END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]  (อ่าน 68211 ครั้ง)

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3




                ไหนว่าไม่นานไง



                นายหายไปสามวันแล้ว คนโกหก วันแรกเขาส่งข้อความมาสั้นๆ ว่าติดธุระ แถมยังสั่งไม่ให้เราออกไปไหนรอเขาติดต่อกลับมาเอง และหลังจากนั้นก็เงียบไป ไม่อ่านแถมไม่ตอบไลน์เราด้วยซ้ำ จนเรานึกเกลียดคำว่าธุระไปซะอย่างนั้น เราถามแดมกับเอ็มเจก็เอาแต่บ่ายเบี่ยง นายหายไปแบบนี้ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกกังวลใจแปลกๆ



                มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า



                ไม่ใช่ว่าหลบหน้าเราหรอกนะ



                หรือว่าเขาเปลี่ยนใจไม่อยากฟังแล้ว



                เราถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขณะที่นั่งเท้าคางจ้องดาวกระดาษหนึ่งดวงที่วางอยู่บนโต๊ะ คอยดูนะ ถ้าเจอนายเมื่อไหร่เราจะตีเขาหนักๆ เลย



                แต่...

                อยากคุยด้วยแล้ว เมื่อไหร่นายจะตอบซักที เราดึงสายตากลับมามองโทรศัพท์ที่หน้าจอเป็นสีดำสนิท

             

             ...เรารอต่อไปไม่ไหวแล้ว!...



             เราคว้าสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะมากำไว้ อีกมือหนึ่งก็คว้ากระเป๋าสะพาย ก่อนจะวิ่งลงบันไดบ้านตึงตังเกือบจะลื่นตกบันไดขั้นนึงแหนะ จนแม่กับพ่อที่นั่งดูรายการเกมโชว์ตอนเย็นถึงกับรีบร้องทัก



             ความร้อนรนช่างเปลี่ยนคนขี้ขลาดอย่างเราจนน่าตกใจจริงๆ



             ไม่ใช่ความร้อนรนสิ เป็นนายต่างหาก



            Khaopun
                ทำอะไรอยู่
ตอบเราได้แล้ว
เราอยากคุยด้วยแล้ว

   

             เรากดโทรหา กดส่งข้อความคล้ายกับคนบ้า เหมือนกลับไปช่วงแรกๆ ที่รู้จักกันเลย นายมักจะตื๊อเราอยู่แบบนี้ ตอนนี้เรากลับเป็นแบบนั้นซะเอง เราหัวเราะอย่างขมขื่นกับตัวเอง



         
      Khaopun
นายอยู่ที่มอรึเปล่า
เรามาหา
เรารออยู่ข้างสนามฟุตบอลที่มอนาย
เราจะรอนะ



                ดูเหมือนว่าเราจะมาไม่ทัน จำได้ว่านายมีเรียนช่วงบ่ายเราจึงตัดสินใจมารอเขาที่มหาวิทยาลัยแต่เพราะเราตัดสินใจช้าไป พอมาถึงหน้าคณะนายก็ห้าโมงกว่าเข้าไปแล้ว แถมนายยังไม่มีทีท่าว่าจะตอบกลับ เราเดินคิดอะไรมาเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็มายืนข้างสนามฟุตบอล ก่อนทิ้งตัวลงนั่งและฟุบหน้ากับโต๊ะหินอ่อนเยื้องๆ กับอัฒจันทร์ข้างสนาม



                ฮือ



                เขาลงโทษเรารึเปล่านะ ลงโทษคนแย่ๆ แบบเรา

                หรือว่าคนอย่างเราควรจะอยู่คนเดียวตั้งแต่แรก

                แต่ยังไงก็เถอะตอนนี้...คิดถึงจัง...



                “เฮ้ย คุณมานั่งร้องไห้ทำไมตรงนี้” อยู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นเหนือหัว เราจึงรีบเงยหน้าขึ้นตามเสียงนั้นอย่างตกใจ



                “ตุ๊ดตู่!”



                “อ้าว! ที่...ศิลปากรนี่”



                “อะ...เอ่อ...”



                “เดี๋ยวๆ เจอหน้าก็เรียกว่าเหี้...เอ๊ย ตุ๊ดตู่อะไรนี่สองครั้งแล้วนะ” เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะระหว่างที่มองหน้าเหวอๆ ของเรา

   

                “โท...ขอโทษที เรา...อุทานเพราะตกใจน่ะ”



                “งั้นหรอ หือ? ทำหน้างี้ นี่อย่าบอกว่าจำผมไม่ได้นะ ผมอาร์มไง โคตรบังเอิญเลยเจอกันอีกแล้ว” เขาคนนั้นวางกระเป๋าลงบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงตรงข้ามเรา ท่าทางธรรมชาติคล้ายกับว่าพวกเราสนิทสนมกันมาก่อน



                “...” ไม่ใช่ชื่ออาร์มนะหรอ ขณะที่เราทวนชื่อเขาอยู่ในใจ เสียงตะโกนจากกลางสนามก็ดังขึ้น คนที่ชื่ออาร์มคงจะมีนัดลงเล่นฟุตบอล



                “เชี่ยอาร์มไม่เล่นบอลหรอวะ!”



                “พวกมึงเล่นไปก่อนเลย!! โทษทีครับ พวกมันชอบตะโกนคุยกันงี้ทุกที เอ่อ แล้วนี่...มาทำอะไรที่นี่คนเดียว”



                “...คือ”



                Rrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrr



                ขอบคุณเสียงสวรรค์ จู่ๆ โทรศัพท์เราที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นครืดคราดสายเข้าเป็นเบอร์แปลกสิบหลัก เราค้อมหัวนิดๆ ให้คนฝั่งตรงข้ามก่อนกดรับโทรศัพท์



                “ฮัลโหลพี่ปั้นครับ” เพียงประโยคเดียวจากปลายสายก็ทำให้เราตกใจจนเผลอยืนขึ้นอย่างลืมตัว หัวใจเต้นแรงอย่างที่ทราบสาเหตุ



                “...นาย? นายหรอ” เรื่องราวที่เตรียมมาหายไปหมด แค่รับโทรศัพท์นายเราเหมือนจะลืมหายใจไปชั่วขณะ รู้สึกแสบร้อนโพรงจมูกขึ้นมากะทันหันทันทีที่ได้ยินเสียงของอีกคนพร้อมกับเสียงเฝีเท้าหนักๆ ดังมากตามสาย



                (พี่ปั้น ผมขอโทษครับ มันมีเหตุด่วนนิดหน่อย ผมจะไปหาแล้วนะครับ...)



                เขาอยู่แถวนี้งั้นหรอ...



                “อื้อ นาย เรา เรารอนายอยู่ มาเจอกั...”

             

                  “เฮ้ๆ ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ฟังไม่รู้เรื่องกันพอดีหรอก”



                และเพราะประโยคที่แทรกเข้ามานั้นเสียงของนายก็เปลี่ยนไป



                (นั่นเสียงใครครับ? พี่ปั้นอยู่ที่ไหนครับ)



                “ตอนนี้เราอยู่มอนาย เราติดต่อนายไม่ได้เลยมาหา”



                (พี่ปั้น! ผมบอกแล้วไงว่าผมจะไปหาพี่ปั้นเอง ทำไมพี่ปั้นดื้ออย่างนี้ครับ ถ้ามีอะไรเกิด...) เขาไม่เคยพูดแบบนี้กับเราเลย ไม่เคยเสียงแข็งกับเราขนาดนี้ด้วย เราตกใจจึงได้ยินประโยคสุดท้ายไม่ชัดเจน



                “ขอโทษ เราแค่อยากเจอนายเท่านั้นเอง”



                (ผมกำลังไป.../ตึก ตึก ตึก/)



                ...เราเชื่อนายได้ใช่ไหม...



                แหมะ!



                “ชิบห...เอ่อ ทิชชู่ไหมครับ”



                เราส่ายหน้า เม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเอง



                “...ขอตัวนะ” เราคว้ากระเป๋าบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน แต่คนที่นั่งอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะลุกขึ้นตามทันที เขาคว้ามือเราที่จับกระเป๋าอยู่คล้ายกับบอกให้อยู่ก่อน เราสะดุ้งตกใจ จังหวะนั้นทำให้โทรศัพท์ที่ยังไม่ได้วางสายหลุดจากมือก่อนจะสไลด์ตัวกับโต๊ะหินอ่อนสีขุ่น



              “เดี๋ยวสิ!”



                กึก!



              (พี่ปั้น!...) เสียงสบถแว่วมาจากปลายสายก่อนที่จะตัดไป



                “อย่ามายุ่งกับเราเลย...ปล่อยเถอะ” เราอยากจะออกจากสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุดแต่ก็ออกแรงดึงกระเป๋าจากมือผู้ชายบ้าๆ คนนี้ไม่ได้ซักที



                “เฮ้ๆ ไม่ต้องกลัว ผมแค่อยากจะ...”



                “...”



                “ขอถามชื่อหน่อยได้ไหม”



                “...!!!”



                ผลัก!



                “ไม่ได้ว่ะ ขอโทษที”



                และตอนนั้นเองก็ผู้ชายที่ชื่ออาร์มก็เซไปด้านหลังจนเกือบจะล้มพร้อมเสียงดังแหวกอากาศขึ้นมา



                นั่นทำให้เราชะงัก



                ...นาย!?... เราหันขวับไปมองด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวัง



                “พี่ปั้น”  คนมาใหม่ดันตัวเราไว้ด้านหลังก่อนจะออกแรงกระชากกระเป๋าจากมืออาร์มที่ยืนอึ้งอยู่ “เป็นอะไรรึเปล่าครับ”



                พอเจ้าของแผ่นหลังนั่นหันมาเราถึงรู้ว่า...



                ไม่ใช่นาย



                “ชิบหาย พี่ปั้นอย่าร้องไห้เลยครับ เกิดอะไรขึ้น ไอ้เชี่ยนี่ทำอะไรพี่ปั้นรึเปล่าครับ” แดมสบถก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าโมโห นั่นทำให้อาร์มรีบโบกมือปฏิเสธคนที่จะเข้ามาคว้าคอเสื้อเขาทันที พวกตะโกนใส่กันจนคนที่อยู่ในสนามหันมามอง



                “ทำอะไรพี่กูวะ...นี่มึง?ไอ้ขี้เมา? มึงทำอะไรวะ!”



                “เฮ้ย เปล่านะเว้ย! แล้วกูไม่ใช่ไอ้ขี้เมาด้วย”



                “ไม่ทำแล้วพี่ปั้นจะร้องไห้ได้ไงวะ!”



                “แค่จะถามชื่อเองโว้ย...”



                “เฮ้ย ไอ้อาร์มนั่นรุ่นพี่ๆๆ”



                เรามองภาพตรงหน้าก่อนจะถอยหลัง พอก้มหน้ามองเท้า น้ำร้อนๆ หยดลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้



-------------
คิดถึงงงงงง

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ฮื่อออ พี่ปั้นนนน อย่าร้องงงงง  :hao5:

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น้ำตาพี่ปั้นนนน โฮฮฮ ไม่เอาไม่ร้อง จังหวะนรกจริงๆ ประดังประเดมาหมดพร้อมกันเลย  :katai1:

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
แรก ๆ เราชอบนะ
ชอบภาษา ชอบสำนวน ชอบความเอื่อยเรื่อย
แต่อ่านมา 21 ตอนเข้านี่แล้ว … ยังอึมครึมเลยอะ

หรือเพราะนาน ๆ ลงที เราเลยต้องย้อนกลับไปอ่านทวน
แล้วเลยได้อารมณ์ติด ๆ ดับ ๆ ติดอยู่ตรงคลองตัน
ไม่ไปถึงพัฒนาการซะที  เฮ้อออออออ

ไว้เรารอคำว่า END ก่อนละกันเนอะ
จะกลับมาเก็บทำคำให้ครบความค่ะ สัญญา :bye2:


ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
ในจินตนาการ พี่ปั้นมองซ้ายขวาแล้วพูดว่า
นายอ่ะ นายอยู่ไหน..ฮืออออออออ

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มารอพี่ปั้นกับน้องนาย

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
https://www.youtube.com/watch?v=EksdW4ymTZo
I don't want to lose you



Act 22 : เรา....กับนายใต้ไฟผลส้ม



ลำแสงสีส้มลอดผ่านช่องว่างของอัฒจันทร์ในขณะที่ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง เราหยิบดาวออกจากกระเป๋าของตัวเอง ดาวดวงน้อยที่อยู่กลางฝ่ามือมันโดนแรงทับแรงกระแทกจนบี้เสียรูปทรงไปหมด ถึงพยายามจะพับใหม่ มันก็เป็นดาวที่ยับๆ อยู่ดี



  “พี่ปั้นอย่าร้องไห้เลยนะครับ ถ้าไอ้นายมาเห็นเป็นเรื่องแน่” แดมวางขวดน้ำอัดลมไว้ตรงหน้า เขามีสีหน้ากังวลเมื่อเดินกลับมาเห็นเรานั่งซึมอยู่เหมือนเดิม



“นายจะมาจริงๆ ใช่ไหม” เราไม่อยากรอเก้ออีกแล้ว



“เดี๋ยวมันก็มาถึงแล้วครับ จริงๆ ไอ้นายน่ะมันอยากมาใจจะขาดแล้วครับ แต่ว่ามีเรื่องนิดหน่อย” ท้ายประโยคเขาพูดเสียงเบาจนเราฟังไม่ถนัด



“มีเรื่องอะไรรึเปล่า”



“เอ่อ ไม่มีอะไรครับ พี่ปั้นไม่ต้องกังวลนะครับ มา! ผมอยู่รอเป็นเพื่อนเอง ไม่ให้ไอ้เด็กบ้านั่นมารังแกพี่ปั้นได้อีก...”



“แดม”



“ครับ?”



“...นายคง...ไม่ได้เกลียดเราใช่ไหม”



“พี่ปั้นทำไมถามอย่างนั้นครับ” แดมร้องขึ้นตกใจ



“ไม่รู้สิ”



ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เรารู้อยู่เต็มอก ลึกๆ แล้วเราแค่ต้องการใครซักคนมาย้ำเตือนว่า นายรู้สึกยังไงกับเรา แล้วเราเองรู้สึกยังไงกับนาย



“...กับพี่ปั้นน่ะ นายมันจริงจังมากนะครับ”



                “...”



“ความรักทำให้เราเป็นคนโง่นะครับ ทั้งงี่เง่า กลัว คิดมาก เป็นกังวล  น้อยใจ สารพัด ไอ้นายน่ะเป็นอย่างนั้นใช่ไหมล่ะครับ” แดมหัวเราะแผ่วๆ ก่อนจะส่ายหน้าเมื่อนึกถึงเพื่อนตัวเอง



ถ้างั้นเราก็เป็นคนโง่เหมือนกันสินะ...



 “แต่ที่มันเป็นแบบนั้นพี่ปั้นก็คงจะรู้ว่าเพราะอะไร...”



“...”



“เพราะงั้นถ้ามั่นใจแล้วก็อย่ารอเลยนะครับ” แดมส่งยิ้มจริงใจมาให้ เขาทิ้งท้ายด้วยการลูบหัวไหล่เราเบาๆ



และนั่นก็เป็นเวลาเดียวกับแสงสุดท้ายของวันหมดลงไปพอดี…

 







“แอบฟุบหน้าร้องไห้จนหลับไปเลย แล้วเรื่องลุงมึง เรียบร้อยรึยังวะ”



“อย่าพึ่งพูดตอนนี้เลย”



“เออ กูเข้าใจ งั้นกูไปก่อนล่ะ มึงต้องโทรหากูนะถ้ามีอะไรที่มึงควบคุมไม่ได้”



“ขอบใจว่ะ”



สัมผัสเบาๆ ที่ลูบหัวเราทำให้เราลืมตาขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นแสงสปอร์ตไลท์ข้างสนามเป็นอย่างแรก ไม่นานเงาของใครบางคนก็บดบังแสงนั้นไว้



เขามาพร้อมกับประโยคธรรมดา แต่หัวใจกลับเราอุ่นวาบคล้ายกับว่ามีบางอย่างไหลผ่าน



“มารับแล้วครับ”



คนที่ไม่เจอกันสามวันอยู่ตรงข้ามเราตอนนี้ ไม่มีแดม มีแต่นาย



แค่นั้น...น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งลงมา เขาใช้นิ้วโป้งปาดมันออกก่อนจะคลึงหางตาเราช้าๆ



“ให้ตายเถอะ ร้องไห้ก่อนจะพูดแบบนี้ได้ยังไงกัน”



“มันไหลมาเองนี่นา..” เราพูดเสียงเบา ความอ่อนโยนในน้ำเสียงทำให้เรากกลืนน้ำตาลงไปแล้วมองหน้าเขานิ่ง นายดีกับเราเสมอเลย มีแต่เราที่ทำร้ายความรู้สึกของเขา



“กลับบ้านกันครับพี่ปั้น”



รอยยิ้มของนายพัดให้น้ำตาไหลลงมาอีกหนึ่งหยด

 







ธรรมศาสตร์ในเวลานี้ยังคงมีนักศึกษาอยู่บ้าง เราสองคนเดินข้างๆ กัน ผ่านไฟทางเดินที่สว่างเหมือนกับผลส้มเรืองแสง ทันทีที่เราเดินช้าลง นายก็หันมาพร้อมกับขมวดคิ้ว



“....ปวดตาหรอครั...”



“...เราขอโทษ”



“...!?”



“ขอโทษทำให้นายรู้สึกแย่”



“...”



เราพูดไม่เก่ง คิดก็ช้า แต่ก็พยายามอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้สิ่งที่เรากำลังจะสื่อพังทลายลงไป เพื่อรักษาคนอีกไว้ในความสัมพันธ์ของเรา



“ทุกๆ อย่างเลย เราขอโทษนะ เรามา...เริ่มกันใหม่ได้มั้ย”



“พี่ปั้น” เสียงคนที่เล่นฟุตบอลดังโหวกเหวกแทรกเข้ามาให้โสตประสาทเป็นระยะๆ นายเลื่อนมากุมมือเราไว้หลวมๆ สีหน้าที่ส่งมาให้เรามีหลากหลายความรู้สึกอยู่ในนั้น



“พี่ปั้นอย่าขอโทษอีกเลยครับ ผมไม่เคยคิดว่าพี่ปั้นผิดอะไร”



“นาย...” เราได้แต่เรียกชื่อเขาเท่านั้นเอง



“ผมยอมรับครับว่าตอนนั้นผมเสียใจ ผมคิดตลอดทั้งคืนนั้น...ผมผิดเองที่ไม่ใส่ใจพี่ปั้นมากพอ ผมรู้ว่าพี่ปั้นไม่ชอบให้ผมแสดงออกแบบนั้นตอนอยู่ข้างนอกผมก็ยังทำ”



“...”



“เป็นผมเองที่ต้องขอโทษมากกว่า เป็นผมเองที่อยากขอโอกาสจากพี่ปั้น”



ทำไมเด็กคนนี้ถึงไม่เคยโทษเราเลย ทำไมเขาถึงเก็บทุกอย่างไว้กับตัวของเขาเอง ทำไมเราถึงรู้สึกโกรธขึ้นมา เขาจะต่อว่าเราก็ได้ แต่นายเลือกที่จะไม่ทำ ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะคำว่าใส่ใจ ที่เขาบอกว่าไม่คิดถึงเรานั้นมันไม่ถูกต้องเลย



“นาย...ทำไมถึงเอาแต่โทษตัวเอง” ในคลองสายตาเราเห็นเพียงแต่มือของนาย คนข้างๆ ชะงักอีกครั้ง เราจึงเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ความรู้สึกบางอย่างในอกเหมือนกำลังจะปะทุออกมา ราวกับว่าเป็นข้าวปั้นอีกคนนึง



“นายบอกว่าถ้ามีอะไรก็บอกกันไง นายรู้ไหมกับเรื่องความรักเราก็แค่คนโง่คนนึง เราไม่รู้ต้องทำตัวยังไง ถ้าเราทำให้นายเสียใจ เราอยากให้นายสอน เราอยากให้นายบอกเหมือนกับที่นายบอกเราอยู่เสมอ ทำไมคราวนี้นายกลับเก็บเงียบ เราแค่อยากรู้...”



“...”



ทั้งหมดนั้น...



“เราไม่อยากให้นายเสียใจคนเดียว เพราะนายเป็นแบบนี้...เราก็เสียใจไม่แพ้กัน”



“พี่ปั้น...”



นายยิ้มอีกแล้ว เขายิ้มให้กับความรู้สึกที่กักเก็บไม่ได้ของเรา แต่ดวงตาเขาก็มีความเศร้าอยู่เช่นกัน



 “ไม่คิดเลยว่าความกลัวของผมจะทำให้พี่ปั้นเสียใจขนาดนี้” เขาพึมพำกับตัวเอง



“นายกลัวอะไร...”



เขาเม้มปากแน่นก่อนจะคลายออก "ผม..."



"..."





"ผม...กลัวว่าเสียพี่ปั้นไป”



“...!!!”



หัวใจเราบีบรัดแน่นกับความเจ็บปวดที่ซ่อนไว้ในส่วนลึกของนาย



 “คนเราน่ะพูดในสิ่งที่คิดทุกอย่างไม่ได้หรอกใช่มั้ยครับ เพราะแบบนั้นผมกลัวว่าถ้าผมพูดในสิ่งที่เราคิดทุกอย่าง ผมกลัวว่า...ผมจะเสียพี่ปั้นไป”



“...นาย”



 “ตั้งแต่แรกผมตั้งใจว่ารอพี่ปั้นได้เสมอ ให้เราสองคนเรียนรู้กันไปเรื่อยๆ แต่เป็นเพราะวูบนึงมันคิดน้อยใจ คิดว่าพี่ปั้นอายที่จะคบกับผมหรือเปล่า หรือว่าผมยังไม่ดีพอ ผมถึงอยากมั่นใจ ว่าผมไม่ได้คิดไปเองคนเดียว ว่าผมไม่ได้รักพี่ปั้นแค่ฝ่ายเดียว”



“...”



“แต่พอมานั่งคิดดีๆ แล้วก็เป็นผมเองนี่ที่อยากให้มันค่อยเป็นค่อยไป แล้วพี่ปั้นเองก็ไม่ได้คิดแบบนั้นซักนิด ผมมีสิทธิ์อะไรไปคิดแทนพี่ปั้นกัน แต่ไอ้ความน้อยใจนี่มันเด็กชะมัดเลยนะครับ... เด็กจนผมนึกอาย ผมคิดแบบนั้นกับพี่ปั้นได้ยังไง ถ้าพี่ปั้นรู้เข้า...ผมกลัวว่าผมจะต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว”



แววตาเจ็บปวด และทุกคำ ทุกประโยคของเขาวิ่งวนอยู่ในความคิดซ้ำๆ



....เราเข้าใจทุกอย่างแล้ว ทั้งหมดที่นายแสดงออกในวันนั้น...



 “เพราะฉะนั้นผมถึงขอโทษพี่ปั้นและขอโอกาสได้ไหมครับ”



“นาย....”



ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจเราอุ่นวาบไปหมดแบบนี้ คนอีกคนที่เข้ามาในชีวิตพร้อมกับความซื่อตรง ความจริงใจ ความหวังดี และทุกอย่างที่นายมอบให้คนอย่างเรามันมีค่ามากกว่านั้น พวกเราเงียบอยู่นานให้อะไรบางอย่างชะโลมหัวใจ



“นายอย่าโทษตัวเองอีกเลยนะ  เราแค่ไม่เข้าใจกันเท่านั้นเอง”



“...”



“คิดซะว่าเราสองคนได้เรียนรู้กันเพิ่มขึ้นอีกอย่างนึงแล้วนะ”



“ขอบคุณนะครับพี่ปั้น”



นายค่อยๆ คลี่ยิ้มที่มุมปาก จนกลายเป็นยิ้มกว้าง ยิ้มที่เรามองแล้วมีความสุข



และเราก็ส่งยิ้มกลับไปให้เขาแบบเดียวกัน แล้วเอ่ยคำขอบคุณ



ดีจังนะที่พวกเราต่างเรียนรู้ในความสัมพันธ์ ที่มีทั้งขอโทษ และขอบคุณ



บรรยากาศที่หนักอึ้งระหว่างนายกับเขาถูกทำลายลงอย่างช้าๆ เราสบตานายนานนับนาที ก่อนที่เสียงเฮจากสนามฟุตบอลปลุกพวกเราออกจากความคิด ทั้งๆ ที่ไม่กี่นาทีก่อนเรารู้สึกว่าเสียงรอบตัวไม่มีผลใดๆ กับเราเลย



เหมือนกับว่าคนตรงหน้าเรามีแค่นาย แต่คนตรงหน้านายก็มีแค่เราเช่นกัน



“มือนายเย็นหมดแล้ว เรากลับกันเถอะ”



เราเปลี่ยนเป็นฝ่ายที่ดึงมือนายมากุมไว้แล้วเริ่มออกเดิน พยายามไม่มองขอบตาแดงๆ ของนายที่เอาแต่จ้องมือของเราสองคนจนไม่มองทาง



บนฟุตปาธมีแค่เราสองคน ในตอนที่เท้าซ้ายของเขาก้าวมาอยู่ข้างๆ เรา เราก็กระชับมือเขาแน่นขึ้นเพื่อเรียกความตั้งใจให้กลับมาอีกครั้ง เพราะเห็นรถนายจอดอยู่ไม่ไกล เราจึงหันมามองนายแล้วตัดสินใจพูด



 “นาย...”



“ครับ” เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มดีใจเหมือนเด็กๆ



 “เรา...เราไม่ได้อายที่คบกับนายนะ ไม่เคยคิดเลย แต่บางทีเราก็ เอ่อ...เขินมากๆ เลย นอกจากพ่อแม่แล้วก็ไม่เคยมีใครมาดูแลเราแบบนายนี่นา”



“ผมเข้าใจแล้วครับพี่ปั้น” เขาทำท่าจะโอบไหล่เราแต่เพราะเราไม่ปล่อยมือซักที เพราะแบบนั้นเขาจึงเอียงหน้าอย่างสงสัย



ดาวดวงที่หนึ่งพันหนึ่งของเรานอนแน่นิ่งอยู่ในกระเป๋า



แต่คราวนี้เราคงไม่ต้องใช้มันแล้วล่ะ



เราจะให้ไฟผลส้มพวกนี้เป็นพยาน



“คำถามที่นายเคยถามน่ะ..."



“...ครับ?”



“เรารักนาย”



“...!!!”



ตอนนี้มั่นใจได้แล้วนะ









 

ไม่น่าเชื่อคำสั้นๆ เพียงแค่นั้นกลับมีพลังที่ยิ่งใหญ่...



แบบที่....ทำให้หัวใจคนบางคนพองโต ทำให้คนบางคนแทบจะร้องไห้ ทำให้ดีใจจนแทบบ้า



หรือไม่ก็...ทำให้คนๆ นั้นหลงคิดว่าทุกอย่างเป็นความฝัน



“นายขับระวังหน่อย”



“นายระวังมอเตอร์ไซค์”



“นายจอดรถก่อนไหม”



“นายถึงบ้านเราแล้ว”



“นาย ไปกินข้าวกัน แม่ทำกับข้าวไว้เยอะเลย เขียนโน้ตว่านอนก่อนไม่รอแล้วนะด้วย”



“นายมาเร็ว”



“นาย!”



...ชักจะโมโหแล้วนะ...



“พี่ปั้น ผมฝันอยู่ใช่ไหมครับ”



“ไม่ได้ฝัน”



“ถ้าผมไม่ได้ฝัน แล้วผมได้ยินคำๆ นั้นได้ยังไง”



ถึงจะโมโหเขา แต่ก็เอ็นดูนายด้วยเหมือนกัน  คนตัวสูงเอาแต่นั่งพึมพำอยู่บนโซฟาไม่ยอมมาที่โต๊ะอาหารซักที จนเราที่เดินเข้าไปแล้วต้องเดินกลับมาอีก



“คำอะไร”



ความร้อนพุ่งมาที่แก้มอีกระลอก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เราแทบจะระเบิดตัวเองตลอดทางกลับบ้าน ก็นายเอาแต่พูดว่า “พี่ปั้นรักผม” ไปตลอดทาง



“คำว่ารัก”



พูดจบ หูนายก็แดงแข่งกับแก้มเราซะอย่างนั้น



“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ฝัน”



เราบอกว่ารักนายจริงๆ แล้วเจ้าเด็กโง่



“ขอกอดได้ไหมครับ พิสูจน์ว่าไม่ได้คิดไปเอง” เขากางแขนรอ



“มะ...ก็ได้”



เกือบจะหลุดปากปฏิเสธเพราะความเขิน แต่ก็กลัวนายจะน้อยใจอีก ไม่รู้ทำไม นายถึงยิ้มกรุ้มกริ่มแปลกๆ เขากลับมาเป็นคนเดิมแล้วหรือยังไง คนที่เอะอะต้องขอความรักเสมอๆ



“มาครับกอดกัน” เราขยับตัวไปใกล้ ชำเลืองมองทางก่อนจะกางแขน แก้มเขาอยู่ตำแหน่งเดียวกับหัวใจของเราพอดี



“ขอความรักจากเราหรอ”



“ผมได้แล้วนี่ครับ”



“อ่า...”



วันนี้ความกล้าหาญของเราจะทำให้เราระเบิดเพราะความเขินรึเปล่านะ



แต่พอเห็นรอยยิ้มนายแล้วก็...



....ดีแล้วล่ะ...



“แต่ผมน่ะอยากได้ความรักจากพี่ปั้นเยอะๆ พี่ปั้นจะได้สนใจแค่ผม” ว่าแล้วก็กระชับกอดแน่น เหมือนกับเด็กหวงของเล่น



“...”



เขาผละออกมาก่อนจะดึงเรานั่งบนตัก มือขวาลูบแก้มเราช้าๆ ส่วนใจเราไม่ต้องพูดถึงเต้นแรงจนคิดว่าเขาคงได้ยินทุกอัตราการเต้นแล้วล่ะมั้ง



นายค่อยยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนริมฝีปากแตะกันแผ่วเบา



“ผมรักพี่ปั้น”



เขากระซิบชิดริมฝีปากราวกับส่งคำว่ารักไปกับจูบนั้น



“ขอบคุณที่รักผมนะครับ”

 







...ขอบคุณเหมือนกันนะ...





===========
miss u
ความจริงมันยาวกว่านี้แต่พิมพ์ๆ ลบๆ
สุดท้ายก็อยากให้จบบทด้วยคำว่าขอบคุณนี่แหละ...ดีเเล้ว (เลียนแบบพี่ปั้น55)
ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มาต่อแล้ว หลังจากรอมานาน  :mew1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ยังรออยู่นะ

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
*ไม่มีอะไรจะบอกนอกจากรักและคิดถึง*



Act 23 : เรา...เป็นทุกอย่างได้เพื่อใครคนหนึ่ง





               “อ้าวนาย แม่ได้ยินเสียงรถ นึกว่าจะขึ้นไปนอนข้างบนกัน”



               “สวัสดีครับ แอบมารบกวนไม่ได้บอกก่อนต้องขอโทษด้วยนะครับ”



               “ไม่เป็นไรลูกนายมากดีปั้นหงอยมาหลายวันแล้ว พ่อ! ดูหมาปั้นลูกพ่อสิ นอนทับขานายเป็นตะคริวหมดแล้วมั้งน่ะ”



               “หือ? นั่นสิ นายต้องไปตัดขาไหมลูก มาทีไรเป็นหมอนให้ปั้นตลอดเลย”



               “ตอนนี้ผมไม่มีความรู้สึกที่ขาแล้วครับพ่อ”



               “สองคนนี้...ยังจะตลกอีก ข้าวปั้น ข้าวปั้นลูก ตื่น เช้าแล้ว มานอนอะไรตรงนี้”



               “อือออ”


               
                “ไม่ไหวเลยจริงๆ ตื่นเลยนะเจ้าเด็กขี้เซา”



               “อื้อ แม่อ่า” เรายกหลังมือบังแสงสว่างจ้าของเช้าวันใหม่



               ...เดี๋ยวนะ!...



               เมื่อคืน?



               ห้องนั่งเล่น?



               นาย!?



               เหมือนเหตุการณ์ฉายซ้ำ

               เราลุกพรวดขึ้นมา แล้วหันไปถามแม่ด้วยน้ำเสียงตกใจ



               “นายล่ะครับแม่!”



               “ก็อยู่นี่ไง” แม่ชี้ไปด้านหลังเรา “นอนทับขาเขาแล้วยังตีมึนอีก”



               อ่า
               


               ...โล่งอกไปที นายไม่ได้ไปไหน...



               เราลอบผ่อนลมหายใจ หวังว่าจะไม่มีใครเห็นนะ พ่อกับแม่ชวนนายคุยสองสามคำ จากนั้นแม่ดุนิดหน่อย(จริงๆ นะ) แล้วก็โบกมือไล่เราไปอาบน้ำ เราเหลือบมองคนที่อมยิ้มอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับขมวดคิ้ว



               “ผมหนีไปไหนไม่ได้หรอกครับ  มีลูกหมานอนทับขาทั้งคืน”



               “ฮ่าๆๆ”



               “นาย! พ่อกับแม่ก็หัวเราะปั้นด้วยหรอ ใช่สิ ปั้นเป็นหมาหัวเน่าแล้วนี่”



               “อ้าว รู้ตัวด้วย นายลูกไปล้างหน้าแปรงฟันมาทานข้าวกัน”



               “แม่...”



               แม่ฉุดมือนายให้ลุกขึ้นก่อนจะเดินควงแขนออกไปจากห้องนั่งเล่น เราหน้ามุ่ยตั้งใจจะหันไปจะอ้อนพ่อ แต่พ่อก็เดินหนีไปรดน้ำกล้วยไม้ซะอย่างนั้น



               “พ่ออ่า...”



               เท่านั้นเสียงหัวเราะก็ประสานเสียงกันอีกครั้ง



               เรายกหมอนขึ้นมาปิดหน้าแล้วแอบยิ้มอยู่คนเดียว



               ถึงจะโดนทุกคนแกล้ง แต่ว่าบรรยากาศแบบนี้...มีความสุขจัง



               ขอให้มีความสุขอยู่กับเราตลอดไปเลยได้ไหม

 











               “นายไม่ไปเรียนหรอ”



               สองชั่วโมงถัดมาทั้งบ้านก็เงียบลง เพราะพ่อกับแม่ออกไปทำงาน ส่วนเด็กธรรมศาสตร์ ดีกรีนักบาส แถมยังเก่งภาษาอังกฤษคนเนี้ยก็ทิ้งตัวลงข้างเรา นายอยู่ในชุดนักบาสที่คาดว่าคงจะติดอยู่ในรถของเขาเหมือนเดิม ในมือมีโทรศัพท์มือถือเครื่องที่เราไม่เคยเห็น



               “ผมขอใช้สิทธิ์ลาหนึ่งครั้งครับ”



               “เกเรนี่”



               “เปล่านะครับ ได้อยู่กับพี่ปั้นทั้งทีนี่นา”



               “ให้เราไปธรรมศาสตร์เป็นเพื่อนไหม” เราเอ่ยขึ้นไม่ได้คิดจริงจัง ส่วนตาก็เอาแต่จ้องเปเปอร์ในจอโน้ตบุ๊ก ไม่มีเรียนแต่งานเพียบเลยเรา แต่เพราะอีกคนเงียบไป เราจึงเงยหน้าไปมองแล้วก็พบว่า...



               นายหน้าบึ้งใส่



               ...เราพูดอะไรผิดไปหรอ...



               “พี่ปั้น ผมยังไม่ได้ดุพี่ปั้นเรื่องเมื่อวานเลยนะครับ”



               “เรื่องเมื่อวาน?”



               ความทรงจำเราอาจจะต้องซ่อมแซมแหงๆ เราไม่เข้าใจที่นายพูด เพราะที่เราจำได้ ก็มีแต่เรื่องของนายเท่านั้น ขนาดตอนนี้ยังมีแต่นายเต็มไปหมด เหมือนฟองสบู่ที่มีหน้านายลอยล่องอยู่อย่างงั้นแหละ



               “ตีมึนอีกแล้วนะครับ” นายพูดเสียงเข้ม ฟองสบู่ที่ว่าแตกดังโพละขณะที่เขายื่นมือมายืดแก้มเรา



               “อื้อ อะไรเล่า เราไม่รู้จริงๆ นี่”



               เราจับมือเชาออก ไม่ได้เจ็บจนต้องร้องโอดโอยแต่คนข้างๆ ก็เปลี่ยนมากุมมือเราแทน ลูบเบาๆ เป็นเชิงปลอบ



               “ผมบอกแล้วว่าให้พี่ปั้นอยู่ที่บ้านผมเสร็จธุระแล้วจะไปหา แล้วเป็นยังไงล่ะ ไอ้เด็กปีนเกลียวนั่นมาจีบจนได้ ถ้าผมไม่รีบโทรหาไอ้แดมนะป่านนี้มันทำอะไรๆ”



               เพราะประโยคนั้นทำให้เราฉุนกึก



               “เราไม่ได้บอกให้มาจีบเราซะหน่อย แล้วถ้านายไม่หายไปเฉยๆ เราก็คงไม่ออกมาหรอก”



               “…”



               “เราบอกว่าอยากคุยด้วย ส่งข้อความหาก็ไม่ตอบเลย”



               นาทีนี้งานอะไรก็ไม่อยู่ในความสนใจอีกแล้วล่ะ เราสองคนประจันหน้ากัน ทุ่มเถียงกันเหมือนวันก่อนๆ มือที่กุมกันไว้เปลี่ยนเป็นกอดอกของตัวเอง



               “ผมติดธุระครับ พอเสร็จธุระแล้ว โทรศัพท์ก็ดันตกน้ำอีก ผมเร่งร้านซ่อมเร็วที่สุดแล้วแต่สุดท้ายก็ต้องไปหามือสองมาใช้ เปิดแล้วก็โทรหาพี่ปั้นเลยครับ” นายพยายามอธิบาย แววตาดื้อรั้น



               “ธุระอะไรของนาย” เราคาดคั้น นึกเกลียดคำว่าธุระขึ้นมา



               ...ถ้าเราหายไปจะบอกว่าติดธุระมั่งแล้วกัน...



               “ติดธุระจริงๆ นะครับ”



               “ได้!”



               “พี่ปั้นโกรธหรอครับ”



               “ถ้าเราหายไปบ้างล่ะ”



               “พี่ปั้น!” นายเอ็ดอย่างลืมตัว



               “เสียงดังใส่เราทำไม” เราตาโตตกใจนิดๆ กับน้ำเสียงของเขา และดูเหมือนว่านายจะรู้ตัว เขาดึงเราเข้าไปกอด คางได้รูปกดทับไหล่ขวาเราเอาไว้



               “...ไม่...พี่...”



               เราจะโกรธจริงๆ แล้ว



               “พูดดังๆ ให้เหมือนที่นายเอ็ดเราสิ”



               “ขอโทษครับ แต่พี่ปั้นอย่าพูดว่าหายไปได้ไหม” เขาผละออก จ้องตาเราอย่างจริงจัง



               “เราจะไปที่ไกลๆ บ้างนายจะได้หาเราไม่เจอ จากนั้นเราจะ...”



               “พอแล้วครับ”



               “ทำไมล่ะ ทีนายยัง...”



               “เพราะ...ผมคงอยู่ไม่ไหว” เขาพึมพำแน่นอนว่าเราได้ยินมันชัดเจน



               “นาย...เราล้อเล่น อย่าจริงจังสิ” ใจเราอ่อนยวบ พูดขอโทษเขาในใจ ไม่อยากเห็นเขาเป็นเหมือนครั้งนั้นอีก “อะ...เห็นไหมเล่า นายยังไม่อยากให้เราหายไปเลย ทีหลังนายก็ห้ามหายไปอีกนะ”



               “...ครับ” เจ้าเด็กร่าเริงคนเมื่อกี้ กลายเป็นหงอยเหงาซะได้ เขากอดเราอีกหน ถึงจะสงสารแต่ท่าทางน่าเอ็นดูนั่นน่ารักชะมัด



               “สัญญาด้วย”



               “ครับ...”



               แถมเวลาเราพูดคางก็กระทบไหล่ไปด้วย เหมือนหุ่นยนต์เลย



               “อย่าหายไปนะครับ”

 

 









               ตั้งแต่รู้จักนาย เวลาก็ผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน อาจจะซักสองเดือน สี่เดือน หกเดือนหรือมากกว่านั้น เราก็ไม่แน่ใจนัก รู้แต่ว่าพอมองกลับไป เราไม่นึกเสียดายแม้แต่วินาทีเดียว



               “อ่านหนังสือ!”



               (พี่ปั้น ผมอยากเจอพี่ปั้นครับบบ) คนปลายสายลากเสียงยาว



               มาถึงช่วงปลายเทอมแล้ว นายเป็นเด็กหัวดี แต่ขยันขี้เกียจจริงๆ เลย คนที่อยู่ข้างนอกแล้วดูเท่แต่พออยู่กับเราก็เหมือนเด็กน้อยคนนึงนี่เอง



               (/เชี่ยนายยย มึงอย่ามาอ้อนแถวนี้กูขนลุก/ มึงทนไม่ได้มึงก็ไปนั่งนู้นไป /พี่ปั้นคร้าบอย่าไปเชื่อมัน/)



               เสียงโหวกเหวกดังลอดมาทำให้เราหลุดขำอย่างช่วยไม่ได้



               “โอ๊ย เกรงใจคนไม่มีคู่บ้างจ้า”



เราคุยกับนายอีกสองสามคำก่อนจะกดวาง แล้วหันมามองคนข้างๆ “ชมพู่ว่าอะไรนะ”



               “เปล๊า”



               “งอนอีกแล้วหรอ เอางี้เราหาแฟนให้ชมพู่ดีไหม”



               เราสองคนอยู่ระหว่างทางกำลังกลับบ้าน ชมพู่อาสาขับรถมาส่งเราด้วยตัวเอง จะว่าไป....นักศึกษาปีสี่อย่างเราใกล้จะบอกลาบ้านที่นครปฐมแล้ว เรานำเสนองานทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว สอบเสร็จหมดแล้วด้วย(เพราะเรียนน้อยด้วยแหละ) จะเหลือก็แต่ส่งงานเท่านั้น เพราะงั้นนอกจากกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วก็ยังมีเอกสารอีกปึกใหญ่ๆ ให้เราทำสุดสัปดาห์นี้



               “อะไรนะ”



               พอรถชะลอติดไฟแดงชมพู่ก็หันขวับมาถาม



               “เราช่วยหาแฟนให้ชมพู่เอง” เราตอบแต่สายตากลับมองไปนอกรถ “นั่นไงๆๆ ชอบป้ะ” เราชี้ไปที่แผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่งที่คร่อมมอเตอร์ไซค์คันใหญ่



               “หือ?”



               “มองจากด้านหลังชมพู่ชอบมั้ย”


               
               “ไอ้หมาปั้น ลูกเขานั่งอยู่ด้านหน้ารถ แกไม่เห็นรึไง!” ชมพู่ผลักหัวเราแทบจะทันทีก่อนแว้ดออกมาชุดใหญ่ พึ่งสังเกตว่าเธอหันมือถือมาทางเรา



               ...ที่ผลักมา อินเนอร์ล้วนๆ ใช่ไหม...



               “อ้าวหรอ งั้นคนนู้นล่ะ” เราชี้ไปรถอีกคันที่กระจกใสจนเห็นหน้าคนขับรถ



               “พอเลยๆ คนสวยๆ อย่างฉันไม่ขอรับความชั่วเหลือจากแกหรอกปั้น”



               “อะ...เอ่อ ชมพู่ไม่ได้ด่าเราใช่ไหม”



               ...เหมือนเราจะได้ยินคำว่าชั่ว อะไรซักอย่าง...



               “ฉันไม่เคยด่าแกเล๊ยยยย ทุกคนเห็นไหมคะ ปั้นมันพยายามหาแฟนให้ฉันค่ะ มันกำลังยัดเยียดคนที่ติดไฟแดงให้ฉันจ้า”



               ...เฮ้ย ชมพู่ไม่ได้ถ่ายรูปตัวเองแต่กำลังไลฟ์อยู่หรอเนี่ย...

 









               “ข้าวปั้น แม่ทำข้าวห่อไข่ให้นายน่ะลูก มีผลไม้ด้วยเอาไปฝากแดมกับเอ็มเจ”



               “ครับ?”



               “เอ้า ยังจะมาทำหน้าหมาสงสัยอีก น้องอ่านหนังสือสอบมีเวลาทานข้าวรึเปล่าก็ไม่รู้ เราว่างก็เอาข้าวไปให้น้องหน่อย”



               “อ่า...”



               ครับ



               เราตอบรับแม่ในใจ เพราะตอนนี้กำลังจดจ่ออยู่กับวรรณกรรมเรื่องใหม่ที่นายซื้อให้เมื่อสองอาทิตย์ก่อน(แอบอ่านเพราะไม่อยากทำงาน) ตอนนี้ถึงจุดหน่วงใจที่ทำให้หูเราดับสนิท



               ...สำหรับตาแล้วยายได้ตาย โตนีโน่เอ๋ย...



               “ข้าวปั้น?”



              ...คนเราจะไม่มีวันตาย ตราบใดที่ใครคนหนึ่งยังเราเรา จำไว้นะ...



               อื้อหือออ



               “...”



               “รู้เรื่องไหมเนี่ย โอ๊ย ฉันสงสารนายจริงๆ เลย ปั้น!”



               “ครับ!”



               พรึ่บ!



               “แม่....” เราลากเสียงยาว แล้วก็พบสายตาดุๆ ของแม่ มือขวาปิดหนังสือแล้ววางลงกับโต๊ะ เดี๋ยวกลับมาอ่านต่อนะ



               “ไม่ต้อง!”



               “ปั้นได้ยินแล้วครับบบบ เดี๋ยวปั้นเอาไปให้นายเอง ทีกับนายนะ แล้วปั้นล่ะแม่ไม่เห็นเอาข้าวไปให้ที่หอบ้างเลย”



               ...บ่นไปงั้นแหละ แต่ก็ลุกไม่ได้เห็นหน้าหลายวันก็อยากเจอเขามั่งนี่นา...



               “ไม่ต้องงึมงำ ไปได้แล้ว เย็นแล้วจะขึ้นรถขึ้นราก็ระวังด้วย”



               “คร้าบบบบ”



               เราหิ้วถุงผ้าออกมาจากบ้าน ไม่คิดจะโทรหานายก่อนหรอก ช่วงสอบนี้เขากลับไปนอนที่บ้านแทนที่จะเห็นหอพักแถมยังมีเพื่อนเขาอยู่ด้วย เราก็หายห่วง

 







               ตอนที่แท็กซี่จอดเทียบหน้าบ้านนายก็หกโมงพอดี เรามองผ่านรั้วเข้าไปก็เห็นไฟสว่างอยู่ ถ้านายเจอข้าวห่อไข่นายต้องตกใจแน่ๆ เลย เรายิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องที่คาดการณ์ไว้



               แต่ว่า



               ยิ่งเดินเข้าไปเราก็ยิ่งรู้สึก



               แปลก...



               เราขมวดคิ้ว เอ็มเจกับแดมมาติวที่นี่นี่นาแล้วทำไมถึงมีรองเท้าแค่สองคู่ล่ะ



               เราถอดรองเท้า ก่อนจะเปิดประตูเข้าบ้าน ก้าวเท้าไปที่มุมห้องรับแขก แต่จังหวะที่เราจะเอ่ยปากเรียกนายนั้น เสียงที่ไม่คุ้นหูก็ดังขึ้น ทำให้เราขมวดคิ้วและเงียบลงโดยไม่ได้ตั้งใจ
               


               เท้าหยุดอยู่หลังกำแพง



               “ช่วยลุงอีกซักครั้งเถอะนะ”



               “...”



               “ลุงรู้ว่าลุงขอร้องนายมามากแล้ว แต่เรื่องคดีมันยืดเยื้อ นายก็รู้ว่าลุงมีลูกคนเดียวถ้าลุงไม่ช่วยไอ้ทูมัน ลุงจะช่วยใคร”             



               เราไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ แต่เพราะอะไรบางอย่างตรึงเท้าเราให้นิ่งอยู่กับที่



               “ลุงรู้ว่านายทำงานหนัก แต่ลุงสัญญาว่าจบเรื่องเมื่อไหร่ นายไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน....”



               “คราวที่แล้ว...”



               ทำไมกัน...น้ำเสียงนายดูเหนื่อยจังเลย



               “...”



               “คราวที่แล้วลุงก็พูดแบบนี้ ผมยอมไปหาเงินเพิ่มมาให้ลุง ผมพยายาม...”



               “...”
               


               “ที่ผมทำได้ ผมพยายามทำให้ลุงแล้ว ตอบแทนลุงที่เลี้ยงดูผม...”



               “...”



               “...แต่ผมบอกลุงแล้วว่าอย่ายุ่งกับคนอื่น”



               “คนอื่น? คนอื่นอะไรกัน นายโกรธลุงเพราะเรื่องนี้หรือไง คนอื่นที่นายว่าก็เป็นแฟนไม่ใช่หรอ...”



               “ลุงครับ!”



               “....ไอ้ทูมันบอกว่าครอบครัวเขาก็เอ็นดูนายดีนี่ ขอให้ช่วยหน่อยมันเป็นไปไม่ได้เลยใช่ไหม หรือจะให้ลุงไปขอเองล่ะ อย่างนั้นน่ะเขาต้องช่วยลุงแน่นอน เพราะลุงคือครอบครัวคนเดียว.....”



               “ผมบอกแล้วไงครับว่าอย่ายุ่งกับพี่ปั้น”



               นายพูดลอดไรฟัน น้ำเสียงเขาแข็งกระด้างอย่างไม่เคยได้ยินมาก่อน บรรยากาศของความอึดอัดลอยคลุ้งไปหมด ลุงของเขากลืนน้ำลายเสียงดัง ส่วนเรากำถุงผ้าในมือแน่น บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกที่อยู่ตรงอกนี่มันอะไรกัน



               “ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลุง แต่...ผมช่วยลุงไม่ได้อีกแล้ว และช่วยบอกลูกชายลุงด้วยนะครับ เลิกมาสอดส่องชีวิตของผมกับพี่ปั้นได้แล้ว ถ้ายังไม่หยุดเรื่องที่ครอบครัวลุงตั้งใจจะเก็บไว้เป็นควา....”



               ยังไม่ทันที่นายจะพูดจบ มือเย็นเฉียบที่โผล่มาจากด้านหลังก็ปิกปากเราฉับ! เราตัวชาวาบด้วยความตกใจสุดขีด



               “อะ...อื้อ”



ถุงกล่องข้าวแทบจะหล่นออกมาจากมือ แต่เพราะตกใจเราจึงกำมันไว้แน่น



               “พี่ปั้น”



               เสียงกระซิบคุ้นหูดังพร้อมกับเสียงชู่ๆ



                เป็นเอ็มเจกับแดมนั่นเอง เขาสองคนมองเราด้วยแววตาตื่นตระหนก ก่อนจะดึงแขนเราไปนอกบ้าน

 

.
.
ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
.
.


               ถุงกล่องข้าววางอยู่บนชิงช้าตัวข้างๆ  ตัวที่นิ่งสนิท



               เรานั่งอยู่ชิงช้าตัวถัดไป กลิ่นของโซ่ที่เต็มไปด้วยสนิมโชยมาตามอากาศ ไม่ไกลจากเราคู่รักคู่หนึ่งกำลังวิ่งเหยาะๆ ออกกำลังกายยามเย็น



               “เอ่อ พี่ปั้นมานานแล้วหรอครับ”



               “อื้ม” เราตอบแดมขณะที่หางตาเหลือบเห็นหลังคาของโบสถ์คริสต์อยู่ลิบๆ พลางนึกไปถึงวันที่นายพาเราไปที่นั่น



               “พี่ปั้นโกรธนายมันหรือป่าวครับ”



               “โกรธหรอ”  เราทวนคำเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเด็กๆ สองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ



               “ไม่ เราไม่ได้โกรธ”



               ...เราสงสารนาย....

 

               “จริงๆ มันน่ะ กลัวครับ” จู่ๆ เอ็มเจก็เอ่ยขึ้น



               “...ไอ้นายนี่ขี้กลัวสุดๆ ไปเลย”



               “...”



               “แล้วก็ชอบคิดอะไร ทำอะไรคนเดียวโดยไม่บอกใคร มันกลัวว่าคนอื่นจะเดือดร้อนเพราะมัน”



               “จริงๆ เรื่องนี้พวกผมก็พึ่งรู้ไม่นานมานี้เองครับ” แดมเสริม ส่วนเราก็นั่งฟังเงียบๆ



               “พวกเราไปเห็นนายทำงานหนักขึ้น ซักไซ้ไปเรื่อยๆ เอาพี่ปั้นมาขู่มันถึงจะยอมบอกว่ามันทำงานเป็นกำลังหาเงิน...เพื่อลุงกับป้าของมัน”



               “ทีแรกก็เข้าใจได้นะครับ เรื่องบุญคุณน่ะพูดยาก แต่หลังๆ เริ่มรู้สึกว่านี่มันจะขูดรีดเกินไปแล้ว แถมไอ้ตัวต้นเหตุยังนอนกระดิกเท้าอยู่เฉยๆ ทำอย่างกับว่าไอ้นายมาทำงานใช้หนี้ชีวิตอย่างนั้นเเหละ”



               “เราสองคนเลือดขึ้นหน้าแทนมัน ไอ้นายมันก็ไม่บ่นหรอกครับ แต่มันหนักข้อขึ้นก็ตอนที่พวกเขาเริ่มพูดถึงคนที่มันแคร์และอยากปกป้องมากที่สุด...”



               “...ก็มีแต่พี่ปั้นนี่แหละ พี่ปั้นเข้าใจที่ผมจะพูดใช่ไหมครับ”



               “เราเข้าใจ”



               ...ทุกอย่างและเราไม่โกรธนายเลย

               

               





 

               เราลุกขึ้นเตรียมจะกลับบ้านนาย ใช้เวลาอยู่ข้างนอกไม่นานนัก เพราะเป็นห่วงนาย จึงชวนเอ็มเจกับแดมกลับ

             

               “ไอ้เด็กนี่ ถ้าไม่มีลุงอย่างฉัน จะโตมาได้ถึงขนาดนี้หรือไง! กล้าดียังไงมาขู่...”

               

               เสียงฝีเท้าหนักๆ พร้อมกับเสียงก่นด่าดังเข้ามาใกล้  แดมกับเอ็มเจอสบตามกับเงียบเชียบ ก่อนจะขยับตัวบังเราทันที

               

               “นี่!” ลุงนายหันมาเห็นก็ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรก่อนจะเงียบเสียง ใบหน้าโกรธขึงไม่มีความอาทรเหมือนที่นายเคยเล่าให้ฟัง เราแอบมองได้นิดนึง เอ็มเจก็ขยับตัวบังจนหมด

           

               “คุยกับเพื่อนผมเสร็จแล้วหรอครับ”

               

               ไม่รู้ว่าเอ็มเจพูดเสียงสีหน้าแบบไหน ลุงของนายถึงส่งเสียงฟึดฟัดอีกระลอกแล้วเดินจากไป

               

               “เกือบไปแล้วไหมล่ะมึง ถ้าไอ้นายรู้โดนด่าตายเลยไอ้ห่า”

               

               แดมหันหน้าพูดกับเอ็มเจ เวลานั้น ลุงของนายที่คิดว่าเดินไปไกลแล้วเหลียวกลับมาอีกครั้ง

               

               และสบตากับเรา

 

               







               "ไอ้นายพวกกูกลับมาแล้วโว้ย”

               

               เราเดินตามหลังพวกเขาเข้าบ้าน เพื่อนนายนี่ปรับอารมณ์เร็วจนน่าเหลือเชื่อ

               

               “พวกมึงอย่ากวนตีน กูบอกให้ออกไปแป๊บเดียวแล้วรีบกลับมา ปล่อยให้กูคุยอยู่กั...” นายที่นั่งเปิดหนังสืออยู่ที่โต๊ะตัวเดิม ส่งเสียงหงุดหงิด ถึงจะเห็นแต่ผมที่ปรกหน้าผากเขาแต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าคิ้วคงขมวดกันให้วุ่น

               

               “แถ่นแท้นนน พวกกูพากำลังใจมาส่ง”

               

               “พี่ปั้น! มาได้ไงครับ”

               

               เอ็มเจกับแดมกลัวนายจะคิดมากเลยเตรียมบทพูดซะยกใหญ่  แต่เพราะตลอดทางที่เดินกลับบ้าน เราเอาแต่คิดอะไรเงียบๆ คนเดียว ทำให้พวกเป็นกังวล



               พวกเขายิ้มค้างและรอคำตอบจากเรา



               “ก็มา...แท็กซี่”

               

               “อะ...ฮ่าๆๆ พี่ปั้นเนี่ยตลกเหมือนกันเนอะไอ้แดม เดี๋ยวพาไปเล่นมุกหน้าร้านเสื้อเราดีกว่า หน้านิ่งๆ คงจะเรียกลูกค้าได้เยอะ”

               

               “ไอ้นี่ ไปๆ กินผลไม้ดีกว่า แม่พี่ปั้นฝากมาเดี๋ยวไอ้นายแย่งหมด”

             

               ว่าแล้วเอ็มเจก็ถูกแดมลากออกไปก่อนที่นายจะยื่นเท้าไปเตะก้นเพื่อนรักของเขา

               

               “มาได้ไงครับ” พอนายหันกลับมาเขาก็คว้าข้อมือเราไปนั่งข้างๆ แล้วกอดเอวทันที มืออีกข้างที่ว่างเช็ดเหงื่อที่ขมับให้

               

               “แท็กซี่”

               

               “อย่าล้อเล่นสิครับ”

               

               เราหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะตอบไป



               “เอาข้าวเย็นมาส่งให้ลูกรักของแม่น่ะ หิวแล้วใช่ไหม”

               

               นายมองกล่องข้าวเขาเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะหรี่ตาลงเมื่อเห็นว่าเราจ้องเขาไม่วางตา “เป็นอะไรรึเปล่าครับ” เขาจับคางเราไปพลางหาความผิดปกติ

               

               “ไม่เป็นไรนี่” เราจับมือเขาออก มือข้างนี้ทำงานหนักไหม ร่างกายของเขาได้พักบ้างหรือเปล่า หัวใจของนายเริ่มเหนื่อยล้าบ้างไหม



               ข้างในอกของเรา มันตีรวนจนหน่วง

               

               เนิ่นนานกว่าจะพูดออกมา

               

               “เหนื่อยไหม”

               

               เหนื่อยรึเปล่า เราแบ่งเบาได้ไหม

               

               นายชะงัก แล้วมองนิ่ง             

               ส่วนเราก็มองหน้าเขาเช่นกัน ก่อนจะเลื่อนสายตามองริมฝีปาก

               

               เราขยับตัวเข้าหานาย               

               ขณะที่ไม่ละสายตามองเขา               

              ขณะที่ใช้นิ้วโป้งไล้มุมปากนายแผ่วเบา

               

               วินาทีต่อมา

               ตัวของเราแทบไม่มีช่องว่างระหว่างกัน

               ส่วนโค้งของริมฝีปากของเราแนบสนิท

               

               เสียงหัวใจตัวเองเหมือนจะถูกขยายให้ดังเพิ่มขึ้นร้อยเท่า คนตรงหน้ามีแววตาประหลาดใจอยู่ครู่นึง เขาปล่อยให้เราจูบปลอบเขาด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก

               

               “เราเห็นลุงของนาย...”

