบุหรี่ยี่ห้อแพงออกมา ก้มลงดึงมวนยาสูบด้วยริมฝีปากออกมาจากซอง

   มือสีซีดตบตามกระเป๋าเสื้อโค้ตเพื่อหาบางสิ่ง เหมือนจะหาไม่เจอจึงหันมาหาคนข้างๆแทน...
   “สายัณห์สวัสดิ์… เธอพอมีไฟแช็กให้ฉันยืมบ้างไหม?” เสียงนั้นค่อนข้างสบายหู ฟังดูเนิบนาบไม่รีบร้อนอยู่ในที ตอนแรกแดริลยังไม่ได้ไปหันมองว่าผู้มาใหม่คือใคร แค่พอเห็นเท่านั้นก็แทบจะสะดุ้ง

คนคนนั้นคือนักลงทุนรายใหญ่ของบริษัทคนเดียวกับที่เดวิดเพิ่งพูดถึงไปเมื่อครู่… คุณแบล็ควู้ดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นที่รักของนักข่าวคอลัมน์ซุบซิบคนดัง โดยเฉพาะพวกข่าวฉาวๆดูเหมือนจะไม่เคยไกลตัวชายคนนี้เลย แถมนักข่าวถามอะไรเจ้าตัวก็ไม่เคยปฏิเสธ

   ทำผู้หญิงท้อง?
   ก็อาจจะ ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ฉันคุมกำเนิดตลอดนะ

   เป็นเอดส์?
   ไม่รู้สิให้ฉันไปถามหมอก่อน

   ดื่มเลือด?
   รสชาติมันก็มีกลิ่นเหล็กหน่อยๆ...
   
   ควงผู้ชาย?
   อืม ผู้ชายก็ไม่เลวหรอก

   และเพราะชอบตอบอะไรแบบนี้ ข่าวลือก็ยิ่งโหมกระหน่ำเป็นอะไรแปลกพิสดารตั้งแต่เป็นคันนิบาลยันมีลูกลับๆอยู่ในสำนักนางชี

   แต่เจ้าตัวก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจ ตอบคำถามแบบที่ทั้งไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เดินหน้าออกงานสังคมต่อไปแบบไม่แคร์สื่อ… ตามประสาคนมีเงินที่จะทำอะไรก็ได้

   ใบหน้าที่สวยในแบบของผู้ชายกับการทำท่าเรียบเรื่อยราวว่าเขามีเวลาทั้งโลกอยู่ในกำมือทำให้ดูน่าอิจฉา หากแต่แม้จะกำลังยิ้ม ทว่าบรรยากาศกลับไม่ชวนให้รู้สึกอุ่นใจน่าเข้าใกล้สักนิดเดียว

   “...มีครับ” เห็นคาบบุหรี่ที่จุดแล้วกันอยู่โต้งๆแบบนี้ คำถามนั้นไม่ใช่ต้องการคำตอบ แต่เป็นการขอยืมต่างหาก แดริลล้วงกระเป๋าเสื้อ หยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดยื่นให้อีกฝ่าย ที่ก็ก้มตัวลงน้อยๆเพื่อให้ปลายบุหรี่แตะเปลวไฟ

ชายหนุ่มยืนมองอีกฝ่าย แพขนตาสีทองยาวต้องลมไหวน้อยๆ ผมสีแพลตินั่มบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าจาง ประกอบกับผิวที่ซีดคล้ายไม่ค่อยได้ต้องแดดดูตัดกับสีดำของชุดที่สวมใส่จนเห็นได้ชัด จู่ๆดวงตาสีฟ้าจางก็เหลือบมองขึ้นมา ทำเอาแดริลที่กำลังพิจารณามองอีกฝ่ายถึงกับสะดุ้งไปเล็กน้อย

