Act 25: เรา...กลับมาแล้วนะ
เราพบว่าตัวเองกลายเป็นนักบินอวกาศที่ลอยล่องอยู่ในความมืดมิดและเย็นชืด
หางตาเห็นแสงแปลบปลาบสว่างวาบเข้ามาเป็นระยะๆ ยังไม่ทันได้หันไปมองต้นแหตุ ฉับพลันนั้น...เราก็ถูกมือที่มองไม่เห็นผลักลงสู่หลุมดำอันเวิ้งว้างโดยไม่ทันตั้งตัว แขนขาหนักอึ้ง จับคว้าอะไรไม่ได้เลย จนต้องปล่อยให้ร่างกายจมดิ่งไปแบบนั้น เราหมุนเคว้งอยู่ในห้วงอวกาศครู่หนึ่งพร้อมกับความกลัวที่เริ่มเกาะกินหัวใจที่ปวดหนึบ เพราะสมองพึ่งรับรู้ว่า
ที่นี่ไม่มีใครเลย ไม่มี...ใครงั้นหรอ “ข้าว...ปั้น”
พลันหูก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังอยู่ใกล้ๆ แต่กลับห่างไกลในความรู้สึก
“พี่ปั้น...”
เสียงของพ่อ แม่ แล้วนั่น...เสียงของนาย
...ไม่มีแรงที่จะตอบ...
...ไม่มีแรงแม้แต่กระดิกนิ้ว...
กลัวว่าคนที่เรียกอยู่จะท้อ จนหยุดที่จะคอยเรา
พ่อ แม่ นาย ได้ยินปั้นไหม
“ฮึก”
“ข้า...ข้าวปั้น...”
น้ำตาร้อนจัดกลิ้งลงข้างแก้ม ก่อนจะที่แสงสว่างจะค่อยๆ เข้ามาสู่คลองสายตา ความเจ็บปวดแล่นริ้วทั่วร่างกายจนเผลอขมวดคิ้วแน่น และอยากจะหลับตาลงอีกครั้งเพื่อหนีความเจ็บปวด แต่เพราะเจ้าของมืออุ่นที่พลิกกลับมาจับมือเราไว้ บีบย้ำเบาๆ ถ่ายทอดความคงอยู่ของชีวิตผ่านมือข้างนั้น
และตอนนั้นถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว เราไม่ใช่นักบินอวกาศที่ลอยคว้างอยู่คนเดียวอีกแล้ว
สองตามองความวุ่นวายขนาดย่อมที่เกิดขึ้นรอบตัวหลังจากเผลอหลับไป เราพบว่าความเจ็บและกลิ่นของโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย ถึงตัวจะขยับไม่ได้มากแต่ตาเรามองพวกเขาอย่างตั้งใจ ... ดีแค่ไหนแล้วที่ตื่นมาแล้วไม่ได้อยู่คนเดียว ดีแค่ไหนแล้วที่เรายังหายใจ อาจเป็นเพราะว่าเจ้ามนุษย์มัมมี่ไม่พูดอะไรออกมาซักคำ ทุกคนจึงกังวลขึ้นมาจนเรียกหมอและพยาบาลมาสอบถามหลายครั้ง เมื่อหมอยืนยันว่านอกจากบาดแผลภายนอกแล้วจิตใจของเราก็แข็งแรงดี เท่านั้นบรรยากาศนักอึ้งก็หายไป แม่ทั้งกอด ทั้งหอมเรา แถมยังเล่าเรื่องตอนที่เราหลับไปให้ฟังมากมาย เล่าว่าชมพู่ แดม แล้วก็เอ็มเจมาเยี่ยมด้วยแต่เราหลับไปซะก่อน เว้นแต่เรื่องตัวการที่แม่เล่าสั้นๆ ว่าไม่พ้นมือกฏหมายอย่างแน่นอน
“ข้าวปั้น ขอบคุณนะลูก”
เราค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นแววตาของพ่อกับแม่ คนที่รักที่สุด คนที่อยู่ข้างๆ เสมอและไม่เคยทิ้งเราไปไหนเลย เราเข้าใจความหมายของคำว่าขอบคุณดี ขอบคุณที่หมายถึงทุกๆ อย่างที่เรายังอยู่ตรงนี้ อยู่กับพ่อและแม่ อยู่กับนาย ขอบคุณที่เข้าใจลูกคนนี้ทุกการกระทำ
“ปั้น ก็...ขอบคุณครับ” เราตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แม่ยิ้มพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้นมา ส่วนฝ่ามืออบอุ่นของพ่อไล้แก้มเราเบาๆ
...ดีที่สุดเลย...
“เจ้าลูกหมาของพ่อโตขึ้นเยอะเลยนะ”
“เอ้อ นายไม่ต้องล้างผลไม้แล้วนะลูกมาอยู่เป็นเพื่อนข้าวปั้นหน่อย เดี๋ยวพ่อกับแม่จะกลับไปเอาของที่บ้านแป็บนึงลูก” แม่เอ่ยขึ้น ก่อนจะยิ้มนิดๆ เมื่อเสียงตอบกลับดังมาจากโซนห้องครัว
“ได้ครับ”
พ่อเดินเข้าไปตบไหล่นายเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมแม่ ต่อจากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งห้อง ...แปลก...ก็คนที่เราคิดว่าจะต้องติดหนึบอยู่กับเรากลับทำตัวยุ่งๆ อยู่มุมนู้นมุมนี้แทบจะตลอดเวลา นายปล่อยให้พ่อกับแม่เข้ามาอยู่ใกล้ๆ มากกว่าที่จะเป็นเขา นายมักจะก้มหน้าต่ำ เหมือนกับเก็บงำอะไรบางอย่าง ที่เราทั้งคู่ก็รู้ว่ามันคืออะไร
เราอยากเห็นหน้านายใกล้ๆ จัง
“นาย”
“ครับ” เขาตอบรับ แล้วขยับเก้าอี้มานั่งข้างๆ เขาจับมือเราไว้หลวมๆ ขณะที่เขายังคงเลื่อนสายตาไปมองแขนมัมมี่ของเรา
“อยากเห็นนายใกล้ๆ” ให้แน่ใจว่าเขาไม่เป็นอะไร พอเราหลุบตามองเขา ถึงได้สบกับนัยน์ตาแดงก่ำ โธ่ “ร้องไห้ทำไมกัน”
นายยกมือขึ้นจับหางตาตัวเองด้วยท่าทางแปลกใจก่อนจะใช้หลังมือเช็ดออกเร็วๆ
นานทีเดียวกว่าเขาจะพูดออกมา
“พี่ปั้น....ให้ผม...เจ็บแทนได้ไหมครับ”
“...ไม่ได้หรอก” เราหัวเราะเสียงแผ่วหลังจากตอบกลับคำถามนั้น นายคิดอะไรไม่เข้าท่าเลย แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยกมือข้างขวาที่เริ่มจะมีแรงไปจับมือเขาอีกที
“....”
“ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วเราจะปกป้องนายเพื่ออะไรกัน”
“...”
เขาไม่ตอบอะไร ก่อนจะค่อยๆ ซบหน้าผากกับต้นแขนซ้ายของเรา ปล่อยให้น้ำตาที่ไหลออกมาใหม่ ประโยคนั้นของเราไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย เพราะกลับกัน...ถ้านายเป็นเรา เขาก็ต้องเลือกที่จะทำแบบนั้นเหมือนกัน
เราไม่เคยคิดอยากย้อนเวลากลับไป...แก้ไขอะไรเลย
ที่ทำแบบนั้น...เพราะอะไร...เหตุผลมันง่ายขนาดนั้นเลยล่ะ รู้ไหม...
“ผมน่ะ...ไม่อยากสัญญาอีกแล้วเพราะที่ผ่านผมทำมันไม่ได้เลย พี่ปั้นต้องกลัวแค่ไหน ต้องเจ็บแค่ไหน ผมทำอะไรไม่ได้เลย เพราะผม...” นายเริ่มต้นพูดขณะผละออกมามองตาเรา น้ำเสียงที่มั่นคงในตอนแรกกลับสั่นพร่าขึ้นเรื่อยๆ
“นายไม่ผิด เพราะเราเต็มใจที่จะทำ”
“ผมหยุดคิดไม่ได้เลยครับพี่ปั้น ภาพพวกนั้นมันหมุนวนอยู่ในนี้ ผมเอาแต่คิด...ถ้าพี่ปั้นไม่ตื่น ผมก็ไม่อยากอยู่อีกแล้ว...”
“นาย--” เราเรียกชื่อเขาแผ่วเบา หัวใจหดเกร็งเพราะประโยคสุดท้าย นายไม่รอให้เราคิดอะไรมากกว่านั้น เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลง มุมปากยกยิ้มคล้ายกับคิดถึงอะไรบางอย่าง
“ตอนที่ผมอยู่คนเดียว ผมมักจะถามตัวเองเสมอว่าผมจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร รู้ไหมครับ...แค่ตอนนี้ ตอนที่พี่ปั้นตื่นขึ้นมาคุยกับผม ยิ้มให้ผม หัวเราะให้ผม แค่นี้...พอแล้วครับ ผมรู้แล้วว่าคนเรามีชีวิตอยู่เพื่อใช้ชีวิตที่เหลือกับใครซักคน”
“...”
เราไม่ได้เศร้าเลย แต่ว่าน้ำตาไหลออกมาซะอย่างนั้น
“พี่ปั้นรู้ใช่ไหมครับ...”
“...”
“...เพราะผมรัก”
“....เราก็รัก”
เพราะเหตุผลของพวกเรามันง่ายดายเหลือเกิน
“ที่ผมไม่อยากสัญญาเพราะผมไม่รู้... ผมไม่ใช่พระเจ้า...ผมห้ามสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะงั้นผมขอ...ที่จะอยู่กับพี่ปั้น ทุกช่วงเวลาเลยได้ไหมครับ ไม่ว่าพี่ปั้นจะหัวเราะ จะร้องไห้ ไม่ว่าจะเจ็บป่วย จะมีวันที่มืดมน หรือสดใส ผมก็อยากอยู่ตรงนี้ ต่อจากนี้ไป...”
“...”
“...ให้ผมได้อยู่ข้างๆ พี่ปั้นนะครับ”
“อย่างกับว่านาย...ขอเราแต่งงานงั้นแหละ” เราหัวเราะเบาๆ ทั้งที่หัวใจเต้นรัวไม่หยุด
“แล้วถ้าเป็นอย่างงั้น พี่ปั้นตกลงไหมครับ” นายยิ้ม เกลี่ยนิ้วกลางด้านซ้ายของเราอย่างนุ่มนวล นายชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะกดริมฝีปากร้อนบนหน้าผาก
ต่อจากนั้นก็ให้ลมหายใจของเราเป็นคำตอบให้กับเขา
ให้ลมหายใจของเรารักษาแผลที่ปริร้าวของเขาให้เหมือนเดิม
หนึ่งคนไข้กับหนึ่งคนเฝ้า ขยับตัวกอดกันให้หายคิดถึง แต่เพราะท่าทางเก้ๆ กังๆ แถมยังมีสายน้ำเกลือระโยงระยางกับเฝือกหน้าเตอะ เราสองคนจึงได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ
“ฉลองเรียนจบอย่างเป็นทางการให้กับข้าวปั้นและพี่ชมพู่คร้าบบบบบบ”
แกร๊ง
“ชนครับชนนนนน”
แกร๊ง
“อีกครึ่งปี พวกผมจะตามไปติดๆ ครับผมมมมม”
“เอ้า เชี่ยนายชนๆๆ ไม่ต้องห่วงพี่ปั้นขนาดนั้น”
เอ็มเจตะโกนแหวกเสียงเพลงแดนซ์ที่เขาเลือกเอง ผ่านลำโพงบลูทูธที่เอ็มเจนำเสนอก่อนจะขออนุญาตพ่อกับแม่และคนข้างบ้านเราในการเปิดเพลงแดนซ์ตามสมัยนิยม
อ่า
วันนี้เป็นวันเสาร์ ช่วงหัวค่ำแบบนี้ซอยบ้านเราก็คึกคักเป็นพิเศษ
ใช่ ที่คึกคักที่สุดคงจะเป็นบ้านเราเอง ตอนนี้เราอยู่กันที่สนามเล็กๆ หน้าบ้าน กล้วยไม้บนกระถางแขวนไหวเพราะแรงลมหรือแรงสั่นจากคลื่นเสียงก็ไม่ทราบได้
“พี่พู่ ดื่มอีกดื่มอีกพี่ ชดใช้ให้กับความท้อแท้ในการเรียนที่ผ่านมา วู้วฮู้ว แกร๊งๆๆๆ”
และก็ใช่อีกที่ว่า...เจ้าของงานอย่างเราไม่มีโอกาสได้พูดซักคำ
“พี่ปั้นหน้าบูดทำไมครับ โธ่ๆ อยากซดเหมือนพวกผมอะดิ๊” เอ็มเจหันไปยักคิ้วให้กับแดมเพื่อนรักของเขา
“นาย”
“เอ้า งอนแล้วก็เรียกแฟนให้ช่วยหรอคร้าบบบบ”
“เราว่า...ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้ว เราจะไม่ต้อนรับเอ็มเจเข้าบ้านเราอีกแล้วล่ะ”
พรวด!
“ไหงงั้นอ๊า”
ก็เพราะเตาไฟฟ้าเยื้องกำแพงบ้านนั่นมีหมูย่างที่ส่งกลิ่นหอมกำลังดี ก็เพราะหมูย่างที่เข้าปากเอ็มเจเป็นกับแกล้ม คำแล้วคำเล่า
“เอ็มเจ แกเนี่ยนะ ไม่รู้จักเอาใจเจ้าของบ้านเลย ปั้นเพื่อนร้ากกกก วันนี้ในฐานะที่เราเรียบจบอย่างเป็นทางการ แถมไอ้วายร้ายที่มันทำร้ายแกก็หน้าจืดรับกรรมอยู่ในคุกนู่นแล้ว เออแต่ช่างมันอย่าไปพูดถึงมันเลยดีกว่า มาปั้น...เรามาดื่มน้ำฟรุ๊ตตี้ๆ ให้กับชีวิตกันเถ้อออ” ชมพู่ขยับแขนที่เริ่มจะหนักอึ้งมาพาดบนไหล่เรา นายที่นั่งตรงข้างเอาแต่ส่ายหน้าให้กับความวุ่นวายบนโต๊ะอาหารก่อนจะลุกขึ้นไปตรงเตาปิ้งย่าง
“พี่พู่ครับ จะเอาฟรุ๊ตตี้ๆ เข้าปากพี่ปั้นต้องถามเจ้าของก่อนนะครับ” แดมเบนสายตามองนาย พร้อมกับบุ้ยปากเป็งเชิงล้อเลียน
“เพื่อนแดม เพื่อนเอ็มเจว่าพี่ปั้นเนี่ยเขากินไอ้พวกแอลกอฮอล์อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก”
จะแซวเราอะไรก็ได้ เราไม่ได้โกรธเลย ถ้าหมูไม่อยู่จานตรงนู้นหมด แถมเอ็มเจยังมาท้าทายอำนาจของเราอีก เราจึงมีน้ำโหขึ้นมานิดๆ
“ใช่ไหมครับ”
หนอย!
“เราน่ะ!...” เราโพล่งขึ้นมาด้วยหน้าตาเอาเรื่อง
“...”
ทั้งโต๊ะเงียบกริบ ชะงักค้างราวกับรอดูเรื่องมหัศจรรย์
“เราน่ะ...กินอะไรไม่ได้ทั้งนั้น”
เราก็เหมือนกับลูกโป่งที่มีลมรั่ว ยิ่งตัวฟีบลงเมื่อได้สบตากับนายที่เดินกลับมาพอดี
“อุ๊บ ฮ่าๆๆๆๆ ขึงขังได้เพียงวินาทีเดียว”
“โอ๋ๆ น้า พี่ปั้นต้องรักษากระดูก ต้องกินนม กินอาหารที่มีประโยชน์นะครับ”
“โธ่ ปั้นเพื่อนชั้นนนน ลืมไปเลย งั้นฉันจะกิน จะดื่มแทนแกเอง มาเอ็มเจ แดม ชนนนนนนนนนน”
ฮือ
ชีวิตเราช่างน่าเศร้...
หมู!
หมูย่างบนจานมาโผล่ตรงหน้า เราปาดน้ำตาในใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินมาอยู่ข้างๆ
“นายยยย” น้ำตาจะไหล นายของเราดีที่สุดเลย เราใช้มือขวารับจานมาถือไว้ ไม่สนใจ ชมพู่ กับสองเพื่อนรักที่กอดคอกันร้องเพลงเสียงดัง
“หมูไม่ได้หมดหรอกครับ ไม่ต้องร้องนะ” นายยื่นขวามาโยกหัวเราแล้วรั้งให้ไปซบข้างเอว เขาหัวเราะเบาๆ “กินผักด้วยนะครับ”
“อื้อ ขอบคุณนะ เราจะกินให้หมดเลย”
พอได้ของกิน แล้วอารมณ์ดีขึ้น เราจึงกลับเข้าร่วมวงคนบ้าบอได้อีกครั้ง
“พี่ปั้นครับ ได้ข่าวว่าพี่ปั้นกักตัวเพื่อนผมไม่ให้ออกไปไหนเลยหรอ”
“ไม่ใช่ซะหน่อย นายอยากอยู่กับเราต่างหาก ใช่ไหมนาย”
“หึหึ ครับ”
“โอ้ยยยย อิจฉาเขาจูงมือกัน อิจฉาเขาหอมแก้มกัน แต่ทำไมตัวฉันจึงไม่มีสิทธิ์อย่างเข้าาาาาา อิจฉาเขาโอบกอดกัน แต่ฉันทำได้แค่เพียงม่องงงง แค่ม่อง มองดูเขารักกานนนนนนนนนนนน”
“เอ็มเค อะแฮ่ม เอ็มเจ..ถ้าจะร้องเพลงด้วยเสียงแบบนั้นน่ะ เราว่าเอ็มเจไปร้องในห้องน้ำให้ถังน้ำฟังดีกว่า”
“เอื้อออออ สลัดผัก ผมถูกแทงด้วยคำพูดครับ”
“ฮ่าๆๆๆ คนน่ารักกลับมาร้ายแล้วเว้ยเฮ้ยๆๆ เชี่ยเอ็มเจ สู้พี่ปั้น วิ่งดิเอ็มเจวิ่งงง”
“ปั้นดีมาก สู้มันๆๆๆ เพื่อนฉันต้องอย่างนี้”
และแล้วค่ำคืนแห่งการเลี้ยงฉลองก็ดำเนินมาถึงตอนจบ
“นายย เราง่วงแล้วอ่า”
หลังจากผลัดกันอาบน้ำ ล้างกลิ่นควันแล้ว เราก็ออกมานั่งรอนายมาที่เก็บกวาดห้องครัว เขาส่งเสียงมาว่าให้รออีกหน่อยก่อนจะเร่งมือล้างจานในซิงค์ นายย้ายเข้ามาอยู่บ้านเราตั้งแต่ที่เราออกจากโรงพยาบาล เป็นลูกของพ่อกับแม่อีกคน โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนนามสกุล นายทำตามอย่างที่เขาพูดไว้อย่างสม่ำเสมอ ช่วยดูแลเราจนกระทั่งที่เรียกว่าเรียนจบอย่างเป็นทางการก็เพราะมีนายกับชมพู่นี่แหละ ช่วงที่ออกจากโรงพยาบาลอาทิตย์แรก มนุษย์แขนมัมมี่อย่างเราเคว้งไปเลย ทำอะไรก็ไม่ถนัด ทั้งมือทั้งเท้าทำเอาน่าหงุดหงิดไปหมด แต่เพราะพ่อกับแม่ แล้วก็นาย เราจะผ่านช่วงเวลาท้อแท้มาได้ ตลอดปิดเทอมของเขาก็ดูแลเราไม่ห่าง ส่วนเราก็ใช้ชีวิตหลังเรียนจบกับการดูแลตัวเอง กินนม กินอาหารที่นายสรรหามาให้ จนพ่อเปลี่ยนมาเรียกหมูปั้นแทน ไม่น่าเชื่อว่าปีนี้เราเจออะไรมาเยอะแยะเหมือนกันนะเนี่ย แต่การที่ได้เจอนายเป็นเรื่องที่ดีที่สุ...ด
คิดถึงตรงนี้ก็อมยิ้มก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง
“พี่ปั้นไปนอนก่อนไหมครับ อ้าวหลับซะแล้ว”
นายส่ายหน้าเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าคนพี่หลับคอพับอยู่ที่โซฟา
“บอกให้ไปนอนก่อนก็ไม่เชื่อ” เขาระบายยิ้ม ลูบผมพี่ปั้นอย่างเบามือ เขากับพี่ปั้นย้ายลงมานอนห้องด้านล่าง ห้องที่พ่อกับแม่ยกให้เขานั่นแหละ การตกแต่งอยู่ที่พี่ปั้นทั้งหมด นายไม่ได้พูดอะไรมากนักเพราะแค่ได้เป็นที่ต้องการของคนที่รัก ได้มีครอบครัวอีกครั้ง เขาก็ดีใจจนบรรยายไม่ถูก ได้แต่ส่งสายตาขอบคุณให้พี่ปั้นตลอดเวลาและเข้าไปกราบตักพ่อกับแม่พี่ปั้นอย่างซาบซึ้งใจ
“วันนี้ยังไม่ได้นวดเลยนี่นา”
นายพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่สองเท้าจะเดินไปหยิบยาบนหัวเตียงไม่นานแล้วก็กลับออกมานั่งคุกเข่า เขายกขาพี่ปั้นไว้บนโซฟา คนที่นอนหลับรอส่งเสียงอืออาเล็กน้อย พี่ปั้นไม่ชอบให้เขาจับเท้า ต้องบังคับถึงจะยอม เวลาที่พี่ปั้นหลับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เขาเรียนรู้ที่จะนวด และทำมันได้ดี นายจึงมักจะนวดข้อเท้าให้พี่ปั้นเสมอๆ โดยที่เจ้าตัวหลับลึกไม่รู้ตัวเพราะฤทธิ์ยา เท้าพี่ปั้นดีขึ้นมากแล้วแต่เขาก็ยังคงทำแบบนี้ทุกวัน
นายตั้งใจนวดโดยไม่รู้ว่ามีใครแอบมองอยู่ตรงบันได กระทั่งนวดเสร็จแล้วก็อุ้มพี่ปั้นเข้าไปนอนในห้อง คนที่แอบมองอยู่จึงเดินลงมา ในอกอุ่นวาบอย่างเต็มตื้น เธอยิ้มเมื่อหวนกลับไปคิดถึงความทรงจำหนึ่ง
.
.
.
“น้องข้าวปั้นแกไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ค่ะคุณแม่ เอ...อยู่บ้านก็ปกติหรือคะ ถ้าอย่างนั้นคุณครูจะช่วยดูอีกแรงนึงค่ะ สงสัยน้องจะยังปรับตัวไม่ได้”
“ข้าวปั้น เล่นอะไรอยู่คนเดียวลูก กลับบ้านกัน”
เจ้าของหัวเล็กหันไปมอง ทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นเคย แม่เดินเข้ามาหาเด็กชายข้าวปั้นที่สนามเด็กเล่นของโรงเรียนประถม เธอใส่ชุดทำงานที่ดูทะมัดทะแมง ผมยาวที่รวบไว้ตรงท้ายทอยทำให้ดูเป็นคุณแม่ที่ทันสมัย เธอให้สามีรออยู่ที่รถแล้วอาสาเดินมารับเจ้าตัวเล็กเอง
“แม่”
“ปะ กลับบ้านกัน กระเป๋าอยู่ไหนลูก” เธอไม่ได้มองว่าลูกชายตัวเล็กนั่งกอดเข่าอยู่พื้นทราย ดวงตากลมโตมองตามแม่ที่เอาแต่หากระเป๋าลายการ์ตูนให้เขาอยู่
“ปั้น...ยัง...ไปไม่ได้” เสียงเล็กๆ เอ่ย พอเธอหันไปท่าทางลูกชายของเธอช่างน่ารักน่าชังอะไรแบบนี้
“หือ” แต่แล้วเธอก็ขมวดคิ้วพลางคุกเข่าบนพื้นอย่างไม่กลัวเปื้อน “ทำไมล่ะลูก”
“อ้วน บอกว่าปั้นต้องอยู่ในนี้ ถึงจะให้เล่นด้วย” เด็กชายตัวน้อยก้มมองวงกลมที่มีขนาดเท่าตัวเขา วงกลมวงนั้นล้อมรอบตัวเขาอยู่ แม้ว่าเส้นจะดูโย้เย้แต่ก็มองออกว่าเป็นวงกลม
“แต่ที่นี่ไม่มีใครแล้วนะลูก แม่มารับปั้นเป็นคนสุดท้ายแล้ว” แม่เหลือบมองซ้ายขวาประกอบคำพูดก่อนจะยื่นมือมาให้ลูกชาย เด็กน้อยจึงเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาเศร้าสร้อย
...ที่นี่ไม่มีใคร แม้แต่เศษกิ่งไม้ที่ใช้ขีดวงกลมก็ยังถูกลืมทิ้งไว้ข้างๆ...
“ถ้าปั้นออกไป ปั้นก็ไม่ได้เล่นกับพวกเขา อ้วนบอกแบบนั้น” หลังจากคำพูดนั้น คนเป็นแม่ส่งสายตาสงสารลูกชายตัวเล็กอย่างปิดไม่มิด เธอเงียบไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแสนเสียดาย
“เอ...แล้ววันนี้ ใครจะเล่นกับแม่ล่ะถ้าปั้นอยู่ในนี้ วันนี้แม่เล่นเป็นตำรวจนะ ส่วนพ่อเป็นโจร แล้วปั้นก็เป็นชาวบ้านไงจำไม่ได้หรอ”
แม่เอียงหน้าไปทางซ้าย ข้าวปั้นก็เอียงหน้าไปทางขวา เด็กน้อยคิดตาม พลันดวงตาฉ่ำน้ำนั้นก็เบิกกว้างขึ้น ริมฝีปากเล็กๆ ของลูกชายที่ยิ้มออกมาเหมือนกับดอกไม้ที่ค่อยเบ่งบานในใจของผู้เป็นแม่
“จริงด้วย!”
เด็กชายปั้นเหมือนผ้าขาว ใบหน้ากลมเกลี้ยงกับรอยยิ้มน่ารักเป็นสิ่งที่เธออยากเห็นตลอดชีวิต ข้าวปั้นไม่ใช่คนแปลกประหลาด แต่โลกนี้ไม่เคยกับใจดีกับความรู้สึกใครนักหรอก
รู้ไหมลูก ถ้าลูกไม่มีเพื่อน แม่จะเป็นเพื่อนให้ลูกเอง ถ้าลูกล้มแม่จะคอยพยุง ถ้าลูกเสียใจแม่จะคอยปลอบ ถ้าลูกทำผิดแม่จะตักเตือน แม่จะค่อยๆ สอนให้ปั้นเข้มแข็งในแบบที่ปั้นเป็น
ข้าวปั้นก้าวเท้าซ้ายออกมาจากวงกลม จับไหล่แม่ที่มองมาด้วยรอยยิ้ม “แล้วอ้วนจะว่ายังไง จะโกรธปั้นไหม”
“ไม่เป็นไรลูก ถ้าอ้วนโกรธเพราะปั้นออกจากวงกลม ปั้นก็ไปเล่นกับเพื่อนคนอื่น”
“แล้วถ้า...ปั้นไปเล่นกับคนอื่น เขาจะให้ปั้นอยู่ในวงกลมอีกไหมแม่ แล้วถ้าแม่ไม่มารับ ปั้นต้องรอในนี้ใช่ไหมครับ” ข้าวปั้นหันไปชี้วงกลมบนพื้นที่เท้าเล็กพึ่งก้าวออกมา
“เจ้าเด็กน้อยของแม่ เชื่อคุณตำรวจคนนี้นะ ในอนาคตนู้น ข้าวปั้นจะไม่ต้องอยู่ในวงกลมเพื่อรอใครหรอกนะลูก จะมีคนที่อยู่กับปั้นทุกที่ โดยที่ปั้นไม่ต้องรอในวงกลมนี้อีก” เด็กชายโผเข้ากอดแม่ ซบแก้มเข้ากับบ่าขวาของแม่ แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากมายนัก
“แล้ว...อนาคตนานไหมครับ”
“ไม่นานหรอกลูก แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ข้าวปั้นก็ยังมีแม่จะอยู่กับลูก จะเป็นตำรวจ เป็นทหาร อะไรก็แล้วแต่ที่ปั้นอยากให้เป็น”
แม่เป็นได้ทุกอย่าง ขอแค่เห็นรอยยิ้มของลูก
“เป็นหมอด้วย!” เด็กชายปั้นพูดขึ้นอย่างดีใจ
“แล้วพ่อเป็นอะไรล่ะ คนไข้หรอ” เสียงทุ้มดังมาจากด้านหลัง เจ้าลูกหมาของพ่อผละจากออกกอดแม่ แล้วกระโจนเกาะขาพ่อเหมือนหมีโคอาล่า
“พ่อ!”
“ไป กลับบ้านกัน” พ่อสบตากับแม่อย่างมีความหมายแวบนึง ก่อนจะอุ้มหมีโคอาล่าไว้ แขนแข็งแรงรองก้นของเจ้าลูกชายที่ตอบรับเสียงดังฟังชัด
“อื้อ”
“กลับบ้านกัน”
.
.
.
ในตอนนี้ ลูกชายของเธอเจอคนๆ นั้นแล้วสินะ
“แม่” พ่อตามลงมาตั้งใจว่าจะมาเช็คความเรียบร้อย หลังจากที่ปล่อยให้เด็กๆ ดื่มกันประสาวัยรุ่น แต่พอลงมากลับเห็นภรรยายืมเหม่อมองประตูห้องของลูกชายทั้งสองคน
“...คิดอะไรอยู่หรอแม่”
“ไม่มีอะไรหรอกพ่อ...ก็แค่...ดีใจที่มีลูกชายสองคน”
ดีใจที่เห็นข้าวปั้นเติบโต และพบเจอคนที่ดีอย่างนาย และแม่ไม่เป็นห่วงอะไรปั้นอีกแล้ว
“หืม...แล้วแม่...” พ่อขมวดคิ้ว เอนตัวเข้าไปกระซิบอย่างขี้เล่น ผิดกับมาดตอนอยู่กับคนอื่น
“...”
“...อยากมีคนที่สามไหม”
“ว้าย พูดอะไรเนี่ย แก่แล้วเลอะเลือน” เธออดแหวเบาๆ ใส่สามีตัวเองไม่ได้
“เขินอะไรปูนนี้แล้ว”
“ปูนนี้เนี่ยแหละ ไปๆ แม่ไปนอนก่อนละ”
เขาหัวเราะตามหลังภรรยาที่เดินขึ้นบันไดไป ก่อนจะเดินไปแง้มประตูห้องลูกๆ
...อย่างที่แม่ว่า เขาเองก็ดีใจที่มีลูกชายสองคนเหมือนกัน...
======================
ขอโทษค่ะ ไม่มีคำไหนจะเหมาะเท่าคำนี้อีกแล้ว ขอโทษที่หายไปนาน
เราคิดถึงทุกคนมากๆ เลย คิดถึงนาย คิดถึงข้าวปั้น
และต้องบอกว่าตอนหน้าคงจะเป็นตอนสุดท้ายแล้วค่ะ
ฮือ เราคิดถึงงงงงงงงงงจริงๆ นะ
ขอบคุณทุกคนนะคะที่ยังรอกันเสมอมา
#เราเอง #เรากับเขา