               

               ไม่ทันได้พูดจบ แววตานั้นก็เข้มขึ้นความรู้สึกบางอย่างครอบงำเขา นายขบเม้มกลับมาถึงจะไม่แรงมากนักก็ทำให้เราส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ

               

               มือหนายึดท้ายทอยเราไว้แน่น ถ่ายทอดอารมณ์กลัวออกมาอย่างหนักหน่วง

               

               “อื้อ”

               

               “ถ้าผมไม่ให้...พวกเขาก็เอาไปไม่ได้”

               

               เราขมวดคิ้วกับคำพูดนาย ไม่ทันจะได้คิดอะไร เขาเลื่อนริมฝีผากมาทาบที่ปลายคาง ก่อนจะเลื่อนไปที่ลำคอ มือข้างหนึ่งลูบเอวเราผ่านเนื้อผ้ากั้น ทุกที่ที่เขาสัมผัสร้อนจนแทบจะละลาย

               

               "นาย...”

               

               “...”

               

               “เราอยู่กับนายเสมอนะ”



               "..."



               และถึงเขาจะไม่เหลือใคร ก็ไม่เป็นไร เราจะเป็นทุกอย่างให้เอง



               เขาชะงักงัน...               

               ความนึกคิดกลับมาอย่างรวดเร็ว นายซบหน้ากับลาดไหล่เรานิ่ง

               ความเปียกหยดหนึ่งไหลออกมาจากหางตา





               เขาค่อยๆ ปรับลมหายใจ กอดเอวเราแน่นเหมือนกับกลัวว่าเราจะหายไป

               

               “เจ็มไหมครับ” เขาลูบต้นคอเราเบาๆ

               

               “ไม่เป็นไร”

               

               นับเป็นครั้งแรกที่เราเกือบจะเลยเถิด นายไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ขณะที่เราก็ไม่เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน

               เพราะอย่างนั้นความร้อนจึงกระจายอยู่ทั่วใบหน้า มือซ้ายที่นายประสานไว้เริ่มชื้น

               

               “เรารู้เรื่องทุกอย่างแล้วนะ” นายเงยหน้าขึ้น สีหน้ากังวล และหลายๆ อย่างผสมปนเปกันไปหมด

 

               





               นายไม่สนใจเอกสาร หรือหนังสือเรียนบนโต๊ะ แดมกับเอ็มเจรีบร้อนกลับไปซักพักนึงแล้ว พวกเขาคงเห็นว่านายคงต้องใช้เวลา

               

               นายเล่าให้เราฟังเรื่องปัญหาของลุงเขา ส่วนเรื่องที่ทำให้เขาสติหลุดก็คือเรื่องที่ลุงพยายามจะให้เขาขายบ้านหลังนี้ และ….

               

               “ก่อนหน้านี้ผมเต็มใจช่วย ก็ลุงเขาเลี้ยงผมมาตั้งแต่พ่อแม่เสีย แต่จู่ๆ ไอ้ทู...ลูกชายลุงน่ะครับ มันโทรหาผมแล้วก็พูดถึงพี่ปั้น มันขู่ผมว่าจะเข้าหาพี่ปั้นถ้าผมไม่ยอมช่วยลุง...พูดถึงพ่อแม่พี่ปั้นเสียๆ หายๆ ขู่ว่าจะบอกพ่อแม่ของพี่ปั้นด้วย”

               

               “ผมไม่อยากให้ใครยุ่งกับพี่ปั้น หรือครอบครัวพี่ปั้นแม้แต่นิด ก็เลยทำข้อตกลงกับลุง...”

               

               “เด็กโง่ ทำไมไม่บอกกันบ้าง พ่อกับแม่เราเต็มใจช่วยนายนะ ถ้าจะทำให้นายได้หลุดพ้นจากพวกเขา”

               

               เขาส่ายหน้า “พ่อแม่พี่ปั้นดีกับผมมาก แค่นี้ผมก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว...แต่พี่ปั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ครั้งนี้ผมไม่ยอมอีกแล้ว เพราะอย่างนั้นวันนี้ลุงถึงกับถ่อมาถึงที่นี่ ผมบอกพวกเขาแล้ว มันจบแล้ว ผมช่วยได้เท่านี้จริงๆ”

               

               “เหนื่อยมามากแล้วนะ ตัวแค่นี้เอง”

               

               นายเจออะไรมามากมายเหลือเกิน คำว่าตัวแค่นี้คงไม่เกินจริงหรอกมั้ง

               

               “จากนี้ขอให้เขาไม่มายุ่งกับนายอีกนะ”

               

               เราชอบเวลาที่ได้เปิดใจคุยกัน เพราะมันทำให้เรารู้สึกใกล้เขาเข้าไปอีก ในขณะเดียวกันก็ได้แบ่งเบาความรู้สึกของเขามาด้วย

               

               นายจมอยู่กับตัวเองไม่นานเขาก็เริ่มพูดอีกครั้ง

               

               “ตอนที่ผมเด็กๆ ลุงของผมน่ะ....เวลาคริสมาสต์ทีไรเขาจะมาหาผมที่บ้านพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่ง บอกว่าอยากได้อะไรให้เขียนใส่กระดาษนี้ไว้ ม้วนใส่ถุงเท้า แล้วแขวนไว้หน้าห้องนอน... ลุงบอกว่าถ้าตื่นมาแล้วคำขอจะเป็นจริง”

               

               “...”

               

               “ตอนเช้า...รู้ไหมครับพี่ปั้น สิ่งที่ผมขอวางอยู่หน้าประตู ผมดีใจและรอคอยมันทุกปี”

               

               “...”

               

               “ผมน่ะชอบเขามากเพราะเขาเป็นลุงคนเดียวของผม แถมยังเป็นซานต้าครอสของผมด้วย”

               

               เขามองตรงไปด้านหน้า แววตานายเป็นประกายแต่แฝงด้วยความเศร้าอย่างปิดไม่อยู่

               

               “...แปลกนะครับ พอเวลาผ่านไปซานต้าคลอสคนเดิมก็ไม่มีอีกแล้ว”

               

               “...”

               

               “...ผมไม่ได้ของขวัญมาหลายปีแล้ว แต่ถ้าผมขอได้อีกครั้ง”

               

               “...”

               

               “ผมอยากให้ลุงกลับไปเป็นซานต้าคลอสใจดีคนนั้นเหมือนเดิม”

               

               ...ที่นายมองอยู่คือรูปที่แขวนอยู่บนผนัง         

               ในภาพนั้นมีพ่อแม่และลุงของเขา ตรงกลางนั้นมีเด็กชายตัวเล็กๆ ยิ้มสดใสพร้อมกับกล่องของขวัญในมือ

               

               เขาคงรู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย ที่ต้องมาลงเอยแบบนี้

               

               เราหันซ้ายขวามองหาตัวช่วย ไม่อยากให้เขาจมดิ่งมากนัก

               

               ...นั่นไง...

               

               “นาย...คริสต์มาสยังไม่ถึงแต่เรามีของขวัญให้นะ ข้าวห่อไข่ที่เย็นแล้วจากซานต้าปั้นเอง”

               

               เขาชะงัก ค่อยๆ ละสายตาจากรูปภาพมามองเรา จากนั้นมุมปากก็โค้งขยับ           



               “หึหึ”

               

               “เอ้า ขำอะไรล่ะ รับไปสิ ซานต้าเมื่อยนะ”

               

               “เป็นแฟนผมเเล้วก็เป็นซานต้าด้วยหรอ"



               "อื้ม"



               "น่ารัก....แฮ่ม...ว่าแต่ผมยังไม่ได้ขอพรเลย ซานต้ามีของขวัญได้ยังไงครับ”

               

               “หือ? แล้วนายอยากได้อะไรล่ะ”

               

               นายจ้องมาที่ปากก่อนจะมองไปที่ลำคอ ตรงที่เราก็ไม่รู้เลยว่ามีรอยสีแดงจางๆ เกิดขึ้นตอนไหน จะรู้อีกทีก็ตอนส่องกระจกอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง

               

               “ว่าไง มองอยู่ได้”

               

               “ผม...อยากได้จูบจากซานต้าปั้นเหมือนเมื่อกี้น่ะครับ”

               

               ฉ่า               



               เจ้าเด็กคนนี้           

               จะล้อเขาตลอดไปเลยหรือไงนะ

               

               ว่าแต่...เห็นนายยิ้มกว้างแบบนี้



               ....ซานต้าจะอนุมัติคำขอดีไหมนะ...

               




แถมท้าย
               “ช้า...ช้าหน่อยได้ไหม นาย...อื้อ”
               “พี่ปั้นครับ ขออีกได้ไหมครับ”
               “ไอ้เชี่ย เสียงแหบพร่า สัดเอ็มเจมึงจะเอาไง” คนพูดกระทุ้งศอกไปหาเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตอนที่หลบไปกินผลไม้อยู่ในครัว เขาก็หน้าแดงกันเป็นแถบๆ
               “เอาเลย ไอ้เหี้ย ไม่ใช่ ไม่เอาๆ เข้าไปตอนนี้กูว่าไอ้นายตัดเพื่อนกับเราแน่”
               “ใครใช้ให้มึงลืมชีทล่ะ ยืนรอมานานแล้วนะโว้ย เมื่อกี้ก็ไม่ไปเอา”
               "ตอนเราแอบอยู่ครัวมึงกล้าไปเอาไหมล่ะ ไอ้นายแม่งฮอตอย่างไฟเยอร์”
               “ชิบหาย พี่ปั้นจะไหม้ไหมวะ”
               “พี่ปั้นไม่ไหม้หรอก แต่กูจะไหม้แล้วอ่า”
               “ไอ้เอ็มเจ! มึงยืนหนีบขาทำไม”
               “เชี่ยแดม กูว่าค่อยมาพรุ่งนี้แล้วกัน พากูกลับหอที”
               แดมถอนหายใจ จะสอบอยู่อาทิตย์หน้าพวกเขาจะรอดกันไหมเนี่ย ก่อนที่เท้าคู่หนึ่งกับอีกคู่ที่เดินบิดๆ จะเดินพ้นประตูรั้ว เอ็มเจก็หันมาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
               “มึงว่าไอ้นายจะได้กินข้าวห่อไข่ไหมวะ”
               “เชี่ย!”
               เขากระซิบดุ
               ....คิดเหมือนกันเลยว่ะ....




ขอโทษที่หายไปนานเลยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาหากันค่ะ
#เรากับเขา เข้าปี 2019

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
กลับมาแล้ว  :mew1: แอบสงสารนายจัง ชีวิตมีแต่ความลำบาก กำลังจะมีความสุข ก็มีมารผจญอีก

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ว่าแล้วทำไมนายถึงกันปั้นออกจากผู้ชายคนนั้น ที่แท้ลูกพี่ลูกน้องของนายที่มีจุดประสงค์ไม่ดีนี่เอง พอเข้าใจละ รีบมาต่อนะครับ ขนาดช่วงนานๆ คนอ่านลืม

ออฟไลน์ btoey

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
Act 24 : เขา...กับความรักครั้งสุดท้าย



นายยิ้ม ขณะมองพี่ปั้นพลิกตัวมากอดเขาตอนกลางดึก



เขาอยากมองพี่ปั้นไปนานๆ  นายเอื้อมมือลูบผมนิ่มอย่างเบามือ ลมหายใจรินรดปลายคางเป็นจังหวะนั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเขาไม่ได้ฝันไป



เขาไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกนี้อีกแล้ว นายมักจะย้ำคำนี้เสมอ แน่ล่ะ เพราะดีใจเขาเลยมักจะพูดมันบ่อยๆ



คิดอะไรอยู่นะ ถึงขมวดคิ้วแบบนั้น นายยิ้มบางๆ พลางลูบหน้าผากพี่ปั้นอย่างเบามือ คนที่นอนอยู่ทำเสียงอืออาสองสามครั้งแล้วก็ขดตัวซุกอกเขาเป็นลูกแมว



ถ้าปิดเทอมแล้ว เขาจะชวนพี่ปั้นไปเที่ยวบ้าง ไปที่ไหนดีนะ อืม....มีหลายที่อยากไปกับพี่ปั้นจนบรรยายแทบไม่ถูก นายคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พอกะพริบตาอีกทีแสงแดดก็ลอดผ่านผ้าม่านมากระทบแก้มพี่ปั้น



นี่เขามองพี่ปั้นจนถึงเช้าเลยหรอเนี่ย



พี่ปั้นรู้คงจะตีเขาแน่ๆ แต่ทำไงได้ ไม่ได้เจอพี่ปั้นตั้งหลายวัน คิดถึงจะแย่แล้ว



นายอยากมีพี่ปั้นทุกวัน ได้มองพี่ปั้นตื่นนอน และรอเข้านอนพร้อมกันทุกวัน คงจะดีไม่น้อย



อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ จัง

 





“นาย”



เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับแรงเขย่าเบาๆ พอลืมตาขึ้น เขาก็พบว่าพี่ปั้นก้มหน้ามามองใกล้ๆ



เผลอหลับไปตอนไหนเนี่ย อดเห็นพี่ปั้นตื่นเลย



“เป็นอะไรปวดหัวหรอ” มืออบอุ่นแตะหน้าผากเขาแผ่วเบาก่อนจะผละไป



“เปล่าครับ” เขาขยี้ตาสองสามทีไล่ความง่วงออก



“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตา เราทำข้าวผัดไว้ให้พอกินได้อยู่นะเราชิมแล้ว เออ แล้วก็...เอ็มเจกับแดมจะเข้ามาอ่านหนังสือตอนสิบโมงนะ”



อ่า



มาปลุกตอนเช้า ใส่เสื้อผ้าของเขา แล้วทำอาหารให้กินเนี่ย อยากให้เขาฟัดให้จมเขี้ยวหรือไงนะ



“นาย?”



เขาเผลอมองไม่วางตาไปหน่อย พี่ปั้นเลยทำหน้าสงสัยส่งมาให้



นายใจกระตุก จนหน้าแดง หูแดงไปหมด กลัวว่าพี่ปั้นจะรู้ว่าเขาคิดเรื่องอกุศลแต่เช้าจึงรีบคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป



...ตกลงเขาไม่ได้ฝันใช่ไหมเนี่ย...



“กินเยอะๆ นะ แล้วก็ตั้งใจอ่านหนังสือด้วย”



“แล้วพี่ปั้นจะไปไหนครับ” เขากลืนข้าวผัดคำสุดท้ายลงท้องก่อนจะเงยหน้าถามพี่ปั้น



“กลับบ้านสิ”



“ต้องกลับแล้วหรอครับ”



“อื้ม แม่โทรหาตั้งแต่เช้าบอกว่าหาลูกไม่เจอ” นายมองปากพี่ปั้นขยับขึ้นลงจนต้องกลืนน้ำลายอย่างเงียบเชียบ



“พี่ปั้นน่าจะให้ผมคุย ผมจะได้บอกว่าพี่ปั้นไม่อยากกลับ อยากนอนกอดผมแน่นไม่ไปไหน”



พี่ปั้นส่ายหน้าแล้วส่งยิ้มบางๆ มาให้ แดดสีเหลืองอ่อนจากด้านหลังทำให้พี่ปั้นของเขาดูละมุนละไม นายใจเต้นแรง ตกหลุมรักคนตรงหน้านับครั้งไม่ถ้วน

 





“ไอ้นาย”



“อืม”



เขาครางในลำคอตอบรับ ก็เพื่อนรักเขาทั้งสองยุกยิกมาตั้งแต่สิบนาทีที่แล้ว



“ตกลงเมื่อคืนได้กิน...เอ๊ย ได้เคลียร์กับพี่ปั้นเรื่องลุงมึงรึยังวะ” เอ็มเจเอ่ยขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นแล้วก็พบสายตาเป็นห่วงจากเพื่อนสองคน เขาพยักหน้าเป็นคำตอบ



“หวังว่าคราวนี้ลุงมึงจะเลิกยุ่งจริงๆ นะเว้ย ต่างคนต่างอยู่มาตั้งนาน เดือดร้อนก็ค่อยโผล่มาทีนึง”



นายคิดตามคำพูดของเพื่อน...หลังจากลุงเขากลับไปวันนั้น ไอ้ทูลูกพี่ลูกน้องเขาทั้งพยายามโทรและส่งข้อความมาต่อว่าเขาด้วยความโกรธ กระทั่งมาวันนี้โทรศัพท์กลับเงียบสนิท



นายก้มหน้ามองหนังสือทำท่าเหมือนไม่คิดอะไร แต่ในใจเขากลับวูบโหวงกังวลอย่างน่าประหลาด



ครืด ครืด ครืด ครืด



“เชี่ยเอ็มเจ มึงปิดเน็ตเดี๋ยวนี้เลย แจ้งเตือนเด้งอย่างกับปืนกลแบบนี้แม่งรบกวนสมาธิพวกกู” แดมยื่นมือไปตบหัวเอ็มเจดังผลัวะ ก่อนที่จะคว้าโทรศัพท์ของเอ็มเจขึ้นมาดู



“ในไลน์กลุ่มผู้พิทักษ์นี่ เชี่ยนายดู พวกมันโอดครวญกันใหญ่เพราะพี่ปั้นจะเรียนจบแล้ว ฮ่าๆ จากนี้ไม่รู้จะแอบมองใครที่น่ารักเท่าพี่ปั้น”



“ไหนๆ กูดูมั่ง โหพี่ชมพู่เข้ามาแว้ดใหญ่”



แดมยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าเขาแว้บนึงแล้วก็หันไปคุยกับเอ็มเจต่อ เขาเหลือบมอง เพราะเป็นเรื่องพี่ปั้น นายจึงปัดเรื่องกังวลอย่างอื่นทิ้งไป แค่มีพี่ปั้นก็พอแล้ว เรื่องอื่นน่ะ...ไม่น่าเก็บเอามาใส่ใจซักนิด



“ก็ดี”



“มึงว่าไงนะไอ้นาย”



“กูบอกว่าดีแล้ว พี่ปั้นน่ะให้กูเห็นคนเดียวก็พอ”



“โอ๊ย ไอ้ขี้หวง”



แล้วเพื่อนเขาก็เปลี่ยนมาตบหัวเขาคนละที



...คิดถึงอีกแล้ว...