“มีอะไรติดหน้าฉันหรือไง คุณเชน?” คุณแบล็ควู้ดยกยิ้มขำ ในดวงตาคู่โตแฝงแววหยอกล้อขบขัน
“...เปล่าครับ” แดริล เชน ชักมือกลับ เก็บไฟแช็ก แล้วก็ต้องเลิกคิ้วประหลาดใจเล็กน้อยกับบางอย่างในประโยคเมื่อครู่ “คุณรู้ชื่อผมด้วยรึครับ”
“อืม… ถ้าฉันจะไม่รู้อะไรเลยในบริษัทที่ตัวเองลงทุนคงจะประหลาดน่าดูนะว่าไหม?” นิ้วเรียวยาวคีบบุหรี่จรดริมฝีปากได้รูป ชายหนุ่มหลุบเปลือกตาลงเล็กน้อยจนแพนขนตายาวแนบกับแก้ม และระบายควันออกมาอย่างช้าๆคล้ายกำลังดื่มด่ำกับมัน
คุณแบล็ควู้ดดูไม่รีบร้อน มุมปากค่อยๆเหยียดรอยยิ้ม ประกอบกับสายตาแล้วดูคล้ายแมวที่กำลังหยอกหนู

“เธอเองก็คงรู้จักฉันใช่ไหม?”

คนคนนี้ทำให้แดริลเกร็งไม่น้อย หนึ่งคือเพราะสถานะนักลงทุนที่นับว่าเป็นคนสำคัญสำหรับบริษัท และอีกส่วนก็เพราะข่าวมากมายที่รายล้อมคนคนนี้… อีกทั้งหน้าตาด้วย
ตัวชายหนุ่มไม่ได้นิยมแบบคุณแบล็ควู้ด แต่หากก่อนหน้านี้มาพบกันในบาร์เหล้าและอีกฝ่ายมาชวนกลับด้วยกัน หากมองกันแค่หน้าตาก็เป็นไปได้ว่าเขาจะไป….

 “รู้สิครับ… ตอนประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อหลายปีก่อนผมก็เคยเห็นคุณครับ คุณแบล็ควู้ด” CMOหนุ่มยิ้มรักษามารยาท ค่อยๆสูบบุหรี่ของตนไปโดยไม่คิดจะรีบขอตัวไปไหน

ชายหนุ่มผมทองตอบรับเบาในลำคอ สูดควันบุหรี่อีกหนึ่งรอบ เงยหน้าขึ้นฟ้าระบายควันสีจางออกจากริมฝีปาก

อีกฝ่ายอายุมากกว่าแดริลหลายปี ทว่ารูปร่างหน้าตากลับเหมือนคนยังไม่สามสิบ ดูแทบไม่เปลี่ยนจากในปีนั้นที่เขาเคยเห็นจากที่ไกลๆสมัยยังเป็นเด็กฝึกงาน…

ใบหน้านั้นค่อยๆเบือนมองกลับมา ดวงตาสีอ่อนยังคงไว้ซึ่งแววขบขัน ปล่อยให้ระหว่างทั้งคู่เข้าสู่ความเงียบ ทว่าไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัด ชายหนุ่มผมทองวางท่าทีสบายๆและเป็นธรรมชาติ ละเลียดสูบบุหรี่ของตนไปแบบไม่รีบร้อน

ผ่านไปหลายนาที กว่าที่เขาจะยอมทำลายความเงียบ

“... ฉันจะบอกอะไรดีๆให้ฟังเรื่องหนึ่งดีไหม?” คนพูดเหยียดยิ้มมุมปาก ยกมือขึ้นกระดิกสองนิ้วเป็นเชิงส่งสัญญาณให้ขยับเข้าใกล้
“ครับ?” แดริลคล้ายโดนสายตานั่นสะกด ถึงจะดูไม่ค่อยไว้วางใจแต่ก็นึกสงสัยว่ามันเรื่องอะไรกัน เขาก้าวเข้าไปใกล้ก้าวหนึ่ง รอฟังว่ามันเรื่องอะไร..
แบล็ควู้ดโน้มตัวเล็กน้อย กระซิบเสียงเบาที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงขบขัน

“พี่ชายเธอน่ะ--”

ยังไม่ทันจบประโยค ประตูดาดฟ้าขึ้นสนิมก็ถูกเหวี่ยงเปิดออกเสียงดังเสียก่อน จนแดริลถึงกับสะดุ้งหันไปมองตามเสียงดังกล่าว

…. และคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือพี่ชายที่ไม่กลับบ้านกลับช่องและหาตัวลำบากคนนั้นของเขา… ซีมัส เชน ที่ใส่สูทดำกับเนกไทแบบไม่ค่อยจะเข้ากันเลยสักนิด หรืออาจเพราะเขาเห็นพี่ชายในชุดทหารมากไปเลยไม่ชินกับสูทก็เป็นได้

ชายหนุ่มอดีตทหารผ่านศึกหอบเบา ดูท่าทางคล้ายรีบวิ่งมามากๆ….

“คุณแบล็ควู้ด!!” ท่าทางของพี่ชายเหมือนจะฆ่าคนได้ แต่เจ้าชอบชื่อกลับหัวเราะเบาๆเหมือนกำลังสนุก
“... นั่นไง มานั่นแล้ว”

แดริลเพียงยืนมองสมาชิกในครอบครัวที่ไม่พบกันหลายปีปริบๆ ที่ผ่านมาก็มีมาแค่โปสต์การ์ดกับจดหมาย… ตั้งแต่ที่พี่ทะเลาะกับพ่อตอนจะออกจากราชการทหาร เขาก็หายหัวไปเลยแถมติดต่อได้ยากมาก

…..แล้วทำไมซีมัสถึงมาอยู่นี่?

ชายหนุ่มเพียงมองสองคนสลับกันอย่างงุนงง พี่ชายเดินย่ำเท้าเข้ามาจากนั้นก็ดึงตัวเขาออกห่างจากคุณแบล็ควู้ด

“...เขาไม่ได้ทำอะไรแปลกๆกับนายใช่ไหม”
 “.....ก็เปล่า… แล้วพี่มาอยู่นี่ได้ไง” คนงงก็ยังคงงง มองสีหน้าของเศรษฐีหนุ่มที่ยืนกลั้นขำแล้วก็คิดว่าพวกเขาน่าจะเกี่ยวข้องกัน
แล้วซีมัสผู้แหยงเกย์ไปเกี่ยวข้องกับนักลงทุนของบริษัทที่มีข่าวฉาวเรื่องมั่วกับทั้งชายทั้งหญิงไม่เลือกได้อย่างไรกัน??

   “ฉันปล่อยให้พวกเธอคุยกันก็แล้วกัน” สองนิ้วปล่อยบุหรี่ราคาแพงที่เพิ่งสูบไปได้ไม่เท่าไหร่ลงพื้น เหยียบให้ไฟมอดอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นมือข้างหนึ่งก็สอดเข้าไปหลังต้นคอของคนที่สูงกว่า ดึงซีมัสลงมาแนบจูบเบา “ฉันจะไปรอที่รถ”

   ชายผมทองกระซิบเบา ในดวงตายังคงเต็มไปด้วยแววขบขัน จากนั้นเขาก็เดินจากไปราวว่าเมื่อครู่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
   คนที่เบิกตาโพลงราวว่าโลกจะถล่มคือแดริล… เมื่อมองปฏิกิริยาของพี่ชายที่เพียงลูบแก้มเบาๆ สีหน้าเหมือนจะขัดเขินอยู่เล็กน้อยแต่ก็ดีใจอยู่ในที… นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นฟะเนี่ย!?!?!
   นิ้วชี้ยกขึ้นทั้งมือสั้น ริมฝีปากอ้าออก แล้วหุบ อ้าออก แล้วหุบแบบพูดอะไรไม่ออก หากเป็นพี่ชายที่คนเดียวกับที่เขารู้จัก ต้องตั๊นหน้าผู้ชายที่มาจูบแบบนี้ไปแล้ว

   “...พี่เป็นใคร นี่ไม่ใช่พี่… พระเจ้า เอาพี่ชายผมคืนมา” แดริลแทบจะหลุดมาดและโวยวายออกมา ตลอดชีวิตที่ผ่านมายี่สิบแปดปีเข้าใจว่าพี่ไม่โอเคกับรักร่วมเพศมาตลอด หัวใจน้อยๆรู้สึกได้รับการกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวงมาก

   “แดริล… นายต้องใจเย็นๆก่อน” พี่ชายจับไหล่ของคนกำลังช็อกเขย่าเบาๆ “นี่ฉันเอง ซีมัส”
   “....... แต่ซีมัสไม่ชอบผู้ชาย” พูดด้วยสีหน้าอย่างกับเห็นผี
   “เอ่อ… คือ… อะไรๆมันก็เปลี่ยนกันได้” ซีมัสเกาแก้มเบาๆ
   “แล้วจะผู้ชายที่ไหนพี่ไม่เลือก ดันไปเลือกรายนั้นเนี่ยนะ!!” พระเจ้าช่วย ประโยคนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแคทเธอรีนเลย… “คุณแบล็ควู้ดที่ไม่รู้เป็นเอดส์หรือเปล่า ไม่รู้มีลูกลับๆกี่คน แถมขยันมีข่าวในทางแปลกๆเนี่ยนะ!?”
   “....ก็….จริงๆฉันไม่ได้ชอบผู้ชายหรอก แต่ไม่รู้ทำไมถึง….. ช่างมันเถอะ” พี่ชายขยี้หัวตนเองเบาๆจนยุ่งเหยิง “ก็มันชอบไปแล้ว แค่นั้นล่ะ”

ออฟไลน์ anonymouslycat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
บทที่ 15 (2/2)
   “.... พ่อรู้หรือยัง” แดริลรู้สึกแทบจะเป็นลมอย่างไรชอบกล
   “ยังไม่รู้ แต่ฉันก็ใช่จะกลับบ้าน เขารู้หรือไม่ก็ไม่ต่างหรอก” คนพูดยักไหล่อย่างแสดงความไม่สนใจชัดเจน “... ตั้งแต่เห็นข่าวเรื่องแคทฉันก็อยากจะติดต่อนายมาสักพักแล้ว… แต่ไม่กล้าโทรเพราะไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรกับนายดี… ยึกยักไปมาก็เลยโดนคุณแบล็ควู้ดลากมานี่”

   แดริลมองพี่ชาย แล้วก็ถอนหายใจ ความไม่ค่อยสนใจครอบครัวของซีมัสก็ยังคงเหมือนเดิมจนน่าอิจฉา หากเขาสามารถไม่ใส่ใจได้บ้างก็คงดี

   “นายโอเคไหม เรื่องมันเป็นยังไง แคทหลอกนายหรือช่วยกันปิดบังล่ะ?”
   “...ช่วยกันปิดบัง” คนถูกถามตัดสินใจตอบตามตรง ยังไงซะนี่ก็พี่ชาย… ถึงจะเป็นพี่ชายที่ตามหาตัวยากและชอบหายหัวไปบ่อยๆก็เถอะ…
   “นานแค่ไหนแล้ว” ซีมัส
   “ก็ตั้งแต่14-15…” แดริล
   “...โห” ซีมัส
   “อืม...แคทมีแฟนสาว และจริงๆผมก็เดทผู้ชาย” แดริล

   ซีมัสนิ่งอึ้ง

   “ตั้งแต่ไฮสคูลน่ะนะ?”
   “...ใช่”

   ร่างซึ่งสูงกว่ายืนพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่...
   “...........ฉันรู้สึกเหมือนเป็นไอ้โง่เลย ขอโทษนะแดริล ที่ไม่เคยรู้เลย” ร่างสูงที่ดูแข็งแรงกำยำยกมือขึ้นเฟสปาล์มขณะนึกย้อนไปถึงหลายๆอย่างที่ตนเองเคยพูดเอาไว้สมัยยังเด็ก
“ไม่เป็นไร มันไม่ใช่ความผิดพี่สักหน่อย” 
   “แล้วนายโอเคนะ?”
   “โอเคสิ.. ผมคิดอะไรได้หลายอย่างแล้วล่ะ” ชายหนุ่มผมดำยกยิ้มเล็กน้อยให้กับคู่สนทนา “แล้วก็รู้แล้วด้วยว่าควรทำยังไงต่อ”
   “แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ… รู้ตัวอีกทีนายก็โตขนาดนี้แล้วแฮะ” พี่ชายยกยิ้มให้น้อยๆ
   “...จะสามสิบอยู่แล้วไม่โตก็แย่แล้ว” แดริล
   “นายน่ะคิดมากเกินไปมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ชอบคิดเรื่องการวางตัวในสังคม หลบเลี่ยงปัญหา อะไรของนายก็ไม่รู้ แค่ฟังฉันก็เหนื่อยแล้ว” ซีมัส
   “การที่พี่จะเรียนดีโดยไม่ถูกมองเป็นเนิร์ดได้มันไม่ง่ายเลยนะ… แต่พี่คงไม่เข้าใจหรอก สมัยนั้นพี่เป็นนักกีฬานี่นา” แดริลถอนหายใจ “ว่าแต่พี่เถอะ ซีมัส.. เรื่องคนคนนั้นน่ะ… นี่จริงจังจริงๆเหรอ”

   คนถูกถามเกาแก้มเล็กน้อย มองไปทางอื่นหลบสายตาคาดคั้น

   “... เขาไม่ได้แย่อย่างที่ทุกคนลือๆกันหรอก อย่างน้อยก็ไม่ได้ดื่มเลือด แล้วก็ไม่ได้เป็นเอดส์...”
   
   แดริลมองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์… คือเรื่องนี้มันจะดูมีปัญหาเยอะกว่าเรื่องดื่มเลือดกับเป็นเอดส์นะพี่...

   “...แต่เขาใช้คู่ควงเปลืองกว่าถุงยาง” น้องชายท้วง
   “......... เขาเลิกแล้ว” ซีมัส
   “หน้าตาพี่ดูไม่มั่นใจเลย…” แดริล
“ได้โปสต์การ์ดที่ฉันส่งมาครบใช่ไหม” พอโดนต้อนถามมากๆเข้า คนพี่เลยเปลี่ยนเรื่องมันเอาดื้อๆเสียเลย
   “ครับ... แต่พี่ควรมาหาผม ไม่ก็ใช้โซเชียลมีเดีย ไม่ใช่ส่งโปสต์การ์ดมา...” แดริลถอนหายใจ “นี่มันปีอะไรแล้ว ทำไมต้องทำตัวลึกลับติดต่อยากด้วย…”
   “นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบพวกโซเชียลมีเดีย ยิ่งทำงานสายนี้ด้วย ไม่มีตัวตนในโลกออนไลน์ชีวิตจะง่ายกว่าน่ะ อีกอย่าง ฉันก็ไม่แน่ใจว่าควรจะอธิบายหลายๆเรื่องกับครอบครัวยังไง...”
   “แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ---”
 
   จู่ๆเสียงแจ้งเตือนที่ตั้งไว้ในโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ทั้งคู่ชะงักไปเล็กน้อย จนเจ้าของมือถือหยิบมันออกมากดปิดสัญญาณแจ้งเตือน

   … ยังมีประชุมต่อ

“ผมต้องไปทำงานต่อแล้ว… ไว้วันหลังนัดกินข้าวกันไหม แล้วผมจะแนะนำคนคนนั้นให้พี่รู้จัก…”
   “เอาสิ… นี่เบอร์ฉัน หากมีเรื่องอะไรก็ติดต่อมาได้ตลอดนะ” ซีมัสยื่นนามบัตรมาให้ บนนั้นเขียนชื่อบริษัทนักสืบเอกชนแห่งหนึ่ง ชื่อเจ้าตัว และเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งชายหนุ่มก็เก็บมันเข้าไปในกระเป๋าเสื้ออย่างดี
   “ครับ… ไว้จะติดต่อไป”

   มือใหญ่ที่อบอุ่นยกขึ้นวางลงบนหัวน้องชาย ลูบมันเบามือ รู้ดีว่าน้องไม่ชอบถูกเล่นหัวเพราะมันทำให้ผมยุ่งก็ยังจะเล่น ซีมัส เชน ฉีกยิ้มกวน แล้วก็รีบเผ่นก่อนที่แดริลจะทันได้อ้าปากด่า….

   …..พี่ขึ้นเลข3แล้วนะ ยังจะเล่นอะไรแบบนี้อีก

   ขณะที่ทำหน้ายุ่งมือก็ปัดๆผมจัดทรงให้เข้าที่ และไม่นานชายหนุ่มก็ยกยิ้มขำออกมาเล็กน้อย พลางมองบนท้องฟ้าสีฟ้าอมเทา.. ที่ในวันนี้ดูจะฟ้ากว่าทุกที

   บางทีสิ่งที่เรียกว่าเวลาก็ทำให้อะไรอะไรเปลี่ยนแปลงได้...

…………………..

สองอาทิตย์ต่อมา...

   ภาพที่ถ่ายขึ้นจอใหญ่บนสเตเดี้ยมเป็นภาพที่ทำให้แดริลรู้สึกเหมือนกำลังย้อนกลับไปในวัยเด็กอีกครั้ง

   เขาไม่ดูหรือตามข่าวกีฬาอเมริกันฟุตบอลมานานมากแล้ว… เรียกว่าลบมันออกไปจากชีวิตก็ว่าได้ แต่งานใหญ่วันนี้อย่างไรเสียก็ต้องมาในฐานะคนรับผิดชอบโปรเจกต์

   ชายหนุ่มยืนมองอยู่เบื้องหน้ากระจกบานสูงในห้องวีไอพีพร้อมกับแขกคนอื่นๆ ตั๋วที่เป็นของรางวัลแจกฟรีให้แก่ผู้โชคดีที่ซื้อสินค้าแบรนด์กีฬาที่เพิ่งเปิดตัวในเว็บไซต์เมื่อสองเดือนที่แล้วช่วยเพิ่มยอดขายจากทางฝั่งแฟนกีฬาได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ก็ยังมีเสื้อพร้อมลายเซ็นกับสิทธิที่จะได้ถ่ายรูปคู่กับนักกีฬาอีกด้วย

   อันที่จริงที่แคมเปญนี้เป็นที่ฮือฮาขึ้นมาได้ก็เพราะอีกประเด็นหนึ่ง…. นั่นก็คือเมื่อประมาณสองปีที่แล้ววินเซนต์เคยไปก่อเรื่องไว้… รายละเอียดไม่ต้องพูดถึงมากเอาเป็นว่าอดีตแฟนสาวของเกร็กเกอรี่เปลี่ยนมาควงวินซ์อยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าไม่นานก็เลิกรากันไป แต่ช่วงนั้นเห็นว่ามีเรื่องกระทบกระทั่งกันในสนามจนถูกกรรมการเตือน แต่เจ้าตัวว่าดีกันแล้วหลังปรับความเข้าใจกันในปีต่อมา เพียงแค่ไม่ได้ออกสื่อคนเยยังเข้าใจว่าเกลียดขี้หน้ากันอยู่...

   ตอนได้ฟังเรื่องนี้จากบิลคนฟังก็เพียงยิ้มเย็น ในใจนึกปลง… อย่างไรเสียวินเซนต์ก็คือวินเซนต์อยู่วันยังค่ำ

   ร่างสูงใหญ่พออยู่กลางสนามก็ไม่ได้ดูสูงกว่าคนอื่นเท่าใดนัก แต่ก็ยังดูโดดเด่นออกมา วินซ์ในชุดสีแดงรับบอลและวิ่งหลบหลีก ซ้ายทีขวาทีให้หลุดจากแนวป้องกัน ไปจนถึงจุดทัชดาวน์แล้วก็ปาบอลลงสนาม ชูสองแขนขึ้นรับเสียงเชียร์จากเหล่าแฟนกีฬาในสเตเดี้ยมด้วยท่าทางคุ้นชิน

   ชายหนุ่มหันมายิ้มให้กล้อง พร้อมทั้งขยิบตาให้ แฟนๆพากันส่งเสียงเฮ แต่คนที่อยู่ในห้องวีไอพีรู้สึกหมั่นไส้มันแปลกๆ…

   หลังเกมจบ นักข่าวหนุ่มสายกีฬาวิ่งเข้าไปสัมภาษณ์คนที่ทำทัชดาวน์ปิดเกมส่งท้ายทันที

   วินเซนต์ถอดหมวกออก ใบหน้ายังชุ่มเหงื่อ หันตรงมายิ้มโบกมือให้กล้อง แดริลไม่ได้สนใจฟังบทสัมภาษณ์นั่นนัก เขาเพียงยกยิ้มบาง มองดูอีกฝ่ายที่มีชีวิตชีวาบนสนามอเมริกันฟุตบอล ท่าทางที่กอดไหล่กับเพื่อนร่วมทีม เหมือนว่าเจ้าตัวเป็นเจ้าของสถานที่อย่างไรอย่างนั้น

   ทุกครั้งที่ได้ลงสนาม… ชายคนนั้นจะดูมีความสุขเสมอ จนหลายๆทีก็คิดว่าแค่วินเซนต์มีฟุตบอล จะมีเขาอยู่หรือไม่มีเขาอยู่ก็ไม่ต่างหรอก ในใจของอีกฝ่าย แดริลมั่นใจว่าหากตนเองจะแพ้อะไรสักอย่าง ก็คงเป็นอเมริกันฟุตบอล

   “เดี๋ยวต้องไปกล่าวแถลงข่าวแล้วจัดกิจกรรมต่อแล้วนะครับ บอส” บิลทักขึ้นมา มือเก็บข้าวของอีกทั้งถือแพลนเนอร์ดูยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก

   “อืม ไปกัน” คุณเชนก้าวขาออกห่างจากกระจกใสทรงสูง เดินตามร่างซึ่งสูงกว่าพร้อมทีมการตลาดครึ่งทีมออกไปเพื่อจัดการปิดงานและดำเนินกิจกรรมต่อ อีกทั้งให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในเรื่องของแบรนด์กีฬาที่เปิดตัวใหม่

   ก่อนออกจากห้องวีไอพี ชายหนุ่มหยุดเท้าลง มองตามแผ่นหลังของทุกคน สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดสิ่งที่ติดค้างในใจออกมา

   “ขอบคุณพวกคุณทุกคนมาก… ที่สู้มาด้วยกัน”

   แรกเริ่มคิดว่าหลังจากที่ความลับของเขาถูกเปิดเผย ทุกคนจะปฏิบัติกับเขาต่างออกไปหรือไม่ จะเกร็งหรือมองเขาด้วยสายตาที่ต่างออกไปหรือไม่

   แต่นอกจากความประหลาดใจในช่วงแรกๆ… ก็ไม่มีท่าทีต่อต้าน หรือท่าทีที่แปลกออกไปซึ่งเขาเคยคิดว่าจะมี

   “พูดอะไรน่ะครับบอส พวกเราก็ต้องทำตามหน้าที่ให้เต็มที่อยู่แล้ว” บิลยิ้มกว้างอย่างซื่อๆ ท่าทางไม่ได้ถือตัวเหมือนทุกที “ยังไงการทำให้บริษัทนี้เป็นยูนิคอร์นให้ได้ก็เป็นความฝันของพวกเราเหมือนกัน บอสอย่าคิดมากเลยครับ”
   
   แดริลหัวเราะออกมาได้ในที่สุด หันมองทุกคนในทีม และพูดออกมาด้วยท่าทีมั่นใจ

   “ไปเถอะ… พวกเราไปขายของกัน”
   ทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน เดินตามเจ้านายของพวกเขาออกไปเบื้องนอกที่แสงแดดยามบ่ายกำลังสาดส่อง

   แล้วการเปิดตัวแบรนด์กีฬาก็จบลงด้วยดีเช่นนี้… แต่ก็ยังมีงานอีกมากที่พวกเขาต้องจัดการ

……..

หลังจากจบแคมเปญได้หนึ่งอาทิตย์...

ช่วงนี้เหมือนวินเซนต์จะติดงานถ่ายซีรียส์ที่เจ้าตัวถูกจ้างไปเล่นเป็นตัวเอง… เรียกว่าก็งานดารารับเชิญอีกตามเคย นักกีฬาหนุ่มจึงหายไปจากโซฟาที่น่าสงสารนานหลายวัน…

แดริลใช้ชีวิตไปตามปกติ วุ่นวายกับงานเสียส่วนมากจนไม่มีเวลาว่างให้ได้คิดอะไร ยิ่งใกล้ช่วงออกไลน์ใหม่เขาก็ยิ่งวุ่นวายขึ้นเท่านั้น

ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น.. จนกระทั่งสองวันต่อมาที่แดริลกลับจากประชุมข้างนอกกับพาร์ทเนอร์

 อยู่ๆบนโต๊ะทำงานก็มีกล่องกระดาษทรงยาวมาวางเอาไว้ ถามใครก็มีแต่คนบอกว่าเจ้าหน้าที่ส่งพัสดุมาส่งในระหว่างที่เขาไม่อยู่เลยให้ทิ้งเอาไว้

เป็นกล่องห่อด้วยริบบิ้นอย่างดี จนชวนให้สงสัยว่ามันเป็นอะไร… ดึงออกแล้วเปิดดูก็พบดอกกุหลาบดอกโตนอนนิ่งอยู่ในนั้น… แวบแรกเกือบจะหยิบโทรศัพท์มาส่งข้อความไปเอ็ดวินเซนต์ว่าอย่าส่งของประเภทนี้มาที่ทำงานจะได้ไหม แต่สายตาไปสะดุดกับการ์ดที่แนบมาด้วยเสียก่อน…

J.W.

แดริลทำหน้ายุ่งทันที พอหยิบซองจดหมายมาเปิด ก็พบกับตั๋วละครบรอดเวย์หนึ่งใบถ้วน เป็นเรื่องที่เขาเคยบ่นอยากดูให้อีกฝ่ายฟังตอนที่ยังคุยกันอยู่… แต่ก็ไม่สบายใจนักที่จะรับมันมาแบบนี้

ชายหนุ่มปิดฝากล่อง เอาออกมาแค่การ์ดกับตั๋ว พลิกไปดูด้านหลังก็พบว่าเป็นการแสดงของรอบเย็นวันนี้...
อยากส่งข้อความไปปฏิเสธ ตั๋วก็อยากคืน… ในการ์ดเขียนข้อความมาสั้นๆเพียงแค่

‘อยากให้คุณมาดูผมแสดง’
   จากที่รู้มาโจเซฟไม่ใช่นักแสดงชื่อดัง เดาว่าเขาน่าจะเล่นเป็นบทซัพพอร์ทอยู่ในฉาก

   ลำบากใจจริง… จะยกให้คนอื่นไปดูแทนก็คงโหดร้ายเกินไป… หรือจะฝากมิสวีไปคืนดีนะ?
   
   ยังไม่ทันจะตัดสินใจได้ว่าควรทำอย่างไรกับมันดี ริงโทนสมาร์ตโฟนเพลงบีโทเฟ่นคลาสสิคก็ดังขึ้น ทำให้เขาต้องหยิบมือถือขึ้นมามอง เป็นเบอร์ที่คุ้นๆตาแต่ไม่ได้เมมเอาไว้ในเครื่อง

   “ฮัลโหล…” แดริล เชนรับสาย
   “คุณเชน ผมเองครับ โจเซฟ… คุณได้ของขวัญแล้วหรือยังครับ”
   “อืม ได้แล้ว…” ชายหนุ่มมองตั๋วในมือที่เหมือนเผือกร้อน เขาอาจจะลองโกหกว่าไม่ว่างติดนัดดู เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึกจนเกินไป?
   “...วันนี้ผมได้บทสำคัญครั้งแรกเลยล่ะครับ ถึงจะยังเป็นแค่บทซัพพอร์ทแต่ก็เป็นบทที่เด่นขึ้นมาแล้ว” ระหว่างสามเดือนที่พวกเขาคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันผ่านแอปพลิเคชั่น โจเซฟเคยพูดถึงเรื่องที่ตนเองเป็นแค่ตัวประกอบมาตลอด แต่กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้บทที่ใหญ่ขึ้น “...ฉะนั้นก็เลยอยากให้คุณมาดู พอจะสะดวกไหมครับ”

   คำว่า ไม่ค่อยสะดวก ติดอยู่ที่ปลายลิ้น…

   “หากไม่สะดวกผมจะส่งตั๋วของวันอื่นไปให้แทน”
   …………….นายจะไม่ปล่อยให้ฉันอ้างไม่ว่างสินะ

   พอคิดว่าวันนี้ไม่มีอะไรทำ… วินเซนต์ก็ไม่อยู่ เขาจึงส่ายหัวคิดว่ายอมไปครั้งเดียวแล้วพูดให้มันจบไปอาจจะดีที่สุด ทางที่ดีหาเพื่อนไปด้วยกัน…

   ยังไงซะสถานะ ‘เพื่อน’ เรื่องเท่านี้มันก็ควรทำให้กันได้
   “...ไม่เป็นไร เย็นนี้ฉันว่างพอดี ...จะไปดูนะ” ชายหนุ่มตอบไปแต่สีหน้าขณะพูดคือไม่สบายใจนัก
   “ครับ ผมจะรอ” เสียงจากปลายสายฟังดูเหมือนกำลังยินดีจริงๆ…

   หลังจากวางสายแล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจยาว…

   สังหรณ์ไม่ดีเลยจริงๆ ให้ตายสิ


ออฟไลน์ aha_aha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5
สนุกจร้า เป็นกำลังใจให้คนแต่ง กับแดริลคนเก่งน้า ขอให้ลางสังหรณ์เป็นเรื่องดีๆนะ ^^

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
  J.W คือโจเซฟก็ว่าพีคแล้วอิตาซีมัสพีคกว่าอีกอุทานว่า nani วนไปเลยค่ะพีคต่อไม่รอแล้วนะ :a5: o22

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ขอให้ลางสังหรณ์ที่ว่าเป็นเรื่องดีๆเถอะนะ แอบขำตอนรู้ว่าพี่ชายชอบผู้ชายด้วยกันแล้วก็เขินตอนที่พี่ชายเล่าให้ฟังแหะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด