Act 16 : เรา...กับคำสัญญา
...ถ้าการตัดสินใจเป็นสิ่งที่ยากแล้ว การไม่ตัดสินใจเลยคงเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า... “นาย”
(ครั..)
“นายอยู่ไหน”
(แกร๊ก....อยู่บนรถครับ พึ่งจะจอดรถเสร็จพอดี)
“เอ่อ อ๋อ...เอ้อ นาย เราลืมชีทไว้ที่รถนายรึเปล่า”
(ชีทอะไรนะครับ)
“ชีทที่เขียนว่า Grammatical…น่ะ นายดูให้เราหน่อย”
(ได้ครับ พี่ปั้นรอแป๊บนึง เอ ไม่เห็นมีเลยนะพี่ปั้น ลืมไว้ไหนรึเปล่า)
“ไม่มีหรอ สงสัยเราเอามาแล้วล่ะ คงอยู่ซักที่ในกองหนังสือ”
(หาดีๆ สิครับ แล้วรีบใช้รึเปล่า)
“อ๋อ ไม่ รีบๆ รีบ ไม่ๆๆ ไม่รีบ ไม่มีปัญหาอะไรเลย”
(พี่ปั้นเป็นอะไรรึเปล่าครับ ผมช่วยอะไรได้ไหม)
“ไม่ๆๆ เราไม่เป็นไร อ้อ แล้วนายจอดรถเอ่อ...ที่ไหน แบบว่าจะไปไหนรึเปล่า”
(ผมจอดรถใต้หอนี่เอง ไม่ได้จะไปไหนครับ)
“อ้อ ดีๆๆ ขึ้นห้องซะนะ ทำการบ้าน อ่านหนังสือแล้วก็นอนเลยนะ อย่าออกไปไหนล่ะดึกแล้ว”
(พี่ปั้น...)
“โอ๊ะ เราเจอชีทแล้วไปอ่านหนังสือก่อนนะ...ตรู๊ด”
ฟู่
โอเค วิธีแกล้งลืมชีทที่คิดไว้ก็เนียนใช้ได้
อย่างน้อยก็รู้ว่านายกลับถึงหอพักแล้ว
แล้วพรุ่งนี้จะใช้เหตุผลอะไรโทรไปดีนะ...
อืม…
โทรไปถามวิธีทำข้าวห่อไข่น่าจะเวิร์ค
“ใช้ได้ๆ”
เราพยักหน้ากับตัวเองแล้วลิสต์หัวข้อการพูดคุยในครั้งต่อไปลงบนสมุดโน้ต แต่จู่ๆ ก็มีคนชะโงกหน้าข้ามไหล่เรามาโดยไม่ทันตั้งตัว
“โทรไปถามวิธีทำข้าวห่อไข่...นี่แกคิดว่าเนียนแล้วหรอปั้น”
“เฮ้ยชมพู่! อย่าอ่านของเรานะ”
และเป็นความไม่ตั้งตัวที่ทำให้เราตกใจสุดๆ ด้วย
“โอ๊ยยย ปั้น”
คนที่ขยับมายืนข้างๆ โต๊ะร้องเสียงสูงพร้อมกับเท้าเอว ...ทำไมต้องมองเราแบบนั้นด้วย สมุดโน้ตเรามีความลับนะ ชมพู่จะมาแอบมองไม่ได้… เรากอดสมุดโน้ตเล่มสีเทาไว้แนบอกแล้วเอนตัวไปอีกทาง ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าข้อความบนหน้ากระดาษคงไม่หลุดรอดสายตาของชมพู่ไปได้
“แกไม่ต้องทำหน้าระแวงฉันได้ไหม แกคิดอะไรฉันก็รู้หมดนั่นแหละย่ะ”
“เราคิดอยู่ในหัวแล้วชมพู่จะรู้ได้ยังไง”
ชมพู่วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะก่อนจะทิ้งตัวนั่งตรงข้ามเรา “ฉันเป็นเพื่อนแกมากี่ปี ไอ้ที่ทำอยู่เนี่ยแกคิดว่าเนียนแล้วหรอ”
“ก็เนียนนะ นายไม่เห็นจะสงสัยเลย แต่เดี๋ยวนะ!...ชมพู่หลอกถามเราหรอ”
“แกพูดออกมาเองต่างหากเหอะ” ชมพู่กลอกตามองฝ้าเพดานก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจิ้มๆ ถูๆ เราถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้ววางสมุดโน้ตไว้บนโต๊ะช้าๆ ในหัวก็คิดกลับไปมา…เราไม่เนียนตรงไหน
...แต่ว่านะ
ชมพู่จับไต๋เราได้ตั้งหนึ่งคนแหน่ะ ถ้างั้นนายสงสัยไหมนะ ว่าที่เราโทรไปทุกวันเพราะอะไร...
“เราไม่เนียนหรอ”
“ยังจะถาม นี่...ฉันจะ describe ให้แกฟัง ช่วงนี้ใกล้สอบ และ…ฉันสังเกตว่าแกไม่มีสมาธิ พอสองทุ่มทีไร แกก็ต้องหยิบสมุดกับมือถือขึ้นมา แล้วก็กดเบอร์โทรออกที่มีแค่เบอร์เดียวของแก พูดตามที่จดไว้แค่สองสามประโยคแล้วก็รีบวาง จากนั้นก็จดอะไรซักอย่างลงในสมุด พอวันต่อมาก็ทำแบบเดิม เวลาเดิม ทำแบบนี้มาทั้งอาทิตย์ ใครไม่รู้ก็บ้าแล้ว ถ้าจะให้สรุปอะนะ...” ชมพู่พูดยาวเหยียดแล้วก็จบด้วยการยื่นมือมายืดแก้มเราตามคำพูด
“ปั้น แก น่ะ มี พิรุธ มากกกกกก”
“เจ็บๆๆๆ”
หลังจากที่ชมพู่ไว้ชีวิตเราแล้ว เราก็ถูแก้มตัวเองเป็นการใหญ่ ...มือหนักชะมัดเลย...
“อยากคุยทำไมไม่บอกตรงๆ ล่ะ นายมันอาจจะดีใจก็ได้นะ”
เราชะงักกึก ก่อนจะรีบโบกมือปฏิเสธพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มร้อนขึ้นเพราะความอาย
“เปล่านะๆๆ เรา เราไม่...ยอมรับก็ได้” เราพูดประโยคท้ายเสียงอ่อย เมื่อสู้สายตาคาดคั้นของคนตรงหน้าไม่ไหว เราจึงหลุบตาต่ำ แกล้งมองกระดาษบนโต๊ะไปเรื่อย ชมพู่คว่ำหน้าจอโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะซึ่งตอนนี้มีชีทวางไว้มุมหนึ่ง และชมพู่ดูจะไม่สนใจกระดาษพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ว่ามา...” ชมพู่พูดพร้อมกับจ้องตาเรานิ่ง เธอประสานมือทั้งสองข้างไว้ด้านหน้า ถ้ามีโคมไฟอยู่ตรงนี้ เราจะเหมือนนักโทษชายเข้าไปใหญ่
“ว่ามา...” เธอพูดอีกครั้ง เราที่คิดอะไรนอกเรื่องแวบนึงถึงกับทำตาโต
…ว่าอะไร...
“ฉันเบื่อจะกลอกตาใส่แกแล้วนะ อยากปรึกษาอะไรฉันไหม เล่าให้ฟังได้ เรื่องที่แกคิดมากอยู่ตอนนี้น่ะ” เพราะประโยคนั้น หน้าของนายก็ลอยกลับเข้ามาอยู่ในหัวเหมือนเดิม
หลายวันที่ผ่านมาเราเอาแต่คิดเรื่องนาย คิดมากจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว เราไม่อยากให้นายอยู่คนเดียวเลย แต่เพราะเราไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เราก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง อีกอย่างเราก็ลดความกังวลเกี่ยวกับนายไม่ได้ จึงต้องคอยโทรถามอยู่แบบนี้
“อ่า...คือ...ก็...ที่เราโทรไปหานายเพราะว่า...เรา...เรา...เป็นห่วงนาย...น่ะชมพู่” ในที่สุดสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจก็ได้ระบายออกมา
“นายเป็นอะไร ไม่สบายหรอ” ชมพู่ก็ถามขึ้นด้วยความตกใจ
“ก็..ไม่สบาย” เรากัดริมฝีปากตัวเอง ไม่กล้าพูดอะไรออกมามากนัก แต่ดูเหมือนว่าชมพู่จะเข้าใจได้เองโดยไม่ต้องอธิบายใดๆ
“ความไม่สบายของคนเรามีอยู่สองอย่างนะปั้น ไม่สบายกายกับไม่สบายใจ”
“...”
“ฉันเดาว่านายคงเป็นอย่างหลัง...ไม่งั้นปั้นเพื่อนฉันคงไม่กังวลขนาดนี้ เอ้าๆ ไม่ต้องมาทำตาแดงใส่ฉัน”
...ชมพู่เป็นคนที่เข้าใจเราที่สุดเลย...
“นายเข้มแข็งมาก เพราะงั้นเราเลยไม่กล้าที่จะบอกตรงๆ” คงไม่มีใครอยากให้คนอื่นมาสงสารตัวเองหรอก อีกอย่างเรื่องความรู้สึกเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ยิ่งกับนายด้วยแล้ว...
“เข้าใจล่ะ แกคงไม่อยากให้เขารู้สึกว่าที่แกทำอยู่คือสงสารเขาใช่ไหม”
อื้อๆ ใช่ๆ ...ชมพู่วววว ชมพู่เข้าใจเราที่สุดอีกแล้ว...
“เราถึงโทรไปถามเรื่องบ้าๆ บอๆ อยู่แบบนี้ไง” แค่หนึ่งนาทีก็ยังดี ให้เรารู้ว่าเขายังโอเคก็สบายใจแล้ว
“ถ้านายรู้ว่าแกแคร์มันขนาดนี้คงดีใจตายเลย”
“ชมพูว่าไงนะ”
“เปล่าๆ ฉันพึมพำกับตัวเอง ปั้น...ฉันว่าจริงๆ เรื่องนี้น่ะมันง่ายนิดเดียว แต่แกน่ะคิดมากไป บางทีนายมันจะอาจจะรอให้แกพูดเรื่องบ้าๆ บอๆ อยู่ก็ได้นะ ถ้าคนที่ชอบอยากคุยกับเราจะเรื่องไร้สาระหรือไม่ไร้สาระ เขาก็ยินดีฟังทั้งนั้นแหละ”
“...”
“ไม่จำเป็นต้องคอยถามว่าสบายใจขึ้นรึยัง แค่เป็นแก...นายมันก็ดีใจที่สุดแล้ว”
“อย่างนั้นหรอ...”
...ถ้าเป็นเรางั้นหรอ...
“เราคิดมากก็เพราะตอนที่นายเศร้ามากๆ น่ะยังเป็นภาพติดตาเราอยู่เลย...” เราก้มหน้าลงเล็กน้อย พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันอาทิตย์ทุกภาพและทุกคำพูดของนายก็หวนกลับมาอีกครั้ง เราถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับที่ชมพู่ที่เท้าคาง พร้อมกับอมยิ้มที่มุมปากมองเรา
“เอ่อ เรา...เราหมายถึงว่า...ใครเห็นนายก็อดสงสารไม่ได้ทั้งนั้นแหละ” เราละล่ำละลักบอก หน้าร้อนจนรู้สึกได้ ปกติชมพู่คงจะเอ่ยล้อแต่ครั้งนี้ชมพู่กลับหัวเราะน้อยๆ
“ไม่มีใครเห็นนายอ่อนแอหรอกปั้น”
“ทำไมล่ะ”
“ก็คนเข้มแข็งอย่างนายน่ะอ่อนแอกับแกคนเดียวไง”
“...”
“ไม่ต้องมาทำเขิน ไอ้หมาปั้นหัดมีความรักเอ๊ย”
...ชมพู่! พูดไม่เพราะเลย...
เมื่อเราตกผลึกความคิดได้ มันก็ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังมีสมาธิอ่านหนังสือมากขึ้นอีกด้วยเพราะเรื่องที่กังวลและกวนใจได้หายไปแล้ว
“เมื่อวันก่อนเราบอกแม่ว่า ‘แม่ลองทำข้าวห่อไข่ให้หน่อย’ แม่ส่งรูปมาให้เราแต่ว่าดูยังไงก็เหมือนข้าวไข่เจียวเลย สุดท้ายพ่อก็ต้องกินจนหมดจาน แม่ถ่ายรูปพ่อตอนเคี้ยวมาด้วยนะ ขำพ่อมากเลย หน้าพ่องี้บูดเบี้ยวเชียว”
(หึหึ)
“นายขำพ่อเราหรอ” เราหุบยิ้มเมื่อปลายสายส่งเสียงหัวเราะมา ...พ่อเรา เราขำได้คนเดียว...
(ฮ่าๆ เปล่าครับ ผมขำคนที่เนียนโทรมาขอสูตรข้าวห่อไข่เมื่ออาทิตย์ก่อนต่างหาก)
“เราไม่ได้เนียนนะ เราอยากรู้จริงๆ” หลังจากที่คุยกับชมพู่เราก็เริ่มที่จะกล้าพูดมากขึ้น และก็เป็นที่มาของเรื่องราวประจำวันที่มักจะเล่าให้เขาฟังมากกว่าแต่ก่อน
(ปากแข็ง)
“เราไม่ได้ปากแข็ง”
(โอเคครับ จริงๆ ก็ปากไม่แข็งหรอกพี่ปั้นน่ะ อะแฮ่ม แต่พี่ปั้นรู้ไหม ที่พี่ปั้นโทรมาหาถามสองสามประโยคก็วางเนี่ย ทำร้ายจิตใจผมมากเลยนะ)
“...ทำไมอย่างนั้น” เราใจแกว่งกลัวว่าความเป็นห่วงเราจะทำร้ายจิตใจเขาจริงๆ
(คิดอะไรอยู่ครับ ที่บอกว่าทำร้ายจิตใจเพราะพี่ปั้นน่ะมาส่งเสียงข้างๆ หูแป๊บๆ แล้วก็วางไม่คิดว่าผมจะคิดถึงพี่ปั้นบ้างหรอ)
อะ...
“คิด...คิดถึงอะไรกันล่ะ เราแค่เป็นห่วงนายเท่านั้นเอง”
(รู้ครับ ถึงได้โทรมาถามหาชีทบ้างล่ะ ถามว่าฝนตกไหมบ้างล่ะ แต่ว่าผมไม่เป็นไรจริงๆ นะครับ จะเป็นจริงๆ ก็ถ้าอาทิตย์นี้เรายังไม่เจอกันอีก ผมตายแน่ๆ เลย)
ดูเหมือนว่านายจะกลับมาเป็นนายคนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วล่ะมั้ง จะว่าไปตั้งแต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้เจอกันสองอาทิตย์กว่าแล้วล่ะเพราะเราอยู่ที่หอตลอดเลย เราโทรหานายบ้าง นายโทรหาเราบ้าง เว้นแต่ตอนอ่านหนังสือสอบหนักๆ เขาก็ส่งข้อความมาบ้าง ถ้าเราว่างก็ตอบกลับ ไม่มีอะไรมาก จนตอนนี้เขาสอบเสร็จแล้ว ถึงมีเวลามาวอแวเราทั้งวัน เหลือแต่เรานี่เเหละ ทนทุกข์ทรมานกับข้อมูลจนหัวเเทบระเบิด
(พี่ปั้นเหลืออีกวิชานึงใช่ไหม เลิกสอบแล้ว ผมไปรับนะ)
“ไม่ต้องหรอก แดมบอกว่าวันพรุ่งนี้นายกับเพื่อนจะไปดื่มกันนี่ กว่าจะเลิกก็คงดึก นายพักผ่อนไปเถอะ เรากลับเองได้”
(เชี่ยแดม! แดมมันแอบคุยกับพี่ปั้นหรอครับ)
“ก็ไม่ได้แอบนะ แดมก็ทักมาบ้างนะ ส่วนมากก็คุยเรื่องนาย”
(พี่ปั้น!)
“ทำไมต้องทำเสียงดุใส่เราด้วย” แดมเป็นสายลับให้เราเลยนะ เราให้แดมช่วยดูแลนายอีกแรง ช่วงที่นายไม่สบาย
(แต่ผมอยากไปรับพี่ปั้น)
“ไม่เป็นไร นายไปดื่มกับเพื่อนๆ เถอะ”
(ทำไมครับ หรือพี่ปั้นให้คนอื่นมารับแทนผม)
เราว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่แล้ว เรารีบพูดต่อก่อนที่คนปลายสายจะไม่สบอารมณ์มากกว่านี้ “ไม่มีใครหรืออะไรทั้งนั้นแหละ”
(แล้วทำไม...)
“นายอย่าดื้อกับเรา”
(พี่ปั้นดื้อก่อน เราตกลงกันว่าไงครับ ผมต้องมารับพี่ปั้นกลับบ้านไม่ใช่หรอ)
“ครั้งนี้เราขอกลับเองนะ ครั้งเดียวเอง น่า...อย่าหงุดหงิดเลย”
(แต่ผมอยากให้พี่ปั้นอยู่กับผมวันศุกร์ด้วยนี้นี่ ขึ้นรถตู้มันอันตรายพี่ปั้นก็รู้...)
“แล้วใครบอกว่าเราจะไม่อยู่กับนายล่ะ ที่เราไม่ให้นายมารับน่ะ...” นายไม่ฟังเราเลย เอาแต่บ่นไม่หยุด
(ครั้งก่อนเป็นไงล่ะ ไม่เอาแล้วนะพี่ปะ...)
“เราจะไปหานายเอง เลิกบ่นได้แล้ว”
(พี่...พี่ปั้นจะมาหาผมจริงๆ หรอครับ) ฟังจากน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจปนดีใจของเขาเเล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เขาคงไม่มั่นใจว่าเราจะไปตามนัดรึเปล่าน่ะสิ ...แต่ครั้งนี้น่ะไม่เหมือนเดิมหรอกนะ... เรายิ้มกว้างก่อนจะตอบออกไป
“อื้อ”
(ให้จริงเถอะ ไม่ให้ผมไปรับ งั้นวันศุกร์นี้ก็อยู่กับผมทั้งวันทั้งคืนเลยแล้วกัน)
“อืม...”
(อืมคืออะไรครับพี่ปั้น ผมจริงจังนะ)
“อืมก็คืออืมไง ไปดีกว่า ได้เวลานัดอ่านหนังสือกับชมพู่แล้ว”
(พี่ปั้น เดี๋ยวก่อนครับ...)
“...”
(...ผมจะรอนะครับ)
…ต้องรอสิ เพราะเรามีอะไรจะบอกนาย...
เรากับชมพู่เดินคุยกันขณะเดินลงจากห้องประชุมชั้นสองซึ่งเป็นสถานที่สอบตลอดทั้งภาคเช้า วันนี้เป็นวันศุกร์...วันที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความเครียดซึ่งสะสมมาทั้งสัปดาห์ เราสองคนเข้าใจข้อนั้นและมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“กลับบ้านเลยไหม” เราถามขึ้นเมื่อรองเท้าผ้าใบของเราและชมพู่แตะพื้นชั้นล่างของห้องประชุม
“คงเย็นๆ น่ะ วันนี้ฉันต้องพาไอ้เด็กในปกครองทั้งหลายไปเลี้ยงเนื่องในโอกาสสอบเสร็จพร้อมกัน” เราพยักหน้าหงึกหงักพลางคิดว่าทีมบาสมหาลัยเนี่ย เขารักกันดีจังเลยน้า
“ผู้จัดการดูเเลขนาดนี้ น้องๆ รักตายเลย”
ชมพู่เบะปากขณะที่เราได้แต่ยิ้มขำ ไม่ทันจะเอ่ยล้อต่อ ชมพูก็พยักพเยิดหน้าไปด้านหน้าสองสามที
“พี่ปั้นนนนนนนนนน”
ตุ้บๆ
“พี่ปั้นคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบ”
ตุ้บๆ
...นะ...นี่มันอะไรกันเนี่ย…
เราอยู่ในวงล้อมของนักบาสมหาลัยมากกว่าสี่คน หนึ่งในนั้นก็คือพวกน้องเจ็มอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาใส่ชุดนักศึกษาเต็มยศ ตัวสูงเป็นตึก แถมด้วยเป็นกำแพงปิดทางจนเราหันหน้าไปไหนไม่ได้
“เอ่อ หวัดดีทุกคน” เราแก้ประหม่าด้วยการโบกมือขวาไปมาคล้ายหุ่นยนต์ ตรงหน้าเรามีฟุน เหน็ง แล้วก็กี้ที่มีท่าทาง เอ่อ...โศกเศร้า
“ฮือออ เจอพี่ปั้นหลังสอบวิชาโหด เหมือนกับได้ต่อชีวิตที่ขาดไปเเล้วให้มีลมหายใจ”
“ไอ้สัด พูดเว่อร์ พี่ปั้นครับ พี่ปั้นมาได้ทันเวลาพอดีอย่างกับรู้ใจ”
“เหนื่อยมากเลยครับพี่ปั้น ไม่อยากจะเรียนหนังสือแล้วว”
“ดูท่า...พวกมันจะรักแกมากกว่านะปั้น” เราได้ยินเสียงอื้ออึงมาทุกทิศทาง จนหูอื้อตาลายไปหมด
“ปั้นแกไหวไหมเนี่ย พวกแกหลีกไป๊! ยังอีก ทำไมเจอหน้าปั้นเเล้วผลสอบจะออกมาดีหรอ”
“ถึงไม่ออกมาดี แต่พี่ปั้นก็ทำให้พวกเราไม่จมอยู่กับความเศร้า”
“ใช่ ผู้จัดการไม่เข้าใจหรอก”
“แต่ฉันเลี้ยงหมูกระทะพวกแกนะ แค่หมูกับเบียร์เข้าปากพวกแกก็ยิ้มร่าเป็นบ้าแล้ว”
“ผู้จัดการ! เรื่องหมูกระทะกับการได้เจอพี่ปั้นมันเทียบกันไม่ได้นะครับ”
“โอ๊ยยยยยย ไอ้พวกเว่อร์”
“ทุกคน…” เราพยายามจะเอ่ยขัด
“พี่ปั้นไปด้วยกันนะครับ” เจ็มหันมาถาม ก่อนที่คนอื่นๆ จะรอคำตอบด้วยเช่นกัน เรามีแผนหลังสอบของเราแล้วนี่นา อย่ามองกันแบบนั้นเลย
“เอ่อ...คือว่า...”
“ปั้นไม่ไปหรอก” ชมพู่แทรกตัวมาบังเรา ก่อนวาดแขนมาโอบไหล่เราไว้
“ทำไมอ่าครับบบ”
“ตอบไปสิปั้นว่าแกจะไปไหน” ชมพู่ยิ้มล้อๆ เพราะแบบนั้นน้องๆ นักบาสจึงมองเราตาไม่กะพริบ บางคนก็มองอย่างมีความหวัง
...ขอโทษนะ...
“วันนี้เราจะไปหานายน่ะ”
นักบาสของศิลปากรร้องโห่เสียงดังจนนักศึกษาแถวนั้นหันมามองกันหลายคน และที่ดังสุดคงจะเป็นกี้ คนที่มีประเด็นกับนายเมื่อครั้งก่อน เรายิ้มเชิงขอโทษทุกคนอีกครั้ง ก่อนลาชมพู่ และขอแหวกทางออกจากวงล้อมนั่น เดินออกมาไม่ไกลพอที่จะได้ยินเสียงดังตามหลัง
“นี่พวกเราต้องเสียประชากรศิลปากรที่น่ารักให้กับมออื่นอีกแล้วหรอวะ...”
จากนั้นเสียงโหยหวนก็ดังขึ้น
“พี่ปั้นนนนนนนนน อย่าไปเลยครับบบบบบ”
เรากลับมาถึงบ้านในเวลาบ่ายโมงกว่า ใจตุ้มๆ ต่อมๆ กับการขับรถของโชเฟอร์รถตู้อยู่ไม่นานก็ถึงโดยสวัสดิภาพ แต่ในใจกลับคิดว่าเราไม่ชอบการนั่งรถตู้เหมือนแต่ก่อน ทั้งนี้ต้องโทษนายคนเดียวเท่านั้น นายนิสัยไม่ดีเลย ทำให้เราเคยชินกับการมารับเราได้ยังไง
…เราพูดถึงเขากี่ครั้งแล้วเนี่ยวันนี้...
โทรศัพท์บนโต๊ะอาหารดังขึ้น เราจึงละมือจากการเตรียมอาหารแล้วหันไปเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน ก่อนจะกดรับโทรศัพท์
Rrrrr Rrrrr
“ว่าไงแดม”
(พี่ปั้นถึงบ้านรึยังครับ)
“ถึงแล้ว”
(ฟู่ โล่งอกไปที)
“มีอะไรรึเปล่าแดม”
(ก็ไอ้นายอะดิพี่ปั้น เมื่อคืนด่าผมใหญ่เลย หาว่าผมจะแย่งพี่ปั้นไปจากมัน พอผมกับไอ้เอ็มเจช่วยกันพูดจน มันก็ถามหาพี่ปั้นทุกสิบนาที กว่าจะหลอกล่อมันไปนอนเนี่ยไม่ใช่เรื่องง่าย)
“นายดื่มหนักขนาดนั้นเลยหรอ”
(แฮ่ๆ ไอ้เอ็มเจกับผมมอมมันเองครับ)
“แดม!”
(นี่ผมช่วยพี่ปั้นเลยนะ ไม่งั้นมันตื่นแต่เช้าไปรอรับพี่ปั้นที่ศิลปากรแล้ว ว่าแต่พี่ปั้นจะมาหามันจริงๆ ใช่ไหมครับ)
“จริงสิ”
(ดูท่าว่าวันเกิดไอ้นายปีนี้มันคงมีความสุขมากนะครับ แล้วพี่ปั้นจะเข้ามาประมาณกี่โมงครับ)
เพราะเป็นวันเกิดนาย จึงไม่แปลกที่เขาจะคะยั้นคะยอขอมารับเราโดยที่ไม่ยอมบอกอะไรเลย และเพราะเป็นวันเกิดนาย เราจึงอยากจะทำอะไรให้มนุษย์คนที่แอบเศร้าอยู่คนเดียวมีความสุขบ้าง
“เราคิดว่าไม่เกินบ่ายสี่โมง เรากำลังรีบทำข้าวห่อไข่ให้...”
(นั่นแน่ มีอาหารทำเองด้วย) เสียงวิดวิ้วดังลอยมา เราเดาว่าต้องเป็นเอ็มเจอย่างไม่ต้องสงสัย
“ก็...ก็...เราอยากลองทำดู”
(ไม่แซวก็ได้ เขินอยู่แน่เลย กริ้ววว)
“เราจะฟ้องนายแน่” เราพูดเสียงนิ่ง กลบเกลื่อนความร้อนที่กระจายอยู่ทั่วแก้ม
(ชะอุ้ย ไม่ล้อแล้วว โธ่ งั้นพี่ปั้นรีบมานะครับ ผมกับไอ้เอ็มเจกลับก่อนล่ะ ถ้าพี่ปั้นมาถึง ไอ้นายคงจะทำหน้าหล่อรอพี่ปั้นอยู่แหงๆ)
“จะบ้ารึไง”
(งั้นพี่ปั้นบอกมันว่า ‘รักนะจุ๊บๆ’ ด้วยนะครับ)
“ได้” เรารับปาก แดมคงอยากจะแสดงความรักให้กับเพื่อนในวันเกิ...
(ฮ่าๆๆๆ)
เรามองจอที่ดับไปอย่างมึนๆ ก่อนจะที่หัวจะสว่างวาบ เดี๋ยวนะ...
....นี่แดมหลอกเราบอกรักนายหรอ...
เราย่นจมูกก่อนจะคว่ำหน้าจอลงกับโต๊ะอาหาร เลิกสนใจแดมสายลับต่อไป
…นาย วันนี้วันเกิดนาย เราจะทำของโปรดให้นายกินเอง!...
เรายิ้มเมื่อความพยายามของเราเป็นผลอยู่ตรงหน้า ข้าวห่อไข่หน้าตาธรรมดาแต่ดูดีกว่าที่เราคิดไว้มากนัก เราเบนสายตามองขวดโหลในถุงแล้วอดยิ้มไม่ได้
...หวังว่าคนรับจะยิ้มเหมือนกันนะ...
จะสี่โมงครึ่งแล้วหรอ
เราตกใจเมื่อเหลือบมองนาฬิกาที่ห้องรับแขก เอื้อมมือคว้ามือถือขึ้นมาก่อนจะพบว่ามีหลายสายที่ไม่ได้รับ รวมถึงข้อความของเจ้าของวันเกิดที่ดูเหมือนว่าจะพึ่งตื่นด้วย เราเลือกที่จะส่งข้อความกลับไปมากกว่าการโทรกลับ
Nine Naay ถึงบ้านรึยังครับ
ตอบผมหน่อย
ผมเป็นห่วง
อยู่ตรงไหนแล้ว
ให้ผมไปรับไหม
พี่ปั้น
read Khaopun
เราถึงบ้านแล้ว
กำลังจะไปนาย
แต่อาจจะช้าหน่อย
วันนี้วันศุกร์นี่
Nine Naay พี่ปั้น
ผมเอาแต่ใจตัวเองเกินไปไหมครับ
ถ้าพี่ปั้นเหนื่อย
เราเจอกันวันหลังก็ได้
read Khaopun
ไม่ ก็เราสัญญากับนายแล้ว
Nine Naay ที่บอกว่าจะอยู่กับผมทั้งวันทั้งคืนนั่นหรอครับ
…เด็กคนนี้นี่...
เราก้มลงมัดเชือกรองเท้าของตัวเอง แล้วก็คว้าถุงกระดาษที่บรรจุความรู้สึกของเราอยู่ในนั้นขึ้นมา เรามองดูประโยคสุดท้ายบนจอที่ทำให้อีกฝ่ายเงียบไปพักใหญ่แล้วก็ยิ้มกับตัวเอง
read Khaopun
ก็สัญญาที่ว่าเราจะไปหานายไง
___________
ขอร้องไห้ให้กับความคิดถึงงงงง
คิดถึงทุกคนมากจริงๆ
หายไปนานเเถมยังมาสั้นอีก
ต้องขอโทษทุกคนด้วยใจจริง
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
#คิดถึงเสมอ