 









(ครับ? อื้อ นาย...ว่าไง สอบเสร็จรึยัง)



แอบงีบแน่เลย เสียงถึงอู้อี้แบบนี้ เหมือนความคิดจะสื่อถึงกัน คนปลายสายถึงได้กระแอมเบาๆ เสียงกุกกับบ่งบอกว่าคงจะพยายามมุดตัวออกจากผ้าห่ม



“เสร็จแล้วครับ พี่ปั้นครับ...ผมเหนื่อย” นายไม่เหนื่อยเลยซักนิด ที่พูดไปเพราะอยากอ้อน ถ้าเพื่อนได้ยินคงขนลุกพิลึก แต่ไม่เห็นเป็นไร เขาก็อ้อนกับพี่ปั้นคนเดียวนี่



(เหนื่อยก็กลับไปพักกก)



“อยากเจอพี่ปั้นมากกว่า”



(มาสิ)



หือ?



เขาประหลาดใจ ไม่ทันได้คิดอะไรต่อพี่ปั้นก็พูดขึ้น



(เรามีเรื่องอยากจะคุยกับนายเหมือนกัน)



“อะไรหรอครับ”



ทำไมนะ ที่เขาคิดว่าน้ำเสียงพี่ปั้นจริงจังเกินไป....



(ก็เรื่อง...)



ปึก!



“ไอ้นายไปแดกเหล้าไหมวะคืนนี้ สอบเสร็จแล้วนะเว้ย ปีสามมันเป็นอดีตแล้ว วู้วฮู้ว”



“นักศึกษา เงียบหน่อย”



(...นาย?)



“ครับ”



“โทษครับจารย์ แหนะๆ คุยกับพี่ปั้นหรอวะ” เขาพยักหน้าเป็นคำตอบ เพื่อนเขาจึงยักคิ้วพร้อมส่งยิ้มยียวนมาให้ “งั้นกูไปชวนไอ้แดมไปเมากันตามประสาคนโสดดีกว่า ไว้คุยกันเพื่อน”



(แต่นายพึ่งสอบเสร็จ ไปกับเพื่อนก่อนก็ได้นะ)



“ไม่เป็นไรครับ ผมคิดถึงพี่ปั้นมากกว่า...”



(โอเค้ งั้นเรารอที่บ้านนะ ขับรถดีๆ ล่ะ)



“ครับ”



เพราะพี่ปั้นหัวเราะนิดๆ ก่อนจะวางสายทำให้นายสบายใจขึ้นเยอะ แต่ยังไงก็ตามเถอะ



โคตรอยากเจอพี่ปั้นเลยว่ะ

 







เขาขับรถตรงมาบ้านพี่ปั้น รถค่อนข้างติด ถึงอย่างนั้น พอผ่านร้านอาหารญี่ปุ่น นายตัดสินใจแวะซื้อข้าวหน้าเนื้อกับไข่ออนเซ็นสองที่ พร้อมอาหารเซ็ตอีกสองอย่างไปฝากที่บ้านพี่ปั้น แล้วก็ขับรถต่ออย่างอารมณ์ดี



ขณะที่ติดไฟแดงนายมองออกไปนอกหน้าต่าง ถัดจากรถเขามีรถเมล์สาย 18 ชะลออยู่ เขาหวนนึกถึงวันแรกที่เจอพี่ปั้นพลางอมยิ้ม ไม่คิดว่าตัวเองจะนึกมุกขอไลน์ได้เร็วขนาดนั้น

 

ก็ตอนนั้นแค่คิดว่าถ้าคนๆ นี้ลงจากรถไป ก็คงไม่มีโอกาสอีกครั้งแน่ๆ

 

ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นน่ะเขาก็เป็นคนบังคับเข็มพรหมลิขิตด้วยตัวเอง

 

ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เขาได้เจอพี่ปั้น



ปริ้นๆ



นายยิ้มขำพลางส่ายหน้าให้กับตัวเองเล็กน้อยก่อนจะรีบออกรถ เขาเลี้ยวเข้าซอยบ้านพี่ปั้นด้วยความเคยชิน บ้านขนาดกระทัดรัดแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของพี่ปั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว



นายจอดรถอีกฝั่งของถนนเยื้องหน้าบ้านพี่ปั้น ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบอาหารเย็นที่เบาะหลัง



ในขณะที่กำลังจะเปิดประตูรถนั้น เขาเห็นพี่ปั้นเดินออกมาหน้าบ้าน



“ออกมารับเราหรอเนี่ย”



เขาพึมพำ สีหน้ายิ่งแจ่มใส นายลงจากรถ ตาเป็นประกายแห่งความสุขคู่นั้นยังคงจ้องมองพี่ปั้น



รถราวิ่งขวักไขว่ นายไม่สามารถก้าวขาวไปข้างหน้าได้เลยแม้แต่น้อย



บรืนนนนน



เสียงมอเตอร์ไซค์แล่นมา ดังไปทั่วบริเวณ เมื่อรถมอเตอร์ไซค์คันนั้น จอดลงตรงหน้าพี่ปั้น เขาตัวเย็นวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุ



พอเจ้าของรถเสียงดังคันนั้นถอดหมวกกันน็อค นายก็กำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว เขาก้าวขาออกมาโดยที่ไม่ละสายตาจากสองร่างนั้น



ปริ้นๆ



ทำไมเขาจะจำไม่ได้ เจ้าของรถนั่น คือไอ้ทู ลูกพี่ลูกน้องของเขา!



มันกำลังจะทำอะไร!



“เฮ้ย! ไอ้น้องข้ามถนนยังไงวะเนี่ย ไม่ดูรถเลยหรือไง!”



ลมสงบกำลังพัดพาคลื่นใหญ่ถาโถมสู่ความหวาดกลัวของเขาอีกครั้ง



และวินาทีที่มือสกปรกข้างนั้นผลักไหล่พี่ปั้น



เขาตัดสินใจข้ามถนนท่ามกลางเสียงก่นด่าดังสนั่น

 



“พี่ปั้น!”



นายไปถึงตัวพี่ปั้นได้ทันเวลา การมาของเขาทำให้ลูกพี่ลูกน้องชะงัก นายไม่เสียเวลาคิดเขาดันตัวพี่ปั้นให้อยู่หลังตัวเองทันที เพียงวินาทีเดียวที่สบตา เขารับรู้ถึงความกังวลของพี่ปั้น



“ไอ้นาย” เจ้าของรถมอเตอร์ไซค์เส็งเคร็งจอดรถ แต่ก็ยังไม่ยอมลงมา เอาแต่วางท่าคร่อมรถซึ่งนายมองว่ามันน่ารำคาญสิ้นดี



“ทำไมมึงถึงยังไม่จบซักทีวะ”



ยิ่งเห็นไอ้ทูแสยะยิ้ม เขายิ่งหัวเสีย



“มึงคิดว่ามึงขู่พ่อกูได้คนเดียวหรือไงวะ กูก็ขู่ได้ หรือจะทำมากกว่าขู่...แฟน...มึงได้เหมือนกัน”



“งั้นมึงคงอยากเข้าคุกจริงๆ สินะ” เขากัดฟัน กำหมัดแน่นจนเล็บจิกฝ่ามือ



“หึ”         



ทำเป็นวางท่าซะใหญ่โต ที่มาวันนี้มันคงกลัวว่าเขาจะบอกตำรวจจนต้องโผล่หัวมา ก็ไอ้หลักฐานที่เขาเผลอได้มาด้วยความบังเอิญนั่นน่ะ หลักฐานที่ว่าก็คือลูกพี่ลูกน้องของเขา ตั้งใจชนคนขี้เมาคนนั้นจริงๆ



ลุงยอมถอยไปแล้วตั้งแต่วันนั้น ถึงได้เลิกยุ่งกับเขา แน่นอนว่าสำหรับลูกชายคงไม่ใช่สินะ...ไม่อย่างนั้นมันคงไม่มาระรานที่นี่



“หึ มึงไม่กลัว?”



 “มึงกล้าก็ลองดูสิ!”



ผลัวะ!



โครม!



เพราะมันถือดีไปมองคนของเขา สายตาน่ารังเกียจที่โลมเลียพี่ปั้นนั่นทำให้นายไม่ทนอีกต่อไป



ผลัวะ! ผลัวะ!



ไอ้ทูล้มลงพร้อมๆ กับมอเตอร์ไซค์คู่ใจที่หล่นโครมลงกองไปกับพื้น นายเลือดขึ้นหน้า เข้าไปต่อยคนที่เคยวิ่งเล่นด้วยกันตอนเด็กซ้ำๆ ถุงกล่องอาหารมื้อเย็นที่ถือมากระจัดกระจาย เขาไม่มีเวลาสนใจ ลูกพี่ลูกน้องที่ล้มอยู่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่เอามือมาปัดป้องหมัดของเขาไปมา เสียงตุ๊บตั๊บดังก้องอยู่ในหัวทว่านายได้ยินเสียงพี่ปั้นร้องห้ามดังกว่าเสียงไหนๆ พี่ปั้นโถมตัวกอดแขนซ้ายของเขาแน่น



“นาย! นาย!”



“เกิดอะไรขึ้น นาย!”



“ไอ้ทู! นาย!”



“ข้าวปั้น! พ่อ...ไปห้ามหน่อยเร็ว นายลูก”



เวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงคนมาใหม่สามคนก็ร้องห้ามด้วยน้ำเสียงร้อนรนเพราะความโกลาหลที่เกิดขึ้น พ่อแม่พี่ปั้นวิ่งออกมาจากในบ้าน คนที่ตามหลังมาคือลุงของเขาเอง เมื่อเห็นแบบนั้นนายชะงักไปด้วยความตกใจและนั่นทำให้เขาโดนลูกถีบของไอ้ทูที่สีข้างอย่างแรง จนทำให้พี่ปั้นที่กอดเขาแทบจะล้มไปด้วย นายได้สติหันขวับไปหาพี่ปั้น พี่ปั้นจะโดนลูกหลงไม่ได้ และเขาไม่ควรทำตัวขาดสติแบบนั้น เขาสบตากับอีกคนที่กำลังน้ำตาไหล



“เป็นอะไรไหมครับ”



เขาลูบหน้าพี่ปั้นมือสั่น  รู้สึกกลายเป็นนายอีกคนที่ทำตัวแย่ๆ ต่อหน้าพี่ปั้น เขาไม่ทันเห็นว่าทูกำลังหน้ามืดด้วยความโกรธ มันเห็นช่องว่าง...เตรียมง้างหมัดเตรียมจะต่อยท้ายทอยเขาเต็มแรงอีกครั้ง



เพี้ยะ!



“พอแล้วไอ้ทู!”



หน้าไอ้ทูหันไปตามแรงตบ ไหล่ถูกกระชากให้ถอยห่างทันที มันตัวแข็งทื่อทว่าหมัดที่กำแน่นสั่นสะท้าน พ่อตบหน้ามัน!



“พ่อ!”



“ยังเรียกกูว่าพ่ออีกหรอ! ทำเรื่องงามหน้ายังไม่เคยสำนึกผิด แล้วยังจะมาทำร้ายคนอื่นอีก! มึงจะทำให้คนเป็นพ่อตายไปเลยหรือยังไง!



นายไม่สนใจสองพ่อลูก เขารวบพี่ปั้นเข้ามาในอ้อมกอด ขยับตัวหนีออกจากระยะที่ไอ้ทูจะโจมตีสามสี่ก้าว ใจกระหน่ำตีในอกจนเจ็บปวด ก่อนจะสบตากับพ่อและแม่ของพี่ปั้น สายตานั้นเต็มไปด้วยคำขอโทษ พี่ปั้นกำเสื้อเขาแน่นพร้อมกับกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้อง



“ผมขอโทษแทนลูกชายผมด้วยนะครับคุณ มันจะไม่มีอีกแล้ว ครอบครัวเราติดหนี้คุณ...”



ลุงของนายที่ขยับมายืนอยู่ตรงหน้าลูกชายตัวเอง แล้วยกมือไหว้พ่อกับแม่ของพี่ปั้น นายผละออกจากพี่ปั้นก่อนจะหันไปมองลุง เขาขมวดคิ้วแน่น



ทูก็เช่นกัน



...อุตส่าห์จะมาสั่งสอนแฟนของไอ้นาย เพราะไอ้นายกล้าขู่ครอบครัวเขา กล้าอกตัญญู ทั้งๆ ที่บ้านเขาก็แทบไม่มีกินแต่ต้องมาช่วยส่งเสียงมันเรียนตั้งแต่เด็ก ทำไมกัน ทำไมพ่อของเขาถึงได้นอบน้อมขนาดนั้น…



แม้จะอยู่ในความคิดแต่ความเคียดแค้นนั่นแสดงออกมาจากแววตาทั้งหมด



“หมายความว่ายังไงพ่อ!”



“มึงขอโทษนายกับข้าวปั้นเดี๋ยวนี้!” เมื่อพ่อของตนไม่ตอบคำถาม ทูอยากจะหาอะไรระบายอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่ในอกนี้ไปให้หมด ทูรู้สึกความร้อนพุ่งขึ้นใบหน้า มันอับอาย อดสู โกรธ และริษยาอยู่ในขณะเดียวกัน



“ไม่จำเป็น พวกคุณออกไปจากบ้านเราซะ เรื่องที่ตกลงกันไว้คุณคงจะไม่ลืม ห้ามมายุ่งเกี่ยวกับนายและข้าวปั้นอีก และอย่าลืมครอบครัวของคุณไม่เกี่ยวข้องกับนายอีกนับตั้งแต่วันนี้!”



คุณพ่อของพี่ปั้นพูดเสียงหนักแน่น ใบหน้าเย็นชากดดันให้ลุงของนายค้อมหัวลงต่ำ แม่ของพี่ปั้นจับมือข้างหนึ่งของคุณพ่อแน่น สายตาแข็งกร้าว ยามที่เดินมาอยู่หลังนายและพี่ปั้น นายเข้าใจในทันที ที่พี่ปั้นบอกว่าจะคุยกับเขาคงเป็นเรื่องนี้



ลูกพี่ลูกน้องของเขาฮึดฮัด มันอยากจะตะโกนใส่หน้าพวกมันเป็นหมื่นๆ คำ เจ้าของใบหน้าช้ำเลือดเห็นนิ้วของพ่อตัวเองสั่นเล็กน้อย และปลายซองสีน้ำตาลที่ถูกพับลวกๆ โผล่มาจากกระเป๋ากางเกง ทูกัดกรามตัวเองราวกับจะบดให้มันแหลกละเอียด



...หมายความว่า พ่อกับแม่ไอ้หน้าอ่อนนี่ยอมช่วยไอ้นายจริงๆ สินะ เดิมทีเขาเสนอให้พ่อพูดถึงเรื่องแฟนไอ้นายเพราะอยากจะขู่ให้มันหาเงินให้หนักขึ้นเท่านั้นมาเป็นค่าจ้างทนาย พวกเขารู้ว่าคนที่ไอ้นายรักเอามาเป็นเครื่องต่อรองได้



...หึ ทำไมไอ้นายถึงมีแต่คนคอยค้ำชู หนี้ของคนอื่น ครอบครัวนี้ก็เต็มใจช่วยอย่างนั้นหรอ...



ทูยกมอเตอร์ไซค์ของตัวเองขึ้นก่อนจะวาดขาคร่อมเศษเหล็กคันนั้น



“หึ พอใจมึงแล้วสินะไอ้นาย”



นายรู้ ไอ้ทูก็แค่พาล เขาจ้องไอ้ทูเขม็ง ไม่กล่าวอะไรอีก เขารู้สึกว่าแค่หายใจร่วมกับมันก็มากเกินพอแล้ว



“พอใจแล้วสินะที่เห็นพวกกูตกต่ำถึงขนาดนี้ หึ ไม่น่าเลยนะพ่อ ถ้ามันจะอกตัญญูถึงขนาดนี้ ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายๆ ไปกับพ่อแม่ของมันเลย จะเก็บมันมาเลี้ยงทำไมวะ!”



เสียงทุ้มแหบตวาดก้อง ระบายความเคียดแค้นในใจ และไม่รอให้ขับไล่ครั้งที่สอง ทูบิดคันเร่งออกไปทันที



ทิ้งความย่ำแย่ทางความรู้สึกไว้ให้เบื้องหลัง



“ผม...ผมขอโทษจริงๆ ครับ นายเอ๊ย ลุงขอโทษ” นายมองลุงตัวเองที่ตาแดงก่ำ หลังค้อมลงอย่างไร้ศักดิ์ศรี “ลุงขอโทษจริงๆ”



ผู้ใหญ่อีกสองท่านถอนหายใจ ทำไมจะไม่เข้าใจความรู้สึกเพราะรักลูกมากไปจึงยอมทำทุกอย่าง พ่อกับแม่ของพี่ปั้นแม้จะเอ่ยไปแบบนั้น แต่ก็เดินเข้าไปหาลุงนาย ตบไหล่เบาๆ ท่าทางคงอยากจะพูดอะไรให้กับลุงของเขา



และตรงนี้เหลือเขากับพี่ปั้นแล้ว



“พี่ปั้น ผม...ผม...”



“นายอย่าทำแบบนี้อีกนะ ถ้านายเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง” นายอยากจะชกหน้าตัวเอง พี่ปั้นร้องไห้เพราะเขาอีกแล้ว เขารู้สึกปั่นป่วนจวนเจียนจะระเบิด



 “พี่ปั้น ผมเกือบจะทำให้พี่ปั้นต้องเจ็บตัว...”



พี่ปั้นกุมมือเขา พลางพูดเสียงหนักแน่น “ไม่เป็นไร...นายจำไว้นะ”



“...”



“ขอแค่นายไม่เป็นอะไร เราก็ไม่เป็นอะไร”



แม้ว่าดวงตาและปลายจมูกแดงช้ำ พี่ปั้นก็ยังส่งยิ้มมาให้เขา



และประโยคเมื่อครู่ทำให้เขาอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ



ถ้าเขาเจ็บ พี่ปั้นก็เจ็บ



แล้วเมื่อกี้พี่ปั้นจะเจ็บแค่ไหนกันนะ



คนตรงหน้าเข้มแข็งกว่าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ



ไม่ใช่เขาแค่อยากจะปกป้องพี่ปั้น แต่พี่ปั้นก็เช่นกัน



“ขอบคุณนะครับ” เขาเอ่ยออกไปแผ่วเบา



...จะแค่ไหนก็ไม่เคยพอสำหรับคนๆ นี้...



พี่ปั้นบีบมือเขา ก่อนจะเบนสายตาไปด้านนอก



“อ่า ไหนดูซิ ของที่นายซื้อมาถูกคนใจร้ายนั่นทำลายหมดแล้ว นั่นของโปรดเรานี่”



คนที่เหมือนแสงสว่างของเขาเดินออกไปหน้าบ้านเก็บถุงอาหารเย็นที่หล่นกระจายออกไปตรงริมถนน เขาเดินตามออกไปไม่ห่าง หางตายังเห็นพ่อแม่ของพี่ปั้นยืนคุยกับลุงของเขาตรงซุ้มดอกกล้วยไม้



พี่ปั้นยังคงเป็นพี่ปั้น เป็นคนที่ทำให้เขาหายดีเสมอ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม



รถราด้านนอกเริ่มบางตาลงแล้ว พี่ปั้นของเขาชูถุงอาหารขึ้นมาระดับไหล่ ส่งยิ้มให้แต่ก็ทำหน้าเสียดายอาหารโปรดจนเขาต้องเผลอยิ้ม



บ้านหลังนี้ ครอบครัวนี้ดีกับเขาเหลือเกิน



...รอยยิ้มของพี่ปั้นนับจากนี้ จะเป็นของเขาโดยสมบูรณ์...



เขาจะไม่ทำให้พี่ปั้นต้องเสียน้ำตาอีกแล้ว



นายเหม่อมองพี่ปั้นได้ไม่นานก็รู้สึกถึงลมเย็นสายพัดผ่านตัวเขาไป นายหนาววูบจนเกร็งแขน



ไม่ทันได้คิดถึงสาเหตุ



และไม่มีใครคาดคิดว่า



มอเตอร์ไซค์ของทูย้อนกลับมาอีกครั้ง แรงบดเบียดของล้อนั่นเต็มไปด้วยความโกรธแค้นพุ่งตรงมาด้านหลังของเขาอย่างรวดเร็ว



กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรจะเกิดขึ้น....แสงสว่างวาบเข้ามาในตาพี่ปั้นก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกอย่างที่เขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน



“นายระวัง!”



สิ้นเสียงนั้นนายรู้สึกว่าเหตุการณ์ทุกอย่างมันกระทันหันไปหมด



ผลัก!



เขามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนคนโง่

ภาพตรงหน้าถูกชะลอให้ช้าลงเป็นสิบเท่า



ฝ่ามือที่มักจะมีแรงน้อยกว่า

ผลักเขาให้พ้นเขตของรถอันตรายไปอย่างเฉียดฉิว



แต่พี่ปั้นกลับไม่ใช่...



รถของไอ้ทูเฉี่ยวแขนพี่ปั้นจนเจ้าตัวเซถลาไปกลางถนน

ขณะที่มีรถอีกคันกำลังแล่นมา



ปริ้นนนนนนน



เอี๊ยดดดดดด



โครม!



กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น...

พี่ปั้นของเขาก็นอนนิ่งอยู่ตรงนั้นแล้ว....

 

“โทษนะครับ”

“...ครับ?”

“ส้มผมกลิ้งไปโดนเท้าคุณ..”




ความทรงจำในก่อนหน้านั้นแทรกความนึกคิดเข้ามาเป็นระยะ…ติดๆ ดับๆ คล้ายอยู่ระหว่างความฝันกับความจริง



“พี่ชื่ออะไร”

“เราไม่จำเป็นต้องบอก”

“บอกมาเถอะ...งั้นถือซะว่าเห็นแก่ถุงส้มใบนั้น”

“ชื่อ...ปั้น”

“มาจากกำปั้นหรอพี่”

“ข้าวปั้น”




“ปล่อยมือคนไข้ก่อนครับคุณ ใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้ว”



“เราจะลงแล้วล่ะ”

“อ๋อครับ...”

“โชคดีนะ”




“นายลูกปล่อยมือพี่เขาก่อน ปั้น...ฮือ”



“นาย...ความชอบของเราอาจจะตามนายไม่ทัน”

“แต่จนกว่าถึงวันนั้นช่วยรอหน่อยนะ”



เสียงไซเรน เสียงร้องไห้ เสียงหายใจที่อ่อนล้า แทรกเข้ามาในโสตประสาท

มือของพี่ปั้นเย็นเฉียบ ไม่ต่างใจเขา

หนาวเหน็บ...ราวกับว่าความอบอุ่นได้หายไปแล้ว



“อย่าดื่มนะ นายขับรถ”

“เหม่ออะไรครับ ฝนตกแล้ว มาครับ…เดี๋ยวไม่สบาย”




นายยังคงจ้องมองใบหน้าซีดเซียว

แม้ว่าน้ำตาอุ่นร้อนไหลลงมา ลวกผิวจนแสบไปหมด

เขาก็ไม่ละสายตา...แม้แต่วินาทีเดียว



“พี่ปั้นร้องไห้ทำไมครับ”

“เพราะนายนั่นแหละ! เราเรียกนายแล้วนายไม่ตอบเราเลย เหมือนนายไม่ได้อยู่ที่นี่ เราถึงกลัว...” 

“เรากลัว...นายไม่กลับมา”

“ผมจะไม่กลับมาได้ยังไง...ก็พี่ปั้นอยู่ตรงนี้ทั้งคน”



หัวใจของเขาเจ็บปวดเหลือเกิน



“สุขสันต์วันเกิดนะ ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่นายที่ทำให้นายเกิดมาบนโลกใบนี้”

“เราตั้งใจมาที่นี่เพื่อบอกกับนายว่า...”

“เราชอบนายมาแล้วหนึ่งพันครั้ง”




แค่คิดว่าคนที่เจ็บเป็นพี่ปั้น เขาก็เหมือนตายลงไปแล้ว



“นายกลัวอะไร...”

“ผม...กลัวว่าเสียพี่ปั้นไป”

“คนเราน่ะพูดในสิ่งที่คิดทุกอย่างไม่ได้หรอกใช่มั้ยครับ เพราะแบบนั้นผมกลัวว่าถ้าผมพูดในสิ่งที่เราคิดทุกอย่าง ผมกลัวว่า...ผมจะเสียพี่ปั้นไป”

“คำถามที่นายเคยถาม...”




“ขอทางหน่อยครับ ห้องฉุกเฉินพร้อมแล้ว!”

“คุณครับเข้าไปไม่ได้ครับ ญาติรอด้านนอกนะครับ”



ใจร้ายจัง



“...ครับ?”

“เรารักนาย”



จะให้เขาอยู่คนเดียวบนโลกนี้หรือยังไง



...ถ้าไม่มีพี่ปั้นแล้ว ผมจะอยู่ไปเพื่ออะไร...

 


[ต่อด้านล่างนะคะ]

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
ผนังสีขาว

ทางเดินสีขาว



สถานที่ที่เขาไม่เคยนึกชอบมันเลย

ถึงอย่างนั้น เขาต้องกลับมาอีกครั้ง และรอคอย



การรอคอยสำหรับเขามันช่างทรมาน...กว่าครั้งไหนๆ



ไม่รู้ว่ามาถึงนี่ได้ยังไง แต่นายรู้สึกเหมือนกับว่า...เขาผ่านการจมน้ำมาเป็นพันๆ ครั้ง



นายเหม่อมองบานประตูนั่นอย่างไม่มีสติ ความทรงจำผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ผสมทั้งอดีตและเหตุการณ์เมื่อครู่



“นายลูก ไปทำแผลก่อน” ฝ่ามืออบอุ่นสัมผัสที่ไหล่ข้างขวาแผ่วเบา เขาที่เหม่ออยู่นาน ค่อยๆ หันกลับมาสบตาคนตรงหน้าอย่างเชื่องช้า คุณแม่พี่ปั้นส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ เขาจุกจนพูดไม่ออก



ตรงกลางอกวูบโหวงอยู่ตลอดเวลา



“...”



“ปั้นไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ถึงมือหมอแล้ว” มืออีกข้างหนึ่งวางทาบทับมือที่กำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อของเขา พ่อแม่พี่ปั้นที่ใจเสียไม่แพ้กันกำลังปลอบประโลมเขา ไม่กล่าวโทษเขาแม้แต่คำเดียว



ทั้งๆ ที่เขาเป็นตัวต้นเหตุเเท้ๆ



“ผม...” นายพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงไป น้ำเสียงเจ็บปวดเกินใครจะคาดคิด กระทั่งผู้ใหญ่ทั้งสองก็น้ำตารื้นด้วยความสงสาร



“...”



 “เป็นเพราะ...ผม พี่ปั้นถึง...”



เขาพบว่าตัวเองอ่อนแอเสียเหลือเกิน

อ่อนแอ ไร้ค่ายิ่งกว่าก้อนกรวดที่แม้แต่คนรักยังปกป้องไม่ได้



....พี่ปั้นตัวแค่นี้ จะทนเจ็บได้ยังไง...



“ปั้นจะไม่เป็นไร ไม่ต้องร้องนะลูก”



เสียงกระซิบพร้อมกับอ้อมแขนโอบล้อมกายเขา

เขาปล่อยให้ความอ่อนแอและความหวาดกลัวท่วมท้มออกมาอย่างไม่อาย


“ผมขอโทษ อึก ผมขอโทษครับ”

 







มืด



“นาย...”



“...”



“เราอยู่กับนายเสมอนะ”



“...”



“นาย”



เสียงเรียกหนึ่งดังพร้อมกับแรงเขย่าเบาๆ พอเปิดตาขึ้น เขาก็พบว่าคนตรงหน้ากำลังก้มลงมามองใกล้ๆ



เสื้อเชิ้ตสีฟ้าบนตัวรวมถึงกางเกงสแล็คสีดำเหมาะกับรูปร่างอีกฝ่ายอย่างน่าประหลาด



“พี่ปั้น?”



เขาขมวดคิ้ว มึนงงกับเหตุการณ์ข้างหน้า บรรยากาศรอบๆ เบาสบายเหมือนนอนอยู่บนท้องฟ้า ล่องลองคล้ายความฝัน



“เป็นอะไรปวดหัวหรอ” มืออบอุ่นแตะหน้าผากของเขาแผ่วเบาก่อนจะผละไป



สัมผัสเสมือนจริงทำใจเขาเต้นแรง



“เปล่าครับ” นายส่ายหน้าประกอบคำพูด



“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตา เราทำข้าวผัดไว้ให้พอกินได้อยู่นะเราชิมแล้ว รีบเลยเดี๋ยวก็ไปสัมภาษณ์งานสายหรอก”



...เหมือนวันนั้นเลย...



ริมฝีปากบางบ่นเขาต่ออีกสองสามประโยค สองมือท้าวเอว คิ้วขมวดกันแน่น ขณะเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหาชุดทางการที่เข้ากันให้เขา



“ตัวไหนดีนะ...”



นายลุกขึ้นนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง สายตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังของพี่ปั้น



มุมปากยกยิ้มบางอย่างไม่รู้ตัว



ดีชะมัด...



ได้โตไปพร้อมกับพี่ปั้นด้วย

ได้มองพี่ปั้นทุกวัน

ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพี่ปั้น



หากว่านี่คือฝัน คงเป็นฝันดีที่สุดที่เขาไม่อยากตื่นเลย

               









นายสะดุ้งตื่นพร้อมกับหางตาที่เปียกชื้น เขาเช็ดมันลวกๆ ก่อนจะมองไปรอบๆ เมื่อกลางดึกคุณหมอออกมาจากห้องฉุกเฉินแจ้งข่าวให้กับญาติผู้ป่วยก่อนจะย้ายพี่ปั้นมายังห้องพิเศษ



“โชคดีนะครับที่รถคันนั้นหักหลบไปชนกำแพงบ้าน ไม่งั้นคนไข้อาจจะบาดเจ็บหนักกว่านี้ คนไข้เอาแขนรองรับน้ำหนักทำให้แขนซ้ายหัก เอ็นข้อเท้าฉีก ส่วนศีรษะที่ฟาดลงกับพื้น ไม่มีบาดแผลภายนอกแต่เรากำลังรอผลจากซีทีแสกน คนไข้ตอบสนองดี ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลนะครับ กลางคืนอาจจะมีไข้ขึ้นสูงทางเราจะจัดเตรียมพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิดครับ”



“เห็นไหม เจ้าลูกหมาของพ่อดวงดีจะตาย”



“ขอบคุณค่ะคุณหมอ ฮึก” พ่อของพี่ปั้นถอนหายใจอย่างโล่งอก ระหว่างนั้นก็กอดปลอบคุณแม่ไปด้วย



นายเงียบขณะฟังอาการของพี่ปั้น แววตาเขาวูบไหวเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นนายแทบไม่ละสายตาไปไหนเลย เขาจ้องมองพี่ปั้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เห็นพี่ปั้นอยู่ตรงหน้า แต่นายกลับรู้สึกว่าเขากลัวเหลือเกิน 



ในตอนสาย ชมพู่เข้ามาในห้องพิเศษอย่างรีบร้อน จากนั้นก็คุยกับพ่อแม่พี่ปั้นก่อนจะเหลือบมองนายเป็นระยะๆ ท่าทางของทั้งคู่ไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับนาย เขานั่งอยู่ข้างเตียงพี่ปั้นไม่ขยับเขยื้อน ท่าทางเหม่อลอยจนหลายคนนึกเป็นห่วง



นายรู้สึกตัวตลอดเวลา ทว่าเขาไม่รู้สึกถึงหัวใจของตัวเอง



“นายไปพักก่อนไหมลูก”



“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากรอพี่ปั้นตื่น พ่อกับแม่กลับไปพักที่บ้านก็ได้นะครับ ผมจะดูพี่ปั้นให้เอง”



“นาย แกอย่าทำให้ปั้นเป็นห่วงได้ไหม ดูสภาพแกตอนนี้สิ” ชมพู่พูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง แต่ว่า...ให้เขาแย่กว่านี้ก็ได้ นายคิดราวกับว่าเขาต้องการลงโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา



“พี่ชมพู่ไปส่งพ่อกับแม่ทีนะครับ พวกเราไม่ได้เอารถมา”



“ดื้อจริงๆ เลย” ชมพู่ทำท่าจะพูดอะไรต่อแต่เพราะระบบสั่นจากมือถือรบกวนซะก่อน เธอค้อมหัวลงเป็นเชิงขอตัวก่อนจะออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอกห้อง



“ฮัลโหล แดมแกรีบๆ มาเลยนะ...”



ผู้ใหญ่ทั้งสองคนสบตากันช้าๆ ท่าทางของนายตอนนี้ไม่มีใครอยากปล่อยให้อยู่คนเดียว พวกเขาใจเสียไม่แพ้กัน เหตุการณ์เมื่อวานมันรวดเร็วจนไม่มีใครได้ตั้งตัว แต่อย่างน้อยลูกชายของพวกเขาก็ผ่านมันมาได้ และเชื่อแน่ว่านายไม่มีทางยอมครอบครัวนั้นอีกอย่างแน่นอน



แม่ของพี่ปั้นเดินมาหยุดอยู่อีกด้านนึงของเตียง พลางลูบแก้มพี่ปั้นช้าๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ



“นอนหลับสบายเลยข้าวปั้น”



“…” เขายิ้มรับคำพูดนั้นอย่างอ่อนล้า



...นั่นสิครับ นอนเยอะๆ แบบนี้ไม่ดีเลยนะ...



“นายรู้ไหมลูก จริงๆ แล้วเมื่อวานน่ะ...”



“....” นายที่ทอดสายตามองพี่ปั้นอยู่ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับคนพูดช้าๆ



“บ้านเราจัดงานเลี้ยงเล็กๆ รอนายอยู่นะ”



“งานเลี้ยงหรอครับ” เขาทวนคำพูดอย่างติดๆ ขัดๆ คุณพ่อพี่ปั้นที่เมตตาเขาตลอดมา เดินมาข้างๆ เขาแล้วบีบไหล่



“ก็งานเลี้ยงฉลองที่นายเป็นลูกคนที่สองของบ้านเรายังไงล่ะลูก”



“หมะ...หมายความ...” นายได้แต่อึกอักเผลอกุมมือพี่ปั้นที่นอนหลับอยู่อย่างไม่รู้ตัว คุณแม่พี่ปั้นไม่ตอบคำถามเขาในทันทีแต่กลับเล่าเรื่องบางอย่างแทน



“ตั้งแต่เด็กๆ ข้าวปั้นเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองเลย นายก็รู้ใช่ไหม แม่กับพ่อเป็นห่วงข้าวปั้นมาตลอด แต่แล้ววันนึง เขาก็เดินเข้ามาบอกพวกเราว่าเขาชอบคนๆ นึงมากๆ และคนๆ นั้นไม่ใช่ผู้หญิง ท่าทางไม่ลังเลแม้แต่นิด” คุณแม่พี่ปั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก



“ตอนนั้นพ่อกับแม่ตกใจแถมเคืองนิดหน่อย เจ้าลูกหมาของเรามาบอกว่ามีคนที่ชอบต่อหน้าเลย เรื่องเพศอะไรไม่สำคัญหรอก แม่พูดเสมอว่าคนเราต้องเติบโตกับทางที่ตัวเองเลือกแล้วต้องเรียนรู้ที่จะผิดหวังด้วย พ่อกับแม่อยากให้เขาเรียนรู้แต่ก็ไม่อยากเห็นลูกเสียใจ



ถึงอย่างนั้น ข้าวปั้นยอมรับ แต่ก็อยากให้พ่อกับแม่รู้จักคนที่เขาชอบมากขึ้นแม้ว่าจะรู้จักแล้วก็เถอะ แม่ก็สงสัยนะ แต่ว่า...เดาไม่ยากหรอก นอกจากชมพู่แล้ว ก็มีแต่นายนี่แหละ ข้าวปั้นบอกว่าถ้าพ่อกับแม่รู้จักนายแล้วจะต้องเอ็นดูนายแน่ๆ แถมยังบอกอีกว่า ถึงแม้ว่าต้องผิดหวัง ถ้าหากในอนาคตมันไม่ใช่ความรัก ข้าวปั้นก็อยากให้นายรู้ว่านายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว อย่างน้อยก็มีครอบครัวเราที่หวังและเต็มใจให้นายพึ่งพา”



นายซึมซับทุกคำพูด ก่อนยิ้มกับตัวเองพร้อมกับขอบตาร้อนผ่าว นึกถึงวันที่เขาเมาพูดจาทำร้ายจิตใจพี่ปั้น ทั้งๆ ที่... ทั้งๆ ที่พี่ปั้นดีกับเขาขนาดนั้น คนขี้ขลาดคือเขาทั้งหมด พี่ปั้นบอกพ่อกับแม่ด้วยตัวคนเดียวแบบนั้น จะคิดมากแค่ไหนก่อนจะบอกออกไป



“พ่อกับแม่ประหลาดใจอยู่นาน แต่หลังจากนั้นเราก็คอยเป็นกำลังใจให้ทั้งสองคนอยู่เงียบๆ ......ตั้งแต่ที่รู้จักกับนายมา พวกเราก็เอ็นดูนายจริงๆ ไม่ใช่เพราะเรื่องราวของนายหรอกนะลูก เพราะนายเป็นเด็กดี เป็นคนดี ได้เห็นทั้งสองคนคอยห่วงใยช่วยเหลือกัน แค่นั้นมันก็พอแล้วสำหรับพ่อกับแม่



แม่แอบคิดนะว่า ตั้งแต่ตอนไหนกันที่ลูกชายของแม่กล้าหาญขนาดนี้ กระทั่งเมื่ออาทิตย์ก่อน ข้าวปั้นเล่าเรื่องลุงของนายให้พ่อกับแม่ฟัง ข้าวปั้นคิดมากเลยล่ะ ไม่อยากให้นายรู้สึกว่าพวกเราสงสารนายหรืออะไรทำนองนั้น ลุงของนายติดต่อปั้นมา ปั้นไม่อยากให้นายเสียใจอีกแล้ว สุดท้ายก็เลยตัดสินใจด้วยตัวเอง ข้าวปั้นไม่อยากให้นายไม่มีสมาธิ เพราะเป็นเรื่องที่บ้านเมื่อไหร่นายจะจมดิ่งอยู่แบบนั้น ปั้นมาปรึกษาพ่อกับแม่ขอให้พ่อกับแม่รับนายมาเป็นลูกอีกคน แถมยังบอกอีกว่าเผื่อวันไหนไม่มีปั้นแล้วอย่างน้อยนายก็มีพ่อกับแม่ที่รักและห่วงใยนายไม่ต่างจากปั้น”



ฟังถึงตรงนี้ หัวใจของนายหดเกร็ง รู้สึกไม่พอใจกับประโยคหลัง ทำเพื่อเขาขนาดนี้แล้วแล้วคิดจะทิ้งเขาไปหรือไงกันนะ นายเม้มปากแน่น พยายามกลั้นความร้อนตรงกระบอกตาและโพรงจมูก เขาก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อหลบซ่อนความอ่อนแอนั้นไว้



“น่าตีใช่ไหมล่ะ ที่พูดเป็นลางแบบนี้ แม่ตีปั้นให้แล้วนะลูก” คุณแม่พี่ปั้นหัวเราะเบาๆ พลางเดินเข้ามาใกล้เขา



“ข้าวปั้นรักนาย นายก็รักปั้นมาก ทำไมพ่อกับแม่จะไม่รู้ พวกเรารู้มานานแล้วเพราะปั้นรักนายถึงได้ทำเรื่องบ้าบิ่นไม่คิดชีวิตแบบนี้ แม่รู้ว่านายต้องผ่านอะไรมามาก แต่คนเราน่ะคิดถึงอดีตได้ รู้สึกผิดกับอดีตได้เสมอ อย่าเอาอดีตมาทำให้ปัจจุบันเราเจ็บช้ำเลยนะลูก ข้าวปั้นคงไม่ดีใจถ้าคนที่เขาปกป้อง เสียใจอยู่แบบนี้ ตอนนี้ข้าวปั้นไม่เป็นอะไรแล้ว เพราะฉะนั้น นายอย่าเอาแต่โทษตัวเองนะลูก”



“....”



“ข้าวปั้นน่ะบอกว่าอยากให้นายมาแทบทนไม่ไหว อยากเห็นสีหน้าของนาย ตอนที่พ่อกับแม่จะบอกนายว่า..."



"จากนี้ไปนายมาอยู่บ้านเรา เป็นลูกของพ่อกับแม่อีกคนนะลูก”



แม่ของพี่ปั้นรั้งหัวไหล่เขาเข้าไปในอ้อมกอด



และ...สุดท้ายเขาก็กลั้นมันไม่ไหว นายสะอึกสะอื้น พูดขอบคุณนับครั้งไม่ถ้วน



ในตอนนั้นเอง เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น พร้อมกับแรงบีบเบาๆ ที่มือของนาย



“อือ”



กึก



คนในห้องชะงักงัน ก่อนจะหันไปตามเสียงนั่น





“ข้า...ข้าวปั้น...พ่อ ตาม...หมอ”



นายเองก็เงยหน้าขึ้น



คนที่เขารักค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ใบหน้าเริ่มมีซับสีเลือดหันหน้ามาหาคนที่รออยู่ข้างเตียงทั้งสามคน ขณะที่สบตากับคนรอ น้ำตาของพี่ปั้นหยดหนึ่งก็ไหลออกมา



เขาพบว่า หัวใจของเขา



...กลับมาเต้นอีกครั้ง...





#เรากับเขา
คิดอยู่นาน สุดท้ายก็กดโพสต์ตอนนี้ลงไป
ในตอนที่เขียนมาถึงตรงนี้
เราคิดว่าไม่มีใครบนโลกนี้สมบูรณ์เเบบ
แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุดในแบบที่ตัวเองเลือก
มาถึงบรรทัดนี้ ก็อยากจะบอกรักและคิดถึงทุกคนเหมือนเดิมค่ะ
น้องนายกับพี่ปั้นด้วย รักนะะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ชีวิตขงนายน่าสงสาร แต่ก็ยังโชคดีที่ได้เจอกับคนที่รักจริงอย่างข้าวปั้น

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ร้องไห้เลย สงสารนายมาก ขอบคุณพี่ปั้นและคุณพ่อคุณแม่ที่เอ็นดูน้อง ส่วนทูมันน่าโดนสักทีไหมอ่ะ สงสารลุงมาก

ออฟไลน์ ohanaeo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พี่ปั้น ทำเราร้องไห้เลย :hao5:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ junlifelove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สงสารนายอะ เมื่อไหร่จะมีความสุขกับเค้าซักที ฮืออออ
พี่ปั้นไม่เป็นอะไรแล้วนะ
ขอให้ต่อจากนี้มีความสุขกันซักทีนะคะ สงสารทั้งสองคนเลย


ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
สงสารนาย แบบนี้ไอ้ห่าทูก็เข้าคุกแน่ๆใช่ไหม ตั้งใจชนคนเมาแล้วยังตั้งใจชนนายอีก

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
แงงงงง พี่ปั้นนนน อินมากร้องไห้เลย ฮืออออออ :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
Act 25: เรา...กลับมาแล้วนะ


            เราพบว่าตัวเองกลายเป็นนักบินอวกาศที่ลอยล่องอยู่ในความมืดมิดและเย็นชืด       



                หางตาเห็นแสงแปลบปลาบสว่างวาบเข้ามาเป็นระยะๆ ยังไม่ทันได้หันไปมองต้นแหตุ ฉับพลันนั้น...เราก็ถูกมือที่มองไม่เห็นผลักลงสู่หลุมดำอันเวิ้งว้างโดยไม่ทันตั้งตัว แขนขาหนักอึ้ง จับคว้าอะไรไม่ได้เลย จนต้องปล่อยให้ร่างกายจมดิ่งไปแบบนั้น เราหมุนเคว้งอยู่ในห้วงอวกาศครู่หนึ่งพร้อมกับความกลัวที่เริ่มเกาะกินหัวใจที่ปวดหนึบ เพราะสมองพึ่งรับรู้ว่าที่นี่ไม่มีใครเลย



                ไม่มี...ใครงั้นหรอ



                “ข้าว...ปั้น”



                พลันหูก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังอยู่ใกล้ๆ แต่กลับห่างไกลในความรู้สึก



                “พี่ปั้น...”



                เสียงของพ่อ แม่ แล้วนั่น...เสียงของนาย



                ...ไม่มีแรงที่จะตอบ...



                ...ไม่มีแรงแม้แต่กระดิกนิ้ว...



                กลัวว่าคนที่เรียกอยู่จะท้อ จนหยุดที่จะคอยเรา



                พ่อ แม่ นาย ได้ยินปั้นไหม



                “ฮึก”



                “ข้า...ข้าวปั้น...”



                น้ำตาร้อนจัดกลิ้งลงข้างแก้ม ก่อนจะที่แสงสว่างจะค่อยๆ เข้ามาสู่คลองสายตา ความเจ็บปวดแล่นริ้วทั่วร่างกายจนเผลอขมวดคิ้วแน่น และอยากจะหลับตาลงอีกครั้งเพื่อหนีความเจ็บปวด แต่เพราะเจ้าของมืออุ่นที่พลิกกลับมาจับมือเราไว้ บีบย้ำเบาๆ ถ่ายทอดความคงอยู่ของชีวิตผ่านมือข้างนั้น



                และตอนนั้นถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว เราไม่ใช่นักบินอวกาศที่ลอยคว้างอยู่คนเดียวอีกแล้ว

               







                สองตามองความวุ่นวายขนาดย่อมที่เกิดขึ้นรอบตัวหลังจากเผลอหลับไป เราพบว่าความเจ็บและกลิ่นของโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย ถึงตัวจะขยับไม่ได้มากแต่ตาเรามองพวกเขาอย่างตั้งใจ ... ดีแค่ไหนแล้วที่ตื่นมาแล้วไม่ได้อยู่คนเดียว ดีแค่ไหนแล้วที่เรายังหายใจ อาจเป็นเพราะว่าเจ้ามนุษย์มัมมี่ไม่พูดอะไรออกมาซักคำ ทุกคนจึงกังวลขึ้นมาจนเรียกหมอและพยาบาลมาสอบถามหลายครั้ง เมื่อหมอยืนยันว่านอกจากบาดแผลภายนอกแล้วจิตใจของเราก็แข็งแรงดี เท่านั้นบรรยากาศนักอึ้งก็หายไป แม่ทั้งกอด ทั้งหอมเรา แถมยังเล่าเรื่องตอนที่เราหลับไปให้ฟังมากมาย เล่าว่าชมพู่ แดม แล้วก็เอ็มเจมาเยี่ยมด้วยแต่เราหลับไปซะก่อน เว้นแต่เรื่องตัวการที่แม่เล่าสั้นๆ ว่าไม่พ้นมือกฏหมายอย่างแน่นอน



                “ข้าวปั้น ขอบคุณนะลูก”



                เราค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นแววตาของพ่อกับแม่ คนที่รักที่สุด คนที่อยู่ข้างๆ เสมอและไม่เคยทิ้งเราไปไหนเลย เราเข้าใจความหมายของคำว่าขอบคุณดี ขอบคุณที่หมายถึงทุกๆ อย่างที่เรายังอยู่ตรงนี้ อยู่กับพ่อและแม่ อยู่กับนาย ขอบคุณที่เข้าใจลูกคนนี้ทุกการกระทำ



                “ปั้น ก็...ขอบคุณครับ” เราตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แม่ยิ้มพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้นมา ส่วนฝ่ามืออบอุ่นของพ่อไล้แก้มเราเบาๆ



                ...ดีที่สุดเลย...



                “เจ้าลูกหมาของพ่อโตขึ้นเยอะเลยนะ”



              “เอ้อ นายไม่ต้องล้างผลไม้แล้วนะลูกมาอยู่เป็นเพื่อนข้าวปั้นหน่อย เดี๋ยวพ่อกับแม่จะกลับไปเอาของที่บ้านแป็บนึงลูก” แม่เอ่ยขึ้น ก่อนจะยิ้มนิดๆ เมื่อเสียงตอบกลับดังมาจากโซนห้องครัว



              “ได้ครับ”



              พ่อเดินเข้าไปตบไหล่นายเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมแม่ ต่อจากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งห้อง ...แปลก...ก็คนที่เราคิดว่าจะต้องติดหนึบอยู่กับเรากลับทำตัวยุ่งๆ อยู่มุมนู้นมุมนี้แทบจะตลอดเวลา นายปล่อยให้พ่อกับแม่เข้ามาอยู่ใกล้ๆ มากกว่าที่จะเป็นเขา นายมักจะก้มหน้าต่ำ เหมือนกับเก็บงำอะไรบางอย่าง ที่เราทั้งคู่ก็รู้ว่ามันคืออะไร



                เราอยากเห็นหน้านายใกล้ๆ จัง



                “นาย”



                “ครับ” เขาตอบรับ แล้วขยับเก้าอี้มานั่งข้างๆ เขาจับมือเราไว้หลวมๆ ขณะที่เขายังคงเลื่อนสายตาไปมองแขนมัมมี่ของเรา



              “อยากเห็นนายใกล้ๆ” ให้แน่ใจว่าเขาไม่เป็นอะไร พอเราหลุบตามองเขา ถึงได้สบกับนัยน์ตาแดงก่ำ โธ่ “ร้องไห้ทำไมกัน”



                นายยกมือขึ้นจับหางตาตัวเองด้วยท่าทางแปลกใจก่อนจะใช้หลังมือเช็ดออกเร็วๆ



                นานทีเดียวกว่าเขาจะพูดออกมา



                 “พี่ปั้น....ให้ผม...เจ็บแทนได้ไหมครับ”



                “...ไม่ได้หรอก” เราหัวเราะเสียงแผ่วหลังจากตอบกลับคำถามนั้น นายคิดอะไรไม่เข้าท่าเลย แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยกมือข้างขวาที่เริ่มจะมีแรงไปจับมือเขาอีกที



              “....”



              “ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วเราจะปกป้องนายเพื่ออะไรกัน”



              “...”



                เขาไม่ตอบอะไร ก่อนจะค่อยๆ ซบหน้าผากกับต้นแขนซ้ายของเรา ปล่อยให้น้ำตาที่ไหลออกมาใหม่ ประโยคนั้นของเราไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย เพราะกลับกัน...ถ้านายเป็นเรา เขาก็ต้องเลือกที่จะทำแบบนั้นเหมือนกัน



                เราไม่เคยคิดอยากย้อนเวลากลับไป...แก้ไขอะไรเลย



                ที่ทำแบบนั้น...เพราะอะไร...เหตุผลมันง่ายขนาดนั้นเลยล่ะ รู้ไหม...



                “ผมน่ะ...ไม่อยากสัญญาอีกแล้วเพราะที่ผ่านผมทำมันไม่ได้เลย พี่ปั้นต้องกลัวแค่ไหน ต้องเจ็บแค่ไหน ผมทำอะไรไม่ได้เลย เพราะผม...”  นายเริ่มต้นพูดขณะผละออกมามองตาเรา น้ำเสียงที่มั่นคงในตอนแรกกลับสั่นพร่าขึ้นเรื่อยๆ



                “นายไม่ผิด เพราะเราเต็มใจที่จะทำ”



                “ผมหยุดคิดไม่ได้เลยครับพี่ปั้น ภาพพวกนั้นมันหมุนวนอยู่ในนี้ ผมเอาแต่คิด...ถ้าพี่ปั้นไม่ตื่น ผมก็ไม่อยากอยู่อีกแล้ว...”



                “นาย--” เราเรียกชื่อเขาแผ่วเบา หัวใจหดเกร็งเพราะประโยคสุดท้าย นายไม่รอให้เราคิดอะไรมากกว่านั้น เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลง มุมปากยกยิ้มคล้ายกับคิดถึงอะไรบางอย่าง



                “ตอนที่ผมอยู่คนเดียว ผมมักจะถามตัวเองเสมอว่าผมจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร รู้ไหมครับ...แค่ตอนนี้ ตอนที่พี่ปั้นตื่นขึ้นมาคุยกับผม ยิ้มให้ผม หัวเราะให้ผม แค่นี้...พอแล้วครับ ผมรู้แล้วว่าคนเรามีชีวิตอยู่เพื่อใช้ชีวิตที่เหลือกับใครซักคน”



                “...”



                เราไม่ได้เศร้าเลย แต่ว่าน้ำตาไหลออกมาซะอย่างนั้น



                “พี่ปั้นรู้ใช่ไหมครับ...”



                “...”



                “...เพราะผมรัก”



                “....เราก็รัก”



                เพราะเหตุผลของพวกเรามันง่ายดายเหลือเกิน



                “ที่ผมไม่อยากสัญญาเพราะผมไม่รู้... ผมไม่ใช่พระเจ้า...ผมห้ามสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะงั้นผมขอ...ที่จะอยู่กับพี่ปั้น ทุกช่วงเวลาเลยได้ไหมครับ ไม่ว่าพี่ปั้นจะหัวเราะ จะร้องไห้ ไม่ว่าจะเจ็บป่วย จะมีวันที่มืดมน หรือสดใส ผมก็อยากอยู่ตรงนี้ ต่อจากนี้ไป...”



                “...”



                “...ให้ผมได้อยู่ข้างๆ พี่ปั้นนะครับ”



                “อย่างกับว่านาย...ขอเราแต่งงานงั้นแหละ” เราหัวเราะเบาๆ ทั้งที่หัวใจเต้นรัวไม่หยุด



                “แล้วถ้าเป็นอย่างงั้น พี่ปั้นตกลงไหมครับ” นายยิ้ม เกลี่ยนิ้วกลางด้านซ้ายของเราอย่างนุ่มนวล นายชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะกดริมฝีปากร้อนบนหน้าผาก



                ต่อจากนั้นก็ให้ลมหายใจของเราเป็นคำตอบให้กับเขา



                ให้ลมหายใจของเรารักษาแผลที่ปริร้าวของเขาให้เหมือนเดิม



                หนึ่งคนไข้กับหนึ่งคนเฝ้า ขยับตัวกอดกันให้หายคิดถึง แต่เพราะท่าทางเก้ๆ กังๆ แถมยังมีสายน้ำเกลือระโยงระยางกับเฝือกหน้าเตอะ เราสองคนจึงได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ

 






                “ฉลองเรียนจบอย่างเป็นทางการให้กับข้าวปั้นและพี่ชมพู่คร้าบบบบบบ”



                แกร๊ง



                “ชนครับชนนนนน”



                แกร๊ง



                “อีกครึ่งปี พวกผมจะตามไปติดๆ ครับผมมมมม”



                “เอ้า เชี่ยนายชนๆๆ ไม่ต้องห่วงพี่ปั้นขนาดนั้น”



                เอ็มเจตะโกนแหวกเสียงเพลงแดนซ์ที่เขาเลือกเอง ผ่านลำโพงบลูทูธที่เอ็มเจนำเสนอก่อนจะขออนุญาตพ่อกับแม่และคนข้างบ้านเราในการเปิดเพลงแดนซ์ตามสมัยนิยม



                อ่า



                วันนี้เป็นวันเสาร์ ช่วงหัวค่ำแบบนี้ซอยบ้านเราก็คึกคักเป็นพิเศษ



                ใช่ ที่คึกคักที่สุดคงจะเป็นบ้านเราเอง ตอนนี้เราอยู่กันที่สนามเล็กๆ หน้าบ้าน กล้วยไม้บนกระถางแขวนไหวเพราะแรงลมหรือแรงสั่นจากคลื่นเสียงก็ไม่ทราบได้



                “พี่พู่ ดื่มอีกดื่มอีกพี่ ชดใช้ให้กับความท้อแท้ในการเรียนที่ผ่านมา วู้วฮู้ว แกร๊งๆๆๆ”



                และก็ใช่อีกที่ว่า...เจ้าของงานอย่างเราไม่มีโอกาสได้พูดซักคำ



                “พี่ปั้นหน้าบูดทำไมครับ โธ่ๆ อยากซดเหมือนพวกผมอะดิ๊” เอ็มเจหันไปยักคิ้วให้กับแดมเพื่อนรักของเขา



                “นาย”



                “เอ้า งอนแล้วก็เรียกแฟนให้ช่วยหรอคร้าบบบบ”



                “เราว่า...ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้ว เราจะไม่ต้อนรับเอ็มเจเข้าบ้านเราอีกแล้วล่ะ”



                พรวด!



                “ไหงงั้นอ๊า”



                ก็เพราะเตาไฟฟ้าเยื้องกำแพงบ้านนั่นมีหมูย่างที่ส่งกลิ่นหอมกำลังดี ก็เพราะหมูย่างที่เข้าปากเอ็มเจเป็นกับแกล้ม คำแล้วคำเล่า



                “เอ็มเจ แกเนี่ยนะ ไม่รู้จักเอาใจเจ้าของบ้านเลย ปั้นเพื่อนร้ากกกก วันนี้ในฐานะที่เราเรียบจบอย่างเป็นทางการ แถมไอ้วายร้ายที่มันทำร้ายแกก็หน้าจืดรับกรรมอยู่ในคุกนู่นแล้ว เออแต่ช่างมันอย่าไปพูดถึงมันเลยดีกว่า มาปั้น...เรามาดื่มน้ำฟรุ๊ตตี้ๆ ให้กับชีวิตกันเถ้อออ” ชมพู่ขยับแขนที่เริ่มจะหนักอึ้งมาพาดบนไหล่เรา นายที่นั่งตรงข้างเอาแต่ส่ายหน้าให้กับความวุ่นวายบนโต๊ะอาหารก่อนจะลุกขึ้นไปตรงเตาปิ้งย่าง



                “พี่พู่ครับ จะเอาฟรุ๊ตตี้ๆ เข้าปากพี่ปั้นต้องถามเจ้าของก่อนนะครับ” แดมเบนสายตามองนาย พร้อมกับบุ้ยปากเป็งเชิงล้อเลียน



                “เพื่อนแดม เพื่อนเอ็มเจว่าพี่ปั้นเนี่ยเขากินไอ้พวกแอลกอฮอล์อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก”



                จะแซวเราอะไรก็ได้ เราไม่ได้โกรธเลย ถ้าหมูไม่อยู่จานตรงนู้นหมด แถมเอ็มเจยังมาท้าทายอำนาจของเราอีก เราจึงมีน้ำโหขึ้นมานิดๆ



                “ใช่ไหมครับ”



                หนอย!



                 “เราน่ะ!...” เราโพล่งขึ้นมาด้วยหน้าตาเอาเรื่อง



                “...”



                ทั้งโต๊ะเงียบกริบ ชะงักค้างราวกับรอดูเรื่องมหัศจรรย์



                “เราน่ะ...กินอะไรไม่ได้ทั้งนั้น”



                เราก็เหมือนกับลูกโป่งที่มีลมรั่ว ยิ่งตัวฟีบลงเมื่อได้สบตากับนายที่เดินกลับมาพอดี



                “อุ๊บ ฮ่าๆๆๆๆ ขึงขังได้เพียงวินาทีเดียว”



                “โอ๋ๆ น้า พี่ปั้นต้องรักษากระดูก ต้องกินนม กินอาหารที่มีประโยชน์นะครับ”



                “โธ่ ปั้นเพื่อนชั้นนนน ลืมไปเลย งั้นฉันจะกิน จะดื่มแทนแกเอง มาเอ็มเจ แดม ชนนนนนนนนนน”



                ฮือ



                ชีวิตเราช่างน่าเศร้...



                หมู!



                หมูย่างบนจานมาโผล่ตรงหน้า เราปาดน้ำตาในใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินมาอยู่ข้างๆ



                “นายยยย” น้ำตาจะไหล นายของเราดีที่สุดเลย เราใช้มือขวารับจานมาถือไว้ ไม่สนใจ ชมพู่ กับสองเพื่อนรักที่กอดคอกันร้องเพลงเสียงดัง



                “หมูไม่ได้หมดหรอกครับ ไม่ต้องร้องนะ” นายยื่นขวามาโยกหัวเราแล้วรั้งให้ไปซบข้างเอว เขาหัวเราะเบาๆ “กินผักด้วยนะครับ”



                “อื้อ ขอบคุณนะ เราจะกินให้หมดเลย”



                พอได้ของกิน แล้วอารมณ์ดีขึ้น เราจึงกลับเข้าร่วมวงคนบ้าบอได้อีกครั้ง



                “พี่ปั้นครับ ได้ข่าวว่าพี่ปั้นกักตัวเพื่อนผมไม่ให้ออกไปไหนเลยหรอ”



                “ไม่ใช่ซะหน่อย นายอยากอยู่กับเราต่างหาก ใช่ไหมนาย”



                “หึหึ ครับ”



                “โอ้ยยยย อิจฉาเขาจูงมือกัน อิจฉาเขาหอมแก้มกัน แต่ทำไมตัวฉันจึงไม่มีสิทธิ์อย่างเข้าาาาาา อิจฉาเขาโอบกอดกัน แต่ฉันทำได้แค่เพียงม่องงงง แค่ม่อง มองดูเขารักกานนนนนนนนนนนน”



                “เอ็มเค อะแฮ่ม เอ็มเจ..ถ้าจะร้องเพลงด้วยเสียงแบบนั้นน่ะ เราว่าเอ็มเจไปร้องในห้องน้ำให้ถังน้ำฟังดีกว่า”



                “เอื้อออออ สลัดผัก ผมถูกแทงด้วยคำพูดครับ”



                “ฮ่าๆๆๆ คนน่ารักกลับมาร้ายแล้วเว้ยเฮ้ยๆๆ เชี่ยเอ็มเจ สู้พี่ปั้น วิ่งดิเอ็มเจวิ่งงง”



                “ปั้นดีมาก สู้มันๆๆๆ เพื่อนฉันต้องอย่างนี้”



                และแล้วค่ำคืนแห่งการเลี้ยงฉลองก็ดำเนินมาถึงตอนจบ







                “นายย เราง่วงแล้วอ่า”



                หลังจากผลัดกันอาบน้ำ ล้างกลิ่นควันแล้ว เราก็ออกมานั่งรอนายมาที่เก็บกวาดห้องครัว เขาส่งเสียงมาว่าให้รออีกหน่อยก่อนจะเร่งมือล้างจานในซิงค์ นายย้ายเข้ามาอยู่บ้านเราตั้งแต่ที่เราออกจากโรงพยาบาล เป็นลูกของพ่อกับแม่อีกคน โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนนามสกุล นายทำตามอย่างที่เขาพูดไว้อย่างสม่ำเสมอ ช่วยดูแลเราจนกระทั่งที่เรียกว่าเรียนจบอย่างเป็นทางการก็เพราะมีนายกับชมพู่นี่แหละ ช่วงที่ออกจากโรงพยาบาลอาทิตย์แรก มนุษย์แขนมัมมี่อย่างเราเคว้งไปเลย ทำอะไรก็ไม่ถนัด ทั้งมือทั้งเท้าทำเอาน่าหงุดหงิดไปหมด แต่เพราะพ่อกับแม่ แล้วก็นาย เราจะผ่านช่วงเวลาท้อแท้มาได้ ตลอดปิดเทอมของเขาก็ดูแลเราไม่ห่าง ส่วนเราก็ใช้ชีวิตหลังเรียนจบกับการดูแลตัวเอง กินนม กินอาหารที่นายสรรหามาให้ จนพ่อเปลี่ยนมาเรียกหมูปั้นแทน ไม่น่าเชื่อว่าปีนี้เราเจออะไรมาเยอะแยะเหมือนกันนะเนี่ย แต่การที่ได้เจอนายเป็นเรื่องที่ดีที่สุ...ด



                คิดถึงตรงนี้ก็อมยิ้มก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง



                “พี่ปั้นไปนอนก่อนไหมครับ อ้าวหลับซะแล้ว”



                นายส่ายหน้าเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าคนพี่หลับคอพับอยู่ที่โซฟา



                “บอกให้ไปนอนก่อนก็ไม่เชื่อ” เขาระบายยิ้ม ลูบผมพี่ปั้นอย่างเบามือ เขากับพี่ปั้นย้ายลงมานอนห้องด้านล่าง ห้องที่พ่อกับแม่ยกให้เขานั่นแหละ การตกแต่งอยู่ที่พี่ปั้นทั้งหมด นายไม่ได้พูดอะไรมากนักเพราะแค่ได้เป็นที่ต้องการของคนที่รัก ได้มีครอบครัวอีกครั้ง เขาก็ดีใจจนบรรยายไม่ถูก ได้แต่ส่งสายตาขอบคุณให้พี่ปั้นตลอดเวลาและเข้าไปกราบตักพ่อกับแม่พี่ปั้นอย่างซาบซึ้งใจ



                “วันนี้ยังไม่ได้นวดเลยนี่นา”



                นายพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่สองเท้าจะเดินไปหยิบยาบนหัวเตียงไม่นานแล้วก็กลับออกมานั่งคุกเข่า เขายกขาพี่ปั้นไว้บนโซฟา คนที่นอนหลับรอส่งเสียงอืออาเล็กน้อย พี่ปั้นไม่ชอบให้เขาจับเท้า ต้องบังคับถึงจะยอม เวลาที่พี่ปั้นหลับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เขาเรียนรู้ที่จะนวด และทำมันได้ดี นายจึงมักจะนวดข้อเท้าให้พี่ปั้นเสมอๆ โดยที่เจ้าตัวหลับลึกไม่รู้ตัวเพราะฤทธิ์ยา เท้าพี่ปั้นดีขึ้นมากแล้วแต่เขาก็ยังคงทำแบบนี้ทุกวัน



                นายตั้งใจนวดโดยไม่รู้ว่ามีใครแอบมองอยู่ตรงบันได กระทั่งนวดเสร็จแล้วก็อุ้มพี่ปั้นเข้าไปนอนในห้อง คนที่แอบมองอยู่จึงเดินลงมา ในอกอุ่นวาบอย่างเต็มตื้น เธอยิ้มเมื่อหวนกลับไปคิดถึงความทรงจำหนึ่ง

             





               .
               .
               .

            “น้องข้าวปั้นแกไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ค่ะคุณแม่ เอ...อยู่บ้านก็ปกติหรือคะ ถ้าอย่างนั้นคุณครูจะช่วยดูอีกแรงนึงค่ะ สงสัยน้องจะยังปรับตัวไม่ได้”



                “ข้าวปั้น เล่นอะไรอยู่คนเดียวลูก กลับบ้านกัน”



                เจ้าของหัวเล็กหันไปมอง ทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นเคย แม่เดินเข้ามาหาเด็กชายข้าวปั้นที่สนามเด็กเล่นของโรงเรียนประถม เธอใส่ชุดทำงานที่ดูทะมัดทะแมง ผมยาวที่รวบไว้ตรงท้ายทอยทำให้ดูเป็นคุณแม่ที่ทันสมัย เธอให้สามีรออยู่ที่รถแล้วอาสาเดินมารับเจ้าตัวเล็กเอง



                “แม่”



                “ปะ กลับบ้านกัน กระเป๋าอยู่ไหนลูก” เธอไม่ได้มองว่าลูกชายตัวเล็กนั่งกอดเข่าอยู่พื้นทราย ดวงตากลมโตมองตามแม่ที่เอาแต่หากระเป๋าลายการ์ตูนให้เขาอยู่



                “ปั้น...ยัง...ไปไม่ได้” เสียงเล็กๆ เอ่ย พอเธอหันไปท่าทางลูกชายของเธอช่างน่ารักน่าชังอะไรแบบนี้



                “หือ” แต่แล้วเธอก็ขมวดคิ้วพลางคุกเข่าบนพื้นอย่างไม่กลัวเปื้อน “ทำไมล่ะลูก”



                “อ้วน บอกว่าปั้นต้องอยู่ในนี้ ถึงจะให้เล่นด้วย” เด็กชายตัวน้อยก้มมองวงกลมที่มีขนาดเท่าตัวเขา วงกลมวงนั้นล้อมรอบตัวเขาอยู่ แม้ว่าเส้นจะดูโย้เย้แต่ก็มองออกว่าเป็นวงกลม



                “แต่ที่นี่ไม่มีใครแล้วนะลูก แม่มารับปั้นเป็นคนสุดท้ายแล้ว” แม่เหลือบมองซ้ายขวาประกอบคำพูดก่อนจะยื่นมือมาให้ลูกชาย เด็กน้อยจึงเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาเศร้าสร้อย



               ...ที่นี่ไม่มีใคร แม้แต่เศษกิ่งไม้ที่ใช้ขีดวงกลมก็ยังถูกลืมทิ้งไว้ข้างๆ...



                “ถ้าปั้นออกไป ปั้นก็ไม่ได้เล่นกับพวกเขา อ้วนบอกแบบนั้น” หลังจากคำพูดนั้น คนเป็นแม่ส่งสายตาสงสารลูกชายตัวเล็กอย่างปิดไม่มิด เธอเงียบไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแสนเสียดาย



                “เอ...แล้ววันนี้ ใครจะเล่นกับแม่ล่ะถ้าปั้นอยู่ในนี้ วันนี้แม่เล่นเป็นตำรวจนะ ส่วนพ่อเป็นโจร แล้วปั้นก็เป็นชาวบ้านไงจำไม่ได้หรอ”



                แม่เอียงหน้าไปทางซ้าย ข้าวปั้นก็เอียงหน้าไปทางขวา เด็กน้อยคิดตาม พลันดวงตาฉ่ำน้ำนั้นก็เบิกกว้างขึ้น ริมฝีปากเล็กๆ ของลูกชายที่ยิ้มออกมาเหมือนกับดอกไม้ที่ค่อยเบ่งบานในใจของผู้เป็นแม่



                “จริงด้วย!”



                เด็กชายปั้นเหมือนผ้าขาว ใบหน้ากลมเกลี้ยงกับรอยยิ้มน่ารักเป็นสิ่งที่เธออยากเห็นตลอดชีวิต ข้าวปั้นไม่ใช่คนแปลกประหลาด แต่โลกนี้ไม่เคยกับใจดีกับความรู้สึกใครนักหรอก



                รู้ไหมลูก ถ้าลูกไม่มีเพื่อน แม่จะเป็นเพื่อนให้ลูกเอง ถ้าลูกล้มแม่จะคอยพยุง ถ้าลูกเสียใจแม่จะคอยปลอบ ถ้าลูกทำผิดแม่จะตักเตือน แม่จะค่อยๆ สอนให้ปั้นเข้มแข็งในแบบที่ปั้นเป็น



                ข้าวปั้นก้าวเท้าซ้ายออกมาจากวงกลม จับไหล่แม่ที่มองมาด้วยรอยยิ้ม “แล้วอ้วนจะว่ายังไง จะโกรธปั้นไหม”



                “ไม่เป็นไรลูก ถ้าอ้วนโกรธเพราะปั้นออกจากวงกลม ปั้นก็ไปเล่นกับเพื่อนคนอื่น”



                “แล้วถ้า...ปั้นไปเล่นกับคนอื่น เขาจะให้ปั้นอยู่ในวงกลมอีกไหมแม่ แล้วถ้าแม่ไม่มารับ ปั้นต้องรอในนี้ใช่ไหมครับ” ข้าวปั้นหันไปชี้วงกลมบนพื้นที่เท้าเล็กพึ่งก้าวออกมา



                “เจ้าเด็กน้อยของแม่ เชื่อคุณตำรวจคนนี้นะ ในอนาคตนู้น ข้าวปั้นจะไม่ต้องอยู่ในวงกลมเพื่อรอใครหรอกนะลูก จะมีคนที่อยู่กับปั้นทุกที่ โดยที่ปั้นไม่ต้องรอในวงกลมนี้อีก” เด็กชายโผเข้ากอดแม่ ซบแก้มเข้ากับบ่าขวาของแม่ แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากมายนัก



                “แล้ว...อนาคตนานไหมครับ”



                “ไม่นานหรอกลูก แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ข้าวปั้นก็ยังมีแม่จะอยู่กับลูก จะเป็นตำรวจ เป็นทหาร อะไรก็แล้วแต่ที่ปั้นอยากให้เป็น”



                แม่เป็นได้ทุกอย่าง ขอแค่เห็นรอยยิ้มของลูก



                “เป็นหมอด้วย!” เด็กชายปั้นพูดขึ้นอย่างดีใจ



                “แล้วพ่อเป็นอะไรล่ะ คนไข้หรอ” เสียงทุ้มดังมาจากด้านหลัง เจ้าลูกหมาของพ่อผละจากออกกอดแม่ แล้วกระโจนเกาะขาพ่อเหมือนหมีโคอาล่า



                “พ่อ!”



                “ไป กลับบ้านกัน” พ่อสบตากับแม่อย่างมีความหมายแวบนึง ก่อนจะอุ้มหมีโคอาล่าไว้ แขนแข็งแรงรองก้นของเจ้าลูกชายที่ตอบรับเสียงดังฟังชัด



                “อื้อ”



                “กลับบ้านกัน”
               .
               .
               .





                ในตอนนี้ ลูกชายของเธอเจอคนๆ นั้นแล้วสินะ



                “แม่” พ่อตามลงมาตั้งใจว่าจะมาเช็คความเรียบร้อย หลังจากที่ปล่อยให้เด็กๆ ดื่มกันประสาวัยรุ่น แต่พอลงมากลับเห็นภรรยายืมเหม่อมองประตูห้องของลูกชายทั้งสองคน



                “...คิดอะไรอยู่หรอแม่”



                “ไม่มีอะไรหรอกพ่อ...ก็แค่...ดีใจที่มีลูกชายสองคน”



                ดีใจที่เห็นข้าวปั้นเติบโต และพบเจอคนที่ดีอย่างนาย และแม่ไม่เป็นห่วงอะไรปั้นอีกแล้ว



                “หืม...แล้วแม่...” พ่อขมวดคิ้ว เอนตัวเข้าไปกระซิบอย่างขี้เล่น ผิดกับมาดตอนอยู่กับคนอื่น



                “...”



                “...อยากมีคนที่สามไหม”



                “ว้าย พูดอะไรเนี่ย แก่แล้วเลอะเลือน” เธออดแหวเบาๆ ใส่สามีตัวเองไม่ได้



                “เขินอะไรปูนนี้แล้ว”



                “ปูนนี้เนี่ยแหละ ไปๆ แม่ไปนอนก่อนละ”



                เขาหัวเราะตามหลังภรรยาที่เดินขึ้นบันไดไป ก่อนจะเดินไปแง้มประตูห้องลูกๆ



                ...อย่างที่แม่ว่า เขาเองก็ดีใจที่มีลูกชายสองคนเหมือนกัน...





======================
ขอโทษค่ะ ไม่มีคำไหนจะเหมาะเท่าคำนี้อีกแล้ว ขอโทษที่หายไปนาน
เราคิดถึงทุกคนมากๆ เลย คิดถึงนาย คิดถึงข้าวปั้น
และต้องบอกว่าตอนหน้าคงจะเป็นตอนสุดท้ายแล้วค่ะ
ฮือ เราคิดถึงงงงงงงงงงจริงๆ นะ
ขอบคุณทุกคนนะคะที่ยังรอกันเสมอมา
#เราเอง #เรากับเขา

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ขอบคุณที่มาต่อครับ ผ่านพ้นช่วงที่เครียดไปได้ด้วยดีนะข้าวปั้น นาย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด