พิมพ์หน้านี้ - END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: jaevin ที่ 14-09-2017 10:43:11

หัวข้อ: END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 14-09-2017 10:43:11
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com)  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************




#เรากับเขา



_________________________
“พี่มีแฟนยังครับ”
เราตาโตขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ หน้าตาคงตลกมากแน่ๆ เขาไม่รอให้ตอบอะไรแต่กลับยื่นกระดาษที่กำไว้เเน่นมาให้เรา ก่อนจะยิ้มปิดท้าย
“แอดไลน์ผมมาได้ป้ะ”

_________________________






**เรื่องราวต่อไปนี้เกิดจากจินตนาการของผู้เเต่ง เพียงเเต่อ้างชื่อเเละสถานที่เพื่อความสมจริงเท่านั้น หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยค่ะ**




►สารบัญ◄
Act 0  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3704356#msg3704356)
 Act 1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3704882#msg3704882)
 Act 2  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3706447#msg3706447)
 Act 3  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3707918#msg3707918)
 Act 4  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3713024#msg3713024)
 Act 5  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3717182#msg3717182)
 Act 6  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3722596#msg3722596)
 Act 7  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3729238#msg3729238)
 Act 8  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3734216#msg3734216)
 Act 9  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3740296#msg3740296)
 Act 10  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3749622#msg3749622)
 Act 11  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3758330#msg3758330)
 Act 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3762839#msg3762839)
 Act 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3768813#msg3768813)
 Act 14  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3774789#msg3774789)
 Act 15  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3788453#msg3788453)
 Act 16  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3814409#msg3814409)
 Act 17  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3820814#msg3820814)
 Act 18  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3842930#msg3842930)
 Act 19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3852225#msg3852225)
 Act 20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3865927#msg3865927)
 Act 21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3879953#msg3879953)
 Act 22  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3906111#msg3906111)
 Act 23  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3939762#msg3939762)
 Act 24  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3956187#msg3956187)
 Act 25  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3989904#msg3989904)
 Act 26 =END=  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.msg3996372#msg3996372)


►ผลงานของเรา◄
ண คนกลาง ண (จบเเล้ว)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59298.0)
 #เรากับเขา (จบแล้ว) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61891.0)
 คุณชาย2017 (ยังไม่จบ)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61707.0)
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 0 : เขา...คนเเปลกหน้า [14/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 14-09-2017 10:45:48
Act 0 : เขา...คนแปลกหน้า



                “ข้างหลังที่นั่งยังว่างครับพี่ เดินเลย”



                ...เย็นวันศุกร์...



                “อนุสาวรีย์-ท่าอิฐคร้าบ”



                ...ง่วงโคตร...



                “ขึ้นเลยพี่ มาเลยครับ”



                ...อยากนอน...



                 “เดี๋ยวอย่าพึ่งออกรถ มีคนขึ้น เอ้า ไป...”



                กึก กึก



                ...ดูนอกหน้าต่างนั่นสิ เหมือนฝนจะตกเลย...



                พรึ่บ!



                “โอ๊ะ ขอโทษครับ”



                ...อย่าตกนะ...ในกระเป๋ามีเอกสารของอาจารย์ด้วย...



                “โทษนะครับ” มีแรงสะกิดที่ไหล่ซ้ายสองสามที เราที่เหม่อคิดเรื่องฝนเกือบสะดุ้ง



                “อะ...ครับ?”



                “ส้มผมกลิ้งไปโดนเท้าคุณ..” เขายกถุงส้มขึ้นมาระดับคางแล้วชี้มือไปใต้เบาะ ถึงเข้าใจ ส้มผลกลมหยุดความซนตรงเท้าซ้ายของเรา



                “นี่ครับ”



                “ขอบคุณมากครับ” คนแปลกหน้ายิ้มก่อนหยิบผลส้มไปใส่ถุงพลาสติก เราค้อมหัวเล็กน้อยแล้วหันไปมองหน้าต่างเหมือนเดิม จบบทสนทนาลงตรงนั้น



                ผ่านมาพักใหญ่ ชายคนข้างๆ ก็เริ่มต้นบทสนทนาอีกครั้ง



                “เอ่อ โทษนะ”



                เราหันมาเพราะเสียงเรียกไม่แน่ใจว่าเขาพูดกับเรารึเปล่า หรือว่าคราวนี้ไปเหยียบผลส้มเข้า ชำเลืองมองก็ไม่มีอะไรอยู่ใต้เท้า ถ้ามีจริงๆ คงกลิ้งไปไหนต่อไหนแล้วล่ะมั้ง



                “นี่เรียนอยู่ที่ไหนหรอ” เขาถามเอียงตัวมาทางเราเล็กน้อย เราจึงมองกลับไปแบบงงๆ เอ..นักศึกษาเหมือนกันนี่ดูจากชุดแล้ว ว่าแต่...



                ...ถามทำไมกันเนี่ย...



                เราคิดแต่ก็ตอบออกไป  “อ๋อ...เรียนที่ศิลปากรครับ”



                “ท่าพระหรอ”



                “เปล่า อีกที่นึง”



                “หูยย เรียนไกลจัง” เขาตอบเหมือนจะพอรู้เเล้ว



                เขายิ้มน้อยๆ เราเลยถามกลับให้พอเป็นมารยาท “แล้วนายล่ะ”



                “เรียนธรรมศาสตร์”



                “ก็ไกลเหมือนกันนี่” เราพึมพำ เดาว่าเขาอาจจะเรียนแถวรังสิตเหมือนที่ศิลปากรมีวิทยาเขตอยู่นครปฐม



                “ไม่ไกลนะ เราเรียนท่าพระ”



                อะ...หมอนี่ เขาขำที่เรามีสีหน้าชะงักไปวูบนึง



                “แล้วเรียนเกี่ยวกับอะไร” เขาถามอีก



                “เรียนอักษร”



                “คล้ายกันเลย แต่เราเรียนศิลปศาสตร์”



                “อ่า...”



                “แล้วเรียนเอกอะไรอะ”



                “อังกฤษ”



                “บังเอิญจัง เราเรียนอังกฤษ-อเมริกันศึกษา”



                “อ๋อ”



                “ที่นู่นเขาแบ่งสาขาไหม?”



                “ก็เรียนรวมกันก่อน ถึงจะแยกเอก ถ้าคะแนนถึง”



                “ดูยากเนอะ แล้วนี่เรียนปีไหนแล้ว” เขาถาม มุมปากยังยกยิ้มอยู่



                “ปีสี่” พอเราตอบ คนข้างๆ นิ่งไปเลย นี่เราแก่ขนาดนั้นเลยหรอ



                “ให้ทายเราปีอะไร”



                ทำไมเราต้องทายด้วย ไม่อยากรู้ซักนิด เราเริ่มกระอักกระอ่วน เมื่อไหร่จะถึงบ้านซักที แต่ก็เอาเถอะ ทายให้เขาหน่อย ถามมาซะขนาดนี้แล้ว



                “ปีสี่”



                “เกือบถูก แต่เราปีสาม”



                “อ่า...”



                เราพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้วทำเป็นก้มหาของให้กระเป๋า เกิดเดธแอร์ขึ้นหลังจากนั้น หางตาเราเห็นเขาหยิบมือถือขึ้นมา คงจะหมดเรื่องคุยแล้วล่ะมั้ง แต่ซักพักเขาก็เก็บมือถือไว้ในกระเป๋าสะพาย เราเห็นเขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋านานเชียวล่ะ ได้ยินเสียงกระดาษกรอบแกรบตามมาและเขาก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่าง ช่างเถอะ ดูนั่นเมฆก้อนนั้นลอยต่ำมาก ฝนตกแน่



                “พี่จบจากสาธิตปะ”



                เขาถามแทรกความเงียบขึ้นมา  เราที่กำลังนึกถึงถุงพลาสติกคลุมเอกสารเลยหันไปมองสบตากับเขาอีกหน



                “ไม่นะ” เราตอบ ย้อนประโยคของเขาเมื่อกี้ถึงได้รู้ว่าสรรพนามไปเปลี่ยนแล้ว ลอบผ่อนลมหายใจช้าๆ ทำไมเจ้าหมอนี่ถึงไม่หยุดคุยซักที



                “อ้าว ผมว่าคุ้นๆ หน้าพี่เหมือนเจอที่งานกีฬาสาธิต” เขาเกาหางคิ้วตัวเองเบาๆ 



                “เราไม่ได้เรียนสาธิต”



                “แล้วพี่จบจากที่ไหน”



                “จบเทพศิรินทร์”



                “โห เจ๋งไปเลย แล้วพี่ขึ้นสายนี้บ่อยไหม?”



                “ก็แล้วแต่โอกาส”



                “บ้านพี่อยู่ทางนี้ ไปเรียนตั้งนครปฐมเลยหรอพี่ นั่งรถนานแย่”



                “ไม่นานหรอก”



                “ผมขึ้นสายนี้ครั้งแรกเลย จะไปเยี่ยมแม่เพื่อนที่โรงบาลยันฮี”



                “อ๋อ”



                เราก้มมองนาฬิกาข้อมือ หกโมงแล้วพึ่งจะเข้าเส้นจรัญสนิทวงศ์ แต่ไม่นานเราก็จะลงแล้ว ไม่เป็นไรหรอก จะได้จบบทสนทนากับชายแปลกหน้าคนนี้ซักที



                “ศิลปากรนี่มีตัวเหี้ยเยอะปะพี่”



                “ตุ๊ดตู่” เราแก้ให้ เราไม่ค่อยเรียกมันว่าเหี้ย มันไม่สุภาพ



                “อ่าครับ” เขาอมยิ้มอีกแล้ว เราพูดอะไรผิดงั้นหรอ “ตุ๊ดตู่นั่นแหละ มีเยอะป้ะ”



                “เยอะนะ เวลามันเดินข้ามถนนต้องจอดรถให้มันข้ามก่อน”



                “ได้อภิสิทธิ์เลยเนอะ”



                “อืมใช่”



                “ตอนม. 6 ผมไม่ได้แอดที่ไหนเลย ถ้าย้อนกลับไปได้ก็จะแอดศิลปากรนะ”



                “อ่ออ” เราลากเสียงยาวพยักหน้าเล็กๆ เหมือนเห็นด้วย แต่ในใจกลับคิดว่าคำพูดจากของเขาเริ่มทำให้คิดไปในทางอื่น



                “น่าเรียนดีนะพี่ แบบว่าผมจะได้ลองเรียนหลายๆ อย่างก่อนเลือกเอก” เขาพูดต่อได้อย่างเป็นธรรมชาติ เราจึงสลัดความคิดเมื่อกี้ไป สงสัยคิดมากไปเอง



                “พี่เกิดปีไร”



                “38”



                “เฮ้ย ผมก็ 38 เดือนไหนอะพี่” เขาทำเสียงตื่นเต้น



                “กรกฏา”



                “หูยยย ผมเกิดธันวา อ่อนกว่าไป สิงหา กันยา ตุลา พฤศจิกา ธันวา ห้าเดือนแน่ะ จริงๆ ก็ต้องปีสี่แล้วล่ะแต่ผมเรียนช้าไปหน่อยเลยยังอยู่ปีสาม”



                หลังจากนั้นชายคนนี้พูดต่อได้ไม่มีหยุด เขาเล่าเรื่องตอนเรียนมัธยม เล่าตอนสอบเข้า ถามเราเรื่องวิชาในคณะ เรื่องเรียนต่อ เรื่องหางานทำเยอะแยะไปหมด เราแค่รับฟังแบบยิ้มๆ ตอบบ้าง พยักหน้าบ้าง ตลอดการพูดคุย



                “ที่คณะพี่บังคับฝึกงานป้ะ”



                “ไม่นะ แต่ก็ไปฝึกกันเยอะหาประสบการณ์”



                “ผมกำลังคิดอยู่เลยว่าจะไปสายไหนดี เพื่อนผมส่วนมากอยากเป็นแอร์”



                “ลองๆ หาที่ตัวเองชอบดู” เราพูดหันแล้วก้มมองป้ายบอกเลขซอย จะถึงบ้านแล้วล่ะแยกหน้านี้ก็ใกล้ถึงแล้ว



                กริ๊งงงงงงงงงง



                “ผมว่าผมเจอแล้วล่ะ” เราหันกลับมองเขาอีกครั้ง ไม่ทันได้ยินว่าเขาพูดอะไรเพราะเสียงกดกริ่งก็ดังแทรกมาพอดี



                “ตกแล้ว” เขาชี้นิ้วไปนอกหน้าต่างรถเมล์ เราเลยมองตาม ซวยแล้ว มือเริ่มค้นหาถุงหรือซองอะไรในกระเป๋าสะพาย หมึกเลอะแล้วแย่แน่ๆ



                “พี่หาอะไร”



                “ถุงน่ะ ตกแบบนี้เอกสารเปียกแน่” เราตอบโดยไม่หันไปมองเขา ดูเหมือนเขาจะเริ่มหาในกระเป๋าเหมือนกัน เราลอบมองเห็นมือขวาของเขากำกระดาษสีขาวไว้แน่นไม่ยอมปล่อยขณะหาของ



                “เอานี่ไหมพี่” เขาทักและไม่ได้รอคำตอบก่อนจะเทส้มสิบกว่าผลลงในกระเป๋าสะพาย สะบัดๆ ถุงเล็กน้อยแล้วยื่นมาตรงหน้าเรา



                “เฮ้ยๆๆ จะเอาไปเยี่ยมแม่เพื่อนไม่ใช่หรอ”



                “ใส่กระเป๋าไปแบบนี้ก็ได้ครับ ถ้าถึงโรงพยาบาลแล้วผมค่อยไปขอร้านค้าแถวนั้น” เรามองเขาอึ้งๆ ชายแปลกหน้าที่เรารู้ว่าเขาเรียนที่ไหน อายุเท่าไหร่เมื่อไม่นานมานี้กำลังยื่นน้ำใจให้เรา



                “รับไปเถอะ” เขายัดถุงใส่มือเรา เสียงประตูรถเปิดอีกครั้ง เราขอบคุณเขาเพราะป้ายหน้าเราจะลงแล้ว



                “ขอบคุณนะ”



                 “จะลงแล้วหรอครับ” เขาถามพอเห็นเราลุกขึ้นยืนหลังจากยัดเอกสารใส่ถุงแล้วเอาใส่ในกระเป๋าอีกชั้น เราว่าเราจะกอดกระเป๋าเข้าบ้าน เอาตัวบังคงไม่เปียกเท่าไหร่



                “อื้ม ถึงแล้ว ขอบใจมากนะ” เขาเบี่ยงขาให้เราออกไปยืนจับราวตรงกลางรถ เขามองเราแล้วพูดขึ้นเป็นเวลาเดียวกับที่รถเมล์ชะลอจอด



                “พี่มีแฟนยังครับ”



                เราตาโตขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ หน้าตาคงตลกมากแน่ๆ เขาไม่รอให้ตอบอะไรแต่ยื่นกระดาษที่กำไว้ในมือมาให้เราก่อนจะยิ้มปิดท้าย



                “แอดไลน์ผมมาได้ป้ะ”



                อา...นี่มัน...



                เรายิ้มเก้อๆ ส่งกลับไปให้ เผลอรับมาด้วยความมึน ว่าเเต่ที่เราคิดไปเองเมื่อกี้ เราคิดถูกแล้ว หมอนี่จีบเรา ก้มมองกระดาษในมือแล้วเสียงประตูรถก็เปิดพอดี เราค้อมหัวเป็นเชิงบอกลาเล็กน้อยแล้วเดินไปที่ประตูทางออกไม่ได้หันไปมองเขาอีก



                วืดดดด กึง!



                ประตูรถเมล์ปิดลงตรงหน้าเรา บานหน้าต่างฝั่งนี้มัวจากความเย็นเครื่องปรับอากาศ ไม่รู้ว่าเขาจะมองมาอยู่รึเปล่า อะ..ต้องรีบหลบฝนก่อน... เรายัดกระดาษแผ่นเล็กๆ ลงในกระเป๋ากางเกงแล้ววิ่งเข้าเซเว่นเยื้องกับป้ายรถเมล์หน้าปากซอย ซื้อข้าวกล่องสองกล่องแบบไม่เวฟกับน้ำมะพร้าวสองขวดที่ถูกกว่าซื้อในราคาปกติ เอาไว้กินวันนี้กับพรุ่งนี้เช้า พ่อกับแม่ไปต่างจังหวัดคงไม่มีอะไรเหลือในตู้เย็น



                หนาวชะมัด เมื่อกี้ก็อยู่ในรถแอร์ ตอนนี้เข้าเซเว่นก็หนาวได้อีก เราคิดพลางมองปลายเท้าที่เลอะคราบโคลนตอนลงจากรถเมล์ ยังดีที่ฝนไม่ได้ตกหนักเท่าไหร่



                “ทั้งหมด 82 บาทค่ะ”



                เราล้วงของในกระเป๋ากางเกงออกมาทั้งหมดรวมถึงกระดาษเเผ่นนั้นด้วย เราเลือกแบงค์สีแดงแล้วยื่นให้กลับแคชเชียร์ เธอขมวดคิ้วเพราะเงินเหรียญในช่องหมดเสียแล้ว



                “พี่ต้าแลกเหรียญพันนึง”



                คงอีกนาน เราละสายตาจากการคิดเงิน แล้วมองกระดาษแผ่นเล็กที่เขาให้มาเมื่อครู่ซึ่งตอนนี้อยู่ในมือของเรา



                เรายิ้มขำ...นี่มันสลิปเซเว่นชัดๆ



                ...ซื้อกาแฟกระป๋อง ขนมปังแผ่น...



                พอพลิกไปอีกด้าน ตัวหนังสือสั่นๆ คงเพราะเขียนบนรถก็ปรากฏขึ้น



                Nine95 ☺



                เดี๋ยวนี้ไอดีไลน์มีสัญลักษณ์แบบนี้ด้วยหรอ







==============

สวัสดีค่ะทุกคนเปิดเรื่องใหม่(อีกเเล้ว)
เเละทดลอง(พยายาม)เป็นเด็กอักษรเเบบปกติ
หลังจากที่มีเด็กอักษรไม่ปกติเเบบคุณชาย
หากมีข้อมูลเรื่องการเรียน คณะ เส้นทางหรืออื่นๆ ผิดพลาดขออภัยด้วยนะคะ

หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 0 : เขา...คนเเปลกหน้า [14/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-09-2017 11:14:48
โอ้ยน่ารักมากเลยยยยยย ชอบตรงแทนตัวเองว่าเราๆๆค่ะ น่ารักดี จะจีบเค้าแต่แรกทำมาเป็นสนใจอยากเลือกวิชา แหมมม ติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 0 : เขา...คนเเปลกหน้า [14/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 14-09-2017 12:01:54
เข้ามาติดตามด้วยคนครับ :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 1 : เรา...บังเอิญ [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 15-09-2017 14:57:52
Act 1: เรา...บังเอิญ


                ...ช่วงนี้โคตรยุ่ง...


                ต้นเทอมแบบนี้เราต้องไปเสนอหัวข้อรีเสิร์ชกับอาจารย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมยังต้องลงเรียนวิชาบังคับโทที่พึ่งจะลงได้ตอนปีสี่ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว         


                เราจมอยู่กับกองหนังสือมาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ เรามีหออยู่ที่นี่แหละ แม่บังคับให้เราอยู่ ไม่อยากให้เราเดินทางไปกลับ แรกๆ ก็ค้านและหลังๆ ก็ขอบคุณแม่ที่เช่าที่นี่ไว้ ไม่งั้นเราคลานกลับบ้านทุกวันแน่ๆ


                Rrrrrr


                “ครับแม่”


                (ออกจากนู่นกี่โมงนะลูก)


                “สี่โมงครึ่งครับ”


                (รถติดพอดีเลย แม่คงถึงก่อน)


                “แล้วเจอกันครับแม่”


                (จ้ะ)       


                เราเก็บมือถือเข้ากระเป๋า หยิบโน้ตบุ๊กที่วางบนปลายเตียงลงในกระเป๋า เราต้องแบกเจ้านี่ไปมาเพราะต้องทำงาน เอาเถอะ วันนี้เราเตรียมร่มมาเรียบร้อย ถ้าฝนตกแบบอาทิตย์ก่อนจะได้สบายใจ จะได้ไม่ลำบากหาถุงอีก


                ...เพราะคำว่าอาทิตย์ก่อนทำให้เรานึกถึงเจ้าของถุงส้มคนนั้น


                เราไม่ได้แอดไอดีไลน์ที่เขาให้มาเพราะเป็นครั้งแรกที่ถูกจีบแบบนั้นเลยรู้สึกแปลกไม่น้อย ก็เนียนคุยเรื่องเรียนแต่สุดท้ายให้ไอดีมาซะอย่างงั้น เราหัวเราะน้อยๆ เมื่อคิดถึงเรื่องอาทิตย์ที่แล้ว เอาเถอะเป็นเรื่องที่น่ารักดีเหมือนกัน


                ...คงไม่ได้เจอกันอีกหรอก...


                เราเก็บของที่เตรียมไว้ลงกระเป๋าเป้ไม่นานก็เช็คน้ำเช็คไฟก่อนออกจากห้อง


                “เซ็นฯ ปิ่นครับ”


                “ค่าโดยสารด้วยครับ”


                “นี่ครับ”


                “มีเหรียญไหมน้อง”


                “แป๊บนะครับ อะ..นี่...”


                ปกติเรานั่งรถตู้มาลงเซ็นทรัลปิ่นเกล้าแล้วต่อรถเมล์กลับบ้าน แต่อาทิตย์ก่อนเรามาเอาเอกสารที่อาจารย์ที่ปรึกษาใช้ไปเอาที่ร้านถ่ายเอกสารแถวอนุสาวรีย์ เราเลยต้องฝ่ารถติดในวันศุกร์ไปเอาเอกสารก่อนเข้าบ้าน เพื่ออาจารย์ที่เคารพ ศิษย์ทำได้ครับ


                เราเป็นคนไม่ชอบฟังเพลงเวลาเดินทาง เสียงดังจากข้างนอกกลบเสียงดนตรีจนหมด ทำให้เพลงโปรดมันไม่น่าฟังเอาซะเลย             


                “ฝนใกล้จะตกอีกแล้ว” ผู้โดยสารคนหนึ่งพูดกับตัวเองเบาๆ แต่ก็ดังพอที่เราได้ยินและแอบเบนสายตามองนอกหน้าต่างตาม ช่วงนี้ฝนตกบ่อยจนเราแอบเบื่อ


                “ลงตรงไหนบอกก่อนลงด้วยนะครับ”


                นั่งพิงกระจกข้างหลับตาเข้าสู่ห้วงนิทราเป็นระยะๆ แล้วก็สะดุ้งตื่นเป็นระยะๆ เช่นเดียวกัน


                “มหิดลด้วยค่ะ”


                อะ...มหิดลแล้วหรอ เราตื่นเพราะเสียงปิดประตูรถตู้ตึงตังก่อนจะหยิบหนังสือในกระเป๋าขึ้นมาอ่าน...นิยายของคาฟกา...เมื่อคืนเราแอบอู้การทำงานอ่านฉบับแปลไทยจบภายในสองชั่วโมง ตอนกลางวันเลยเข้าไปหอสมุดเพื่อยืมฉบับภาษาอังกฤษ เรื่องหนังสือนอกเวลาทำให้ขยันได้เสมอ


                ...หิว...


                เรากลัวคนข้างๆ ได้ยินเสียงท้องร้อง ต้องทำเป็นเปิดหนังสือเสียงดังๆ กลบเกลื่อน คงต้องแวะซื้ออะไรรองท้องก่อนเข้าบ้านแล้วล่ะ


                “เซ็นฯ ปิ่นครับ” คนขับรถตู้บอกเมื่อถึงที่หมาย


                เรารอให้น้องนักศึกษาผู้หญิงลงไปก่อนแล้วก็ตามลงมาทีหลัง อากาศข้างนอกดีกว่าในรถตู้เยอะ


                เดินลงมาจากรถตู้หลั่งไหลไปกับคนเยอะๆ ในเย็นวันศุกร์ ตอนนี้เกือบหกโมงแล้ว นั่งอยู่ในรถตู้นานใช้ได้ทีเดียว เราขึ้นสะพานลอยแคบๆ เพื่อข้ามทางเชื่อมเข้าเซ็นทรัล


                ...อยากกินชาเขียว...


                ...สุดๆ ไปเลย...


                เราเดินหาร้านขายน้ำชาเขียวหอมๆ พร้อมกับขนมปังร้อนๆ นั่นไง ซื้อไปฝากแม่ซักชุดดีกว่า พ่อไม่กินหรอก ไม่ชอบของหวาน


                “ชาเขียวเย็นกับขนมปังสังขยาสองชุดครับ”


                “สองชุดนะคะ”


                “ทานที่นี่ชุดนึง กลับบ้านชุดนึงครับ อ๊ะ...กลับบ้านขอเป็นชาเขียวร้อนนะครับ”


                “ค่ะ”


                “พี่ครับนมร้อนกับขนมปังเนยนมที่นึงครับ”


                เอ๊ะ...เราไม่ได้สั่งนะ หันไปมองคนมาใหม่แล้วก็ต้องเบิกตาอย่างตกใจ


                ...นี่มัน..


                ...นายคนนั้นนี่...


                ....โลกจะกลมเกินไปแล้ว...


                “มาด้วยกันรึเปล่าคะ?”


                “เปล่าครับ คิดแยกเลย” เราหันกลับมาตอบพนักงาน เธอพยักหน้าแล้วกดๆ จิ้มๆ บนจอพักนึงก็บอกราคา


                “เฮ้ พี่ไม่มองกันเลย” เขาที่ยืนอยู่ข้างหลังชะโงกหน้ามามองเรา พอมายืนแบบนี้แล้วหมอนี่สูงกว่าเรานิดหน่อย  เรายื่นเงินให้พนักงานแล้วรับถาดมาถือไว้


                “เอ่อ หวัดดี ไปก่อนนะ” เรารีบบอกแล้วยกถาดไปหาที่นั่ง แต่ก็ได้ยินเสียงเรียกตามหลัง


                “พี่...รอด้วยดิ”


                “นมร้อนกับขนมปังเนยนมทั้งหมด 129 บาทค่ะ”


                “อะนี่ครับ”


                เราเลือกนั่งที่ติดกับรั้วกระจกกั้น มองลงไปจะเห็นผู้คนมากมายเดินเลือกซื้อของหรือขึ้นลงบันไดเลื่อน เหมือนเราเป็นยักษ์แล้วมองมนุษย์ตัวเล็กๆ เลย


                “ขอนั่งด้วยคนได้ไหมพี่”


                เราเงยหน้าเจ้าของเสียง ไม่ทันได้ตอบเขาก็เอาถาดมาวางเรียบร้อยแล้ว


                ครืด


                เขาลากเก้าอี้แล้วทิ้งตัวลงนั่งและเริ่มต้นบทสนทนาทันที “พี่ทำไมไม่แอดไลน์ผม”


                พรืด!


                เกือบสำลักชาเขียว


                “แค่กๆ”


                “เป็นอะไรรึเปล่า เอ้า ทิชชู่”


                …มาถามอะไรตอนนี้นะ…


                “ขอบใจ” เรางึมงำแล้วรับมาเช็ดมุมปาก เผลอสบตากับคนที่นั่งตรงข้าม วันนี้เขาใส่เสื้อนักศึกษากับกางเกงยีนส์ทันสมัย ผมหน้าปรกหน้าผากเล็กน้อยนั้นไม่บดบังหน้าตาของเขาจนเกินไป  อ่า...เราคงมองนานไปหน่อยเลยจิ้มขนมปังมากินแก้เก้อ


                “ทำไมพี่ไม่แอดไลน์ผมล่ะ” เขาเอนตัวมาข้างหน้าจนเราเอนไปข้างหลังโดยอัตโนมัติ ถามซ้ำอีกครั้งเมื่อครั้งแรกล้มเหลว


                “คือ...เรา...”


                “หือ?...”


                “เรา...เอ่อ...ไม่รู้จักกันนะ”   


                เขาถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ เขาไม่แตะนมร้อนกับขนมปังที่สั่งมาเลยแม้แต่น้อย “งั้นพี่ตอบผมนะ...ผมเรียนที่ไหน” เขาพิงหลังกับพนักพิงพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ตัวเอง


                เราวางแก้วชาเขียวลง ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคิดจะทำอะไรแต่เพราะสายตาจริงจังทำให้เราชะงักไป สายตาคู่นั้นทำให้เราตอบเขาไปซะอย่างนั้น


                “ธรรมศาสตร์”


                พอเราตอบเขากลับยิ้มขำก่อนจะเปลี่ยนไปทำหน้านิ่งๆ อีกครั้ง นี่เราทำอะไรอีกแล้วล่ะ


                “ผมเรียนจบจากโรงเรียนอะไร”


                “อืม...สาธิตที่ไหนซักที่”


                “แล้วผมเกิดปีไหน”


                “ปีเดียวกับเรา”


                “เดือนล่ะ”


                “ธันวาล่ะมั้ง”


                “ผมอยู่ปีอะไร”


                “ปีสาม”


                “ผมเรียนอะไร”


                “ศิลปศาสตร์”


                “ตอนม.6 ผมเรียนแผนอะไร”


                “อา...ศิลป์-เยอรมัน”


                แปะ       


                เขาทุบกำปั้นกับมือตัวเองหนึ่งที จนเราสะดุ้ง


                “นั่นไงพี่รู้จักผมแล้ว แอดผมได้แล้วสิ”


                “เดี๋ยวนะ...แต่”


                เราเสียรู้เขาจนได้ พลาดท่าตกม้าตายเลยล่ะ ให้ตายเถอะ


                “เราก็รู้แค่นั้น” แล้วที่สำคัญเขาพล่ามคนเดียวด้วย บนรถเมล์คันนั้นเขาเล่าเรื่องตัวเองมาซะครึ่งชีวิต


                “ไม่พี่...เรารู้จักกันแล้ว”


                “มัดมือชกนี่” เราโวยแต่...อะ...เรื่องนี้เขาไม่เคยบอกนี่ เราอ้างได้งั้นสิ


                “แต่เราไม่รู้จักชื่อกันเลยนะ ถือว่าไม่รู้จักกัน...”


                “ผมชื่อนาย” เขาโพล่งขึ้น “ถ้าพี่อยากรู้จักกับผมให้มากกว่านี้ พี่ก็แอดไลน์ผมมาซักทีสิ”


                ถ้าเราเป็นตู้กดน้ำหยอดเหรียญ เราคงจะเออเร่อแล้วไม่ปล่อยกระป๋องมาให้ลูกค้าซักกระป๋องจนลูกค้าต้องเตะมาที่ตู้หลายๆ ครั้งด้วยความโมโห เราปวดหัวกับคนตรงหน้านี้แล้วนะ เขาดูดื้อแล้วก็ไม่ฟังอะไรเลย


                “พี่ยังไม่มีแฟนใช่ไหม?”


                เราก้มหน้ากัดหลอดด้วยความเคยชิน


                “ไม่”


                รู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมาตอบคำถามอะไรแบบนี้ และดูเหมือนคนตรงหน้าจะอารมณ์ดีเอามากๆ


                “พี่ชื่ออะไร”


                “เราไม่จำเป็นต้องบอก”


                “บอกมาเถอะ” เขาทำท่าคิดเมื่อเห็นว่าผมเริ่มเสียงแข็ง “งั้นถือซะว่าเห็นแก่ถุงส้มใบนั้น”


                เขาเดาจุดอ่อนเราถูก เพราะว่าความมีน้ำใจของเขาในวันนั้นเราจึงเริ่มอ่อนลงและยอมบอกชื่อตัวเองหลังจากเงียบไปซักพัก


                “ชื่อ...ปั้น”


                “มาจากกำปั้นหรอพี่”


                “ข้าวปั้น”


                “นั่นสิ มีคำว่าข้าวปั้นอีกนี่นา เข้ากับพี่นะ” เขายิ้มตาหยีแกล้งทำท่าคิดออก เพราะแบบนั้นเราถึงรู้ เราพลาดท่าเขาอีกแล้ว หมอนี่แค่หลอกให้เราบอกชื่อเต็มๆ เท่านั้นแหละ เผลอมองรอยยิ้มเขาไปไม่รู้ทำไมถึงใจแกว่งแปลกๆ


                “ถ้าซื้อมาไม่กินแล้วจะซื้อมาทำไม” เราเบนสายตามองของที่วางอยู่ฝั่งของเขา เปลี่ยนเรื่องคุยไปซะอย่างนั้น


                “อะ...ครับ” แล้วเราก็ก้มหน้าก้มตากินจนเกือบหมด ระหว่างนั้นก็นึกขึ้นได้ ปกติเราจะเอาบิลมาเช็คว่าพนักงานคิดราคาถูกหรือผิด


                เราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาวางบนโต๊ะ กดแอพพลิเคชั่นเครื่องคิดเลข ไม่ได้สนใจคนที่ส่งสายตาดูมือถือเราอย่างปิดไม่มิด


                “มองทำไม”


                “เปล่า นึกว่าพี่จะเข้าไลน์ซะอีก”


                เขาคงรู้ตัวว่าจู่โจมเร็วเกินไป เขาจึงไม่พูดเรื่องให้เราแอดไลน์เขาไปอีก แต่ก็ไม่พ้นเรื่องนี้ซะทีเดียว


                ...เรียบร้อยคิดเงินถูกต้อง...


                “เรากินหมดแล้วเราไปก่อนนะ” เราพูดหลังจากที่จัดการอาหารตรงหน้าหมด เรายกกระเป๋าแล้วลุกขึ้น เขาที่กำลังจิบนมร้อนร้องเสียงหลง


                “เดี๋ยวพี่ เดี๋ยว...”


                ตอนนั้นเราก็หิ้วถุงชาเขียวและขนมปังออกจากร้านไปแล้ว             เขาทิ้งนมร้อนและขนมปังที่ยังกินไม่หมดวิ่งตามเราออกมา อยากจะเอ็ดเขาเรื่องกินทิ้งกินขว้างตามประสาคนขี้งกแต่นึกได้ว่าแค่คุยกันสองครั้งเท่านั้น และคงไม่มีครั้งที่สาม


                เราเดินเข้าร้านหนังสืออย่างไม่รีบร้อน แต่คนที่รีบร้อนดูเหมือนจะเป็นเขาคนนี้แหละมั้ง


                “แฮ่กๆ พี่เดินโคตรเร็วเลย”


                ...เราไม่ได้ใช้ให้เดินตามนะ...


                เราเดินมาฝั่งนิยายภาษาอังกฤษ หนังสือที่เราอยากได้เข้าตอนต้นอาทิตย์นี่นา พออยู่กับกลิ่นหนังสือแล้วเหมือนอยู่สวรรค์เลย


                “หูยยย เบื่อภาษาอังกฤษจะแย่”


                เราไล้มือกับสันหนังสือ ตาก็มองชื่อเรื่อง เราชอบที่จะหาเองมากกว่าไปบอกพนักงานมาหยิบให้


                “พี่รู้ป้ะ ผมอะไม่ชอบอ่านมากเลย นิยายที่บังคับเรียนผมต้องขอให้เพื่อนอ่านแล้วมาเล่าให้ฟัง ลองแล้วมันไม่รอดจริงๆ”


                เขาพิงชั้นหนังสือแล้วหยิบหนังสือมาเปิดมั่วๆ เล่มหนึ่ง


                “ผมชอบเรียนพวกสังคม วัฒนธรรม ภาษาศาสตร์อะไรพวกนี้ สนุกกว่าเยอะ”


                เราจมอยู่กับโลกของหนังสือจนไม่ได้ยินเสียงเขาพูดประโยคถัดไปและก็ไม่รู้ว่าคนที่ยืนพิงชั้นหนังสือหายไปไหนแล้ว           


                ...เจอแล้ว... เราเลือกเล่มที่ไม่มีตำหนิแม้แต่อย่างเดียวออกมาจากชั้น


                “เอ๊ะ...” เขากลับไปแล้วล่ะมั้ง พลันสายตาก็เห็นกลุ่มนักศึกษาอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้านหนังสือ หนึ่งในนั้นคือเขา...นายคนนั้นกำลังล็อคคอปิดปากเพื่อนที่หัวเราะเขาอยู่


                ...เฮ้ย เขาหันมามองจนได้...


                ...ทั้งกลุ่มเลย ทำไมต้องยิ้มแบบนั้นกันนะ...


                เราหมุนตัวหยิบหนังสือเล่มนั้นเดินไปจ่ายเงินทันที ไม่นานเขาก็เดินมาที่เคาน์เตอร์คิดเงิน


                “เพื่อนผมน่ะ บังเอิญมากมาเดินแถวนี้เหมือนกัน” เขาบอก ทำท่าเหมือนตกใจที่ได้เจอเพื่อนอะไรประมาณนั้น “พี่จะรีบไปไหน”


                “กลับบ้าน” เราตอบเดินออกจากร้านเดินตรงมาทางเชื่อมไปลงอีกฝั่งเพื่อขึ้นรถเมล์ จากตรงนี้ไม่ไกลกับบ้านเรานัก มันคงจะปกติถ้าไม่มีใครเดินตามหลังมาแบบนี้


                “พี่อย่าพึ่งรีบกลับดิ ผมหลงทิศ”


                เราเอียงหน้ามองคนที่เร่งฝีเท้ามาเดินข้างๆ บนสะพายลอย เขาหอบเล็กน้อย


                “โกหก” เขาโกหกแน่ๆ เพื่อนเขาเมื่อกี้ไง


                “จริงๆ นะ...ปกติผมไม่มาแถวนี้หรอก แต่อยากเสี่ยงมา เผื่อโชคดีได้เจอ”


                “เจออะไร” เราถามกลับ คำพูดคำจาชวนให้คิดอะไรแบบนี้ เขาดูพูดเก่งจัง


                “ก็...” เขาลากเสียงยาว ยกยิ้มมุมปากส่งมาให้เรา “เจอคนบางคน เจออะไรบางอย่าง อะไรประมาณนี้”


                ...ไม่น่าถามต่อเลยเรา...


                “อืม” เราครางรับในลำคอกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ ตัวเอง


                “เฮ้ยพี่ทำไมรีบเดินอีกแล้วอะ”


                เราไม่สนใจเขาอีกแล้ว เขาจะตามเราไปถึงไหน ถ้าเราแอดไลน์ไปก็เหมือนเราสนใจเขาน่ะสิ ไม่เอาหรอก เขาต่างหากที่มาสนใจเราก่อน อ่า...พอพูดแบบนี้แล้วเราชักขนลุกแล้วสิ เหมือนเราเป็นนางเอกช่องสามงั้นแหละ


                “ซื้อน้ำส้มคั้นขวดนึงครับ” เราหยุดตรงหน้าขายน้ำส้มแผงลอยครู่หนึ่ง


                “พี่นี่กินเยอะเหมือนกันนะเนี่ย”


                เราไม่ตอบ จ่ายเงินและรับถุงใส่น้ำส้มคั้นจากพ่อค้ามายื่นให้เขา


                “อะ...ให้”


                “เฮ้ย ให้ทำไมครับ”


                “ตอบแทนที่ช่วยเราวันนั้น”


                “ไม่ต้องก็ได้ครับ ผมเต็มใจ เอ๊ะ...หรือพี่คิดว่าที่ผมตามมาด้วยเพราะอยากได้ของตอบแทน”


                “เปล่า ถือว่าเราไม่ได้ติดค้างกันแล้วนะ อะ...รถเมล์มาพอดีเราไปก่อนนะ”


                “เฮ้ยพี่!”


                โชคดีอะไรแบบนี้ที่รถเมล์มาพอดี เรารีบพูดแล้วก้าวขึ้นไปทันทีที่รถเมล์จอด เพราะรถเมล์จอดนอกป้ายมานิดหน่อยเราเลยได้ขึ้นก่อนคนอื่น


                กระเป๋ารถเมล์เดินมาเก็บเงินที่เรา เดี๋ยวนะ กระเป๋าเป้ก็หนักแถมยังถือถุงกระดาษอีก มืออีกข้างก็ต้องจับราวพนักพิง มันจะทุลักทุเลหน่อยๆ กระเป๋ารถเมล์ไม่พูดอะไรแต่ยื่นกดดันเราอยู่แบบนั้น แป๊บนึงสิครับ...โธ่ หาเหรียญไม่เจอในกระเป๋าไม่เจอซักที


                “สองคนครับ”       


                เงยหน้าขึ้นไปมอง ได้มาแค่สิบบาทเองขาดอีกสามบาทยังหา...อะ...หมอนี่อีกแล้ว มาได้ไงเนี่ย เขายื่นเงินให้กระเป๋ารถเมล์พลางชี้มือมาทางเราและเขาสลับกัน เราต้องเป็นหนี้ไอ้คนแปลกหน้าคนนี้อีกนานเท่าไหร่ ค้นหาเหรียญจนเจอแล้วยื่นให้เขาพร้อมกับถาม


                “นี่นายตามเรามาหรอ?”


                เขาทำหน้าเหวอได้สมจริงมากๆ “ไม่ได้ตามครับ” โบกไม้โบกมือไปมา “ผมจะไปเยี่ยมแม่เพื่อนที่ยันฮีเหมือนเดิมไง ป่วยหนักก็แบบนี้แหละ” เขารีบพูด


                เราพยักหน้ารับ อยู่กับเขาแล้วปวดหัวจะแย่ เย็นวันศุกร์คนยังแน่นเหมือนเดิมแต่ก็ไม่ได้เบียดเหมือนปลากระป๋อง เรารู้สึกเหมือนมีใครมอง พอหันไป เขาก็ทำเป็นมองโปสเตอร์โฆษณาที่ติดข้างๆ รถ เราไม่สนใจเขาอีกมองนู่นมองนี่แทน แต่จู่ๆ เขาก็ทำท่าควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋า ตบกระเป๋ากางเกง กระเป๋าเสื้อเสียงดังปั่บๆ


                “เฮ้ยๆๆ อย่าบอกนะว่าหาย...” เขาพึมพำ เราที่ยืนข้างๆ เหล่มองเขา


                “หายหรือว่าลืมวะ แม่ง” คนข้างๆ สบถจริงจังพลางขมวดหัวคิ้วมุ่น เราที่ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำกับเพื่อนร่วมโลกก็เลยหันไปหาเขา


                “ของหายหรอ?”


                “โทรศัพท์ผมน่ะ...อยู่ดีๆ ก็จำไม่ได้ว่าอยู่ไหน” เขาบอก ทำตาละห้อย สีหน้ากังวลจริงๆ “ผมจะโทรหาเพื่อนว่าใกล้ถึงแล้ว แต่หาโทรศัพท์ไม่เจออะพี่ สงสัยลืมแน่เลย”


                “อืม งั้น...เอาของเราไปโทรก่อนไหม” เราบอกแล้วยื่นมือถือให้ไม่ได้คิดอะไรมาก


                “ขอบคุณครับ แย่จริงๆ เลยผม” บ่นพร้อมค้อมหัวเป็นเชิงขอบคุณแล้วรับมือถือไปกด เรามองนิ้วมือเขาที่กดๆ เลื่อนๆ บนมือถือของเราไปด้วย


                “เอ่อ..เออ..พี่ใกล้จะถึงป้ายพี่หรือยัง”


                เขาแนบโทรศัพท์กับหูแล้วพยักเพยิดหน้าไปหน้ารถ เราเลยหันไปมอง ก้มๆ เงยๆ ดูข้างหน้าพักนึงเพราะคนอื่นยืนบังเราหมด อืม


                ...ใกล้ถึงแล้วมั้ง...


                เราหันไป กำลังจะเอ่ยปากบอกเขา แต่ไอ้หมอนี่กลับสะดุ้งที่เราหันมา ตกใจอะไรขนาดนั้น เราไม่ใช่ผี


                “อะ...เอ่อใกล้ยังพี่” เขายื่นมือถือมาคืนให้ ร้อนหรอ ทำไมเหงื่อออก


                “อ๋อ อีกป้ายนึง”


                “ขอบคุณมากครับ ผมโทรไปแล้วเพื่อนรับ มันบอกว่าผมลืมในห้องเรียนเลยเก็บไว้ให้”


                “อ๋อ...โอเค ดีแล้ว”


                เดธแอร์อีกแล้ว พอเราจะลงป้ายหน้าก็พลันคิดถึงเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อนขึ้นมา หวังว่าวันนี้เขาคงไม่ทำอะไรแปลกๆ หรอกนะ


                “เราจะลงแล้วล่ะ”


                “อ๋อครับ...”


                เขาเป็นเด็กดีคนนึงเลยล่ะ ถ้าไม่นับเรื่องแอดไลน์อะไรนั่น ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ตื๊อเราเหมือนตอนที่เจอกันในห้าง สงสัยจะยอมแพ้แล้วล่ะมั้ง เด็กๆ ก็แบบนี้ล่ะ


                “โชคดีนะ” เรายิ้มให้แล้วหันหลังเดินไปกดกริ่งตรงหน้าประตู


                “ครับ”
 

                วืดดดด กึง!


                ก่อนที่จะเราจะก้าวขาลงไป เสียงทุ้มของเขาก็เอ่ยตามหลัง เขาเรียกชื่อเราเป็นครั้งแรก

   
                “พี่ปั้น” เขายิ้มจนตาหยี “ถ้าผมทักไปตอบผมด้วยนะ”


                ในตอนนั้นเราคิดว่าเขาคงหมายถึงถ้าเจอกันโดยบังเอิญ เราพยักหน้ายิ้มๆ แล้วก้าวลงรถเมล์ไป ไม่ได้เอะใจว่าความหมายของคำว่าทักน่ะมันจะปรากฏให้เห็นไม่กี่นาทีหลังจากนั้น

 



               You have a new friend 1





                Nine naay

               หวัดดีครับพี่ปั้น






====
-นายเนียน-
ขอติดทอล์คไว้ก่อนเด้อออ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 1 : เรา...บังเอิญ [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahtallll ที่ 15-09-2017 17:39:14
งุ้ย อ่านละเขิน ไม่รู้ทำไม5555
ติดตามนะคะ  :hao7: :hao7: o13
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 1 : เรา...บังเอิญ [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 15-09-2017 18:18:11
อั้ย เราก็เรียนอักษร ศิลปากร คิดถึงมอเลย
เกิดปีเดียวกับปั้นด้วย  :o8:
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 1 : เรา...บังเอิญ [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 15-09-2017 18:40:36
พี่ข้าวปั้นตามน้องนายไม่ทันหรอก เจ้าเล่ห์เยอะ 5555
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 1 : เรา...บังเอิญ [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 15-09-2017 18:46:53
น่ารักกกก อ่านไปยิ้มไป
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 1 : เรา...บังเอิญ [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: moosawvans ที่ 16-09-2017 15:07:25
อยากอ่านต่อแล้วค่า :mew3:
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 1 : เรา...บังเอิญ [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-09-2017 22:38:47
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 1 : เรา...บังเอิญ [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-09-2017 00:38:04
เด็กเจ้าเล่ห์  :hao7:
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 2 : เรา...ที่เคยอยู่เงียบๆ [18/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 18-09-2017 17:35:59
Act 2: เรา...ที่เคยอยู่เงียบๆ


                “จำคนที่ให้ไอดีไลน์ได้ไหม?”


                “อื้อ ที่แกเล่าให้ฟังน่ะนะ” ชมพู่ทำเสียงตื่นเต้น ละสายตาจากการมองจอโน้ตบุ๊กมามองเราอย่างสนใจอยู่ครู่หนึ่ง “แอดไปแล้วหรอ”


                “เราไม่ได้แอด”


                “โหย ไรอะ คนอุตส่าห์อ่อยขนาดนั้น ลองดูก็ไม่เสียหาย แค่คุยเอง”


                “แต่การเริ่มคุยมันคือการเริ่มต้นความสัมพันธ์นะ”


                “สัมพันธ์อะไร ยังไม่ได้ขอคบ แค่คุย”


                “ความสัมพันธ์แบบคนคุยไง”             


                “คิดเยอะ”


                “งั้นหรอ”


                “คุยๆ ไปเถอะ ถ้าใช่มันก็คือใช่ ถ้าไม่ใช่คุยให้ตายก็ไม่ใช่” ชมพู่จ้องหน้าเรา “ถ้าคิดว่าไม่ใช่ก็รีบบอกเขา”


                “หรอ...”


                “เดี๋ยว ไหนแกบอกไม่ได้แอด”


                “เราไม่ได้แอด แต่...เขาแอด”


                “หมายความว่ายังไง” ไม่รอคำตอบ ชมพู่กวาดสายตาไปบนโต๊ะ นั่นล่ะเป้าหมาย เธอยื่นมือมาคว้าโทรศัพท์เราและเราก็ตะครุบไว้ไม่ทัน ชมพู่เลื่อนนิ้วไปมา สายตามองขึ้นลง เลื่อนอยู่ไม่นานเธอก็เปลี่ยนสีหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับชูหน้าจอมือถือมาทางเรา


                “เดี๋ยวนะ....นี่คุยกันแล้วหรอ”


                “เอ่อ...ก็เขาทักมา คือแบบว่าเพราะเราบอกไปแบบนั้น ไม่ตอบก็ยังไงอยู่...”


                “แกบอกอะไร มีเรื่องอะไรที่ฉันไม่รู้ ไม่ใช่ว่าแกเจอกันสองอาทิตย์ก่อนนู้นไม่ใช่หรอ”


                “อย่ายื่นหน้ามาใกล้เรา”


                “ทำไม อย่าหลบตาสิ ฉันต้องจ้องตาแกเพื่อจับโกหก” เธอลุกขึ้นยืน เอนตัวจากอีกด้านหนึ่งของโต๊ะแล้วยื่นมือมาบีบแก้มเรา


                “ชมพู่ๆ เราจะเล่าให้ฟังเอง นั่งก่อน ใส่กระโปรงสั้นเอนตัวแบบนั้นไม่ดีนะ” เห็นมีรุ่นน้องด้านหลังแอบมองตอนชมพู่ลุก โธ่ ไม่ได้ระวังตัวเลยชมพู่


                เพื่อนสนิทเรายื่นมือไปปิดกระโปรงด้านหลังแล้วก็นั่งลง “เฮ้อ ปั้น ดีอย่างแกทำไมถึงไม่มีแฟนซักที”


                “ผู้หญิงคงไม่ชอบติ๋มๆ แบบเราหรอก”


                “ผู้หญิงไม่สน แกก็สนผู้ชายดิ”


                “ชมพู่ นี่ห้องสมุดนะ”


                “เออ ขอโทษ” ตาโตๆ ของชมพู่เหลือบมองเจ้าหน้าที่ห้องสมุดซ้ายทีขวาทีก่อนจะเอามือป้องปากแล้วพูดเสียงเบา “แกคงจะชอบเขาเหมือนกันล่ะสิ”


                “เฮ้ย บ้า เราไม่ได้รู้สึกอะไร”


                “แต่แกพูดถึงคนนี้ให้ฉันฟังบ่อยนะ”


                “ก็แค่เรื่องแปลกที่เราไม่เคยเจอไง เป็นผู้ชายด้วย”


                “แล้วที่คุยกันยาวเหยียดนี่คืออะไร” ชมพู่ในนิ้วชี้กดๆ ไปที่จอมือถือที่โชว์หน้าต่างสนทนาระหว่างเรากับเขาค้างอยู่แบบนั้น


                “ก็อ่านแล้วไม่ตอบ มันจะทำให้เขารู้สึกแย่ที่แย่กว่าคือไม่อ่านด้วย” เราว่าต่อ “ข้อเสียของไลน์เลยล่ะ เอ่อ...ชมพู่ก็เคยบอกเรานี่ว่ารับรู้แล้วให้ตอบ”


                “แกต้องแคร์ขนาดน้านนน อะๆๆๆ ไม่ต้องมองแบบนั้น เล่ามาซะดีๆ ” เพราะสายตากดดันของชมพู่เราเลยต้องเล่าให้เธอฟังคร่าวๆ และแน่นอนเราไม่เล่าตอนที่เราโง่ตามเกมเขาไม่ทันให้เพื่อนฟังเด็ดขาด


                ชมพู่ไม่ได้ตอบอะไรแต่อมยิ้มล้อเลียนเราจนเราทำตาลอกแลก อะไรกัน อย่ามาจับผิดนะ มันไม่มีอะไรจริงๆ เราคุยกับเขาเหมือนพี่น้องอะไรทำนองนั้นน่ะ เขาก็ดูเหมือนไม่ได้พูดจาหวานเลี่ยนอะไรด้วย แค่คุยปกติ มีกวนๆ บ้างตามนิสัยเขาล่ะมั้ง เราว่างก็ตอบไม่ว่างก็ไม่ตอบแค่นั้นเอง


                “แค่นั้น...จริงหรอ”


                “หมดแล้วเนี่ย ไม่มีอะไร”


                “ตามใจ มีอะไรก็ปรึกษาได้ รู้ใช่ไหม” ชมพู่สบตาเราแล้วถามย้ำ


                “รู้ครับ ทำงานได้แล้ว” ชมพู่เป็นเพื่อนที่ดีเสมอ         


                “ว้าย อยากเผือกมากจนงานไม่เดินเลย” เราหัวเราะเบาๆ กับท่าทางตลกของชมพู่พลางนึกย้อนไปถึงก่อนหน้านี้ ก็ไอ้คนหลอกเราเรื่องมือถือหายนั่นแหละ เพราะทันทีที่เราลงจากรถเมล์ เสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้นเหมือนเรื่องบังเอิญ


                อาจจะเป็นเพราะความกวนๆ ดื้อๆ ของเขาทำให้เราอดไม่ได้ที่จะตอบไปด้วยความหมั่นไส้


                และอาจจะเพราะความเจ้าเล่ห์ของเขาทำให้เราก้มหน้ามองมือถือตลอดการเดินเข้าไปในซอยบ้านเป็นครั้งแรก


                บทสนทนาผ่านไลน์ในวันนั้นมันเริ่มต้นจาก...



                Nine naay
                หวัดดีครับพี่ปั้น
                ทักแล้วนะครับช่วยตอบด้วย

read   Khaopun
นายหลอกเรานี่



                ...เด็กคนนี้หลอกเราชัดๆ เจ้าเล่ห์เอ๊ย...



                Nine naay
                ก็ผมอยากคุยกับพี่จริงๆ นะ
                ขอโทษครับที่หลอกเรื่องมือถือหาย
                ว่าแต่
                พี่เรียกชื่อผมแล้วเหมือนได้ยินเสียงพี่ลอยมาเลย

read  Khaopun
กำลังเปลี่ยนเรื่องใช่ไหม?
แล้วเราก็ไม่ได้เรียกชื่อนายด้วย

                Nine naay
                นั่นไงเรียกอีกแล้ว
                ไม่ได้เปลี่ยนเรื่องซะหน่อย
                ก็พี่ไม่แอดไลน์ผมมาซักที
                กระดาษแผ่นนั้นโดนขยำทิ้งไปแล้วมั้ง
                ไม่รู้แหละ
                พี่บอกอะไรก่อนลงรถจำไม่ได้แล้วหรอ             

read Khaopun
นั่นเราเข้าใจผิด

                Nine naay
                พี่รักษาสัญญาดิ โตแล้วนะ

read  Khaopun
เรายังไม่ได้สัญญาอะไรเลย

                Nine naay
                พี่บอกว่าจะตอบถ้าผมทักไป

read   Khaopun
เราเข้าใจผิดเอง

                Nine naay
                ไม่ครับ
                เวลาพี่พยักหน้าคือการสัญญากับผม

read   Khaopun
เราคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ ไปละนะ

                Nine naay
                เฮ้ยพี่ อย่าไปนะ
                อย่าบล็อกผมด้วย

read  Khaopun
ไลน์มีบล็อกด้วยใช่ไหม ขอบใจที่บอก

                Nine naay
                เฮ้ยยยย อย่านะ
                ทำไมผมเหมือนชี้โพรงให้พี่เลยอะ
                อย่านะครับ พลีสสสสสสสส
                เห็นแก่ความพยายามของผมวันนี้ด้วยเถอะ

read   Khaopun
ความพยายามที่ได้จากความกะล่อนน่ะนะ

                Nine naay
                ผมเปล่ากะล่อนนะแค่อยากหาทางติดต่อพี่จริงๆ
                จะให้ผมไปรอที่ป้ายรถเมล์ทุกวันเลยหรอ
                รอจนรถเมล์หมดก็ไม่เห็นเจอเลย

read   Khaopun
ไม่ได้ไปจริงอย่ามาโม้หน่อยเลย

                Nine naay
                เปรียบเทียบไง
                ใครจะไปรอที่ป้ายรถเมล์ยุงกัดเต็มไปหมด

read   Khaopun
เราต้องไปแล้ว บาย


                เรากดส่งข้อความสุดท้ายไปให้เขา และเขาก็ตอบกลับมาทันที เหมือนจะรีบพิมพ์จนไม่เว้นวรรคแถมยังมีคำผิดด้วย เราเดินมาหยุดตรงประตูไม้หน้าบ้าน ก้มมองมือถือที่มีข้อความของอีกคนขึ้นมาเรื่อยๆ อยู่แบบนั้น


                Nine naay
                พี่เดี๊ยวอย่าบล็ิอกอย่าไม่ตอบเลยนะ
                ถ้าพีไม่สะดวกใจคิดซะว่าคุยกับน้องคนนึวก็ได้
                ถึงเเม้ว่าจะไมาอยากเป็นน้องก็เถอะฟ
                นะครับ
                นะ
                นะพี่ปั้นนนนนนนนนน


               เขาเงียบไปแล้ว คงรอเราตอบ ถ้าเขาพูดถึงขนาดนี้แล้วเราก็คงไม่ใจร้ายกับเขาหรอก ถ้าเขาทักมาอีกเราก็คงตอบเขาเมื่อมีเวลา ตกลงไปก่อนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง เราก้มหน้าพิมพ์คำว่าอืมแล้วกดส่งแต่ในขณะเดียวกันข้อความของเขาก็เด้งขึ้นมาตัดหน้าเรา พอเงยหน้ามองจอก็เห็นประโยคที่ทำให้เราตาโต


                Nine naay
                ตอนนี้คุยกันแบบพี่น้องไปก่อนหลังจากนี้ค่อยมาเป็นแฟนกัน
                โอเคนะครับ

read   Khaopun
อืม


                อืม!!?


                ถ้าเป็นคนอื่นคงจะตะโกนว่าเหี้ยแต่เพราะเป็นเรา เราเลยอยากตะโกนว่า


                ตุ๊ดตู่!!!

               





                “เฮ้ย ปั้น... ปั้น...เหม่ออะไร เจ้าหน้าที่มาปิดไฟแล้ว”


                “อะ...อ้าว ปิดแล้วหรอ”


                “เร็วๆ เลย เรียกตั้งหลายทีก็ไม่หัน”


                “ขอโทษๆๆ”


                “ตั้งใจว่าทำแป๊บเดียว อยู่จนห้องสมุดเป็นจนได้” ชมพู่บ่นขณะเดินลงมาหลังจากรอเราโกยเอกสารและข้าวของลงกระเป๋าหมด “แกจะซื้ออะไรไหม?”


                “ไม่ดีกว่า ชมพู่ล่ะ”


                “โน เดี๋ยวอ้วน”


                “โอเค”


                เรากับชมพู่อยู่พักอยู่ในนครปฐมแต่อยู่คนละที่ ชมพู่มีบ้านญาติอยู่ที่นี่แต่ไกลออกไปจากมหาลัย เธอจึงมักจะใช้รถยนต์มาเรียนแถมยังใจดีไปรับไปส่งเราด้วย


                “เจอกัน”


                “ขอบคุณมาก ถึงบ้านแล้วไลน์บอกเราด้วยนะ”


                “โอเค”

               




                ...อยากนอนเลย...


                พอถึงห้องเราก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง หอเราไม่ได้กว้างมาก เข้ามาก็เจอโต๊ะ เตียง แล้วก็ประตูห้องน้ำ แต่ที่นี่ถูกดีนะเราว่า


                เวลาเราง่วง เราควรจะต้องทิ้งมือถือไว้ไกลๆ ถ้าเห็นแล้วชอบหยิบมาเลื่อนนั่นเลื่อนนี่แล้วแสงสีฟ้าจากจอก็ทำให้เราหายง่วงไปแต่เราก็ทำประจำ เราเข้าแอพยอดฮิตอย่างเฟซบุ๊ก กดเปิดเสียงที่ปิดมาทั้งวันแล้วดูคลิปที่แม่แท็กมาเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว เป็นคลิปคนล้วงกระเป๋าบนรถเมล์ เรากดไลค์แล้วตอบแม่ไป


                ...จะระวังครับ...


                ตื่อ ดือ ดึ๊ง ตื่อ ดือ ดึ๊ง ตื่อ ดือ ดึ๊ง


                เสียงแจ้งเตือนรัวตอนสี่ทุ่มนี่คงไม่ใช่ใครที่ไหน เราไม่เคยคุยกับใครนอกจากพ่อ แม่ หรือชมพู่ และคงไม่ใช่ชมพู่ที่กำลังขับรถแน่ๆ เวลาแบบนี้ก็คงจะเป็น....


                Nine naay
                พี่ปั้น
                พี่ปั้นหายไปไหนทั้งวัน
                คุณข้าวปั้นนนนนนนน
                โอ๊ะ อ่านแล้วนี่
                พี่ปั้นพึ่งว่างหรอ
                พี่ป้านนนน

read   Khaopun
อืม
เราพึ่งถึงห้อง


                Nine naay
                ไปไหนมา ดึกแล้วนะพี่

read   Khaopun
ทำงานดิ เรามีงาน
ไม่ได้ว่างเหมือนนาย

                Nine naay
                ผมไม่ได้ว่างนะ
                จ้องโทรศัพท์รอพี่มาตอบ
                ไม่เห็นว่างเลย

read   Khaopun
ไปอ่านหนังสือซะไป

                Nine naay
                โห พี่ ผมเกลียดวิชาการ
                แล้วพี่กลับห้องยังไงเนี่ย

read   Khaopun
เพื่อนมาส่ง

                Nine naay
                ถามได้ไหมว่าผู้หญิงผู้ชาย

read   Khaopun
ถามทำไม

                Nine naay
                ตอบเหอะอยากรู้

read   Khaopun
เด็กเผือก

                Nine naay
                ผมไม่ได้ผิวขาวเหมือนพี่ซะหน่อย

read   Khaopun

สาบานว่าไม่เก็ท
ต้องให้เราเปลี่ยนพยัญชนะไหม

                Nine naay
                55555
                ก็อยากเผือกหมดแหละถ้าเป็นเรื่องพี่อะ
                ตกลงหญิงหรือชาย

read   Khaopun
เพื่อนเราเป็นผู้หญิง

                Nine naay
                ก็ดีกว่าผู้ชายละวะ

  read   Khaopun
คิดอะไรอยู่หยุดซะ

                Nine naay
                ผมคิดอะไรพี่รู้หรอ

read Khaopun
เรารู้

                Nine naay
                พี่รู้ได้ไงผมคิดถึงพี่อยู่

read Khaopun
เราง่วง


                ...อยากจะกรอกตาเป็นเลขแปด ไหนบอกว่าคุยเเบบพี่น้องไง...


                Nine naay
                555 ง่วงเฉย โอเคครับ
                ฝันดีนะพี่ปั้น


                ...ถ้าการคุยคือการเริ่มต้นความสัมพันธ์ แล้วเรากับเขานี่เริ่มต้นแล้วใช่ไหม...





======
-พี่ปั้นนนนนนนนนน-
ขอบคุณทุกคนค่ะ ♡
#เรากับเขา

 
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 2 : เรา...ที่เคยอยู่เงียบๆ [18/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 18-09-2017 19:56:08
น้องนายน่ารัก :mew1:
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 2 : เรา...ที่เคยอยู่เงียบๆ [18/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-09-2017 20:14:23
เจอปั้น ชอบปึ๊บ จีบปั๊บ  :3123:
นาย ข้าวปั้น   :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 2 : เรา...ที่เคยอยู่เงียบๆ [18/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 18-09-2017 20:24:44
ลูกตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลก สู้ๆนะคะน้องนาย *ชูป้ายไฟสุดแขน*
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 2 : เรา...ที่เคยอยู่เงียบๆ [18/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-09-2017 21:11:14
พี่ปั้นน่ารักแบบนิ่งๆดีค่ะ ชอบจังเลยยยย  :hao5:
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 2 : เรา...ที่เคยอยู่เงียบๆ [18/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-09-2017 16:41:40
น่ารักดีค่ะ
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 2 : เรา...ที่เคยอยู่เงียบๆ [18/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-09-2017 23:11:46
ตื้อและหน้ามึนเข้าไว้ ใช่ไหมนาย
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 2 : เรา...ที่เคยอยู่เงียบๆ [18/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 21-09-2017 08:13:24
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 21-09-2017 16:45:46
Act 3: เขา...ดื้อ


                ปรี๊ดดดดดดดดดดด


                “เริ่ม!”


                เฮือก!


                “อ๊ะ โทษทีปั้น ฉันเนี่ยขี้ลืมจริงๆ แทนที่แกจะกลับไปเก็บของกลับบ้านเลยต้องเดินย้อนมาหาฉันอีก” ชมพู่รับเอกสารตารางซ้อมจากมือเราหลังจากที่เราเดินเข้ามาหาเธอข้างสนามบาสในโรงยิมมหาลัย เสียงชมพู่ตะโกนเมื่อกี้ทำเอาเราที่เดินคิดอะไรมาเรื่อยเปื่อยสะดุ้งตกใจ


                “ไม่เป็นไร เรายังไม่ได้ออกจากมอพอดี” เราตอบชมพู่แล้วมองกลุ่มนักกีฬาตัวสูงแย่งลูกบาสกันอยู่ เสียงพื้นรองเท้าเสียดสีกับพื้นสนามเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ชมพู่เป็นผู้จัดการทีมบาสของมหาลัย เธอเป็นนักกิจกรรมตัวยงเลยล่ะ ผิดกับเราที่เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้อง


                “ขอบใจมากปั้น” ชมพู่เดินนำเรามานั่งตรงอัฒจันทร์ “แล้วเดินเหม่อเข้ามาในโรงยิมเนี่ยไม่ดีเลยนะ ถ้าลูกบาสลอยมาโดนหัวแกจะทำไง”


                “แหะๆ”


                “ไม่ต้องมายิ้มประจบ ดีนะวันนี้ชมรมฉันจองสนามไว้ก่อน” เรามองรอบๆ โรงยิมวันนี้มีแค่ทีมบาสของมหาลัยทีมเดียวเท่านั้นครับ


                “โดนหัวเราไม่เป็นไรหรอกเราเป็นผู้ชายนะ ชมพู่สิต้องระวัง”


                “ย่ะ...ระดับฉันแล้วถ้าใครกล้าปล่อยลูกบาสมาโดนหัวฉันเนี่ย เจอตารางซ้อมแน่นๆ แน่ๆ”


                “ดีนะเราไม่ได้เล่นบาส ไม่อยากเจอผู้จัดการทีมโหด”


                “แกแค่วิ่งไม่ให้บ่นปวดขาก่อนเถอะ” ชมพู่ย่นจมูกพร้อมกับผลักหัวเราเบาๆ เราคุยเรื่องรีเสิร์ชที่ทำคู่กับชมพู่อยู่ไม่นาน ไม่ได้สังเกตว่าเสียงรองเท้ากับเสียงลูกบาสกระทบพื้นเงียบไปตั้งแต่เมื่อไหร่


                “ผู้จัดการคร้าบบบบ ช่วยพาเพื่อนไปนั่งไกลๆ ได้ไหมคร้าบ” ผู้ชายคนหนึ่งตะโกนมาจากสนามบาส เขาใส่เสื้อแขนกุดสีดำสกรีนหมายเลขเสื้อเบอร์ศูนย์ ผิวขาวตัดกับสีเสื้อมาแต่ไกล


                “เล่นต่อไปสิ พวกแกจะมายุ่งอะไรกับฉัน!”


                “โอ๊ยยยย ถ้าเพื่อนผู้จัดการยังนั่งแถวนี้ พวกเราไม่มีสมาธินะครับ” พอคนนั้นพูดต่อเพื่อนในทีมที่หันมามองทางพวกเราก็พยักหน้าไปด้วย


                “เอ่อ...เราออกไปก็ได้นะ” เราทำหน้าเหวอๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะรบกวนคนอื่นขนาดนี้


                “ปั้นแต่ไม่ต้องออกไป ไอ้เจ็ม! หุบปาก ทำไมเวลามีสาวๆ มาดูพวกแกก็แอ็คท่าเล่นซะเต็มที่ ทำไมแค่เพื่อนฉันคนเดียวถึงไม่มีสมาธิ”


                ชมพู่หน้าบึ้ง เธอลุกขึ้นยืนพลางจับข้อมือเราเข้าไปใกล้ขอบสนาม ส่วนมืออีกข้างก็เท้าเอวอย่างเอาเรื่อง


                “ชมพู่” เราร้อง อยากจะออกไปเต็มที สถานการณ์มันอึดอัดพิกล “เราไม่เป็นไร เรามารบกวนเอง”


                “ตอบ!” ชมพู่ไม่ตอบเราแต่หันไปหาพวกนักกีฬาแทน


                “จะให้ตอบจริงๆ หรอครับ” เจ็มที่ดูเหมือนจะกล้าคุยกับผู้จัดการทีมตอบ เขามองซ้ายมองขวาหาเพื่อนร่วมชะตากรรม แต่นักบาสคนอื่นๆ ก็ถอยหลังกรู เราก็เริ่มกลัวชมพู่แล้วนะเนี่ย


                “เช็ดพื้นสนามหนึ่งอาทิตย์?”


                “อย่านะครับผู้จัดการรรร ก็...คือ...พวกมึงก็ไม่ช่วยกูเล้ย”


                “รีบๆ ตอบดิ หน้ายักษ์แล้ว”


                “อะไร! อ้ำอึ้งอยู่ได้”


                “เอ่อ...ใจเย็นๆ ครับผู้จัดการร คือว่า...เพื่อนผู้จัดการน่ารัก พวกเราหยุดมองไม่ได้เลยอ่า แบบว่าใจมันวอกแวกอะคร้าบบบบบบบ”


                “...!!” ชมพู่ตาโตปล่อยมือจากข้อมือเรา แล้วหัวมาหาเราทั้งตัว “ปั้นแกรีบๆ กลับไปเลย!”

               



                เราเดินออกมาจากมอ ข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อเข้าไปที่หอ ปีสี่ก็แบบนี้จะว่าว่างก็ไม่เชิง มีเรียนน้อยแต่งานระดับประเทศเลยทีเดียว อาจารย์เราเขี้ยวมากเพราะงานที่วัดคุณภาพของนักศึกษาคืองานจบครั้งนี้แหละ พอมาถึงห้องที่เรารัก เราก็นอนเอนหลังบนเตียงพร้อมชูมือถือขึ้นมาเล่น


                Poochom
                ขอโทษแทนเด็กๆ ด้วย
                *แนบรูป น้องๆ นักกีฬานั่งคุกเข่ากับพื้น


read  Khaopun
เฮ้ยไม่ต้องขนาดนั้นหรอก
น้องๆ ก็พูดเล่นไปเรื่อย


                Poochom
                ปั้นแต่ที่พวกมันพูด
                ที่พวกมันพูดว่าแกน่ารักอะเรื่องจริงนะ


                ...เฮ้ เฮ้ ผู้ชายตัวใหญ่เกือบสิบคนมาชมว่าน่ารัก เรากลัวนะ...


                Poochom
                มันมาถามฉันใหญ่เลยว่าแกเป็นใครทำไมไม่เคยเห็น
                5555 ขำดีเหมือนกัน
                แต่ฉันปกป้องแกแล้ว ไม่ให้ใครรู้จักแกได้ง่ายๆ หรอก

               
read  Khaopun
เราต้องรู้สึกยังไง


                Poochom
                แกก็ต้องรู้สึกดีสิ
                ฉันเป็นผู้จัดการมัน สวยขนาดนี้มันยังไม่เคยชมฉันเลย
                ดีแต่บ่นว่าฉันโหดอย่างนู้นอย่างนี้
                ฉันต้องไปแล้วล่ะ แอบกดมือถือเดี๋ยวพวกมันเอาเรื่องฉันไปฟ้องโค้ช
                กลับบ้านดีๆ ล่ะ

               
                เรากดอะไรไปเรื่อยเปื่อย กะว่าจะงีบซักสิบนาทีแต่จนแล้วจนรอดมันก็หลับไปลง เราเลยลุกขึ้นเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน เวลาผ่านไปเร็วชะมัด แป๊บเดียวก็เวียนมาเสาร์ อาทิตย์อีกจนได้


                ตื่อ ดือ ดึ๊ง


                ระหว่างที่เรากำลังคิดว่าจะเอาเอกสารอันไหนกลับไปอ่านที่บ้านก็มีเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้น เราละสายตาจากเอกสารที่กองอยู่ตรงพื้นก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแหล่งที่มาของเสียง


                ปกติทุกๆ วันศุกร์แม่จะส่งข้อความมาถามว่ากลับกี่โมงเสมอ แต่เพราะทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมามันมีอะไรไม่ปกติ ดังนั้นคนที่ส่งมาตอนนี้ก็คือคนที่ทำให้เกิดความไม่ปกติคนนั้นแหละ


                Nine naay
                พี่ปั้นวันนี้วันศุกร์แล้วพี่ปั้นจะกลับบ้านกี่โมง


read  Khaopun
                เรื่องของเรา


                Nine naay
                ใช่ครับ เรื่องของพี่กับผมก็เรื่องของเราไง

 
                ...เขาชอบพูดอะไรทำนองนี้อยู่เรื่อย... เราเปิดหน้าต่างบทสนทนาค้างไว้แบบนั้นแล้วหันไปเลือกเอกสารต่อ

               
                Nine naay
                พี่ปั้นนนนนน
                ถ้าพี่ไม่ตอบ ผมก็จะเรียนพี่แบบนี้แหละ
                พี่ปั้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
                ไม่พูดแบบนั้นแล้วก็ได้ คุยเถอะ ตอบเถอะครับบ             

                               
read  Khaopun
                เราจะกลับกี่โมงก็เป็นเรื่องของเรา


                Nine naay
                งั้นไม่เป็นไรวันนี้ผมไม่มีเรียน
                ผมจะไปนั่งรอตรงป้ายรถเมล์ตอนนี้เลย


read  Khaopun
จะบ้าหรอนี่พึ่งสิบเอ็ดโมงเอง


                Nine naay
                ผมรอได้ ถ้าพี่ไม่บอก


read  Khaopun
ทำไมนายถึงดื้อแบบนี้นะ


                Nine naay
                ผมไม่ได้ดื้อ

read  Khaopun
นายดื้อ


                เขาเงียบไปเลย เราก็ไม่ได้ทักอะไรกลับไปแล้วหันไปรวบเอกสารทั้งหมดเข้ากระเป๋า สุดท้ายเราก็เลือกไม่ได้ซักที เอากลับหมดนั่นแหละ เราเหลือบตามองโทรศัพท์มือถือที่ไม่มีข้อความของเจ้าเด็กจอมดื้อคนนั้นต่อ ก็รู้สึกแปลกใจหน่อยๆ


read  Khaopun
เฮ้ อย่าบอกนะว่าไปรอแล้วน่ะ

                Nine naay
                ยังครับ
                แต่พอพี่บอกว่านายดื้อแล้วมันรู้สึกดีอะ
                เอ้า เงียบเลย
                เขินหรอ


read  Khaopun
                วันนี้เราไม่กลับ


                Nine naay
                ทำไมอะพี่ พี่ต้องกลับบ้านสิ จะเหลวไหลไม่ได้นะ
                ผมรอพี่ตั้งแต่ศุกร์ที่แล้วจนถึงศุกร์นี้เลยนะ ไม่กลับไม่ได้

read  Khaopun
นายอย่ามาบ้าบอได้ไหม
นายก็ทักเรามาทุกวันเลยนี่


                ...จะเอายังไงอีก...


                Nine naay
                ก็ผมอยากคุยกับพี่นี่
                แต่ถ้าได้เจอด้วยจะดีมากเลย
                ผมรบกวนมากไปหรอครับ
                บอกหน่อยนะครับ สงสารน้องคนนี้หน่อย


read  Khaopun
นายนี่มันจอมดื้อจริงๆ เลย
เรากลับเวลาเดิมทุกอาทิตย์นั่นแหละ


                Nine naay
                พี่ปั้น มีใครบอกไหมว่าพี่เป็นคนใจดี
                แต่พี่ใจดีกับผมแค่คนเดียวก็พอนะ
                เจอกันครับ


                ...เขามันดื้อจริงๆ นั่นแหละ...






                สาบานว่าตอนลงจากรถเราไม่เคยคาดหวังว่าจะมีใครมารอรับ เรากลับบ้านหรือไปไหนมาไหนเองตั้งแต่เริ่มช่วยเหลือตัวเองได้ พ่อกับแม่ไม่เคยไปส่งเราที่โรงเรียน ไม่เคยพาเราไปเรียนพิเศษ เราเลยมักจะพึ่งพาตัวเองเสมอๆ ถ้าต้องไปที่ใหม่แล้วหลง เราถือว่านั่นคือเสน่ห์ของการเดินทางล่ะ


                “พี่ปั้น!”


                แต่ครั้งนี้ต้องบอกว่าแตกต่างออกไป....เอ่อ...โดยสิ้นเชิง


                “พี่ปั้น!” เราก้มหน้าก้มตาหลบสายตาจากคนที่มองมาประมาณว่าเราไม่รู้จักไอ้หมอนี่นะ ก็เพราะผู้ชายตัวสูงที่กำลังนั่งจ้องรถตู้อยู่ที่ป้ายรถเมล์คนนั้น อยู่ดีๆ ก็ลุกพรวดทันทีที่เราก้าวขาลงมาจากรถ แน่นอนเขารู้ว่ารถตู้จากนครปฐมจะมาจอดตรงไหน


                “พี่ปั้น” พอเห็นว่าเราไม่มองเขาซักที นายคนนี้ก็เดินเข้ามาประชิดตัวเราทันที “ผมเดาว่าต้องเป็นรถคันนี้แน่ เดาผิดไปสามคันแหนะ”


                เพราะเขาพูดแบบนั้นเราจึงเงยหน้าไปมองเขา “นี่นายมารอเราตั้งแต่กี่โมง”


                เขาส่ายหน้า โบกไม้โบกมืออย่างมีพิรุธ “เปล่านะ ผมมาเยี่ยมแม่เพื่อนที่โรงพยาบาลแล้วก็แวะมารอพี่เมื่อกี้เอง”


                “แม่เพื่อนนายยังไม่หายอีกหรอ”


                “อ๋อ เอ่อ...ยังเลยพี่ อาการหนัก” เราส่ายหัวเบาๆ


                “จะโกหกอะไรก็ให้เนียนๆ หน่อยเถอะ”


                เขาหัวเราะออกมาสองสามคำคล้ายว่ายอมรับก่อนจะก็เบนสายตามามองถุงผ้าในมือเรา “ผมช่วยถือไหม”


                “เราไม่ใช่ผู้หญิง”


                “ผมก็ไม่ได้บอกว่าพี่เป็นผู้หญิงซะหน่อย อยากช่วยไม่ได้หรอ”


                “ไม่เป็นไร” กระชับสายกระเป๋าแน่นย้ำคำตอบ


                “โอเค” เขายิ้มมุมปาก ให้ตายเถอะ ต้องยอมรับว่าเขาน่ามองจริงๆ นั่นแหละ ยืนคุยกับเขาตรงป้ายรถเมล์นี้มีคนหันมามองตั้งหลายคนแล้ว


                “พี่ปั้น ไปกินข้าวกัน” เขาพูดแล้วคว้าข้อมือเราไปที่ทางขึ้นสะพานลอยทันที


                “เดี๋ยวๆ” เราขืนตัวไว้


                “พี่บอกว่าผมโกหกไม่เนียน ผมจะไม่โกหกแล้ว ตรงๆ เลยละกัน อยากชวนไปกินข้าว ไปเหอะ”


                “เนียน”


                “อะไรอะพี่ ผมไม่โกหกอะไรอีกแล้วนะ”


                “มือนายอะเนียน” เราบอกเขานิ่งๆ เกือบจะหลุดขำเพราะหน้าตาตลกๆ ของเขาแล้ว เขาทำท่าปล่อยมือเราช้าๆ พร้อมกับเกาหางคิ้วเบาๆ


                “อะแฮ่ม ขอโทษครับ ตกลงไปกินข้าวนะ...ผมเหงาไม่อยากกินข้าวคนเดียว” ท้ายประโยคเขาทำหน้าเศร้าพร้อมดันหลังเราให้เดินขึ้นไปบนสะพานลอยก่อนจะเดินตามมา ตีมึนชะมัด ผู้คนในวันศุกร์ยังคึกคักเหมือนเดิม เพราะงั้นบนทางขึ้นสะพานลอยแคบๆ แบบนี้ เราเลยต้องเลยชิดขวาแบบสุดๆ รู้สึกแปลกใจที่เวลาเหลือบมองด้านซ้ายจะเห็นมือของเขายื่นออกมาเหมือนรั้วกั้นบริเวณเอวเรา พอพ้นทางขึ้นแล้วก็เป็นทางเชื่อมเข้าเซ็นทรัลฯ เขาถึงเดินยิ้มร่ามาข้างๆ   


                “นายไม่มีเพื่อนหรอ” เขาเลิกคิ้วหันมามองเราแบบแปลกใจระคนตลก แน่ล่ะก็เขาเหมือนจะหัวเราะออกมาซะแบบนั้น


                “อะไรทำให้พี่คิดแบบนั้น”


                “ก็นายบอกเหงาไม่อยากกินข้าวคนเดียว” เราถึงยอมเดินตามมานี่ไง         


                “ถ้าไม่ติดว่าพึ่งบอกพี่ว่าจะไม่โกหก ผมจะบอกว่าพี่ว่าใช่ครับ ผมไม่มีเพื่อน อยากมีคนมากินข้าวด้วยกันทุกมื้อเลย พี่ปั้นสนใจไหมครับ”


                “เราไม่อยากฟังแล้ว” พอเราพูดเรื่องจริงจัง เขาก็พาออกทะเลไปซะหมด


                “ฮ่าๆ โอ๋ พี่ปั้นนน ผมมีเพื่อนครับแต่วันนี้อยากมีพี่ปั้นเลยมาหาพี่ปั้นไง”


                “นายคงเชี่ยวชาญเรื่องหยอดมุกจีบสาวอะไรเทือกๆ นี้ใช่ไหม” ถ้าเราเป็นผู้หญิงเราคงอายม้วน แต่เพราะเราเป็นผู้ชายเลยไม่มั่นใจว่าเด็กกะล่อนแบบเขาพูดเป็นนิสัยหรือว่าพูดเพราะอีกฝ่ายเป็นเรากันแน่ คิดว่าคงไม่ใช่อย่างหลัง


                 เขาเรียกขณะที่เท้าของเราและเขาก้าวเข้ามาในห้างแล้ว ไอเย็นปะทะร่างทำให้รู้สึกดีกว่าอยู่ข้างถนนร้อนๆ เป็นไหนๆ


               “พี่ปั้น...”

               
               “อะไร"


                “ผมไม่เคยจีบสาวหรืออะไรแบบนี้หรอกนะ กับพี่ปั้นอะคนแรกเลย...”




__________________
-พี่ปั้นของน้องงง-
เขานัดกันทุกวันศุกร์เหรอคะ5555
มาทิ้งไว้ที่ตอนนี้ อาจจะหลบหายไปไม่ต้องตามหา
เเจกันนนค่า
ขอบคุณทุกคนเช่นเคยค่ะ
#เรากับเขา
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-09-2017 18:30:37
 o13
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 21-09-2017 20:06:40
ถ้าพี่ปั้นไม่เขิน เราขอเขินแทน :m3:
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-09-2017 20:12:12
ปั้น หน้าตาน่ารัก
กลุ่มนักบาสหยุดซ้อมกันหมดเอาแต่จ้องปั้น

คำตอบของนายที่ไม่ออกทะเล
ปั้นจะถูกใจหรือไม่ถูกใจกันนะ
“ผมไม่เคยจีบสาวหรืออะไรแบบนี้หรอกนะ กับพี่ปั้นอะคนแรกเลย...”
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 21-09-2017 21:46:53
 :-[
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-09-2017 22:52:40
เจอแบบนี้พี่ปั้นยอมให้จีบยังคะ ทำแบบนี้กับพี่ปั้นคนเดียวนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 21-09-2017 23:01:28
จีบรัวๆ เป็นพายุเลย ข้าวปั้นจะไหวมั้ย
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-09-2017 01:45:38
 :impress2:



ฉ่ำ
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 3 : เขา...ดื้อ [21/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-09-2017 02:49:08
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 4: เรา....กับข้าวหน้าเนื้อ [1/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 01-10-2017 21:14:45
Act 4: เรา....กับข้าวหน้าเนื้อ



            “ผมไม่เคยจีบสาวหรืออะไรแบบนี้หรอกนะ กับพี่ปั้นอะคนแรกเลย...”


                “....” เขาพูดน้ำเสียงหนักแน่นมากจนเรามองเขาอย่างแปลกใจ บวกกับแววตารั้นนิดๆ นั่นทำให้เราแทบละสายตาไปไม่ได้ คนที่เดินตามหลังส่งสายตามามองผู้ชายสองคนที่หยุดจ้องหน้ากันตรงบริเวณประตูทางเข้า เราเลยรู้สึกตัวจากสายตาสงสัยเหล่านั้น


                อา...คนเรา...ถ้าหัวใจเต้นก็คงไม่แปลก แต่ถ้าหัวใจเต้นรัว...เราแปลกไปใช่ไหม


                “ไปเถอะ” เราพาตัวเองออกมาจากสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย ก่อนจะเดินตรงมาที่ลิฟท์แก้ว เดี๋ยวนะ..แล้วเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง มากินข้าวกับเขาได้ยังไงเนี่ยปั้นเอ๊ย จะก้าวขากลับก็ไม่ได้เเล้วสิเรา


                “พี่ปั้น รอด้วยดิ”


                เขาวิ่งเหยาะๆ ตามหลังมาที่ลิฟท์ ขณะที่เรายืนรอลิฟท์อยู่นั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นเขาจ้องเราผ่านผนังกระจก


                “มองอะไร”


                “เปล่าผมมองลิฟท์”


                “ให้จริงเถอะ...”


                “พี่ปั้นอยากกินอะไร”


                เราหรี่ตามอง “นายจะเลี้ยง?”


                “ได้ไหมอะ”


                “ไม่”       


                “โคตรใจร้ายเลย”


                “ถ้าเราใจร้ายเราคงไม่เดินมาถึงนี่หรอก”


                “โถ พี่ปั้นคนดีของผม”


                “อะไรนะ”


                “พี่ปั้นใจดีไง ปะพี่! ลิฟท์มาแล้ว” เขาชี้ให้เรามองด้านหน้า แล้วตีเนียนคว้าข้อมือเราเข้าไปในลิฟท์ ดีนะที่ไม่มีคนอยู่ข้างในไม่งั้นเราคงต้องตกเป็นเป้าสายตาแน่ๆ เราบิดข้อมือออกจากมือเขาช้าๆ เขามองมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเอาแต่ยิ้ม


                ลิฟท์แก้วเคลื่อนตัวขึ้นไปทีละชั้นระหว่างนั้นเขาก็ทำหน้าที่เป็นคนเปิดปิดประตูลิฟท์รับผู้โดยสาร เรามองเขาขำๆ จนถึงชั้นสี่เขากดปุ่มเปิดประตูค้างไว้ให้คนอื่นออกก่อน แล้วหันมาบอกเรา


                “พี่ปั้นก่อนเลย”


                “อื้อ”


                “ตกลงอยากกินอะไรครับ” เขาเดินมาข้างๆ หลังจากที่เราขึ้นบันไดเลื่อนต่อมาชั้น 5


                “แล้วนายล่ะ”


                “ผมกินได้ทุกอย่าง”


                “อาหารญี่ปุ่นแล้วกัน”


                “โอเค ผมจะจำไว้”


                “จำอะไร”


                “เปล่าครับ ร้านนู่นป้ะครับ”


                เราขมวดคิ้วมองเด็กจอมกะล่อนคนนี้ เขาเดินนำเราไปหยุดตรงแท่นวางเมนูหน้าประตูร้านก่อนจะเปิดเมนูไปมา


                “นายอยากกินอย่างอื่นก็บอกได้นะ”


                “ผมอยากกินพะ...เฮ้ย..อยากกินกับพี่ปั้นเนี่ยแหละ โอ๊ะ โคตรหิวเลย”


                “อิรัชชัยมาเซะ...”


                เราเดินผ่านเขาเข้าไปในร้าน พนักงานก็ประสานเสียงต้อนรับกันเหมือนเดิม


                “กี่ท่านคะ”


                “สองครับ” เขารีบแทรกมาตอบ เราแอบเห็นพนักงานหน้าแดงด้วยล่ะ สงสัยพนักงานคงจะตกใจที่เขาโผล่พรวดเข้ามาด้านหลังเรา


                หลังจากที่เลือกที่นั่งเสร็จ เราถึงสังเกตว่ามีสายตาหลายๆ คนในร้านมองมาแปลกๆ โดเฉพาะที่เป็นนักศึกษา พอนั่งปุ๊บเขาก็กางเมนูพลิกไปมา จนกระทั่งพนักงานที่เราคุ้นหน้าเดินเข้ามารับออร์เดอร์


                “ข้าวหน้าเนื้อไข่ออนเซ็นครับ” เราพูดขึ้นไม่ได้มองเมนู


                “ชาเขียวเหมือนเดิมนะคะ”  พนักงานคนนั้นยิ้ม เพราะเวลาเรามาที่นี่แล้วก็สั่งเมนูเดิมเป็นประจำ พนักงานสาวคนนี้ถึงจำเราได้แบบนี้


                เขาที่เปิดเมนูอยู่ชะงัก หันมาจ้องหน้าเราแล้วก็บอกพนักงานไปไม่ได้สังเกตว่าเสียงเขาฟังดูห้วนๆ


                “ผมรับเหมือนกันครับ”


                “ค่ะ ทวนรายการอาหารนะคะ ข้าวหน้าเนื้อไข่ออนเซ็นสองที่ ชาเขียวเย็นสองที่ ขออนุญาตเก็บเมนูค่ะ”


                “ครับ” เราพยักหน้าให้เธอก่อนที่เธอจะเก็บเมนูไป


                “เปิดตั้งนานสุดท้ายก็กินเหมือนเรา” เราบอกขำๆ แต่ดูเหมือนเขาไม่ขำด้วย


                “พี่ปั้นรู้จักพนักงานคนนั้นหรอ” น้ำเสียงเขาเรียบเป็นเส้นตรงทำให้เราพลอยแปลกใจไปด้วย


                “อะไร...”


                “ตอบผมก่อน”


                “ก็...เปล่า”


                “แล้วทำไมเขาถึงรู้ว่าพี่ปั้นชอบกินอะไร”


                “เรามากินที่นี่คนเดียวบ่อยๆ ปกติก็แวะก่อนเข้าบ้าน เขาคงจำได้ล่ะมั้ง” ถึงตรงนี้คนที่นั่งตรงข้ามมีสีหน้าดีขึ้น เขาพึมพำอะไรคนเดียวก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงปกติ


                “คราวหลังถ้าพี่จะมากินต้องบอกผมนะ”


                “หือ...”


                “ผมรู้สึกไม่แฟร์ที่เขารู้ว่าพี่ปั้นชอบกินอะไรในขณะที่ผมไม่รู้”


                “อะไรของนายเนี่ย”


                “จริงๆ นะ”


                เราส่ายหน้าเบาๆ มองคนเอาแต่ใจที่พูดจาไม่รู้เรื่อง


                “ชาเขียวสองที่ค่ะ” พนักงานคนเดิมเข้ามาเสิร์ฟชาเขียว เราว่าเธอคงเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาที่มาทำงานพาร์ทไทม์ เราชื่นชมคนขยันแบบนี้มากๆ ถ้าเป็นปกติเราก็คงจะยิ้มให้เธอแต่เพราะวันนี้เราไม่ได้มาคนเดียว คนที่ตรงข้ามเราเลยพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาระหว่างที่พนักงานหมุนตัวกลับไป


                “พี่ปั้นวันนี้เราเหมือนมาเดทกันเลยเนอะ”


                แค่กๆ


                “เฮ้ยๆ” เขาแทบจะลุกมานั่งฝั่งตรงข้ามกับเรา แต่เรายกมือห้ามไว้ก่อน เขาเลยได้แต่ส่งทิชชู่มาให้แทน


                “ผมพูดอะไรผิดหรอ” ทำหน้าเหรอหราแต่เรารู้ว่าเขาน่ะรู้ทุกอย่างแหละ


                “มันผิดตั้งแต่รู้จักนายแล้วล่ะ แค่กๆ” เราปรับลมหายใจไม่นาน อาหารก็มาเสิร์ฟ กลิ่นหอมของเนื้อกับซุปมิโซะสีขุ่น ทำให้น้ำย่อยเราร้อง ทั้งๆ ที่จะรีบกลับบ้านแท้ๆ อยากจะเขกหัวตัวเองจริงๆ


                “ฮ่าๆ ล้อเล่นน่า ไม่ได้มาเดทเล้ยวันนี้ มาทานข้าวกันเฉยๆ” เขาพูดเสียงสูง อมยิ้มหัวเราะ จะอารมณ์ดีอะไรนักหนา


                “ใช่...ไม่ได้มาเดท” เราลงมือกินข้าวส่วนเขาก็ชวนเราคุยเหมือนครั้งแรกที่เจอกันบนรถเมล์นั่น ไม่ค่อยแตะอาหารจนเราชำเลืองมองบ่อยๆ


                “พี่ปั้นชอบกินข้าวหน้าเนื้อหรอครับ”


                “ก็ชอบมั้ง”


                “หมายความว่าไง”


                “เราชอบกินเมนูเดิมๆ ไม่อยากเสี่ยงเจอเมนูใหม่แล้วไม่ถูกใจ”


                “อืมมม เอางี้ไหม ถ้าคราวหน้าเราไปกินข้าว ผมจะสั่งเมนูใหม่ๆ เอง พี่ปั้นจะได้ลอง ถ้าถูกใจพี่ปั้นต้องกิน แต่ถ้าไม่ถูกใจผมกินเอง”


                เรานิ่งคิดก็ดีเหมือนกันนะ...ถ้าไม่ถูกใจ เราก็กินเมนูเดิมของเรา “ก็ดีนะ...”


                “ใช่มะ ความคิดผมดีล่ะสิ งั้นศุกร์หน้าเจอกันร้านเดิมไหมครับ”


                “อืม...เอ๊ะ...เดี๋ยว เฮ้ นี่นายหลอกเราอีกแล้วนะ”


                “ฮ่าๆ แต่พี่ปั้นรับปากแล้ว...ดีล! ข้าวหน้าเนื้อชามนี้เป็นพยาน”


                “นาย!”


                “ครับ?” เขายิ้มกวนประสาท ไม่สะทกสะท้านกับหน้าบึ้งๆ ของเราเลยแม้แต่น้อย เราไม่สนใจแล้ว ระหว่างที่เราตัดสินใจก้มหน้ากินอีกครั้งก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นด้านหลัง


                “เอ่อ ขอโทษนะคะ...ใช่พี่นายรึเปล่าคะ”


                เขากับเราเงยหน้าไปมองต้นเสียงพร้อมๆ กัน เขาสบตาเราก่อนจะหันไปมองน้องผู้หญิงสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน


                “เอ่อ...ใช่ครับ”


                “เฮ้ยย ใช่ด้วยว่ะมึง พี่นายหนูขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ”


                “เอ่อ....” เขาหันมามองด้วยสายตาที่เราก็อธิบายไม่ถูกเหมือนจะขออนุญาตหรือรู้สึกเกรงใจหรืออะไรซักอย่างนึง เราไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็หยิบชาเขียวมาดื่มเหมือนไม่ใส่ใจแต่ในใจเราโคตรอยากรู้เลย เขาเป็นใครกันแน่ ทำไมต้องมาขอถ่ายรูปด้วย


                “ได้ครับ” สุดท้ายเขาก็รับปาก           


                “มึงมาเร็วๆ พี่นาย...พวกหนูกรี๊ดพี่มากเลย ไม่คิดว่าจะได้เจอตัวจริง”           


                “อ่า..ครับ” เขาลุกขึ้นออกมายืนข้างๆ โต๊ะแล้วรับมือถือที่น้องสองคนนั้นยื่นมาให้...ถ่ายเซลฟี่ล่ะมั้ง


                แชะ!


                “พี่นายหนูขออีกรูปนึง เอาสองนิ้วๆ มึงชูสองนิ้วจะได้เหมือนกัน” น้องหันไปบอกนายและเพื่อนของตัวเอง จัดแจงท่าทางเสร็จ ถ่ายเสร็จ เขาขอตัวกินข้าวต่อ เราจึงรีบละสายตาที่แอบมองเมื่อกี้


                ...ข้าวหน้าเนื้ออร่อยมากๆ เลย...


                “พี่...”


                เราเผลอหลุดปากพูดในตอนที่เขาเอ่ยทัก “อร่อย!”


                “หือ...” เขาแอบขำ ตักข้าวหน้าเนื้อกินอีกสองสามคำ ส่วนเราตอนนี้น่ะนั่งมองเขาอย่างเดียว อะ...ไม่ใช่อะไรหรอก ข้าวหน้าเนื้อเราหมดแล้ว


                “พี่ปั้นสั่งอะไรเพิ่มอีกไหมครับ”


                “ไม่”


                “พี่ปั้นอยากถามอะไรผมไหม”


                “อยาก เอ๊ย ไม่ๆ เราไม่ได้อยากรู้อะไร”


                เขายิ้มก่อนจะหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดมุมปาก “จ้องผมขนาดนี้ไม่อยากรู้ได้ไง”


                “ใช่ เราไม่อยากรู้”


                “คนปากแข็ง อืม....งั้นเล่นเกมกันเราผลัดถามคำถามกันคนละสามคำถามแบบต่อเนื่อง ตอบได้แค่ใช่หรือไม่ใช่ ชอบหรือไม่ชอบ ได้หรือไม่ได้ อะไรแบบนี้นะครับ”


                “เราไม่เล่นหรอก” เราพึมพำและเขาก็พูดขึ้นอีก


                “และในสามคำถามนั้นถ้าใครตอบช้า อ้ำอึ้ง...ภายในสามวิ...ก็แพ้ไป คนชนะมีสิทธิ์สั่งอะไรก็ได้และคนแพ้ต้องทำตามไม่มีสิทธิ์อิดออด ก็ถ้าเราทั้งคู่ยังตอบได้ทุกคำถามก็...เสมอกัน”


                คนตั้งกติกาทำท่าจริงจัง เราเผลอเอียงหน้าแล้วถามเขา


                “แล้วถ้าเราชนะ เราจะได้อะไร”


                เขาขำอีกแล้ว “ก็นี่ไง... ถ้าพี่ปั้นชนะ พี่ปั้นบอกผมให้เลิกยุ่งกับพี่ปั้นได้”


                “หือ...”


                “ยกตัวอย่างครับ ไม่ต้องเอาจริงก็ได้คำสั่งนี้เนี่ย ตาวาวขึ้นมาเชียว”


                “อืม...ก็ได้ ที่เราเล่นเพราะเราอยากชนะ ไม่ได้อยากรู้เรื่องของนายเลย”       


                “หึหึ คร้าบบ จะจำไว้ ขอผมกินข้าวห้านาที พี่ปั้นมีเวลาคิดคำถามได้“


                เรานั่งมองนาฬิกาข้อมือ ในหัวก็พยายามคิดคำถามแต่เพราะเขากินข้าวไม่หมด เราเลยเอ็ดเขาอย่างลืมตัว นายคนนี้เงยหน้ามองเราอย่างแปลกใจแต่ก็ยอมกินข้าวจนหมด


                “นิสัยไม่ดีเลยนะ”


                “ผมไม่อยากกินข้าวเปล่าเฉยๆ นี่ เนื้อมันหมดแล้ว”


                “อย่าเถียงเรา” เราจ้องหน้าเขานึกขึ้นได้ว่ากำลังจับเวลาอยู่เลยไม่สนใจเรื่องการกินของเขาอีก “อ๊ะ...ห้านาทีแล้วเราถามก่อน”


                เขาส่ายหัวเบาๆ เหมือนเอ็นดู เอ่อ...แต่คงไม่ใช่หรอก ส่ายหัวเฉยๆ น่ะ


                “นายเป็นดาราใช่ไหม” ให้ตายสิ เราไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้จริงนะ แต่มันคงเป็นจิตใต้สำนึก เสียหน้าชะมัด


                “ไม่ใช่ครับ” เขาตอบกลับมาทันที แถมยังยิ้มยียวนท้าทายเรา


                “ไม่ได้เป็นแล้วทำไมมีคนขอถ่ายรูป” เราพูดเบาๆ พึมพำแต่เขาได้ยินพอดี เลยยิ้มกวนเราอีก “ถ้าไม่ใช่ งั้น...นายเป็นนักร้องใช่ไหม”


                “ไม่ใช่ครับ”


                “ถ้านายไม่ได้เป็นอะไรพวกนี้ นายเป็นบ้าใช่ไหม?” เราเพิ่มเสียงตรงคำสุดท้าย “หนึ่ง...”


                “ไม่ครับผมไม่ใช่คนบ้า”       


                เขาพูดแทบไม่เว้นวรรค แกล้งหยุดคิดทำให้เรานับเลข เขาหัวเราะแต่เราหัวเสีย หยิบน้ำชาเขียวมาดื่มก็มีแต่น้ำก้นแก้ว เขายกมือสั่งแก้วใหม่มาใหม่ไม่นานชาเขียวแก้วใหม่ก็วางตรงหน้าเรา


                “หน้าแดงหมดแล้ว กินก่อนครับ อะ เทแบ่งกันก็ได้คนละครึ่ง” เขาเลื่อนแก้วแบ่งน้ำกับเรา คงกลัวเราไม่กินล่ะมั้ง น่าหงุดหงิดที่เขาตอบได้หมด คำถามเรามันง่ายไปงั้นหรอ เอาเถอะ ตาเราจะไม่แพ้เลยคอยดู


                “ผมไม่ได้เป็นดาราไม่ได้เป็นนักร้องครับ ผมเป็นคนธรรมดาที่หล่อมากๆ” เขาตอบเสริมมาให้เรา เราคิดตามนี่มันเป็นคำตอบที่หลงตัวเองเอามากๆ เฮ้...ถ้าเขาจะบอกเราขนาดนี้ เราจะต้องถามคำถามเขาทำไมกัน


                “ที่มีน้องมาขอถ่ายรูปก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม” เขาลูบคางทำท่าคิดไปด้วย เอาเถอะ เราไม่อยากรู้แล้ว หมั่นไส้


                “รีบถามคำถามนายมาเลย เราต้องไม่แพ้แน่นอน” ผมเลื่อนถาดอาหารไปไว้ข้างๆ วางมือไว้บนโต๊ะอย่างมุ่งมั่น


                “โอเค...ตาผมแล้ว พี่ปั้นชอบฟังเพลงไหมครับ?”


                “ชอบ”


                “พี่ปั้นชอบดูหนังไหมครับ?”


                “ชอบ”


                “แล้วพี่ปั้นชอบผมรึยังครับ”


                “ชอ...เฮ้...อะ...”


                “หนึ่ง...สอง...”


                “ดะ...”


                “สาม”


                “เดี๋ย...”


                “พี่ปั้นแพ้แล้วครับ”




====
-ตามน้องให้ทันด้วยครับคุณปั้นนน-
ขอบคุณทุกคนค่ะ
#เรากับเขา  ♡
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 4: เรา....กับข้าวหน้าเนื้อ [1/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-10-2017 23:49:23
 :impress2:


แอร้ยๆๆ
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 4: เรา....กับข้าวหน้าเนื้อ [1/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-10-2017 01:28:42
ชอบเถอะค่ะพี่ปั้น น้องอ่อยขนาดนี้แล้วววว
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 4: เรา....กับข้าวหน้าเนื้อ [1/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-10-2017 11:57:02
ร้ายกาจ
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 4: เรา....กับข้าวหน้าเนื้อ [1/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 02-10-2017 13:51:32
โอยยย เรื่องน่ารักมากค่ะ อ่านเพลินเลย พี่ปั้นตามน้องไม่ทันแล้วว 555
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 4: เรา....กับข้าวหน้าเนื้อ [1/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-10-2017 19:58:50
นาย เจ้าเล่ห์กับปั้นนะ :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 4: เรา....กับข้าวหน้าเนื้อ [1/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 02-10-2017 20:49:24
พี่ปั้นคนซื่อตามไม่ทันน้องนายอีกแล้วว o17
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 4: เรา....กับข้าวหน้าเนื้อ [1/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 02-10-2017 23:55:10
พี่ปั้น ไม่ทันน้องหรอก,,,
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 4: เรา....กับข้าวหน้าเนื้อ [1/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 03-10-2017 00:08:54
ตามมม
หัวข้อ: Re: #เรากับเขา Act 4: เรา....กับข้าวหน้าเนื้อ [1/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 03-10-2017 19:44:34
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re:『 #เรากับเขา 』Act 5: เขา...คือจอมเผด็จการ p.2 [9/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 09-10-2017 21:03:29
Act 5 : เขา...คือจอมเผด็จการ



                ถ้าเปรียบคนเราเป็นเหมือนดาวดวงหนึ่งที่กำลังโคจรอยู่ บางเวลาเราอาจจะได้พบเจอดาวอีกดวงหนึ่งที่บังเอิญโคจรมาซ้อนทับเราพอดีก็เป็นได้

               

                ...ปั้นเอ๊ยย ไม่น่าหลวมตัวไปเล่นเกมกับเจ้าเด็กคนนั้นเลย น่าอายชะมัด...



                Nine naay
                พี่ปั้นถึงบ้านยังครับ
                อย่าไปแวะที่ไหนนะ พระอาทิตย์ตกดินแล้วเนี่ย



                ...อยากจะถามเขาเหมือนกันว่าพระอาทิตย์ตกดินแล้วยังไง กรุงเทพฯ คือเมืองที่สว่างตลอดคืนนั่นแหละ...



 
read   Khaopun
                กำลังเดิน

                Nine naay
                ถ่ายรูปมาให้ดูหน่อย

 
read   Khaopun
                ไม่

                Nine naay
                อ๊ะๆ พี่ปั้นเป็นคนแพ้นะ
                ถ้ายอมให้ผมนั่งรถไปส่งแต่ทีแรกก็ดีหรอก
                งั้นไม่ต้องถ่ายหรอกครับ
                แต่ถ้ากลับถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะพี่ปั้น
                ส่วนตอนนี้ไม่ต้องตอบผมนะ เดี๋ยวเดินสะดุด



                เราอ่านข้อความที่ส่งมาข้อความสุดท้ายก่อนจะถอนหายใจ

 




                “นี่! มันจะเกินไปแล้วนะ”



                “ตามกติกานะพี่ปั้น คนแพ้ต้องทำตามนะครับ ห้ามปฏิเสธ”



                “นายขี้โกง”



                “คำขอของคนชนะก็คือคนแพ้จะต้องทำตามคำสั่งของผมตลอดหนึ่งเดือน”



                “คำขอของนายมันมากเกินไปแล้วนะ”



                “ย้ำนะครับว่าคำสั่งทุกอย่าง”



                “...” เราจ้องหน้าเขา เม้มปากแน่น นายที่นั่งดูดน้ำชาเขียวมองเรากลับด้วยสายตาพราวระยับ คำขอของเขามันครอบคลุมจนระบุขอบเขตไม่ได้ ถ้าเขาขอให้เราไปเต้นหน้าเซ็นทรัลเราก็ต้องเต้นงั้นหรอ เราเต้นไม่เป็นนะ ประสาทเราช้า



                “พี่ปั้น..” เขาเรียกเสียงนิ่ง ทำหน้าตาเหมือนหลอกล่อให้เราเชื่อ “พี่ปั้นรู้ไหม ถ้าไม่ทำตามอะ...”



                “...”



                “โคตรเสียศักดิ์ศรีเลยนะพี่”



                ไอ้...



                เด็กนี่...

 






                และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของสาเหตุที่เราถอนหายใจอยู่แบบนี้



                “แก่แล้วหรอ ถอนหายใจเยอะขนาดนี้”



                “อ้าว แม่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”



                “มานานแล้ว ก็เห็นปั้นนั่งแกว่งชิงช้า เหม่อมองกล้วยไม้ของแม่อยู่เนี่ย ไม่ยอมเข้าไปนั่งในบ้านซักทีเลยออกมาตาม”           



                “แหะๆ” เราหัวเราะเก้อๆ แล้วเดินไปหอมแม่ แม่กอดเอวเราเดินเข้าบ้าน



                “แล้วยังไงเรา กินอะไรมาแล้วล่ะสิ มาถึงมืดขนาดนี้”



                “ก็...ครับ พ่อล่ะครับ”



                “หาเมียน้อยนู่น”



                “แม่อ่า” ไม่ชอบให้พูดแบบนี้เลย



                “ล้อเล่นน หูตกเชียว ลูกหมาปั้น พ่อไปบ้านข้างๆ เนี่ย ไปๆ ท้องสำหรับของหวานเหลือไหม?”



                “เหลือสำหรับแม่เสมอครับ”



                “ปากหวาน ปั้นไปตักมากินหน้าทีวี แม่จะดูเขาประกวดร้องเพลงลูกทุ่งด้วย”



                “หลอกเรามากินยังหลอกเรายกอีก”



                “บ่นอะไร เร็วเลยแม่หิว”



                นั่งกินไปไม่นานพ่อก็กลับมาที่บ้าน เรานั่งคุยกันไป ดูทีวีไป ไม่ได้ดูนาฬิกา รู้ตัวอีกทีก็สามทุ่มครึ่งแล้ว



                “ปั้นปิดบ้านด้วยนะ พ่อกับแม่จะขึ้นข้างบนแล้ว”



                “ได้ครับ”



                เราเดินไปปิดประตูบ้าน มองออกไปนอกรั้วก็เห็นนักศึกษาเดินกอดคอยิ้มแย้มผ่านหน้าบ้านเราไป คืนวันศุกร์แบบนี้ก็คงเป็นคืนวันสุขของใครหลายๆ คน ชมพู่เพื่อนเราก็คงไปแฮงค์เอ้าท์ ส่วนเรา...นายปั้นจอมจืดชืดก็อยู่กับบ้าน แต่มันก็ดีแล้วล่ะ เราน่ะชอบแบบนี้มากกว่า 



                สูดอากาศเย็นที่ไม่ค่อยจะบริสุทธิ์เท่าไหร่ลงปอดเราก็เดินเข้าบ้าน



                Rrrrrrr Rrrrrrrr



                หือ?



                โทรศัพท์เราหรอ อยู่ไหนล่ะเนี่ย ก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าโซฟาพักใหญ่ ก็เจอต้นเสียง



                “ไม่เห็นมีใครโทรมาแล้วสั่นอะไรเนี่ย”



                เราพึมพำ เอ..หรือว่าไลน์ไม่แจ้งเตือน?



                บ้าน่า ใครจะโทรมา พ่อแม่ก็นอนกันหมดแล้ว



                พอเรากดเข้าไปในดู เสียงคอลก็เงียบไปแล้ว



                Nine naay
                Incoming call from Nine naay (114)



                ตัวเลขข้อความที่ค้างล่าสุดทำให้ตกใจ เขาพูดคนเดียวตั้งร้อยกว่าข้อความหรอเนี่ย ไม่ทันเลื่อนขึ้นไปอ่าน ข้อความใหม่ก็วิ่งเข้ามาอีก



                Nine naay
                พี่ปั้น อ่านแล้วนี่!
                พี่ปั้นหายไปไหนมา
                ผมรอพี่ปั้นตอบเกือบจะสามชั่วโมงแล้ว
                ถึงบ้านรึยังครับ อยู่ไหนครับ



                พอเรากดเข้าไปไอ้หมอนี่ก็รีบตอบกลับมาเป็นพายุ ข้อความที่ล้อมกรอบด้วยสีขาวเด้งขึ้นเรื่อยๆ เพราะแบบนั้นเราต้องหยุดพายุข้อความของเขาด้วยข้อความกรอบสีเขียวของเรา



           
read   Khaopun
นายเป็นอะไร ไม่มีคนคุยด้วยหรอ
พูดคนเดียวตั้งเยอะแยะ

                Nine naay
                พี่ปั้นไงคนคุยของผม
                เฮ้ย พี่ปั้นอย่าพาผมเปลี่ยนเรื่องดิ
                ตกลงอยู่ไหนครับ ถึงบ้านรึยัง

 
read   Khaopun
ถึงแล้วสิ
เรากลับบ้านไม่ถึงบ้านให้ไปไหน

                Nine naay
                ผมบอกให้พี่ปั้นส่งข้อความมาถ้าถึงบ้านพี่ปั้นลืมแล้วหรอ
                หายไปเงียบๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน
                ไม่ทำตามคำสั่งผมเลย
                พี่ปั้นอยากให้ผมลงโทษยังไงดี

 
read   Khaopun
เดี๋ยวดิ
ลงโทษอะไร
ก็เราไม่คิดว่านายจะจริงจัง

                Nine naay
                ผมจริงจัง พี่ปั้นไม่รู้หรอว่าผมรออยู่
                เพราะพี่ปั้นไม่ตอบผม แถมยังบอกว่าผมไม่จริงจังอีก
                โอเค
                ผมจะลงโทษ



                …เฮ้ นายพูดคนเดียวหมดเลยนี่!...



 
read   Khaopun
นี่นาย!
เงียบทำไม
ตอบเดี๋ยวนี้นะ
ก็ได้
คราวหน้าเราจะไม่ลืม

                Nine naay
                ไม่รู้แหละ
                พี่ปั้นต้องบอกเบอร์โทรศัพท์ให้ผม
                นี่คือบทลงโทษ
                ติดต่อทางไลน์แล้วมันไม่สะดวก
                ถ้าพี่ปั้นไม่ตอบผม ผมจะโทรๆๆ
                ให้พี่ปั้นอกแตกตายไปเลย
                เปลี่ยนใหม่ พี่ปั้นไม่ต้องตาย อกแตกเฉยๆ พอ

 
read   Khaopun
นายพล่ามอะไรเนี่ย



                …บอกเลยว่า เราพิมพ์ไม่ทันจริงๆ...



                Nine naay
                ทิ้งเบอร์พี่ปั้นไว้ด้วย
                ผมจะไปสงบสติอารมณ์ 5 นาที
                ผมโกรธที่พี่ปั้นทำให้ผมเป็นห่วง
                โกรธ 60 %
                ผมจริงจัง พี่ปั้นรู้ไว้ด้วย
                กลับมาต้องเห็นเลขสิบตัวเข้าใจไหมครับ



                ...โกรธ 60 % เนี่ยนะ...



                ...เขาโกรธที่เราทำให้เขาเป็นห่วงอย่างนั้นหรอ...

               



                ก๊อกๆ



                “ปั้น ตื่นได้แล้วปั้น”



                “อือ...ครับ”



                “ปั้น ”     



                แกร๊ก



                “ครับแม่”



                “โห ผมหรือรังนกเนี่ยเรา”



                “แม่อย่าขยี้แรงเดี๋ยวปั้นตื่นเต็มตา”



                “เอ้า ไม่ดีหรือไงตื่นเนี่ย”



                “ไม่ดี ปั้นกำลังสะสมความง่วงแล้วกลับไปนอนต่อ”       



                “พอๆ ไม่ต้องนอนแล้ว” แม่เดินผ่านเราที่ยืนตัวเซๆ เข้าไปในห้อง “ไปล้างหน้าแปรงฟัน”



                “แม่ไม่ต้องพับเดี๋ยวปั้นพับเอง” เดินไปยื้อแขนแม่ที่กำลังจะลงมือจัดเตียงให้เราอยู่



                “ไม่ต้อง ปั้นจะเอาตัวไปซุกผ้าห่มต่อน่ะสิ ไปๆ อาบน้ำ เพื่อนรออยู่ข้างล่าง”



                “ปั้นขี้เกีย...ว่าไงนะครับแม่  ใครมานะปั้นขออีกที”



                “เพื่อนปั้นไง เร็วๆ สายแล้วเนี่ย” เราทำหน้างงๆ แต่แม่ก็ดันหลังเราเข้าห้องน้ำซะก่อน



                “แม่ ปั้นไม่มีเพื่อน!”









                เพื่อน



                ที่ไหนกันเล่า



                เรายังไม่รู้เลยว่าสถานะเรากับคนที่นั่งยิ้มอยู่เนี่ยคืออะไร



                คนแพ้กับคนชนะ



                คนรู้จัก



                หรือคนที่มีสถานะรอการระบุ



                จะอะไรก็ช่างเถอะ มันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง



                จุดที่เขานั่งคุยกับแม่ของเราอย่างออกรส



                “พี่ปั้น”



                พอเขาหันมาเห็นเรายืนอยู่ก็เรียกชื่อเราเหมือนไม่เคยเจอกันมาก่อน ทั้งๆ ที่เมื่อวานเขาพึ่งบอกว่าโกรธเรา 60 % แล้วก็ชวนเราคุยต่ออีกซักพัก แน่นอนว่าเขาได้เลขสิบหลักของเราไปด้วย



                “นายมาที่นี่ได้ไง!” เราร้อง



                “ปั้นนะปั้น นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ดีนะที่แม่ออกไปเอาปิ่นโตที่บ้านป้าแพพอดี เจอหนุ่มคนนี้มาด้อมๆ มองๆ”



                “ทำไมแม่ไม่ไล่เข้าไปล่ะครับ ลับๆ ล่อๆ แบบนั้นเกิดเป็นโจรทำไง”



                “เอ๊ะ ลูกคนนี้ ก็นายเขาบอกว่าเป็นรุ่นน้องของปั้น”



                ...นี่แม่เราเรียกชื่อนายเลยหรอ...



                “พอดีแวะเยี่ยมแม่เพื่อนที่โรงพยาบาลน่ะครับ จำได้ว่าพี่ปั้นอยู่บ้านซอยนี้ เลยลองเดินเข้ามาดู”



                 ...เชื่อเขาเลย มุกเก่ามาก...



                “แม่อย่าไปเชื่อนะครับ ปั้นไม่ได้รู้จักอะไรกับนายคนนี้เลย”



                แม่สอดแขนมาบีบเอวเรา ก่อนจะหันหน้าไปยิ้มกับนายที่นั่งอยู่โซฟาเดี่ยว เจ็บนะครับแม่



                “แล้วนี่นายเรียนคณะอะไรล่ะลูก”



                “ศิลปศาสตร์ครับ”



                “เอ มอเดียวกับปั้นหรอ”



                “อ๋อ เปล่าครับ ผมอยู่ธรรมศาสตร์”



                แม่ชะงักไปวูบหนึ่ง “แล้วรู้จักกับปั้นได้ยังไงล่ะเนี่ย”



                “พอดีมีกิจกรรมที่สายมนุษย์เขาจัดร่วมกันน่ะครับ เลยได้เจอพี่ปั้น”



                ...จะบ้าหรอ เราเจอนายครั้งแรกบนรถเมล์ต่างหาก...



                “อ๋อจ้ะ ไม่น่าเชื่อปั้นจะมีเพื่อนนอกจากชมพู่ด้วย”



                “แม่!”



                “แม่ล่ะดีใจที่ปั้นมีคนรู้จักเพิ่ม”



                “แม่ครับนี่ปั้นนะ” เราเขย่าแขนแม่ มองหน้าไอ้เด็กนั่นอยู่ได้ ไม่สนใจเราเลย



                “ฮ่าๆ ลูกคนเดียวก็งี้แหละ ยังไงก็เป็นเพื่อนปั้นมันหน่อยนะนาย” 



                “ครับผม”



                “เอาล่ะ คุยกันไปนะเด็กๆ เดี๋ยวแม่จะทำอะไรมาให้กิน มื้อเที่ยงพอดี ปั้น...” แม่เรียกเราเสียงต่ำ “อย่าพึ่งให้นายกลับล่ะ”



                “...ครับ” เราค่อยๆ ยิ้มตอบแต่พอแม่เลี้ยวเข้าไปในห้องครัวแล้วเราก็รีบลากอีกคนออกมาตรงชิงช้าในสวนหน้าบ้าน



                “มานี่เลย!”



                “โอ๊ย พี่ปั้นนน เบาๆ ครับ แขนผมจะหลุดแล้ว”



                “ชู่ว นายจะร้องดังให้แม่เราได้ยินหรือไง”



                “อูย ก็พี่ปั้นมือหนักอะ” เขาร้องโอดโอยโอเว่อร์แอคติ้ง เราเลยปล่อยมือจากแขนเขา



                “นายมาบ้านเราได้ไง นายมาทำไม”



                “ทีละคำถามสิครับ”



                วันนี้เด็กคนนี้อยู่ในชุดลำลองที่ดูเหมาะกับเจ้าตัวมากๆ เขานั่งลงด้วยท่าทางสบายๆ ผิดกับเราที่เหมือนมีไฟออกจากหู



                “ตอบเรามาสิ” เรายืนตรงหน้าเขา ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นสบตา



                “ก็เพราะ...ผมไม่อยากให้พี่ปั้นลืมผมเหมือนเมื่อวานอีก”



                “...”



                “เลยจะเอาหน้ามาให้พี่ปั้นเห็นบ่อยๆ ”



                “...”



                “อีกอย่างผมก็อยากมาเห็นบ้านพี่ปั้นด้วยว่าเดินเข้ามาค่ำๆ มันปลอดภัยไหม”



                มันเป็นการป้องกันการลืมหน้าเขาที่ลงทุนมากแต่เรากลับใจเต้น



                ...บ้าไปแล้วแน่ๆ ปั้น...



                “อีกอย่างพี่ปั้นอยู่บ้านแค่เสาร์อาทิตย์ เเล้วผมต้องรอพี่ปั้นอีกห้าวันเลยนะครับ” เขายิ้ม แสงที่ลอดผ่านใบไม้กระทบจนใบหน้าระยิบระยับ เราคิดว่าเรา...



                “...”



                “แล้วที่ผมเตรียมไว้ใครจะเล่นกับผมล่ะครับ ผมจะให้พี่ปั้นไปเต้นแถวเซ็นทรัล ไม่ก็ไม่ร้องหาโปเกบอลแถวสนามหลวง แล้วก็ยังมี...” เขาทำท่านับนิ้วก่อนจะหันมามองเราที่คงจะยืนนิ่งอยู่แบบนั้น ต้องบอกว่ายืนอึ้งคงจะถูกมากกว่า



                “...!!”



                เรา...เกลียดเด็กบ้านี่



                ปึง!



                “เหวออออ ล้อเล่นครับ! อยากมาหาไง พี่ปั้นรอด้วย จะรีบไปไหน แรงเยอะชะมัดเลยมาถีบชิงช้าให้ผมหัวทิ่มได้ไง” เขาร้องตามหลังเราเลยหันไปตะโกน



                “ให้หน้าทิ่มดินอยู่เป็นเพื่อนไส้เดือนไปเลยนายน่ะ!”



                เขาลุกขึ้น ปัดเศษดินตามแขนขาแต่สายตาจ้องเราอย่างเปิดเผย ท้ารบกับข้าวปั้นแล้วล่ะสิ



                “ผมจะฟ้องแม่พี่ปั้น!”



                ...นายไม่กล้าหรอก...



                หึ เรายิ้มมุมปาก



                “เชิญเลยไอ้เด็กบ้า!”



                เขายิ้มเหี้ยมก่อนจะยกมือสองข้างมาป้องปาก มันเป็นเสี้ยววินาทีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว           



                “คุณน้าครับ! พี่ปั้นพูดไม่เพราะ!!!”



                ...ตุ๊ดตู่ ฟ้องจริงหรอเนี่ย...

 



                “ข้าวปั้น!!!!!!!!!!!!!”



                เดินมาพร้อมทั้งตะหลิวและผ้ากันเปื้อน



                ...แม่ครับ ปั้นผิดไปแล้ว...









___________
-พี่ปั้นน่ารักจังเราขอ-
#เรากับเขา  ♡
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 5: เขา...คือจอมเผด็จการ p.2 [9/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-10-2017 21:28:24
 :laugh:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 5: เขา...คือจอมเผด็จการ p.2 [9/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wichiwiwie ที่ 09-10-2017 22:14:49
พี่ปั้นน่ารักกก ><
น้องนายนี่เจ้าเล่ห์มากเด้อออ 555555
เอาใจช่วยพ่อหนุ่มเจ้านาย อิอิ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 5: เขา...คือจอมเผด็จการ p.2 [9/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 09-10-2017 22:56:04
น้องนายจะเข้าทางคุณแม่พี่ปั้นหรอออ :m13:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 5: เขา...คือจอมเผด็จการ p.2 [9/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-10-2017 23:04:06
พี่ปั้นทำอะไรก็น่ารักไปหมดเลยยยยย  :z2:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 5: เขา...คือจอมเผด็จการ p.2 [9/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-10-2017 00:10:17
 :katai2-1:

เข้าทางแม่ นี่หว่า
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 5: เขา...คือจอมเผด็จการ p.2 [9/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-10-2017 10:50:03
นายเจ้าเล่ห์นะเรา

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 5: เขา...คือจอมเผด็จการ p.2 [9/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-10-2017 12:38:18
นาย เอาจริง ตามถึงบ้านปั้นเลย

อย่างนี้หนีมาบ้าน นายก็ตามมาได้เน้าะ

นาย ปั้น  :กอด1: :กอด1: :กอด1: 
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 5: เขา...คือจอมเผด็จการ p.2 [9/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 10-10-2017 23:37:47
ตายๆๆๆ ปั้น ไม่รอดปน่ๆ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 5: เขา...คือจอมเผด็จการ p.2 [9/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 11-10-2017 21:46:44
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 5: เขา...คือจอมเผด็จการ p.2 [9/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 0% ที่ 13-10-2017 21:33:25
อีกคนก็ความรู้สึกช้าอีกคนก็เจ้าเล่ห์ น่าร้ากกกกก  :hao7:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 5: เขา...คือจอมเผด็จการ p.2 [9/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 13-10-2017 23:10:30
โดน!
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 5: เขา...คือจอมเผด็จการ p.2 [9/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 14-10-2017 15:50:04
งื้อออออออพี่ปั้นน่ารักกกกกกก ส่วนนายนี่ตีมึนตื๊อเข้าไว้เดี๋ยวพี่เค้าก็ใจอ่อนเนอะ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 19-10-2017 15:14:22
Act 6 : เรา...มึน



               “ปั้น!...”



                “...”



                “ปั้น...เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมามีเรื่องอะไรกับแกใช่ไหม?”

 

                “ฮะ..หือ? ทำไมถามงั้นอะ”



                “ก็แกนั่งเหม่อ งานการไม่ทำเนี่ย เดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว เรียกก็ไม่ได้ยิน”



                “เราดูเป็นงั้นหรอ” ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเหรอหรา



                “ใช่สิ เอ๊ะ หรือ....ว่าแกมีเรื่องอะไรจริงๆ”



                เราหลบสายตาที่ชมพู่จ้องมา ก็ใครจะไปทนได้ เราเป็นผู้ชายให้มองตาผู้หญิงระยะใกล้แบบนี้ไม่ดีนะ



                “ไม่ได้ต้องมาเขิน บอกกี่ครั้งแล้วแกต้องฝึกทนให้ได้บ้าง เจอคนสบตาแบบนี้ไม่ได้แล้วถ้ามีแฟนแกจะทำยังไง”



                “เราไม่มีหรอก ไม่ต้องฝึกก็ได้”



                “แน่?...”



                “แน่สิ”



                ชมพู่หรี่ตาแล้วถอนสายตาออกไป แต่ก่อนที่จะก้มมองเอกสารในมือ จู่ๆ เธอก็ร้องขึ้น “อ๊ะ แล้วไอ้หนุ่มบนรถเมล์ล่ะ? เป็นยังไงบ้าง? มีชะงักนะ หึ แกไม่ทันฉันหรอกปั้น”



                “คือว่า...”



                “พวกแกคุยกันอยู่?”



                “ก็คุยบ้าง...เออ ชมพู่เรามีเรื่องจะปรึกษาหน่อย คือ...เรื่องนี้เป็นเรื่องของเพื่อนเรา เพื่อนเก่าสมัยเรียนเทพศิรินทร์”



                “เพื่อนแก?” ชมพู่ทำท่าคิด



                “เพื่อนเก่ามากๆ ชมพู่ไม่รู้จักหรอก คือว่าเขามาที่บ้านเรา แม่เราเลยชวนกินข้าว แต่พอเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหารเขาก็ดูเหม่อๆ แล้วจู่ๆ ก็ขอตัวไปรับโทรศัพท์แบบรีบร้อน”



                “นี่หนุ่มรถเมล์คนนั้นมาที่บ้านแกเลยเรอะ!”



                “ใช่เขามาที่บ้านเร...เฮ้ยๆๆ ไม่ใช่เด็กคนนั้น  ชมพู่อย่าเข้าใจผิด นี่คือเพื่อนเรา เรื่องเพื่อนเราไง”



                เราโบกมือโบกไม้เป็นพัลวัน จนชมพู่พยักหน้าแล้วถามต่อ “อาฮะ แล้ว?”



                “แล้วตอนเขาลุกขึ้น เราเห็นปลายจมูกกับขอบตาเขาแดงๆ พอกลับเข้ามาอีกเขาก็ขอตัวกลับก่อน ขอโทษแม่เรา มีธุระด่วนคราวหน้าจะไม่ผิดคำพูดอีก”



                “มีพิรุธ”



                “ใช่ไหมล่ะ...” เราพยักหน้าหงึกหงัก “เรากับแม่ก็งงๆ แล้วเขาก็รีบไปเลย”



                “อืมม...”



                “จนวันนี้วันอังคารแล้วเขาก็ยังไม่ติดต่อมาเลย”



                “สรุปคือ แกสงสัย แล้วก็เป็นห่วงเขาหรอ”



                “ก็...เอ่อ...เรากลัวเขามีเรื่องอะไรร้ายแรง อย่ามองงั้นสิก็ห่วงตามประสาเพื่อนไง”



                “ห่วง ‘เพื่อน’ จริงๆ นะปั้น” ชมพู่หรี่ตาลงเล็กน้อย แน่นอนว่าสายคู่นั้นมองเราเหมือนตำรวจหาตัวคนร้าย



                “เรื่องก็ประมาณนี้แหละ เราเลยอยากถามว่าเราควรทำยังไง”



                “ที่คิดมากเพราะเรื่องนี้หรอ ปั้น...จะไปยากอะไร ฉันว่าแกรู้แต่แกไม่ทำ แกมีไลน์เขาไหม?” ชมพู่เท้าคางกับฝ่ามือ



                “...มี”



                “แกมีเบอร์เขาไหม?”



                “ก็เหมือนจะมีนะ...” ดูเหมือนว่าเขาเคยโทรมาเช็คว่าเป็นเบอร์เรารึเปล่าน่ะนะ



                “หึหึ แกก็แค่โทรไปถามไม่ก็ไลน์ไปถามซะก็สิ้นเรื่อง”



                “จะดีหรอ เขาจะคิดว่าเรายุ่งเกินไปไหม” เราพึมพำ ไม่สนใจกองเอกสารบนโต๊ะโดยสมบูรณ์



                “เอ...แล้วเพื่อนเก่าของแกคนนี้ชื่ออะไรนะ ฉันล่ะอยากจะรู้จริงๆ มาทำให้คนอย่างข้าวปั้นคิดมากได้เนี่ย”



                เรากลัวสายตาของชมพู่จริงๆ เราลอบกลืนน้ำลายก่อนจะแกล้งเบนสายตามองเอกสารอีกครั้ง “ชื่อ...ก่อนไง ก่อนน่ะ เห็นไหม ชมพู่ไม่รู้จักหรอก”



                ชมพู่ยกยิ้มยื่นมือขวามาจับปลายคางเราแล้วส่ายเบาๆ เราจึงมองกลับไปแบบหวั่นๆ



                “ปั้น...แกลืมอะไรไปอย่างนึงนะรู้ไหม แกไม่มีเพื่อนที่เทพศิรินทร์ ทั้งชีวิตแกมีฉันเป็นเพื่อนคนเดียว”



                “เอ่อ....”



                “แล้วไอ้คนที่มาบ้านชื่ออะไรล่ะ คนที่มีทั้งไลน์กับเบอร์แกเนี่ย”



                ...ข้าวปั้นเอ๊ย พลาดท่าซะแล้ว...



                “อะแฮ่ม!! สวัสดีครับ!!”



                “ผู้จัดการอย่ามาจับคางพี่ปั้นด้วยเล็บสีแดงแบบนี้สิครับ พวกผมเห็นแล้วใจมันเจ็บแปลบๆ”



                เพราะเสียงกระแอมดังขึ้นเหนือหัว ชมพู่เลยจำต้องละสายตาจากเราแต่นิ้วเรียวยาวก็ยังไม่ปล่อยจากปลายคางเรา คนมาใหม่ตัวสูงๆ สองสามคนถือวิสาสะมานั่งร่วมโต๊ะใต้อาคารที่ลมพัดแรง โดยที่คนหนึ่งทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ชมพู่ ส่วนอีกสองคนก็นั่งข้างๆ เรา แต่คนพูดมากที่สุดเห็นจะเป็น...



                “ดูสิ จับแรงเดี๋ยวหน้าพี่ปั้นก็เป็นรอยหรอก”



                คนที่ชื่อเจ็มคนที่นั่งลงข้างชมพู่คนนี้



                “แล้วแกมายุ่งอะไรด้วย มาเดินโชว์ตัวอะไรที่คณะฉัน” ชมพู่ปล่อยมือ



                “ก็พูดไปนั่น ถึงจะจริงก็เถอะ เฮ้ย คือพวกผมมีเรียนที่อักษร แล้วก็แค่บังเอิญผ่านมา แล้วก็บังเอิญเจอคนน่ารักกับนางยักษ์พอดี”



                “ไอ้เจ็ม!”



                “ฮ่าๆๆๆ” น้องๆ อีกสองคนหัวเราะลั่น ส่วนเราก็ลอบถอนหายใจ



                “โอ๊ยยย อย่าบิดเนื้อโผมมมม ไอ้ฟุนกับไอ้เหน็งก็หัวเราะทำไมผู้จัดการไม่ลงมือกันมันบ้าง โอ๊ยย แขนผมเขียวแล้ววว”



                “ปั้น! แล้วแกจะหัวเราะทำไม แกต้องเข้าข้างฉันสิ”



                ...เราแอบหลุดหัวเราะนิดเดียวเอง...



                “อย่าเอ็ดพี่ข้าวปั้นสิผู้จัดการ ผมล้อเล่นคร้าบบบ แวะมาบอกว่าเย็นนี้อย่าช้านะครับ ถ้าผู้จัดการมาสายอีกวัน โค้ชก็จะเขมือบพวกผมทีละคน”



                “ปกป้องกันจริงๆ ฉันเป็นผู้จัดการทีมนะไม่ใช่ปั้นมัน แตะไม่ได้เลย มันเป็นแม่พวกแกรึ...”



                “ไอ้ฟุน ไอ้เหน็ง กางอาณาเขตป้องกันพี่ปั้น อย่าให้เสียงของผู้จัดการเล็ดลอดมา ย้ากก”



                “ปัญญาอ่อนเหมือนหน้าตาเลยนะพวกแก”



                “ถ้าแฟนคลับทีมบาสมหาลัยรู้ว่ามีคนว่าพวกเราหน้าตาปัญญาอ่อนล่ะก็ ผู้จัดการไม่รอดแน่”



                “หยุดพล่าม ฉันเก็บของล่ะ พวกแกรอไปซ้อมพร้อมกับฉันเลย”



                “เย้! สบายขาแล้วพวกเรา” นักกีฬาบาสตีมือกันยกใหญ่ ชมพู่เห็นเรานั่งมองนิ่งเลยหันมาบอก



                “ส่วนแกก็เก็บของเลยปั้น ฝนท่าทางจะตกด้วย ฉันจะไปส่งแกก่อน ตกมากลางทางงานพังหมด”



                โธ่ ห่วงงานไม่ได้ห่วงเรานี่หว่า เราตอบรับแล้วพยักหน้าเบาๆ  ในใจก็แอบขอบคุณเพราะพอน้องๆมาช่วยให้เรารอดพ้นจากการซักฟอกของชมพู่ น้องที่นั่งข้างๆ เราพยายามจะช่วยเก็บเอกสารแต่เราก็บอกปัดพลางขอบคุณ น้องๆ เลยนั่งมองเรากับชมพู่เก็บของเงียบๆ



                ...เอ่อ...ก็เงียบแค่สองวินาทีเท่านั้นล่ะ...



                “พี่ปั้นครับ มาดูพวกเราแข่งด้วยนะครับ วันศุกร์นี้แข่งกับมธ.รับรองพี่ปั้นไม่เบื่อแน่นอน เกมมันส์หยดติ๋งเลย”



                น้องฟุนพูดขึ้นก่อนจะยกนิ้วโป้งประกอบคำพูด น้องเจ็มเดาะลิ้นเป็นเชิงถูกใจ



                ชมพู่เบะปาก “ดูเกมมันไม่เบื่อหรอก มันจะเบื่อเพราะหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยของพวกแกน่ะสิ”



                “ผู้จัดการอะ กันซีน!”



                “เออ!”

 





                “ขึ้นห้องดีๆ นะครับ ระวังเดินสะดุด”



                “สะดุดรักใคร ก็ไม่สะดุดใจเท่ารักผม”



                “ปั้น แกรีบไปเถอะ ก่อนที่พวกมันจะสะดุดเท้าฉัน”



                เราส่ายหน้าขำกับความสัมพันธ์แบบคู่กัดของผู้จัดการทีมบาสของมหาลัยกับนักกีฬาบาสจอมป่วน



                “เจอกันพรุ่งนี้ปั้น”



                “ขอบคุณมาก ตั้งใจซ้อมกันนะ”



                “มีกำลังใจเเล้วว”



                “พี่ปั้นหวัดดีคร้าบบ”



                เวลากลับเข้ามาที่ห้องหลังจากออกไปเรียนหนังสือหรือทำงานทั้งวัน อย่างแรกที่คุณจะทำคืออะไร



                “เฮ้อออ ได้เอนหลังซักที”



                เราหยิบมือถือในกระเป๋าออกมา พร้อมกับเอนตัวนอนโดยที่ปลายเท้าสองข้างโผล่ออกจากเตียง ส่วนมือก็เลื่อนหน้าจอไปแบบเหม่อๆ ปกติจะมีแจ้งเตือนจากเด็กบ้าคนนึงเสมอ พอไม่มีก็ไม่รู้จะทำอะไร เพราะแชทไลน์ที่อย่างน้อยจะมีข้อความเด้งขึ้นมาก็เงียบไปสองสามวัน



                ...จะเป็นอะไรรึเปล่านะ..



                จริงๆ เราแค่อยากถามไถ่ในฐานะมนุษย์ที่ใจดีเท่านั้นแหละ



                เรากดเข้าไปในแชทของเขา ข้อความสุดท้ายค้างไว้ตอนวันศุกร์ที่ผ่านมา ตอนที่เขากระหน่ำส่งข้อความมา แล้วขอเบอร์เราไป ช่างเถอะ ไม่ต้องสนใจหรอก ดีแค่ไหนแล้วตลอดสองสามวันนี้เราทำงานได้เพิ่มขึ้นตั้งเยอะ เราเลื่อนดูฟีด อ่านข่าว ดูคลิปตลก ดูจนหมดแล้วสุดท้ายก็กลับมาห้องแชทห้องเดิม



                ...เฮ้อ ปั้น ไม่หนักแน่นเอาซะเลย...



                เพราะแบบนั้นเราเลยตัดสินใจกดส่งข้อความไปหาเขา แค่ถามนะ



 
               Khoapun

                นี่นาย มีเรื่องอะไรรึเปล่า


                ...เราถามตรงประเด็นไปไหมเนี่ย ปั้นนน กดส่งไปแล้วด้วย จะมามือไวสมองไวทำไมตอนนี้...



                เราขยี้ผมตัวเองแรงๆ ก่อนจะปิดหน้าจอแล้วโยนโทรศัพท์ไปไว้อีกฝั่งหนึ่งของเตียง ดีแฮะ ปกติเวลาโยนแล้วเด้งตกเตียงตลอด มองฝีมือตัวเองในการโยนโทรศัพท์เเล้วหลังจากนั้นก็เปลี่ยนท่าทางนอนใหม่ เราซุกหน้าลงกับหมอน ตั้งใจว่าจะไม่สนใจ จะนอนแล้ว



                แต่เอาเข้าจริงๆ เรากลับผิดคำพูด จากที่นอนคว่ำ เราก็ค่อยๆ เลื่อนตัวเองไปใกล้โทรศัพท์ที่พึ่งจะโยนทิ้งเมื่อกี้ คว้ามันมาแล้วยกมันขึ้นระดับสายตา เรากดดูภาพโปรไฟล์ของเขา



                “เด็กบ้านี่ ไม่ตอบกลับจริงๆ สินะ” เราว่าเขาหลังจากที่มองรูปโปรไฟล์ของไลน์มาครู่หนึ่ง ใบหน้าที่ยิ้มกวนๆ นั้นไม่เข้ากับหน้าเศร้าเมื่อวันนั้นเลยจริงๆ



                Rrrrrrrrrrrrrrr



                “เฮ้ย!...”



                โป๊ก!!



                อูยยยย หน้าผากเรา ใครโทรมาล่ะเนี่ย ทำเอาเราตกใจจนโทรศัพท์ตกใส่หน้าผาก



                ฮือ เจ็บ 



                หัวจะแตกไหมเรา



                Rrrrrrrrrrrrrrr



                เราจับโทรศัพท์ด้วยมือข้างซ้าย ส่วนมืออีกข้างก็ลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ อาจจะมีเรื่องด่วนก็ได้มั้ง เบอร์ก็แปลกแต่โทรมาสองสายแล้ว



                “....ฮัลโหลครับ?”



                (พี่ปั้น...-เฮ้ๆ วู้ววววววว ไอ้เหี้ย เสร็จแล้วโว้ยยยย ไอ้แดมคืนโทรศัพท์พวกกูมาได้แล้วววว-)



                “ครับ?...”



                (-ไอ้เชี่ยทำไมไอ้นายได้ก่อนวะ- พี่ปั้น? อยู่ไหมครับ?)



                เขาหรอ เสียงเขา?



                (พี่ปั้น -กูจะไปแดกเหล้าใครไปบวกมา- พวกมึงเบาๆ ดิ๊! ได้ยินไหมครับ แป๊บนะครับ ผมจะเดินออกมาข้างนอก)



                เราได้ยินเสียงดังโวยวายมาตามสาย แล้วก็เสียงเดินดังกึกๆ พอเงียบแล้วเราเลยเอ่ยถามไป



                “นี่ใคร”



                (เฮ้ๆๆๆ พี่ปั้นลืมผมได้ไง)



                “นายหรอ?”



                (นายเองครับ)



                “....” เพราะได้รับการยืนยัน เราก็รู้สึกโล่งใจอย่างน่าประหลาด ความกังวลที่ผ่านมาค่อยลอยออกไปนอกหน้าต่าง



                (ขอโทษนะครับพี่ปั้น ช่วงนี้มีงานมารุมเร้ามันเศร้าโคตรๆ พึ่งจะได้จับโทรศัพท์แล้วก็โทรหาพี่ปั้นคนแรกเลย)



                “ที่นายกลับก่อนเพราะมีปัญหาเรื่องงานหรอ”



                (อ๋ออออ...) เขาลากเสียงยาว (เอ่อก็...ครับ แล้วพี่ปั้นล่ะ ผมไม่ได้คุยด้วยเหงาใช่ไหมล่า...)



                “เราไม่ได้เหงา”



                (แล้วใครส่งข้อความมาเนี่ย เป็นห่วงผมหรอครับ)



                “...”



                (พี่ปั้น...โอ๋ น่ารักจัง ขอโทษครับ ขอโทษครับ)



                “หลงตัวเอง แม่ให้เรามาถาม แม่เป็นห่วง” จริงๆ นะแม่ถามถึงตั้งหนึ่งครั้ง



                (หึหึ แม่เป็นห่วงก็ได้คร้าบบ ได้ยินเสียงพี่ปั้นอยู่ข้างๆ หูเนี่ย หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง)



                “เป็นบ้ารึไง”



                (พี่ปั้นล่ะ เป็นไงบ้างครับ กลับห้องก่อนมืดรึเปล่า)



                “เราไม่ใช่เด็กๆ นะ กลับตอนไหนเราก็ไม่เป็นไรทั้งนั้น”



                (พี่ปั้นผมมีเรื่องจะขอร้องแกมบังคับด้วย) จู่ๆ เขาก็ทำเสียงจริงจัง (ตั้งแต่พรุ่งนี้พี่ปั้นโทรปลุกผมหน่อยนะครับ)



                “ปลุกอะไรของนาย”



                (ผมต้องตื่นมาซ้อมทุกเช้าเลย เนี่ยทำงานก็ดึก กลับมาก็หลับเป็นตาย ไปสายก็โดยพี่กิมด่าทุกวัน พี่ปั้นโทรมาปลุกผมหน่อยนะครับบ” ซ้อมอะไรของเขากันนะ               



                “แล้วนาฬิกาปลุกนายล่ะ?”



                (นาฬิกาปลุกเอาไม่อยู่หรอกครับ อยากให้มีคนโทรมามากกว่า ผมเป็นคนหลับลึกมากกกกก แต่ถ้ามีพี่ปั้นโทรมาผมตื่นแน่นอนเลย)



                “...” ตรรกะอะไรของนายเนี่ย “ปกติใครปลุกนายล่ะ”



                (เอ่อก็...นะครับ...พี่ปั้นนนนน ถ้าได้ยินเสียงพี่ปั้นตอนเช้าผมมีกำลังใจไปซ้อมแน่นอน ส่วนพี่ปั้นก็จะได้ยินเสียงผมด้วยเหมือนกัน ผมไม่หายไปไหนให้พี่ปั้นต้องเป็นห่วงด้วย นี่ไงแฟร์ๆ”



                เราถือโทรศัพท์ค้างไว้ที่หู สมองช้าๆ ของเรากำลังคำนวณส่วนได้ส่วนเสีย



                (โอเคไหมครับ) เขาเร่งมาอีก



                “ถ้าเราปลุกแล้วนายตื่น แล้วเรา...”



                (ฮ่าๆ พี่ปั้น ทำให้ผมหายเครียดเลยรู้ตัวป้ะเนี่ย)



                “นายอย่าพึ่งกวนเราคิดอยู่ ถ้าปลุกตอนเช้า...”



                (ฮัลโหล ว่าไงนะครับ ตกลงแล้วแล้วใช่ไหมครับ  คิดถึงพี่ปั้นนะครับ ไม่ค่อยได้ยินเลย ไว้คุยกันครับ ซู่ซ่า)



                เฮ้ย!!....



                ตรู๊ดดดด



                ช่วยบอกเราทีว่าเราตกลงตอนไหน



                อยากจะทึ้งผม แต่ก็กลัวเจ็บ



                หลังจากนั้นเขาก็ส่งข้อความมาเหมือนเดิม ข้อความในห้องแชทขยับขึ้นลง เหมือนเรื่องที่เขาหายไปไม่เคยเกิดขึ้น เขาบอกกับเราว่าให้โทรมาปลุกตอนหกโมงเช้า แล้วก็คุยอะไรไปเรื่อยเปื่อย เราก็ทำงาน ส่วนเขาก็ทำตัวว่างงานกวนเราไปแบบนั้น ทำงานไม่รู้เวลาแล้วก็เผลอหลับบนเตียงที่เต็มไปด้วยเอกสาร ตื่นอีกทีด้วยเสียงนาฬิกาปลุกตอน 6 โมงเช้าเราเอื้อมมือปิดเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ เเละเหมือนกับเสียงเขาลอยเข้ามาในฝัน ไม่รู้ตัวเลยว่าเรากดโทรออกไปหาเขาตอนไหน



                “นาย...”



                (ครับ?...)



                “ตื่น...เราโทรมาปลุก”



                (พี่ปั้น?)



                “...”



                (ฮ่าๆ ไหงเป็นงั้นอะ เสียงคนโทรปลุกยังไม่ตื่นเลยนี่ครับ)



                เราพลิกตัวไปด้านข้าง มือที่ว่างอยู่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว



                “อือ...ตื่น”



                (ละเมอใช่ไหมเนี่ย หึหึ ไปนอนต่อเถอะครับ ผมตื่นแล้ว)



                “อือ”

               





                เราตื่นมาโทรศัพท์หาเขา ลุกไปอาบน้ำ แล้วออกไปเรียน



                แต่มันไม่ใช่



                เราพบว่าทั้งหมดนั่นเป็นความฝัน



                และ...เราโดนอาจารย์ตำหนิ...



                โทษฐานที่มาสาย



                เข้าห้องมาตอนที่เพื่อนคนแรกพรีเซ้นต์ไปเกือบครึ่ง แน่นอนอาจารย์เรียกชื่อให้เราวิจารณ์การพรีเซ้นต์เพื่อนทันที เราอยากร้องไห้ ใครจะไปวิจารณ์ได้ เรายังไม่ทันฟังเลย ไม่รู้เรื่องด้วย



                “แกไม่เคยมาสายนี่ปั้น ไปทำอะไรมา”



                “เราแปลรีเสิร์ชทั้งคืนเลย แล้วข้อมูลที่เอามาใช้ดันอยู่หน้าสุดท้าย”



                “ฉันอยากจะดีดเหม่งแก ทำไมไม่ skimming and scan reading ยะ เรียนมาตั้งเยอะแยะ”



                “เออ...นั่นสิ...เราลืมไปเลย คิดว่าหัวข้อตรงกับงานเราพอดี คิดว่าใช้ได้หมด”



                “ปัณณฑัต ชิตาพร จะเรียนไหม?!”



                “เรียนค่าอาจารย์/ครับ”



                เราถอนหายใจก่อนจะก้มหน้าหลบตาอาจารย์



                พอเลิกเรียนอาจารย์ที่ปรึกษาก็เรียกเราเข้าไปคุยที่ห้องพักอาจารย์ เราเลยต้องบอกลาชมพู่ที่มองมาด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้งานเรามีปัญหาและมีเปอร์เซ็นต์สูงที่มันจะไปต่อไม่ได้



                ถึงแม้แดดจะร้อน ท้องฟ้าสดใส



                แต่วันนี้คือวันที่ฝนตกหนักสำหรับเรา





               

                เราเดินกลับมาที่ห้องตอนไหนก็ไม่รู้ คำพูดของอาจารย์กระเด้งกระดอนอยู่ในสมองเราตลอดเวลา พอเปิดประตูเข้ามา เราก็ถอนหายใจ ไม่ได้นะ ห้องที่เรารัก ห้องที่เรากลับมาแล้วมีความสุข ทำไมวันนี้มันดูหม่นหมองแบบนี้



                เราวางเอกสารและกระเป๋าไว้บนโต๊ะ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วทำความสะอาดห้องดับความฟุ้งซ่าน เราทำตัวไม่ให้ว่าง จะได้ไม่ต้องคิดอะไรมาก



                “ครูบอกเธอแล้วว่าให้หาจุดที่มันเป็นแก่นของงานให้ได้แล้วเอามาเจาะหาประเด็นที่น่าสนใจ แต่เธอไม่ฟังครู...”



                ไม่คิดอะไรมากที่ไหนกันเล่า ยิ่งทำตัวยุ่งมันยิ่งทำให้เราคิดมากกว่าเดิมอีก อยากจะบ้าตาย เอกสารที่เราอ่านมาร่วมเดือน ระหว่างที่เรานั่งคัดเอกสารเพื่อเอาไปทิ้ง โทรศัพท์ก็ดังขึ้น



                Rrrrrrrrrrrrrrrrrr

                Rrrrrrrrrrrrrrrrrr

                Rrrrrrrrrrrrrrrrrr

                Rrrrrrrrrrrrrrrrrr



                เราถอนหายใจ แล้วกดเปิดลำโพง



                “ฮัลโหล...”



                (พี่ปั้น ถึงห้องรึยังครับ)



                “เราถึงแล้ว”



                (ผมพึ่งได้พัก อึ่กๆๆ)



                “ไม่ว่างก็ไม่ต้องคุยหรอก”



                (ฮ้า สดชื่น)



                “ดื่มน้ำหรอ”



                (เปล่าครับได้คุยกับพี่ปั้นแล้วสดชื่นนน พี่ปั้นรู้ไหม...วันนี้พี่กิมซ้อมโคตรโหด ผมขอเวลาเคลียร์งานสามวันเอง เล่นผมซะอ่วม ผมไม่ใช่ลูกบาสนะ พักแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ต้องเก็บโทรศัพท์แล้วครับ มีไอ้แดมหน่วยเก็บโทรศัพท์ประจำทีมที่โหดพอๆ กับพี่กิม มันเป็นเพื่อนผมด้วย แล้วพี่ปั้นกินอะไรรึยัง พี่ปั้น...) เราเหม่ออยู่นาน เสียงเขาค่อยๆ เฟดออกนอกโฟกัสของเรา



            “เกิดอะไรกับเธอ ปัณณฑัต เทอมนี้เธอไม่โอเคเลยนะ”



            (พี่ปั้นครับ เป็นอะไรรึเปล่า)



                “อะ เปล่าๆ ถึงไหนนะ” เราสะบัดหน้า ตั้งใจแยกเอกสารอีกครั้ง



                (ไม่มีอะไรแล้วครับ พี่ปั้นวันศุกร์เจอกันนะครับ)



                “หือ...ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นน่ะหรอ”



                (ร้านอะไรครับ?)



                “นายบอกว่า...”



                ...เขาบอกว่าอะไรนะ แล้วเอกสารนี้เก็บไว้ดีไหม...



                (ผมบอกพี่ปั้นว่า วันศุกร์นี้เจอกันที่ม.พี่ปั้นนะครับ ผมแข่งบาสที่นั่นตอนบ่าย พี่ปั้นมาดูผมด้วยนะ แล้วเรากลับบ้านพร้อมกัน)



                “อ๋อ...มีแข่งที่ม.เราหรอ”



                “งานเธอเหมือนจะไปได้ไกลกว่าเพื่อน ทำไมตอนนี้เธอย่ำอยู่กับที่ล่ะ ถ้าเธอทำแล้วมีปัญหาเธอต้องรีบมาปรึกษาครูทันที อย่าคิดว่าตัวเองทำได้ทุกอย่าง”



                (ครับผมบอกพี่ปั้นแล้ว)



                “อ่า...เรามึนๆ”



                (มึนมากก เมื่อเช้าโทรมาปลุกผมรู้ตัวไหม)



                “งั้นหรอ”



                “ถ้ามันยากเกินไป ครูว่าเธอหยุดก่อนดีกว่าไหม”



                ...ที่เราพยายามมาทั้งหมดเพื่ออะไร เราพยายามเเล้วจริงๆ เเต่มันคงไม่พอ...



                (พี่ปั้น...)



                “...”



                (พี่ปั้นครับ)



                “หือ?...”



                (ผมมีเวลาเหลือห้านาที พี่ปั้นว่าห้านาทีพอไหมครับ)



                “พออะไร”

                .

                .

                .

                (พอให้พี่ปั้นได้ระบายมันกับผมบ้าง...)



                แหมะ!



                น้ำตาที่กลั้นไว้หยดลงบนเอกสารทีละหยด ทีละหยด



                “ฮึก...”



                เขา...ที่โทรมาแล้วเราไม่ได้สนใจฟังเป็นคนที่เงียบฟังเราพรั่งพรูความเจ็บปวดในใจออกไปภายในห้านาทีนั้น





___________
-เดี๋ยวก็ดีขึ้นนะพี่ปั้น จาล้องงง-
#เรากับเขา  ♡
รักทุกคลล


หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 19-10-2017 15:35:32
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-10-2017 15:47:49
ต้องตั้งสติ สมาธิก่อนมั้ยปั้น  :hao3:
แล้วปัญญาถึงจะตามมา   :mew1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 19-10-2017 16:42:25
น้องปั้นของพี่   :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-10-2017 16:48:31
โอ๋ๆนะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 19-10-2017 18:43:56
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Midorima ที่ 19-10-2017 18:57:52
ไม่ร้องนะพี่ปั้น  :hao5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 19-10-2017 20:22:50
พี่ปั้นอย่าร้องงง ค่อยๆคิดออกมานะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 19-10-2017 23:18:36
พี่ปั้นน่ารักกก ไม่ร้องนะคนดี ; w ; //กอด
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 19-10-2017 23:28:20
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 19-10-2017 23:41:14
พี่ปั้นไม่ร้องนะครับ คนดี
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-10-2017 23:47:26
 :ruready
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 30267 ที่ 20-10-2017 00:54:24
รอนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 20-10-2017 01:15:04
แงงง ติดตามค่า สนุกมากเลย พี่ปั้นน่ารักกก
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 20-10-2017 02:58:15
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 20-10-2017 08:04:08
ปั้นต้องตั้งสติและมีสมาธินะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 21-10-2017 19:41:11
พี่ปั้นร้องไห้ นี่จะร้องตาม  :hao5:
ฮื่ออ อยากจะเข้าไปปลอบ แต่ตอนนี้ให้น้องนายปลอบพี่ปั้นไปก่อนนะคะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: JellyKei ที่ 22-10-2017 21:43:02
เพิ่งมาตามอ่านค่ะ ชอบในความรุกจีบของน้องนายมาก ส่วนพี่ปั้นนี่เหมือนจะปฏิเสธน้อง แต่ก็ยอมน้องตลอดเลย น่ารัก :katai2-1:
รอตอนต่อไปนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 23-10-2017 13:00:27
พี่ปั้นน่ารักจังค่าาา อยากกอดโอ๋ๆ
น้องนายก็น่าจะมีเรื่องไม่สบายใจนะแต่ ไม่ยอมบอกง่ะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Papangtha ที่ 26-10-2017 00:33:14
กอดปั้น สู้ๆน้าาาาาา
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 6: เรา...มึน p.2 [19/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: J029 ที่ 28-10-2017 20:28:47
พี่ปั้นอย่าร้องงง
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 01-11-2017 17:23:09
Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า

                เราหายแล้ว


                เราที่ร้องไห้เมื่อวันก่อนเป็นความผิดพลาดทางความรู้สึก


                “เอาอีกแล้วนะปั้น เลิกนิสัยที่ชอบเก็บเรื่องอะไรไว้คนเดียวซะที มีอะไรก็บอกกันได้ แล้วอาจารย์ก็อีกคนพูดแบบนี้ได้ยังไง ตอนแรกก็สนับสนุนหัวข้อแกซะดิบดี”


                “หัวข้อมันก็ดีแต่เนื้อหาเราน่ะ...งานเราไม่ดีจริงๆ แหละ เราหาทางซ่อมมันแล้วแต่งานมันจะมีช่องโหว่”


                “...”


                “เวลาไปพรีเซ้นต์กับอาจารย์สามคน เราคงโดนโจมตีจนพรุน”


                ชมพู่เงียบไปไม่นานก่อนจะถามต่อ “...ร้องไห้ใช่ไหม?”


                “ฮะ...เฮ้ย ผู้ชายเขาไม่ร้องหรอก” เราพูดยิ้มๆ แล้วเบนสายตามองอย่างอื่น


                “แล้วผู้ชายไม่ใช่คนรึไง”


                ...เอ่อ...ก็จริงแฮะ...


                “เศร้าก็เศร้าได้ แต่ไม่ต้องมาฉีกยิ้มได้ไหม”


                “เราเปล่านะ ยิ้มจากใจจริงๆ นี่ไง” เรายิ้มกว้างเท่าจักรวาลแล้วนะชมพู่


                “ถ้าจะบอกแกว่าไม่ต้องคิดมาก มันก็คงไม่ได้เพราะแกคิดไปแล้ว...ตอนนี้ตัวแกอยู่ในขั้นตอนไหนล่ะ” เพราะเรามีทฤษฎีของเรา ชมพู่เลยมักจะถามบ่อยๆ ถ้าเรามีเรื่องไม่สบายใจ มันเป็นระดับการรักษาตัวเอง ซึ่งตอนที่เราเล่าให้ชมพู่ฟังครั้งแรก เธอบอกเสียงดังว่า ‘เพ้อเจ้อ’ แต่หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นโค้ดลับของเราสองคน


                “ขั้นตอนการเยียวยา...”


                เธอมองมาด้วยสายตากังวล ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง


                “...เรียบร้อยแล้ว ”


                “จริง?”

                “จริงสิ ไม่ดีก็ทำใหม่”


                “แกทำฉันแปลกใจนะเนี่ย เยียวยาเร็วเหลือเชื่อ แต่ฉันก็คิดอยู่ว่าถ้าแกไม่หาย แกคงไม่มาถึงที่นี่ได้ ร้อยวันพันปี แกไม่เคยมาดูกีฬาอะไรกับเขาหรอก รีบกลับบ้านตลอดเว..”


                “...ก็”


                “ชวนปากจะฉีกถึงหูก็ไม่เคยมา...”


                “โอ๊ะ ชมพู่แวะซื้อโค้กก่อน เดี๋ยวเข้าไปดูแล้วคนเยอะออกไม่ได้แล้วเราหิวน้ำตายเลย”


                “เปลี่ยนเรื่อง” ชมพู่ตีหน้าผากเราเบาๆ แต่ก็เปลี่ยนเส้นทางไปทิศที่ตั้งของร้านน้ำ


                วันนี้วันศุกร์แล้ว เราตามติดชมพู่เหมือนเป็นลูกเป็ด ตอนนี้เราสองคนซื้อน้ำอยู่โรงอาหาร เวลาวันศุกร์ทีไรนักศึกษาก็มักจะกลับบ้านกันซะส่วนใหญ่ ยิ่งบ่ายๆ จะเริ่มเงียบ แต่วันนี้แปลกดีเหมือนกัน ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปทางสนามบาสในโรงยิมกันหมด


                พอเห็นคนถืออุปกรณ์เชียร์กลุ่มใหญ่เดินนำหน้าเราอยู่ ใจก็เต้นขึ้นมาซะอย่างนั้น บรรยากาศคึกคักน่าดูเลย


                “คนเยอะเนอะ” เราพูดก่อนจะดูดน้ำอึกใหญ่


                “เวลาแข่งกับต่างมอก็เยอะอยู่แล้ว มีแต่แกเนี่ยแหละไม่เคยเห็น”


                “อ้าวหรอ”


                “หิวอะไรอีกไหม ถ้าแกจะตามติดฉันก็ต้องไปอยู่ห้องเก็บตัวนะ” ชมพู่ถามขึ้นเมื่อพาเราเดินอ้อมมาด้านหลัง มัวแต่กินน้ำไม่ได้ดูเลยว่าชมพู่พาเรามาที่ทางเข้าห้องเก็บตัวนักกีฬา ได้ยินเสียงเข้มทุ้มหลายเสียงเฮฮาดังลอดออกมา


                “ต้องเข้าไปในนั้นหรอ”


                “อื้ม เหลืออีกเกือบสองชั่วโมง อีกอย่างฉันกินข้าวเสร็จแล้วก็ต้องไปดูแลพวกมันน่ะ”


                “งั้นเรานั่งรอข้างนอกดีกว่า” พอทำท่าจะเดินไปอีกทางชมพู่ก็คว้าข้อมือเราไว้ พร้อมกับอมยิ้มแปลกๆ


                “คนเดียวอะนะ? น่า...เข้าไปก่อน”


                “เราไม่ไป เดี๋ยวโค้ชก็ดุหรอก” เราพยายามดึงมือออกแต่ชมพู่จับไว้แน่น


                “โค้ชไม่ดุแกหรอก เขารู้จักแก”


                มั่วแล้ว... “รู้จักได้ไง”


                “เอ๊ะ ปั้นวันนี้แกดื้อจัง ไม่ฟังฉันเลยนะ เข้าไปกับฉันแป๊บเดียวเดี๋ยวออกมาส่ง”


                “ชมพู่!”


                ปัง!         


                “ทุกคน ฉันมาแล้ว!!”


                พอประตูกระแทกกับผนังดังปัง ชมพู่ที่เดินจับมือเราเข้ามาก็ประกาศเสียงดัง


                และ...เอ่อ...ทุกอย่างที่ดูวุ่นวายก็หยุดนิ่ง จนมีเสียงใครคนนึงตะโกนแหวกอากาศขึ้นมา


                “เฮ้ยยยย! ผู้จัดการ ผมใส่กางเกงอยู่!!!”


                “เชี่ย มึงรีบเอาผ้าไปบังเป้ามันนนน พี่ปั้นจะมาเห็นอะไรอุจาดตางี้ไม่ได้”


                “เฮ้ยๆๆ พวกมึงไปยืนเรียงแถวเร็วเข้า”


                ...นี่มันอะไรกันเนี่ย...


                พวกนักกีฬาที่แต่งตัวเรียบร้อย 4-5 คน รีบวิ่งกันทั่วห้อง บ้างก็ชนกัน บ้างก็เกือบจะล้ม เป้าหมายของพวกเขาคือยืนเรียงแถวเป็นกำแพงมนุษย์ตรงหน้ากับชมพู่กับเราที่ยืนมองด้วยความงง


                “พวกแกทำไรกันเนี่ย แล้วโค้ชไปไหน”


                “ไม่ต้องมาพูดเลยผู้จัดการ” คนที่ต่อล้อต่อเถียงกับชมพู่ได้ก็จะมีแต่น้องเจ็มที่ยืนตรงกลางคนนี้เท่านั้น


                “อะไรของแก หลีกไป๊ มายืนบ้าอะไรกัน” ชมพู่พยายามเดินแทรกกลางแต่น้องๆ ไม่ขยับตัวเลยแม้แต่นิดเดียว จนเราต้องถอยหลังมายืนประจันหน้ากันเหมือนเดิม ว่าแต่


                ...พวกนี้นะ...หุ่นดีจนเราอิจฉาเลย...


                “ไอ้กี้ยังไม่ได้ใส่กางเกงเลย ผู้จัดการเปิดเข้ามาแบบนี้ได้ไง”


                “เป็นบ้าอะไร ไม่ใส่กางเกงแล้วไง พวกแกเคยอายอะไรด้วยหรอ”


                “อายคร้าบบบ” เสียงๆ หนึ่งตะโกนมาจากหลังกำแพงมนุษย์ คงจะเป็นคนที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย


                “พวกเราไม่อายผู้จัดการเลยครับ พวกเราอาย...”


                “อายใครในนี้ ไหน?...มีใคร”


                “พวกเราอายพี่ปั้นครับ!” น้องผิวสีแทนที่ยืนอยู่ซ้ายสุดตอบเสียงดัง


                “นี่...ฉันต้องเศร้าหรือดีใจดีวะเนี่ย ไม่อายผู้หญิงอย่างฉันแต่อายเพื่อนฉันแทน พาก็พามาให้แล้วยังจะเขินอายเป็นหนุ่มวัยใสไปได้”


                “ก็พวกเราใสอ๊ะ!!...” เจ็มเถียง เราเลยมองน้องๆ ที่ยืนอย่างเต็มตา พวกเขายืนเหมือนทหาร


                “ปัญญาอ่อน”


                เรามองซ้ายขวา


                ...นั่นไงแอร์ ทำไมนักกีฬาบาสพวกนี้หน้าแดงกันจัง ไม่เห็นร้อนตรงไหนเลย...


                “ปั้นแกสนใจหน่อย ไอ้พวกนี้อุตส่าห์มาเรียกร้องความสนใจ”


                “อ๋อ เอ่อ...หวัดดีครับ”


                “ข้าวปั้นเพื่อนฉัน สมใจยัง”


                “สมใจแล้วคร้าบบบบ จะดีกว่านี้ถ้าผู้จัดการช่วยส่งเสียงบอกหน่อย เล่นเปิดมาแบบนี้  ไป...พวกมึงแยกย้าย กูเรียบร้อยแล้ว” เสียงข้างหลังดังมาอีก น้องๆ ที่ยืนอยู่ถอนหายใจ บางคนลูบอกตัวเอง


                “เชี่ย เหมือนกูจะตายแล้วอะพี่เขามองมาใช่ไหม กูนี่มองเพดานอย่างเดียวเลย”         


                “โอ๊ย ไม่มีสมาธิแล้วเนี่ย”


                “ใจบางไปหมดแล้วโว้ย”


                “อะแฮ่ม หลีกให้เพื่อนฉันนั่งแป๊บ” ชมพู่พาเราไปนั่งเก้าอี้ยาวกลางห้อง เราทำตัวไม่ถูกกับทุกสายตาที่จ้องมาแบบนี้


                “พี่ปั้นมาเชียร์พวกผมใช่ไหมครับ” น้องเจ็มนั่งลงข้างๆ เรา พอจะหันไปหาชมพู่ เพื่อนเราก็กดมือถือหน้าเครียดซะแล้ว


                “ก็ต้องเชียร์มอเราดิ จะให้เชียร์มธ.ไงไอ้เจ็ม” เรายิ้มแห้งๆ เราก็คงเชียร์มอเราอยู่แล้วแหละ...ไม่ได้มาที่นี่เพราะใครเลย...จริงๆ นะ....


                 “เออว่ะ กูลืมไปแล้วมึงจะมาสะกิดกูทำเชี่ยไรเนี่ยไอ้กี้”


                “แนะนำพวกกูเร็วๆ ”


                “เอ่อ...มีอะไรรึเปล่า”


                “พี่ปั้นครับนี่ไอ้ฟุนกับไอ้เหน็งพี่ปั้นคงรู้จักแล้ว ส่วนนี่ไอ้กี้ที่อ้อยอิ่งไม่ใส่กางเกงจนพี่ปั้นเข้ามาเมื่อกี้ ที่ยืนตรงมุมห้องนู้นไอ้โม ไอ้ซอ ไอ้บอม แล้วก็นู่นไอ้แฟกับไอ้ภีมครับทั้งหมดเป็นน้องพี่ปั้นหมดเลย”


                เรายิ้มก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงทักทาย ในใจต้องบอกเลยว่าออกไปข้างนอกเราก็ลืมชื่อพวกเขาหมดแล้ว ...เราขอโทษนะ...


                ระหว่างที่นั่งอยู่เราก็มองนู่นมองนี่ น้องๆ ก็ชวนคุย ช่างเป็นเด็กที่ร่าเริงอะไรขนาดนั้น พวกเขาตลกกันหมด เราก็ขำบ้าง ไม่ขำบ้าง ตามประสาคนไม่เก็ทมุกอะไรเลย


                “โค้ชไลน์มาแล้ว พวกแกเตรียมตัวไปวอร์ม” ชมพู่เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แล้วบอกพวกน้องๆ พวกเขาก็ลุกขึ้นเช็คความเรียบร้อยของตัวเองอย่างไม่อิดออด อาจจะเป็นเพราะอยู่ดีๆ ผู้จัดการทีมก็ดูเครียดขึ้นมาซะอย่างนั้น


                “พี่ปั้นอวยพรพวกเราหน่อยครับ ถ้าพี่ปั้นอวยพรพวกเราต้องชนะแน่ๆ”


                ...จริงหรอ...


                “งั้น...โชค..”


                “ปั้นมันเป็นพ่องพวกแกรึไง แกก็อีกคนเชื่อพวกมันไปหมด”


                “ผู้จัดการ!” เสียงร้องโวยวายระงม “อวยพรเลยครับพี่ปั้น”


                “เอ่อ...โชคดีนะทุกคน”


                “กำลังใจเต็มเปี่ยม!”


                “วิ้วววววว วันนี้พวกเราจะด้วยความสนุกและไม่เครียดเพราะตัวเต็งของมธ.ไม่มา วู้ว”


                “เฮ้!!!!” น้องนักกีฬาปลุกใจกันสนุกสนาน ทำเอาเรารู้สึกตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้


                “ใครบอก” เพราะเสียงของชมพู่ ทุกคนค่อยๆ เงียบลงเหมือนปิดสวิตซ์ น้องเจ็มเดินมาใกล้ๆ ก่อนจะถามเป็นคนแรก


                “มันมาหรอครับ”


                 “มันลงจริงดิ” อีกหลายๆ เสียงก็มองหน้ากันอย่างสงสัย เราที่ลุกขึ้นมายืนใกล้ๆ ชมพู่ก็มองด้วยความไม่เข้าใจ เปลี่ยนโหมดกันเร็วจริงๆ เลย ทีมนี้


                “มธ.ขอเพิ่มตัวสำรองมาอีกคนนึง” ชมพู่เฉลย “พวกแกติดเล่นอยู่แบบนี้แต้มไม่ขึ้นแน่”


                “มันอาจจะไม่ได้ลงก็ได้นะครับ” ใครซักคนแย้งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ


                “อย่าประมาท ตัวสำรองเปลี่ยนอนาคตได้พวกแกก็รู้”


                เพราะบรรยากาศเริ่มตึงเครียดเราเลยหลบฉากออกมาอย่างเนียนๆ พวกเขาคงจะปลุกใจกันก่อนแข่งกันอย่างแน่นอน


                พอเดินออกมาก็พบว่าเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง เสียงกลอง เสียงเชียร์เต็มไปหมด เราเลยเดินเลี่ยงมาทางห้องน้ำ มองแก้วน้ำที่ยังถือติดมือมา


                ...น้ำแข็งละลายจนโค้กเราไม่อร่อยซะแล้ว...


                มัวแต่คิดอะไรไปเรื่อยเราเดินปะทะเข้ากับใครบางคนอย่างไม่รู้ตัว


                ปึก! ตุ้บ!


                “ขอโทษครับ” เราก้มหน้าก้มตาขอโทษ แก้วโค้กตกลงกับพื้นจนน้ำกระฉอกออกจากแก้วเล็กน้อย คงจะไม่โดนเขาหรอกมั้ง


                “ไม่เป็นไรครับ”


                ...เอ๊ะ เสียงนี้...


                “นาย...”


                พอเงยหน้าขึ้น คนตรงหน้าก็ยิ้มรออยู่แล้ว เขาช่วยพยุงตัวเราขึ้นก่อนจะปัดฝุ่นตามตัวให้เรา


                ...เฮ้ๆ ไม่ต้องขนาดนั้น...


                “ไปไหนมาครับเนี่ย ผมตามหาพี่ปั้นมาพักนึงแล้ว”


                “ตามหาเรา?”


                “ก็พี่ปั้นไม่รับโทรศัพท์เลย มานี่ครับ” นายคว้าข้อมือเราไปทางออกฉุกเฉินข้างๆ ห้องน้ำ ระหว่างนั้นเรารู้สึกว่ามีสายตามองมาหลายคู่เราเลยบิดข้อมือตัวเองออก เขามองแต่ก็ไม่ได้รั้งไว้


                “มอนายมาถึงกันแล้วหรอ”


                “ซักพักแล้วแหละครับ กว่าผมจะหลบออกมาโทรหาพี่ปั้นได้ แต่พี่ปั้นก็ไม่รับสายกันซะนี่”


                “เราปิดเสียงล่ะมั้ง”


                “งั้นเปิดด้วยนะครับ ถ้าแข่งเสร็จผมจะโทรหา เรากลับบ้านด้วยกัน”


                “นายไม่กลับกับทีมนายหรอ”


                “ไม่ครับ ผมขอไว้แล้ว”


                “จะไปกับเราให้ได้?”


                “แน่นอน ห้ามปฏิเสธด้วย ไหนๆ ก็มาดูผมแข่งแล้วก็รอจนผมแข่งเสร็จแล้วกันนะครับ”


                “อย่าเข้าใจผิดนะ” เรารีบส่ายหน้า ไม่ใช่เพราะห้านาทีนั้นหรอกนะอย่าเข้าใจผิด “เรามาเชียร์มอเราต่างหาก”


                “หึหึ โอเคครับ เชียร์มอตัวเองก็ได้” เขายิ้มมุมปาก


                “จะ...จ้องเราทำไมนักหนา” เราหลบตา เขาเลยส่งเสียงหัวเราะในลำคอมาอีกระลอก


                “โธ่พี่ปั้น...ก็ไม่เจอกันตั้งอาทิตย์นึง ขอมองให้หายคิดถึงก่อนสิครับ”


                “นายหยุดพูดแบบนี้ซักทีเถอะ เราไม่ใช่สาวๆ นะ”


                “หึหึ ครับ...พี่ปั้นจะนั่งสแตนด์ฝั่งไหนไหนครับ”


                “ก็บอกแล้วไง เรามาเชียร์มอเราก็ต้องนั่งฝั่งมอเราสิ”


                “พี่ปั้นจะนั่งฝั่งไหนก็ได้ แต่มองผมด้วยเข้าใจ๊ ส่วนผมน่ะมองพี่ปั้นอยู่แล้ว”


                “บ้ารึไง คนเยอะขนาดนี้นายจะเห็นเราได้ไง”


                “เชื่อผมเถอะ ผมเห็นพี่ปั้นตลอดแหละ”


                เราส่ายหน้ากับคำพูดของเขา อะ...เราพึ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาก็เป็นนักกีฬาบาสคนนึงเหมือนกัน เขาต้องรู้จักนักบาส ตัวสำรองคนนั้นแน่ๆ แอบถามคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง


                “นาย...นายเล่นเป็นตัวจริงหรือตัวสำรอง”


                “พี่ปั้นทายดูสิ เท่ๆ แบบผมเนี่ยเป็นตัวอะไรดี” เขากอดอก หน้าเชิด มันช่างขัดกับชุดนักกีฬาสีส้มแถบดำของเขาเหลือเกิน เราเกือบหลุดขำก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้าเมื่อเขาหรี่ตามอง


                ...ท่าทางมั่นใจจังนะ...


                “นายคงจะเป็น....ตัวสำรอง”


                “เฮ้ย! พี่ปั้นรู้ได้ไง” อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้ซะจริง หน้าตาเสียความมั่นใจของเขาทำเอาเราขำออกมาจนได้


                “ฮะๆ หน้านายโคตรตลกเลย เป็นตัวสำรองจริงดิ”


                เรากลั้นหัวเราะจนปวดแก้ม ไม่อยากจะเสียลุคต่อหน้าเขาเลยหันหลังเข้าหากำแพงสูดลมหายใจเข้าปอด ไม่ทันสังเกตว่าเขาเงียบไปตั้งแต่เมื่อไหร่


                พอหันกลับมาก็ชนกับตัวเขาไม่แรงมากนัก


                “เฮ้ย...นายออกไปนะ ขยับมาทำไมเนี่ย”


                เขายิ้มกว้าง สีหน้าโล่งใจ แถมยังไม่ยอมขยับเขยื้อนตัวอีกด้วย ตัวหนักเป็นบ้าเลย


                “...ดีจังเลยน้า พี่ปั้นที่หัวเราะเนี่ยดีกว่าตอนนั้นตั้งเยอะ” เขายกมือมาวางบนหัวเราพร้อมออกแรงขยี้เบาๆ


                “อื้อ ปล่อยนะ เราเป็นพี่นายนะ” เราพยายามจับมือของเขาออกเพราะมันหนักมากๆ รู้ไว้ด้วย


                และเขาหยุดแต่ก็ไม่ยอมยกมือหนักๆ จากหัวเราซักที เราเงยหน้าขึ้นไปมองจะเอาเรื่อง แต่ก็ต้องชะงัก ไม่รู้ว่าเพราะสายตาของเขา หรือรอยยิ้มของเรา หรืออาจจะทั้งสองอย่างนั้น เราก็ไม่แน่ใจนัก


                “...ปล่อยได้แล้ว” เราหลบตาพร้อมกับพูดอีกครั้ง


                “อะแฮ่ม เอ่อ...ครับ ขอโทษครับ” เขากระแอมก่อนถอยออกไป เราทำเป็นจัดทรงผมตัวเองด้วยใบหน้ายุ่งๆ


                “เราจะไม่ร้องอีกแล้ว นายลืมมันไปด้วยนะ”


                “ดีครับ พี่ปั้นอย่าร้องอีกเลย” เขายิ้มบาง เราเลยเสมองพื้น


                “แล้วก็...ขอบใจนะ”


                “อะไรนะครับ” เขาก้มหน้ามาใกล้เราเล็กน้อยคล้ายว่าได้ยินไม่ชัด


                ...เราไม่ได้พูดเสียงเบานะ...


                “ขอบใจนายมากที่ฟังเรา”


                “...”


                เพราะเขาเงียบผิดปกติ เราจึงเงยหน้าขึ้นแล้วก็พบว่าเขามองอยู่ก่อนแล้ว


                “...ยินดีครับ...”


                “...”


                “จะห้านาทีหรือทั้งชีวิตก็ได้...ผมยินดีฟัง”


                “....”


                ...ใจ...


                Rrrrrrrrrrrrrrr


                “มีคนโทรตามแล้วไปกันเถอะครับ ผมไปส่งพี่ปั้นที่แสตนด์ ไปครับ พี่ปั้น?...พี่ปั้นได้ยินผมไหม? งั้น...ผมขออนุญาตจูงมือนะครับ”


                “...”


                ...ใจเรา...


                “ถ้าผมแพ้ พี่ปั้นต้องไปกินอาหารญี่ปุ่นกับผม”


                “...”


                ...ใจเราแย่แล้ว...


                “ถ้าผมชนะ ผมขอไปส่งพี่ปั้นที่บ้านนะครับ”


                กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


                เพราะเสียงกรี๊ดทำให้เราสะดุ้ง พอหันไปตามเสียงกรี๊ดก็พบว่าคนที่นั่งแสตนด์เชียร์ชี้มือชี้ไม้ไปที่ผู้ชายคนหนึ่ง


                เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เราอยู่ที่บันไดหนีไฟนี่ ตอนนี้มาอยู่ข้างแสตนด์ได้ยังไงเนี่ย  แล้วเขาล่ะ


                “ปั้น!...”


                ใครเรียก “...?”


                “ปั้น!!” คนที่เรียกเราวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหา เรายืนงงๆ อยู่ท่ามกลางเสียงกรี๊ดทั่วโรงยิมจนหูแทบอื้อ


                “ชมพู่”


                “เมื่อกี้แกเดินออกมากับใคร”


                “กับเขาน่ะ..แต่เขาไปแล้ว”


                “อะไรของแกเนี่ย มา...แกมานั่งตรงนี้ ช่วยดูของให้ฉันที” ชมพู่จัดการลากเราไปนั่งแถวล่างสุดของแสตนด์ซึ่งใกล้ๆ กับที่นั่งพวกนักกีฬาที่ตอนนี้ลงไปวอร์มกันแล้ว ชมพู่พาเรามาทิ้งไว้แล้วก็เดินไปไหนซักที่นึง การเตรียมพร้อมดูวุ่นวายเอามากๆ เรามองไปรอบๆ เพื่อหาใครคนนึง


                “อร๊ายยยย พี่นายมองกู”


                “เบาๆ ดิ ถ้าจะเชียร์ออกนอกหน้าขนาดนี้มึงไม่ไปนั่งแสตนด์ฝั่งนู้นเลย อีเนรคุณ”


                “คล้องดีอะ กูเนรคุณ พี่เขาชื่อนาย พูดแล้วกร๊าวใจ”


                “มึงบ้าไปแล้ว ฮ่าๆ”


                นายงั้นหรอ? เราหันไปมองตามทิศทางของน้องที่พูดคุยกันเมื่อกี้ ไม่ได้ใช้เวลามองหานานแต่เราเจอเขาในทันที นั่นไงเขา...ยืนอยู่กับคนที่คงจะเป็นโค้ช โค้ชกำลังพูดอะไรบางอย่างกับเขาอยู่แต่สายตาเขาตรงมาทางเราซะอย่างนั้น


                ...ยิ้มอีกแล้ว โค้ชพูดเรื่องตลกรึไง...


                เราขมวดคิ้ว จะเป็นเพราะเขายิ้มหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้เขาโบกมือมาสองสามทีมาทางเรา เราหันซ้ายหันขวาแล้วก็มองไปด้านหน้านิ่งๆ เหมือนกับว่าไม่รู้เรื่องอะไร เขาเลยทำท่าคอตกก่อนจะวิ่งเข้าไปซ้อมกับเพื่อน สาวๆ ที่นั่งแสตนด์สูงกว่าเราทำเสียงเอ็นดูกันใหญ่


                ...เอ็นดูหมอนี่อะนะ...


                เราจะแอบมองเขาอีกรอบแต่จู่ๆ ก็มีใครซักคนมาบังตรงหน้า เธอเป็นผู้หญิงอวบนิดๆ ที่คอห้อยป้ายสตาฟอยู่


                “ข้าวใช่ไหม”


                “ข้าว?...” หมายถึงข้าวปั้นหรอ


                “ข้าว ปีสามไง ไหนว่าปวดท้องมาไม่ได้ไง มาก็ไม่ไปรายงานตัว ดีนะ เอาป้ายมาด้วย อะ ใส่ซะ แล้วก็เตรียมน้ำ ยา อะไรให้ด้วย”


                เธอพูดพร้อมกับวางป้ายห้อยคอไว้บนตักเราก่อนชี้มือสั่งนู่นนี่จนเรามึนตึ้บ


                “เราไม่ใช่ เราข้าว...”


                “รู้แล้ว รีบๆ วางกระเป๋าพี่พู่แล้วจัดการเรื่องกล่องยาด้วย เดี๋ยวจะไปประสานงานฝั่งมธ.ต่อ”


                เธอพูดยาวเหยียดแล้วย่ำเท้าเดินจากไป เราพูดชื่อพยางค์สุดท้ายของตัวเองเบาหวิว  “...ปั้น”


                เอ่อ หน้าตาท่าทางอย่างเราคงจะคล้ายสตาฟที่ชื่อข้าวซักที่นึงล่ะมั้ง


                และเพราะแบบนั้น ข้าวปั้นที่เป็นข้าว ปีสาม ก็ต้องมายกขวดน้ำ เกลือแร่ ใส่ถังน้ำแข็ง


                ...เอ เราต้องเหลือแบบไม่แช่น้ำแข็งไว้ไหมเนี่ย...


                ตึก ตึก


                “น้ำขวดนึงครับ”


                ...น้ำ?...


                “นี่ครับ”


                เรายื่นให้คนตรงหน้าที่เอามือเท้ากับหน้าขาตัวเองพร้อมกับก้มหาหอบหายใจ จำชื่อเขาไม่ได้ว่าคือใครในทีมนี้


                “แค่กๆ พี่ปั้น?...เป็นสตาฟหรอครับ”


                “เอ่อ คงจะแบบนั้น” เราเกาหางคิ้วไม่รู้จะบอกยังไงดี จะทิ้งไปก็ไม่มีใครอยู่ตรงนี้เลย


                “ผู้จัดการ!!”


                “อะไร!” ชมพู่ที่กำลังคุยกับโค้ชข้างสนามอีกฝั่งนึงเท้าเอวตะโกนกลับมา


                “พี่ปั้น...” เขาทำท่าชี้มาที่เรา ชมพู่ตาโตก่อนจะรีบวิ่งอ้อมมาหาเรา


                “เฮ้ย ได้ไงเนี่ย”


                “เราก็ไม่รู้เหมือนกัน เราชื่อข้าวแหละชมพู่”                       


                ...ขอขำได้ไหมอะ...


                “ไม่ต้องมาหัวเราะ ไอ้แป้งแน่เลย มันไม่เคยเห็นหน้าสตาฟคนนี้หรอก เอาป้ายออกเดี๋ยวฉันจัดการเอง”


                “ไม่เป็นไรๆ ถ้าช่วยชมพู่ได้” เรามองพวกขวดน้ำกับผ้าขนหนู “มันก็ไม่ได้ยากอะไรนี่เนอะ”


                “พี่ปั้นน่าร๊ากกกกก”


                “มายิ้มเป็นคนบ้าอะไรแถวนี้ไอ้ซอ ไป!...ไปวอร์ม”


                “โอ๊ย ผมต้องไปกระจายข่าว ทีมเราไม่แพ้มธ.แน่นอน” ว่าแล้วซอก็วิ่งเข้าไปในสนาม ทุกคนในทีมบาสหันมาทางเราแล้วก็ส่งเสียงเฮกันมาจนหลายคนสงสัย รวมถึงนักบาสฝั่งมธ.ที่หันมามองด้วย เพื่อนนายสะกิดแขนเขาด้วยหลังมือ นายหันมามองเราแล้วก็ขมวดคิ้ว ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ชมพู่ถามย้ำ เราจึงถอนสายตามาหาชมพู่


                “ไหวแน่นะ”


                “ถ้าน้องข้าวไม่ทำใครจะทำล่ะ” เราถามกลับ


                “ฉันนี่ไง”


                “งั้นเราไหว ถ้าชมพู่ทำได้ เราก็ทำได้แน่นอน เรายกน้ำได้มากกว่าแพ็คนึงนะ”


                “โม้ หุ่นแบบแกเนี่ยนะ เออแต่ก็ดีเหมือนกัน มีแกช่วยก็รู้ใจกันหน่อย”

 



[ต่อด้านล่างค่ะ]
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 01-11-2017 17:23:43
[ต่อจากด้านบนค่ะ]


                ปรี๊ดดดดดด


                กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด


                งานของเราไม่ได้มีอะไรมากหรอก เพราะหลังจากที่เริ่มเกมชมพู่ก็มานั่งกับเราด้วย รวมถึงผู้ช่วยโค้ชที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา ที่นั่งถัดจากชมพู่กับผู้ช่วยโค้ชเป็นน้องตัวสำรองสี่คนที่ตั้งใจดูเกมการแข่งขันเอามากๆ ตอนนี้นักกีฬาบาสของแต่ละมหาลัยก็ออกวิ่ง คว้าลูกบาส ปัดป้องกันเต็มที่ นั่งอยู่ตรงนี้เราไม่เห็นเขาเลย เพราะที่นั่งพวกสตาฟของมธ.ถัดจากมอเราไปอีกหน่อย 


                “จับตาดูไอ้เจ็มให้ดีล่ะ นั่นน่ะตัวจี๊ดของมอเรา”


                “อ๋อ เออ...ใครนะ”


                “ไอ้เจ็มน่ะ”           


                “เจ็มนี่เอง..แล้วตัวสำรองของมธล่ะ”


                “ตัวสำรองมธ.? อ๋อ แกไม่รู้จักหรอกปั้น แต่ถ้าอยากเห็นล่ะก็เดี๋ยวมันก็คงลงสนามเร็วๆ นี้ล่ะ”


                ต้องบอกว่าเราไม่สันทัดเรื่องกีฬาโดยเฉพาะบาสเนี่ย เราไม่เอาอ่าวอะไรเลยตั้งแต่สมัยมัธยม ดังนั้นเราจึงได้แต่มองตามว่าลูกบาสจะไปลงห่วงไหนมากกว่าการดูแบบจริงจัง ผิดกับชมพู่ที่หัวเสียทุกครั้งเวลามีเสียงนกหวีดจากกรรมการ


                ...เรายังดูไม่ทันเลย ชมพู่โคตรเทพ...


                ตอนนี้เสียงกลองกับเสียงเชียร์ดังแข่งกันไปหมด ชมพู่ที่นั่งแทบไม่ติดที่หันมาบอกเรา


                “อีกสามนาทีจบควอเตอร์สอง ปั้นเตรียมตัว”


                “หื้อ จบ? จบอะไรนะ”


                “ครึ่งแรกน่ะ มาเร็วพักสิบห้านาที”


                จบแล้วหรอ เรายังไม่เห็นเขาลงเลย ทั้งสองทีมดูเก่งพอๆ กัน สกอร์ตอนนี้จบควอเตอร์สอง มอเราได้ 26 ส่วนธรรมศาสตร์ได้สกอร์อยู่ที่ 25


                “มธ.เก็บไอ้นายไว้ทำไมไม่ปล่อยลงซักที” ชมพู่หันไปคุยกับผู้ช่วยโค้ช


                “โชว์ของดีทีหลังล่ะมั้ง”


                “พี่มงคลอย่าพูดงี้ดิพี่ ทีมเราต้องชนะเว้ย”


                “ไอ้พู่ ฉันก็แค่บอกความคิดเห็นของฉัน”


                ปรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


                ”ไอ้พวกนั้น มานู่นล่ะ”


                นกหวีดบอกเวลาหมดเวลาครึ่งแรก นักกีฬาเดินกลับมาที่ที่นั่งข้างสนาม กองเชียร์หลายคนลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย ส่วนเราก็ลุกเหมือนกันนะ...


                “พี่ปั้นครับขอน้ำครับ”


                “อ๋อได้ๆ”


                “พี่ปั้นผ้าขนหนูครับ”


                “อะนี่...”


                “วันนี้พวกมันคึกจริงเว้ย มีเพื่อนชมพู่มานี่เอง”


                “พี่บีม...นี่ปั้น โดนจับมาเป็นสตาฟเฉย ปั้นนี่พี่บีม โค้ชมอเรา ชอบเดินไปมาไม่นั่งกับที่ซักที” ชมพู่ผายมือไปทางโค้ชที่สวมเสื้อกีฬาของมหาลัย เรารีบยกมือไหว้


                “หวัดดีครับ”


                “เออๆ มาช่วยก็ดีเหมือนกัน ไอ้พวกนี้เล่นกันเต็มที่เชียว” โค้ชกวาดสายตาไปมองน้องๆ นักกีฬาแล้วพูดยิ้มๆ


                “โห โค้ชชช พวกผมก็เต็มที่ตลอดแหละ”


                “หรอ แล้วใครเกาะแข้งเกาะขาผู้จัดการบอกให้พาปั้นมา” ชมพู่เบะปาก พูดล้อเลียน


                “ไอ้ฟุนนู่น”


                “พ่อมึงไอ้เจ็ม”


                “งั้นไอ้ซอ”


                “กูที่ไหน ไอ้กี้”


                “หยุดเถียงกัน เรียกรวม!”


                โค้ชสั่งเสียงเข้ม แล้วทุกคนก็รวมตัวกัน โค้ชถือกระดานเล็กๆ พูดเรื่องแทคติกอะไรที่เราไม่เห็นจะเข้าใจ เราเหมาะสุดแล้วกับการแจกน้ำและผ้าขนหนู  หลังจากนั้นเกมครึ่งหลังก็เริ่มต้นขึ้น เสียงเฮ เสียงเชียร์ยังดังมาไม่ขาดสาย ต้องบอกเลยว่าเป็นเกมที่สนุกมากจริงๆ ขนาดเราไม่ค่อยจะสันทัดก็ยังคิดว่ามันสนุก มธ.ไล่ตามมอเราอย่างสูสี ควอเตอร์ที่สามเริ่มไปซักพักใหญ่ๆ ศิลปากรก็ขอเปลี่ยนตัว


                “เปลี่ยนตัว ภีมเข้า”


                “ไอ้กี้ไม่ไหวละ”


                กี้เดินเขย่งๆ เข้ามานั่ง ชมพู่ส่งน้ำให้ เมื่อถามอาการแล้วแค่เส้นมันตึงๆ ก็เลยหันไปดูเกมต่อ


                “พี่ปั้นช่วยนวดให้ผมหน่อยนะคร้าบ”


                “นวดหรอ”


                “ตรงข้อเท้านะครับ กดเบาๆ ก่อนแล้วค่อยเพิ่มน้ำหนัก ขอบคุณครับ”


                “อ๋อโอเค” เรานั่งลงกับพื้น กดมือตามที่กี้บอก ขณะเดียวกันเสียงนกหวีดขอเปลี่ยนตัวฝั่งมธ.ก็ดังขึ้น ก่อนที่จะจบควอเตอร์ที่สาม ทุกสายตาหันไปมองพร้อมกัน


                “กรี๊ดดดดดดดดดดดด พี่นายลงแล้ว”


                “เขามาแล้วโว้ยยยยย”


                “กรี๊ดดดดดดดดดดดดด”

                เขาจริงๆ ด้วย ตอนที่เขาลุกไปยืนอยู่ข้างสนามแล้วเสียงกรี๊ดดังขึ้นใจเราเต้นเหมือนกับเป็นคงแข่งเองซะอย่างนั้น เขามองตรงไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นก่อนที่จะแท็กมือเพื่อเปลี่ยนตัวผู้เล่นกับเพื่อน เสื้อบาสสีส้มแถบดำหมายเลขเก้าไหวไปตามแรงวิ่ง เรายอมรับว่า..เราแทบจะละสายตาไปไม่ได้เลย


                ...มีมุมนี้เหมือนกันนะนายน่ะ...


                “ผู้จัดการ ไอ้นายลงแล้ว...” น้องตัวสำรองคนนึงเรียกชมพู่ที่ยืนอยู่กับโค้ชใกล้เส้นขอบสนาม


                “รู้แล้วล่ะน่า เชื่อใจเพื่อนพวกแกสิ โค้ชคะ?...”


                “แทคติกเดิม!”


                “พี่ปั้นครับ ขยับขึ้นมาอีกหน่อยครับ”


                “...”


                “พี่ปั้นครับ?”


                “อะ...เอ่อ...ได้ๆ” เสียงกี้ดังขึ้นข้างหู เขาชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เราที่หันไปมองในสนาม แทบสะดุ้งแหน่ะ


                “ไม่โดนเลยครับ ขอโทษนะครับ” กี้จับมือเราไปวางไว้ตรงจุดที่เขาอยากให้นวด เราขยับตัวเล็กน้อย ก็กี้คนนี้ชักจะใกล้ไปแล้...


                ตึง!!


                ผลั่ก!!!


                ปรี๊ดดด


                “เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ”


                “พี่นายโดนชนว่ะ”


                “กูเห็นเขามองอะไรไม่รู้อะ”


                เกิดอะไรขึ้น เรารีบหันหลังไปมอง ทุกคนที่นั่งดูอยู่ต่างยืนขึ้นบังเราไปหมดจนเราแทบจะไม่เห็นอะไรเลย พอมีช่องว่างเล็กๆ เราก็เห็นนายยืนนิ่งๆ ลูกบาสตกอยู่ปลายเท้า คู่กรณีน่าจะเป็นน้องฟุนกำลังคุยกับกรรมการไม่รู้ว่าใครถูกใครผิด โค้ชฝั่งเขาดูท่าจะหัวเสียกับเขามาก


                พลันสายตาเราประสานกันผ่านช่องว่างเล็กๆ นั่น...เป็นสายตาของเขาที่เราไม่คุ้นเอาซะเลย


                “เฮ้ยไอ้บอมมึงว่าเชี่ยนั่นมองอะไรของมันวะ ไม่มีสมาธิเลย จะว่าไปไอ้นายเนี่ยก็ไม่เห็นเท่าไหร่เลย หายไปนานคิดว่าจะเจ๋งกว่าเดิมซะอีก โอ๊ย พี่ปั้นครับ”


                “ขอโทษๆ เรานวดให้ใหม่”


                ...เขาต้องทำได้แน่...


                “โค้ชอีกสองนาที ไอ้เจ็มจะไหวไหม นายลงมาแล้วเกมเปลี่ยนเลย”


                หลังจากที่เขาโดนชนจนเกือบล้มเมื่อกี้ นายก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาหลบหลีกเหมือนกับมืออาชีพก่อนจะส่งให้เพื่อนอย่างรวดเร็ว คะแนนที่ไล่ตามกลายเป็นตีเสมอได้ เหมือนกับว่าเขาอยากให้เกมจบไวๆ ยังไงอย่างนั้น


                “อ่านเกมขาดจริงๆ” โค้ชพูด เราผละมือจากการนวดลุกขึ้นนั่งเก้าอี้ข้างๆ กี้ ขอยืดคอมองเกมนาทีสุดท้ายด้วยคน


                “ครึ่งวิสุดท้ายอีกลูกเดียว” กี้พึมพำ “แม่ง ไอ้นายได้บาสแล้ว”


                “ฟึบ!!!!”


                “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด”


                “มธ.!!!!!!!!!”


                “ไอ้เชี่ยยยย!”


                ปรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


                “หมดเวลาการแข่งขัน ม.ธรรมศาสตร์เฉือนชนะม.ศิลปากรด้วยคะแนน 48 ต่อ 44”


                “เฮ้!!!!!!!!!!!”




               

                “เก่งมากเว้ย”


                “ทำดีแล้ว”


                “ทำดีแล้ว ทุกคน”


                “ไปๆ ไปอาบน้ำให้ไว เดี๋ยวตอนเย็นไปกินข้าวกับพวกมธ.”


                ชมพู่และโค้ชขยี้ผมน้องๆ นักกีฬาที่มีสีหน้าเหนื่อยแล้วก็ผิดหวัง เจ็มที่มักจะร่าเริงดูเงียบไปเลยหลังจากจับมือหลังเกมเสร็จ ส่วนเราก็ช่วยผู้จัดการทีมเก็บของ เก็บขวดน้ำที่กลิ้งไปมาใส่ถุงขยะ กองเชียร์เริ่มเก็บของเหมือนกัน พวกเขาคงอิ่มใจในบ่ายวันศุกร์กันแล้วนะ


                น้องๆ นักกีฬาทยอยกันเข้าห้องเก็บตัวทีละคนสองคน ส่วนชมพู่ตามโค้ชไปทักทายกับฝั่งมธ.ตามประสาเจ้าบ้าน


                “อายพี่ปั้นจัง อุตส่าห์มาดูแล้วแท้ๆ” น้องเจ็มที่กำลังจะเดินผ่านไปหันมาพูดกับเรา



                “สงสัยเพราะเราอวยพรล่ะมั้ง คราวหลังอย่าให้เราอวยพรล่ะ” เรายิ้ม น้องเจ็มส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธแล้วก็ยิ้ม เขาคงเฟลไม่น้อย


                “โอ๊ยๆๆๆ เซๆๆ” จู่ๆ น้องกี้ที่เดินมาเอนตัวมาชนเราซะงั้น เขาคว้าเอวเราไว้แน่น เกือบจะล้มแล้ว


                “เชี่ยกี้ มืออะน้อยๆ หน่อย กูเห็นนะ ใช้พี่ปั้นนวดใหญ่เลยไอ้สัด” น้องเหน็งกับน้องฟุนคู่หูเดินมาตบหัวกี้ แต่เขาหัวเราะแล้วก็เอาแต่หลบหลังเรา ไม่ยอมปล่อยมือจากเอวซักที เราอึดอัด จะขยับตัวออกก็ไม่รู้จะทำยังไงในสถานการณ์แบบนี้ ...ชมพู่ช่วยเราด้วย...


                “เอ่อ..คือ...”


                “ฮ่าๆๆ อย่าทำร้ายกู เชี่ยเจ็มจะไปไหน ดูเพื่อนมึงดิ พี่ปั้นช่วยด้วยครับ”


                มันเป็นนาทีที่กระอักกระอ่วนใจ น้องเจ็มส่ายหน้าก่อนจะเดิมเข้าไปทางห้องซ้อม  เราขอร้องให้ใครซักคนเข้ามาช่วยเราอยู่ในใจ


                “ไอ้เชี่ยกี้สำออย!”


                “โอ๊ยๆ ฮ่าๆๆๆ เฮ้ย!”


                หมับ!

                หมับ!


                และวินาทีต่อมา คำขอเราก็เป็นจริง เราก็ถูกกระชากไปอีกทางอย่างไม่ทันตั้งตัว ในขณะเดียวกันกี้ที่จับเอวเราอยู่ก็เปลี่ยนเป็นคว้าแขนขวาเราไว้


                “ปล่อยได้ยัง?”


                เขาพูดเสียงเรียบ บรรยากาศเฮฮาเมื่อกี้หยุดชะงัก พวกเขาต่างมองหน้าคนมาใหม่อย่างสับสน


                “นาย...” เราเรียกเขาเสียงเบา


                “เฮ้ย! ไอ้นาย อะไรวะ...”


                “ทำไรวะไอ้นาย”


                “มึงปล่อยพี่ปั้นนะเว้ย!”  กี้พูดเสียงดังกว่าปกติ


                แววตานายฉายแววไม่พอใจ มือที่จับแขนเราเกร็งขึ้น


                “มึงสิต้องปล่อย” เขาพูดซ้ำพร้อมกับจ้องตากี้ที่เม้มปากแน่น 


                “....!”


                “เพราะถ้ามึงไม่ปล่อย...กูคงไม่ทนแล้วว่ะ”


                มือที่จับแขนขวาเราคลายลงและหลังจากนั้นหมายเลขเก้าหลังเสื้อก็ปรากฏขึ้นในคลองสายตา





=======

-มาเเล้ว เเห่พี่ปั้นรอบสนามบาส-
ขอบคุณทุกคนมากๆ ค่ะ เจอกันตอนหน้าเด้อออ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-11-2017 17:52:48
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: yanaanay ที่ 01-11-2017 17:58:17
 :-[ ชอบความเกรี้ยวกราด  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pimBNY ที่ 01-11-2017 18:13:46
ค้างค่าาาา มุมนายเท่อ่ะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-11-2017 18:21:16
นายเกรี้ยวกราดได้หล่อมากๆ เอาเป็นว่ายกนี้มธ.ชนะทั้งเกมทั้งใจพี่ปั้นนน  :mew1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: SM_day ที่ 01-11-2017 18:52:34
ปั้นจะมึนไปถึงหนายยยยย
ปล.เชียงใหม่หนาวแล้วจร้า
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: villevia ที่ 01-11-2017 18:55:14
ฮรืออ มาอัพแล้ว มารอทุกวันเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-11-2017 19:23:42
แหม๋ๆๆ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 01-11-2017 19:26:21
โอ๊ยยย นายกร๊าวใจมากกก เกรี้ยวกราดดด หวงพี่ปั้นนนน
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 01-11-2017 19:52:08
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 01-11-2017 20:37:11
น้องนายมีความเกรี้ยวกราดสูงมากกก กรี๊ดดด เท่ห์เฟ่อออออ :m3:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 01-11-2017 21:31:39
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-11-2017 22:02:08
ปั้น ใสซื่อ ไม่รู้อะไรบ้างเลย
นวดให้กี้งี้ จับเอวก็ปล่อยให้จับ ป้องกันตัวไม่เป็นเลย

แต่เป็นแผนโค้ชหรือเปล่านะ
ให้กี้มาวอแวปั้น ผู้เล่นหมายเลขเก้าเลยสติแตก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 01-11-2017 22:46:33
ฮือออ นุค้างงง นายคนเท่ แงงงง :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 01-11-2017 23:44:54
หวงเว่อร์ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 02-11-2017 00:29:27
FC พี่ปั้นโคตรเยอะ,,,
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Misakiiz ที่ 02-11-2017 21:55:40
หนูปล่อยให้ผู้ชายลวนลามแบบนี้ได้ไงนะข้าวปั้น มันน่าจับตีก้นนัก ฮื่ยยยยยย หมั่นเขี้ยว น่ารักงี้ไม่ให้นายหวงได้ไง
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: BloodyBlue ที่ 03-11-2017 00:04:55
 :katai5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 0% ที่ 03-11-2017 16:05:09
กรี๊ดตัวจริงเค้ามาเเล้ววว
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 03-11-2017 17:52:45
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า p.3 [1/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mmello07 ที่ 09-11-2017 20:36:54
 :katai5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว p.4 [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 10-11-2017 14:34:45
Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว



                “นี่ฉันมานั่งผิดที่รึเปล่าเนี่ย ทำไมมันอึมครึมแบบนี้” ชมพู่เอ่ยขึ้นระหว่างที่บรรยากาศเฮฮากำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนาน  อ่า...ยกเว้นตรงที่เรานั่งแล้วกัน มันอึมครึมอย่างที่ชมพู่ว่าจริงๆ นั่นแหละ เราหลบสายตาเขาที่นั่งตรงข้ามเราด้วยการตักอาหารมาใส่จานตัวเอง



                ...กินไปสิ จะมองเราทำไมกัน...



                “เออนาย ว่าแต่แกหายไปตั้งนานดูตัวสูงขึ้นนะ อ้อ...นี่รู้จักไว้สิ นี่เพื่อนรักพี่ ข้าวปั้น ปั้นนี่นาย...”



                ดูเหมือนตอนอยู่นอกสนามทุกคนจะพอรู้จักกันมาบ้าง พวกเขาพูดคุยกันอย่างไม่เคอะเขิน แต่เวลาอยู่ในสนามนี่คนละแบบกันเลยนะเนี่ย  เรามัวแต่คิด พอชมพู่เอื้อมมือมาโอบไหล่ เราจึงเงยหน้าขึ้นมองคนที่ชมพู่แนะนำให้รู้จัก



                “อ่า...”



                เขาพยักหน้าลงเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย สายตาเขามองมาที่ไหล่เราก่อนจะเสมองอาหาร พึมพำอะไรคนเดียวเบาๆ



                “นานไปแล้วครับ”



                “ว่าไงนะ”  ชมพู่เลิกคิ้ว แต่เขาส่ายหน้าก่อนจะมองมาที่กลางโต๊ะ



                “พี่พู่ส่งทิชชู่มาให้หน่อยครับ”



                “อ๋อ เออๆ อะนี่...” ชมพู่เอามือออกจากไหล่เราแล้วหยิบทิชชู่ส่งให้นาย ก่อนจะหันไปหาน้องๆ “แล้วนี่พวกแกเป็นอะไรกันนั่งเงียบเป็นเป่าสาก”



                เพราะโต๊ะที่ร้านอาหารต่อกันยาว เราห้าหกคนก็เลยต้องมานั่งรวมกันอีกฝั่งของโต๊ะ  และดูเหมือนเขาจะมานั่งผิดฝั่งด้วยเพราะด้านข้างของเขาคือฟุนกับเหน็ง เพื่อนๆ มธ.ของเขานั่งตรงกลางเยื้องไปทางหัวโต๊ะทางนู้นกันหมด นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้บรรยากาศมันกร่อยสนิทแบบนี้ เรามาทำอะไรที่นี่...ที่เรานั่งอยู่ท่ามกลางนักกีฬาบาสมหาลัยเหล่านี้ก็เพราะชมพู่และโค้ชบังคับเราให้มาด้วย พวกเขาอยากตอบแทนที่เราไปช่วยทีม



                “ไม่มีอะไรคร้าบบบบบ” กี้ ฟุน เหน็ง ประสานเสียงตอบ โดยที่ชมพู่หรี่ตามองอย่างสงสัย



                “พวกมึงกุ้งผัดผงหรี่อร่อยชิบเป๋ง เชี่ยเจ็มแดกๆ”



                “หรี่หน้ามึงดิไอ้กี้”



                “สาดดดด”



                ถึงจะทำตัวเฮฮาแบบนั้นก็เถอะ เรารู้ว่าพวกเขาสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถาม ก็พวกน้องๆ น่ะเหมือนมีเครื่องหมายคำถามแปะไว้บนหน้าผากซะขนาดนั้น เหตุการณ์ข้างสนามก่อนหน้านี้ไม่มีใครพูดถึงอีก โดยเฉพาะกี้ที่นั่งหัวโต๊ะก็ไม่ค่อยคุยกับเราเท่าไหร่ ตอนที่นายดึงมือเราไปกี้ดูหัวเสียไม่น้อย เราหันไปมองน้องๆ ไม่นานก็รู้สึกว่ามีใครจ้องอยู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นนายแน่นอน 



                ...บรรยากาศอึดอัดจนอยากกลับบ้านแล้ว...



                “ปั้นแล้วแกจะขยุกขยิกทำไมเนี่ย อยากกลับบ้านหรอ”



                ...ใช่ๆ ชมพู่รู้ได้ไง... เรากำลังจะพยักหน้าแต่จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น เขาแก้มแดงปลั่ง เดินเซถลามากอดคอนาย และเป็นเวลาเดียวกับที่นายถามเราพอดี



                “อยากกลับรึยังครับ?”



                “ไอ้นายยยย กินหน่อยดิว้า โค้ชพี่กิมอนุญาตแล้วเนี่ยยยย” น้องคนที่มาใหม่ส่งเสียงยานคาง หยิบแก้วที่มีน้ำสีส้มจางๆ ที่ติดมือมาแนบริมฝีปากนาย



                “งานนี้โนแอลกอฮอล์นะ เมาได้ไงเนี่ย” ชมพู่เอ่ยขึ้นบ้าง เมื่อจุดรวมตัวตรงนี้มีพวกโค้ชมองมาขำๆ พวกเจ็มก็มองอย่างสนใจอยากจะร่วมวงด้วย



                “มันเมาโค้กพี่”



                เพื่อนอีกคนตะโกนมา กี้เลยปาก้อนกระดาษทิชชู่ใส่พลางทำเสียงโห่ในลำคอ โห่เพราะเสียดายแหงๆ เพราะน้ำสีส้มนั่นคงเป็นโค้กที่ผสมน้ำเปล่า



                “เสียดายเลยอะโค้ช โนแอลโนฟันนะคร้าบ” น้องเหน็งพูดเสียงดังจนทุกคนหัวเราะกันใหญ่ก่อนจะหันไปคุยกันตามเดิม



                “เอ..คนนี้หน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเจอกันแถวๆ แถวไหนวะนาย ที่มึงไปบ่อยๆ อ่า...” จู่ๆ น้องผู้ชายหน้าตี๋ชะโงกตัวข้ามโต๊ะมาจ้องหน้าเรา จนนายต้องรีบดึงเอวเขาไว้ เรามองมือนายแล้วรู้สึกแปลกๆ ในใจ



                ...ทำไมต้องจับแน่นขนาดนั้นด้วย...



                “ใช่ไหมมึง...แถวเซ็นนน...โอ๊ย บีบท้องกูทำไมเนี่ยยยย”



                “ไอ้แดม เอาเอ็มเจไปเก็บดิ๊” ไม่รอให้พูดจบ นายรีบเรียกเพื่อนอีกคนทันที



                “เอ็มเจนี่ลูกครึ่งอะไรวะ หน้ามันออกจะตี๋” เหน็งถามขึ้นบ้างหลังจากที่ยกแก้วโค้กขึ้นดื่ม เป็นคำพูดแรกที่เขาเอ่ยขึ้นกับนายหลังจากผ่านเหตุการณ์กระอักกระอ่วนหลังเกมจบ               



                “ไม่ใช่ลูกครึ่งหรอกเว้ย เอ็มย่อมาจากมะลิชื่อแม่มัน ส่วนเจมาจากจีรนันท์ชื่อพ่อ พวกกูเลยเรียกมันว่าเอ็มเจ เรียกทีมาทั้งพ่อทั้งแม่” น้องแดมตัวสูงเดินมารับตัวเพื่อนจากนายเป็นคำตอบแทน เขากลั้นหัวเราะจนหน้าแดง



                “ไอ้สัด ฮ่าๆๆ” เจ็มสบถขำเป็นคนแรก ดูท่าเขาจะคลายความผิดหวังลงมามากแล้ว



                “ฮ่าๆ”



                “พวกมึงนี่ตลกว่ะ” กี้ส่ายหน้า ร่วมวงหัวเราะกับพวกน้องเจ็มและชมพู่ เราก็ยิ้มตามน้อยๆ ตัวใหญ่เหมือนกับยักษ์เมาโค้กหรอเนี่ย



                “พี่พู่คร้าบบ นักบาสมธ.ทางนี้อยากรู้ว่าคนที่นั่งๆ ข้างพี่ชื่ออะไรอะคร้าบบบ” ตอนน้องแดมลากน้องเอ็มเจกลับที่นั่ง ก็มีเสียงล้งเล้งดังมาจากหัวโต๊ะอีกฝั่ง คำถามนั่นทำเอาชมพู่เกือบจะสำลักน้ำ



                เราหันมองด้านขวาของชมพู่ก็เห็นเจ็มแล้วเราก็หันไปมองคนที่ถามอีกที



                ...อยากรู้ชื่อเจ็มทำไมไม่ถามเพื่อนล่ะ...



                “ถามทำไมคะน้อง” ชมพู่ตะโกนถาม



                “โค้ชศิลปากรบอกว่าอยากรู้ชื่อให้ถามพี่พู่อะครับ”



                “ปั้นแกสลับที่ฉันมา” ว่าแล้วชมพู่ฉุดเราลุกขึ้น



                ...เฮ้ๆ ขอหยิบจานข้าวเราก่อน...



                “แล้วนี่พวกแกไม่ปกป้องพี่ปั้นของพวกแกแล้วหรอ” ชมพู่ถามน้องๆ หลังจากที่สลับที่นั่งกับเรา



                พวกเขาสี่คนมองหน้ากันเงียบๆ ก่อนที่กี้ยักไหล่กวนๆ ส่งไปให้ชมพู่



                “พี่ปั้นเขามีคนปกป้องแล้วครับ” น้องฟุนป้องปากพูดขึ้นเบาๆ ส่วนเราก็ขมวดคิ้ว หมายความว่าไง เราสบตากับนายแวบนึงและพบว่าเขามองอยู่ก่อนแล้ว เอ่อ ...ต้มยำนี้ก็อร่อยเหมือนกัน...



                “อะไรของพวกแกเนี่ย”



                “แข่งบาสมาหลายที พึ่งรู้ว่าสตาฟศิลปากรนี่น่ารักไม่หยอกเลยนะครับ”



                “เชี่ยกรพูดไรวะ” น้องแดมร้อง หันมามองทางฝั่งเราหวาดๆ ไม่รู้ว่ามองใครแต่คนๆ นั้นทำให้แดมรีบอุดปากเพื่อนทันที เขาโวยวายใหญ่ สะบัดมือแดมทิ้งแล้วพูดต่อ



                “จริงๆ แล้ว อย่างพี่คนนี้เขาไม่เรียกน่ารักเว้ย ต้องงี้ๆ เดี๋ยวนี้เขามีคำเรียก อ้อๆๆ ผู้ชายสายละมุน”



                “งั้นกูก็เป็นได้ดิ นี่ๆ กูโจ๋ นิปปอนบอย ผู้ชายสายละมุด” อีกคนก็ตะโกนขึ้นบ้าง พวกเขาหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน



                “ไอ้เชี่ย ได้กลิ่นมาเลย”



                “ฮ่าๆๆๆ”



                “ตกลงชื่ออะไรนะครับ”



                “ทีมมศกไม่บอกหรอกเว้ย!!!” น้องเจ็มพูดเสียงดัง เพื่อนในทีมศิลปากรก็โห่กันใหญ่ บางคนไขว้แขนเป็นรูปกากบาท แล้วทางนั้นก็ทำเสียงเสียดาย สุดท้ายก็ยอมแพ้ในทีมเวิร์คไม่เซ้าซี้ถามอีก พอทุกคนจบประเด็นนี้ เราเลยหันมาถามเจ็มที่นั่งข้างเรา



                “น้องเจ็ม เขาอยากรู้ชื่อทำไมไม่บอกเขาไปล่ะ”



                เจ็มเลิกคิ้ว อ้าปากค้างน้อยๆ มองเราด้วยสายตาอึ้งๆ



                “โอ๊ยพี่ปั้นนนน” น้องฟุนกับน้องเหน็งลากเสียงยาว



                “อยากเอ็นดูแต่กลัวโดนต่อยอะ” ส่วนนี่น้องกี้



                “ปั้นเอ๊ยยยยยย” แล้วนี่ชมพู่



                ทำไมทุกคนต้องทำเสียงแบบนี้กันหมดนะ



                ...แล้วนายจะส่ายหน้าใส่เราทำไมเนี่ย...

 







                เราออกมารับโทรศัพท์ที่ห้องน้ำด้านหลังร้านอาหาร นี่ก็เกือบจะทุ่มแล้วตั้งแต่ออกจากมหาลัยมา แม่เราโทรมาถามว่าจะกลับบ้านรึเปล่า เราไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี จะกลับก่อนก็เกรงใจผู้ใหญ่ ดูแล้วคงไม่ได้กลับแหงๆ เฮ้อ อยากกลับบ้านเราต้องการกลับไปอยู่ในโซนปลอดภัยของเรา...



                “พี่ปั้น”



                “แม่เดี๋ยวปั้นโทรบอกอีกที ถ้าดึกก็ไม่กลับครับ ครับ ครับแม่ หวัดดีครับ”



                “คุณน้าหรอครับ”



                “อ๋อ อืม...”



                เราว่าระหว่างเรากับเขามีอะไรแปลกๆ ก็ตั้งแต่ที่เขาลากเราออกมาไม่พูดไม่จาแถมยังต่อว่าเราเรื่องกี้จนเถียงไม่ทัน ทำเอาเรากลืนคำขอบคุณลงคอไปจนหมด ไม่ทันได้คุยอะไรกัน โค้ชมธ.ก็ตะโกนบอกให้นายรีบไปเปลี่ยนชุด เราก็เลยต้องจบบทสนทนาระหว่างกันด้วยบรรยากาศมืดครึ้มเหมือนฝนจะตกไว้แบบนั้น



                “เอ่อ...มาเข้าห้องน้ำหรอ” เราชี้ไปด้านข้าง เขาปรายสายตามองตามเล็กน้อย เขาคงจะคิดว่าคำถามเราไม่เข้าท่าเอาซะเลย



                “มาตามพี่ปั้นนั่นแหละ เดี๋ยวก็มีคนมาจับตัวพี่ปั้นอีก” เราขมวดคิ้วน้ำเสียงเจ้าเด็กนี่เหมือนประชดชอบกล แถมยังห้วนไม่น่าฟังอีกด้วย



                “จับอะไร”



                “ขนาดคนเยอะแยะมันยังจับ ที่มืดแบบนี้มีหวังโดนลากไปไหนต่อไหน” และเราพึ่งรู้ว่ามันไม่ได้แค่เหมือนพูดประชดหรอก



                “นาย! นายดุเราตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ เราไปทำอะไรให้นายดุนักหนาหรอ”



                “พี่ปั้นให้ไอ้กี้จับตัวได้ไง ไม่ระวังตัวเลย ดูท่าทางมันก็รู้ แล้วไหนบอกว่าจะนั่งดูเฉยๆ ไม่ใช่หรอครับ หันมาอีกทีพี่ปั้นก็มาเป็นสตาฟแถมให้มันเข้าใกล้ขนาดนั้น ถ้าผมไม่เข้าไปป่านนี้มันจับทั่วตัวพี่ปั้นแล้วใครจะรู้” ทำไมยิ่งเขาพูดเสียงเขายิ่งเพิ่มระดับขึ้น และเขายิ่งพูด เราก็เหมือนจะตัวเล็กลง...เล็กลง...



                “ก็...นั่น น้องเขาเล่นเฉยๆ มั้ง” เราพูดอ้อมแอ้ม ไม่กล้าสบตาเขา เราคิดว่ากี้ไม่ได้คิดอะไรนี่ แถมน้องๆ ทีมบาสก็ดูเป็นขี้เล่นและ เอ่อ... เขาแทบจะถลึงตามองเราแล้ว



                “มันไม่เล่นแน่นอนครับ เพราะที่ผมเห็นมันคือการลวนลาม มือมันวน...แม่ง...” เขาสบถในลำคอเสียงเบา



                พอทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาบวกกับคำพูดของนาย เรายิ่งตัวเล็กลงไปอีก  “...ตอนนั้นเราก็อึดอัดแต่ก็ไม่รู้จะบอกยังไง เราผิดเอง”



                ...นายจะกลายเป็นยักษ์แล้วนะ...



                 “งั้นรู้รึยังว่าทำไมผมต้องดุ”



                เราเงยหน้ามองเขา มองแบบไม่กระพริบตาเลยด้วย



                เขาถอนหายใจก่อนจะพูดเสียงอ่อนลง “ถ้าพี่ปั้นยังไม่ปฏิเสธคนแบบนี้พี่ปั้นจะแย่เอานะครับ”



                “งั้นเราต้องปฏิเสธนายได้ด้วยใช่ไหม?



                “ยกเว้นผมคนเดียว เพราะผมไม่เคยคิดร้ายกับพี่ปั้น”



                เขายังเป็นจอมเผด็จการเหมือนเดิม



                “นายน่ะตัวร้ายเลย”



                “ว่าไงนะครับ”



                “เปล่าๆ เออ แล้วเรื่องกลับบ้าน เราไม่รบกวนนายหรอก เราจะนอนที่หอ...”



                “...” สายตาคมกริบส่งมาให้ เหมือนกับว่าเราพูดอะไรผิดนักหนา ทำไมวันนี้เขาไม่เหมือนนายคนเดิมเลยนะ กลับมาเร็วๆ เถอะ เราไม่ชิน



                “เอ่อ...ก็...”



                “ผมไปส่งพี่ปั้นเอง กว่าจะเลิก รถคงหมดแล้วล่ะ”



                “แล้วนายจะส่งเราได้ยังไง”



                “ผมยืมรถเอ็มเจมา มันเมาโค้กคงขับรถกลับไม่ได้ แล้วอีกอย่างเกมนี้ผมชนะ ผมขอรางวัลกับพี่ปั้นแล้วนี่”



                “เราไม่เห็นรู้เรื่อง”



                “เฉไฉเก่งจริงๆ เล้ยย คนอะไร” เขาย่นจมูกก่อนจะยื่นมือมาขยี้หัวเราแรงๆ



                “เราพี่นายนะ! เราพี่!” เราป้องกันการโดนทำร้ายแต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ “ปล่อยหัวเรานะเว้ย”



                “โอ๊ะ...พี่ปั้นพูดเว้ยได้ด้วยหรอ หึหึ”



                “โอ๊ยยย พอแล้วยอมแล้วๆๆ ถ้านายไม่ลำบากเรากลับด้วยก็ได้ ปล่อยยย”



                ขณะที่เรากำลังต่อสู้กับเขาอยู่นั้น เสียงชมพู่ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เราตกใจออกแรงผลักนายไป แต่แน่นอนว่าด้วยแรงเยอะๆ อย่างเราเนี่ยทำให้เขาถอยหลังไปครึ่งก้าวเท่านั้น



                “ปั้น! เข้าห้องน้ำนานจัง”



                “แม่พี่ปั้นมาตามแล้วน่ะ” นายพูดขำๆ ก่อนจะขยับตัวห่างจากเรา



                ...ดีมาก...



                “ปั้น!”



                “เราอยู่นี่”



                “บอกแม่ว่าไง ตกลงนอนที่หอใช่ไหม อีกซักพักก็เลิกแล้วเดี๋ยวฉันไปส่ง อ้าว นายมาทำอะไรตรงนี้”



                “อ๋อมาเข้าห้องน้ำครับ”



                ...เข้าตรงไหน นายยืนอยู่ตรงนี้ มั่ว!...



                “แล้วแกมองน้องทำไมแบบนั้นปั้น”



                “เปล่าๆ”



                “ตกลงยังไง” ชมพู่ถามอีก เราเหลือบมองเขาที่ใช้มือจิ้มอกตัวเองสองสามที



            “กลับกับผม” เขาพูดไม่ออกเสียง



            ...รู้แล้วน่า ย้ำอยู่ได้ อยากไปส่งมากใช่ไหม ด้ายย...



                นั่นเราคิดแต่ที่เราตอบออกไปคือ “ชมพู่คือเราว่าจะกลับบ้าน...”



                “ให้ฉันขับรถไปส่งที่บ้านใช่ไหม?”



                “เอ่อ ไม่ๆ พอดีเราจะกลับกับเขาน่ะ”



                “หือ เขาไหน?”



                “นายน่ะ” เราชี้ไปทางเขา ชมพู่ขมวดคิ้วฉับ



                “นาย?” เธอชี้ตามถามเสียงสูง “นาย มธ.คนนี้อะนะ?”



                “ใช่ เขา...คือ...บนรถเมล์...” เราอ้ำอึ้งบอกแค่นั้น เเละชมพู่ก็เหมือนจะเข้าใจทุกอย่างในภายในสองวินาที



                “เฮ้ย! นาย? นาย! นี่แกเป็นคนบนรถเมล์นั่นหรอ!!” ชมพู่ร้อง เราพยักหน้าหงึกหงัก เพื่อนเราเบิกตาคู่สวยขึ้นก่อนจะยิ้มเหี้ยม



                 “ปั้นแกเข้าไปข้างในก่อนฉันมีเรื่องจะคุยกับ ‘นาย’ นี่ซักหน่อย” ชมพู่ปราดสายตาไปมองนาย เราชักกลัวขึ้นมาตงิดๆ



                เราเดินมาที่ทางเข้าร้านอาหารงงๆ แต่ก็ไม่วายหันไปถามเพื่อความแน่ใจอีกรอบ “เอ่อ คือ...ให้เราไป...ก่อน”



                “เข้าไปเดี๋ยวนี้ ส่วนนาย มานี่เลย!” ชมพู่พูดเสียงดัง เราตกใจรีบเดินเข้ามาทันที ได้ยินเสียงแว่วๆ จากคนที่ขอความช่วยเหลือเบาๆ เท่านั้น               



                “โอ๊ย พี่พู่อย่าดึงหูผม...พี่ปั้นช่วยด้วยครับ”



                “แกรู้ไหมว่าแกทำให้ปั้นของฉันคิดมาก เอ๊ะ ที่กลับมาเล่นบาส ไม่ใช่เพราะอยากเจอปั้นหรอกนะ ไม่คิดว่าเล้ย...คนที่มาจีบปั้นจะเป็นแก...ทำไมโลกมันกลมแบบนี้ แล้วนี่แกจะพาปั้นกลับอีกหรอ...”



                “โอ๊ยๆๆ”



               





                “ปั้น กลับถึงบ้านแล้วบอกฉันด้วยนะ ห้ามลืม เข้าใจมั้ย”



                เราจะได้กลับบ้านแล้ววว หลังจากลาทุกคนเสร็จ นายก็พาเรามาที่รถ เขาบอกว่าเพื่อนๆ เขาจะกลับไปกลับรถของมหาลัย ส่วนเขาจะตามไปที่มอทีหลัง มีเพื่อนบางคนของเขาขอติดรถมาด้วย แต่นายปฏิเสธเสียงแข็ง ขนาดเอ็มเจที่เป็นเพื่อนเขายังไม่ใยดีเลย เขาหายไปคุยกับชมพู่ตั้งนานสองนาน กลับมาชมพู่ก็อนุญาตให้เรากลับกับนายได้ ชมพู่บนว่าโลกมันกลมจนชักอยากจะให้โลกแบน ชมพู่รู้จักกับนายมาก่อน เธอถึงยอมให้นายไปส่ง



                ดังนั้นตอนนี้ชมพู่จึงมาส่งเราที่รถ นายประจำอยู่ที่คนขับ ส่วนเราก็นั่งในรถแล้วเพียงแต่เปิดกระจกคุยกับชมพู่ที่มองมาด้วยสายตาเป็นห่วง



                “เข้าใจไหม?”



                “โอเค ชมพู่บอกเราหลายทีแล้ว”



                “เออ บอกหลายทีก็อย่าลืม แล้วแก...นาย อย่าลืมที่คุยกับฉันล่ะ” ชมพู่มองผ่านเราไป



                “ไม่ลืมครับ”



                “ลืมอะไรกันหรอ”



                “ผู้ใหญ่คุยกันเด็กอยู่เงียบๆ”



                ...ก็อยากรู้มั่ง...



                “ไม่ยุติธรรม” เราบ่นอยู่คนเดียว อีกอย่างนะ...นายต่างหากที่ไม่ใช่ผู้ใหญ่



                “หึหึ”



                “นาย แกหยุดมองเพื่อนฉันด้วยสายตาแบบนั้น สต็อป!” ชมพู่ยื่นมือเข้ามาบังหน้าเราไว้



                “พี่พู่มืดขนาดนี้ยังเห็นอีก”



                “ย่ะ ต่อให้มืดฉันก็เห็นสายตาแกชัดเจน...เออ แล้วก็...ขอบใจเรื่องไอ้กี้ ฉันจะเตือนมันเอง”



                “ฝากด้วยครับ ไปแล้วนะครับ”



                “อืม ขับรถระวัง”



                “ไม่ต้องเป็นห่วงครับเพราะพี่ปั้นอยู่ด้วย ผมขับระวังมากกว่าเดิมแน่นอน”



                “รีบไปได้แล้ว”



                “ชมพู่ถึงบ้านก็บอกเราด้วยนะ เจอกันวันจันทร์”



                นายเลื่อนกระจกปิดชมพู่เลยถอยห่างจากรถ และรถของเอ็มเจที่ในรถไม่มีเอ็มเจก็เคลื่อนตัวออกจากร้านอาหาร ในรถเงียบกริบจนเราทำตัวไม่ถูก เราเหลือบมองหน้าคนขับเล็กน้อย เราว่าเราควรจะพูดอะไรทำลายบรรยากาศเกร็งนี้ลงซักหน่อย



                “นาย”



                “ครับ?”



                “นายเหมือนพ่อเราเลย”



                ...ตุ๊ดตู่ นี่เราพูดอะไรออกไป...



                “แค่กๆ อะไร...ว่าอะไรนะครับ”



                “ไม่ใช่ๆๆ เราหมายถึงว่า เอ่อ...ก็ตอนที่เรามาเรียนที่นี่แรกๆ พ่อขับรถมารับ เราเหมือนได้เป็นเด็กอีกครั้งนึง มีพ่อมารับกลับบ้าน” เป็นเรื่องชวนคุยที่แย่ที่สุดเลยปั้นเอ๊ย



                “แล้วผมก็เลยเหมือนพ่อพี่ปั้นที่พาพี่ปั้นกลับบ้านหรอครับ” เขาทอดสายตามองพร้อมกับยิ้มบางๆ คล้ายกับว่าเอ็นดูหรืออะไรบางอย่างที่เราอธิบายไม่ได้



                “....”



                “มองใหญ่เลย ถ้าผมเหมือนพ่อพี่ปั้น แสดงว่าพ่อพี่ปั้นมีซิกแพ็คแบบผมใช่ไหมครับ”



                “จะบ้าหรอ พ่อเราไม่มีหรอก พ่อเรามีวันแพ็ค”



                “ฮ่าๆ งั้นผมเป็นผู้ชายคนสองที่พาพี่ปั้นไปส่งที่บ้านใช่มั้ยครับ” เขายิ้ม สายตาดูคาดหวังกับคำตอบ เรานึกสนุกในใจ



                “เปล่าหรอก นับจากพ่อแล้วก็มีคนขับรถตู้ กับคนขับรถเมล์ที่พาเราไปส่งที่บ้านอะ...อุ๊บ ฮ่าๆ ขอโทษ...เราขำหน้านาย”



                “พี่ปั้นเนี่ย...จริงๆ เลย ไอ้คำพูดตัดเยื่อใยจนผมหมดมู้ดเนี่ย”



                “ฮะๆๆ ไม่ไหว เราปวดท้อง” เขาปรายตามอง ขบเคี้ยวฟันอยู่คนเดียว เรากลั้นขำ แล้วหันไปมองข้างทางแทน ตอนนี้ท้องฟ้าเป็นสีดำสนิท มีแต่แสงไฟจากริมทางกับรถเท่านั้นที่พอจะทำให้รู้สึกไม่น่ากลัว



                “เราไม่เคยกลับดึกขนาดนี้เลย”



                “ดีแล้วครับ พี่ปั้นต้องกลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดิน”



                “นายชอบพูดแบบนี้ แวมไพร์จะออกมาหรือไง”



                เขาส่ายหน้าเบาๆ ไม่ตอบอะไรจนเราได้แต่สงสัยเงียบๆ เราพูดอะไรผิดรึเปล่า



                และเพราะมันเงียบเกินไป เราเลยต้องกลายเป็นคนพูดมาก ซึ่งบอกเลยว่า...นั่นไม่ใช่เรานะ...



                “นายหายโกรธเราแล้วใช่ไหม?” เราถามขึ้นเมื่อเขาชะลอรถรอสัญญาณไฟจราจร เรามองเห็นไฟแดงกับเลขวินาทีที่นับถอยหลังอยู่ไกลๆ แต่ที่เราถามน่ะ...อ่า...เชื่อเถอะเราแค่หาเรื่องคุย ไม่ได้ติดใจกับเรื่องนี้จริงๆ นะ



                “โกรธอะไรครับ” เขาหันมองมอง ขมวดคิ้วเล็กน้อย แสงไฟจากบริเวณสี่แยกทำให้เห็นใบหน้าเขาชัดเจน



                “ก็เรื่องเมื่อตอนบ่าย..” เราหลบตา เสมองเลขทะเบียนรถของคันข้างหน้า ใบหน้าบึ้งตึงในตอนนั้นไม่เหมาะกับเขาเลยซักนิด



                “...พี่ปั้น”



                “หือ?”



                “จริงๆ แล้วจะว่าโกรธมันก็ไม่ถูกซะทีเดียวหรอกนะครับ”



                “นายไม่ได้โกรธอย่างเดียวหรอ” เราเลิกคิ้ว หันกลับมามองอย่างสนใจ



                “มันเป็นอารมณ์ที่ผสมปนเปกันไป...แบบว่า ถ้าจะเรียกให้ถูกก็...”



                “...”



                “...หึงหรือหวงอะไรทำนองนี้แหละครับ”



                “อะ...”



                ...นี่มัน...



                “พี่ปั้น...แก้มแดงจัง”



                ...ใครใช้ให้นายพูดพร้อมกับยิ้มแบบนั้นกัน...



                เราทำเป็นไม่สนใจความร้อนตรงบริเวณแก้มหรือใจที่เต้นผิดจังหวะของตัวเอง เงยหน้ามองแสงสีเขียวที่สะท้อนเข้ามาในรถ และรีบเปลี่ยนเรื่องให้เร็วที่สุด 



                “เขียวแล้ว”



                “หึหึ” เขาหัวเราะ ยื่นนิ้วชี้มาเคาะที่แก้มเราสองสามที “ไม่เห็นเขียวเลย...”



                “...”



                “ก็เห็นยังแดงเหมือนเดิม”



                ...เราหมายถึงไฟเขียวแล้วต่างหาก เจ้าเด็กบ้า...





___________

-ทำไมเเกรมาช้าเยี่ยงนี้-
ขออภัยทุกคนที่รอค่ะติดภารกิจเร่งด่วน
ปกติจะลงคุณชายก่อนเเต่ตอนนี้ไม่ทันล้าวว
คิดถึงทุกคนเเละคิดถึงพี่ปั้นด้วย
เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
เข้าไปติดเเท็ก #เรากับเขา ได้ที่ทวิตเตอร์
เลิฟ ♡
ปล.ส่วนมากทุกคนเรียกพี่ปั้นว่าพี่ปั้น55 มีความเอ็นดู
 :L1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว p.4 [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-11-2017 15:09:51
แหม่ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว p.4 [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 。Atlas ที่ 10-11-2017 15:16:06
พี่ปั้นเหมือนมาร์ชเมลโล่ นุ่มฟูจังเลยค่ะ
น่ารักโดยธรรมชาติ มึน ๆ เด๋อ ๆ 555555
ไม่แปลกที่ใคร ๆ ก็เอ็นดู  :-[


นายนี่ก็ดูท่าจะขี้หึง ขนาดชมพู่ที่เป็นผู้หญิงและเป็นเพื่อนปั้นยังจะหึง กลัวแล้วว
เข้าข่ายโหดกับทุกคน แต่ละมุนกับเธอแค่คนเดียว -////-
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว p.4 [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 10-11-2017 15:26:57
อยากมีพี่ปั้นเป็นของตัวเอง ฮรือออ คนอะไรน่ารักก อยากเอากลับบ้านน
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว p.4 [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-11-2017 15:52:56
พี่ปั้นหวั่นไหวขนาดนี้ก็คบเลยค่าาา  :hao5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว p.4 [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-11-2017 15:59:57
พี่ปั้นน่ารักก เขาถามชื่อพี่ปั้นไม่ใช่ชื่อน้องเจ็ม

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว p.4 [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 10-11-2017 17:06:06
พี่ปั้นนนนนนนนนนนนนนรร
น่ารักมากกก อยากลักกลับบ้านนนน //////
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว p.4 [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 10-11-2017 17:54:22
พี่ปั้นใสซื่อ 555
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว p.4 [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 10-11-2017 19:32:22
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว p.4 [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 10-11-2017 20:06:48
คบกัน คบกัน คบกัน :hao7:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว p.4 [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 10-11-2017 21:07:58
พี่ปั้นน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว p.4 [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 10-11-2017 21:42:38
ใสมากกกกกปั้นเอ๊ย
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว p.4 [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 10-11-2017 22:54:46
คนซื่่ออออออ  :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว p.4 [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-11-2017 00:10:32
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว p.4 [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 0% ที่ 11-11-2017 14:35:18
เขินก็ตรงเอานิ้วชี้มาเคาะเเก้มพี่ปั้นเนี่ยเเหล่ะ น่ารักกกกกก
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว p.4 [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 11-11-2017 20:47:29
เอ็นดูพี่ปั้น น่ารักกก
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 9: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 20-11-2017 20:05:13
Act 9: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน


                (น้องนักศึกษารหัส 0557XXXX ใช่ไหมคะ?)



                “ใช่ครับ”



                (โทรจากหอสมุดนะคะ ที่น้องจองหนังสือไว้น่ะค่ะ)



                “อ๋อครับ”



                (พี่จะแจ้งว่าหนังสือที่ขอรับวันนี้ยังไม่ได้นะคะ)



                “ยังไม่ได้หรอครับ คือผมต้องใช้เสาร์อาทิตย์นี้...”



                (งั้น...เอางี้ ถ้าน้องรีบใช้ น้องไปขอรับเองที่ท่าพระแล้วกันที่จะโทรบอกเจ้าหน้าที่ให้ แบบนั้นจะเร็วกว่า)



                “อ่าครับ...”



                เพราะแบบนี้ เราถึงมาเยือนท่าพระ เราเคยมาครั้งแรกก็ตอนที่ชมพู่พามาเมื่อปีก่อน หลังจากเลิกเรียนคลาสเช้าเราก็ออกเดินทางทันที



                “เรียบร้อยแล้วค่ะ”



                “ขอบคุณมากครับ”



                ...เร็วแฮะ...



                เราเกาหางคิ้วเบาๆ ยืนมองหนังสือในมืออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกมาหน้ามหาลัย ท่าพระเป็นที่ที่มีชีวิตมาก เรารู้สึกว่ามองทางไหนก็สวยแล้วก็มีเอกลักษณ์ กำแพงสีขาวสองฝั่งสะอาดตา พระราชวัง วัดที่รายรอบก็สวยแล้วก็มีเสน่ห์ ชาวต่างชาติทั้งเอเชีย ยุโรป เดินกันขวักไขว่ เรามองไปตรงหน้าแล้วตัดสินใจจะเดินเที่ยวรอบๆ ก่อนกลับบ้าน



                เราไม่ค่อยได้ไปไหนอยู่แล้ว อย่างที่รู้ๆ กัน วงจรชีวิตเราน่าเบื่อกว่าวงจรชีวิตยุงซะอีก



                “คุณป้าครับซื้อโดนัทถุงนึงครับ”



                “ได้จ้า ห้าสิบบาทจ๊ะ”



                ...ได้ขนมแล้ว แม่คงจะชอบ...



                “Hey you”



                เราเดินแกว่งถุงขนมข้ามถนนมาก็หันซ้ายหันขวา เหมือนจะมีคนเรียกเรานะ คนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาหาเราที่ยืนอยู่คนเดียวคือผู้หญิงชาวต่างชาติคนหนึ่ง เราเดาว่าน่าจะเป็นคนจีน เธอสวมชุดกระโปรงยาวลายดอกสีฟ้าอ่อนและสวมหมวกสานใบใหญ่



                “sorry”



                “อะ...ครั... yeah?”



                “sorry can you take photo for I?” เธอแก้มแดงเล็กน้อยคงเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวของเมืองไทย “photo photo” เธอพูดอีกครั้งพร้อมทำท่ากดชัตเตอร์ พยายามอธิบายคำขอด้วยท่าทาง



                “sure” เรารับกล้องดิจิตอลมาก่อนจะเดินตามเธอไปไม่ไกล ที่ตรงนั้นมีกลุ่มคนจีนยืนอยู่สามคน ทั้งหมดเป็นผู้ชาย เราถ่ายให้พวกเขาสองสามภาพแล้วส่งคืน



                “thank you thank you”



                เรายิ้มรับ กำลังจะตอบว่าไม่เป็นไร แต่เพื่อนผู้ชายคนนึงของเธอชี้มาที่เราแล้วพูดอะไรบางอย่าง ผู้หญิงเจ้าของกล้องเลยพยายามบอกเราเป็นภาษาอังกฤษ เพราะเธอคงจะพูดไม่ค่อยเก่ง เราเลยขมวดคิ้วเล็กน้อย



                “selfie!” เธอร้องขึ้นเหมือนพึ่งนึกออก เพื่อนของเธอก็สำทับ “Yes! Yes! you selfie with us”



                พอเราพยักหน้าแบบมึนๆ พวกเขาก็ดันเรามาอยู่ตรงกลางแล้วก็นับหนึ่งสองสาม เราเลยหันไปมองกล้อง



                แชะ! แชะ!



                “thank you! You so cute!”



                พวกเขาทิ้งท้ายแล้วโบกมือเดินจากไปอย่างรวดเร็ว



                ...เรางง...



                จู่ๆ ก็มีเพลงนี้ขึ้นมาในหัวเรา



                ‘ฉันมาทำอะไรที่นี่’



                เกาแก้มตัวเองแก้เก้อสองสามทีแล้วเราก็หมุนตัวกลับ แต่ตอนที่จะหมุนตัวนั้นเราเห็นผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งโบกมือมาทางนี้อยู่ไกลๆ



                “เฮ้! เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ้!” เอ่อ...แถมยังตะโกนดังมากด้วย



                เราสะดุ้งโหยง อย่าบอกนะว่ามีคนเรียกอีก เรียกใครไม่รู้หวังว่าคงไม่ใช่เรา เรารีบเดินจ้ำมาด้านหน้าให้พ้นรัศมีเสียงนั่น แต่ก็ยังได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ตามมา เดี๋ยวนะ หรือว่าจะเป็นอาชญากร เรารีบเดินเลียบทางฟุตปาธแคบๆ ผ่านร้านริมทางที่ขายพวกพระเครื่อง แต่เสียงเรียกก็ไม่หยุดซักที แถมยังดังชัดขึ้นอีกต่างหาก



                “พี่! หยุดก่อน!”



                ตุบ ตุบ ตุบ



                คราวนี้ไม่ใช่ต่างชาติแต่เป็นคนไทยซะด้วย ...ช่วยด้วยครับ เราโดนตามล่า...



                หมับ!



                “พี่! แฮ่กๆ หยุด แฮ่ก ก่อน”



                ทันทีที่ใครคนนั้นยืนมือมาแตะที่ไหล่ เราก็ตัวแข็งทื่อเหมือนเป็นเสาหินอายุพันปี อา...โคตรเว่อร์เลยเรา... เราสะบัดหัวแล้วตัดสินใจเงียบๆ เอาน่า อย่างน้อยร้านรวงก็เยอะออกขนาดนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเราจะตะโกนลั่นเลย เขาคนนั้นวางมือไว้ที่ไหล่เรา ก้มหน้าหายใจเสียงดังฮืดฮาด หัวใจเราสูบฉีดแรงจนเจ็บไปหมด ความตื่นกลัววิ่งวนไปทั่วร่างกาย



                มันเหมือนภาพสโลโมชั่นแบบคูณสิบหก ขณะที่เราหันไปช้าๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ เช่นเดียวกัน เสียงที่เปล่งออกมาขาดห้วง



                “พี่...จะ..รีบ...ไป...ตาม...ควาย...ที่...ไหน”



                “...!!!”



                “แฮ่กๆ...หรอ”



                “...เอ่อ...”


[ ต่อด้านล่างค่ะ]             
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 9: เรา...กับร่มสีน้ำเงินp.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 20-11-2017 20:07:52
[ต่อจากด้านบนค่ะ]


                “มาพี่ นั่งร้านนี้รอไอ้นายก่อน เดี๋ยวมันมาหา” เราเดินตามเจ้าของแผ่นหลังหนาๆ เข้ามาในร้านกาแฟบริเวณท่ามหาราช เขาเลือกที่นั่งริมหน้าต่างแล้วกระแทกตัวนั่งอย่างแรง มือทั้งสองข้างก็กระพือเสื้อไปด้วย หลังจากที่พนักงานมารับออเดอร์เราเลยถามเขาออกไป



                “ทิชชู่ไหม?”



                “ดีเลยครับ”



                “...นี่ทิชชู่”               



                “ใจพี่ ข้างนอกแม่งร้อนสัดๆ โทษครับพี่ คงไม่ชินกับคำหยาบ”



                “อ่า ไม่เป็นไร จริงๆ แล้วเรารอนายคนเดียวก็ได้นะ เอ่อ แบบว่าถ้าเอ็มเจมีธุระก็...”



                “ไม่ได้ครับพี่ ไอ้นายสั่งไว้” เขาส่ายหน้ารัวๆ เหมือนว่าชื่อนาย มาจากคำว่าเจ้านายสำหรับเขา “พี่ ผมอยากกินไอติม ผมขอไปสั่งเพิ่มนะ พี่เอาป้ะ...ผมเลี้ยงติม ร้อนแบบเนี้ยกินติมแม่งเท่นะพี่”



                เราได้แต่มองค้าง เมื่อคนที่ถามเราไม่ยักจะรอฟังคำตอบ เดินลิ่วไปนู้นแล้ว



                ย้อนกลับไปเมื่อเวลา 14.17 นาที นายข้าวปั้นที่หนีการไล่ล่าพบว่า...คนที่เรียกเขาคือเอ็มเจ นักบาสของมธ. และเขาก็เป็นเพื่อนต่างคณะของนายด้วย เขาตามเรามาทำไม นั่นคือสิ่งที่เราถามออกไปหลังจากนั้น



            “แป๊บพี่ หายใจแป๊บ...เออคือ...ผมไปกินข้าวกับพี่รหัสอยู่ทางนู้น แล้วเผอิญเจอพี่ถ่ายรูปให้ใครนะ...”



            “นักท่องเที่ยว”



            “เออ นั่นแหละๆ พวกตี๋ๆ อะ ผมคุ้นหน้าเลยแอบถ่ายรูปพี่ส่งไปถามไอ้นายว่าใช่พี่เปล่า แล้วไอ้เหี้ยนายก็บอกให้ผมรีบมาหาพี่ทันที เพราะมันโทรออกไม่ได้จารย์สอนอยู่ แต่เสือกพิมพ์ไลน์ได้”



            “อ๋อ...”



            “แล้วทีนี้พี่ มันฝากมาบอกว่าให้พี่รอมันก่อน อย่าพึ่งกลับ แต่มันกลัวพี่กลับก่อนไงเลยให้ผมมาอยู่กับพี่ก่อน เชี่ยนี่กวนตีนเนอะพี่ แม่งขู่ผมด้วยถ้าผมไม่มามันจะเอาขอบย้วยของผมไปทิ้ง งงๆ ทำหน้างง ขอบย้วยคือเกงในผมเอง ผมก็ดันกลัว ไอ้นายมันพูดจริงทำจริง”



            “อ่า....”



            “เฮ้ย แล้วพี่เป็นไร จำผมไม่ได้หรอ เอ็มเจอะพี่ เอ็มเจ!”



            ...เอ็มเจ เรากำลังปรับตัวกับคำไม่สุภาพของเอ็มเจอยู่...


               







                “นี่ค่ะ ชาเขียวเย็น  ชานมเย็น แล้วก็ไอศกรีมหกลูกกับท็อปปิ้งสี่อย่างนะคะ”



                “มาแล้วพี่ๆๆ ชาเขียวของพี่ ช้อนอะพี่ถือเร็ว..เดี๋ยวๆ ผมขอถ่ายรูปก่อน”



                “....”



                “เอาแจกันดอกไม้นี่เข้ามาในเฟรมด้วยดีกว่า เนอะพี่ จะได้ฮิปเตอร์ๆ”           



                แชะ!



                “เหยดดด เฮ้ย มุมไม่สวย ถ่ายไงวะ พี่รอแป๊บอีกสองรูปพี่”



                เอ็มเจนี่ดูมีคาแร็กเตอร์ดีนะ เราแอบคิดแล้วขำอยู่ในใจ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ เราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูบ้าง พอกดเปิดก็เห็นข้อความของนายขึ้นมาบนจอเป็นอย่างแรก ต้องบอกว่านอกจากเขากับชมพู่แล้วเราก็ไม่มีใครคุยด้วยหรอก เขาบอกให้เรารอก่อนพร้อมกับการอ้อนวอนผ่านสติ๊กเกอร์ เราพึ่งจะได้จับมือถือเพราะงั้นสติ๊กเกอร์ที่เขาส่งมาก็เด้งขึ้นมารัวๆ แถมยังบ่นใหญ่เลยว่ามาทำไมไม่บอก เราก็ลืมไปเลยว่าเขาเรียนอยู่แถวนี้



               
Khaopun
                รู้แล้ว เราอยู่กับน้องเอ็มเจ



                เราส่งกลับไป ไม่นานก็ขึ้นว่าอ่านแล้ว เราดูดน้ำไปด้วยเลื่อนมืออ่านสเตตัสเพื่อนไปด้วย ไม่กี่วิหลังจากนั้น เอ็มเจก็ถามขึ้น ขอวงเล็บว่าเขากินไอติมไปแล้วด้วยสองลูกและมือซ้ายยังคงจับมือถืออยู่



                “พี่ คุยกับไอ้นายหรอ”



                “หือ..” เราเลิกคิ้วแต่ตายังจ้องมือถือ อ่านข่าวที่แม่แท็กมาให้เหมือนเดิม โห อะไรเนี่ย ขโมยอีกแล้ว



                “ก็เนี่ย มันส่งไลน์มาด่าผมเนี่ย ไอ้นี่มันบ้าพี่ บอกให้ผมมาอยู่เป็นพี่เสือกหวงซะงั้น อยากโดดเรียนก็บอกเหอะ ผมไม่ตอบมันหรอก”



                “เอ็มเจว่าอะไรนะ”



                “ไม่มีไรพี่ พี่ชิมรสนี้ ร้านเขาทำเองชีสไรเนี่ยอร่อยดี”



                เอ็มเจเลื่อนจานไอศกรีมมาตรงหน้าเรา คะยั้นคะยอให้ตัก เราก็เลยชิมเป็นมารยาท นิดเดียวนะ ไม่ชิมเยอะ ...โอ๊ะ อร่อยจริงด้วย...



                “ไงพี่ ทำตาว้าวเลย อร่อยใช่ได้เนอะ เอาอีกๆๆ ลูกนี้พี่หวานๆ เปรี้ยวๆ อะ”



                “เออ เอ็มเจ ขอบคุณมากนะที่ให้ยืมรถ”



                “เรื่องนั้นไอ้นายบอกผมแล้ว ไม่เป็นไรพี่ ชิมนี่ก่อน เป็นไงดีป้ะ” เขาเลื่อนมาอีก ดูท่าจะสนุกกับการพรีเซ้นท์ไอศกรีมให้เราลองชิม ชิมก็ได้ เดี๋ยวน้องเสียน้ำใจ



                ...หือ...



                “ตาว้าวอีกแล้ว”



                เราจะถามเอ็มเจว่าตาว้าวมันเป็นยังไง แต่เขาก็ชี้ที่ไอศกรีมอีกลูกนึง “อัลมอนต์พี่ คราวนี้ขอตาว้าวด้วยนะ”



                ...นี่มัน...



                “...อร่อยจริงด้วย...”



                แชะ!



                “ขออนุญาตส่งไปกวนตีนไอ้นายนะพี่ ฮ่าๆ เชี่ยนาย ตาลุกเป็นไฟแน่ กินอีกดิพี่”



                “พอแล้ว ขอบคุณมาก เราชิมหลายรสแล้ว”



                “โห่ ไรอะ...มาผมจัดการต่อเอง”



                เรามองเอ็มเจที่จัดการไอศกรีมแบบที่เขาว่าไม่นานก็มีเสียงแจ้งเตือนมาที่ไลน์เรา นายนั่นเอง ไม่ใช่ใครที่ไหน



            Nine naay
               เมื่อไหร่จะเลิกกกกกกกกกกก
               กินไอติมอร่อยไหมพี่ปั้น

         read Khaopun
                ไปเรียนหนังสือก็เรียนสิ
                หรือว่าหิว
อยากกินไอติมหรอ

            Nine naay
                ไม่ครับ
                อยากกระทืบไอ้เอ็มเจ
                พี่ปั้นนั่งตรงข้ามมันใช่มั้ย

             
read Khaopun
                ใช่
            Nine naay
                ดีครับ อยู่ห่างมันไว้นะ มันเป็นโรคบ้า

             
read Khaopun
                นายมั่วแล้ว

            Nine naay
                จริงๆ นะครับ ใกล้เกินสองฟุตเดี๋ยวเชื้อแพร่กระจาย



                เราเหลือบมองคนที่กินท็อปปิ้งจนเกลี้ยงแล้วไม่รู้ตัวเลยว่าเราค่อยขยับตัวชิดพนักพิงตั้งแต่เมื่อไหร่ ...ขอโทษนะเอ็มเจ...



                “พี่...ไม่กินแน่นะ...เดี๋ยวๆ เชี่ยนายบอกไรแปลกๆ กับพี่ป้ะเนี่ย ทำไมผมรู้สึกตงิดใจ”



                “เปล่าๆ”



                “แน่นา...เคๆ พี่ พี่จะทำงานก็ได้ ผมนั่งเล่นมือถือตรงนี้ไม่กวน เดี๋ยวไอ้นายก็เลิกแล้ว แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจผม ผมร้อนอยากหาที่นั่งพักเหมือนกัน”



                เราพยักหน้า หยิบหนังสือที่ยืมมาเมื่อกี้เปิดอ่าน ถือว่ามาเปลี่ยนบรรยากาศแล้วกัน หลังจากนั้นเราก็จมดิ่งอยู่ในจักรวาลของตัวหนังสือ

               

                ผลัวะ!



                “เฮ้ยเชี่ยไรวะ”



                “สัดเอ็มเจ ลืมชีทไว้ที่กูไอ้ห่า”



                “เอ้า พี่ชา ขอบใจว่ะพี่ แล้วรู้ได้ไงผมอยู่นี่”



                “เช็คอินแผ่หลาขนาดนั้น เชี่ย แทนที่กูจะได้กลับบ้านมึงนะมึงง”



                “ผมขอโทษษษษษ มาๆ กินไรมั้ยเลี้ยงง”



                “ไม่อะ แล้วมึงมากับใครเนี่ย”



                “พี่ผมเอง”



                “พี่อะไรทำไมกูไม่รู้จัก แหนะ ที่รีบวิ่งมานี่...อย่าบอกนะว่าแฟน”



                “เชี่ยพี่ชาไม่ใช่เว้ย อย่าให้ไอ้นายได้ยินเลยนะ”



                “ไรของมึง ไม่ต้องมาโวยวายกลบเกลื่อน ไอ้นี่ น้องกูแมนหน่อยดิวะ”



                “โอ๊ยยยยย ปล่อยผม บีบคางกูทำไมเนี่ยเชี่ยพี่ชา”



                กึก!



                เราสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่เอ็มเจชนโต๊ะจนขาโต๊ะเลื่อนมาชนเรา เรากำลังจะเงยหน้าขึ้นแต่สายตาเหลือบไปเห็นแจกันเอียงกะเท่เร่จะหล่นจากขอบโต๊ะ



                “เฮ้ยพี่!! แจกันจะหล่น!”



                “เฮ้ยยยย!!”           



                หมับ หมับ



                เรายื่นมือไปคว้าด้วยอารามตกใจ พร้อมๆ กับคนมาใหม่ที่ยื่นมือออกไปรับแจกันเช่นเดียวกับเรา



                คนๆ นั้นสบตาเรานิ่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มวูบไหวไปเพียงนิดเดียว และ...เป็นเราที่เบิกตากว้าง



                “....ชานนท์”



                “ปั้น”

               




                “พี่ปั้น...”



                ...แปลกจัง ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ร้อนออกขนาดนั้น...



                “โอ้โห มาแล้วพี่ปั้น คราวนี้พี่ปั้นลองข้าวหน้าหมูทงคัสซึดู ชิมก่อนถ้าไม่อร่อย กินข้าวหน้าเนื้อเหมือนเดิม”



                ...ตอนนี้กลับมืดครึ้มเหมือนฝนจะตกซะอย่างนั้น...



                “พี่ปั้น?”



                “หือ..”



                “เหม่ออะไรครับ ข้าวมาแล้ว”



                “อ๋อ...อืม”



                “เอ็มเจมันทำอะไรพี่ปั้นรึเปล่า ทำไมซึมๆ”



                “เราซึมหรอ?”



                “ไหนยิ้มให้ผมดูหน่อยครับ”



                เราฉีกยิ้มแต่เขากลับส่ายหน้า พึมพำว่าใช้ไม่ได้ๆ 



                “ยิ้มจากตรงนี้สิครับ” เขาชี้ไปที่อกด้านซ้าย เราเข้าใจที่เขาบอก



                ...เราไม่ควรทำให้เขามาอึดอัดเพราะเรา...



                “ตรงนี้หรอ...ใจเราไม่มีปากนะ”



                “โห เล่นงี้เลย”



                “กินเถอะ ว่าแต่ทำไมเราต้องมาเจอนายทุกอาทิตย์เลยเนี่ย ไม่เบื่อบ้างหรอ”



                เขาตาโตขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเม้มปาก  “ไม่ครับ พี่ปั้นไม่มีสิทธิ์เบื่อผมด้วย”



                “เอาแต่ใจจริงๆ เลยนะนายน่ะ”



                “...”



                “เป็นอะไร หมูทงคัสซึนี่ก็อร่อยดีนะ นาย?”



                “อยู่กับผมมันน่าเบื่อหรอครับ” เขาวางช้อน เสตามองนอกร้านก่อนจะหันมาสบตาเรา



                “เฮ้ย เราไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”



                “ก็พี่ปั้นเอาแต่คิดอะไรไม่รู้ ผมชวนคุยพี่ปั้นก็ไม่ตอบ จนผมอยากจะกระชากอะไรที่พี่ปั้นคิดอยู่ออกมาซะเดี๋ยวนี้”



                เขาบ่นหน้าบึ้ง แต่เรากลับอมยิ้มบางๆ เราต่างหากที่น่าเบื่อ



               “คนอย่างมึงก็อยู่คนเดียวไปเถอะปั้น น่าเบื่อ”



                ...ไม่คิดดิปั้น...



                เราเผลอสะบัดหัว ไล่เสียงที่โผล่ขึ้นมาในเวลาแบบนี้ ทั้งๆ ที่เราเก็บไว้ลึกที่สุดเเล้วเเท้ๆ นายที่ขมวดคิ้วมองเราก็ถามขึ้นทันที



                “มีอะไรอยากระบายไหมครับ”



                “ไม่มีอะไร กินข้าวเถอะ ไม่กินเราแย่งนะ” เรายื่นช้อนไปด้านหน้าประกอบคำพูด แต่เขามองเรานิ่ง



                “ผมน่ะ เป็นห่วงพี่ปั้นนะ” เขาสบตาเรา แววตาที่จริงใจและจริงจังนั้นทำให้เรารู้สึกผิด



                “...ขอบใจนะนาย เราไม่เป็นอะไร เฮ้อ วันนี้แม่ต้องงอนเราอีกแน่เลย วันศุกร์ทีไรเราไม่ได้กินข้าวที่บ้านทู้กที” เรายิ้ม เป็นยิ้มที่มาจากใจที่เขาบอก เขาเลยหลุดยิ้มออกมานิดหน่อย



                “อะไรกัน พี่ปั้นกินไอติมกับไอ้เอ็มเจได้ พี่ปั้นต้องกินข้าวกับผมได้ มาท่าพระทั้งทีไม่บอกผมนี่มันน่านัก”



                “คิดจะมาก็มาเลยนี่นา”



                “ถ้าไอ้เอ็มเจไม่ไปเห็นเนี่ย ผมต้องไปรอพี่ปั้นเก้อเลยใช่ไหม”



                “นาย...” เราพูดเสียงเรียบ เขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเราก็พูดต่อ “กับการเรียนนายตั้งใจแบบนี้มั้งไหม”



                “อะ...พี่ปั้นโคตรร้าย”



                “ฮ่าๆๆ หน้านายเวลาเหวอนี่ตลกจริงๆ นะ”



                “อย่าให้เอาคืนนะเว้ยพี่ปั้น”



                “เฮ้ย อย่าแย่งหมูเราดิ”



                แล้วศึกชิงหมูก็ดำเนินต่อไป แน่นอนว่าเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามนี้

               





                ตอนนี้ห้าโมงแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเราจะอยู่ด้านนอกนานขนาดนี้ ถ้าเป็นปกติเวลาที่กลับจากมอก็จะรีบพุ่งตัวกลับบ้านเหมือนโอเอซิสที่ต้องการน้ำ จะว่าไปตั้งแต่เรารู้จักนาย คลังสมองของเราก็เพิ่มชื่อคนเข้ามาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นน้องๆ ทีมบาสศิลปากร เพื่อนนาย อย่างเอ็มเจ กับแดม ที่เขามักจะเล่าวีรกรรมฮาๆ ของเพื่อนให้เราฟัง



                “แล้วเอ็มเจนะพี่ มันบ้ามาก ตอนแบ็คแพ็คไปเชียงใหม่ มันบอกว่าจะไม่จ้างลูกหาบ โอ้โห ตอนขึ้นอัพรูปลงอินสตราแกรมอย่างหล่อ ลงมาแทบคลานเป็นหมาเลย พี่ปั้นเคยไปรึยัง”



                เราส่ายหน้าเป็นคำตอบ



                “ไว้ไปกันนะครับ”



                ...ไว้ไปกันหรอ เป็นคำพูดที่ดีจังนะ...



                “รถเมล์มาแล้วพี่ปั้น”



                “โอเค เราไปก่อนนะ”



                “ใครจะให้พี่ปั้นกลับคนเดียว ไปครับ ผมจะไปส่ง” นายจอมเผด็จการกลับมาอีกครั้ง เขาดันหลังเราขึ้นรถเมล์ก่อนที่ตัวเองจะตามมา ไม่เปิดโอกาสให้เราตอบอะไรทั้งนั้น



                “คนโคตรแน่น พี่ปั้นยืนไหวไหมครับ”



                “สบายมาก”



                เราตอบพร้อมกับกระชับมือที่จับเชือกด้านบนไว้ ...เย็นวันศุกร์นี่นา วันศุกร์ก็คือวันสุขนี่เนอะ เรามองก้มมองผ่านหน้าต่างดูอากาศแล้วก็คิดว่าฝนต้องตกแหงๆ ร่มก็ไม่มีด้วย



                “เพื่อนผมนะพอวันศุกร์มันดีใจใหญ่เลย” เขาหันมาพูดกับเรา มาลำบากเพราะเราไหมเนี่ย แทนที่จะกลับบ้านไปก็ไม่ไป ดื้อจริงๆ และเราบ่นเขาไปเรียบร้อย เขาถึงพาเราคุยเรื่องอื่น



                “ก็แน่สิ เรียนมาทั้งอาทิตย์ วันศุกร์ก็ต้องปลดปล่อย ทำไมทำหน้างั้นอะ นายไม่ดีใจหรอ”



                “ดีใจที่เจอพี่ปั้น แต่วันศุกร์เย็นเนี่ยเวลามันสั้นนะครับ”



                “เราต้องเขินใช่ไหม”



                เขาทอดสายตามองเราท่ามกลางผู้โดยสารที่เบียดเสียด “เพราะเวลาที่ผมเจอพี่ปั้นมันสั้น ผมเลยอยากให้พี่ปั้นรู้ว่ามีคนเป็นห่วงพี่ปั้นอยู่อีกหนึ่งคนนะครับ พี่ปั้นเอาแต่ฟังผม ผมก็อยากฟังพี่ปั้นบ้าง”



                แปลกจัง...เสียงเครื่องยนต์ เสียงกระเป๋ารถเมล์ ดังวุ่นวายอยู่รอบๆ แต่เรากลับได้ยินคำพูดของเขาทุกคำ



                “คราวนี้ผมมีเวลาฟังมากกว่าห้านาทีแน่นอน”



                "นาย...เรา......"



                นาทีนั้นเราตัดสินใจพูดบางอย่างออกไป แต่นั่นก็เป็นเวลาเดียวกับที่รถเมล์จอดป้ายที่เราต้องลงพอดีพร้อมกับเสียงเปิดประตู และเป็นเวลาเดียวกับฝนเม็ดแรกก็กระทบหน้าต่างรถพอดี ความพอดีนั้นทำให้ทุกอย่างกลืนเสียงเราไป



                เราบอกลาเขาเร็วๆ แล้วรีบเบียดคนที่แออัดตรงหน้าประตูด้วยกลัวว่าจะไม่ทัน จากฝนเม็ดแรกที่กระทบข้างแก้มแล้วก็มีเม็ดที่สองที่สามตามมา ป้ายรถเมล์ที่เรายืนอยู่ตอนนี้มีคนเข้ามาหลบฝนมากมาย จนเราถูกเบียดออกไปด้านนอก



                วันนี้เราปั่นป่วนเพราะเจอชานนท์ หรือเพราะตัวเราเองกันแน่นะ เราเงยหน้ามองฟ้าสีเทาเข้มแล้วจู่ๆ ร่มสีน้ำเงินก็มาบังการมองเห็น ซึ่งมาพร้อมกับเจ้าของเสียงเรียกเราว่าพี่ปั้นมาตลอดหลายอาทิตย์



                “พี่ปั้น! ยืนตากฝนทำไมครับ แล้วรีบลงมาทำไมเนี่ย ไม่รอผมก่อน”



                ทั้งๆ ที่มีร่มอยู่เหนือศีรษะแต่ไหล่นายเปียกไปแล้วครึ่งนึง เขาไม่รอให้เราตอบกลับคว้าข้อมือเราเข้ามาหลบที่ชายคาของเซเว่นหน้าปากซอย



                “บอกแล้วไงว่าผมจะมาส่ง”



                “ขอโทษ เรานึกว่ามาส่งแค่นี้”



                “มืดแล้วผมจะส่งถึงหน้าบ้านเลย”



                “แต่ฝนตกนะ รถติดกว่านายจะถึงบ้าน”



                “ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ...ไปครับ รีบเข้าบ้านก่อนที่มันจะตกหนักกว่านี้” เขาคว้าไหล่เราให้เข้ามาอยู่ในร่ม ออกคำสั่งน้ำเสียงเฉียบขาดว่าให้กอดกระเป๋าไว้ ทั้งๆ ที่มีร่มแท้ๆ แต่เรากลับเปียกไม่เท่ากัน เราเหลือบมองความอุ่นวาบที่หัวไหล่ด้านขวาของตัวเอง



                ระหว่างเดินเข้ามานั้นไม่มีคนพลุกพล่านมากนัก ถนนสีดำเคลือบแอ่งน้ำนั้นมีแสงไฟสีส้มสะท้อนลงมา



                “พี่ปั้น...พูดว่าอะไรนะครับ ก่อนจะลงรถ...”



                ภายใต้ร่มสีน้ำเงินนี้เราสองคนเหมือนจะอยู่ใกล้มากขึ้น เราเงยหน้ามองเขา ตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างที่ติดอยู่ในใจ



                “นาย เราน่ะ...ไม่ค่อยเชื่อเรื่องอะไรพวกนี้หรอกนะ” เราเริ่มต้น รู้สึกว่าเขาชะลอฝีเท้าลงคล้ายกับว่าจะทำให้ระยะทางยาวขึ้น คล้ายกับว่าเขากำลังรอให้เราพูด



                “...”



                “ที่เราไม่มีเพื่อนซักคนก็คงเป็นเพราะแบบนี้ ปั้นเนี่ย ไม่เหมือนที่คิดไว้เลยนะ ใครๆ ก็ชอบพูดแบบนั้น”



                “...”



                “เราไม่อยากให้ใครมาคาดหวังกับเรา เพราะเราน่าเบื่อแล้วก็จืดชืด นอกเหนือจากนั้นเรากลัว...พวกเขาผิดหวัง”



                “...”



                “...ผิดหวังที่ได้มารู้จักกับเรา”



                ความเงียบของเขากับเสียงฝนตก มันทำให้เราใจแกว่ง ความรู้สึกวูบโหวงวิ่งวนอยู่ในอก เเต่ถึงอย่างนั้นเเล้วเรากลับพูดต่อ



                “สมัยเรียนม.ต้น เรามีเพื่อนคนนึง ตัวสูงพอๆ กัน เลยได้ยืนเข้าแถวใกล้กัน หลังจากนั้นเราก็คุยกันมากขึ้น เพื่อนคนนั้นบอกเราว่าชอบเรา อยากเป็นเพื่อนกับเรา เขาพาเราไปรู้จักกับคนอื่นในห้อง แต่พอเวลาผ่านไปซักพัก เราก็โดนทิ้งให้อยู่คนเดียว ยืนอยู่นอกกลุ่ม มองเพื่อนเล่นกัน ไม่รู้ว่าจะไปแทรกตรงไหน เราอยากรู้...”



                “...”



                “อยากรู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น เราเลยถาม เขาบอกว่าเราน่าเบื่อ อุตส่าห์มาคุยด้วย แต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรดี สมแล้วที่เราอยู่คนเดียว เราขอโทษถ้าเราทำอะไรผิด เราขอร้องเขาว่าทำยังไง ถ้าเราอยากกลับเป็นเพื่อนเขาเหมือนเดิม เขาให้เราไปทำนู่นทำนี่ น่าขำที่เราทำหมดแต่ที่ได้กลับมาคือเสียงหัวเราะ เราเคยโดนขังอยู่ในห้องดนตรี เราร้องให้คนช่วย สุดท้ายก็เลิกร้อง”



                “...”



                “...เพราะร้องให้ตาย ข้างนอกก็ไม่มีใครอยู่ดี”



                “...”



                ไม่รู้ว่าถึงหน้าบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงเล่าให้เขาฟัง คนที่ชอบคิดในใจเเบบเราเนี่ยนะ ทั้งหมดนี้คงเป็นส่วนลึกๆ ของเราที่หวังว่าเขาจะไม่เหมือนเพื่อนคนนั้น ถ้าเป็นแบบนั้น...เราสูดลมหายใจเข้า เงยหน้าสบตากับเขาที่มองเราด้วยความรู้สึกหลากหลาย



                “เพราะงั้นถ้านายรู้จักเราจริงๆ แล้ว นายอาจจะผิดหวัง นายอาจจะไม่...”



                “พี่ปั้น” เขาเรียกเราด้วยเสียงที่มั่นคงทำให้ใจเราสงบลงอย่างน่าประหลาด  ฝนเริ่มซาลงแล้ว น้ำที่ขังกระเซ็นโดนรองเท้าเต็มไปหมด แต่เขากลับไม่ใส่ใจ



                เขาสบตาเรานิ่งงัน ร่มสีน้ำเงินค่อยๆ โน้มไปด้านหน้าของเราสองคน บังเราจากทัศนียภาพด้านหน้าจนหมด เหลือเพียงใบหน้าของเขาที่ค่อยๆ เลื่อนเข้ามาใกล้



                “...”



                “ผมชอบพี่ปั้นครับ”             



                ในตอนหกโมงกว่าของเย็นวันศุกร์  เรารู้สึกถึงความนุ่มหยุ่นบนริมฝีปากของตนเองเป็นครั้งแรก







-------
-เจอเพื่อนเคยเก่าเเล้วพี่ปั้นซึมเลย-
ขอโทษที่มาช้าค่ะ ช่วงนี้ยังไม่ค่อยว่างไปถึงต้นเดือนหน้า มันก็จะช้าเเบบนี้
ร้องห้าย ขอบคุณทุกคนที่รอ เข้ามาอ่าน เข้ามาคอมเม้นต์กัน
รู้สึกขอบคุณมากๆ ค่ะ
เรายังรักพี่ปั้นเหมือนเดิม ไม่เพิ่มเติมอะไรเลย
มันตลกดีที่ทุกคนเเบนคนๆ นึงนะ
มันยังคงมีอยู่ทุกวันนี้เเหละ
เเล้วคนที่โดนจะเกิดคำถามกับตัวเองว่าเราผิดอะไร
พี่ปั้นได้รับมาเต็มๆ เเต่พี่ปั้นโทษตัวเองมากกว่า
ติดเเท็กได้นะคะที่ #เรากับเขา เลิฟ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Fahsaizzz ที่ 20-11-2017 20:18:20
สงสารพี่ปั้นนนน น้องนายช่วยดูแลพี่ปั้นหน่อยน้า
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: villevia ที่ 20-11-2017 20:45:32
ตอนนี้สงสารพี่ปั้นน พี่ปั้นของน้องง
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-11-2017 20:48:13
ชานนท์ คนนี้เหรอที่เคยทำไม่ดีกับปั้น
มาขอเป็นเพื่อนปั้น แล้วว่าปั้นน่าเบื่อ
แกล้งปั้น หัวเราะเยาะปั้น ขังปั้นในห้องดนตรี  เลวมากกกกกกกกกกกกก  :fire: :fire: :fire:
เหอะ......อย่ามาตอแยปั้นอีกล่ะ  ชังน้ำหน้า :m16: :m16: :m16:

นาย ดูแลปั้น รักปั้นดีๆล่ะ
นาย ปั้น   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-11-2017 21:32:16
 :hao5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 20-11-2017 21:47:02
ฮือ อ่านเรื่องเพื่อนตอนมัธยมที่พี่ปั้นเล่าแล้วจะร้องไห้

เรารักพี่ปั้นนะ แล้วเราก็เชื่อว่านายจะไม่ทำให้พี่ปั้นร้องไห้ด้วย
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 20-11-2017 23:09:49
กอดน้องปั้น  :กอด1: และกระโดดถีบหน้าชานนท์  :z6:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-11-2017 01:42:55
 :sad4: :o12:

รอฟ้าหลังฝนที่สดใส
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 9: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 21-11-2017 07:17:05
พี่ปั้นนนน ไม่ร้องนะ อย่าไปนึกถึงเรื่องเมื่อก่อนเลยย ฮืออ //กอด
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 9: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-11-2017 09:02:41
สงสารพี่ปั้น :mew6: :mew6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 9: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 21-11-2017 18:55:49
เอ็นดูพี่ปั้นน สู้ๆนะพี่ปั้นนายเข้ามาเติมเต็มให้พี่ปั้นแล้ววว
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 9: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 21-11-2017 19:42:07
ต่อไปนี้ให้น้องนายดูแลหัวใจของพี่ปั้นเถอะนะ :mew6:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 9: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 21-11-2017 20:54:28
นายดูแลพี่ปั้นดีๆนะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 8: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 21-11-2017 23:55:52
โหดร้ายกับปั้นเกินไปละ!!
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 9: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 0% ที่ 23-11-2017 00:58:58
สงสารพี่ปั้นคนซื่อจังเลยอะเเงๆ น้องนายต้องดูเเลดีๆนะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 9: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-11-2017 01:02:44
นายจะเยียวยาพี่ปั้นเองนะ โอ๋นะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 9: เรา...กับร่มสีน้ำเงิน p.4 [20/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 23-11-2017 17:33:43
ใครทำหนู :angry2:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์ p.5 [07/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 07-12-2017 15:52:25
Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์



            ...วันนี้ใจเราทำงานหนักจัง...



                “ปั้น เหม่ออะไรเนี่ยลูก แม่เรียกตั้งนาน”



                “แม่...มีคนชอบปั้น”



                “ก็ดีแล้วนี่”



                “แบบชอบ ชอบนะแม่”



                “ชอบชอบอะไรของปั้น”



                “ก็แบบว่า...”



                “มีคนรักดีกว่ามีคนเกลียดไง แล้วคนที่ชอบปั้นคนนั้นปั้นชอบเขาหรือเปล่าล่ะ...”



                “...ก็...”



                “คิดช้า แม่ไปนอนล่ะ โอ๊ยย ทำงานมาทั้งอาทิตย์ ลูกก็ไม่อยู่กินข้าวด้วย”



                “แม่อะ...”



                แม่เดินขึ้นชั้นสองไปทิ้งให้เรานั่งจมอยู่กับความคิดอีกครั้ง เหตุการณ์ตอนหกโมงฉายวาบเข้ามาเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยพอดี หลังจากที่เขาถอนใบหน้าออกไป เราได้แต่ยกหลังมือเช็ดจมูก มือไม้ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน ลนลานจนเขาลูบหัวเราเบาๆ พร้อมกับยิ้ม ก่อนจะดันหลังเราเข้าบ้าน เราหมุนตัวเดินเข้าบ้านอย่างงงๆ เดินมานั่งที่ห้องนั่งเล่นเป็นชั่วโมง จนแม่เรียกหา



                อา...ใจเต้นแรงจัง แถมยังรู้สึกเหมือนเสียงกระซิบและความรู้สึกที่ริมฝีปากยังคงอยู่



                ความเศร้าและความกังวลที่เราประสบอยู่แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นไปเสียอย่างนั้น เขาทำให้เรารู้สึกเหมือนมีผีเสื้อฝูงใหญ่บินว่อนอยู่ในท้อง มันกระพือปีกจนเราแทบลอยไปบนฟ้า



                ...นายนะนาย มีเวทย์มนตร์งั้นหรอ...



                “นายชอบเราจริงๆ ...น่ะหรอ”



                เราถามย้ำกับตัวเอง และรู้คำตอบนั้นอยู่ในใจ แล้วก็เป็นเราอีกนั่นแหละที่กลัวเขาจะผิดหวังกับคำตอบที่ยังมาไม่ถึง           



                Rrrrrr



                จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น คนที่โทรมาคือคนที่กำลังอยู่ในความคิด ทันทีที่ได้ยินเสียงเขา ผีเสื้อก็ไหวปีกบินอีกครั้ง



                (พี่ปั้น...)



                เราเผลอมองออกนอกหน้าต่างที่มีผ้าม่านกั้นอยู่เหมือนกับว่าเขายังยืนอยู่หน้าบ้าน ความเคอะเขินที่ยังคงไม่จางหายทำให้เราไม่กล้าตอบอะไรไป กลัวว่าเสียงหัวใจจะเต้นดังเกินไปด้วยซ้ำเลยได้แต่อึกอักอยู่แบบนี้



                “...”



                (ผมอยากจะบอกว่า...ยังมีผม ผมไม่เคยผิดหวังเลยที่ได้รู้จักพี่ปั้น...)



                “...”



                (เพราะเป็นพี่ปั้น ผมถึงยังอยู่ตรงนี้...ชอบพี่ปั้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ...ไปเรื่อยๆ จนกว่าพี่ปั้นจะชอบผม)



                “....”



                (พี่ปั้นยังไม่ตอบรีบตอบผมหรอกนะครับ...จนกว่าจะถึงวันนั้น...)



                “...”



                (ให้ผมชอบพี่ปั้นซ้ำๆ ได้ไหมครับ)



                “...”



                (ไปพักผ่อนได้แล้วครับ)



                สิ้นประโยคนั้นสายก็ตัดไป มันเป็นการพูดคุยที่เราเงียบอยู่ฝ่ายเดียว และดูเหมือนว่าความเงียบนั้นคือคำตอบ หลังจากนั้นเราก็พบว่าไม่ใช่แค่ใจเราที่ทำงานหนัก ทั้งแก้ม และผีเสื้อในท้องก็ทำงานหนักด้วยเหมือนกัน

 



.

.

                “นี่แกไม่ตอบอะไรน้องมันเลยหรอ”



                เราอมยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าให้กับชมพู่ เราบอกชมพู่ว่านายบอกชอบเราแค่นั้น ส่วนตอนนี้เราและชมพู่เพื่อนรักมานั่งที่ห้องสมุดเหมือนเดิม



                “นายนี่ก็ความอดทนสูงจริ๊งง มาเจอคนแบบแกเนี่ยปั้น”



                แล้วก็กำลังหาทฤษฎีประกอบการเขียนวิเคราะห์วรรณกรรมด้วย



                “แหน่ะ ช่วงนี้หน้าตาแกดูมีความสุข นายมันคงซื้อใจแกไปแล้วล่ะสิ” ไม่ว่าเปล่าชมพู่ยื่นปลายนิ้วมาสะกิดที่ข้างแก้มสองสามที



                “หือ? เขาไม่ได้ซื้อใจเรานะ” เรารีบเถียง



                “ถ้างั้นเขาทำอะไรล่ะจ๊ะหนุ่มน้อย”



                “...อา...ก็...”



                “หึหึ เขินก็เป็นเพื่อนฉัน รู้ใจตัวเองก็รีบๆ บอกเขาล่ะ”



                เราสบตากับชมพู่พร้อมกับยิ้ม



                “อื้ม”



                ...แน่นอน...



                เงียบกันไปซักพัก ชมพู่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาเล่น นิ้วสวยปาดไปมาบนหน้าจอ เรามองตามเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร และเป็นชมพู่เองที่เอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงหึ่งๆ ของเครื่องปรับอากาศในห้องสมุดชั้นสี่



                “เออปั้นมีคนแอดเฟรนด์ฉันมาเมื่อวันก่อน” เธอเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เราละสายตาจากกระดาษไปมองชมพู่แวบหนึ่ง



                “ไม่เห็นแปลก ก็มีคนแอดเฟรนมาหาเยอะอยู่แล้วนี่” เราไม่เห็นความแตกต่างในความฮ็อตของชมพู่เลย



                “มันแปลกเว้ย เพราะไอ้คนนี้อะไลค์รูปที่มีแต่หน้าแกติดมาด้วยทุกรูปเลย ดูดิๆ”



                เราเงยหน้ามองโทรศัพท์ที่ชมพู่ยื่นมาให้ เธอเลื่อนนิ้วอีกครั้ง โปรไฟล์เฟซบุ๊กของผู้ชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลที่คุ้นเคย



                กึก



                แต่ว่ากี่ครั้งที่เห็นดวงตาคู่นี้ เรามักไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง



                “ไงเป็นคดีที่น่าสนใจไหมโคนัน  ดอยล์ หืม? นิ่งแบบนี้แกรู้จักหรอปั้น?”



                “ก็เพื่อน...ที่เทพศิรินทร์น่ะ”



                “หือ?” เธอคว้าเอามือถือเข้าไปกดดูอีกครั้ง “จริงด้วย แล้วไม่แอดหาแกแทนวะ ฉันก็แท็กแกทุกรูปเนี่ย”



                เมื่อชมพู่แบมือมาตรงหน้า เราก็ทำหน้างงๆ ส่งกลับไปให้เพื่อน เธอถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดต่อ



                “เอามือถือมา จะเช็ค”



                “ชมพู่...”



                “อะไร”



                “หวงเราหรอ” เรายิ้มล้อเลียนแต่นาทีต่อมาเมื่อเจอชมพู่เล่นงาน เราก็หุบยิ้มแทบไม่ทัน



                “มีคนฝากหวง คนชื่อนายอะรู้จักไหม”



                “อะ...”



                ...แพ้ราบคาบ...



                เราย่นจมูกพร้อมกับส่งมือถือให้ ชมพู่รับไปอย่างกระตือรือร้น



                “นี่ไง แอดมาหาแกด้วย แกไม่รับถึงมาแอดฉันแทน”



                “จริงหรอ”



                “ย่ะ คนแอดมาเป็นร้อย เนี่ยไอ้พวกทีมบาสมันรอเหงือกแห้งแล้ว”



                “อ้าวน้องๆ ก็แอดมาหรอ ชมพู่รับเลยก็ได้ เรารู้จักน้องๆ แล้ว”



                “มันคงดีใจตาย ถ้ารู้ว่าฉันกดรับแอดให้ แล้วเพื่อนที่เทพศิรินทร์นี่ยังไง รับไหม?”



                “...เอาไว้ก่อนแล้วกัน” ตอนนี้ตอบได้เท่านั้นจริงๆ นั่นแหละ ว่าพลางก้มหน้าหลบสายตาเพื่อน



                “ปั้น อย่าบอกว่าไอ้หมอนี่คือคนที่เคยแบนแกนะ”



                “อ่าก็...”



                “ใช่จริงด้วย ถึงว่านายมันใช้ฉันยิกๆ”



                “ใช้อะไรหรอ” เราถามตาโต ท่าทางนายจะรู้จากเอ็มเจแน่ๆ แม้ว่าเราจะไม่บอกเขาว่าเพื่อนคนนั้นเป็นใคร แต่คนฉลาดอย่างนายคงเดาได้ไม่ยาก



                “ไม่มีอะไรหรอก” ชมพู่บอกปัดก่อนจะส่งมือถือคืน เรื่องของชานนท์อยู่ในส่วนลึกของเรามาหลายปี แน่นอนว่าเก็บไว้อย่างแน่นหนาจนถึงวันศุกร์ที่แล้ว



                “โอเคไหมปั้น” ชมพู่โบกมือไปมาตรงหน้า เอกสารบนโต๊ะถูกลืมอย่างสมบูรณ์แบบ



                “โอเค”



                “กินข้าวกันไหมวันนี้ เราไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยกันมานานแล้วนะ”



                “ได้สิ อะไรดีล่ะ”



                “อืม....”



                “ชาบู!” เราร้องขึ้นมาพร้อมกันก่อนจะหัวเราะเบาๆ เพื่อนรักของเรากำลังปลอบใจเราอยู่ล่ะสิ เธอช่างรู้ใจโดยไม่ต้องอธิบายอะไรเลย



                ...ขอบคุณนะ...



 



                “สามชั้นนนน”



                Rrrrr Rrrrr Rrrrr Rrrrr



                “สันนอกกกก”



                Rrrrr Rrrrr Rrrr Rrrrr



                “สันในนนน”



                Rrrrr Rrrrr Rrrr Rrrrr



                “ปั้น ก่อนแกจะตาวาวตื่นเต้นเพราะเจอเนื้อ แกช่วยรับโทรศัพท์ก่อนดีไหม?”



                “ไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยโทรกลับก็ได้ เรากลัวกินไม่ทันชมพู่”



                “ปั้น...” ไม่ทันเห็นว่าชมพู่กลอกตามองบน “นี่มันบุฟเฟต์นะ ไม่ทันก็สั่งใหม่ดิ”



                “โห่” เราทำท่ายกไหล่ลง หูตกเหมือนหมาหงอย ...ถ้ามีคนสั่งเนื้อหมดร้านล่ะ เราก็อดสิ...



                “ไปรับโทรศัพท์”



                “ครับบบบ”



                เราหยิบมือถือที่มุมโต๊ะขึ้นมาแล้วก็พบว่าระบบแจ้งเตือนนี้ไม่ได้มาจากสายเข้า แต่เป็นใครซักคนที่กำลังวิดีโอคอลมาหาเราอยู่เดาได้ไม่ยาก นับตั้งแต่วันนั้นเรากับเขาก็คุยกันเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม นั่นแหละ..ไม่บ่อยนักที่เขาจะวิดีโอคอลมาแบบนี้



                (พี่ปั้น)



                “นาย เราพูดไม่ได้เราอยู่ด้านนอก” เราตกใจที่หน้าของเขาโผล่ขึ้นมากลางจอ เรารีบป้องมือกับโทรศัพท์แล้วตอบกลับไป



                (พี่ปั้นถ่ายเพดานทำไมเนี่ย เอาหน้ามาสิครับ)



                “นายเราอยู่ข้างนอก” เรากระซิบชิดโทรศัพท์ เหลือบมองชมพู่ที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นพร้อมกับคีบหมูเข้าปาก ดูเหมือนไม่ใส่ใจแต่เราว่าใส่ใจแน่นอน



                (อะไรนะครับพี่ปั้น) เขาแทบจะตะโกนกลับมา เสียงหม้อไฟฟ้ามากกว่าเจ็ดหม้อในร้านนี้กำลังแข่งกันเสียงดังกลบการได้ยินของเขา



                “เราไม่สะดวกคุย แค่นี้นะ” สุดท้ายเราก็หันกล้องมาที่ตัวเองจนได้ บนจอสมาร์ทโฟนมีหน้าเราอยู่ในช่องเล็กๆ



                (เฮ้ยๆๆ พี่ปั้นนน แกล้งนิดเดียวเองงง) พอเราจะวางสายล่ะได้ยินชัดเชียวนะ



                “กินอยู่” เราโชว์ตะเกียบ “แกล้งเราทำไม”



                (เอ้า ก็อยากเห็นหน้าพี่ปั้นมากว่าเพดานนี่นา กินข้าวกับใครครับ)



                “ชมพู่”



                (รู้อยู่แล้วล่ะ)



                “กวน...” เราว่าแบบไม่จริงจัง พึ่งสังเกตว่าเขาใส่แว่น และกำลังเดินไปที่ไหนซักที่หนึ่ง “มีอะไรอีกไหม เรากินไม่ทันเพื่อนนะ”



                เราส่ายหน้าน้อยๆ มองเราเหมือนเป็นเด็ก แอบเคืองเพราะเราโตกว่า



                (ผมจะถามว่าวันพรุ่งนี้ให้ผมไปรอที่เดิมนะครับ)



                พรุ่งนี้ศุกร์แล้วหรอ?



                เราทำท่าคิด ลืมอะไรนะเรา ชมพู่ที่มองเราตอนไหนก็ไม่รู้เอ่ยขึ้น



                “ปั้น แกไม่ได้บอกน้องมันหรอว่าอาทิตย์นี้แกต้องอยู่ทำงาน”



                “ฮ้า ลืมเลย ถ้าชมพู่ไม่บอก พรุ่งนี้เราจะกลับบ้านแล้วนะเนี่ย”



                “พ่อคนรักบ้าน รักวันศุกร์จริงๆ เลยแกน่ะ”



                “เราเปล่าซะหน่อย แค่คิดถึงแม่เอง”



                “หมั่นไส้!”



                (พี่ปั้น...พี่ปั้น...พี่ป้านนน)



                “เด็กอะไรไม่อดทนเอาซะเลย แกไปคุยให้มันเสร็จๆ เดี๋ยวมีคนเรียกร้องความสนใจ ฉันจะไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง ฝากของด้วย” ชมพู่ว่างั้นแล้วก็ลุกออกไป



                ...ชมพู่ ต่อให้เราหรอ เราขอคีบหมูก่อนนะ...



                เราตักกินสองชิ้นแล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีคนจ้องอยู่ “แหะๆ เออ...นาย เราลืมบอก”



                (บอกอะไรครับ)



                “อาทิตย์นี้เรามีนัดทำงาน ไม่ได้กลับไปนอนที่บ้าน”



                (เฮ้ ได้ไงอะ) เขาทำหน้างอง้ำ ขมวดคิ้ว จ้องตาเราผ่านกล้อง (งี้ผมจะได้เจอพี่ปั้นวันไหนครับ)



                “ศุกร์หน้าแหละมั้ง แล้วช่วงนี้เรายุ่งมากๆ อาจจะไม่ตอบนะบอกไว้ก่อน”



                (ยุ่งก็รีบทำงานสิครับ มากินชาบูได้ไง อยู่ห้องทำงานให้เสร็จเลยไม่ต้องออกไปไหน) เสียงต่อว่าเราดังมาตามสาย



                “ได้ไงอะ” เราพูดบ้าง “ทำงานกลุ่มนะไม่ใช่งานเดี่ยว”



                (พี่พู่ทำงานด้วยไหมครับ)



                “ทำสิ กลุ่มเดียวกัน”



                (เฮ้อ ก็ได้ ดูแลตัวเองด้วยนะพี่ปั้น...)



                “แล้วนี่นายจะออกไปไหน ค่ำแล้วนะ” 



                (เป็นห่วงหรอครับ)



                “เราแค่ถามเอง”



                (ฮ่าๆๆ ผมจะออกไปอ่านหนังสือที่หอเพื่อน ที่โทรมาหาเพราะมีคนหาย)



                “โอเค ตั้งใจอ่านนะ บาย”



                (เฮ้ย ยังพูดไม่จบ)



                “นาย...เราเป็นห่วง...”



                (...พี่...) ตาเขาเป็นประกาย มองเราด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่าง ด้านหลังเขาเปลี่ยนเป็นทางมืดๆ แต่ก็ยังมีไฟพอให้เห็นทาง



                “เราเป็นห่วงหมู ขอกินก่อนนะ”



                ...ต้มนาน เนื้อแข็งน่าดู...



                (พี่ปั้น!...)



                ตริ๊ง!



                เราอมยิ้ม แคปภาพหน้าจอที่เขาทำหน้าเหวอได้ทัน



                “ไง คุณปั้น”



                “เข้าห้องน้ำเสร็จแล้วหรอ”



                “มีคนให้คุยนี่มันโลกสีชมพูจังน้า” ชมพู่ที่นั่งลงตรงข้ามเราคว้าตะเกียบทันทีที่กลับมาจากห้องน้ำ แถมยังพูดจาล้อเราอีกด้วย เธอควานตะเกียบไปในหม้อสองสามทีแล้วก็เริ่มขมวดคิ้ว



                “ปั้น!”



                “อะไรหรอ”



                “ทำหน้าซื่ออีก แกกินเนื้อหมูหมดแล้วใช่ไหม?!”



                “ก็...” อย่ามองเราแบบนั้น



                “น้อง! สั่งเพิ่ม! เอาแต่เนื้อผักไม่ต้อง!”



                ...โธ่ ทำไมมองเราแบบนั้น เราแค่ย้ายหมูมาอยู่ในท้องเอง กลัวมันเหงา...

 



.

.

                งานกลุ่มผ่านไปได้ด้วยดี เรามีพรีเซ้นท์ในวันพุธ หน้ากระดาษที่เตรียมข้อมูลมีรอยเน้นข้อความจนกระดาษแทบยุ่ย คืนก่อนพรีเซ้นท์เราไปค้างที่หอเพื่อนในกลุ่มเพื่อซ้อมและตอบคำถามที่อาจารย์อาจจะยิงมา...อย่ามองเราแบบนั้น ก็ใต้หอเพื่อนน่ะ มีห้องทำงานที่สามารถอยู่ได้ถึงเช้า เรากับชมพู่ รวมถึงเพื่อนในกลุ่มเลยไปขลุกตัวอยู่ที่นั่น

 

               ตอนที่เราเผลอฟุบตัวหลับอยู่นั้น นายโทรเข้ามาพอดี และชมพู่ตัวแสบก็แก้แค้นเราเรื่องหมูในวันนั้น อา...อาจจะเพราะความหมั่นไส้ส่วนตัว เธอว่ามาอย่างนั้น การแก้แค้นของชมพู่เริ่มต้นขึ้นโดยการกดรับโทรศัพท์ แล้ววางไว้ข้างๆ เรา ห้องอ่านหนังสือใต้หอตอนเที่ยงคืนไม่มีคนมากนัก และมันเงียบพอที่จะทำให้ได้ยินอะไรชัดเจน



                ชมพู่บอกให้เพื่อนชื่อเต๋อเดินเข้ามาปลุกให้ซ้อมต่อ แถมยังบอกเต๋อว่าให้กระซิบที่ข้างหูเพราะเราจะตื่นง่ายกว่าเขย่าไหล่ เต๋อยอมทำตามอย่างว่าง่าย เพราะเขาแอบชอบชมพู่อยู่นั่นเอง



            “ข้าวปั้นตื่นได้แล้ว...”



            “อื้อ...”



            “มาต่อกันเถอะ”




             แน่นอนว่าเพราะคำพูดนั้น นายร้องตะโกนดังออกมาจากลำโพงจนเราสะดุ้งตื่น



                เรื่องราวจบด้วยเสียงหัวเราะของชมพู่ ความงงๆ มึนๆ ของเราและเต๋อ กับคนที่โวยวายแต่ทำอะไรไม่ได้อย่างนาย เขาดุเราจนชมพู่ต้องคว้าโทรศัพท์ไปพูดเอง

 

                “กลับไงวันนี้”



                “นายบอกว่าจะมารับล่ะ”



                “นี่แกอวดฉันหรอ”



                “หา...เปล่าซะหน่อย เขาจะมารับจริงๆ” ถึงแม้ว่าเราจะห้ามแทบตายเขาก็ขอมารับ บอกว่ารถตู้อันตราย ไม่อยากให้เรานั่ง ให้ตายเถอะ เรานั่งทุกวันศุกร์มาเกือบสี่ปีแล้วนะ พอเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แม่ก็เห็นดีเห็นงามด้วย อีกอย่างพ่อกับแม่ต้องไปงานเลี้ยงรุ่นที่พัทยา นอนค้างที่นู่นตั้งแต่คืนนี้เลย



                “ไม่ใช่ว่าตามติดแกจนเสียการเรียนหรอกนะ” พอชมพู่พูดแบบนั้นเราถึงนึกขึ้นได้



                ...ไม่หรอกมั้ง เขาขยันจะตายไป…



                “มารับกี่โมงล่ะ”



                “เขาเลิกประมาณสี่โมง วันนี้เขามีเรียนก็คงถึงที่นี่ห้าโมงกว่าๆ ล่ะมั้ง”



                “คุยกันเกือบทุกวัน แถมยังมารับกันขนาดนี้ ยิ่งกว่าจีบแล้วมั้งงง เอ๊ะเดี๋ยวๆ แกรู้ตัวใช่มั้ยว่าเขาจีบ”



                “อื้ม”



                “เออดีหน่อยที่รู้ ไม่งั้นนายมันคงหนักใจน่าดูมาหลงคนมึนๆ อย่างแกเนี่ยยย”



                “ไม่เห็นมึนตรงไหนเลย” เราลูบท้ายทอย ชมพู่ส่ายหน้าก่อนจะผลักหัวเราเบาๆ เธอบอกว่าวันนี้จะแวะเข้าไปดูทีมบาส ก่อนไปชมพู่ขอถ่ายรูปเราหนึ่งรูป ขอให้ยิ้มกว้างๆ ด้วย จากนั้นเราก็กลับหอ ไม่นานเสียงแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊กก็ดังขึ้น



            Chompoo Poochom ดีใจที่เห็นแกยิ้มแบบนี้ทุกวันนะ หมาปั้น with Khoapun Punnathad



                “เราไม่ใช่หมาซะหน่อย”



                ถึงอย่างนั้นเราก็ยิ้มต่อไปอีกสิบนาทีเลยล่ะ

 

                Rrrrr Rrrr



                นั่งเล่น นอนเล่นไปซักพัก พอได้ยินเสียงโทรเข้า เรากดรับด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งก็คว้ากระเป๋า ท่าทางเขาจะมาแล้ว



                “ถึงแล้วหรอ”



                (พี่ปั้นครับ... อาจารย์จะขอสอนต่อเพราะอาทิตย์หน้าอาจารย์ติดธุระ ผมว่าผมไปรับพี่ปั้นไม่ทันแน่ๆ)



                “อ่า งั้นหรอ” เราก้มหน้ามองเท้า



                (ขอโทษนะครับ ผมจะรอที่ป้ายรถเมล์เหมือนเดิม ขืนให้พี่ปั้นรอผมเลิก รถตู้คงหมดแล้วแน่ๆ)



                “โอเค ไม่เป็นไร อันที่จริงเรากลับเองได้อยู่แล้ว”



                (พี่ปั้น ผมขอโทษจริงๆ นะครับ)



                “ทำไมทำเสียงแบบนั้น เราโอเค”



                (เฮ้อ แล้วเจอกันครับ ระวังตัวด้วยนะครับ)



                “บาย”



                เราวางสาย เราไม่ได้พูดประชดแต่อย่างใด แต่หัวใจฟีบลงนิดหน่อย มองรอบห้องเช็คความเรียบร้อยก่อนจะเดินออกจากห้องมาเพื่อเดินทางกลับบ้าน



                คนที่ต้องเดินทางกับรถสาธารณะอย่างรถตู้ คงจะเคยอ่านบทความเรื่องที่นั่งที่ปลอดภัยที่สุด เราเคยอ่านมาเหมือนกัน แต่ต้องบอกเลยว่ารถตู้น่ะเลือกที่นั่งไม่ได้หรอก นอกจากเราจะได้ขึ้นมาคนแรก วันนี้ก็เหมือนกัน เราได้นั่งข้างแม่ลูกคู่หนึ่งที่เบาะหน้าสุดหลังคนขับ เป็นที่นั่งตรงที่จัดได้ว่าอันตรายที่สุด



                เราคาดเข็มขัดนิรภัยถึงแม้จะอึดอัด ก่อนหยิบวรรณกรรมซีไรต์ปี 40 ของอ.วินทร์ขึ้นมาอ่าน



                “พี่อ่านอะไร” เสียงเล็กๆ ด้านข้างดังขึ้น



                “หนูแหวนอย่าไปรบกวนพี่เขา นั่งนิ่งๆ ลูก”



                “ไม่เป็นไรครับ พี่อ่านหนังสือครับ”



                “ขอโทษด้วยนะจ๊ะ”



                หนูแหวนเป็นเด็กหญิงที่น่าจะอายุประมาณ 6 ขวบ เธอสนใจสิ่งที่เรากำลังอ่านอยู่ ตลอดทางเราเหมือนได้เพื่อนใหม่ เพราะเรานั่งติดกัน เสียงพูดคุยเลยไม่ดังรบกวนคนอื่นมากนัก



                ผ่านไปไม่นาน หนูแหวนก็หลับ เธอเอนหัวมาพิงไหล่เรา และตอนนี้ฟ้าเริ่มมืด มันมืดจนใจเราสั่นแปลกๆ เราเหลือบมองคนขับที่คุยโทรศัพท์มาได้ห้านาทีแล้ว ก่อนจะมองตรงเบาะหลังคนขับที่มีขวดแรงเยอร์และกระป๋องกาแฟซุกตัวอยู่ในนั้น ...คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง...



                เพราะการเดินทางในวันศุกร์มักจะยาวนานกว่าวันอื่นๆ ดังนั้นหลายคนเริ่มจะหาท่าทางที่สบายเพื่อพักสายตา เราเองก็เหมือนกัน



                ...ของีบแป๊บนึงแล้วกันนะ...

 
[ต่ออีกนิดดด]
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์ p.5 [07/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 07-12-2017 15:53:31
.

.

                “เลิกคลาสได้ อาทิตย์หน้างด อย่าหลงมาเรียนกันล่ะ”

 

               “เฮ้ วู้ววว”



                ตึก ตึก



                “เฮ้ย เชี่ยนายรีบไปไหนวะ”



                “ไว้คุยกันเว้ยกูมีธุระ”



                มือของเพื่อนที่เอื้อมมาแตะไหล่คว้าได้แต่ลมเท่านั้น นายหยิบกระเป๋าและพุ่งตรงออกจากห้องมาอย่างรวดเร็วราวกับนักวิ่ง เขาตรงไปยังลานจอดรถหน้าคณะ ตรงมุมสุดนั้นมีรถของเอ็มเจจอดอยู่ กุญแจที่ยืมมาตั้งแต่เมื่อวานซ่อนตัวเงียบๆ อยู่ในกระเป๋าสะพายข้าง กุญแจนั่นซ่อนตัวจนเขาชักหงุดหงิด



                “อยู่ไหนวะเนี่ย คนยิ่งรีบๆ อยู่”



                ไม่รู้ทำไม วันนี้เขาคิดถึงพี่ปั้นมากกว่าปกติ เขาอยากเจอพี่ปั้นวงเล็บว่าโคตรๆ และนี่คงเป็นครั้งแรกที่ไม่ได้เจอพี่ปั้นเกือบสองอาทิตย์ แค่ได้เห็นหน้าพี่ปั้นเหมือนได้เติมพลังสว่างให้กับชีวิตมืดๆ ของเขาได้มากแล้ว



                “ไอ้นาย”



                เสียงเรียกดังขึ้นด้านหลังพร้อมกับการปรากฏตัวของคนบางคน คนที่ทำให้พี่ปั้นซึมเวลาอยู่กับเขา หน้าเศร้าๆ ของพี่ปั้นพาลให้เขาเกลียดคนที่พี่ปั้นนึกถึงอยู่



                “รีบไปไหนวะ”



                “เรื่องของผม” เสียงเขาสั้นห้วน เผลอเก็บอารมณ์ไม่อยู่ซะแล้ว



                ...โดนขังในห้องดนตรีหรอ กล้าดียังไงวะ...



                “เชี่ยนี่ กูพี่มึงนะ”



                “มีอะไรวะพี่ชา ผมรีบ” เขาปรายตามองรุ่นพี่ครู่หนึ่ง ข่มอารมณ์อยากต่อยหน้าคนไว้ในใจ



                “ก็มึงรีบเนี่ยแหละเลยทำไอ้นี่ตก” พี่ชาส่งยิ้มขำมาให้ก่อนจะยื่นกุญแจรถมาตรงหน้าเขา



                เขาชะงัก “ขอบใจพี่”



                “กินเหล้ากันไอ้นาย มึงไม่ได้กินเหล้ากับกูนานแค่ไหนแล้ววะเนี่ย ไปร้านเหล้าทีไรไม่เห็นหัวมึงทุกที” อีกคนไม่ได้สนใจความรีบร้อนของเขา กลับเท้าแขนที่ประตูฝั่งคนขับแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ



                นายย้อนกลับไปในความทรงจำ เขากับเพื่อน รวมถึงรุ่นพี่ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงมาเกือบสามปี แต่ก่อนเขาไม่ได้สนใจตัวเองมากนัก เพราะไม่มีใครให้เป็นห่วงและไม่มีคนที่ห่วงตัวเขาเอง รุ่นพี่คนนี้เป็นพี่ที่สอนเขาทุกอย่าง จนเขาเคยนึกอิจฉาชีวิตดีๆ ของรุ่นพี่...ชีวิตที่มีความสุขของรุ่นพี่ทำให้เขาคิดถึงพี่ปั้นขึ้นมาอีกระลอก อีกคนสุขแต่อีกคนเศร้าแทบตาย



                ...แม่ง ยกโทษให้ไม่ได้...



                 “ไปก่อนนะพี่ รีบว่ะ” เขาตัดบท หมุนตัวเปิดประตูรถโดยไม่สนใจเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นเลยแม้แต่น้อย



                นายเกลียดการจราจรของกรุงเทพฯ ชะมัด เขาที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเหลือบมองไปด้านหน้า ไฟท้ายรถนับสิบเหมือนดาวสีแดงบนถนนคอนกรีต ฟ้ามืดกว่าปกติจนนายรู้วูบโหวงอยู่ในใจ แม้ว่าท่าพระกับปิ่นเกล้าจะไม่ได้อยู่ไกลกันมานักแต่วันนี้กลับรู้สึกว่ามันไกลกันเหลือเกิน



                “ทำไมหงุดหงิดแบบนี้วะ”



                เขาพึมพำกับตัวเอง มันเกิดจากความร้อนรุ่มที่ใจ ที่เขาให้เหตุผลว่าอาจจะเป็นเพราะรถติด วันนี้แผนที่วางไว้รวนไปหมด เขานึกถึงเสียงหงอยๆ ของพี่ปั้นได้ และอยากจะชกหน้าตัวเองที่ทำให้พี่ปั้นรู้สึกแบบนั้น ไม่รักษาสัญญาเอาซะเลย ก็สัญญาว่าจะไปรับเเท้ๆ นายเอื้อมมือไปกดเปิดวิทยุให้ช่วยอยู่เป็นเพื่อน เขาเปิดเสียงดังพอประมาณแต่ไม่ได้ใส่ใจฟังเนื้อหามากนัก



                เขาฝ่าฝันความหงุดหงิดโดยการคิดถึงพี่ปั้น อันที่จริงตั้งแต่รู้จักกับพี่ปั้น เขาเห็นหน้าพี่ปั้นล่องลอยอยู่ในความคิดเสมอ ซึ่งนั่นดีแล้วล่ะ นายมักจะภูมิใจและแอบยืดอกอยู่นิดๆ เมื่อพบว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่พี่ปั้นยิ้ม หัวเราะ งอน หรือระบายความรู้สึกให้เขาฟัง แน่นอนว่าเขาอยากจะเป็นคนเดียวและสุดท้ายที่ได้ครอบครองทุกความรู้สึกของพี่ปั้น



                พี่ปั้นจะรู้ตัวไหมนะว่ามีคนเป็นบ้าเพราะพี่ปั้น



                เขาผ่านพาต้าปิ่นเกล้ามาซักครู่หนึ่งแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงจุดนัดพบ เขาต้องหาที่จอดรถอาจจะในห้างแล้วค่อยเดินออกมารับ วันนี้เขาจะชวนพี่ปั้นลองกินอะไรดีนะ แค่คิดถึงใจก็เต้นแรงไม่หยุด เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่พี่ปั้นแสดงออกก็ทำให้เขาตกหลุมรักได้ซ้ำๆ แต่จู่ๆ เขาก็ต้องขมวดคิ้ว ความรู้สึกวูบไหวในท้องนี่มันอะไรกัน



                และเขาก็ได้รับคำตอบที่ทำให้เลือดในกายเย็นวาบ



                 “ข่าวอุบัติเหตุพึ่งแจ้งเข้ามาเมื่อกี้นะคะ เวลาประมาณ 19.00 รถตู้กรุงเทพฯ – นครปฐมหมายเลขข้างรถ xx-xxx เสียหลักชนแท่งมาริเอ่อ เบื้องต้นทราบว่ารถตู้คันดังกล่าวหักหลบรถโตโยต้าหมายเลขทะเบียน xx-xxxx ที่ขับเเซงมาด้วยความเร็วสูงบริเวณโค้งสายใต้เก่า ที่จุดเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้กีดขวางการจราจร ขณะนี้ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตค่ะ ผู้ที่จะเดินทางโปรดตรวจสอบ...”



                ...พี่ปั้น...



                นายเบิกตากว้าง มือที่กำพวงมาลัยสั่นเล็กน้อย ตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทางก่อนจะควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋า



                “หยุดสั่นดิวะ!”



                เพราะมือที่สั่นของเขาจึงไม่สามารถปลดล็อกโทรศัพท์สำเร็จซักที ถ้าพี่ปั้นเจ็บ ...กูจะไม่มีวันยกโทษให้มึงแน่ไอ้นาย… เขาจะบ้าอยู่แล้ว เขาตายแน่ๆ ถ้าพี่ปั้นเป็นอะไรไป เขากำลังกดโทรออกและนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่มีสายเข้าพอดี



                Rrrrrr Rrrrrr



                “พี่ปั้น!” เขากดรับโทรศัพท์แล้วกรอกเสียงลงไปอย่างรวดเร็ว หวังในใจว่าคนของเขาจะปลอดภัยดี ทว่าเสียงที่ตอบกลับมานั้นทำเอาใจเขาถูกบีบไม่มีชิ้นดี



                (เอ่อ คุณเป็นญาติคุณปัณณฑัตใช่ไหมคะ คุณปัณณฑัตประสบอุบัติเหตุกำลังเข้าตรวจอยู่ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาค่ะ...)



                นาทีนั้น นายรู้สึกเหมือนโลกถล่มทับลงมาที่ใจให้หยุดเต้นไปชั่วขณะ

 



                เขาเดินเข้ามาในบริเวณโรงพยาบาล เสียงรองเท้าผ้าใบกระทบพื้นมันปลาบดังสะท้อนเป็นจังหวะ หน้าทางเข้ามีรถพยาบาลเปิดเสียงไซเรนดังวุ่นวาย แต่ไม่เท่าใจเขาตอนนี้ นายเร่งฝีเท้าตรงไปยังห้องฉุกเฉินที่พยาบาลบอกเมื่อครู่ ถ้าในมือเขาไม่มีโทรศัพท์และกุญแจรถ ป่านนี้เขาคงกำมือแน่นจนเลือดโชก



                “พี่ปั้น” เขาเรียก เขาต้องเรียกแม้ไม่รู้ว่าพี่ปั้นอยู่ตรงไหน คนเจ็บหลายคนร้องโอดโอยให้ได้ยิน เขาไม่สนใจ พี่ปั้นอยู่ที่ไหน



                “คุณคะ ติดต่อทางนี้ค่ะ”



                “ปัณณฑัต เขาชื่อปัณณฑัต” นายบอกพยาบาลที่เคาน์เตอร์ด้วยเสียงราบเรียบ แต่ในใจเขากระวนกระวายหนัก และสายตาเขากวาดไปทั่ว



                “รอซักครู่นะคะ”



                “ผมรอไม่ได้แล้ว!” เขาตวาดลั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ หลายคนหันมาอย่างตกใจ เขาใจสั่นไปหมดเมื่อเหตุการณ์ในตอนนี้ซ้อนทับกับตอนที่พ่อแม่เขาเสียชีวิต พวกเขาก็ดีแต่พูดแบบนี้ รองั้นหรอ เขาจะหาเอง! เขาจะไม่ยอมให้เหตุการณ์บ้าๆ พรากใครไปอีกแล้ว



                ขณะที่เขาหันรีหันขวางเพ่งสายตามองไปทุกจุด ประตูห้องฉุกเฉินก็เลื่อนออกช้าๆ



                คนที่เขาตามหาเดินจูงมือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งออกมา เขามองคนตรงหน้านิ่งราวกับทั้งโลกหยุดหมุน และทันทีที่เห็นเขา พี่ปั้นก็เม้มริมฝีปากแน่น ขอบตาแดงขึ้นมาเสียอย่างนั้น         



                พี่ปั้นคนดี เขาต่างหากที่ต้องรู้สึกแบบนั้น



                ใจที่ถูกบีบจนหายใจไม่ออกตั้งแต่รู้ข่าว...เริ่มคลายลง...



                เขาโกรธตัวเองที่พี่ปั้นต้องมาเจออะไรแบบนี้ ถ้าเขามารับตามที่สัญญาไว้ มันก็คง... นายกัดฟัน เมื่อมองพี่ปั้นเหนือคิ้วของพี่ปั้นมีผ้าปิดแผลที่มีรอยเลือด กับบริเวณข้อศอกทั้งสองข้าง เขานิ่วหน้า สะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเองไว้เต็มที่ เขารู้สึกปวดใจอย่างที่สุดเมื่อมองแผลเหล่านั้น



                “เจ็บไหมครับพี่ปั้น” เขาพูดเสียงเบาหวิว ยกมือสั่นๆ ของตัวเองไปแตะที่ข้างแก้ม อยากกอดพี่ปั้น แต่กลัวพี่ปั้นเจ็บกว่าเดิม



                “นี่หรอ...นิดหน่อยเอง” พี่ปั้นส่งยิ้มกลับมา เป็นยิ้มที่เข้ากับใบหน้าพี่ปั้นที่สุด แต่พี่ปั้นยังคงเป็นพี่ปั้น ไม่เคยทำให้คนอื่นต้องรู้สึกแย่เพราะตัวเอง “ดีนะคนขับเบรกทัน ไม่เจ็บแย่เลยเนอะหนูแหวน” พี่ปั้นหันไปหาเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บแล้วหันมามองเขา แววตาของพี่ปั้นสั่นไหวน้อยๆ ยามเมื่อสบตากัน



                “ผมขอโทษนะครับพี่ปั้น” เขาไล้นิ้วโป้งที่หางตาของพี่ปั้น



                ...กลัวใช่ไหมครับ ผมก็กลัว...



                “ไม่เป็นไรนะ เราไม่เป็นไร”



                เขาอ่อนแอให้กับคนๆ นี้อย่างสมบูรณ์ ไม่รู้ว่าสีหน้าของเขาเป็นแบบไหน พี่ปั้นถึงก้าวเท้าเข้ามาใกล้เขา ปล่อยมือที่จับเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้วกอดเขาแทน



                นายซบหน้ากับลาดไหล่ของอีกคน ความอบอุ่นของพี่ปั้นต่อชีวิตเขาให้ยืดยาวไปอีก ไม่รู้ว่าใครปลอบใครกันแน่ แต่สองมือของเขารั้งเอวพี่ปั้นเข้ามาจนแนบชิด



                ...หัวใจผมยังเต้นอยู่ใช่ไหม...



_______

น้องงงงงงงงงงงงง
เรามาเเล้ว น้ำตาจะไหลลลล
ขอโทษที่มาช้านะคะ
ตอนนี้แอบมีพาร์ทเขามาเล็กน้อย
เเละน้องนายมาแบบกั๊กๆ
ส่วนพี่ปั้นมักจะมีปัญหากับอาหารเสมอ555
รักทุกคนค่ะ
#เราเอง #เรากับเขาไง

*เราเข้ามาแก้ไขข้อมูล ต้องขอบคุณนักอ่านท่านหนึ่งที่บอกเราเรื่องเส้นทาง
เเหะๆ เราไม่สันทัดทางนี้ซะด้วย ต้องขอบคุณมากๆ เลยค่ะ
ถ้าผ่านเข้ามาเห็น จะบอกว่าเราดีใจมากๆ ที่มีมาทักท้วง ขอบคุณจากใจจริงอีกครั้งค่ะ*

ขอบคุณทุกคนด้วยค่ะ เลิฟ
 :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์ p.5 [07/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 07-12-2017 16:53:10
ปั้นปลอดภัยก็ดีแล้วววว ,❤️❤️
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์ p.5 [07/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: villevia ที่ 07-12-2017 17:45:40
พี่ปั้นยังคงความน่ารักไปทุกคน ชอบตอนกินชาบู ชอบความเป็นเพื่อนของพี่ปั้นกับชมพู่ ตอนหลังนี่ใจหายเลยย ดีที่คนเขียนไม่ตัดให้ค้าง
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์ p.5 [07/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 07-12-2017 18:25:19
น้องนายไม่โทษตัวเองน้าา พี่ปั้นปลอดภัยแล้ว :กอด1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์ p.5 [07/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-12-2017 18:27:26
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์ p.5 [07/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-12-2017 19:28:07
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ดีนะที่พี่ปั้นไม่เป็นไร

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์ p.5 [07/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-12-2017 23:08:45
ตกใจหมดเลยยย พี่ปั้นนนนน นึกว่าจะเป็นอะไร นั่งตรงที่อันตรายที่สุดด้วย
เหมือนเขาคนนั้นจะอยากเข้ามาในชีวิตพี่ปั้นอีกนะ นายกันซีนไว้ๆ  :katai4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์ p.5 [07/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 07-12-2017 23:10:41
แงง ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไร :ling2:
พี่ปั้นน่ารักมากเลยย อยากบีบบบ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์ p.5 [07/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 08-12-2017 03:52:10
อยากกินชาบูเลยยย 555 พี่ปั้นตกลงได้แล้วนี่รอลุ้นแทนนายมากอ่ะ แง้
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์ p.5 [07/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 08-12-2017 07:09:18
โอ้ยยยย   :katai1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์ p.5 [07/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 0% ที่ 08-12-2017 10:56:19
พระคุ้มครองนะพี่ปั้น ลุ้นจะเเย่สุดท้ายปลอดภัยก็ดีเเล้วใจหายหมดเลย
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์ p.5 [07/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: faluao ที่ 08-12-2017 20:54:42
ฮืออออ พี่ปั้นดีแล้วที่ปลอดภัยค่ะ ใจหายหมดเลยยยยยย
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์ p.5 [07/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 08-12-2017 22:56:08
โอ้ย ใจหายใจคว่ำ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์ p.5 [07/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 09-12-2017 00:12:03
พี่ปั้นคนดี ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว
ขวัญเอ๊ยขวัญมาทั้งน้องนายและพี่ปั้นนะคะ :mew2:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 11: เรา...กับดาวในห้อง p.5 [22/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 22-12-2017 20:23:40
พี่ปั้น เเละน้องนาย โดนสตาฟไว้เมื่อตอนที่เเล้ว ใครลืมกลับไปอ่านอีกรอบได้นะคะ ขอโทษตุ๊กคนที่มาช้า ฮือ ฆ่าฉัน ฆ่าฉัน


Act 11: เรา...กับดาวในห้อง



                ตั้งแต่โรงพยาบาลจนถึงบ้าน นายก็มองตามเราไม่หยุด ดีหน่อยที่เขาต้องขับรถ เขาถึงละสายตาไปมองถนนแทน ตอนที่เราเล่ารายละเอียดคร่าวๆ ให้ฟัง เขามองมาอย่างเป็นเป็นห่วง ฝ่ามือใหญ่ๆ ของเขาลูบหัวเราช้าๆ เป็นการปลอบที่ไม่มีเสียงใดๆ เลย และเราคิดว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะมันทำให้เคลิ้มหลับ และไม่ต้องฝืนมองถนนด้วยความตื่นกลัวไปตลอดทาง



                ตอนอยู่บนรถตู้ เราแค่หลับตา เพราะใจยังเป็นกังวล ยิ่งมืดแบบนี้เรายิ่งต้องสังเกตคนขับ สุดท้ายเราก็นั่งนิ่งๆ มองไปด้านหน้า ชั่ววินาทีจริงๆ ที่เกิดอุบัติเหตุ คนขับสบถลั่นเมื่อโตโยต้าหักข้ามเลนส์ด้านขวามาตัดหน้ากะทันหันทำให้เขาเหยียบเบรกอย่างแรงก่อนที่ตัวรถจะพุ่งชนจนทะลุโค้ง เราตัวชาวาบรีบกอดหนูแหวนที่ไม่ได้คาดเข็มขัดไว้ ไม่ให้เธอลอยไปกระแทกเบาะด้านหน้า เพราะแบบนั้นตัวเราเลยลอยหวือกระแทกไปด้านหน้าอย่างจัง เสียงโครมใหญ่ดังลั่นอยู่ในหู ประตูฝั่งข้างคนขับยุบลงไปอย่างน่ากลัว เราพยายามคุมสติไว้อย่างที่สุด กลัวรถระเบิด ถ้ามีรถมาชนท้ายหรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่แค่ชนขอบทาง เราไม่อยากจะคิด ยังเป็นโชคดีของเรา



                “เฮือก!”



                เราผวาสะดุ้งตื่น จนนายรีบตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทาง



                “พี่ปั้น โอเคไหมครับ” เขาถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลเอามากๆ



                “เรา...โอเค” ตอบไปแบบนั้นแต่ใจสั่นเหลือเกิน อีกนานไหมกว่าจะถึงบ้าน อีกนานไหมเราจะหลับสนิท



                นายมองเรานิ่ง เขาค่อยๆ ยื่นมือมาจับข้างแก้ม ปลายนิ้วโป้งปาดน้ำตาที่หางตาอย่างเบามือ นานทีเดียวที่เขาจะเอ่ยต่อมา



                “จับมือผมไว้สิครับ”



                นายรวบมือขวาของเราไว้ที่ตักของเขา ยืดไว้เหมือนเป็นที่พึ่งให้เราและในขณะเดียวกันก็เป็นความสบายใจให้แก่เขา ความอุ่นซ่านกระจายทั่วฝ่ามือไปจนถึงอวัยวะที่เต้นเป็นจังหวะตรงกลางอก เรารีบหลับตา เมื่อความรู้สึกอยากร้องไห้ฉายวาบขึ้นมา สีหน้าของเขาตอนที่เจอเรามันหลากหลาย แววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวหรือสายตาโล่งใจของเขา



                ...แปลกจัง ขนาดนอนหลับ นายยังอยู่ในฝันของเราเลย...

               







                “พี่ปั้น ถึงบ้านแล้วครับ”



                “อือ หือ?..”



                “ถึงบ้านแล้วครับ”



                เราลืมตาขึ้นแล้วก็พบว่าใบหน้าเขาอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย สายตาของเขายังไม่คลายกังวล ซึ่งนั่นไม่เหมือนนายคนที่ร่าเริงเท่าไหร่นัก และดูเหมือนว่าเขาพยายามอย่างหนักที่จะไม่ทำให้เราคิดมาก



                “ถึงแล้วหรอ”



                เราปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วควานกุญแจบ้านในกระเป๋าเป้ บ้านในตอนนี้มืดสนิท ดอกกล้วยไม้ของแม่อยู่ท่ามกลางความมืดอย่างโดดเดี่ยว



                “เดี๋ยวเราเปิดประตูให้”



                เขาถอยรถเข้า ขยับเขยื้อนรถอยู่ไม่นาน รถของเอ็มเจก็อยู่ในโรงรถบ้านเรา เราเปิดไฟ ทิ้งของทั้งหมดลงบนโซฟา เดินเข้าไปหยิบน้ำมาให้เขา



                “นาย หิวอะไรไหม” หลังจากเข้ามาในบ้าน เขาดูจะคิดอะไรอยู่คนเดียว “นาย...”



                “พี่ปั้นยังไม่ได้กินอะไรนี่ หิวไหมครับ” เขารีบพูด



                “เอ่อ...ก็นิดหน่อย แต่ตอนนี้ที่บ้านไม่มีอะไรกินเลย เราทำ...”



                “ก๋วยเตี๋ยวไหมครับ ตอนเลี้ยวเข้ามา ผมเห็นขายที่หน้าเซเว่น ผมไปซื้อให้”



                “เราไม่กิน...”



                “ไม่กินไม่ได้นะพี่ปั้น” เขาเผลอขมวดคิ้ว ส่งเสียงดุเราทั้งๆ ที่เรายังพูดไม่จบ แต่เราไม่ยี่หระต่อสายตาเขา พูดจาเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ



                “เราไม่กิน ถ้านายไม่กินด้วย” ว่าแล้วเราก็จ้องตาเขานิ่งเป็นเวลาหลายนาทีจนเขาหลบตาก่อน



                “...เฮ้อ จ้องขนาดนี้ต้องยอมแพ้แล้วล่ะครับ พี่ปั้นรออยู่นี่ ผมไปซื้อให้ เดี๋ยวเดียว”



                 นายน่ะดื้อของแท้เลย เขาว่าแบบนั้นแล้วก็เดินลิ่วไปหน้าบ้าน แต่ยังดีหน่อยเพราะเขาดูจะไม่เหม่อหรือคิดอะไรคนเดียวแล้ว ระหว่างที่เขาออกไปแม่กับพ่อก็โทรหาเรา เราบอกแม่ว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก และนายไปรับเรามาส่งที่บ้าน ในเวลาที่เราเสียขวัญ และต้องยืนเคว้งอยู่ตรงนั้น เราดีใจที่เห็นเขา คนที่มีแต่สายตาเป็นห่วง และนอกเหนือจากนั้น



                ...เราดีใจที่เป็นนาย...



                (ขวัญมานะลูก แล้วตอนนี้นายอยู่ไหนล่ะ)



                “นายออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวให้ปั้นครับ”



                (โธ่ ถ้าไม่ได้นาย ปั้นจะทำยังไง เฮ้อ แม่ใจไม่ดีเลย)



                “ปั้นไม่เป็นไรครับแม่ ออกมาจากห้องตรวจ นายก็มาหาเลย ปั้นไม่รู้จะพูดยังไงเลย...”



                (พระคุ้มครอง แล้วตอนนี้ดึกแล้วปั้นให้นายนอนที่บ้านนั่นแหละนะลูก อย่าให้น้องกลับ เสื้อผ้าใหม่ๆ ก็อยู่ในตู้...)



                แม่บอกว่าจะรีบกลับตอนเช้า ทั้งๆ ที่เราย้ำว่าเราโอเค ส่วนพ่อก็บ่นสองสามคำตามประสาผู้ชายไม่ค่อยพูด



                แกร๊กๆ



                เสียงประตูเหล็กเลื่อนเปิด เขากลับมาแล้ว เราวางสายจากแม่พอดีแล้วเดินเข้าไปเตรียมชามมาวางไว้ที่ห้องนั่งเล่น



                “ลืมถามเลยว่าพี่ปั้นกินเส้นอะไร” เขาพูดขำๆ หลังจากวางถุงก๋วยเตี๋ยวลงบนโต๊ะ



                “ก็รีบเดินไปซะขนาดนั้น” เราบ่นแบบไม่จริงจังนัก แต่ก็แอบดีใจที่เขายิ้มแล้ว



                “ผมสั่งบะหมี่กับเส้นเล็ก เผื่อว่าพี่ปั้นชอบหนึ่งในสองอันนี้” เราเสมองถุงก๋วยเตี๋ยว ก่อนจะหันมาสบตาเขา



                “เราชอบ...”



                “ครับ?”



                “เรา...ชอบบะหมี่มากกว่า”



                “ผมก็ชอบบะหมี่”



                “อ้าว แต่นายสั่งเส้นเล็กมาด้วยนะ”



                “เอางี้...” เขาชอบมีข้อแม้อยู่เรื่อย “ถึงผมจะชอบพี่ปั้นมากกว่าบะหมี่ แต่คราวนี้เราต้องแบ่งครึ่งกันแล้วล่ะครับ”



                เรามึนตึ้บไปกับประโยคบอกชอบที่มาไม่ทันตั้งตัวแล้วก็เงื่อนไขของเขา



                สรุปว่ามื้อเย็นตอนสามทุ่มกว่าๆ นั้น เรากับเขาเอาแต่เถียงกันเรื่องเส้นที่แบ่งไม่เท่ากัน เรามองเส้นบะหมี่สีเหลืองกับเส้นเล็กสีขาวในชามของเราสลับกับมองชามของเขา พอจะอ้าปากบอกว่าเขาตักบะหมี่มากเกินไป เจ้าเด็กคนนี้ก็คีบเส้นกินอย่างรวดเร็ว เขมือบหลักฐานชิ้นสำคัญลงท้องไปหมด เราถลึงตามอง แต่ถึงอย่างนั้นมุมปากก็ยกยิ้มขณะที่ซดน้ำซุป ช้อนบังอยู่นายคงไม่เห็นหรอกใช่ไหม



                “นาย ดึกแล้วนอนที่นี่แหละ” เราเดินเข้ามาบอกหลังจากล้างชาม ล้างปากเสร็จเรียบร้อย เขาที่นั่งดูทีวีพร้อมกับกินแอปเปิ้ลหันมามองเรา



                “ถึงไม่บอก ผมก็จะอยู่เฝ้าพี่ปั้นอยู่แล้ว”



                “เอ๊ะ...”



                “ที่บ้านก็ไม่มีคนอยู่ด้วย ถึงจะอยู่ในบ้านผมก็เป็นห่วง”



                “แล้วถ้าเราไม่ให้นอนแล้วล่ะ”



                “ผมก็จะนอนในรถ”



                “ดื้อจริงๆ เล้ยยย” เราหมั่นเขี้ยวในความดื้อดึงของเขา จนเผลอยื่นมือไปดึงแก้มเขา พอจับค้างไว้ เราถึงได้รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ต่างคนต่างจ้องมองกันนิ่ง เราชะงักเมื่อเห็นว่าเราสองคนอยู่ใกล้กันเกินไป แล้วมันก็น่าอายเกินไปด้วย ก่อนที่จะผละออกก็เป็นเขาที่จับมือเราไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ยืดท้ายทอยเราไว้ตอนไหนไม่รู้ เวลาอยู่กับเขาทุกอย่างดูเชื่องช้า เหมือนกับว่านาฬิกาเดินช้าลงทุกที



                “คราวหลังไม่เอาแล้วนะครับ ผมขอไปรับเอง ถ้าผมเรียนเลิกช้ามาก พี่ปั้นก็อยู่หอต่อ เดี๋ยวตอนวันเสาร์เช้าผมไปรับเอง เดินทางกลางวันดีกว่ากลางคืนเป็นไหนๆ”



                “...”



                “พี่ปั้นห้ามปฏิเสธ นี่เป็นบทลงโทษของผม ลงโทษที่พี่ปั้นทำให้ผมกลัว...” ประโยคท้ายเขาพูดเสียงเบาหวิว และดวงตาของเขาสั่นไหวเมื่อเอ่ยบทลงโทษที่เต็มไปด้วยการวอนขอ



                “เด็กขี้กลัว...” เรายิ้มอย่างเอ็นดู พยายามซ่อนความเขินอายแต่ก็ไม่เป็นผล



                และใบหน้าของเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้ช้าๆ



                ส่วนผีเสื้อในท้องก็ออกเดินทางอีกครั้ง...

 







                “เอ่อ...นายเข้าก่อนเลย/พี่ปั้นเข้าก่อนเลย”



                เราทั้งคู่ชะงักเมื่อต่างคนก็จะเข้าห้องน้ำ บ้านหลังเล็กๆ ของเรามีห้องน้ำแค่ห้องเดียว ดังนั้นเราที่ขอตัวไปสงบใจที่ห้องของตัวเองมาพักนึงเลยโผล่พรวดออกมาเข้าห้องน้ำ ส่วนเขาที่นั่งที่ห้องนั่งเล่นก็คงจะมาเข้าห้องน้ำพอดี



                มันจะไม่มีอะไร ถ้าเราไม่รู้จะมองไปทางไหน มันจะไม่มีอะไร ถ้ามือไม้จะเกะกะไปหมดขนาดนี้ แล้วเขาก็เอาแต่ส่งสายตาแปลกๆ แถมยังอมยิ้มมาให้เราอยู่ได้



                 ...ทำแบบนั้นกับเราแล้วยังจะยิ้มล้ออีกนะ...



                “หืม?...พี่ปั้น...” นายขยับเข้ามาใกล้ ส่วนเราก็ถอยห่าง นายแปลงร่างกลับมาเป็นเด็กเจ้าเล่ห์เหมือนเดิมแล้ว และนั่นมันไม่น่าไว้ใจมากๆ เราเอนหลังไปจนรู้สึกว่าหลังแนบกับประตูจนหมดทางหนี แล้วเขาก็อมยิ้มก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ใจตรงกันแบบนี้...เข้าพร้อมกันเลยดีไหมครับ”



                “นาย!...ถอยออกไปเลยนะ” เราตกใจ เผลอดันหน้าเขาด้วยผ้าเช็ดตัว



                “พี่ปั้น! แค่กๆ ล้อเล่นครับ” เขารวบข้อมือเราไว้ ก่อนจะส่งเสียงโอดโอย



                “เราจริงจัง”



                “เรื่องที่จะเข้าพร้อมกันน่ะหรอครับ”



                “หนอย...”



                “โอ๊ยยย พี่ปั้นนน กดมาแรงเดี๋ยวเจ็บแผลหรอกครับบบ ผมไม่พูดแล้วๆ”



                …เรายอมรามือก่อนก็ได้ ฮึ...



                และหลังจากนั้น นายก็บ่นเรื่องที่เราจะอาบน้ำเอง เขาบอกว่าให้เช็ดตัวแทน เพราะแผลที่ข้อศอกจะโดนน้ำ



                “พี่ปั้นเช็ดตัวเถอะครับ”



                “เราอาบได้ ไม่ต้องห่วง”



                “พี่ปั้นดื้อกว่าผมอีกนะ” เขาส่ายหน้า แถมยังขมวดคิ้วอีกต่างหาก “ผมจะรออยู่หน้าห้องน้ำ ถ้ามีเสียงร้องโอ๊ยแค่คำเดียว ผมจะพังประตู”



                “บ้าหรอ!” เราร้อง เขาชักจะบ้าไปกันใหญ่



                “พี่ปั้นก็ลองดูว่าผมพูดจริงหรือพูดเล่น”



                เพราะคำขู่ของเขา เราถึงอาบน้ำอย่างระมัดระวังที่สุดแผลไม่โดนน้ำแม้แต่นิดเดียว พอออกจากห้องน้ำ เขาก็เดินตามเราเหมือนลูกเป็ด



                “ไปอาบน้ำ ตามเรามาทำไม”



                “ผมใส่ยาให้”



                “ไม่เป็นไร นายไปอาบน้ำได้แล้วไป ดึกแล้ว นี่ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า แล้วก็แปรงฟันเราเตรียมไว้ให้แล้ว” เขาเดินตามเข้ามาห้องเราอย่างธรรมชาติ ขณะที่เราแต่งตัวในห้องน้ำแล้วนั่งที่ปลายเตียงเตรียมทายาพร้อมกับชี้ไปที่กองเสื้อผ้าด้านข้าง แต่นายไม่สนใจมอง เขาทาบฝ่ามือที่หน้าผากเรา



                “พี่ปั้นตัวรุมๆ นะครับ กินยากันไว้ไหม”



                “เราอาบน้ำอุ่น ตัวเลยอุ่นรึเปล่า” เราทำหน้างงๆ ตอบกลับไปด้วยตรรกะมั่วๆ เขาไม่พูดอะไรแต่เลื่อนฝ่ามือมาปิดตาเราแทน



                “ตาก็ร้อน”



                “ไม่เห็นร้อนเลย นายจะรู้ดีกว่าตัวเราได้ไง” พอเขาเอามือออก เราก็เงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ขมวดคิ้วจนพันกันไปหมดแล้ว ไม่ทันได้บ่น นายก็พูดประโยคที่ทำให้เราแทบลมหายใจสะดุด



                “รู้สิครับ ตอนจูบ ลมหายใจพี่ปั้นร้อนจนจะลวกแก้มผมไ...”



                “นาย!” เรารู้สึกเหมือนแก้มจะระเบิด ...น่าอายอะไรอย่างนี้... ภาพเหตุการณ์โฟร์ดีฉายวาบเข้ามาในสมองบรรยากาศมันพาไปเท่านั้นล่ะ!



                ...แล้วใครใช้ให้พูดหน้าตายขนาดนี้กัน!...



                “เอ้า ก็พูดเรื่องจริงอะ...” เขาเถียง



                “หยุดเลยนะ! ไม่งั้นเราจะให้นายไปนอนในรถ!”



                “ใจร้าย งั้นถ้าผมหยุด ให้ผมนอนบนเตียงเดียวกับพี่ปั้นนะ”



                “นาย!”



                เขาขยิบตาแล้วคว้าเสื้อผ้าวิ่งออกไปได้ทันก่อนที่หมอนบนเตียงจะบิน



                ...ให้ตายเถอะ! เราเอ็ดเขาไปกี่ทีแล้วเนี่ย  แล้วก็หยุดเต้นแรงซักทีเถอะใจ...







                ปัญหาใหม่...เราไม่ยอมให้เขานอนในห้อง ไม่ได้หรอก ห้องเราเป็นความลับของเรา เกิดเขาไปเจออะไรล่ะ ถ้าเราจะปล่อยเขานอนในห้องนี้...ไม่ได้ๆๆ แล้วถ้าจะให้เขาไปนอนที่ห้องพ่อแม่ก็ไม่ดีอีก ดังนั้นเราเลยให้เขานอนในห้องนี้กับเรา เราจะได้จับตาดูเขาทุกฝีก้าว และนั่นเข้าทางเขาคนนี้สุดๆ



                “ผมไม่แอบดูอะไรหรอกครับ”



                “ยิ้มแบบนี้เราโคตรไม่ไว้ใจเลย”



                “ถ้าไม่ไว้ใจ ก็มาครับ มานอนกัน นอนกอดกันเลยก็ได้ พี่ปั้นจะได้มั่นใจว่าผมไม่แตะต้องของในห้องพี่ปั้นแน่นอน” เขาตบเตียงสองสามที ท่าที่เท้าแขนมองเรานี่มันกวนสิ้นดี ถึงจะดีใจที่เขากลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ขอเปลี่ยนใจได้ไหม ทำไมกวนแบบนี้



                “เกลียดรอยยิ้มนายชะมัด”



                “หึหึ...”



                “นายเป็นแขกนายนอนบนเตียง เรานอนข้างล่างเอง”     



                “โธ่พี่ปั้น ตัวเองเจ็บจะไปนอนทำไมที่แข็งๆ ล่ะครับ เพื่อความสบายใจของพี่ปั้น...” เขาทำท่าคิด “ผมจะลงไปนอนพื้นเอง”



                ...ยอมง่ายเกินไป... เราหรี่ตามอง เขาเลยทำหน้าหงอยๆ หยิบหมอนบนเตียงแล้วลงมานั่งขัดสมาธิที่ฟูกด้านล่าง



                “แค่นี้ไม่เป็นอุปสรรคหรอกครับ”



                “ว่าไงนะ”



                “เปล่าครับ พี่ปั้นนอนได้แล้ว เที่ยงคืนกว่าแล้ว ผมไม่แกล้งแน่นอน”



                “แน่ใจ...”



                “แน่สิครับ ดีเหมือนกัน ถ้าพี่ปั้นไปนอนคนเดียวเดี๋ยวเจ็บแผลทำไง” จู่ๆ เขาก็ทำเสียงจริงจัง “กลางคืนมันจะปวดมากเลยนะครับ”



                “จริงหรอ” เราเอียงคอคิดตาม “แต่เรากินยาตามที่นายบอกแล้วนะ”



                “หึหึ พี่ปั้นเนี่ยก็ฟังผมเหมือนกันน้า” เขาพูดยิ้ม เราเลยรีบเปลี่ยนเรื่อง



                “นอนได้แล้ว” เขาส่งเสียงหัวเราะในลำคอแล้วก็ลุกขึ้นไปปิดไฟ ห้องทั้งห้องเลยอยู่ในความมืด จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมานอนในห้องนี้กับเรา เรานึกถึงตอนที่เจอกับนายครั้งแรกจนถึงตอนนี้ แปลกดีเหมือนกัน คนแปลกหน้าในวันนั้นกลับมานอนเป็นเพื่อนเราในห้องนี้ และเป็นคนแปลกหน้าที่ทำให้เราสบายใจที่สุดเวลาอยู่ด้วย เงียบไปไม่นาน คนที่นอนข้างล่างก็ส่งเสียงมา ฉุดเราออกจากภวังค์



                “พี่ปั้นดูดาวกัน”  เราหันหน้ามองเขา เห็นลางๆ ว่าเขายกแขนขึ้นไปบนเพดาน พอมองตามแล้วก็พบว่านั่นเป็นดาวเรืองแสงที่เราติดไว้เมื่อนานมาแล้ว นานจนเราไม่ได้ใส่ใจมอง นานจนไม่รู้ตัวเลยว่ามันสวยขนาดนี้ตั้งเเต่เมื่อไหร่



                “ลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าเราเคยติดมัน”



                “นั่นดาวอะไรครับ”  เขาถามขึ้นอีก ทั้งๆ ที่ดาวเรืองแสงทุกดวง เป็นรูปดาวห้าแฉกเหมือนกันแท้ๆ แต่เราก็ตอบกลับ



                “ดาวลูกไก่”



                “งั้นหรอครับ นู่นล่ะดาวอะไร” เขาถามอีก



                “ดาวไถล่ะมั้ง”



                “มั่วแล้วพี่ปั้น”



                “เอ้าก็นายยังถามมั่วๆ เลย”



                “หึหึ”     



                พอเขาหัวเราะในลำคอแบบนั้น เราเลยส่งเสียงหัวเราะออกมาบ้าง สุดท้ายเราทั้งสองคนเลยนอนมองดาวพร้อมกับเสียงหัวเราะ จากนั้นก็มองเพดานกันเงียบๆ แต่รับรู้ได้ว่าอีกคนยังไม่หลับไป ทั้งๆ ที่ตอนนี้คงจะเข้าเช้าวันใหม่แล้ว



                “นาย...” เราตัดสินใจถามเขา เรามองมือขวาของตัวเองที่เข้ากุมไว้ตอนอยู่ในรถ



                “ครับ”



                “นายมี...เรื่องอะไรจะเล่าให้เราฟังไหม” ทุกเรื่องที่ทำให้นายมีสีหน้าและแววตาแบบนั้น เราอยากให้ห้านาทีแก่นายบ้าง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เราพูดอยู่ในใจเท่านั้น



                “พี่ปั้นอยากให้ผมเล่านิทานก่อนนอนหรอ” เขาหัวเราะเบาๆ แต่ก็คล้ายจะเข้าใจในสิ่งที่เราขอ



                “...มีไหมล่ะ”         



                “ผมเล่านิทานไม่ค่อยเก่งหรอกนะครับ เรื่องนี้เป็นไง กระต่ายกับเต่า” เขาหัวเราะแผ่วๆ ในประโยคแรก ต่อมาก็พูดเสียงกระตือรือร้นเหมือนว่าคิดอะไรสนุกๆ ออก จนเราอดยิ้มไม่ได้ เอาเถอะ ถ้ายังไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเขาก็ไม่กลับไปเศร้าก็พอแล้ว



                “โคตรเก่าเลย”



                “พี่ปั้นนน ยิ่งเก่ายิ่งคลาสสิคนะครับ”



                “ทำอย่างกับเราไม่รู้ตอนจบ”



                “เอาน่า รับรองเวอร์ชั่นนี้พี่ปั้นเดาตอนจบไม่ได้แน่นอน ว่าไง เริ่มเลยนะครับ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...มีเจ้าชายเต่าผู้หล่อเหลาแห่งเมืองสโลว์ไลฟ์พระองค์หนึ่ง เจ้าชายเต่าชอบกินผักบุ้งที่สุด วัน...”



                “ก็แน่ดิ เต่าที่ไหนไม่ชอบผักบุ้ง”



                “พี่ปั้นนนน”



                “อะๆ ไม่ขัดก็ได้”



                “...วันหนึ่งกระต่ายที่เป็นศัตรูก็มาบุกเมือง มันท้าให้เจ้าชายวิ่งแข่งกัน ถ้าแพ้มันจะเข้ายืดเมืองทันที เจ้าชายเต่าโกรธมากและยอมรับคำท้าในที่สุด เมื่อวันแข่งมาถึงทุกคนต่างมารอชมการแข่งขันกันอย่างล้นหลาม เจ้าชายเต่าเดินต้วมเตี้ยมมายังลานการแข่งขันที่หลังพระราชวัง เขาเดิน...เดิน มาเกือบจะครึ่งวันก็ยังไม่ถึง ในตอนนั้นกระต่ายก็เริ่มหงุดหงิด มันจึงกินแครอทระหว่างรอจนแครอทหมดทั้งภูเขา...”



                “ทำไมเจ้าชายเต่าถึงไม่ขึ้นราชรถ” เราถามอย่างสงสัย



                “เอ่อ...เจ้าชาย เอ่อ...อ๋อ เป็นเรื่องเศร้าของเมืองนี้ครับพี่ปั้น เจ้าชายเต่าไม่สามารถขึ้นราชรถได้เนื่องจาก...”



                “ขาของเจ้าชายสั้น!” เรารีบตอบ เผลอกระตุกแขนจนเจ็บแปล๊บที่แผล  “ใช่ไหมล่ะ?” เขาเลยส่งเสียงหัวเราะมาเป็นคำตอบ



                “โหพี่ปั้นสุดยอดเลย เคยอ่านเวอร์ชั่นนี้แล้วหรอครับ ถ้านอนอยู่ข้างๆ จะขอลูบหัวให้รางวัลพี่ปั้นเลย” เราเม้มปาก ไม่ตอบอะไรเดี๋ยวโดนล้ออีก เขาเลยเล่าต่อไปอีกยืดยาว แถมบรรยายซะจนเราหลับตาจินตนาการตามไปด้วย



                อา...ยิ่งฟังก็ยิ่งเคลิ้ม...จนฝืนลืมตาไม่ไหว



                “...พี่ปั้น” ได้ยินเสียงกระซิบใกล้ๆ เราเปล่งเสียงในลำคออย่างยากลำบาก



                “อือ”



                “นอนแล้วหรอครับ” รู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาผ่านปลายคิ้ว เราโดนความง่วงโจมตีเต็มรูปแบบ แถมยังหนักไปทั้งตัว โดยเฉพาะแผลตรงข้อศอกทั้งสองข้างที่เริ่มตึง



                “...อืม”



                ช่วงที่ใกล้เข้าสู่ห้วงนิทราเต็มที ในตอนนั้นเราได้ยินเสียงกระซิบที่คุ้นหู พร้อมกับความอุ่นวาบที่หน้าผาก



                “ขอบคุณที่พี่ปั้นปลอดภัยนะครับ”

             




[ต่อด้านล่างนะคะ]
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 11: เรา...กับดาวในห้อง p.5 [22/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 22-12-2017 20:25:25
[ต่อจากด้านบน]


                “พี่ปั้น ตื่นมากินข้าวเช้าก่อนครับ”



                ฟึ่บ!



                “อ้าว พี่ปั้น ทำไมหันหลังให้ผมแบบนี้ล่ะครับ กินข้าว กินยาก่อน พี่ปั้นค่อยนอนต่อก็ได้”



                “...เราขอนอน”



                “โห พี่ปั้นเสียงแหบมากเลย มาครับ ตื่นก่อน”



                “เราขอ”



                “หรือว่า...ที่ไม่ยอมตื่น อยากให้ผมพิสูจน์ความร้อนแบบเมื่อคืนใช่ไหมครับ”



                พรึ่บ!



                “นาย...โอ๊ย!” ...เจ็บเเผล...



                “ค่อยๆ ครับ ถ้าอยากตีผมต้องค่อยๆ ลุก”



                หลังจากมีเสียงคนจอมเผด็จการอย่างนายดังอยู่ข้างหู เราก็ลุกขึ้นมาจ้องหน้าเขาด้วยสายตาปั้นเวอร์ชั่นตื่นนอนผสมปั้นเวอร์ชั่นตาขวาง



                …กวนแต่เช้าเลยเด็กอะไร...



                “ผมก็ยุ่ง”



                “ไม่ต้องมาจับหัวเรา” เราปัดมือเขาออก นายหัวเราะแล้วยื่นมือมาจับปลายคางอีก



                “หน้าก็บึ้ง”



                “ปล่อยนะเว้ย”



                “โห พูดจาไม่น่ารักเลย ตื่นมาต้องทำหน้าสดใสนะพี่ปั้น”



                “ใครจะสดใสแบบนายกัน ง่วงจะตายแล้ว” เราพึมพำ พร้อมกับลุกขึ้น นายถอยไปยืนอารมณ์ดีอยู่ข้างๆ เตียง ดูเหมือนเขาจะอาบน้ำเรียบร้อย แต่วันนี้ใส่เสื้อบาสเบอร์เก้าที่คงจะมีติดกระเป๋า กับกางเกงยีนส์ที่เขาใส่มาเมื่อวาน



                “ไปครับ ผมซื้อข้าวมันไก่มาให้ เจ้าดังแถวท่าพระเลยนะ”



                “นายตื่นกี่โมงเนี่ย” เราเดินลากขามาที่ห้องน้ำ เขาเดินตามมา และดูท่าทางเขาจะไม่มีร่องรอยของความง่วงเลย



                “ไม่ได้นอนต่างหาก”



                “งึมงำอะไร แล้วเมื่อกี้บอกว่าไปท่าพระหรอ นายไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้”



                “ไม่ได้นะครับ อยากให้พี่ปั้นได้กินอะไรอร่อยๆ จะได้หายเจ็บไวๆ”



                “เว่อร์ไปแล้ว” เราหันมามองหน้าเขา อยากจะดุว่าทำอะไรเกินตัวจริงๆ ซอยถัดไปก็มีร้านอาหารตั้งเยอะ แต่เอ๊ะ...



                “นาย”



                “ว่าไงครับ”



                “จะยืนตรงนี้อีกนานไหม เราจะเข้าห้องน้ำ”



                เขายิ้มตาหยี ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงกวนประสาท “เห็นพี่ปั้นไม่ว่าอะไร นึกว่าอยากชวนอาบน้ำให้ซะอีก”



                “คนโรคจิต!”



                ปัง!

 







                ถ้ามีคนถามว่าวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ของคุณเป็นแบบไหน? บางคนก็อาจจะตอบว่า ไปพักผ่อน ดูหนัง ฟังเพลง ทำการบ้าน นัดติวอะไรแบบนั้น แต่สำหรับเรา...ปกติแล้วเราจะนอนเฉยๆ ทิ้งความเหนื่อยล้ากับการเรียนไว้ที่มอ นอนเปื่อยๆ ไปครึ่งค่อนวัน แล้วค่อยทำงานที่ค้าง ไม่ก็หยิบหนังสือดีๆ มาอ่านซักเล่ม พร้อมกับนอนกินขนมจนแม่บ่น



                ...เอ่อ แต่ตอนนี้มีคนบ่นอีกคนแล้วล่ะ...



                “กินข้าวเสร็จก็ต่อด้วยขนม แถมนอนด้วย เดี๋ยวก็อ้วนเป็นหมูหรอกพี่ปั้น”



                “ทำไมนายขี้บ่น”



                “ก็ดูพี่ปั้นสิ จริงๆ เลย ไม่คิดว่าพี่ปั้นจะเป็นคนแบบนี้นะเนี่ย”



                “เราเป็นแบบไหน พูดให้ดีนะ” เขาเดินมาที่โซฟา ยกเท้าเราออกพอเราไม่ยอมก็แกล้งนั่งทับขาเรา กวนสุดๆ เราทนไม่ไหวเลยขยับท่าทางใหม่ นั่งขัดสมาธิบนโซฟาแต่หันหน้าไปทางคนที่ว่าเราเป็นหมู



                ...เราไม่ใช่หมูรู้ไว้ซะ! เจ้าเด็กน้อย...



                “อืมม  ก็...คิดว่าตอนแรกพี่ปั้นดูไม่ค่อยพูด ตามคนไม่ทัน คงจะไม่มีปากมีเสียงกับใคร” เขาเท้าคางกับหมอนอิง ส่วนตาก็มองมาทางเรา “แต่ตอนนี้ เถียงผมทุกคำ แถมทำร้ายร่างกายผมด้วย”



                เขาทำหน้างอนๆ ซึ่งนั่นทำให้เราหลุดหัวเราะ



                “เราก็เป็นแบบนั้นกับนายคนเดียวป้ะ” ...ถ้าคนอื่นมาเห็น ล้อเราตายเลย... เราเบะปาก คิดภาพว่าถ้ามีคนรู้เข้า ภาพลักษณ์เนิร์ดๆ ของเราคนป่นปี้แหงแซะ  เรายักไหล่แล้วก็ต้องชะงักเพราะนายมองเราตาไม่กระพริบ



                “เราพูดอะไรผิดไปหรอ” เราชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง



                “พี่ปั้น...อย่าไปพูดแบบนี้กับใครนะครับ” เขากระแอมพร้อมกับยกหลังมือเช็ดจมูก เบนสายตามองไปที่พื้น



                “พูดอะไร”



                “ก็...นั่นแหละครับ พี่ปั้นเป็นแบบนี้กับผมคนเดียวผมก็ดีใจแล้ว” เขายิ้ม แถมยังขยับตัวเข้ามาใกล้อีกต่างหาก “ถ้าพี่ปั้นอยากจะเศร้า อยากจะร้องไห้ อยากจะยิ้ม อยากจะหัวเราะ อยากจะทำตัวบ้าบอ อยากจะงอแง ใส่ใคร ขอให้คนๆ นั้นเป็นผมนะครับ”



                “นาย...” เราถอยจนหลังชนกับแขนโซฟาอีกฝั่ง หัวใจเต้นแรงเพราะคำพูดเขาอีกแล้ว “นี่นาย...”



                “ครับ” เขาส่งเสียงขานรับในลำคอ แล้วยื่นหน้ามาใกล้ จนเราเห็นตัวเองในแววตาเขา เราเลย..ยื่นฝ่ามือทั้งสองข้างไปวางที่แก้มเขา แล้วก็…



                แปะ!



                “...ว่าเราเป็นบ้าหรอ”



                “อ่า...แล้วก็อีกอย่าง พี่ปั้นเป็นคนที่ไม่โรแมนติกเอาซะเลย” เขาถอนหายใจแล้วพลิกตัวไปนั่งดูทีวี บ่นพึมพำอะไรคนเดียวไปตลอดทั้งเช้านั่น เราถามอะไรก็ไม่ตอบ เราเลยง้อเขาด้วยคุกกี้ที่เรารัก ไม่นาน นายก็เผลอยิ้มแล้วก็กลับมากวนประสาทได้เหมือนเดิม



                ...นายนั่นเเหละจะอ้วนเป็นหมู โธ่ คุกกี้เรา...

               







                “ปั้นลูก เป็นไงบ้าง”



                เราตื่นมาอีกทีด้วยเสียงปลุกของแม่ พอลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองนอนหลับอยู่บนโซฟา แถมตอนนี้ก็เป็นเวลาสามโมงกว่าแล้วด้วย



                “เจ็บนิดหน่อยครับแม่ เเต่ว่าตอนนี้ดีขึ้นมากเเเล้วครับ”



                “ปะลูก ล้างหน้าล้างตาก่อนจะได้สดชื่น” แม่เอาผ้าห่มที่คลุมตัวเราไปพับ เรามองอย่างตามงงๆ



                “นายล่ะครับแม่”



                “น้องกลับไปประมาณชั่วโมงก่อนแล้วล่ะลูก บอกว่าต้องเอารถไปคืนเพื่อน แม่จะให้กินข้าวเย็นก่อนค่อยกลับก็ไม่ทัน นายนี่เป็นเด็กดีจริงๆ เลยนะ ตอนแม่เข้าบ้านเห็นนายกำลังห่มผ้าให้ปั้นอยู่เลย”



                “นายไปแล้วหรอครับ”



                …ยังไม่ได้ขอบคุณเลย...



                “ไปๆ ลุกไปล้างหน้า เดี๋ยวพ่อกับแม่พาไปเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลอีกที อะ แล้วเราต้องไปโรงพักอะไรอีกไหม”



                “ไม่แล้วครับ เมื่อวานเรียบร้อยแล้วครับ”



                หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางไปโรงพยาบาล ระหว่างรอผลตรวจร่างกาย พ่อกับแม่ก็คุยเรื่องอุบัติเหตุ แถมยังถามเรื่องนายอีกเยอะแยะไปหมด และดูเหมือนว่าเราจะตอบไม่ค่อยได้เลย



                “บ้านนายเขาอยู่ไหนน่ะปั้น”



                “เอ่อ...” นั่นสิ เขาอยู่บ้านหรือเขาอยู่หอนะ “ปั้นก็...ไม่แน่ใจครับพ่อ”



                “แล้วเขาชอบอะไรเป็นพิเศษไหมลูก ถ้านายมาอีกแม่จะทำอาหารให้สุดฝีมือเลย”



                “เขาชอบบาสครับแม่”



                “ปั้น แม่หมายถึงอาหาร”



                “เอ่อก็...เขากินได้หมดเลยนะแม่ ปั้นอยากกินอาหารญี่ปุ่นก็พาไป ข้าวหน้าเนื้อ ข้าวหน้าหมูอะไรแบบเนี้ย แล้วเมื่อวานซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้ เขาบอกว่าชอบบะหมี่”



                “หือ นั่นมันของพี่ปั้นชอบไม่ใช่หรอ”



                “อ่า...” จริงด้วย...ที่เขากินเพราะเราชอบรึเปล่านะ...



                “ปั้นเนี่ยไม่ได้เรื่องเลย นี่รู้ไหมก่อนไป นายกำชับแม่ใหญ่เลยบอกว่าปั้นไม่สบาย ให้บังคับกินยาด้วย”



                “หรอครับ”



                “เราน่ะไปถามเขามาด้วยล่ะ คราวหน้าแม่ต้องกักตัวนายให้ได้จริงๆ เนอะพ่อเนอะ”



                “อืม เออ นายมาขอไปรับปั้น” พ่อหันมาบอก แม่เลยสำทับ



                “แล้วพ่อก็เลยอนุญาต ปั้นก็ห้ามปฏิเสธถือว่าเป็นความสบายใจของพ่อแม่แล้วก็นาย ถ้าน้องไม่มีรถก็มาเอารถบ้านเราได้ นายเขามีใบขับขี่อะไรเรียบร้อยเลยด้วย แม่ว่าเขาไว้ใจได้ ใช่ไหมลูก”



                เราพยักหน้าเงียบๆ แล้วก็เริ่มคิด...เราไม่ได้รู้จักเขาอย่างที่เขารู้จักเราเลยแม้แต่นิดเดียว...



                ในตอนนั้นประโยคนึงก็ผุดเข้ามาในความคิด



                ...เราอยากรู้จักนายให้มากกว่านี้...



                ไม่สิ



                ...เราต้องรู้จักนายให้มากกว่านี้นะข้าวปั้น...

 







                ตกกลางคืนเราก็เอาแต่นอนมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่วางอยู่บนหน้าท้อง แอพลิเคชั่นสีเขียวบนจอไม่แจ้งเตือนขึ้นมาพักใหญ่ หายไปไหนของเขาทั้งวัน เราเผลอกัดเล็บ



                ...เอาน่า ทักก่อนไม่เห็นเป็นไรเลย...



                เรากดพิมพ์ข้อความ ภายในห้องมีเพียงเสียงแป้นพิมพ์เท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนเรา เพิ่มเสียงกรนเบาๆ ของพ่อที่ทะลุผนังมาด้วยแล้วกัน



                ...โอเค เริ่มพิมพ์...



                “นายย หายไปไหนมา เฮ้ย ไม่ได้ๆ ลบๆๆ นาย ยังไม่ทักอีก จะบ้าหรอ ลบๆๆๆ นาย กลับไม่บอกเลยนะ โอ๊ยย จะคิดไรเนี่ยปั้น”



                เราโคตรเหมือนสาวน้อยเลย แน่นอนว่าไม่ใช่เด็ดขาด! แค่ทักเขาไปแค่เนี้ย ชิลๆ



                “นาย จะกลับทำไมไม่ปลุกเราก่อน ไปแบบนี้ใช้ไม่ได้เลย อ่านแล้วตอบกลับด้วย ไม่งั้น อาทิตย์หน้าเราจะหนีกลับมาก่อนไม่รอนาย”



                ....กดส่งเลย...



                "Enter!"



                เราจ้องจนตาจะทะลุเข้าไปในคอมฯ นายก็ไม่อ่าน ไม่ตอบกลับมา สงสัยเขาจะนอนแล้วมั้ง เราเงยหน้ามองดาวเรืองแสงแล้วก็ถอนหายใจ เผลอห่อไหล่ หูตก ...นอนก็ได้เรา... เราถอดใจ เลื่อนเม้าส์ไปเพื่อจะปิดคอมแต่ก่อนจะปิดคอมนั้น จู่ๆ แจ้งเตือนไลน์ก็เด้งขึ้นทางด้านขวาของจอ เรารีบกดตอบกลับทันทีโดยไม่มองชื่อทันที



     
        read  Khaopun
                นี่ นายไม่เห็นข้อความเราหรอ เราพิมพ์ไปตั้งเยอะ
แล้วส่งสติ๊กเกอร์มาทำไม
ตอบเราเดี๋ยวนี้


                เราขมวดคิ้ว สงสัยว่าทำไมเขาเงียบแปลกๆ

                ไม่กี่วิหลังจากนั้น เราก็ได้คำตอบ...



                NchaN
                 ?
                ข้าวปั้นป้ะ
                นี่เราชานะ
                ชานนท์




                ...สิ่งที่หลีกเลี่ยงก็ปรากฏต่อหน้าโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

                แน่นอน มันรวดเร็วชนิดที่ว่า...

                ...เราหรือคุณไม่ทันได้ร้องคำว่าตุ๊ดตู่ออกมาเลยด้วยซ้ำ…







____________
กว่านายจะมา หวังว่าพี่ปั้นคงไม่ไหม้
อ่านจบเเล้วเป็นยังไงกันมั่งงง
ส่วนตัวเราชอบความเป็นธรรมชาติของนายนะ ถถ เนียนเป็นธรรมชาติเชียวพ่อเอ๊ย
ส่วนพี่ปั้น เรามีความรักให้ก็พอเเล้ว อย่ากลอกตา5555
คิดถึงทุกคนเหมือนเดิมนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ เลิฟ

แถมนิดโหน่ย
นาย - พี่ปั้น ถ้าพี่ปั้นเกิดเป็นดาว อยากเป็นดาวอะไร
พี่ปั้น - อืมม ดาวอะไรดีล่ะ
นาย - ดาว มยุรีไหมพี่ปั้น? เฮ้ๆ อย่าบอกนะไม่รู้จัก
พี่ปั้น - หือ ดาวมยุรีอยู่กาเเล็กซี่ไหนหรอ *กระพริบตางงๆ*
นาย - *คอตกไว้อาลัยให้คนไม่เก็ทมุก* กาเเล็กซี่อาร์สยามครับ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์ p.5 [07/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 22-12-2017 20:55:59
แตกดังเพล้งเลยพี่ปั้น555พี่ปั้นจะรู้จักนายเพิ่มยังไงนะรอติดตาม
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 11: เรา...กับดาวในห้อง p.5 [22/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-12-2017 21:16:56
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 11: เรา...กับดาวในห้อง p.5 [22/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-12-2017 21:54:21
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 11: เรา...กับดาวในห้อง p.5 [22/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 22-12-2017 22:32:25
พี้ปั้นคนน่ารัก เมื่อไหร่จะเป็นแฟนกันน้อ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 11: เรา...กับดาวในห้อง p.5 [22/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 22-12-2017 22:41:19
ทักผิดซะงั้นอะปั้น //โอ๋
แล้วนายหายไปไหนทั้งวันน
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 11: เรา...กับดาวในห้อง p.5 [22/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 22-12-2017 22:55:56
ค้างงงงงเด้อออออ ชานนท์มาทำไมมมมมม อย่ามายุ่งกับพี่ปั้นนะ..
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 11: เรา...กับดาวในห้อง p.5 [22/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 22-12-2017 23:11:30
ค่อยๆเรียนรู้กันไปเนอะ :o8:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 11: เรา...กับดาวในห้อง p.5 [22/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 23-12-2017 09:03:15
บางครั้งก็ไม่เข้าใจปั้นนะเอาจริงๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 11: เรา...กับดาวในห้อง p.5 [22/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-12-2017 19:46:34
พี่ปั้นนนน ฮือออออ ทำไมน่ารักแบบนี้คะ อยากจะอุทานว่าตุ๊ดตู่แทน ชานนท์ นายกลับมาทำไมมม
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 11: เรา...กับดาวในห้อง p.5 [22/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 24-12-2017 00:12:41
นายหายไปไหนอ่า???
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 11: เรา...กับดาวในห้อง p.5 [22/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-12-2017 02:12:44
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 11: เรา...กับดาวในห้อง p.5 [22/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 24-12-2017 14:23:25
ชานนท์ :m16:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 11: เรา...กับดาวในห้อง p.5 [22/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-12-2017 15:41:55
ชานนท์ เข้าไปยุ่งกับชมพู่เพราะข้าวปั้นสินะ

แล้วช้าวปั้นส่งข้อความหานาย
ทำไม ชานนท์ตอบมา  แปลกๆนะ  :serius2: :serius2: :serius2:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 30-12-2017 19:56:48
Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม)


 
                เอ่อ...เดี๋ยวนะ



                นี่มันอะไรกัน ถ้าใครอยู่ด้วยตรงนี้คงจะเห็นหน้าตาตกใจแบบเว่อร์วังของเราแน่ๆ



                ชา? ชานนท์อะนะ ทำไมกลายเป็นชานนท์ไปได้ เราส่งให้นายนี่นา...



                ...ทึ่มเอ๊ย...



                เรารีบกดเข้าไปด้วยหัวใจที่เต้นรัวเพราะความอาย เราส่งไปหานายจริงๆ นั่นแหละ และเขาก็ไม่ตอบเราด้วย แต่ชานนท์ที่เอาไอดีเรามาจากไหนไม่รู้ทักไลน์เรามาพอดี และเราก็คิดว่าคนๆ นั้นคือนาย! เพราะเเบบนั้นเลยส่งข้อความต่อว่าไปทันที



                  และหลังจากนั้น...ก็นั่นแหละ ความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียวก็เปิดเผย



                …ทำไมไม่ดูให้ดีก่อนนะปั้นนน แชทก็โล่งขนาดนั้น...



                เราเขกหัวตัวเองสองสามที แล้วก็มานั่งจ้องหน้าจอต่อ ...เอาไงดี...



                NchaN
                หาย?
                วันนั้นเราต้องรีบไป ไม่ได้ทักทาย โทษทีนะ
                พึ่งรู้จากไอ้เอ็มเจว่าปั้นรู้จักกับไอ้นายด้วย
                โลกโคตรกลมเลยอะ



                เราเผลอกัดเล็บ พิมพ์ๆ ลบๆ อยู่แบบนั้น ไม่ชอบสถานการณ์ลำบากใจแบบนี้เลย เราไม่รู้จะเริ่มต้นกับเพื่อนที่ไม่ได้คุยกันเกือบหกปียังไง



                NchaN
                ถ้าวันนี้ไม่ลากมันออกมาด้วยคงไม่ได้ไอดีปั้นนะเนี่ย
                เชี่ยนายกว่าจะลุกไปห้องน้ำนานชิบหาย
                มันงกไม่ยอมให้ไอดีปั้น เราต้องล่อมันหน่อย



                ...นาย? หมายความว่าไง...  ไวเท่าความคิด สิ่งที่อยู่ในหัวก็ปรากฏบนหน้าจอซะอย่างนั้น



                read Khaopun
                ชาอยู่กับนายหรอ

                NchaN
                ในที่สุดก็ตอบเราซักที
                ต้องคุยเรื่องไอ้นายสินะ ปั้นถึงจะยอมพูดด้วย
                เราขอคอลหาได้ไหม
                อยากคุยด้วย

                read Khaopun
                คุยเรื่องอะไร

                NchaN
                รับคอลเราสิเราถึงจะบอก

               
read Khaopun
               เรายังไม่สะดวก ขอโทษนะ

                NchaN
                งั้น
                ถ้าสะดวกแล้วบอกเราหน่อยได้ไหม
                นะ ถือว่าขอร้อง เรามีเรื่องจะคุยด้วยจริงๆ
                นะปั้น

read Khaopun
                อืม
                ก็ได้

                NchaN
                ใจดีเหมือนเดิม
                ปั้น?
                นอนแล้วหรอ
                ดีใจที่ได้เจอกันอีกนะ



                เราถอนหายใจ พับโน้ตบุ๊กแล้วยกไปไว้ข้างๆ  ก่อนจะไถลตัวเข้าไปในผ้าห่ม มีเรื่องอึดอัดใจขึ้นมาอีกเรื่องนึง อันที่จริงก็คือไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เราไม่ชอบการที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้เลย



                เราหลับตาลง คิดถึงช่วงเวลาที่รู้จักกับชาจนหลับไป

               







                (พี่ปั้น กินข้าวรึยังครับ)



                เราเลิกคิ้วสงสัย ก็ที่นายไม่ตอบไลน์แต่กลับโทรมาหาด้วยคำถามนี้



                “ข้าวกลางวันหรือข้าวเช้าล่ะ”



                (พูดแบบนี้ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันแหง พี่ปั้นอยู่ไหนครับ)



                “อยู่ข้างนอก”



                (ข้างนอกน่ะตรงไหน)



                “เซ็นปิ่นฯ แล้วทำไมนายต้องทำเสียงดุใส่เรา”



                (พี่ปั้น...ไม่สบายหายแล้วหรอครับ ทำไมออกมาข้างนอก ใส่เสื้อคลุมมาด้วยรึเปล่า)



                “เรามาซื้อของ มาแป๊บเดียว หายเเล้ว”



                (งั้นผมไปหา)



                “มาหาทำไมไม่ต้องหรอก”



                (ผมอยากไป ไปกินข้าวกันนะครับ พี่ปั้นรอผมแป๊บนึง ขออาบน้ำแต่งตัวห้านาที)



                “นาย...”



                (ครับ)



                “เมื่อคืนนายไปไหน...”



                (เมื่อคืน? อ๋อรุ่นพี่ลากไปดื่มน่ะครับพี่ปั้น ผมไม่ได้ดื่มเยอะเลยนะ แต่เหนื่อยเลยหลับยาว พึ่งตื่นเอาตอนนี้)



                “หรอ”



                (พี่ปั้น? เป็นอะไรรึเปล่าครับ)



                “ไม่มีอะไร ถึงแล้วก็โทรบอกแล้วกัน”



                นั่นสิ เราเป็นอะไรไปนะ ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย เราสูดลมหายใจ ตั้งใจจะมาซื้อของนิดหน่อย แล้วก็หนังสือซักเล่มนี่นา ไปร้านหนังสืออาจจะทำให้เราดีขึ้นก็ได้





                เราเดินดูของอยู่คนเดียวตั้งนาน นายก็ยังไม่โทรมา รถติดแหงๆ วันนี้วันเสาร์คนน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ ฮื่อ แต่เราเริ่มหิวแล้วนะ เที่ยงกว่าแล้วด้วย



                ...ขอกินก่อนคงไม่เป็นไรนะนาย...



                เรากลืนน้ำลายเมื่อได้กลิ่นของขนมปัง นี่ถ้าสั่งชาเขียวนมที่เรารักล่ะก็ เพอร์เฟ็ค! เราหิ้วของเดินตรงเข้าไปในร้านที่ชอบมานั่งประจำ คนไม่เยอะเท่าไหร่ สบายใจดี เรามองเมนูแล้วก็ชั่งใจ ระหว่างขนมปังนึ่งที่เราชอบปานกลางกับชาเขียวที่เราชอบที่สุด สุดท้ายเราก็สั่งแค่ชาเขียวนม คงเพราะมันเป็นสิ่งที่ชอบที่สุดนั่นเเหละมั้ง พอสั่งแล้วมองหาโต๊ะที่เรานั่งประจำ เห็นโต๊ะตัวนี้แล้วก็อดขำไม่ได้ก็เจ้าของถุงส้มบนรถเมล์ที่มาปล้นชื่อเล่นเราตรงนี้นี่นา



                กึก! ครืด



                “ขอนั่งด้วยคนได้ไหม”



                ...มาเร็วแฮะ...



                เรายิ้มแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น พอเห็นคนที่ยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้า เราตกใจจนเกือบสำลักชาเขียว



                เชี่... เฮ้ย...เราไม่พูดคำหยาบ...



                “อะ...เอ่อ...” ทำไม...



                “ฮ่าๆ ตกใจหรอที่เป็นเรา”



                “มา...ได้ไง”



                “เราก็มาเดินเล่นอะ ไม่คิดว่าจะได้เจอปั้นด้วย พึ่งจะคุยเมื่อคืน ดีเลยเราอยากจะคุยด้วยพอดีเลย เออ เราสั่งขนมปังกับสังขยามาด้วย เดี๋ยวกินด้วยกันสิ เราจำได้ว่าปั้นชอบ”



                “อ่า...”



                “ปั้นก็ยังชอบกินชาเขียวเหมือนเดิมเลยนะ”



                เรามองคนตรงหน้า พลางลอบสำรวจอย่างช้าๆ ชาในตอนนั้นกับชาในตอนนี้ยังเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน ยิ้มแย้มและทำให้ทุกคนชอบอยู่เสมอ สาวๆ ที่นั่งโต๊ะด้านหลังเขามองมาไม่หยุด



                “เป็นไงบ้าง เฮ้ย คิ้วไปโดนอะไรมา”



                “อุบัติเหตุนิดหน่อย แต่ก็สบายดี”



                “ส่วนเราโคตรเหนื่อยเลย อยากจบแล้วเนี่ย เออ แล้วชารู้จักกับพวกไอ้นายได้ไง เชื่อป้ะเรารู้จักพวกไอ้นายมาตั้งนาน ไม่เคยเห็นพวกมันพูดถึงใครเลย เมื่อวานมีแต่คนถามหาปั้น นายมันมองตาขวางเลย” ชาพูดอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนเราสองคนพึ่งเจอกันเมื่อวาน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่



                “เคยเจอกันตอนที่เราไปช่วยสตาฟทีมบาสฯ...”



                “ทีมบาสมหาลัยอะนะ อ๋อออ ถึงว่า...แต่ไม่น่าเชื่อนะเนี่ย ปั้นจะไปช่วยทำอะไรแบบนี้ด้วย ปกติเห็นชอบอยู่คนเดียว” ชาพูดยิ้มๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเลย



                “เหตุสุดวิสัยน่ะ วันนั้นบังเอิญไปช่วยวันแข่งกับมธ.พอดี”



                “อ๋อ..เออ ปั้นไม่เจอไอ้ถั่วบ้างหรอ มันก็เรียนศิลปากรนะ”



                “ไม่หรอก...เราไม่เคยเจอใคร”



                เราหลบตาชา ภาวนาให้นายโทรมาเร็วๆ จะได้หาทางลุกออกไปซะที ชาหัวเราะเล็กน้อยและเป็นเวลาเดียวกับที่ขนมปังที่ชาสั่งพึ่งจะมาเสิร์ฟ



                “เออ ปั้นจำได้ป้ะ โตเกียวใส่ทะลักที่โรงอาหารอะ ป้าเขาไม่ได้ทำต่อแล้วนะ ที่ปั้นชอบไปซื้อตลอดอะ พอปั้นซื้อเราก็ชอบแย่งไส้กรอกปั้นมา ร้านนี้ไส้กรอกโคตรเด็ด จำได้ไหม"



                “จำได้”



                ...ถึงจะไม่อยากจำ แต่เราก็ไม่เคยลืมเหมือนกัน...



                “นึกถึงตอนนั้นแล้วก็ขำ ตอนที่เราไปเตะบอลน่ะ ไอ้เจฟวิ่งถือบอลหนีตีนเพื่อนเฉยเลย ฮ่าๆๆ ปั้นกับเราวิ่งตามมันรอบโรงเรียน แล้วแบบโดนอาจารย์ด่า...”



                “ชา...”



                “หื้ม”



                “ชามีอะไรจะคุยกับเราหรอ”



                พอเราพูดแบบนั้น ชาก็ค่อยๆ หุบยิ้ม เเววตามีความแปลกใจเล็กน้อย เราก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่กล้าพูดออกไป แต่เราไม่เข้าใจจริงๆ  ทั้งๆ ที่...ทั้งๆ ที่ชาเองไม่ใช่หรอ ที่พอเห็นเราแล้วก็ขอตัวกลับ แล้วทำไมตอนนี้ถึงอยากคุยกับเรา



                “ปั้น” ชาหลุบตาต่ำ เม้มปากแน่น ก่อนจะเงยหน้ามาสบตาเรา “เราอยากขอโทษปั้น เรารู้ตัวว่าโคตรเหี้ยเลย ตั้งแต่ตอนนั้นเราไม่ได้ขอโทษปั้นจริงจัง จนเราสองคนต้องกลายมาเป็นแบบนี้ ปั้นจะเย็นชาใส่เราก็ไม่ผิดหรอก แต่เราอยากขอโทษปั้น อยากขอโทษจริงๆ นะ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เราคงไม่ทำ...”



                “...”



                “เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ไหม”



                ...มันสายเกินไปแล้วชา ทำไมถึงมาพูดเอาตอนนี้... เรากัดริมฝีปากล่างกลั้นความรู้สึกทุกอย่างที่ล้นทะลักออกมา ขอบตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงวันเก่าๆ ชาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเรา ชามีแต่รัก มีแต่คนชอบ และเราก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนที่ชาเดินมาบอกว่าอยากเป็นเพื่อนกับเรา วันนั้นเราดีใจจนตัวแทบลอย คนโดดเด่นแบบชามาขอเป็นเพื่อนกับคนจืดชืดอย่างเรา แต่แล้วทั้งหมดก็เป็นเรื่องโกหก สุดท้ายทั้งหมดก็เป็นเรื่องของตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้นเอง



                “ชา..." เราตัดสินใจเเล้วในวินาทีนั้น "เราไม่ได้โกรธชามานานมากแล้ว”



                “...จริงๆ นะปั้น” ชายื่นมือมากุมมือเราไว้ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองมาคล้ายมีความหวัง



                “แต่ว่าเราคงกลับไปเป็นเพื่อนกับชาเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว”



                เรามองหน้าชาอย่างมั่นคง ให้ชาเห็นถึงความแน่วแน่ของเรา ชาที่กุมมือเราไว้คลายออกช้าๆ ใบหน้าที่ดูดีนั้นเศร้าหมองลงเล็กน้อย



                “เราเข้าใจแล้วล่ะ” ชาสูดลมหายใจก่อนจะคลี่ยิ้ม “แต่เราดีใจนะที่ปั้นไม่โกรธเราแล้ว”



                ระหว่างเราทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้น เราเลื่อนสายตามองจานที่อยู่บนโต๊ะ ขนมปังสังขยาที่เราชอบไม่พร่องไปแม้แต่ชิ้นเดียว บางทีสิ่งที่เราชอบมันก็ไม่ได้หอมหวานไปซะหมด เมื่อเวลาผ่านไปมันก็คงจะเย็นชืดจนไม่มีใครแตะมัน สุดท้ายก็คงได้แต่คิดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คงจะกินตอนที่มันยังร้อน



                …ถ้าย้อนเวลากลับไปได้...



                “ไม่กินหรอ เย็นหมดแล้ว” ชาถามขึ้นพลางชี้มาที่จานขนมปัง ชาเองก็คงอยากเลี่ยงความอึดอัดนี้



                “ไม่ล่ะ ชากินเถอะ”



                …เราคงไม่กินอีกแล้วล่ะ…



                “แล้วนี่...ปั้นจะกลับบ้านเลยรึเปล่า ให้เราไปส่งได้นะ เราเอารถมา”



                “ไม่เป็นไร เรายังไม่กลับน่ะ แต่ว่าเราต้องไปแล้วล่ะ” เราว่าแบบนั้นแล้วก็ลุกขึ้นยืน



                “เดี๋ยวก่อนปั้น..ถ้าเราจะขอ...” ชาคว้าข้อมือเราไว้ ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง... แต่แล้วเสียงจากด้านหลังก็ดังขึ้น



                “พี่ปั้น! อยู่นี่จริงด้วย แฮ่กๆ ขอโทษที่มาช้าครับ”



                “ไอ้นาย/นาย...”



                “พี่ชา”



                “มาทำไรที่นี่วะพี่” นายมองหน้าชาพร้อมกับขมวดคิ้ว เขาเดินมาข้างๆ ทันทีก่อนจะดึงมึงเราที่ชาจับไว้ไปจับซะเอง ชาชะงัก เขามองมือที่นายจับเราไว้แวบนึงก่อนจะหันไปคุยกับนายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม



                “กูก็มาเดินเล่นดิ แล้วมึงมีแรงตื่นหรอวะ”



                “ผมนัดกับพี่ปั้นไว้”



                “ปั้นนัดกับไอ้นายนี่เอง ปั้นอย่าชวนมันเถลไถลล่ะเดี๋ยวมันไปสอนพิเศษไม่ทัน” ชาพูดยิ้มๆ ก่อนจะยื่นมือมาตบไหล่นายสองสามที



                ...สอนพิเศษหรอ... พอเราทำหน้างงๆ ชาก็พูดขึ้นอีก



                “ปั้นไม่รู้หรอ นายมันเป็นติวเตอร์ด้วยนะ”



                เรามองเสี้ยวหน้านายที่ไม่รู้คิดอะไรอยู่แล้วตอบออกไป “เราไม่รู้หรอก”



                “ผมขอตัวก่อนนะพี่”



                นายพูดเสียงเเข็งเเละไม่รอให้ชาพูดอะไร นายก็ลากเราออกมาทันที ได้ยินเสียงชาตะโกนตามหลัง



                “ปั้น ดีใจที่ได้คุยกันอีกนะ!”



                เราไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับเป็นฝ่ายบีบมือนายแน่นขึ้นอีก

 





                “นาย...”



                “...”



                “นาย...ไปไหน” เราขืนตัวเมื่อเขาลากเราเข้าไปทางระหว่างบล็อคของร้านหนึ่งที่กำลังปิดปรับปรุง



                “พี่ปั้น” เขาเรียกแล้วจับไหล่ทั้งสองข้างของเราไว้ “พี่ชาทำอะไรรึเปล่า”



                “ไม่ได้ทำอะไร”



                “แล้วพี่ปั้นโอเคไหม” เขาถามอย่างกังวล



                “โอเค เราโคตรโล่งเลยนายรู้ป้ะ”



                “โล่งอะไรถึงทำหน้าจะร้องไห้แบบนี้กัน”



                “ไม่ได้ร้อง จริงๆ นะ”



                “งั้นจมูกแดงคงเพราะเป็นหวัดสินะครับ ใส่เสื้อก็บางอีก เอาเสื้อผมไหม”



                “ไม่เป็นไร ว่าแต่นายเถอะทำไมลากเราออกมาแบบนั้น” ถึงจะไม่อยากอยู่ตรงนั้นแต่ว่ามันคงไม่ดี ถ้านายรู้สึกไม่ดีกับชาเพราะเรื่องของเรา



                “พี่ปั้นไม่รู้หรอกว่าสีหน้าพี่ปั้นแย่ขนาดไหน ผมไม่อยากให้พี่ปั้นต้องอยู่กับความรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว” เขาเลื่อนมือมาลูบท้ายทอยเราเบาๆ แต่สายตาแข็งกร้าวขึ้นตอนที่เอ่ยถึงเหตุการณ์เมื่อครู่



                “นาย เราไม่ได้เข้าข้างชานะ แต่เราอยากบอกนายว่า นายไม่จำเป็นต้องโกรธชาหรือเกลียดชา ชากับนายไม่เคยมีเรื่องผิดใจกันอย่าทำให้เราเป็นคนที่ทำให้เกิดความรู้สึกนั้นเลยนะ”



                “...” นายชะงักไป ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะพยักหน้า เรามองไปด้านหน้า สายตาไม่ได้มีจุดโฟกัสใด



                “เรื่องของเรากับชาจบกันแล้วล่ะ”



                “พูดแบบนี้ผมชักหึงแฮะ”



                คำพูดจาของคำเรียกเราให้หลุดจากภวังค์ “อะ...อะไรของนาย”



                “อ้าวก็พี่ปั้นบอกจบกันแล้วอะ แถมยังยืนจับมือกันอีก...” นายยื่นหน้ามาใกล้จนเราก้มหน้าจนคางจะชิดอก



                “เราหิวแล้วไปกินข้าวกันเถอะ” เราดันตัวเขาออกก่อนจะรีบเดิน



                “พี่ปั้น”



                “อะไรเล่า”



                “ทางนี้ต่างหากครับ”



                “แล้วก็ไม่บอกเร็วๆ ล่ะ”



                ...โคตรน่าอายเลยปั้น... เรารีบหันหลังเดินกลับไปชั้นฟู้ดคอร์ท ขนาดรีบเดินแล้วนายยังตามมาทัน เขาส่งเสียงหัวเราะในลำคอ



                “หึหึ เวลาเขินเนี่ย โก๊ะเลยนะเรา”



                ...เราไม่ได้โก๊ะเว้ย!...

               

[ต่อด้านล่างอีกนิดด]
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 30-12-2017 19:58:11
[ต่อเลยย]


                “เมื่อคืนนายไปดื่มกับชาหรอ”



                “หือ อ๋อเปล่าครับ ไปกันหลายคน พวกไอ้แดม ไอ้เอ็มเจก็ไป ว่าจะถามพี่ปั้นรู้ได้ไงตั้งแต่ที่คุยโทรศัพท์แล้ว”



                “ชาบอกเราเมื่อคืน”



                “เมื่อคืน? ได้ไงอะ”



                “อย่ามาทำงง แล้วเมื่อคืนนะ เราส่งข้อความไปตั้งเยอะนายก็ไม่ตอบเลย”



                “ไม่มีนะพี่ปั้น” เขาหยิบมือถือขึ้นมาเช็ค ตอนนี้เราสองคนอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นร้านเดิม อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญเพราะเราได้นั่งโต๊ะเดิมด้วย



                “พี่ปั้นไม่ได้ส่งอะไรมาให้ผมเลยนะครับ เมื่อคืนผมไปเข้าห้องน้ำแล้วพี่ชาก็...” ขณะที่เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ พนักงานก็ยกอาหารมาเสิร์ฟพอดี



                “ข้าวหน้าเนื้อไข่ออนเซ็นกับข้าวหมูย่างฮอกไกโดได้แล้วค่ะ ชาเขียวเย็นได้แล้วนะคะ”



                “ได้แล้วครับ”



                พออาหารมาทุกอย่างก็กลายเป็นแสงสีขาวพร่าตาไปหมด



                “หื้อ อร่อย นาย...เราไม่เห็นรู้เลยว่านายไปสอนพิเศษ” เราถามขึ้นหลังจากที่ได้กินข้าวซักที เขาซดซุปมิโสะก่อนจะตอบเรา



                “พี่ปั้นจะรู้ได้ไง ผมไม่เคยบอก”



                “แสดงว่านายบอกชา เพราะชารู้แต่เราไม่รู้”



                “อีกนิดจะคิดแล้วนะครับ”



                “คิดอะไร”



                “คิดว่าพี่ปั้นหึงผม”



                “เราแค่ถามเอง” เราเถียง ...เราไม่ได้หึงเลยเหอะ... แค่ไม่อยากรู้ทีหลังไง ใช่ๆ เราไม่อยากรู้ทีหลัง



                “ทำหน้าบึ้งยังไม่น่ากลัวเลยคนอะไร” เขาส่ายหน้าพร้อมกับตักข้าว เราเหลือบมองเล็กน้อย



                “อร่อยไหม”



                “ก็โอเคครับ พี่ปั้นอยากชิมหรอ”



                “นี่นายเห็นเราเป็นหมูจริงๆ งั้นสิ”



                “ก็เห็นมอง” เขายิ้มล้อ เราเบะปากพร้อมกับเข้าเรื่อง ...เมื่อกี้แค่เกริ่น ไม่ได้มองแล้วอยากกินด้วย!...



                “ปกติ...นายชอบกินอะไร”



                “หือ ทำไมถึงถามล่ะครับ”



                “ก็เราเหมือนเอาเปรียบนาย เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนายเลย”



                “อึก...อะเเฮ่ม ให้ตายเถอะพี่ปั้น ทำให้ผมหวั่นไหวอยู่เรื่อย” เขาเกาเเก้มตัวเอง เเล้วมองนู่นนี่



                “พึมพำอะไรของนาย”



                “เปล่าคร้าบ ผมกินได้ทุกอย่างแหละ แต่ปกติก็ตามสั่งธรรมดา เพราะไม่รู้จะกินอะไรก็สั่งแต่ข้าวห่อไข่ เพื่อนมันเลยล้อๆ ว่าผมชอบกินข้าวห่อไข่”



                “อืมม...” เราพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้สังเกตว่าคนตรงหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ตั้งแต่เมื่อไหร่



                “พี่ปั้น”



                “หือ”



                “แต่ไม่นานมานี้ผมชอบข้าวปั้น ว่าจะเปลี่ยนใจมารักอาหารญี่ปุ่นแล้วล่ะครับ”



                “อะ...”



                “เป็นอะไรครับ ไข้ขึ้นหรอหน้าแดงจัง หึหึ”



                ...เราร้อนต่างหาก เจ้าเด็กคนนี้นี่...

               





                “ดูหนังกันไหมพี่ปั้น”



                “นายต้องไปสอนพิเศษไม่ใช่หรอ ชาบอกว่าอย่าให้นายเถลไถล” สาบานว่าเราแค่หมั่นไส้ ไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่ได้ประชดด้วย



                “นี่ไม่หึงจริงๆ ใช่ไหมเนี่ยพี่ปั้นนน” เขาลากเสียงยาว จับคางเราบิดไปมา เรารีบปัดมือออกแล้วมองซ้ายขวา



                “นายทำอะไรเนี่ย กลางห้าง”



                “ไม่เห็นมีใครมองเลยพี่ปั้น ไปครับ ไว้ค่อยมาดูหนังกัน เสียดายจัง วันนี้ได้มาเดตทั้งที”



                “ไม่ได้เดต! มากินข้าว”



                “อ้าวหรอครับ โธ่คิดไปเองได้ไงเนี่ยผม” เขาทำหน้าตกใจแบบโอเว่อร์



                “ใช่ นายนั่นแหละคิดไปเอง สอนเลิกกี่โมงเนี่ย”



                “สอนสี่โมงถึงหกโมงครับ จริงๆ ผมเลิกสอนมาพักนึงพอดีช่วงนี้ต้องใช้เงิน” เขาพูดเหมือนเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไปก่อนจะเดินนำเรามาที่ทางออกชั้นที่เชื่อมกับสะพานลอย เรามองแผ่นหลังเขาก่อนจะหลุบตามองถุงกระดาษในมือ



                “นาย...มีปัญหาอะไรไหม”



                “ทำไมพี่ปั้นทำหน้าอย่างงั้น” นายเอื้อมมือมากอดไหล่เรา แล้วโยกตัวไปมา ปากก็พูดว่าโอ๋ๆ



                “บอกเราได้นะ เราช่วยแก้ปัญหาไม่เก่งแต่เราฟังเก่ง เล่าได้” เราพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาเลยสบตาเรานิ่ง



                “ไม่มีอะไรครับพี่ปั้น จริงๆ นะ ผมไม่ได้โกหก” 



                “จริงนะ”



                “จริงครับ ไปครับ ผมไปส่ง” นายดันตัวเรามาข้างหน้าแทนเพราะคนขึ้นลงสะพานลอยค่อนข้างเยอะ “เออ แล้วพี่ปั้นซื้อของอะไรมา” เขาชะโงกหน้ามาดูของที่เราถือไว้



                “ครบแล้ว”



                “ซื้ออะไรน่ะครับ กอดไว้หวงเชียว”



                “ไม่บอกหรอก”



                “ก็ด้ายยย เดี๋ยวนี้งกนะพี่ปั้น”



                “ไปๆ กลับได้แล้ว เรานั่งรถเมล์กลับแป๊บเดียว” เขาเหลือบมองนาฬิกา หลังจากมายืนที่ป้ายรถเมล์เราก็เอ่ยปากทันที



                “ส่งพี่ปั้นขึ้นรถก่อนผมถึงจะกลับ”



                เราพยักหน้า ไม่ขัดใจเขาล่ะ เพราะยังไงก็ไม่เคยชนะ เรายืดตัวมองรถเมล์ก็เห็นว่าสายที่เราจะขึ้นกำลังตรงมาทางนี้ พอรถใกล้จะถึง เราก็เรียกคนข้างๆ ที่กำลังชะเง้อคอมองรถเหมือนกัน



                “นาย”



                “ครับ”



                “คราวหน้า...เราเปลี่ยนไปกินข้าวห่อไข่กันไหม”



                เขาค่อยๆ หันมาก่อนจะยิ้ม ยิ้มแล้วก็ยิ้มกว้างขึ้นไปอีก



                ...อะไรเล่า...



                “แต่ร้านประจำผมอยู่ไกลนะครับ” นายพูดด้วยสีหน้ากังวลแต่แววตาพราวระยับ รวมถึงมุมปากที่ยังยกยิ้มอยู่ด้วย



                “งั้น..."



                "...ครับ?"



                "...ถ้าไกลมาก เดี๋ยวเราทำให้กิน” เขายิ้มค้าง ทำหน้าเหวอ



                “พี่ปั้นนนน ดีใจอะ” เขาลากเสียงยาวก่อนจะก้มมองเราอย่างเอ็นดู “พี่ปั้น ได้ยินเสียงไหม” จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องจนเราตามไม่ทัน



                 ...มีแต่เสียงรถ... เราขมวดคิ้วถามเขากลับ “เสียงอะไร”



                “เสียงหัวใจผมไง เต้นแรงเพราะพี่ปั้นเลยนะเนี่ย”



                ...เจ้าเด็กเพี้ยนเอ๊ย...

 





                เรามาเรียนวันจันทร์ด้วยสภาพสะโหลสะเหล จากนั้นเราโดนชมพู่บ่นเรื่องแผลแล้วก็เรื่องขึ้นรถตู้ สุดท้ายก็มีคนเห็นดีเห็นงามที่นายจะมารับทุกวันศุกร์



                แต่ต้องบอกว่าอาทิตย์นี้ เราไม่ได้กลับบ้านแล้วล่ะ



                “ปั้น แกไปด้วยกันสิ น้องๆ ให้มาชวนแก มันบอกว่าแกมีส่วนร่วมในด้านกำลังใจให้พวกมันได้เหรียญทองแดง”



                “เราไปเป็นสตาฟแค่ครั้งเดียวเองนะ” เราชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างงงๆ



                “เอาน่า...แกไปกับฉัน ตัวติดกันเลย ไม่มีใครมาทำอะไรได้แน่นอน”



                “แต่ว่า...”



                “ได้บุญด้วยนะปั้น ไปทำกิจกรรมให้น้องๆ ที่ด้อยโอกาส ไป-กลับเอง”



                “แต่เราก็ไม่ได้กลับบ้านน่ะสิ”



                “น่า อาทิตย์เดียวเอง หรือแกมีนัด?”



                “เปล่าหรอก”



                “ตกลงไปนะ ไอ้พวกนั้นมันคงดีใจแย่ ครั้งก่อนพอไอ้เจ็มรู้เรื่องไอ้กี้ มันสั่งซ่อมเพื่อนมันใหญ่เลย มันอยากจะหาโอกาสขอโทษแกอยู่เนี่ย อีกอย่างฉันเหงาอะ แกกลับบ้านทุกอาทิตย์เลย ฉันคิดถึงแกกกกกกก แกสนใจแต่ไอ้นาย ฉันงอนถ้าแกไม่ไปด้วย”



                “เอ่อ...ชมพู่ก็ได้ๆ โอเค อย่าเขย่าตัวเรา เดี๋ยวเจ้าหน้าที่มาเตือนหรอก แค่วันเดียวไปกลับใช่ไหม”



                “ใช่ๆ ที่ราชบุรีนี่เอง”



                และเพราะเหตุนี้ นายข้าวปั้นก็ถูกเพื่อนรักพ่วงด้วยตำแหน่งคุณแม่ล่อลวงเข้าจนได้ แต่ก็ดีเหมือนกัน วันอาทิตย์เราจะได้ทำงานที่ห้องสมุดด้วยเลย ไม่ต้องแบกหนังสือกลับไปมา แต่ที่ไม่ดีเนี่ยคือเราจะบอกนายยังไงดี นายที่มักจะส่งข้อความมาแล้วบอกว่า



            “พี่ปั้น เราไปลองกินอันนี้กัน”



            “พี่ปั้นหนังสือที่พี่ปั้นอยากได้วางแผนที่สาขาสยาม”




                หรือไม่ก็



                “หนังเรื่องนี้น่าดูมากกกก ไว้พี่ปั้นกลับมาเราไปดูกันเถอะ”



                เขาดูมีความสุขพอพูดถึงแพลนวันเสาร์อาทิตย์ จนเราต้องปรามๆ ว่าให้ไปอ่านหนังสือบ้างใกล้สอบแล้ว ผลก็คือเขาหัวเราะร่วนเลยล่ะ



                “บอกพ่อแกยัง” ชมพู่เดินมาทักจากด้านหลัง ตอนนี้เราอยู่ห้องสมุด นั่งทำเปเปอร์วิชาโทมาสองชั่วโมงแล้ว



                “บอกแม่ไปแล้ว”



                “ไม่ใช่ ฉันหมายถึงไอ้นายน่ะ”



                “อ๋อ ยังเลย ชมพู่! นายไม่ใช่พ่อเรานะ!”  ...เรามีพ่อคนเดียว...



                “ไม่ใช่ก็เหมือนใช่ป้ะ ไปไหนต้องรายงานเนี่ย เอ...อย่างนี้เด็กทีมบาสฉันก็ต้องอกหักกันน่ะสิ”



                “อกหักอะไรล่ะ”



                “แหน่ะ มีเขิน รีบบอกนายซะล่ะ เดี๋ยวก็มารอเก้อ”



                เราพยักหน้า มองโทรศัพท์แล้วตัดสินใจใช้บริการของไลน์แทนการโทรแล้วกัน ช่วงนี้เขาตอบไลน์เราอีกทีก็ดึกๆ นู่น



                ...แหะ...จริงๆ ไม่อยากโทรหา เดี๋ยวเราเถียงไม่ทัน...



                read Khaopun
                นาย สอนพิเศษอยู่ไหม
เอ่อ...ไม่ต้องตอบหรอก
                เราจะบอกว่าอาทิตย์นี้ไม่ต้องมารับนะ
                เราต้องไปกิจกรรมที่ราชบุรีกับชมพู่วันเสาร์
                วันอาทิตย์ก็อยู่ทำงานเลย
                โอเคนะ
                ไว้เจอกันอาทิตย์หน้า
บาย



                ...โคตรเจ๋งเลยปั้น พิมพ์ไปรวดเดียว ไม่ต้องรอให้ตอบกลับ...



                แต่เหมือนวันนี้โชคไม่เข้าข้าง เพราะอีกสามนาทีต่อมาหน้าจอก็ขึ้นรีดทีละอัน



                Naay Nine
                เฮ้ยพี่ปั้น
                ได้ไงอะ
                อาทิตย์นี้ผมเคลียร์ทุกอย่างไว้แล้วนะ
                ทำไมเป็นงั้น
                รับคอลผมเดี๋ยวนี้

read Khaopun
                เรายังไม่สะดวกคุย ทำงานอยู่ที่ห้องสมุด

                Naay Nine
                กิจกรรมอะไรครับ
                เลิกกี่โมง
                ไปกับใคร
                ช่วยรายงานมาให้ละเอียดด้วย
                ส่งสติ๊กเกอร์
                ส่งสติ๊กเกอร์
                ส่งสติ๊กเกอร์
                ส่งสติ๊กเกอร์
                ส่งสติ๊กเกอร์
                ส่งสติ๊กเกอร์
                ส่งสติ๊กเกอร์

read Khaopun
นาย เดี๋ยวเราบอกนะ
ตอนนี้ยังไม่สะดวก
แล้วก็ช่วยหยุดส่งสติ๊กเกอร์มาที
มือถือเรามันเก่าแล้วนะ!

                Naay Nine
                เหอะ
                ให้มันค้างไปเลย
                ไหนใครบอกจะไปกินข้าวห่อไข่
                ไหนใครบอก
                คนผิดสัญญา
                ถ้าบอกรายละเอียดช้าเกินสองทุ่มก็ไม่ต้องไปนะพี่ปั้น
                ไอ้กิจกรรมไรเนี่ย
                อ่านแล้วรับทราบด้วย
                ส่งสติ๊กเกอร์
                ส่งสติ๊กเกอร์
                ส่งสติ๊กเกอร์
                ส่งสติ๊กเกอร์
                ส่งสติ๊กเกอร์


 

                read Khaopun
เข้าใจแล้ว
เลิกส่งมาได้แล้วววววววว

 

               เเละในตอนนั้นเองก็มีความคิดนึงวิ่งผ่านเข้ามาในสมอง



                ...หรือว่าเขาจะเป็นพ่อของเราจริงๆ กันเเน่นะ...



_________
-ค่อยๆ อยู่ในวงกลมของกันเเละกันนะ-
เขียนไปด้วยก็หิวไปด้วย แงล (ม้วนลิ้น)
คิดถึงพี่ปั้นกันมั้ยยย เเหะๆ เรานั้นคิดถึงค่ะ 555
น้องนายก็ยังเป็นเด็กที่เอาใจใส่พี่เหมือนเดิม
ขอบคุณทุกเม้น ทุกวิว ทุกกำลังใจจจ  :L2: :กอด1:
สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าค่ะ
ขอให้ปี2018 เป็นอีกปีที่มีค่าของทุกคนนะคะ
รักทุกคนนนน

 :L1: :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: villevia ที่ 30-12-2017 20:22:38
สงสารนาย อดเจอพี่ปั้นอีกแล้วว รอดูพี่ปั้นทำข้าวหอไข่ให้กิน
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 30-12-2017 21:44:57
พี่ปั้นน่ารักน่าเอ็นดูตลอดเลยยยยย //กออ
มีต้องรายงงรายงาน อยากจะแหมมมม 5555
จริงๆนายก็เป็นพ่อปั้นนะ พ่อทูนหั--- แค่ก
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-12-2017 21:59:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-12-2017 22:41:10
ชานนท์ เล่นมือถือของนายสินะ   :hao3:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 30-12-2017 22:42:49
ชามาร้ายหรือมาดี ชาลบแชทของพี่ปั้นในมือถือใช่ไม่ใช่!

พี่ปั้นก็ยังน่าเอ็นดูเสมอต้นเสมอปลาย ฮือ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 30-12-2017 23:56:33
พ่ออีกคนแน่ๆ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 31-12-2017 00:22:51
พัฒนาแล้ว
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-12-2017 00:28:13
นายอยากเป็นพ่อทูนหัวค่ะพี่ปั้นนน  :hao7:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 31-12-2017 01:45:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-12-2017 01:59:44
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 31-12-2017 09:04:45
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 31-12-2017 10:34:56
พี่ปั้นนนนนน น่ารักตลอดเลย
นายอยากเจอก็ตามไปด้วยเลยสิ แค่นี้เอ๊ง55555
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 31-12-2017 13:07:29
โอยยย เอ็นดูนาย 555
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 31-12-2017 18:20:39
พ่ออออออออ พ่อทูนหัววววววว
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 01-01-2018 18:05:09
โหหหห คุณพ่อนี่ขี้หวงจังเลยนะ หวงงี้ก็ไปคุมพี่ปั้นเลยสิ :hao3:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Rungsai ที่ 02-01-2018 01:40:43
เรื่องละมุนมากอะ งื้อ
เพิ่งได้อ่าน ติดตามค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 12: เรา...กับขนมปังสังขยา(เเละชาเขียวนม) p.6 [30/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 02-01-2018 06:41:51
นายเป็นพ่อของลูกน่าสงสารอดกินข้าวห่อไข่
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 13: เรา...คือพี่ปั้ง p.6 [9/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 09-01-2018 21:58:54
คำเตือน ตอนนี้มีมือที่สาม ปั้นเเชมป์ ปั้นเเชมป์ ปั้นเเชมป์ ปั้นเเชมป์ ปั้นเเชมป์ ปั้นเเชมป์ ปั้นเเชมป์ ปั้นเเชมป์ ปั้นเเชมป์


Act 13: เรา...คือพี่ปั้ง



              “เชิญทางนี้เลยครับพี่ปั้น”



              “พวกมึงพี่ปั้นมาแล้ว”



              “เฮ้ๆๆๆ”



              ...เอ่อ...



              พอทุกคนโผล่หน้าออกมาจากเบาะแล้วส่งเสียงลั่นแบบนั้น ไอ้คนที่พึ่งเดินขึ้นรถแบบเราก็...



              “เรากลับนะชมพู่”



              “เฮ้ย เดี๋ยวปั้นเดี๋ยว  นี่! พวกแกอย่าทำให้ปั้นกลัวสิ”



              “พวกเราไม่ได้ทำอะไรนะครับผู้จัดการรร เราทักทายพี่ปั้นสไตล์ทีมบาส แบบนี้ไง เฮ้ๆๆๆ”



              “เออใช่ๆ” พวกเขาพยักหน้ากันสุดฤทธิ์



              “แกขึ้นไปนั่งหน้าสุดไป เดี๋ยวฉันจัดการของบริจาคก่อน ห้ามพวกแกทำอะไรปั้นนะ ให้ปั้นเดินผ่านไปเฉยๆ ทราบ!”



              “ทราบครับผู้จัดการ!” พลังเสียงน้องๆ นี่มันอะไรกัน



              เราเดินกอดกระเป๋าเป้ใบเล็กไปนั่งตรงที่ชมพู่บอก ตลอดทางน้องๆ ก็ทักทายปกติ เราจำชื่อได้ไม่กี่คน การไปจัดกิจกรรมคราวนี้รวมสตาฟเก่าใหม่ด้วย และทั้งรถมีผู้หญิงอยู่ห้าคนถ้วน



              “พวกเราดีใจนะครับที่พี่ปั้นมา ผมขอถ่ายรูปได้ไหมครับพี่ปั้น” คนที่นั่งเบาะหลังชะโงกหน้ามาพร้อมกับมือถือในมือซ้าย เราตกใจแทบสะดุ้งแต่ว่าก็เก็บอาการได้ทัน



              “อ่า...เราว่า...”



              ผลัวะ!
             


              “ใครวะ!”



              “กูเอง” น้องเจ็มที่เดินมากับกี้ ยื่นมือมาตบหัวเพื่อนทันทีที่เดินผ่าน “ไอ้เชี่ยแฟมึงนั่งดีๆ ไป รถจะออกแล้ว”



              “ว่าแต่กู มึงเดินมาทำเชี่ยไร ไอ้เจ็ม ไอ้กี้”



              “กูนั่งแถวเดียวกับพี่ปั้นไง นั่งฝั่งนี้ เดี๋ยวปั๊ดดด” น้องเจ็มว่าก่อนจะเดินไปนั่งหน้าสุดติดกับหน้าต่างฝั่งซ้าย ถัดมาก็เป็นน้องกี้ที่ทิ้งตัวลงนั่งกับเบาะ กี้ดูอึกอักแปลกๆ ส่วนเราก็มองเขาเงียบๆ



              “เออๆๆ อย่าให้เห็นมึงขอถ่ายรูปก่อนพวกกูนะ” น้องแฟบ่นก่อนจะกลับไปนั่งตามเดิม เราเลยหันไปทักทายน้องเจ็มกับกี้เล็กน้อย



              “หวัดดีน้องเจ็ม เอ่อ...กี้ด้วย”



              “สวัสดีครับพี่ปั้น นึกว่าพี่ปั้นจะไม่มาซะแล้ว” น้องเจ็มว่า



              “ทำไมล่ะ”



              “ก็เรื่องไอ้กี้...” พูดถึงตรงนั้นแล้วเจ็มก็ใช้ศอกกระทุ้งเพื่อนตัวเอง กี้เลยหันมาหาเราทั้งตัวพร้อมกับเริ่มพูด



              “พี่ปั้น...”



              “...”



              “เรื่อง...เรื่องเมื่อคราวก่อน ผมยังไม่ได้ขอโทษพี่ปั้นเลย ผมแกล้งแรงไป ผมขอโทษจริงๆ นะครับพี่ พี่ปั้นอย่าโกรธผมเลยนะ ผมจะไม่ทำอีกแล้ว ตอนนั้นผมคิดว่าพี่ปั้นไม่ว่าอะไร ก็เลย...ทำแบบนั้นไป ยกโทษให้ผมด้วยครับ” เขาพูดจบรอบข้างก็เงียบไปทันที



              “อ่า ไม่เป็นไร" อาจจะเป็นเพราะเสียงเราฟังดูแข็ง สีหน้ากี้เลยแย่ลงมากกว่าเดิม "แต่ว่านะ กี้...”



              “ครับ”



              “ถึงไม่ใช่เรา กี้ก็อย่าไปทำแบบนั้นกับใครอีกนะ บางทีสิ่งที่เราสนุก เขาอาจจะไม่สนุกกับเราก็ได้” กี้สบตาเราด้วยแววตาที่อธิบายไม่ถูก



              “ที่เราพูดแบบนี้เพราะเห็นว่ากี้เป็นน้องเรา ถ้าอะไรที่ไม่ดี คนเป็นพี่ก็ต้องเตือนน้องถูกไหม”



              “...” เราเอียงหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ากี้เงียบ



              ...นี่เราพูดแรงไปไหมเนี่ย...แถมยังพูดยาวที่สุดในรอบปีด้วย...



              ไม่ทันได้หาคำตอบก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง 



              “ไอ้เชี่ยกี้จะร้องแล้วเว้ยยยยยยยยยยย”



              เราหันไปมอง พึ่งรู้สึกตัวว่าทั้งรถยืดตัวกับเบาะรถมองมาทางนี้กันหมด รวมถึงชมพู่ที่ยืนอมยิ้มอยู่ตรงนั้นด้วย



              ...อ่า คือ...
             


              “พี่ปั้นครับบบบ พี่ปั้นน่ารักจังเลยยย”



              “ไม่เสียแรงที่เป็นขวัญใ...เอ๊ย เป็นรุ่นพี่พวกเรา”



              “ฮืออออออ ซึ้งแทนไอ้กี้ครับ”



              “พี่ปั้น! พี่ปั้น! พี่ปั้น!”



              เราลูบท้ายทอยแก้เก้อ หันไปมองน้องกี้ที่ปลายจมูกแดงแล้วก็ยิ้ม เรายื่นมือไปตบบ่ากี้เบาๆ



              “ขอบคุณนะครับพี่ปั้น”

 



              เดินทางไม่นานก็ถึงราชบุรี แต่ทางไปโรงเรียนไกลจากตัวเมืองอยู่ซักหน่อย แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้ลำบากอะไรนัก พอมาถึงโรงเรียนน้องๆ ก็ช่วยกันขนกล่องนม ขนม อุปกรณ์กีฬา สมุด หนังสือลงมาจากรถบัสของมหาลัย



              ตึง ตึง ตึง



              อ้อ รวมถึงกลองด้วย ขาดไม่ได้เลย

           

              “ข้าวกับก้อย แสตนบายด์อยู่ตรงหน้าห้องประชุมนะ เดี๋ยวจะมีถังไอติมมาส่ง พี่สั่งเขาไว้แล้ว”



               “ได้ค่ะพี่”





               “ส่วนเจ็ม ฟุน เหน็ง ซอ กี้ แกไปอยู่หน้าเวทีหน่วยสันทนาการ ปั้นส่วนแกอยู่ด้านหลังกับบี หน่านะ”



                ชมพู่บอกเราว่างานนี้ไม่มีได้มีแผนอะไรมากมาย เดิมทีจะมาแจกของให้เด็กๆ อย่างเดียว แต่เนื่องจากเด็กๆ ยินดีมารอพวกพี่ๆ เลยต้องมีการคิดกิจกรรมให้น้องๆ ได้สนุกสนานเป็นการด่วน โชคดีที่กลองยืมของมหาลัยได้แถมยังมีเเฟลชไดร์ฟใส่เพลงเเดนซ์ไว้เพียบอีกต่างหาก งานนี้คงจะสนุกน่าดู



                อย่างตอนนี้คนที่ทำหน้าที่นำความเฮฮาได้ดีสุดเห็นจะเป็นเจ็มและเดอะแกงค์ของเขา



                “พี่ชื่อพี่เจ็มนะครับน้องๆ ไหนใครเป็นเด็กดียกมือขึ้น”



                “หนูๆๆๆๆๆ”



                ทั้งๆ ที่เราคิดว่าเด็กๆ คงจะเขินอาย แต่พอเริ่มทำกิจกรรมทุกคนกลับตื่นเต้น กระโดดเหยงๆ หัวเราะเสียงดัง ซนจนพวกทีมบาสวิ่งตามจับกันแทบไม่อยู่ คุณครูสองสามคนก็ส่ายหน้ากับความซนที่ฉุดไม่อยู่ของเด็กๆ  โรงเรียนแห่งนี้มีนักเรียนชั้นอนุบาลถึงประถมหกประมาณเกือบห้าสิบคน ไม่มากไม่มาย แต่ก็อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก



                “เดี๋ยวพี่ๆ ตัวใหญ่ยักษ์จะล้อมน้องๆ ไว้เป็นกำแพง เราจะมาเล่นเกมกันนะ เอาล่ะ ใครไม่อยู่นิ่งจะไม่ได้ไอติม เอ้า ปรบมือสามครั้ง”



                แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ



                “ไม่พร้อมเลย เอาใหม่ปรบมือสามครั้ง”



                แปะ แปะ แปะ แปะ



                “เอ้า ทำไมเกิน”



                “ฮ่าๆ”



                ชมพู่กับโค้ชทีมบาสก็ยุ่งอยู่ข้างๆ เวที คอยแจกขนมให้เด็กๆ ที่ชนะเกมหรือเฮฮาได้ใจ เกมที่สนุกที่สุดเห็นจะเป็นการจับคู่เป่ายิ้งฉุบ ถ้าใครแพ้ก็ต้องไปต่อแถวคนชนะไปเรื่อยๆ เกมนี้ไม่ได้มีแค่เด็กๆ เท่านั้น เพราะน้องๆ ทีมบาสหลายคนก็เข้ามาเล่นด้วย ขนาดตัวที่โตกว่าดูยังไงก็เหมือนเด็กโข่ง



                “ผู้ชนะในเกมนี้จะได้ดินสอสีสี่สิบแปดสีจากโค้ชของเรานะคร้าบบบ ปรบมือให้กับโค้ชหน่อยยย”



                เย้ เย้



                “เล่นเกมอย่างรู้แพ้ รู้ชนะนะเด็กๆ เอ้า โค้ชจะเป่าแล้วนะ หนึ่ง สอง ปรี๊ดดดดดด!”



                เสียงโหวกเหวก เสียงหัวเราะอบอวลไปทั่วห้องประชุมเล็กๆ ทุกคนดูมีความสุขทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ส่วนหน้าที่ของเรากับน้องผู้หญิงอีกสองคนก็คือคอยกระตุ้นน้องๆ เข้าไปเฮฮาด้วย หรือคอยดูถ้ามีใครล้มหรือไม่สบาย แม้ว่าจะไม่ได้คุยกับน้องสตาฟคนอื่นเป็นพิเศษแต่แอบมองอยู่มุมนี้ก็ชื่นใจดีเหมือนกัน



                “พี่ปั้นคร้าบบบ มาเล่นด้วยกันไหมครับ” น้องซอตะโกนมาจากกลางวง ที่เอวของซอมีมือน้อยๆ เกาะอยู่ เด็กๆ ที่เกาะไหล่กันหันมามอง บางคนก็กวักมือเรียกเราด้วย



                “ตามสบายเลย”



                เรายิ้มแล้วส่ายหน้าก่อนจะถอยมาอยู่ชิดประตูทางออกด้านหลัง น้องผู้หญิงสองคนที่ยืนข้างๆ เราก็หัวเราะกับท่าทางเด็กๆ ที่ตื่นเต้นจนบางคนเต้นตามเพลงที่เปิดไว้ ไม่ยอมเป่ายิ้งฉุบซักที



                “พี่คับ พี่คับ”



                หือ? เราก้มมองตามแรงดึง เด็กน้อยคนหนึ่งดึงชายเสื้อเราไว้ ตาโตๆ มองเราปริบๆ เกือบจะหลุดยิ้มเอ็นดูเพราะว่าแก้มสองข้างเต็มไปด้วยแป้ง ดูตัวเล็กๆ แบบนี้คงจะอยู่อนุบาลแน่เลย



                “ครับ”



                “แชมป์ปวดฉี่”



                เราหันไปมองซ้ายขวาเลิ่กลั่ก ไม่มีใครรู้ว่าเด็กน้อยคนนี้ออกมาจากวงเล่นเกม “แชมป์ปวดฉี่แต่แชมป์อยากเล่งเป่ายิ้งฉุบ”



                “ปวดหรอ ถ้าน้องแชมป์ปวด แชมป์ต้องไปเข้าห้องน้ำเลย อั้นไว้ไม่ดีนะครับ”



                เด็กน้อยคนนี้จับชายเสื้อนักเรียนตัวเองไว้ ขาเล็กๆ บิดซ้ายบิดขวาคงเพราะปวดมาก ส่วนมือขวาก็กำเสื้อเราไม่ปล่อย



                “งือ” น้องส่งเสียงร้องมาคำเดียว แต่แบบว่า...



                “ไปครับ เดี๋ยวพี่ปั้นพาไปเข้าห้องน้ำ”



                “คับพี่ปั้ง”



                ...โคตรน่ารักเลย...



                “วันนี้สนุกไหม”



                “สนุกคับ”



                เราถามระหว่างจูงมือน้องเดินมาเข้าห้องน้ำหลังตึก ตอนที่เราเดินมาที่น้องข้าวที่รอตักไอศกรีมเข้ามาถามไถ่เล็กน้อย นอกนั้นคนอื่นๆ ก็เอาแต่เต้นกันอยู่ข้างใน เพราะสมัยนิยมดังแว่วออกมา



                “แชมป์เข้าคนเดียวได้ไหม”



                “ได้คับ แต่แชมป์กลัวผี” น้องยิ้มเขินๆ แต่เราเขินกว่า เหมือนโดนดาเมจรุนแรง



                ...ทำไมน่ารักขนาดนี้...



                “ไม่มีหรอก กลางวันอยู่”



                “แต่แชมป์กลัว พี่ปั้งอยู่หน้าประตูร้องเพลงให้แชมป์ฟังหน่อย เหมือนแม่กับครูปังไงคับ”



                “อ่า...”



                ...น้องแชมป์ พี่ปั้นร้องเพลงไม่ได้นะ...



                “พี่ แชมป์ปวดดด”



                “อะๆ แชมป์เข้าเลยๆๆ เดี๋ยวพี่ปั้นร้องเพลงให้ฟัง”



                เงียบสนิท



                “แชมป์ไม่ฉี่ ไม่มีเพลง แชมป์ไม่ฉี่”



                …ฮือ พี่ร้องก็ได้ครับ...



                “ชะ...ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง น้องเคยเห็นช้างรึเปล่า”



                …รู้ไปถึงไหนอายถึงนั่นเลยปั้นเอ๊ย...



                เราหลับหูหลับตาร้อง ซึ่งความเพี้ยนนั้นมาเต็มทุกลมหายใจเข้าออก แต่เราไม่ได้เขินอายนานเพราะน้องบูมร้องเพลงประสานกับเราอย่างสนุกสนาน



                “ชั้งมันเติบโตไม่เบา จมูกยาวๆ เรียกว่างา มีหูตาหังยาวววววววววววว เสร็จแล้วคับบบบพี่ปั้ง”



                “หึหึ”



                หือ? ใครหัวเราะ



                เดี๋ยวนะ...ทำไม...เราได้ยินเสียงหัวเราะ เสียงมาจากที่ไหน หรือว่า...ที่นี่จะมีผีจริงๆ น่ะ ไม่ก็เราหูฝาดไป



                “ครับ เสร็จแล้วออกมาล้างมือเลยครับ” เรารีบพูด คิดว่าประโยคนี้คงจบลงเพียงหนึ่งวิเท่านั้น



                “พี่ปั้งร้องเพลงหนู๊กหนุก”



                “หึหึ”



                ...เฮ้ย...นั่นไง มีเสียงหัวเราะจริงๆ ด้วย... เราขนลุก รีบปรี่เข้าไปอุ้มน้องแชมป์ขึ้นทันที



                “พี่ปั้นว่าเราไปกันดีกว่าครับ”



                น้องแชมป์กอดคอเราแน่น พร้อมกับยิ้มแป้นแล้น ก็ตอนที่เราอุ้มขึ้นคงจะสนุกเขาล่ะมั้ง เรารีบเดินมาที่ประตูห้องน้ำ และเสียงหัวเราะประหลาดนั้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆ! ยิ่งจะเดินผ่านประตูมันยิ่งชัดเจน  ...ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่... เราหลับตาก้าวขาผ่านประตูนั้นทันที เหมือนกับประตูนั้นจะพาเราผ่านไปสู่ความสว่างได้ เราก้าวเท้าซ้าย ตามด้วยเท้าขวา...



                พลั่ก!



                หน้าผากชนกับอะไรบางอย่างจนต้องร้องลั่นพร้อมกับถอยเข้ามาให้ห้องน้ำอีกรอบ



                “เฮ้ย!” เราร้องกอดน้องแชมป์ไว้แน่น กดหัวน้องให้แนบกับบ่า ส่วนใจนั้น....เต้นรัวพอๆ กับเสียงกลองในห้องประชุม



                …เราชนกับอะไร ไม่กล้าลืมตาเลย...



                “พี่ปั้น!”



                สัมผัสเย็นเฉียบจับต้นแขนเราไว้  …เสียงนี้...



                “ผมเอง”



                “นาย!?”

 [ต่ออีกนิด]
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 13: เรา...คือพี่ปั้ง p.6 [9/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 09-01-2018 22:00:07
 [มา มาเลย]


               “หยุดขำได้ไหม จะขำอะไรนักหนา”



                “หึหึ ก็พี่ปั้นน่ารัก ร้องเพลงช้างด้วย”



                “มันไม่ได้น่ารัก มันเพี้ยน!” เราหน้าบูดที่ต้องย้ำความจริงอะไรแบบนี้



                “ฮ่าๆๆ ไม่ไหวแล้ว น้องแชมป์พี่ปั้นร้องเพลงเพราะไหม”



                “เพราะคับ”



                ...หึหึ ดีมากคนน่ารักของพี่ปั้น...



                ที่นายก้มลงถามน้องแชมป์ คงคิดว่าน้องจะตอบว่าไม่เพราะล่ะสิ



                “น้องแชมป์ดีกับพี่ปั้นจังเลยครับ” เราอุ้มน้องแชม์ปอีกครั้งหลังจากปล่อยให้เดินเองเมื่อกี้ น้องแชมป์ยิ้มหวานก่อนจะแนบแก้มที่เต็มไปด้วยแป้งกับไหล่ของเรา น่าเอ็นดูจัง เราหัวเราะเบาๆ



                “แชมป์รักพี่ปั้ง”



                …พี่ปั้นก็รั...



                “เฮ้ยๆ น้องครับ เป็นเด็กเป็นเล็ก ท่อง ก ไก่ถึง ฮ นกฮูกให้ได้ก่อน รักอย่าพึ่งยุ่ง” นายหุบยิ้มฉับก่อนจะปรี่เข้ามาแย่งน้องแชมป์ไปอุ้มเอง การกระทำของเขาหยุดความคิดของเราลง เกือบจะเคลิ้มเพราะคำบอกรักของน้องแชมป์แล้ว



                “ก็แชมป์รักพี่ปั้ง ปล่อย!” น้องแชมป์ดิ้นๆ จนเท้าไปโดนเสื้อยืดสีดำของนายเข้า



                “นาย น้องไม่ชอบ” เราบอกนายเพราะกลัวว่าน้องจะงอแง แต่คนตรงข้ามกลับมองเราตาโต เขามองเราที่เป็นฝ่ายอุ้มน้องลงมายืนบนพื้นอีกครั้ง น้องแชมป์กอดขาเราทันทีแล้วยิ้มแป้น ต่างกับเด็กอีกคนที่ยืนขมวดคิ้วอยู่ตรงหน้า



                “อะ..อะไร”



                “พี่ปั้น เจอเด็กนี่ไม่กี่ชั่วโมง พี่ปั้นดุผมต่อหน้าน้องเขาหรอครับ ผมมาก่อนตั้งนานนะครับพี่ปั้น”



                เราขมวดคิ้วบ้าง ส่ายหน้ากับความคิดของเขาก่อนจะเดินนำไปหอประชุม ป่านนี้ตามหาน้องแชมป์กันหมดแล้วมั้ง



                “ปั้น!”



                เดินมาถึงห้องประชุม ชมพู่ก็เท้าเอวยืนรออยู่ตรงนั้นกับน้องฟุนที่รอรับน้องแชมป์อยู่ ส่วนชมพู่พอเห็นหน้านายที่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก็นึกว่าชมพู่จะมีท่าทีประหลาดใจกับเด็กมธ.คนนี้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เลย...



                “พวกแกมาช้านะนาย งานจะเลิกแล้วเนี่ย”



                “ผมมาจากกรุงเทพฯ นะพี่พู่”



                “เออๆ ไปแกไปรอแจกไอติมข้างนอกแล้วกันอย่าพึ่งเข้าไปกวนข้างใน” ชมพู่ว่าพลางเรียกน้องฟุนพาน้องแชมป์เข้าไปข้า

งใน แล้วดันหลังเราให้เดินไปทางประตูหลัง



                “อ้าวแล้วพี่ปั้นล่ะ”



                “ปั้นก็อยู่ข้างในดิ”



                “ทำไมผมถึงเข้าไปไม่ได้ ไอ้เอ็มเจกับไอ้แดมยังเข้าไปได้เลย”



                ...นี่เพื่อนเขาก็มาด้วยหรอเนี่ย...



                “ฉันไม่ให้แกเข้า เพราะฉันหมั่นไส้แก จบไหม ปะ ปั้นไปกันเถอะ”



                เรามองเขานิดหน่อยก่อนจะเดินเข้าห้องประชุมด้วยพลังแขนของชมพู่ และตอนนี้กิจกรรมเต้นแรงแจกรางวัลกำลังจะเริ่ม

 





                “วันนี้สนุกไหมครับน้องๆ”



                “สนุกกกกก!!!”



                “อยากให้มาอีกไหมมมม”



                “อยากครับ/อยากค่า”



                “เอาล่ะเด็กๆ นั่งเรียบร้อยก่อนนะ ก็...ในฐานะตัวแทนโรงเรียน ดิฉันต้องขอบคุณโค้ช และน้องๆ ทุกคนที่อยากแบ่งปันความสุขให้กับน้อง ทางโรงเรียนก็จะนำอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬาไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดค่ะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ” คุณครูรับไมค์จากน้องเหน็งก่อนจะเดินมาพูดขอบคุณพวกเราตรงกลางเวที จากนั้นก็ส่งไม้ต่อให้โค้ช



                “ครับ...ทางเราก็ต้องขอบคุณเช่นกัน ขอบคุณทางโรงเรียนและเด็กๆ ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเยี่ยม กิจกรรมวันนี้จึงผ่านไปด้วยดี พี่เด็กโข่งหลายคนสนุกกว่าน้องอีกก็มี”



                “โค้ชชชช!”



                “ฮ่าๆ แต่ว่าวันนี้เวลาหมดซะแล้ว โค้ชถามเด็กๆ ก่อนมีใครหิวอีกไหมครับ”



                “หิววววว”



                “ไอศกรีมยังมีเหลือ เด็กๆ ออกไปทีละแถวไปให้พี่ๆ ตักให้นะครับ ขอบคุณมากครับ ตั้งใจเรียนนะเด็กๆ”



                เย้ เย้



                “พี่ปั้งงงงงง” ระหว่างที่เด็กๆ ต่อแถวรอกันอยู่นั้นก็มีเสียงเล็กๆ ดังขึ้น และนายที่ตักไอศกรีมอยู่เยื้องๆ ประตูทางออกก็ชะโงกหน้ามาทันทีที่ได้ยินเสียง



                “เฮ้ยๆ เอ็มเจ แดมกันเด็กนั่นออกจากพี่ปั้นดิวะ ตักไอติมแป๊บนึง” นายตะโกนมาด้วยเสียงไม่ดังนักแต่ก็พอทำให้เรา แดม เอ็มเจ และน้องแชมป์หันไปมอง นายกำลังโดนเด็กๆ รุมอยู่ด้านนอก



                “หนูขอเยลลี่เอาไว้บนไอติมเยอะๆ”



                “พี่หล่อจังค่ะ หนูขอช็อกเลตเย้อๆ”     



                “หนูด้วยๆๆๆ”



                “รอก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่ตักให้ อย่าดึงผมพี่ครับน้องๆ เอ็มเจโว้ย!”



                “ฮ่าๆๆๆ ไอ้เชี่ยนายกับเด็กก็ไม่เว้น”



                “พี่ปั้งงงงง” สุดท้ายน้องแชมป์ก็วิ่งมาหาเราพร้อมกับของในมือ ปากเล็กๆ เลอะไอศกรีมเล็กน้อย คิดว่าน้องคงเป็นคนแรกๆ ที่ได้กินไอศกรีม หวังว่านายคงไม่แกล้งน้องนะ เอ็มเจกับแดมก็หัวเราะท่าทางเกรี้ยวกราดของนายอยู่ข้างๆ เรานี่เอง



                “ว่าไงครับ”



                “แชมป์เอาดินสอมาให้พี่ปั้งคับ” น้องแชมป์แกะแฟ้มที่พวกเราจัดอุปกรณ์การเรียนมาให้น้องๆ แต่ละคน ก่อนจะยื่นดินสอมาให้



                “ให้ทำไมครับ”



                “คุณครูบอกว่าเราต้องแบ่งปัง”



                “เชี่...เอ็มเจ! จับดิ น้องจะปีนตัวพี่ปั้นอยู่แล้ว มึงจะยืนหัวเราะอีกนานไหม”



                “ไอ้แดม เอาไอติมอุดปากมันทีดิ๊ รำคาญ” เอ็มเจผลักแดมที่กลั้นหัวเราะจนหน้าแดงให้เดินไปหานาย ซึ่งเขากำลังง่วนอยู่กับการร้องหาไอศกรีมของเด็กๆ



                “พี่ปั้ง แชมป์ให้”



                “ไม่เป็นไรครับ พี่ปั้นไม่เอา เพราะมีเยอะแล้ว นี่ให้น้องแชมป์เอาไปเขียนหนังสือนะครับ”



                “งืมม...ก็ได้คับ แต่ว่าพี่ปั้งมาอีกนะคับ” น้องแชมป์กอดเราไว้ได้กลิ่นแป้งเด็กหอมอ่อนๆ เรายิ้มให้กับความไร้เดียงสาของน้อง



                “ได้ครับ ถ้าน้องแชมป์เป็นเด็กดีพี่ปั้นจะมาใหม่ โอเคไหม”



                “โอเค!”



                “แชมป์มาเอาไอติมอีกเร็วลูก!”



                “ไปเร็วคุณครูเรียกแล้ว”



                “ติมติมมม” คุณครูส่งเสียงเรียก น้องแชมป์จึงรีบวิ่งไปทันที เราส่ายหน้าก่อนจะเดินไปเอาไม้กวาดที่มุมห้องประชุม



                “พี่ปั้นเนี่ยอยู่กับเด็กแล้วละมุนขึ้นสิบเท่าเลยนะ” เอ็มเจพูดขึ้นระหว่างที่ก้มเก็บแก้วน้ำ ตอนนี้กิจกรรมเสร็จสิ้นหมดแล้ว พวกน้องๆ ทีมบาสเลยอาสาทำความสะอาดสถานที่ เพราะเลอะเทอะเหลือเกิน ทั้งคราบแป้ง เศษขนม ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่ทำความดีให้อิ่มอกอิ่มใจเลยดีกว่า



                “เอ็มเจว่าอะไรนะ”



                “โหยยย ไม่ฟังผมเลยย”



                “ขอโทษ ว่าแต่เราเหอะ มาได้ไง ถามนายก็เฉไฉ”



                “เซอร์ไพร์สไหมพี่ปั้นนน โค้ชผมพอรู้ว่าศิลปากรมาที่นี่ ก็เลยฝากของมาให้ด้วย ไอ้นายมันอาสาเอามาให้ แต่จริงๆ แล้วมันนั่นแหละไปกรอกหูโค้ช” เอ็มเจกระซิบ ทั้งๆ ที่ตรงนี้มีเรากับเอ็มเจแค่สองคน  “พวกผมโดนลากมาแหละขอบอก ไอ้นายกลัวพี่ปั้นว่า มันเลยลากพวกผมมาด้วย”



                “เราจะว่าอะไรได้ล่ะ” เรานึกแล้วใช้ไม้กวาดกวาดเศษขยะ ก่อนจะมาที่นี่เราบอกรายละเอียดนายไปแล้ว และดูเหมือนว่าเขาจะหงุดหงิดเพราะมากับทีมบาส เขาให้เหตุผลว่าเพราะกี้เคยมีคดีกับเรา เขาเลยไม่อยากให้มา อา ก็...จะทะเลาะกันก็ไม่เชิง แล้วเขาหายเงียบไปแล้วก็มาโผล่แกล้งผีหลอกเราที่นี่ นึกไม่ถึงว่าเขาจะคุยกับชมพู่แล้วตามมาสมทบ ไม่มามือเปล่าด้วยนะ เขาเอาของที่โค้ชกับเพื่อนทีมบาสมธ.ฝากมามอบให้เด็กๆ ด้วย แถมยังอยู่ช่วยไม่อิดออด



                “แต่พี่ปั้นอย่าไปว่าอะไรเลยนะครับ คนมันเห่อก็งี้แหละ” เอ็มเจบ่นเบาๆ แล้วขอตัวเดินไปช่วยน้องผู้หญิงยกโต๊ะตรงมุมนู้นต่อ ...เห่ออะไรของเขา...



                “พี่ปั้นคร้าบบบบบบบ”



                “หือ?” เราเงยหน้าขึ้นก็พบว่าน้องโม กับน้องบอมวิ่งเข้ามา “มีอะไรหรอ”



                “พี่ปั้นครับ พวกเราเหนื่อยมากเลย”



                “อ่าแล้ว...อยากได้น้ำหรอ” ผู้ชายตัวสูงเกือบร้อยแปดสิบทั้งสองส่ายหน้า พวกเขาเหลือบมองไปทางเพื่อนที่นั่งยืดขากับพื้นเป็นกลุ่มๆ ตรงนั้นมีเจ็ม กี้ ฟุน เหน็ง และอีกหลายคนอยู่ตรงนั้น



                “ไม่อยากได้น้ำแล้วอยากได้อะไร”



                “พวกเราอยากได้กำลังใจครับ”



                ...อะไรนะ...



                “พวกผมขออะไรอย่างนึงได้ไหมครับ”



                “เอ่อ...”



                “ไม่มีอะไรน่ากลัวครับ พี่ปั้นทำได้แน่นอน สัญญาก่อนสิครับ”



                “ถ้าไม่มีอะไร...แล้วจะให้เราทำอะไรล่ะ”



                “พี่ปั้นทำท่ายิงธนูนะครับ ยิงไปฝั่งนู้น แบบนี้ครับ ปิ้วววว ไหนทำซิพี่ปั้น”



                โมทำท่าให้เราดูแล้วพยักพเยิดให้เราทำตาม ส่วนบอมก็ยกมือถือขึ้นมาถ่าย



                “อย่างงี้หรอ”



                “ครับ ทำท่าดึงคันธนูแล้วปล่อย”



                เราทำท่าดึงอย่างงงๆ และขณะที่เรากำลังปล่อยลูกธนูในจินตนาการนั้น จู่ๆ โมกับบอมก็ประสานเสียงดังลั่น



                “พวกมึงอย่าพึ่งนอน พี่ปั้นยิงกำลังใจมาให้!!!! ฟิ้ววว”



                “อ๊ากกกกกกกกกก”



                นักกีฬาบาสสิบกว่าคนดิ้นกับพื้น บางคนกุมหัวใจแล้วดิ้นๆ ส่วนเรานั้นต้องบอกว่า ...อึ้ง...



                ผลัวะ!



                “โอ๊ยยย ตบกูไมวะไอ้กี้”



                “เชี่ยนี่เล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา ไม่ดูตาม้าตาเรือ”



                “อะไรของมึงวะไอ้นี่”



                “พ่อพี่ปั้นมาคุมด้วย ไม่เห็นไง๊”



                “ไหนวะ” โมขมวดคิ้วหันไปตามนิ้วชี้ของกี้ เหมือนมุกของหนังตลก คนที่ดิ้นๆ กับพื้นก็หันไปมองด้วยท่าทีหวาดๆ มนุษย์นายกำลังยืนกอดอกพิงกรอบประตู มองมาทางนี้ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ด้านหลังของเขาเหมือนฉากหนังต่อสู้ท่ามกลางหิมะฤดูหนาว



                “ชิบ...หาย...”



                และเหล่าทีมบาสมธ.ก็เหมือนลูกสมุนรอรับมีดที่เย็นยะเยือก

 







                “เสน่ห์แรงเกินไปแล้วนะพี่ปั้น”           



                ...อะไรของนาย…



                “ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ นี่ถ้าผมไม่ตามมาด้วยจะมีคนแก่อีกไหมครับ”



                ...จะรู้ไหมล่ะ...



                “มาหาแล้วไม่เห็นทำหน้าดีใจเลย”



                ...เมื่อกี้อะนะ ก็เรากลัวผีไง...



                “โอ๊ยยยยยยย อีกคนก็น้อยใจ อีกคนก็พูดในใจ ชาตินี้จะคุยกันรู้เรื่องไหม” ชมพู่ส่งเสียงร้องออกมา ขณะที่เดินตาเรากับนายมาที่ทิ้งขยะของโรงเรียน



                “ไม่ต้องเลย ชมพู่ไม่เห็นบอกเราซักคำว่านายจะมา”



                เมื่อเช้าเราบ่นให้ชมพู่ฟังว่านายงอนเราไร้เหตุผล พอเรายืนยันว่าคุยกับชมพู่แล้ว เขาก็หายเงียบไปเลย มาโผล่อีกทีก็อย่างที่เห็น



                “เออขอโทษษษษ เด็กมันคิดถึง ไม่อยากขัดใจ”



                “พี่พู่ ผมไม่ใช่เด็ก”



                “เอ้า แกนั่นแหละ จะมีใครล่ะ”



                “ก็เป็นห่วง เดี๋ยวไอ้กี้นั่นทำอะไรอีกล่ะ อีกอย่างผู้ชายเกือบทั้งคันขนาดนี้ ไม่มาเองไม่ไว้ใจ” นายหันมาสบตาเรา และเราก็ไม่เข้าใจนาย ชมพู่มองหน้าเราสองคนเลิ่กลั่กก่อนจะหาทางเลี่ยงสถานการณ์อึกอักแบบนี้



                “อะแฮ่ม ฉันไปดีกว่า รอที่รถนะ”



                “นาย...”



                เขาขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิดก่อนจะคว้าถุงขยะในมือเราไปทิ้งที่ลานขยะ เรามองตามไปแล้วก็พบว่ารอบตัวเรามีความเงียบกำลังก่อตัวเป็นกำแพงเตี้ยๆ



                ถึงแบบนั้นและเราก็ยังเป็นข้าวปั้นคนเดิมที่ถอยกลับมาเป็นคนเดิมซ้ำๆ คนที่ชอบพูดแค่ในใจ คนที่กำลังพยายามกล้าหาญ เราสองคนเดินไปล้างมือแล้วเขาก็เดินนำเราไปที่ลานกว้างหน้าโรงเรียนซึ่งเป็นสถานที่จอดรถ  เราเดินตามไปเงียบๆ แต่แล้วเขาก็หยุดเดิน ทำลายความเงียบนั่นเสียเอง



                “ขอโทษครับ ผมงี่เง่าเนอะ” เขายิ้มบางก่อนจะส่ายหน้ากับตัวเองเบาๆ “ไม่อยากเป็นเด็กในสายตาพี่ปั้น แต่ก็ทำตัวเหมือนเด็กขี้อิจฉาจนได้”



                เราเงยหน้ามองแผ่นหลังของเขา น้ำเสียงที่เหมือนตัดพ้อกับตัวเองพาลให้ใจเรารู้สึกเศร้ายังไงก็ไม่รู้



                “นาย คือว่าเรา...”



                “เฮฮฮฮ้ มาเร็วว จะกลับกันแล้ว” เอ็มเจวิ่งทักๆ ตรงมาที่เรากับนาย ก่อนที่จะชะงักกึก



                “เอ่อ...กูกับไอ้แดมนั่งรถไปกับศิลปากรนะ เจอกันในมอ” เอ็มเจพูดเร็วจี๋แล้ววิ่งกลับไปขึ้นรถทันที น้องๆ ในทีมบาสที่นั่งอยู่บนรถต่างมองมาที่เรากับนาย สายตาที่ส่งมาเต็มไปด้วยความสงสัย และบางคนก็ดูเสียใจพิกล ก็ทำท่ากุมใจ เบะปากกันขนาดนั้น



                ...พวกเขาปกติใช่ไหม... ส่วนชมพู่ที่นั่งด้านหน้าก็โบกมือมาให้พลางพูดประมาณว่าเจอกันที่มอ เราพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะไปถามคนที่ยืนข้างๆ



                “นายจะไปส่งเราหรอ”



                “ครับ”



                เขาตอบกลับมาคำเดียว นั่นทำให้เรามองเขาอย่างเป็นห่วง

 







                รถมอเราออกไปเมื่อห้านาทีที่แล้ว เรามองหารถของเอ็มเจที่ปกติเขาจะขับมา แต่ก็ไม่เห็นมี



                “คันนี้ครับ”



                ...คันนี้?...



                “อ้าวไม่ใช่ของเอ็มเจหรอ” เราพึมพำ แต่ก็สอดตัวเข้าไปนั่งข้างคนขับ รถคันนี้เป็นรถฮอนด้าคันสีดำ รุ่นอะไรเราก็ไม่รู้เท่าไหร่นัก



                “พี่ปั้น” นายเรียก ตอนนี้ยังไม่ออกรถ นายหันตัวมาทางเรา ศอกข้างขวาของเขาท้าวกับพวงมาลัยรถ “ผมขอโทษ”



                “ขอโทษเราทำไม”



                “ผมหงุดหงิดตัวเอง ทั้งๆ ที่บอกว่าจะรอพี่ปั้นแท้ๆ พอมาวันนี้แค่เห็นคนอื่นมาอยู่ใกล้ๆ พี่ปั้น ผมรู้สึกอิจฉาซะอย่างนั้น หวงพี่ปั้นชะมัด” ท้ายประโยคเขาเหมือนพูดกับตัวเอง แต่เราก็ได้ยินอยู่ดี 



                “...”



                “ผมรู้ ผมไม่มีสิทธิ์ ที่ตามมาถึงที่นี่ยังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไรกับพี่ปั้น” ทำไมตอนเขาพูดถึงต้องยกมือมาลูบหัวเราแล้วยิ้มบางๆ แบบนั้น แล้วทำไม...เราต้องเจ็บหัวใจขนาดนี้ด้วย



                “...”



                “ผมชอบพี่ปั้นนะครับ ชอบมากๆ อยากให้พี่ปั้นรู้ไว้”



                …เรารู้...



                “นาย...” เราจับมือที่ลูบหัวเรามาวางไว้บนตัก คนพูดไม่เก่ง คนแสดงออกไม่เก่งอย่างเรากำลังพยายามนะ และคราวนี้เขาเป็นฝ่ายเงียบบ้าง



                “...”



                “ความชอบของเราอาจจะตามนายไม่ทัน”



                “...”



                “แต่จนกว่าถึงวันนั้นช่วยรอหน่อยนะ”



                …ได้ไหม...



                แล้วเราได้แรงกระชับที่มือเป็นคำตอบ

 







                “พี่ปั้นน เป็นไงครับ รถไอ้นาย ฟินป้ะ” เอ็มเจกับแดมเดินกอดคอเข้ามาหา ทันทีที่เราลงจากรถ เราหันไปมองนายที่ชี้นิ้วใส่เพื่อนของตัวเองเป็นเชิงปราม



                “รถนาย?”



                “เอ้า ไอ้เชี่ยนายมึงไม่บอกพี่ปั้นล่ะวะ”



                “บอกเราว่าอะไรหรอ” เราถามนายที่เดินมาข้างๆ ตอนนี้น้องๆ ทีมบาสคงเอาของเข้าไปเก็บที่ห้องชมรมบนโรงยิมเรียบร้อยแล้ว เอ็มเจกับแดมเลยมายืนรออยู่ที่ลานจอดรถด้านล่าง



                “พี่ปั้นอย่าไปฟังพวกมันมาก” นายพูด แต่เพื่อนเขากลับส่งเสียงล้อ



                “ทำเขินๆๆ เนอะไอ้แดม ตอนที่ได้รถ มันว่าไงนะ”



                “วันศุกร์นี้กูจะเอารถกูไปรับพี่ปั้น กูไม่อยากให้พี่ปั้นนั่งรถมึงอีกแล้ว” แดมทำเสียงเข้มกลั้วเสียงหัวเราะ



                “นายซื้อรถหรอ” เราตาโต เขาทำงานพิเศษเพื่อซื้อรถหรอ



                “ไม่ใช่ครับพี่ปั้น” เขารีบส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนเรากำลังดุเขาว่าทำอะไรเกินตัว



                “แล้วรถคันนี้มายังไง”



                “โดนดุว่ะ”



                “หุบปากไอ้เพื่อนเวร” นายพูดลอดไรฟันก่อนจะหันมาเรา “เอ็มเจมันเอารถผมไปใช้เมื่อสองเดือนก่อนแล้วเมา แต่มันยืนยันว่าจะขับเอง ผมก็นั่งมาด้วยแต่ง่วง สุดท้าย...เสยฟุตปาธแถมยังชนเสาไฟฟ้าอีก”



                “พี่ปั้นตาโตสุด ฮ่าๆๆ น่ารัก โอ๊ย เตะขากูทำไมไอ้นาย” แดมกุมหน้าแข้งตัวเองก่อนจะส่งสายคาดโทษให้เพื่อน



                “นี่เราสองคนทำตัวไม่ดีเลยนะ” ทำไมถึงขับรถทั้งๆ ที่ไม่ไหว นายก็ไม่ห้ามกันเลย ดีนะที่ไม่เป็นไร



                “ไอ้เอ็มเจเลยครับพี่ปั้น” เหมือนจะรู้ตัว นายรีบบอกทันที ได้ยินเสียงเอ็มเจสบถมาแว่วๆ



                “นายก็ผิด แล้วยังไงล่ะ” เราถามต่อ



                “รถเข้าอู่ ค่าซ่อมหารสอง แต่ร้านไม่ยอมเอาออกให้เพราะค่าซ่อมอีกครึ่งนึงผมยังไม่มี รถเลยโดนดอง”



                “เชี่ยนายมันไม่ยอมใช้ตังค์ผมก่อนครับพี่ปั้น หยิ่งๆ” เอ็มเจใช้ปลายนิ้วสะกิดคางนาย เขาปัดออก



                “มันบอกว่าอยากหาเงินเอง อยากเอามารับพี่ปั้น ลงทุนด้วยบวกกับหวงพี่ปั้นด้วย เพราะมีคนเห็นพี่ปั้นลงจากรถเอ็มเจ ไอ้เอ็มเจเลยโดนแซ็วว่าไปเดตกับใครไม่รู้กันแถวปิ่น...”



                “ไอ้แดม วันนี้พูดมากจังวะ”



                “คู่นี้ยังไงน้า เย็นขนาดนี้ไม่เห็นมีแดดเลย ทำไมหน้าแดงทั้งคู่”



                ...เอ็มเจก็พูดมากด้วยเหมือนกัน...



                เราเม้มปาก หลบสายตาล้อๆ จากเพื่อนนาย เราจับชายเสื้อตัวเองก่อนจะทำท่ามองนาฬิกา



                “ปั้น! มานี่เร็ว” ชมพู่ตะโกนพร้อมกับโบกมือไปด้วย เรารีบหันหลังไปทันที



                ...แม่พระของเรา...



                “นายเราต้องไปแล้วนะ เอ่อ...” พอหันกลับมา เอ็มเจกับแดมก็เข้าไปนั่งในรถกันแล้ว “ขอบคุณมากนะที่มาช่วยวันนี้ ทั้งสามคนเลย”



                “ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมทำตัวไม่ดีเลย” เขาพึมพำ



                ...นายไม่ได้ทำไรผิดซะหน่อย...เราเองแหละ...



                “อาทิตย์หน้าพี่ปั้น..” เขาลังเลที่จะพูด จากนี้...เราจะไม่ลังเลแล้วล่ะ...



                “นาย..”



                “ครับ?”



                “อาทิตย์หน้าเจอกันนะ”



                เรายิ้ม



                “ครับ อาทิตย์หน้าเจอกัน”



                แล้วเขาก็ยิ้ม



_________
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ทุกวิวเลยนะคะ
กดบวกเป็ดให้ด้วยความรักสีจมปู
คิดถึงทุกคนเหมือนเดิม
ปล.น้องเเชมป์น่าลักกก
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 13: เรา...คือพี่ปั้ง p.6 [9/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 10-01-2018 01:26:37
โถ่ น้องนายนี้เด็กน้อยจริงๆ หึงพี่ปั้นกับเด็ก
พี่ปั้นน่ารักเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือดริ่มแสดงออกเก่งแล้ว สู้ๆน้า
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 13: เรา...คือพี่ปั้ง p.6 [9/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-01-2018 01:51:14
ดาเมจรุนแรง
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 13: เรา...คือพี่ปั้ง p.6 [9/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-01-2018 02:21:59
 :hao5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 13: เรา...คือพี่ปั้ง p.6 [9/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-01-2018 03:23:17
น้องแชมป์ น่ารักจริงๆ แบบน่าลักกลับบ้านด้วย  :mew1:
พี่ปั้น ก็น่ารักมากๆ พาน้องแชมป์ไปเข้าห้องน้ำ
ยืนเฝ้าหน้าห้องน้ำ แถมร้องเพลงให้น้องฟังซะด้วย

พี่ปั้นก็เป็นขวัญใจกลุ่มนักบาสซะจริงๆ

นาย กับเพื่อนๆก็ตามมาร่วมกิจกรรมทำดีกับน้อง ยอดเยี่ยมมาก  :katai2-1:
แม้ทำเพื่อใกล้ชิดข้าวปั้น แต่ก็เป็นผลดีกับน้องๆ ยังไงก็ดีละนะ  :mew1: :mew1: :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 13: เรา...คือพี่ปั้ง p.6 [9/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 10-01-2018 08:49:33
อยากจะจับพี่ปั้นเคี้ยวๆแล้วกลืน น่ารักเกินไปปป
ทีมบาสโคตรหลงพี่ปั้นอะ โอเวอร์มากๆ 55555
นายสู้ๆน้าาา รอพี่เขาหน่อย น่ารักทั้งคู่!
 :L1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 13: เรา...คือพี่ปั้ง p.6 [9/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-01-2018 09:54:26
พี่ปั้นเริ่มกล้าพูดแล้ววววว
 :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 13: เรา...คือพี่ปั้ง p.6 [9/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 10-01-2018 20:39:21
เชื่อว่าน้องนายรอพี่ปั้นได้เสมอ :o8:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 13: เรา...คือพี่ปั้ง p.6 [9/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-01-2018 22:21:51
พาน้องแชมป์มาเรียนแถวศิลปากรทีค่ะ ติดใจน้องงง  :hao5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 13: เรา...คือพี่ปั้ง p.6 [9/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 11-01-2018 04:52:47
พี่ปั้นชอบเด็ก ดาเมจน้องแชมป์ทำพี่ปั้นเกือบบอกรักเลยอะ สงสารนายจังค่ะ55555 พี่ปั้นนี่ใครให้ทำอะไรก็ทำ ใจดีจังเลยน้าาา :mew3:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 13: เรา...คือพี่ปั้ง p.6 [9/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-01-2018 23:33:35
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 13: เรา...คือพี่ปั้ง p.6 [9/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 13-01-2018 06:18:42
 o13
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 13: เรา...คือพี่ปั้ง p.6 [9/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 14-01-2018 09:21:58
ขี้หวงมาเลยนาย,,,
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 13: เรา...คือพี่ปั้ง p.6 [9/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 15-01-2018 21:55:14
แปะ​ไว้​ก่อน​
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 14: เรา...กับการตามหาอะไรบางอย่าง p.7 [20/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 20-01-2018 20:55:22
Act 14 : เรา...กับการตามหาอะไรบางอย่าง

 

                แม่เราเคยบอกว่า การที่จะมุ่งไปสู่จุดหมายนั้นเราจะต้องเดินทางไกล เพราะไม่รู้ว่าข้างทางจะเจออะไรบ้าง เมื่อถึงปลายทางเราก็ไม่รู้อีกว่าที่นั่นจะมีทางแยกให้เราเลือกอีกรึเปล่า ถ้ามีมันก็อาจจะแยกเป็นสองทาง ทางที่หนึ่งคือสมหวัง กับทางที่สอง...ผิดหวัง

 

               “ปิด”



                กรณีนี้เราเลยเหมารวมกับเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่



                ...ร้านข้าวปิด...



                “พี่ปั้น อย่ามองผมแบบนั้น ผมไม่รู้นี่ครับว่าร้านจะปิด”



                นี่แหละปลายทางที่เราว่า...เราเงยหน้ามองกระดาษเอสี่ที่มีคำสั้นๆ (แต่สะเทือนใจมาก) แปะอยู่ตรงหน้าร้าน ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ ที่ตอนนี้ยืนนิ่งไปแล้ว



                “เรามองนายแบบไหน”



                นาย...ผู้ที่เขาให้คำนิยามเราไม่กี่ชั่วโมงก่อนว่า...พี่ปั้นเป็นมนุษย์ที่เขาอยากเจอในวันสุดสัปดาห์มากที่สุด... ค่อยๆ หันหน้ามามองเรา ก่อนจะเอ่ยคำขอโทษ



                “ผมขอโทษครับ”



                “ขอโทษทำไม”



                “ขอโทษที่ทำให้พี่ปั้นหน้าเศร้า”



                “เราเศร้า” แน่นอนว่าเรายอมรับ มันเป็นความผิดหวังที่แทรกซึมมากับกลิ่นของอาหาร



                เขาตาโตขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหางตาของเรานั้นตกลง ถ้าเรามีหูป่านนี้คงลู่ลงไปเหมือนกัน



                “นั่นไง ผมขอโทษ” เขาร้อง



                “เราเสียดาย ก็เราอยากมาชิมเมนูโปรดนายนี่”



                เราตอบตามความจริง ...ข้าวห่อไข่ที่เรารอ... เอ่อ เราไม่ได้เห็นแก่กินนะ เราบอกแล้วว่าอยากรู้จักนายให้มากขึ้น เท่านั้นเองจริงๆ



                “พี่ปั้นน ผมโคตรรู้สึกผิดเลย” เขาโอดครวญ แววตามีความรู้สึกผิดอยู่เต็มเปี่ยม เมื่อตอนสาย นายมาหาเราที่บ้านพร้อมกับเอ่ยปากชวนเราให้มากินข้าวเที่ยงที่จตุจักร ต้องบอกว่าเขาหลอกล่อเราเพราะอาหารถึงจะถูก



                “คราวหลังนายต้องโทรถามก่อน จะได้ไม่เสียเที่ยว”



                “ไม่ดีกว่าครับ”



                “นี่เราสอนนายอยู่นะ”



                เรามองหน้าเขาอย่างขัดใจ เจ้าเด็กคนนี้ไม่ฟังผู้ใหญ่แบบเราเลย ดูเหมือนเขาจะรู้ตัว เลยเลื่อนมือมาโอบไหล่เราพลางลูบเบาๆ คล้ายจะขอโทษที่ไม่เชื่อฟัง



                “รู้ครับพี่ปั้น แต่ผมเลือกที่จะไม่โทรดีกว่า” คำตอบของเขาทำให้เราไม่เข้าใจ สุดท้ายเขาก็เฉลยต่อมา “ถ้าโทรแล้วร้านปิด พี่ปั้นก็ไม่ออกมากับผมน่ะสิครับ”



                “ร้ายนักนะ” เราบิดเนื้อตรงเอวเขาหนึ่งทีแบบมันเขี้ยว ส่วนเขาก็แกล้งร้องโอดโอยแบบโอเว่อร์ และในขณะนั้นเองก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง



                “อ้าว นาย”



                “เฮ้ย...พี่เมียว ทำไมร้านปิดครับ ผมตั้งใจมาหาเลยนะ”



                นายหันหลังไปตามเสียงเรียกก่อนจะรีบเดินไปหาผู้หญิงคนนั้นทันที เธอมีผิวสีเข้ม อายุประมาณสามสิบกว่าๆ เราเดาว่าเธอคงเป็นเจ้าของร้านที่เรายืนอยู่ นั่นเป็นเพราะว่าพี่เมียวคนนี้ใส่เสื้อยืดที่มีชื่อร้านสกรีนอยู่ตรงกลางอก



                “โอ๊ย ก็พ่อไอ้ออยน่ะสิ เมื่อวานไปกินเหล้าอีท่าไหนไม่รู้ กลับบ้านมาตีสอง ทั้งอ้วก ทั้งท้องเสีย พี่เลยต้องปิดร้านกะทันหัน”



                “หนักเลยหรอครับพี่ แล้วพี่อ่ำเป็นยังไงบ้างครับ”



                “นอนให้น้ำเกลือแล้ว ดีขึ้นแหละ นี่พี่กลับมาเอาของที่ร้าน ว่าแต่แกหายไปไหนตั้งนาน...แล้วนี่...” พี่ผู้หญิงคงจะเห็นเรายืนมองตาปริบๆ นายที่มองตามสายตาพี่เมียว พอเห็นว่าหมายถึงเรา เขาเลยก้าวเท้ามาคว้าข้อมือเราให้มายืนอยู่ข้างๆ



                ...เฮ้ๆๆ ไม่ต้องจับก็ได้มั้งครับคุณ...



                “พี่เมียว นี่ พี่ปั้นครับ คนนี้เขาอยากมาลองข้าวห่อไข่ฝีมือพี่เมียว”



                “เอ่อ สวัสดีครับพี่เมียว”



                “หวัดดีลูก”



                พี่เมียวยิ้มแล้วก็รับไหว้ แต่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นพี่เมียวก็เลิกคิ้ว “ข้าวห่อไข่? เดี๋ยวนะ แกบอกเมนูนี้แกจะกินคนเดียวในโลก ไม่ยอมแบ่งใครไม่ใช่หรอ”



                เขาชี้มาทางเรายังไม่พอ ยังทิ้งฝ่ามือหนักมาทับหัวเราอีก “โหพี่เมียว ก็นี่ไงครับ มีคนที่อยากแบ่งข้าวห่อไข่ให้กินแล้ว คนนี้อะ...คนเดียวในโลกนะ”



                “แหม...อุ๊ยน้องปั้นเขินหรอลูกหน้าแดงเชียว”



                แม้ว่าในใจจะรู้สึกสงสัยว่าทำไมเราถึงกลายเป็นน้องปั้นได้ แต่เพราะคำพูดบ้าบอของนาย เราจึงพยายามควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจให้กลับมาเต้นเป็นปกติ



                “ถึงจะชอบข้าวห่อไข่ แต่นายมันมีใจเดียวนะ” จู่ๆ พี่เมียวหันมากระซิบพร้อมกับยิ้มขำๆ จากนั้นก็ทำท่าทางเหมือนนึกอะไรได้



                “เออ ไว้ค่อยมาหาพี่ใหม่ คราวหน้าพี่จะโชว์มือให้น้องปั้นกินแน่นอน แต่ตอนนี้พี่ต้องรีบไปก่อน ลืมไปหมอจะเข้ามาตรวจตอนเที่ยง เดี๋ยวไม่มีใครดูพ่อไอ้ออยมัน” พี่เมียวพูดยาวเหยียดก่อนจะย่นจมูกประกอบคำพูด



                “โอเคครับพี่ ฝากบอกพี่อ่ำว่าหายเร็วๆ นะครับ”



                “สวัสดีครับพี่เมียว”



                “จ้ะๆ ไว้เจอกันๆ”



                จบบทสนทนาลงตรงนั้น เรากับนายเลยมายืนเคว้งอยู่หน้าสวนจตุจักร



                “เอายังไงล่ะ”



                “เอ่อ...พี่ปั้นสนใจเดินเที่ยวสวนกับผมไหมครับ”





               

                “แต่ก่อนผมเคยทำพาร์ทไทม์ที่ร้านเสื้อผ้าในจตุจักร มาเป็นพ่อค้าขายเสื้อแบบนี้ก็สนุกดีครับ”



                ตอนนี้เราสองคนอยู่ในร้านข้าวหมกไก่ชื่อดังในสวนจตุจักร แม้ว่าคนก็เยอะเบียดเสียด แต่ก็ยังดีที่มีที่ว่างพอให้เรากับนายมานั่งเบียดกันอยู่ตรงนี้



                “นายเคยทำงานอะไรบ้างเนี่ย” เราถามขึ้น ขณะที่รออาหารมื้อเที่ยง



                “ผมทำหลายอย่างเลย รับแปลเอกสารบ้าง เสิร์ฟที่โรงแรมก็เคยนะครับ แต่ที่ทำนานสุดเห็นจะเป็นที่จตุจักรนี้แหละ ผมเลยค้นพบร้านพี่เมียวไง แต่ก่อนเดินเข้าออกจนรู้จักแม่ค้าแทบทุกคน ร้านนี้ก็อร่อยนะครับ เดี๋ยวพี่ปั้นลองชิมดู”



                ไม่บ่อยนักที่เขาจะเปิดปากเล่าเรื่องของตัวเองให้เราฟัง เราเลยเงียบฟังพร้อมกับจุดยิ้มที่มุมปาก



                “พี่ปั้นยิ้มอะไร”



                “นายนี่เก่งจังเลยเนอะ พ่อแม่นายต้องภูมิใจมากแน่ๆ” เราส่งยิ้มให้เขา แต่ว่าคนที่นั่งข้างๆ กลับนิ่งไป



                “ผมก็หวังว่าเขาจะภูมิใจนะครับ” นายว่าพลางมองขึ้นบนฟ้า เท่านั้น...คนมึนๆ อย่างเราก็เข้าใจในทันที แต่ก็ไม่กล้าจะพูดอะไรออกไปเลยได้แต่ยกมือลูบหลังเขาเบาๆ นายส่งยิ้มบางกลับมา



                ...ขอโทษนะ...



                “นี่ครับ ข้าวหมกไก่สองที่”



                “อะ...ขอบคุณครับ โห น่ากินมากเลยนาย” ข้าวหมกไก่ช่วยชีวิต เราพยายามเบี่ยงเบนนาย โดยการเลื่อนจานข้าวไปให้เขา “นายรู้ป้ะ เราไม่เคยกินข้าวหมกไก่”



                ได้ผล...นายหันมามองเราทันที



                “ทำไมพี่ปั้นไม่บอก ไปร้านอื่นกันไหมครับ” เขาขมวดคิ้วเหมือนกับว่าเรื่องที่เราพึ่งบอกเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แถมยังทำท่าจะลุกทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แตะข้าวเลย  เราเลยรีบจับมือเขาไว้แล้วยื้อให้นั่งลง



                “นาย เราไม่เคยกิน ไม่ได้หมายความว่าเรากินไม่ได้นี่นา นั่งเถอะ เรากินได้”



                “เอางั้นหรอครับ ถ้ากินไม่ได้ไม่ต้องฝืนนะครับ” เขาเสริมว่าอาหารใต้มีเครื่องเทศเยอะ ถ้าหากว่าไม่ถูกปากให้รีบบอกเขา เราน่ะ...ก็อย่างที่รู้ เป็นคนชอบกินอะไรซ้ำซากจำเจ อีกอย่างก็กลัวด้วย เรากลัวว่าถ้าเราไม่โอเคกับมัน ก็จะพาลให้เรารู้สึกไม่ดีกับเมนูอื่นๆ ด้วย



                แต่วันนี้กลับไม่รู้สึกกลัวอย่างที่คิด ไม่สิ เราไม่มีความรู้สึกนั้นเลย ตั้งแต่ที่ค้นพบในใจเงียบๆ ว่าเราอยากจะกินแบบที่เขากิน หรือไปที่ที่เขาเคยไป เราไม่รู้สึกกังวล เพราะยังไงเขาก็ไปกับเรา และนั่งข้างๆ เราตรงนี้



                ...เราต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ...



                “ลองชิมครับพี่ปั้น”



                “อืม...” เราหลบสายตาเขา พร้อมกับกดความรู้สึกลอยฟุ้งอยู่ในใจ ...หืม...ข้าวนี่...



                “นายยยย”



                “ฮะๆๆ พี่ปั้น ผมเข้าใจที่เอ็มเจบอกแล้วล่ะครับ”



                ...อร่อยจัง...



                “มันบอกว่าพี่ปั้นชอบทำตาว้าวตอนเจอของอร่อย” เขาหันมายิ้ม พร้อมกับตักน้ำจิ้มราดบนเนื้อไก่ให้เรา “ลองกินกับน้ำจิ้มดูครับ”



                “ฮือ” เราร้อง จนนายขำในลำคอ 



                “ติดใจอะดิ๊”



                หงึกหงัก



                “ค่อยๆ กินนะครับ”



                “นายกินบ้างสิ” ...หยุดมองได้แล้ว...



                “ครับๆ”

 





                อันที่จริงเราไม่ค่อยชอบที่ที่มีคนเยอะๆ ซักเท่าไหร่ โดยเฉพาะตรอกแคบๆ ที่ต้องดึงแขนเสื้อคลุมของคนข้างหน้าไว้แบบนี้



                “วันนี้คนเยอะใช้ได้เลย”



                “เจเจนี่มีคนน้อยด้วยหรอ”



                สาเหตุที่เราต้องเข้ามาเบียดเสียดกับคนในนี้เพราะหลังจากกินข้าวเสร็จ น้องแดมก็โทรหานาย บอกว่าต้องการความช่วยเหลือด่วนๆ เราพึ่งรู้ว่าแดมกับเอ็มเจมีร้านขายเสื้อที่เปิดด้วยกันอยู่ข้างในนี้



                “พี่ปั้นไหวไหม”



                “โอเคอยู่” เสียงที่เราตอบอาจจะฟังดูอู้อี้เพราะกลิ่นบุหรี่มันอบอวลเหลือเกิน แถมยังร้อนอบอ้าวอีกต่างหาก



                เราเดินมาไม่นานก็ถึงร้านดิ เอ็มเจ ...โอ้โห เท่ชะมัด...



                “พี่ปั้นนนนนนนนน” พอเราเงยหน้ามองบรรยากาศของร้านได้ไม่นาน เสียงทุ้มก็แหวกอากาศมาพร้อมกับแขนล่ำๆ ที่รัดคอเราไว้อย่างรวดเร็ว แบบที่เราไม่ทันตั้งตัว



                ...แค่กๆ...



                “พี่ปั้นก็มาช่วยด้วยหรอครับ”



                “เชี่ยเอ็มเจ มากไปๆ” นายยื่นมือไปตบหัวเพื่อนตัวเองก่อนจะดึงแขนเอ็มเจออกจากคอเรา “พี่ปั้น นับเลขครับ นี่เลขอะไร” นายชูนิ้วตรงหน้าเรา พลางโบกไปมา



                “ไอ้เชี่ยนี่ก็เว่อร์ ผมรัดคอพี่แน่นไปหรอ” เอ็มเจก้มตัวลงถามเราด้วยใบหน้าเหรอหรา ไม่ต้องรอให้เราตอบนายก็ตอบแทนว่า เออ!



                “เอ็มเจ” เราเรียก



                “ครับพี่”



                “ไม่ได้แน่นอย่างเดียวนะ เพราะถ้ารออีกสองนาทีเราคงจะตายแล้วล่ะ”



                พรืด! นายหลุดหัวเราะผสานเสียงกับคนมาใหม่



                “ฮ่าๆๆๆๆ พี่ปั้นตลกหน้าตายอะ” พวกเราหันไปมองก็พบว่าคนๆ นั้นเป็นน้องแดมนั่นเอง เขาถือแก้วน้ำอัดลมมาสี่แก้วก่อนจะส่งให้นายและเราด้วย



                “พี่ปั้นเว่อร์ตามไอ้นายมันละ อยู่ด้วยกันชักจะเพี้ยนไปกันใหญ่” เอ็มเจบ่นก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น ดูเหมือนว่าเขากำลังมีปัญหากับผ้ากองโตนี่



                “ตกลงให้กูช่วยอะไรวะ” นายที่ยืนอยู่ข้างๆ เราว่า ก่อนจะหมุนตัวหาเก้าอี้ให้เรานั่ง ที่ร้านยังไม่มีลูกค้า เลยยังพอมีที่ว่างให้ผู้ชายสี่คนนั่งๆ ยืนๆ อยู่ในนี้ได้



                “เออก็ป้าตรีอะดิ เมื่อเช้าเอาเสื้อมาส่งผิดถุง กูเลยจะต้องกลับเอาไปเปลี่ยนใหม่ เดี๋ยวลูกค้ามาตอนสามโมงเนี่ย พวกกูจะฝากร้านให้มึงดูก่อน เดี๋ยวมาแป๊บเดียว” น้องแดมพูด คิ้วขมวดกันยุ่ง เรามองพวกเขาคุยกันพร้อมกับดูดน้ำอัดลมไปด้วย



                “มองตาแป๋วเลย ฝากด้วยนะครับพี่ปั้น” แดมหันมาพูดกับเรา แต่เอ็มเจกลับพูดเสียงดังกว่า



                “ไม่ใช่โว้ย วันนี้ต้องขออนุญาตยืมตัวไอ้นายให้มาเป็นพ่อค้าแซ่บให้กับร้านเรานะพี่”



                ...เอ่อ...



                “แล้วจะมา...ขอเราทำไม”



                “เอ้า ไม่ได้ดิครับ ต้องขออนุญาตก่อน เพราะลูกค้าร้านเราน่ะมีแต่สาวๆ สวยๆ ยิ่งเจอไอ้นายแบบเนี้ยอาจจะเข้ามาจิ๊จ๊ะให้พี่ปั้นหึงเล่นๆ ก็ได้ ผมเลยขอไว้ก่อนไง พี่ปั้นจะได้สบายใจ”



                ...ใครบอกว่าเราจะหึงจะบ้าหรือไง...



                เรามองเอ็มเจตาขวาง คิดว่าเขาจะกลัวรุ่นพี่แบบเราบ้าง แต่ไม่เลย...เอ็มเจกับแดมหัวเราะลั่น แถมยังมีเสียงหัวเราะแผ่วๆ มาจากนายด้วย! ขนาดทั้งคู่รีบเดินออกจากร้านไปนายยังไม่หยุดหัวเราะ



                “นาย!” เราเอ็ด คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เม้มปากทันที เขาก้มหน้ามองเราก่อนจะพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ



                “พี่ปั้นขู่ไอ้เอ็มเจด้วยหน้าแบบนั้นหรอ ไม่เห็นน่ากลัวเลยซักนิด"




                “ทำไม หน้าเรามันเป็นยังไง” เราตอบไปทันควัน



                “ที่ไม่น่ากลัวก็เพราะว่า...น่ารักมากกว่าครับ”



[มีต่อด้านล่างค่ะ]               
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 14: เรา...กับการตามหาอะไรบางอย่าง p.7 [20/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 20-01-2018 20:57:51
.
.


                “นาย”



                “ครับ”



                “เมื่อยไหม”



                “ไม่เมื่อยครับพี่ปั้นนั่งเลย”



                “พี่ปั้น ถามผมหน่อยก็ได้ ผมก็เมื่อยยยย” เราเหลือบมองคนพูดด้วยหางตาก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ



                “เราไม่อยากคุยกับเอ็มเจ”



                “ฮ่าๆๆ ไอ้เอ็มเจ มึงถึงจุดที่ปั้นไม่อยากคุยด้วยได้ไงวะ”



                “ไอ้เหี้ยแดม โธ่ แซวนิดเดียวเอง ตกลงตอนที่พวกผมไปเอาเสื้อเนี่ย...” เอ็มเจเขยิบตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างแตะกันไปมา



                “...พี่ปั้นหึงไอ้นายมั่งไหมครับ”



                “...ลูกค้ามาแล้ว” เราชี้ไปที่หน้าร้านตัดบท



                “เดี๋ยวมาดูว่าหึงหรือไม่หึง” เอ็มเจจอมชงยังไม่วายแซวเราอีก แล้วทำไมเจ้าของร้านตัวจริงทั้งสองคนถึงปล่อยให้นายมาขายเสื้อคนเดียวอยู่ได้ เรากอดอกมองไปด้านหน้าอย่าง เอ่อ...ไม่สบอารมณ์...



                “อ้าว พ่อค้าแซ่บกลับมาแล้วหรอจ๊ะ”



                “พี่ปั้นดูๆ มีสาวมาหาไอ้นาย” เอ็มเจเดินมาใกล้พร้อมกับสะกิดไหล่ ...ไม่เห็นรึไง ว่าเรามองอยู่...



                ลูกค้าที่เข้ามาเป็นผู้หญิงสาวสวย เธอใส่เสื้อกล้ามรัดรูปกับกางเกงขาสั้นที่เราไม่กล้ามองเพราะจะเสียมารยาทกับผู้หญิง แต่ที่บอกว่ามองอยู่คือเรากำลังมองนาย เจ้าเด็กคนนี้ทำไมถึงยิ้มปากจะฉีกซะขนาดนั้นกันนะ ลูกค้าผู้ชายเข้ายังไม่ยิ้มขนาดนี้เลย



                “มันมาช่วยแป๊บนึงอะพี่แก้ว” แดมตอบแทน



                “อุ๊ย น้องแดม น้องเอ็มเจ หายไปตั้งนาน นึกว่าจะขายร้านให้จีมันเฝ้าซะแล้ว”



                “หวัดดีครับพี่แก้ว พอดีติดเรียนด้วยอะพี่ วันนี้ว่างเลยไล่ไอ้จีออกหนึ่งวัน”



                “จ้ะ อะพี่ขอเลือกเสื้อก่อน น้องนายว่างไหม หยิบตัวนั้นให้พี่หน่อย”



                “เอ่อได้ครับพี่” เมื่อโดนเจาะจงมา นายเหลือบมองเราเล็กน้อยก่อนจะหันไปพยักหน้าให้พี่แก้ว เขาเดินผ่านเราไปด้านในสุดของร้าน



                “ตัวนั้นจ้ะ” พี่แก้วชี้ไปที่เสื้อยืดตัวหนึ่งด้านบนสุด นายเอื้อมมือไปหยิบให้แต่พี่คนนั้นกลับเบียดตัวเข้าไปอีก



                “โทษทีนาย อีกตัวนึง ตัวนั้นๆ”



                “เอ่อ...” นายดูกระอักกระอ่วน เขาถอยมาข้างหลังก้าวนึง สีหน้าลำบากใจ ส่วนเอ็มเจก็ใส่ไฟอยู่ข้างๆ หูเรา อี๋...ปากนายจะโดนหูเราแล้วนะเอ็มเจ...



                เราละสายตาจากนาย เพราะมองไปก็รู้สึกหงุดหงิด เราเลยเบี่ยงความรู้สึกตัวเองโดยการหันไปหาเอ็มเจ ว่าจะบอกให้เขาหยุดพูดจาบ้าบอใส่เราซักที ...เราไม่หึงนายหรอก ไม่เลย... จะเลือกเสื้อกันถึงไหนต่อไหนก็ไม่รู้สึกอะไรเลย!



                ขณะที่เรากำลังจะหันไปด้านข้าง เอ็มเจที่เอาแต่แซะนายก็ยื่นหน้ามาใกล้เรื่อยๆ จนริมฝีปากของเรากับเอ็มเจเกือบจะแตะกันอยู่รอมร่อ! เราตกใจสุดขีด มือไม้แข็งไปหมด ต้องบอกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ในตอนนั้นก็มีคนที่มือไวเท่าความคิด นายโผล่พรวดเข้ามากระชากตัวเราออกห่างจากเอ็มเจได้ทันพอดี ปากของเอ็มเจเลยเฉียดคางเราไปนิดเดียว



                “ชิบหาย” เอ็มเจหน้าซีดเผือก กับอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน เราตาโต ตกใจอยู่ในอ้อมแขนของนาย พอได้สติเลยเงยหน้าขึ้นมอง นายทำหน้ายุ่ง ดูหงุดหงิดเหมือนที่เราหงุดหงิดเขา



                “พี่แก้วนี่ครับเงินทอน”



                “เอ่อ จ้ะ...”



                “มาอุดหนุนอีกนะพี่” เสียงแดมเอ่ยขัดบรรยากาศ เราเลยขยับตัวมายืนตรงๆ รู้สึกไม่กล้าจะสบตานายตรงๆ เลย นายขยี้ผมตัวเองแรงๆ ก่อนจะเท้าเอวแล้วชี้นิ้วไปที่เอ็มเจที่กำลังยกมือไหว้ขอโทษเราอยู่ตรงนั้น



                ผลัวะ!



                “ตบกูทำไมวะไอ้แดม”



                “กูตบแทนไอ้นาย”



                “นี่พวกมึงรุมกูหรอ”



                “ไม่ต้องพูด มึงเอาแต่ยุให้พี่ปั้นหึงไอ้นายแล้วเป็นไง” แดมตบท้ายทอยเอ็มเจอีกที ก่อนจะพูดประโยคที่เราต้องหันหน้าหนีแทบไม่ทัน



                “...”



                “เพื่อนมึงหึงพี่ปั้นแทนแล้วเนี่ย ไอ้เหี้ย”

               





                (ปั้นเย็นนี้กลับมากินข้าวที่บ้านไหมลูก)



                “เย็นนี้ปั้นว่าจะกินข้าวกับนายครับ พอดีเจอน้องๆ เพื่อนนายด้วย เขาเลยชวนปั้นอยู่ต่อ”



                (ไปเที่ยวทั้งวันเลยน้า)



                “ให้ปั้นกลับก็ได้นะแม่”



                (แม่ไม่ได้ว่าอะไร...ดีใจซะอีก ไปสนุกบ้าง ขลุกอยู่แต่ในบ้านจนแม่คิดว่าปั้นเป็นมนุษย์ถ้ำแล้ว)



                “แม่อะ”



                (โอเคๆ ฮ่าๆ ไปกับน้องเถอะลูกไป เออแล้วก็ระวังเป็นหวัดนะลูก ฝนเริ่มจะลงเม็ดแล้ว)



                “ครับแม่”



                เชื่อว่าวันนี้ต้องเป็นประวัติศาสตร์ของนายข้าวปั้นแน่ๆ ก็แหงล่ะ เราอยู่ข้างนอกมากกว่า 8 ชั่วโมงแล้ว หลงมาอยู่กับแก๊งเด็กมธ. ที่มีดีกรีเป็นนักบาส แถมยังมีร้านเป็นของตัวเอง แต่เรา...มองตัวเองแล้ว ไม่รู้จะให้คำนิยามกับตัวเองว่าอะไรดี แต่ก็...เอาเถอะ...



                “ดีใจสัดๆ ที่เพื่อนนายมากินข้าวเย็นวันเสาร์แบบนี้ได้”



                “แถมยังพาคนน่ารักมาอยู่ด้วยทั้งวัน ชนครับเพื่อน”



                “นี่เพื่อนนายยังไม่เข็ดในการแซวเราอีกหรอ” เรากระซิบกับนายเมื่อแดมและเอ็มเจยกแก้วเบียร์มาชนกัน ร้านดิ เอ็มเจในจตุจักรปิดก่อนกำหนดหลายชั่วโมง เจ้าของร้านเลยชวนเรากับนายมานั่งกินข้าวในเวลาทุ่มกว่าๆ ได้



                “พี่ปั้นก็อย่าทำตัวน่ารักสิครับ”



                “เอ้า นายจะโมโหใส่เราทำไม”



                “ไม่รู้แหละ พี่ไม่รู้ตัวรึไง พี่ปั้นเป็นคนที่ใช้คำว่าน่ารักเปลืองนะ”



                “เราไม่เคยใช้เรียกตัวเอง”



                “อ่า...นั่นสิ ผมใช้เองแหละ” เราขมวดคิ้ว มองคนพูดไม่รู้เรื่องอยู่ข้างๆ นายหลบสายตาก่อนจะคว้าแก้วเบียร์มาถือไว้ แต่เราจับมือเขาไว้ซะก่อน



                “อย่าดื่มนะ นายขับรถ”



                “ลืมเลย”



                “ลืมหรือตั้งใจ”



                “ลืมตัวครับบบ”



                “สองคนนี้จะงุ้งงิ้งดุ๊งดิ๊งอีกนานไหมครับ ข้าวมาแล้ว” เอ็มเจเลื่อนจานกับข้าวมาทางเรา เขาบอกว่าข้าวเย็นไม่กินเยอะ แดมที่จิบเบียร์เลยพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาจะให้เรากินคนเดียว แล้วเราก็คงกลายเป็นหมูปั้นที่กลิ้งแทนการเดิน แน่นอนว่าเราไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นแน่ เราลากนายเข้าร่วมวงอาหารเย็นกันสองคน ปล่อยเอ็มเจกับแดมไปเถอะ



                ...ว่าแต่ผัดเต้าหู้หมูสับก็อร่อยดีนะ...



                “ไอ้นายมึงไปซื้อลูกชิ้นปิ้งมาหน่อยดิ๊ อยากกินแกล้มเบียร์ว่ะ” จู่ๆ เอ็มเจก็เอ่ยขึ้น นายเลยมองตาขวางๆ เพราะเขากำลังตักยำสามกรอบเข้าปาก เห็นแบบนั้นเราเลยยกมืออาสาซื้อลูกชิ้นซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านอาหารนี้



                “เราไปซื้อให้ไหม” พอพูดไปแบบนั้น นายก็แทบจะวางช้อนลงในทันที



                “ไม่ต้องครับ เอาเท่าไหร่” ประโยคแรกพูดกับเราแต่ประโยคต่อมาเขาตวัดสายตาไปมองเอ็มเจที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร



                “เอาหกสิบบาท”



                “เชี่ยนายนี่ชอบสปอยด์พี่ปั้นแหงๆ” แดมมองตามหลังนายก่อนจะพูดเปิดประเด็นการสนทนา



                “ไอ้นี่แม่งเทคแคร์เก่งนะพี่ปั้น” เอ็มเจเสริมกับเรา ส่วนเราก็ได้แต่เลิกคิ้ว เพราะบทสนทนาหัวข้อนี้เกี่ยวกับนายเต็มๆ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ เราก็อยากรู้เรื่องนายมากขึ้นล่ะ ติดแต่ว่าเขาเงียบยิ่งกว่าเราซะอีก



                “พี่ปั้นก็ยอมๆ มันหน่อยนะ ตั้งแต่รู้จักกันมาก็เห็นเทคแคร์แต่พี่ปั้น”



                คำพูดของเอ็มเจทำให้เราสงสัย เลยเอ่ยปากถามไป “...นายไม่เคย...มีแฟนหรอ”       



                “เอาจริงป้ะพี่ปั้น มันไม่เคยมีแฟนหรอก” แดมว่าก่อนจะยกแก้วเบียร์ขึ้นมาจิบ “มีคนเข้ามาคุยกับมันเยอะนะ แต่ไอ้นายมันติสท์ปฏิเสธเขาหมด ดูดิ ตั้งแต่รู้จักกันมา นอกจากพวกผมแล้ว ผมไม่เห็นมันคุยกับใครจริงจังเลย ยกเว้นพี่ปั้นน่ะนะ แต่ก็อย่างว่าแหละ...แค่เอาเวลาไปหาเงินก็หมดแล้ว”



           ...อย่างเขาเนี่ยนะไม่เคยมีแฟน จืดชืดเป็นแกงจืดอย่างเราก็ว่าไปอย่าง…



                “ไอ้นายมันน่าสงสารนะพี่ปั้น อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด เงินก็ต้องหาใช้เอง  ดีหน่อยช่วงหลังๆ มีลุงกับป้าเข้ามาช่วยมันเยอะกว่าเเต่ก่อน ไม่งั้นป่านนี้ ได้นอนวัดแหงๆ เอ...จะว่าไปพรุ่งนี้ก็...” เรื่องที่เขาทำงานหนักเราพอจะเดาได้ เเต่ว่า...



                “พรุ่งนี้มีอะไรหรอเอ็มเจ”



                “ก็มันเป็นวัน...”


                “เชี่ยเอ็มเจ!” แดมเอ็ดเพื่อนตัวเองก่อนจะเพยิดหน้าไปด้านหลัง เมื่อเห็นว่านายเดินกลับมาพร้อมกับถุงลูกชิ้นปิ้ง



                “เออกูไม่ควรพูดสินะ” เอ็มเจปิดปากตัวเอง เรามองพวกเขาอย่างสงสัย



                ...หมายความว่าไง...



                ไม่ทันได้หาคำตอบให้ตัวเอง เวลาก็ล่วงเลยมาซักพักใหญ่ๆ เหมือนเขาจะสังเกตว่าเราง่วง คือเราไม่ใช่เด็กอนามัยหรอกนะ แต่เพราะเมื่อคืนวันศุกร์หลังจากที่นายมาส่ง เราก็ปิดโหมดขี้เกียจของตัวเองทำงานซะจนเกือบเช้า แถมวันนี้ยังมาตะลอนทั้งวันอีก จะสามทุ่มแล้วเราไม่ไหวก็ไม่แปลก



                “อยากกลับรึยังครับ” นายหันมาถาม เรามองไปรอบๆ เลยตอบกลับ



                “นิดหน่อย เออ...นายจะอยู่ต่อก็ได้นะ เดี๋ยวเรานั่งแท็กซี่กลับได้”



                “พี่ปั้นก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะยอมให้พี่ปั้นกลับเอง พวกมึง กูกลับก่อนนะ” นายสรุปให้พร้อมกับลุกขึ้นยืนทันที



                “เฮ้ยกลับแล้วหรอ พี่ชาจะออกมาสมทบพอดี กูบอกว่ามึงอยู่ด้วยพี่ชาเลยจะรีบออกมาเนี่ย” เอ็มเจชูโทรศัพท์ที่หน้าจอโชว์ไลน์ของคนที่กำลังเอ่ยถึง



                “ถ้าอย่างงั้นกูยิ่งต้องรีบไป” นายพูดเสียงเรียบ จนเอ็มเจโอดครวญ แต่เราเข้าใจความหมายนั้นดี นายเป็นคนที่คิดถึงความรู้สึกเราก่อนตลอด



                “อะไรวะ กลับไปมึงต้องไปอยู่คนเดียวอีก มึงไม่ควรอยู่คนเดียวนะไอ้นา..  อะ...เออๆ ไว้เจอกัน” แดมร่วมวงบ่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองนาย ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นแต่แดมก็เปลี่ยนเรื่องทันที



                “มึงไปเลยแล้วทิ้งพี่ปั้นอยู่นี่”



                “ไอ้สัด” นายสบถเบาๆ “ไปครับพี่ปั้น” เราบอกลาน้องๆ แล้วลุกขึ้นยืน หวังว่าจะกลับกันได้โดยไม่โดนตำรวจจับนะ



                เราเดินตามนายไปยังบริเวณที่จอดรถซึ่งตอนขามารถเยอะมากจนนายต้องจอดไกลจากร้านอาหารไปถึงสองซอย เราเหลือบมองเขาเล็กน้อย ในหัวก็มีแต่ความสงสัย ...พรุ่งนี้มีอะไร แล้วทำไมนายถึงไม่ควรอยู่คนเดียว...



                “พี่ปั้น!”



                ตึก ตึก ตึก



                “เหม่ออะไรครับ ฝนตกแล้ว มาครับ” นายที่เดินนำไปแล้วรีบวิ่งกลับมาคว้าข้อมือเราไว้ ไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ยว่าหยดน้ำกระทบข้างแก้มตั้งแต่เมื่อไหร่



                พรึ่บ!



                ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย ทันทีที่นายวิ่งมาถึงตัวเรา เขาก็ถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกเหลือแต่เสื้อยืดสีขาวบางๆ ก่อนจะคลุมมันไว้บนหัวเรา



                “ไปครับ เดี๋ยวไม่สบาย” นายเอื้อมมือมาโอบไหล่เราแล้วพาเราออกวิ่งไปพร้อมๆ กัน



                เสียงฝีเท้าสองคู่กระทบแอ่งน้ำดังเป็นจังหวะ เราเหลือบมองเสี้ยวหน้าที่เต็มไปด้วยหยดน้ำของเขา แล้วก็มองไปยังไหล่ที่สั่นเล็กน้อยของเขา ลมพัดมาระลอกหนึ่ง เพราะแบบนั้นความเย็นของอากาศจึงทำให้เขาหนาวสั่น เราเอื้อมมือไปกอดเอวนายไว้ทันที ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายเหมือนที่นายทำให้เราเสมอมา



                ในตอนนั้นได้แต่คิดว่า



                ...ไม่อยากให้หนาวไปกว่านี้แค่นั้นเอง...



___________
-ชื่อตอนน่ะหมายถึงอะไรคุณข้าวปั้น-
เอางี้ดีกว่า พี่ปั้นกินอะไรบ้างในตอนนี้ 5555
หมูปั้น หมูปั้น หมูปั้น
เอ็นดูพี่ปั้นตอนคิดคำว่า อี๋ ใส่เอ็มเจจังเลยค่ะคุณณณ
ติดเเท็ก #เรากับเขา กันได้เด้อออ
เอ้อ มีรูปพี่ปั้นกันนาย ในเเท็กด้วย น่ารักมากๆ
ขอบคุณรูปสวยๆ จากคุณ @alice_no_tabi มากๆ นะคะ
ขอบคุณทุกคนค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 14: เรา...กับการตามหาอะไรบางอย่าง p.7 [20/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-01-2018 22:09:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 14: เรา...กับการตามหาอะไรบางอย่าง p.7 [20/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mmello07 ที่ 20-01-2018 22:33:10
ใช้คำว่าน่ารักเปลืองพอๆกับพี่ปั้นก็น้องนายนี่แหละ เทคแคร์ดีมากกกก อิจพี่ปั้นเว่อร์ อยากได้ๆๆ :-[
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 14: เรา...กับการตามหาอะไรบางอย่าง p.7 [20/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 20-01-2018 23:02:58
 :hao5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 14: เรา...กับการตามหาอะไรบางอย่าง p.7 [20/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 20-01-2018 23:56:47
ตกลงพรุ่งนี้วันอะไร? วันเกิด วันครบรอบ หรือวันอะไรรร
พี่ปั้นน่ารักตลอดเลยยยย น่ารักๆๆๆ ใช้เปลืองจริงๆ 55555
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 14: เรา...กับการตามหาอะไรบางอย่าง p.7 [20/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-01-2018 00:02:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 14: เรา...กับการตามหาอะไรบางอย่าง p.7 [20/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 21-01-2018 18:50:33
น้องนายเทคแคร์พี่ปั้นดีเว่อร์ :o8:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 14: เรา...กับการตามหาอะไรบางอย่าง p.7 [20/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 21-01-2018 23:32:37
สปอยพี่ปั้นขนาดนั้นเลยนะน้องนาย,,,
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 14: เรา...กับการตามหาอะไรบางอย่าง p.7 [20/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 22-01-2018 00:30:17
พี่ปั้นใช้คำว่าน่ารักเปลืองจริงๆแหละ อยากบีบ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 14: เรา...กับการตามหาอะไรบางอย่าง p.7 [20/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mmello07 ที่ 29-01-2018 22:14:09
คิดถึงพี่ปั้น :ling1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 14: เรา...กับการตามหาอะไรบางอย่าง p.7 [20/1/61]
เริ่มหัวข้อโดย: dino94 ที่ 09-02-2018 17:33:43
ครบรอบวันตายพ่อกับแม่แน่เลยอะใ่ช่ไม่ใ่ช่
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน p.7 [12/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 12-02-2018 19:18:02
https://www.youtube.com/embed/H8xVLf2O4rw

Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน



                10 โมงเช้าของวันอาทิตย์



                เราเอง...ข้าวปั้น  เราเป็นนักศึกษาปีสี่ที่คร่ำเคร่งกับการเรียน ก็อย่างที่รู้...เราเป็นคนที่ไม่ค่อยเพื่อนมากเลยเอาแต่จดจ่อกับการเรียนไปซะส่วนใหญ่ เพราะแบบนั้นเราจึงตั้งใจเรียนและทำงานอย่างเต็มที่ ปกติแล้วถ้าไม่ใช่วรรณกรรมซักเล่มหรืออาหารซักจานมายั่วยวนอยู่ตรงหน้า เราจะไม่วอกแวกไปไหน เราสามารถตั้งใจกับการทำงานของตัวเองได้มากกว่าสี่ชั่วโมง มีน้อยครั้งที่เราจะไม่มีสมาธิ



                และน้อยครั้งนั้นก็รวมถึงครั้งนี้ด้วย



                เราอ่านเปเปอร์งานวิจัยได้สิบนาทีแล้วก็หันไปมองหน้าจอมือถือใหม่อีกหน เป็นอย่างงี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว อันที่จริงอาจจะเป็นมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วก็ได้



                “นาย ถึงแล้วบอกเราด้วยนะ”



                เมื่อฝ่าฝนมาได้ เขาก็ถอดเสื้อที่เปียกชุ่มออกแล้วสวมเสื้อฮู้ดตัวหนาที่มีอยู่ในรถแทน นายมาส่งเราถึงหน้าบ้านในเวลาสี่ทุ่มกว่า น่าแปลกที่มาถึงบ้านปุ๊บ ฝนก็หยุดตกซะอย่างนั้น นายจอดรถเยื้องๆ จากบ้านเราไม่ไกลมากนัก เพราะหน้าบ้านเรามีรถมาขวางไว้ซะนี่ เขาจึงเดินมาส่งเราที่บ้านแทน



                “ไม่ต้องห่วงครับพี่ปั้น ปลอดภัยแน่นอน” เขาส่งยิ้มมาให้ เราได้แต่มองแล้วคิด ภายใต้รอยยิ้มนั้นนายเก็บซ่อนอะไรไว้บ้างนะ



                “แล้วพรุ่งนี้นายจะทำอะไรไหม” เขาเอียงหน้า ทำท่าคิดไม่นานก็ตอบ



                “พรุ่งนี้หรอครับ ผมว่าจะทำงานที่ค้างไว้”



                “งั้นหรอ” เราไม่ซักไซ้อะไรมาก แต่ก็หลุบสายตามองมือที่จับสายกระเป๋าไว้



                “พี่ปั้นมีอะไรรึเปล่าครับ”



                “ไม่มีอะไร ดีแล้วล่ะ ทำงานบ้าง อย่ามัวแต่ออกไปเที่ยวเล่นนะ” เราว่า แต่ในใจก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่เกเร นายพยักหน้ารับ พร้อมกับหันไปมองในตัวบ้าน



                “พี่ปั้นเข้าบ้านเถอะดึกแล้วครับ”



                “โอเค”



                เราหมุนตัวเข้าบ้าน พลางคิดว่าวันนี้อยู่กับนายสนุกกว่าที่คิด ได้เห็นเขาในมุมมองใหม่ๆ อย่างตอนขายของ เขาดูจะเป็นพ่อค้าที่เชี่ยวชาญมากเลยล่ะ เพื่อนๆ ของนายก็เผานายให้เราฟังเยอะแยะ ตอนที่เรามองแผ่นหลังเขาวันนี้ เรารู้สึกว่า...



                “นาย...เรา....”



                “ครับ?”



                “...ระ...เราช...”



                Rrrrrr Rrrrrr



                “แป๊บนะครับพี่ปั้น”



                เราที่หมุนตัวกลับมามองเขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อฮู้ด นายขมวดคิ้วตอนมองจอก่อนจะกดรับ “แป๊บนะครับพี่ปั้น” เขาพูดซ้ำเราเลยยืนอยู่ตรงกระถางกล้วยไม้ไม่ไปไหน



                “ว่าไงวะ เอ้า พวกมึงนี่ กูไปไม่ถึงชั่วโมง แป๊บนึงๆ...”



                เขาเดินห่างออกไปสองสามก้าว เสียงเขาแว่วเข้ามา ไม่นานก็เงียบลง นายเดินกลับมาพร้อมกับชูโทรศัพท์ประกอบการพูด



                “พี่ปั้นผมต้องไปก่อนนะครับ พี่ปั้นรีบไปอาบน้ำได้แล้ว ถ้าเป็นหวัดจะแย่เอา เออแล้วเมื่อกี้พี่ปั้นจะพูดว่าอะไรนะครับ”



                “อ๋อ เออ ไม่มีอะไร นายไปเถอะ นายก็เหมือนกันอย่าให้ไม่สบายล่ะ ส่งข้อความมาบอกเราด้วยนะ”



                “ครับผม ผมไปก่อนนะครับพี่ปั้น”



                นั่นเป็นบทสนทนาสุดท้ายก่อนที่นายจะขาดการติดต่อ





 

               Rrrrr Rrrrr Rrrrr



                ปึก!



                “เฮ้ย”



                เราสะดุ้งเพราะเสียงโทรเข้าจนปากกาที่ถืออยู่ลอยไปตกบนพื้นก่อนจะเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ …เบอร์แปลก...



                Rrrrr Rrrrr Rr…



                “สวัสดีครับ”



                (ฮัลโหล ครับ...นี่เบอร์พี่ปั้นรึเปล่าครับ)



                “เอ่อ...ใช่ครับ ไม่ทราบว่าจากไหนครับ” เราขมวดคิ้ว เสียงปลายสายฟังดูคุ้นๆ



                (พี่ปั้นผมแดมเอง เพื่อนไอ้นาย)



                “อ้าวแดมหรอ มีอะไรรึเปล่า”



                “คืองี้ครับพี่ปั้น ผมรบกวนพี่ปั้นช่วยไปดูไอ้นายให้หน่...”



                “นายเป็นอะไร” เรารีบถาม หรือว่าที่เขาไม่ส่งข้อความมาจะเกิดอะไรขึ้นจริงๆ เราเผลอกำโทรศัพท์แน่น และลุกขึ้นมองหากระเป๋าสะพายของตัวเอง



                (มันไม่สบายครับพี่ปั้น อันที่จริงผมจะเข้าไปดูมันเนี่ยแหละ แต่เสื้อที่ผมไปดีลไว้กับโรงงานมีปัญหากะทันหัน ผมกับไอ้เอ็มเจเลยจะเข้าไปคุย)



                “เมื่อคืนนายไม่ได้กลับหรอ”



                (เมื่อคืนพวกผมคะยั้นคะยอให้มันกลับมากินต่อเองแหละครับ จริงๆ ไอ้นายมันไม่ได้อยากไปหรอกครับ เอ่อแล้วตอนขากลับมันขับรถไม่ไหว ผมเลยอาสาขับรถ ขากลับมันบ่นว่าหนาวๆ)



                “นายตากฝนนะทำไมน้องแดมไม่รู้”



                (พี่ปั้นผมผิดไปแล้วว อย่าทำเสียงดุสิครับ เนี่ย...เดิมทีผมจะแวะไปหามัน แต่มันด่วนมาก แล้วเมื่อคืนไอ้นายมันบอกให้ผมส่งข้อความหาพี่ปั้นให้มันที ผมก็มึนๆ จนลืมไป เช้านี้นึกขึ้นได้เลยรีบหาเบอร์พี่ปั้นเลยครับ โชคดีที่ไอ้นายมันให้พวกผมเมมเบอร์พี่ปั้นไว้นะเนี่ย มันบอกว่าถ้าพี่ปั้นมีปัญหาอะไรแล้วติดต่อมันไม่ได้ ให้โทรหาพวกผมได้เลย)



                “คราวหลังเราไม่ให้นายไปไหนกับแดมแล้วนะ ไม่ช่วยกันดูแลเลย”



                (โธ่ ไอ้เอ็มเจก็ผิด มันเมาไม่ช่วยกันดู ผมมีสติสุดนะครับ)



                “...”



                (พี่ปั้น?)



                “...”



                (ยังไงพี่ปั้นช่วยแวะไปดูมันหน่อยนะครับ…)



                “...”



                (วันนี้มันคงต้องการพี่ปั้น)

 





                มืด

                มองไม่เห็นอะไรเลย

                เช้าหรือค่ำกันล่ะ?

                อืม...ไม่ต่างกันหรอก

                ก็แค่อีกวันที่ต้องผ่านไปให้ได้

 

               มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสงสาร นายเคยคิดกับตัวเองเมื่อวันหนึ่ง...วันที่เขาเห็นตัวเองนั่งเหม่อมองออกไปไกล สายตาไม่ได้โฟกัสที่จุดใด



                “นาย ลุงโอนเงินเข้าบัญชีเดือนนี้ได้แค่สองพันนะ”



                “ครับ?”



                เขาเงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่ที่เขาเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น อันที่จริงแล้วนายพยายามหาทางหลีกเลี่ยงการรับเงินจากลุงกับป้าอยู่เหมือนกัน เขาก็โตจนป่านนี้แล้ว ควรจะยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง นายจ้องลึกเข้าไปที่ดวงตาของชายวัยหกสิบ เขาเห็นความเครียดในแววตาคู่นั้นจึงเอ่ยถามออกไป



                “ลุง...เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าครับ”



                ลุงของเขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ เริ่มต้นเล่าสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงนี้ “ก็ไอ้ทูน่ะสิ มันขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปเฉี่ยวตาปีขี้เมาเข้า ไอ้ที่ตรงหน้าหมู่บ้านน่ะทางมันมืด พอเฉี่ยวไปแล้วตาปีตายขึ้นมา ทางนั้นเขาจะขอค่าเสียหาย ลุงเลยต้องจ้างทนายเลยมีให้นายแค่ไม่กี่พันเอง”



                “แล้วทูเป็นอะไรไหมครับลุง”               



                “ไม่เป็นไรหรอก เเต่มันเครียดน่ะสิ เกิดมาไม่เลยขึ้นศาลมาก่อน ทางนู้นเขาเรียกเยอะ ทั้งๆ ที่เราก็พยายามช่วยค่างานศพ ค่าทุกอย่างแล้วก็ยังไม่พอ”



                “แย่เลยนะครับ แต่ว่าลุงจัดการที่ลุงเห็นสมควรเถอะครับ เรื่องเงินไม่ต้องเป็นห่วง ผมรับงานพิเศษไว้หลายที่ สบายมากครับ”



                “ขอโทษนะนายเอ๊ย ไอ้ทูก็ดันมีเรื่องซวยอีก”



                “อย่าขอโทษเลยครับลุง แค่มีลุงกับป้าดูแลผมมาตลอด ผมก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว”



                “ลุงกลับก่อนนะ หลังจากนี้คงไม่ได้มาหาบ่อยๆ แล้ว มีเรื่องด่วนก็โทรหาลุงกับป้าได้เลย”



                ลุงกลับไปแล้ว...



                นายมองบ้านที่เงียบสนิท นายพบว่าเขากลับมาอยู่คนเดียวโดยสมบูรณ์ เขาเบนสายตามองรอบตัวอย่างเชื่องช้า ทั้งเก้าอี้ แก้วน้ำ จานชามเหล่านั้นตั้งอยู่ในที่ของมันเป็นปกติ แต่กลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างอย่างที่เขาก็บรรยายไม่ถูกอยู่เหมือนกัน



                เหตุผลที่ลุงกับป้ามาดูแลเขา ก็เพราะเห็นว่าเขาเป็นลูกของน้องชายเท่านั้น เราไม่ได้มีความสนิทสนมกันไปมากกว่าการถามไถ่สุขภาพแต่ละเดือน เท่าที่เขารู้ ชีวิตเขาก็อยู่คนเดียวมันตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ที่พ่อแม่จากไปในคืนวันนั้น  บางครั้งเขาก็ยอมรับเรื่องที่มันเป็นอยู่แบบนี้ได้ แต่บางครั้งเขาก็รับมันไม่ไหว...



                ...รับไม่ไหวกับความทรงจำที่มักจะหวนกลับมาเสมอในตอนที่อยู่คนเดียว เหมือนเขาอยู่ในห้องกระจกรอบด้านซึ่งสะท้อนแต่เงาของเขาคนเดียวเท่านั้น แม้ว่าจะน่าอัศจรรย์ เขาอาจมีตัวตนในเงาสะท้อนเป็นพันๆ คน แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็คือคนที่นั่งอยู่ในห้องกระจกนี้คนเดียว นายพร่ำคิดในห้วงของความฝัน เขามาทำอะไรที่นี่บนโลกใบนี้ที่ไม่มีใครเลย



                โชคดีที่มนุษย์ที่น่าสงสารคนนั้นเป็นนาย เขาไม่เคยทำให้ใครกังวลกับตัวเขาเลย เมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย นายย้ายเข้าไปอยู่ในหอพักที่ใกล้กับมหาลัยซึ่งมีราคาถูกเหมาะสำหรับเขา เขาพาตัวเองเข้าไปอยู่กับเพื่อน อยู่กับการทำงาน อยู่กับการทำกิจกรรมที่ทำให้เขาลืมเรื่องราวในใจไปได้บ้าง นายทิ้งบ้านที่เอาแต่มอบภาพฉายซ้ำในวันเก่าๆ ไว้เบื้องหลัง ก่อนจะเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ



                เขาคิดว่าการออกไปทำอะไรใหม่ๆ จะช่วยเขาได้ แต่แน่นอนเขาคิดผิด นายมักจะจมอยู่กับความรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อนอนนิ่งๆ อยู่กลางห้องที่มืดสนิท ความรู้สึกเบื่อหน่ายในชีวิตกระแทกกระทั้นของมาในอก



                เขาอยากเจอแสงสว่างให้กับความมืดในใจเขาเสียเหลือเกิน

 





               เวลาที่จากกันสั้นเพียงเสี้ยววิ

                ตอนเด็กๆ เขาไม่ค่อยเข้าใจที่ใครต่อใครมักจะบอกว่าเวลามันสั้นนัก



                “ไอ้นาย เป็นไรวะยิ้มหน้าบานเลย”



                “วันนี้พ่อกับแม่มารับ”         



                “เออถึงว่า พวกกูกลับก่อนนะ”



                “เออเจอกันวันจันทร์เว้ย”



                “เจอกันๆ”



                เขาโบกมือลาเพื่อนที่พากันเดินไปที่ป้ายรถเมล์ จากนั้นเขาชะเง้อดูรถของที่บ้าน วันนี้เป็นวันศุกร์ พ่อกับแม่รับปากว่าจะมารับเขา เราจะทานอาหารนอกบ้านพร้อมหน้าพร้อมตากัน นายนั่งรอ ยืนรอ เล่นรอจนพระอาทิตย์ตกดินพ่อกับแม่ก็ยังไม่มาซักที



                ในตอนนั้นหน้าโรงเรียนมีเด็กอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น เขากำสายกระเป๋าแน่นก่อนจะเดินเตะฝุ่นไปมา ครูเวรที่เฝ้าอยู่ก็เริ่มเตรียมเก็บของกลับบ้าน



                “ใช้โทรศัพท์ครูโทรหาพ่อไหมลูก”



                “ไม่เป็นไรครับครู พ่อบอกว่าจะมารับ”  เขายืนยัน พ่อไม่เคยผิดสัญญากับเขาแม้แต่ครั้งเดียว เขาหันกลับไปมองที่สนามฟุตบอล แสงสีส้มแผ่กระจายทั่วท้องฟ้า แสงสุดท้ายของวันกระทบลูกบอลที่ตั้งอยู่แน่นิ่งบนสนาม มันสวยก็จริงแต่เขาไม่ชอบเลย มันดูเหงา ไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีสีสัน เขาจึงหันกลับมาจ้องไปที่ด้านซ้ายสุดของถนน



                บรืน!



                นั่นไงคันที่เลี้ยวมาเป็นรถของพ่อไม่ผิดแน่ เขาเบิกตากว้าง เหมือนเท้าจะลอยสูงขึ้นฟ้า ...ดีใจสุดๆ ไปเลย... พ่อเปิดกระจกมาแต่ไกลทำให้เขาเห็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในชีวิตของเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ



                เขายิ้มกว้าง และรีบยกมือโบกไปมา



               ตู้มมมมมมมมมม!



                “กรี๊ดดดดดด”



                เพียงเสี้ยววินาที เขาค่อยๆ หุบยิ้ม มือขวาตกลงข้างตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง



                “ตายแล้ว รถสีดำคันนั้นแซงได้ยังไงไม่เห็นว่ามีรถสวนมาหรอ?!!”



                “ฟอร์จูนเนอร์เลนส์ขวาเจ็บหนักแน่อัดกำแพงด้วยใช่ไหมน่ะ”



                “ทำยังไงดี โทรแจ้งตำรวจ...พี่! พี่! ช่วยกันหน่อย”



                “หาคนเจ็บก่อนครับ!”



                “ถอยห่างครับ รถอาจจะมีแก็ส!”



                “หนูหลบไปก่อน ระวังค่ะ! ระวัง!”



                ปริ้นนนนนนนนนนน



                ไม่มีคำบอกลาใดๆ...ในความเงียบงัน เมื่อตะวันลับฟ้า เมื่อความมืดโรยตัวลงมา ความหนาวเหน็บก็เข้ากัดกินหัวใจเขาจนเป็นแผลเหวอะหวะ



                “พ่อ!!!!! แม่!!!!!”



                เขาเกลียดความมืด

                เสียงเรียกของเขาดังสะท้อนในห้องกว้าง

                ไม่มีใครได้ยิน

                ไม่มีเสียงตอบรับ

                ไม่มีใครเลย

                ทุกภาพยังคงชัดเจนเหมือนทุกครั้งที่นึกถึง



                ...วันนี้ของทุกปีช่างทรมานเหลือเกิน...

               



[ต่อด้านล่างค่ะ]
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน p.7 [12/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 12-02-2018 19:19:32
[ต่อจากด้านบนค่ะ]





                “นาย?”


                ในความทรงจำที่ขาดๆ หายๆ เขาได้ยินเสียงของใครซักคน คนที่มาพร้อมกับน้ำเสียงอันอบอุ่น เหมือนแดดยามเช้า นายปรือตามองเมื่อมีแสงเล็ดลอดเข้ามาในบ้านมืดๆ นี่ แต่เพราะสายตาเขายังพร่ามัว เขาจึงได้แต่ยกมือบังแสงนั้นเอาไว้



                “นาย...”



                ฝ่ามือข้างหนึ่งของคนๆ นั้นแตะข้างแก้มเขาแผ่วเบา สัมผัสคุ้นชินจนเขาค่อยๆ ลดมือลง เขาจมดิ่งอยู่กับตัวเองจนไม่รู้ว่านี่คือความฝันหรือความจริง



                ...พี่ปั้นหรอ?...



                อา...แค่นึกถึงเขาก็อดอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้



                มนุษย์ที่น่าสงสารอย่างเขายังโชคดีที่เจอพี่ปั้น คนที่เขาอยากยิ้มให้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ จนต่อมาพี่ปั้นคือคนที่เขาอยากอยู่ด้วยตลอดเวลา คนที่ทำอะไรก็น่าเอ็นดูไปหมดทุกอย่าง คนที่ทำให้เขารอคอยทุกวันศุกร์เสมอๆ คนๆ นั้นเป็นแสงสว่างของเขา



                 ใช่ เขาเจอแล้วแสงสว่างที่เขาตามหา



                “นาย?” แรงเขย่าที่ไหล่ขวาทำให้คนที่กึ่งตื่นกึ่งฝันขมวดคิ้ว  “ตื่นแล้วลืมตามองเราหน่อยได้ไหม” เขาลดมือขวาลง แล้วทำตามเสียงนั้นอย่างว่าง่าย เผื่อว่าเมื่อลืมตาขึ้นเขาจะเห็นพี่ปั้นในความฝัน



                “พี่ปั้น” ทันทีที่ลืมตา เขาเรียกคนตรงหน้าแผ่วเบา แม้จะดีใจที่เห็นหน้าพี่ปั้นเป็นคนแรกแต่เพราะใบหน้าของพี่ปั้นดูเศร้าสร้อยนั่นจึงทำให้เขาเศร้าตามไปด้วย



                “เราเอง”



                ...ใครทำพี่ปั้นร้องไห้... เขาถามกับตัวเองเงียบๆ แต่ก็ยกมือไปปาดคราบน้ำตาที่หางตาให้อย่างเบามือ



                “พี่ปั้นเป็นอะไร”



                “ฮึก”



                ไม่บ่อยนักที่คนๆ นี้จะร้องไห้ และเขาก็ไม่ยินดีที่จะเห็นเท่าไหร่นัก



                “นายตื่นหรือยัง”



                “ตื่นแล้วครับ”



                เขาขมวดคิ้ว ตื่นหรอ? นายเบิกตาขึ้นนิดๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว เขาหันไปมองรอบๆ ตัว ที่ๆ เขานั่งอยู่ตอนนี้คือห้องนั่งเล่นมืดซึ่ง มีแสงจากหน้าต่างสาดเข้ามา



                “พี่ปั้น...มาได้ยังไงครับ”



                เขาพูดออกไปอย่างนึกแปลกใจ และนายพึ่งจะค้นพบ เขาไม่ได้ฝัน คนตรงหน้าคือพี่ปั้นของเขาจริงๆ



                “เราไปหานายที่หอ แต่นายไม่อยู่ แดมบอกว่านายอาจจะมาที่นี่” พี่ปั้นสูดจมูก ส่วนเขาก็พยายามประมวลผล



                “นายไม่สบายทำไมถึงมาที่นี่คนเดียว ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง” พี่ปั้นนั่งลงข้างๆ เขาบนโซฟา เพราะสีหน้าเป็นกังวลบวกกับจมูกแดงๆ นั้นทำให้เขาเผลอจ้องมอง ไม่ได้สนใจเรื่องที่ตัวเองหนาวๆ ร้อนๆ ซักเท่าไหร่ แค่เป็นไข้น่ะเรื่องเล็ก คนตรงหน้าเขาสำคัญกว่ามาก



                “พี่ปั้นร้องไห้ทำไมครับ”



                เขาอยากรู้เรื่องเดียว ใครทำให้พี่ปั้นของเขามีน้ำตา “ก็นาย...”



                “ครับ?” เขาก้มหน้าถาม เมื่อเห็นพี่ปั้นเม้มปากเหมือนกลั้นความรู้สึกบางอย่าง “พี่ปั้น?”



                “เพราะนายนั่นแหละ! เราเรียกนายแล้วนายไม่ตอบเราเลย เหมือนนายไม่ได้อยู่ที่นี่ เราถึงกลัว...” เขาจับมือพี่ปั้นไว้



                “เรากลัว...นายไม่กลับมา” แรงกระชับที่มือเขาแน่นขึ้น พี่ปั้นเป็นฝ่ายกอบกุมมือของเขา ตาโตแดงช้ำมองเขาอย่างวอนขอ และเป็นเขาเองที่ชะงักงัน ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาซะอย่างนั้น...



                “ผมจะไม่กลับมาได้ยังไง...ก็พี่ปั้นอยู่ตรงนี้ทั้งคน”



                ...เขาอาจจะยังไม่เคยบอกพี่ปั้น

                เพราะมีพี่ปั้น

                เพราะตั้งแต่ที่เจอพี่ปั้น

                เขาถึงเข้าใจความหมายของการมีชีวิตอยู่...

               





                “นาย”



                “ครับ”



                นายกลั้นยิ้มที่เราเอาแต่เรียกชื่อนายทุกๆ สิบนาที ...ก็กลัวนี่... ตัวเองไม่รู้ตัวรึไงว่าไม่มีสติขนาดไหน นายเหมือนหลุดลอยไปโลกอีกใบหนึ่งที่เราเข้าไปหาไม่ได้ เราพยายามยกตัวนายขึ้นแต่ก็ไม่ไหว กลัวจนเผลอร้องไห้ออกมา พอเล่าให้เขาฟังนายกลับล้อเราว่าที่เราร้องไห้เพราะยกตัวเขาไม่ขึ้นซักทีต่างหาก



                “นาย”



                “ครับ”



                “กินยารึยัง”



                “ยา? ยังครับ”



                “ข้าวล่ะ”



                “ยังครับ”



                “งั้นเราทำอะไรให้กินรองท้อง” เขาชะงัก มองเราด้วยสายตาสั่นไหว เรายิ้มไม่อยากให้บรรยากาศแย่ลงไป “ทำไมทำหน้าแบบนั้น ไม่ต้องกลัวเราทำไม่อร่อยหรอกน่า”



                “เปล่านะครับ”



                “งั้นนายนั่งรอก่อน เราทำแป๊บเดียว เอ...เมื่อกี้เหมือนจะเห็นข้าวนะ” เราเดินเข้าครัว เราตัดสินใจซื้อไข่ไก่กับข้าวสวยในเซเว่นตอนที่รอแท็กซี่ หลังจากรู้ว่านายไม่อยู่ที่หอพัก แดมบอกว่าบ้านหลังนี้นายจะเข้ามาอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ครั้ง ดังนั้นจึงไม่มีของสดแน่นอน



                เราทำอาหารไม่เก่งหรอก แต่ข้าวไข่เจียวก็ทำได้ไม่ยากอะไร เราหากระทะ จานชามแล้วก็เริ่มต้นทำอาหารเที่ยงให้คนป่วย



                “ข้าวไข่เจียวได้ใช่ไหม”



                เราถามเมื่อเห็นนายเดินตามเข้ามาในครัว “อะไรก็ได้ครับ” เขาตอบเสียงเบาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะอาหาร เราสังเกตว่าเขามองเราไม่วางตา



                “หิวใช่ไหมล่ะ” เราเอ่ยถามไป ไม่อยากให้เขาคิดอะไรเงียบๆ แม้แต่วินาทีเดียว



                “...”



                แต่นายไม่ตอบอะไรกลับมา เราใช้เวลาทำไม่นาน และรู้สึกว่าสายตาเขามองตามเราตลอดเวลา จากนั้นเราก็ตักข้าวไข่เจียวใส่จานที่มีข้าวสวยที่อุ่นร้อนๆ อยู่ตรงนั้น



                “เสร็จแล้ว ไม่ใช่ข้าวห่อไข่ แต่ก็คล้ายๆ กันนะ” เรายิ้มให้ก่อนจะเลื่อนจานไปตรงหน้านาย



                นายเอ่ยขอบคุณเบาๆ ก้มหน้า เรามองเขาตักไข่เจียวเข้าไปคำแรก  คำที่สอง คำที่สาม คำที่สี่ เราพึ่งสังเกตว่ามือที่จับช้อนสั่นแปลกๆ กำลังจะเอ่ยถามแต่ก็เห็นอะไรบางอย่างข้างแก้มคนที่ตักกินข้าวอยู่ตรงหน้า ใจเราวูบโหวงไปชั่วขณะ



                ...นายร้องไห้?...



                “เป็นอะไร” เรารีบถาม ย้ายตัวเองไปนั่งข้างๆ เขา ไม่มีเสียงสะอึกสะอื้นใดๆ เขาน้ำตาไหลเงียบๆ เพราะแบบนั้นทำให้ขอบตาเราเริ่มร้อนตามทันที เขามองเราด้วยสายตาที่พาลให้ใจกระตุก...พาลให้รู้สึกเศร้า



                ร้องไห้ทำไม



                “ขอบคุณครับพี่ปั้น” ภายนอกเขาอาจจะเป็นคนขี้เล่น แกล้งแหย่เราได้ตลอดเวลา แต่แท้จริงแล้วนายกลับอ่อนแอมากกว่าที่เราคิด



                “ขอบคุณเราทำไม” เราถามออกไปเสียงเบา



                “พี่ปั้นรู้ไหม ตั้งแต่ที่...ที่พ่อแม่ผมเสียก็ไม่เคยมีใครทำอาหารให้ผมกินเลย...” เขายิ้มบางๆ ให้กับความคุ้นชินที่เขาไม่อยากจะได้รับ เราไม่รู้จะพูดอะไรเลย ไม่สิ มันพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เขา



                “เวลา...ไม่สบายก็นอนพัก เดี๋ยวตื่นมาก็หาย หิวก็หาอะไรกินเอง”



                เราคิดตามจนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ตอนนี้...เวลานี้อยากเป็นคนที่เข้มแข็งให้เขาพักพิงได้ เราเลื่อนมือไปกุมมือเขาไว้ นายซบหน้าผากกับลาดไหล่ของเราเหมือนคนหมดแรง ประโยคสุดท้ายที่เบาจนเป็นเสียงกระซิบดังแว่วมา



                “ไม่มีใครเลยเนี่ย มันเศร้าจังนะครับ”



                …ใครบอกกันล่ะนาย...



                เราปลอบใครไม่เป็น ทั้งๆ ที่รู้สึกสงสารเขาจับใจ เข้าใจเหตุผลที่เขาไม่เคยอยู่ทานข้าวที่บ้านเราขึ้นมาทันที เพราะนายไม่เคยเผยความทุกข์ใจของตัวเองออกมาเลย และนั่นยิ่งทำให้เราเศร้าใจ มนุษย์อย่างเราจะเเบกรับความโดดเดี่ยวได้มากเเค่ไหนกัน



                เราทั้งคู่เงียบไปช่วงเวลาหนึ่ง ปล่อยให้เขาได้ปล่อยความเศร้าออกมาผ่านน้ำตา จากนั้นก็เป็นเราที่ทำลายความเงียบนั้นลง



                “อยากกินข้าวเค็มๆ ก็ไม่บอก” เราก้มหน้าลง ก่อนยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้อีกครั้ง นายเงยหน้าขึ้นมา น้ำตาไหลกว่าเดิม



                “ไม่ต้องร้องนะ เราอยู่ทั้งคน ต่อจากนี้ถ้านายอยากกินอะไร เราทำให้หมดเลย” เราพูดพร้อมกับยิ้ม ตบหน้าอกตัวเองเบาๆ นายผละจากไหล่เราก่อนจะใช้แขนเสื้อปาดน้ำตาตัวเองสองสามที



                “ขอบคุณนะครับพี่ปั้น”



                “ไม่ต้องขอบคุณหรอก แต่อย่าขอเมนูยากล่ะ เราน่ะมือใหม่”



                เขาส่ายหน้า ดูเหมือนว่านายคนเดิมจะกลับมาแล้ว แต่อย่างน้อยเราก็ดีใจที่อ่อนแอให้เราเห็นบ้าง



                “อะไรอย่าบอกนะว่านายคิดเมนูยากๆ ไว้แล้วน่ะ” เราแกล้งทำตาโตตกใจจนเขาหลุดหัวเราะ นายไล้นิ้วโป้งที่ข้างแก้มเราเบาๆ



                “ขอบคุณ...ที่พี่ปั้นอยู่กับผมตรงนี้ต่างหากครับ”



                เรามองรอยยิ้มเขานิ่ง ก่อนที่ริมฝีปากจะคลี่ยิ้มตาม



                “อื้ม”



                ...ขอบคุณที่นายอยู่ตรงนี้เหมือนกัน...

 





                “ร่ม”



                “ไม่เป็นไรครับ”



                “เสื้อแขนยาว”



                “ใส่แล้วครับ”



                “งั้นใส่หมวกแทนร่มแล้วกัน”



                “พี่ปั้น”



                “หือ”



                “ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ผมน่ะแข็งแรงจะตาย”



                “ไม่ได้! นายเป็นไข้นะ” เราส่งเสียงดุเขา นายจะออกไปสุสานคริสตจักรแต่ว่าเขายืนกรานที่จะเดินไป เพราะสุสานอยู่ในบริเวณของคริสตจักรซึ่งไม่ไกลจากบ้านเขานัก ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แดดกรุงเทพฯ ขนาดนี้ เป็นไข้หนักขึ้นมาจะทำยังไง



                “คิ้วยุ่งหมดแล้ว” นายจับต้นคอเราก่อนจะนวดเบาๆ



                “นายไม่ฟังเราเลย” เราถอนหายใจ หยีตามองท้องฟ้า ...เกือบจะห้าโมงแล้วก็ยังมีแดดอยู่เลย...



                “พี่ปั้นน่ารัก”



                “อะไรนะ”



                “ผมจะบอกว่าผมใส่หมวกแล้วครับ เสื้อคลุมก็ใส่แล้ว ทีนี้ก็ตาพี่ปั้นบ้าง...ใส่ด้วย” เขาสวมหมวกแก๊ปของเขาให้เรา มันหลวมโพรกจนปีกหมวกปิดตาเราหมด



                “ไม่เอาหรอก เราสบายดี” เราจะถอดออกแต่ฝ่ามือหนักๆ ของนายก็ทับไว้ซะก่อน



                “พี่ปั้นไม่ดื้อกับผมสิครับ”



                “เราไม่ได้ดื้อ เราไม่ได้ป่วยแบบนาย”



                “อย่างน้อยก็ใส่หมวกเถอะครับ” เรามองเขาอย่างชั่งใจแต่เพื่อไม่ให้เสียเวลาไม่มากกว่านี้เราเลยยอมใส่ต่อไป



               ...เห็นไหมเราไม่ดื้อ...

               

                “จับมือด้วยครับ” นายยื่นมือมาตรงหน้า



                “จับทำไม”



                “ก็ถ้าผมหน้ามืดหรือเป็นลม พี่ปั้นจะได้รู้ทันทีไงครับ” เรารีบยื่นมือไปจับทันที กลัวเขาหน้ามืดอย่างที่ว่า นายกระชับมือเราแน่นก่อนจะอมยิ้ม



                ...เอ๊ะ เมื่อกี้นายบอกว่าแข็งแรงไม่ใช่หรือไง...



                เรามองแผ่นหลังของนายก่อนจะเลื่อนสายตามองมือที่จับกันไว้



                ...เอาเถอะ ก็เรา...กลัวเขาล้มจริงๆ นี่นา...







                เรามาถึงสุสานในสิบห้านาทีให้หลัง นอกรั้วมีแต่ความวุ่นวาย แต่เมื่อเข้ามาด้านในที่นี่กลับดูร่มรื่น และมีสีเขียวเต็มไปหมดซึ่งตัดกับสีขาวนวลของหินอ่อนที่เรียงรายทอดยาวไปไกล เราเดินตามนายเงียบๆ เขาไม่ได้มีดอกไม้หรืออะไรมาด้วย มีแต่ผ้าขนหนูผืนเล็กที่เขาตั้งใจจะทำความสะอาดที่พักพิงของพ่อและแม่ของเขา



                เราเดินเข้ามาบล็อกที่สี่จากซ้ายสุด นายหยุดอยู่ตรงกลางของแถวนั้น เขามองนิ่งไปที่ป้ายหินอ่อนที่สลักชื่อของพ่อแม่เขาไว้ข้างๆ กัน เห็นแบบนั้นเราเลยจะถอยหลังมาเพื่อให้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับพ่อและแม่ ขณะที่ก้าวถอยหลังนายก็หันมาทันที



                “พี่ปั้นไม่ต้องไปไหนหรอกครับ” เขาว่าก่อนนั่งคุกเข่าที่ผืนหญ้า ลงมือปัดฝุ่นเป็นอย่างแรก เราเดินกลับไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เขาแล้วใช้มือเปล่าปัดฝุ่น



                “เปื้อนหมดแล้วพี่ปั้น”



                “ไม่เป็นไร”



                “...”



                นายจมอยู่กับความคิดตัวเองอีกแล้ว เรามองเขาอย่างเป็นกังวล ผ้าขนหนูผืนสะอาดเริ่มมีคราบฝุ่นประปราย เราหยิบมาเช็ดแทน และเหลือบมองเขาเป็นระยะๆ นานทีเดียวที่นายนั่งนิ่งๆ จ้องไปที่ชื่อของพ่อแม่บนแผ่นหินอ่อนสีขาวเงียบๆ ไม่มีเสียงพูดใดๆ



                “พี่ปั้น”



                “หือ” เรารีบหันไป นึกว่าเขาเรียกแต่ดูเหมือนว่าเขาจะพูดอะไรบางอย่าง เขาพึมพำกับตัวเองแต่เพราะทั่วบริเวณนั้นไม่มีใคร เราจึงได้ยินอย่างชัดเจน เราเม้มปากไล่ความร้อนที่ตาตั้งแต่ที่เขาเริ่มพูด



                “วันนี้ผมพาพี่ปั้นมาด้วยครับ”



                “...”



                “ไม่ได้มาคนเดียวเหมือนปีก่อนๆ”



                “...”



                “พี่ปั้นทำอาหารให้ผมด้วยล่ะ”



                “...”



                “บังคับผมกินยาเหมือนเด็กๆ”



                “...”



                “ไม่ต้องเป็นห่วงผมแล้วนะครับ”



                “...”



                ”...คิดถึงเสมอนะครับ”



                 ลมพัดมาสัมผัสผิวแผ่วเบาราวกับพวกเขารับรู้ มองแสงสีส้มกระทบเสี้ยวหน้าของเขาก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้ายามเย็น



                  ...ขอให้ความเศร้าไม่พานายไปไหน...



                 เราอธิษฐาน เเล้วค่อยๆ หลับตาลง ไม่ทันเห็นว่าคนข้างๆ หันมายิ้มบางๆ แล้วมองเราด้วยสายตาแบบไหน


______________________
เพลงนี้...จากนายถึงพี่ปั้น
You’re the right time at the right moment
You’re the sunlight keeps my heart going
Know when I’m with you Can’t keep myself from falling
Right time at the right moment
It’s you


-คิดถึงทุกคนมากมาย-
ตอนนี้ใส่พลังไปกับนายมากทีเดียว
นายเป็นคนที่เข้มเเข็งนะสำหรับเราเเต่อ่อนเเอกับคนๆ เดียว
ฮืออ น้องงง
ขอบคุณทุกคนเหมือนเดิมมม
ช่วงนี้อย่างที่บอกไว้ในทอล์คเรื่องคุณชายคือเราเปลี่ยนงานใหม่
หลายอย่างไม่เข้าที่มากๆ  หายไปนานเลยต้องขอโทษทุกคนจากใจจริงด้วยนะคะ
อัพเรื่องคุณชายไปวันก่อนใครยังไม่ได้อ่านไปอ่านคลายเครียดกันนะคะ
เเล้วเจอกันใหม่
#เรากับเขา
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน p.7 [12/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 12-02-2018 19:37:57
ฮืออออสงสารนายที่สุดมาให้แม่กอดแน่นๆทีนึงนะลูกพี่ปั้นอย่าทิ้งน้องไปไหนนะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน p.7 [12/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 12-02-2018 20:24:28
สงสารนายยยย ไม่ร้องนะ ; __ ;
มีพี่ปั้นอยู่ด้วย ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันนะ มีกันและกันน
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน p.7 [12/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-02-2018 21:01:50
 :hao5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน p.7 [12/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-02-2018 22:36:30
ไม่คิดว่านายจะเหงาและโดดเดี่ยวขนาดนี้  :ling3:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน p.7 [12/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mmello07 ที่ 12-02-2018 23:06:31
กอดน้องนายนะลูก :กอด1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน p.7 [12/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 13-02-2018 00:52:10
ีฮืิอออออ เราน้ำตาไหลเลยยยย นายทำไมน่าสงสารขนาดนั้นนน พี่ปั้นช่วยน้องด้วยนะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน p.7 [12/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-02-2018 00:58:42
 :m15:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน p.7 [12/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 13-02-2018 01:47:15
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน p.7 [12/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 13-02-2018 02:00:55
น้องนาย ฮือ หนูต้องโดดเดี่ยวขนาดไหนเนี่ย อ่านแล้วจะร้องไห้เลย
ไม่เป็นไรแล้วนะ ตอนนี้มีพี่ปั้นอยู่ด้วยแล้ว ต่อจากนี้เข้มแข็งขึ้นนะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน p.7 [12/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 13-02-2018 10:34:32
 :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:
สงสารนายจากนี้มีพี่ปั้นแล้วไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียวอีกแล้วนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน p.7 [12/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 13-02-2018 19:05:02
น้องนายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้วนะ เพราะต่อไปนี้จะมีพี่ปั้นอยู่ข้างๆน้องนายเองน้า :กอด1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน p.7 [12/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 18-02-2018 00:31:16
เศร้าเลย เสียน้ำตาไปเลยด้วยครับ,,,
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน p.7 [12/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 27-02-2018 22:43:37
ฮื้ออออออ ชอบคำอธิษฐานของปั้น ขอให้ความเศร้าไม่พานายไปไหน ในวันแย่ๆดีใจกับนายด้วยที่มีคนอยู่ข้าง มีคนที่เป็นแสงสว่างให้ รักน่ยเพิ่มเกือบเท่าๆปั้นเลยยย
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 15: เรา...กับคำอธิษฐาน p.7 [12/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: por_pla4u ที่ 30-03-2018 22:40:50
อิชั้นว่านายชานนท์นี่กำลังจะเข้ามาสร้างปัญหาอะไรให้คู่นี้มั้ยนะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 16 : เรา...กับคำสัญญา P.8 [6/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 06-04-2018 19:39:02
Act 16 : เรา...กับคำสัญญา



            ...ถ้าการตัดสินใจเป็นสิ่งที่ยากแล้ว การไม่ตัดสินใจเลยคงเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า...



                “นาย”



                (ครั..)



                “นายอยู่ไหน”



                (แกร๊ก....อยู่บนรถครับ พึ่งจะจอดรถเสร็จพอดี)



                “เอ่อ อ๋อ...เอ้อ นาย เราลืมชีทไว้ที่รถนายรึเปล่า”



                (ชีทอะไรนะครับ)



                “ชีทที่เขียนว่า Grammatical…น่ะ นายดูให้เราหน่อย”



                (ได้ครับ พี่ปั้นรอแป๊บนึง เอ ไม่เห็นมีเลยนะพี่ปั้น ลืมไว้ไหนรึเปล่า)



                “ไม่มีหรอ สงสัยเราเอามาแล้วล่ะ คงอยู่ซักที่ในกองหนังสือ”



                (หาดีๆ สิครับ แล้วรีบใช้รึเปล่า)



                “อ๋อ ไม่ รีบๆ รีบ ไม่ๆๆ ไม่รีบ ไม่มีปัญหาอะไรเลย”



                (พี่ปั้นเป็นอะไรรึเปล่าครับ ผมช่วยอะไรได้ไหม)



                “ไม่ๆๆ เราไม่เป็นไร อ้อ แล้วนายจอดรถเอ่อ...ที่ไหน แบบว่าจะไปไหนรึเปล่า”



                (ผมจอดรถใต้หอนี่เอง ไม่ได้จะไปไหนครับ)



                “อ้อ ดีๆๆ ขึ้นห้องซะนะ ทำการบ้าน อ่านหนังสือแล้วก็นอนเลยนะ อย่าออกไปไหนล่ะดึกแล้ว”



                (พี่ปั้น...)



                “โอ๊ะ เราเจอชีทแล้วไปอ่านหนังสือก่อนนะ...ตรู๊ด”



                ฟู่



                โอเค วิธีแกล้งลืมชีทที่คิดไว้ก็เนียนใช้ได้



                อย่างน้อยก็รู้ว่านายกลับถึงหอพักแล้ว



                แล้วพรุ่งนี้จะใช้เหตุผลอะไรโทรไปดีนะ...



                อืม…



                โทรไปถามวิธีทำข้าวห่อไข่น่าจะเวิร์ค



                “ใช้ได้ๆ”



                เราพยักหน้ากับตัวเองแล้วลิสต์หัวข้อการพูดคุยในครั้งต่อไปลงบนสมุดโน้ต แต่จู่ๆ ก็มีคนชะโงกหน้าข้ามไหล่เรามาโดยไม่ทันตั้งตัว   



                “โทรไปถามวิธีทำข้าวห่อไข่...นี่แกคิดว่าเนียนแล้วหรอปั้น”



                 “เฮ้ยชมพู่! อย่าอ่านของเรานะ”



                และเป็นความไม่ตั้งตัวที่ทำให้เราตกใจสุดๆ ด้วย



                “โอ๊ยยย ปั้น”



                คนที่ขยับมายืนข้างๆ โต๊ะร้องเสียงสูงพร้อมกับเท้าเอว ...ทำไมต้องมองเราแบบนั้นด้วย สมุดโน้ตเรามีความลับนะ ชมพู่จะมาแอบมองไม่ได้… เรากอดสมุดโน้ตเล่มสีเทาไว้แนบอกแล้วเอนตัวไปอีกทาง ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าข้อความบนหน้ากระดาษคงไม่หลุดรอดสายตาของชมพู่ไปได้



                “แกไม่ต้องทำหน้าระแวงฉันได้ไหม แกคิดอะไรฉันก็รู้หมดนั่นแหละย่ะ”



                “เราคิดอยู่ในหัวแล้วชมพู่จะรู้ได้ยังไง”



                ชมพู่วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะก่อนจะทิ้งตัวนั่งตรงข้ามเรา “ฉันเป็นเพื่อนแกมากี่ปี ไอ้ที่ทำอยู่เนี่ยแกคิดว่าเนียนแล้วหรอ”



                “ก็เนียนนะ นายไม่เห็นจะสงสัยเลย แต่เดี๋ยวนะ!...ชมพู่หลอกถามเราหรอ”



                “แกพูดออกมาเองต่างหากเหอะ” ชมพู่กลอกตามองฝ้าเพดานก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจิ้มๆ ถูๆ เราถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้ววางสมุดโน้ตไว้บนโต๊ะช้าๆ ในหัวก็คิดกลับไปมา…เราไม่เนียนตรงไหน



                ...แต่ว่านะ



                ชมพู่จับไต๋เราได้ตั้งหนึ่งคนแหน่ะ ถ้างั้นนายสงสัยไหมนะ ว่าที่เราโทรไปทุกวันเพราะอะไร...



                “เราไม่เนียนหรอ”



                “ยังจะถาม นี่...ฉันจะ describe ให้แกฟัง ช่วงนี้ใกล้สอบ และ…ฉันสังเกตว่าแกไม่มีสมาธิ พอสองทุ่มทีไร แกก็ต้องหยิบสมุดกับมือถือขึ้นมา แล้วก็กดเบอร์โทรออกที่มีแค่เบอร์เดียวของแก พูดตามที่จดไว้แค่สองสามประโยคแล้วก็รีบวาง จากนั้นก็จดอะไรซักอย่างลงในสมุด พอวันต่อมาก็ทำแบบเดิม เวลาเดิม ทำแบบนี้มาทั้งอาทิตย์ ใครไม่รู้ก็บ้าแล้ว ถ้าจะให้สรุปอะนะ...” ชมพู่พูดยาวเหยียดแล้วก็จบด้วยการยื่นมือมายืดแก้มเราตามคำพูด



                “ปั้น แก น่ะ มี พิรุธ มากกกกกก”



                “เจ็บๆๆๆ”



                หลังจากที่ชมพู่ไว้ชีวิตเราแล้ว เราก็ถูแก้มตัวเองเป็นการใหญ่ ...มือหนักชะมัดเลย...



                “อยากคุยทำไมไม่บอกตรงๆ ล่ะ นายมันอาจจะดีใจก็ได้นะ”



                เราชะงักกึก ก่อนจะรีบโบกมือปฏิเสธพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มร้อนขึ้นเพราะความอาย



                “เปล่านะๆๆ เรา เราไม่...ยอมรับก็ได้” เราพูดประโยคท้ายเสียงอ่อย เมื่อสู้สายตาคาดคั้นของคนตรงหน้าไม่ไหว เราจึงหลุบตาต่ำ แกล้งมองกระดาษบนโต๊ะไปเรื่อย ชมพู่คว่ำหน้าจอโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะซึ่งตอนนี้มีชีทวางไว้มุมหนึ่ง และชมพู่ดูจะไม่สนใจกระดาษพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย



                “ว่ามา...” ชมพู่พูดพร้อมกับจ้องตาเรานิ่ง เธอประสานมือทั้งสองข้างไว้ด้านหน้า ถ้ามีโคมไฟอยู่ตรงนี้ เราจะเหมือนนักโทษชายเข้าไปใหญ่



                “ว่ามา...” เธอพูดอีกครั้ง เราที่คิดอะไรนอกเรื่องแวบนึงถึงกับทำตาโต



                …ว่าอะไร...



                “ฉันเบื่อจะกลอกตาใส่แกแล้วนะ อยากปรึกษาอะไรฉันไหม เล่าให้ฟังได้ เรื่องที่แกคิดมากอยู่ตอนนี้น่ะ” เพราะประโยคนั้น หน้าของนายก็ลอยกลับเข้ามาอยู่ในหัวเหมือนเดิม



                หลายวันที่ผ่านมาเราเอาแต่คิดเรื่องนาย คิดมากจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว เราไม่อยากให้นายอยู่คนเดียวเลย แต่เพราะเราไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เราก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง อีกอย่างเราก็ลดความกังวลเกี่ยวกับนายไม่ได้ จึงต้องคอยโทรถามอยู่แบบนี้



                “อ่า...คือ...ก็...ที่เราโทรไปหานายเพราะว่า...เรา...เรา...เป็นห่วงนาย...น่ะชมพู่” ในที่สุดสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจก็ได้ระบายออกมา



                “นายเป็นอะไร ไม่สบายหรอ” ชมพู่ก็ถามขึ้นด้วยความตกใจ



                “ก็..ไม่สบาย” เรากัดริมฝีปากตัวเอง ไม่กล้าพูดอะไรออกมามากนัก แต่ดูเหมือนว่าชมพู่จะเข้าใจได้เองโดยไม่ต้องอธิบายใดๆ



                “ความไม่สบายของคนเรามีอยู่สองอย่างนะปั้น ไม่สบายกายกับไม่สบายใจ”



                “...”



                “ฉันเดาว่านายคงเป็นอย่างหลัง...ไม่งั้นปั้นเพื่อนฉันคงไม่กังวลขนาดนี้ เอ้าๆ ไม่ต้องมาทำตาแดงใส่ฉัน”



                ...ชมพู่เป็นคนที่เข้าใจเราที่สุดเลย...



                “นายเข้มแข็งมาก เพราะงั้นเราเลยไม่กล้าที่จะบอกตรงๆ” คงไม่มีใครอยากให้คนอื่นมาสงสารตัวเองหรอก อีกอย่างเรื่องความรู้สึกเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ยิ่งกับนายด้วยแล้ว...



                “เข้าใจล่ะ แกคงไม่อยากให้เขารู้สึกว่าที่แกทำอยู่คือสงสารเขาใช่ไหม”



                อื้อๆ ใช่ๆ ...ชมพู่วววว ชมพู่เข้าใจเราที่สุดอีกแล้ว...



                “เราถึงโทรไปถามเรื่องบ้าๆ บอๆ อยู่แบบนี้ไง” แค่หนึ่งนาทีก็ยังดี ให้เรารู้ว่าเขายังโอเคก็สบายใจแล้ว



                “ถ้านายรู้ว่าแกแคร์มันขนาดนี้คงดีใจตายเลย”



                “ชมพูว่าไงนะ”



                “เปล่าๆ ฉันพึมพำกับตัวเอง ปั้น...ฉันว่าจริงๆ เรื่องนี้น่ะมันง่ายนิดเดียว แต่แกน่ะคิดมากไป บางทีนายมันจะอาจจะรอให้แกพูดเรื่องบ้าๆ บอๆ อยู่ก็ได้นะ ถ้าคนที่ชอบอยากคุยกับเราจะเรื่องไร้สาระหรือไม่ไร้สาระ เขาก็ยินดีฟังทั้งนั้นแหละ”



                “...”



                “ไม่จำเป็นต้องคอยถามว่าสบายใจขึ้นรึยัง แค่เป็นแก...นายมันก็ดีใจที่สุดแล้ว”



                “อย่างนั้นหรอ...”



                ...ถ้าเป็นเรางั้นหรอ...



                “เราคิดมากก็เพราะตอนที่นายเศร้ามากๆ น่ะยังเป็นภาพติดตาเราอยู่เลย...” เราก้มหน้าลงเล็กน้อย พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันอาทิตย์ทุกภาพและทุกคำพูดของนายก็หวนกลับมาอีกครั้ง เราถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับที่ชมพู่ที่เท้าคาง พร้อมกับอมยิ้มที่มุมปากมองเรา



                “เอ่อ เรา...เราหมายถึงว่า...ใครเห็นนายก็อดสงสารไม่ได้ทั้งนั้นแหละ” เราละล่ำละลักบอก หน้าร้อนจนรู้สึกได้ ปกติชมพู่คงจะเอ่ยล้อแต่ครั้งนี้ชมพู่กลับหัวเราะน้อยๆ



                “ไม่มีใครเห็นนายอ่อนแอหรอกปั้น”



                “ทำไมล่ะ”



                “ก็คนเข้มแข็งอย่างนายน่ะอ่อนแอกับแกคนเดียวไง”



                “...”



                “ไม่ต้องมาทำเขิน ไอ้หมาปั้นหัดมีความรักเอ๊ย”



                ...ชมพู่! พูดไม่เพราะเลย...

 





                เมื่อเราตกผลึกความคิดได้ มันก็ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังมีสมาธิอ่านหนังสือมากขึ้นอีกด้วยเพราะเรื่องที่กังวลและกวนใจได้หายไปแล้ว



                “เมื่อวันก่อนเราบอกแม่ว่า ‘แม่ลองทำข้าวห่อไข่ให้หน่อย’ แม่ส่งรูปมาให้เราแต่ว่าดูยังไงก็เหมือนข้าวไข่เจียวเลย สุดท้ายพ่อก็ต้องกินจนหมดจาน แม่ถ่ายรูปพ่อตอนเคี้ยวมาด้วยนะ ขำพ่อมากเลย หน้าพ่องี้บูดเบี้ยวเชียว”



                (หึหึ)



                “นายขำพ่อเราหรอ” เราหุบยิ้มเมื่อปลายสายส่งเสียงหัวเราะมา ...พ่อเรา เราขำได้คนเดียว...



                (ฮ่าๆ เปล่าครับ ผมขำคนที่เนียนโทรมาขอสูตรข้าวห่อไข่เมื่ออาทิตย์ก่อนต่างหาก)



                “เราไม่ได้เนียนนะ เราอยากรู้จริงๆ” หลังจากที่คุยกับชมพู่เราก็เริ่มที่จะกล้าพูดมากขึ้น และก็เป็นที่มาของเรื่องราวประจำวันที่มักจะเล่าให้เขาฟังมากกว่าแต่ก่อน



                (ปากแข็ง)



                “เราไม่ได้ปากแข็ง”



                (โอเคครับ จริงๆ ก็ปากไม่แข็งหรอกพี่ปั้นน่ะ อะแฮ่ม แต่พี่ปั้นรู้ไหม ที่พี่ปั้นโทรมาหาถามสองสามประโยคก็วางเนี่ย ทำร้ายจิตใจผมมากเลยนะ)



                “...ทำไมอย่างนั้น” เราใจแกว่งกลัวว่าความเป็นห่วงเราจะทำร้ายจิตใจเขาจริงๆ



                (คิดอะไรอยู่ครับ ที่บอกว่าทำร้ายจิตใจเพราะพี่ปั้นน่ะมาส่งเสียงข้างๆ หูแป๊บๆ แล้วก็วางไม่คิดว่าผมจะคิดถึงพี่ปั้นบ้างหรอ)



                อะ...



                “คิด...คิดถึงอะไรกันล่ะ เราแค่เป็นห่วงนายเท่านั้นเอง”



                (รู้ครับ ถึงได้โทรมาถามหาชีทบ้างล่ะ ถามว่าฝนตกไหมบ้างล่ะ แต่ว่าผมไม่เป็นไรจริงๆ นะครับ จะเป็นจริงๆ ก็ถ้าอาทิตย์นี้เรายังไม่เจอกันอีก ผมตายแน่ๆ เลย)



                ดูเหมือนว่านายจะกลับมาเป็นนายคนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วล่ะมั้ง จะว่าไปตั้งแต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้เจอกันสองอาทิตย์กว่าแล้วล่ะเพราะเราอยู่ที่หอตลอดเลย เราโทรหานายบ้าง นายโทรหาเราบ้าง เว้นแต่ตอนอ่านหนังสือสอบหนักๆ เขาก็ส่งข้อความมาบ้าง ถ้าเราว่างก็ตอบกลับ ไม่มีอะไรมาก จนตอนนี้เขาสอบเสร็จแล้ว ถึงมีเวลามาวอแวเราทั้งวัน เหลือแต่เรานี่เเหละ ทนทุกข์ทรมานกับข้อมูลจนหัวเเทบระเบิด



                (พี่ปั้นเหลืออีกวิชานึงใช่ไหม เลิกสอบแล้ว ผมไปรับนะ)



                “ไม่ต้องหรอก แดมบอกว่าวันพรุ่งนี้นายกับเพื่อนจะไปดื่มกันนี่ กว่าจะเลิกก็คงดึก นายพักผ่อนไปเถอะ เรากลับเองได้”



                (เชี่ยแดม! แดมมันแอบคุยกับพี่ปั้นหรอครับ)



                “ก็ไม่ได้แอบนะ แดมก็ทักมาบ้างนะ ส่วนมากก็คุยเรื่องนาย”



                (พี่ปั้น!)



                “ทำไมต้องทำเสียงดุใส่เราด้วย” แดมเป็นสายลับให้เราเลยนะ เราให้แดมช่วยดูแลนายอีกแรง ช่วงที่นายไม่สบาย



                (แต่ผมอยากไปรับพี่ปั้น)



                “ไม่เป็นไร นายไปดื่มกับเพื่อนๆ เถอะ”



                (ทำไมครับ หรือพี่ปั้นให้คนอื่นมารับแทนผม)



                เราว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่แล้ว เรารีบพูดต่อก่อนที่คนปลายสายจะไม่สบอารมณ์มากกว่านี้ “ไม่มีใครหรืออะไรทั้งนั้นแหละ”



                (แล้วทำไม...)



                “นายอย่าดื้อกับเรา”



                (พี่ปั้นดื้อก่อน เราตกลงกันว่าไงครับ ผมต้องมารับพี่ปั้นกลับบ้านไม่ใช่หรอ)



                “ครั้งนี้เราขอกลับเองนะ ครั้งเดียวเอง น่า...อย่าหงุดหงิดเลย”



                (แต่ผมอยากให้พี่ปั้นอยู่กับผมวันศุกร์ด้วยนี้นี่ ขึ้นรถตู้มันอันตรายพี่ปั้นก็รู้...)



                “แล้วใครบอกว่าเราจะไม่อยู่กับนายล่ะ ที่เราไม่ให้นายมารับน่ะ...” นายไม่ฟังเราเลย เอาแต่บ่นไม่หยุด



                (ครั้งก่อนเป็นไงล่ะ ไม่เอาแล้วนะพี่ปะ...)



                “เราจะไปหานายเอง เลิกบ่นได้แล้ว”



                (พี่...พี่ปั้นจะมาหาผมจริงๆ หรอครับ) ฟังจากน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจปนดีใจของเขาเเล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เขาคงไม่มั่นใจว่าเราจะไปตามนัดรึเปล่าน่ะสิ ...แต่ครั้งนี้น่ะไม่เหมือนเดิมหรอกนะ... เรายิ้มกว้างก่อนจะตอบออกไป



                “อื้อ”



                (ให้จริงเถอะ ไม่ให้ผมไปรับ งั้นวันศุกร์นี้ก็อยู่กับผมทั้งวันทั้งคืนเลยแล้วกัน)



                “อืม...”



                (อืมคืออะไรครับพี่ปั้น ผมจริงจังนะ)



                “อืมก็คืออืมไง ไปดีกว่า ได้เวลานัดอ่านหนังสือกับชมพู่แล้ว”



                (พี่ปั้น เดี๋ยวก่อนครับ...)



                “...”



                (...ผมจะรอนะครับ)



                …ต้องรอสิ เพราะเรามีอะไรจะบอกนาย...





 

                เรากับชมพู่เดินคุยกันขณะเดินลงจากห้องประชุมชั้นสองซึ่งเป็นสถานที่สอบตลอดทั้งภาคเช้า วันนี้เป็นวันศุกร์...วันที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความเครียดซึ่งสะสมมาทั้งสัปดาห์ เราสองคนเข้าใจข้อนั้นและมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ



                “กลับบ้านเลยไหม” เราถามขึ้นเมื่อรองเท้าผ้าใบของเราและชมพู่แตะพื้นชั้นล่างของห้องประชุม



                “คงเย็นๆ น่ะ วันนี้ฉันต้องพาไอ้เด็กในปกครองทั้งหลายไปเลี้ยงเนื่องในโอกาสสอบเสร็จพร้อมกัน” เราพยักหน้าหงึกหงักพลางคิดว่าทีมบาสมหาลัยเนี่ย เขารักกันดีจังเลยน้า



                “ผู้จัดการดูเเลขนาดนี้ น้องๆ รักตายเลย”



                ชมพู่เบะปากขณะที่เราได้แต่ยิ้มขำ ไม่ทันจะเอ่ยล้อต่อ ชมพูก็พยักพเยิดหน้าไปด้านหน้าสองสามที



                 “พี่ปั้นนนนนนนนนน”



                 ตุ้บๆ



                “พี่ปั้นคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบ”



                ตุ้บๆ



                ...นะ...นี่มันอะไรกันเนี่ย…



                เราอยู่ในวงล้อมของนักบาสมหาลัยมากกว่าสี่คน หนึ่งในนั้นก็คือพวกน้องเจ็มอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาใส่ชุดนักศึกษาเต็มยศ ตัวสูงเป็นตึก แถมด้วยเป็นกำแพงปิดทางจนเราหันหน้าไปไหนไม่ได้



                “เอ่อ หวัดดีทุกคน” เราแก้ประหม่าด้วยการโบกมือขวาไปมาคล้ายหุ่นยนต์ ตรงหน้าเรามีฟุน เหน็ง แล้วก็กี้ที่มีท่าทาง เอ่อ...โศกเศร้า



                “ฮือออ เจอพี่ปั้นหลังสอบวิชาโหด เหมือนกับได้ต่อชีวิตที่ขาดไปเเล้วให้มีลมหายใจ”



                “ไอ้สัด พูดเว่อร์ พี่ปั้นครับ พี่ปั้นมาได้ทันเวลาพอดีอย่างกับรู้ใจ”



                “เหนื่อยมากเลยครับพี่ปั้น ไม่อยากจะเรียนหนังสือแล้วว”             



   “ดูท่า...พวกมันจะรักแกมากกว่านะปั้น” เราได้ยินเสียงอื้ออึงมาทุกทิศทาง จนหูอื้อตาลายไปหมด

             

                “ปั้นแกไหวไหมเนี่ย พวกแกหลีกไป๊! ยังอีก ทำไมเจอหน้าปั้นเเล้วผลสอบจะออกมาดีหรอ”



                “ถึงไม่ออกมาดี แต่พี่ปั้นก็ทำให้พวกเราไม่จมอยู่กับความเศร้า”



                “ใช่ ผู้จัดการไม่เข้าใจหรอก”



                “แต่ฉันเลี้ยงหมูกระทะพวกแกนะ แค่หมูกับเบียร์เข้าปากพวกแกก็ยิ้มร่าเป็นบ้าแล้ว”



                “ผู้จัดการ! เรื่องหมูกระทะกับการได้เจอพี่ปั้นมันเทียบกันไม่ได้นะครับ”



                “โอ๊ยยยยยย ไอ้พวกเว่อร์”



                “ทุกคน…” เราพยายามจะเอ่ยขัด



                “พี่ปั้นไปด้วยกันนะครับ” เจ็มหันมาถาม ก่อนที่คนอื่นๆ จะรอคำตอบด้วยเช่นกัน เรามีแผนหลังสอบของเราแล้วนี่นา อย่ามองกันแบบนั้นเลย



                “เอ่อ...คือว่า...” 



                “ปั้นไม่ไปหรอก” ชมพู่แทรกตัวมาบังเรา ก่อนวาดแขนมาโอบไหล่เราไว้



                “ทำไมอ่าครับบบ”



                “ตอบไปสิปั้นว่าแกจะไปไหน” ชมพู่ยิ้มล้อๆ เพราะแบบนั้นน้องๆ นักบาสจึงมองเราตาไม่กะพริบ บางคนก็มองอย่างมีความหวัง



                 ...ขอโทษนะ...



                “วันนี้เราจะไปหานายน่ะ”



                นักบาสของศิลปากรร้องโห่เสียงดังจนนักศึกษาแถวนั้นหันมามองกันหลายคน และที่ดังสุดคงจะเป็นกี้ คนที่มีประเด็นกับนายเมื่อครั้งก่อน เรายิ้มเชิงขอโทษทุกคนอีกครั้ง ก่อนลาชมพู่ และขอแหวกทางออกจากวงล้อมนั่น เดินออกมาไม่ไกลพอที่จะได้ยินเสียงดังตามหลัง



                “นี่พวกเราต้องเสียประชากรศิลปากรที่น่ารักให้กับมออื่นอีกแล้วหรอวะ...”



                จากนั้นเสียงโหยหวนก็ดังขึ้น



                “พี่ปั้นนนนนนนนน อย่าไปเลยครับบบบบบ”

               





                เรากลับมาถึงบ้านในเวลาบ่ายโมงกว่า ใจตุ้มๆ ต่อมๆ กับการขับรถของโชเฟอร์รถตู้อยู่ไม่นานก็ถึงโดยสวัสดิภาพ แต่ในใจกลับคิดว่าเราไม่ชอบการนั่งรถตู้เหมือนแต่ก่อน ทั้งนี้ต้องโทษนายคนเดียวเท่านั้น นายนิสัยไม่ดีเลย ทำให้เราเคยชินกับการมารับเราได้ยังไง



                …เราพูดถึงเขากี่ครั้งแล้วเนี่ยวันนี้...



                โทรศัพท์บนโต๊ะอาหารดังขึ้น เราจึงละมือจากการเตรียมอาหารแล้วหันไปเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน ก่อนจะกดรับโทรศัพท์



                Rrrrr Rrrrr



                “ว่าไงแดม”



                (พี่ปั้นถึงบ้านรึยังครับ)



                “ถึงแล้ว”



                (ฟู่ โล่งอกไปที)



                “มีอะไรรึเปล่าแดม”



                (ก็ไอ้นายอะดิพี่ปั้น เมื่อคืนด่าผมใหญ่เลย หาว่าผมจะแย่งพี่ปั้นไปจากมัน พอผมกับไอ้เอ็มเจช่วยกันพูดจน มันก็ถามหาพี่ปั้นทุกสิบนาที กว่าจะหลอกล่อมันไปนอนเนี่ยไม่ใช่เรื่องง่าย)



                “นายดื่มหนักขนาดนั้นเลยหรอ”



                (แฮ่ๆ ไอ้เอ็มเจกับผมมอมมันเองครับ)



                “แดม!”



                (นี่ผมช่วยพี่ปั้นเลยนะ ไม่งั้นมันตื่นแต่เช้าไปรอรับพี่ปั้นที่ศิลปากรแล้ว ว่าแต่พี่ปั้นจะมาหามันจริงๆ ใช่ไหมครับ)



                “จริงสิ”



                (ดูท่าว่าวันเกิดไอ้นายปีนี้มันคงมีความสุขมากนะครับ แล้วพี่ปั้นจะเข้ามาประมาณกี่โมงครับ)



                เพราะเป็นวันเกิดนาย จึงไม่แปลกที่เขาจะคะยั้นคะยอขอมารับเราโดยที่ไม่ยอมบอกอะไรเลย และเพราะเป็นวันเกิดนาย เราจึงอยากจะทำอะไรให้มนุษย์คนที่แอบเศร้าอยู่คนเดียวมีความสุขบ้าง



                “เราคิดว่าไม่เกินบ่ายสี่โมง เรากำลังรีบทำข้าวห่อไข่ให้...”



                (นั่นแน่ มีอาหารทำเองด้วย) เสียงวิดวิ้วดังลอยมา เราเดาว่าต้องเป็นเอ็มเจอย่างไม่ต้องสงสัย



                “ก็...ก็...เราอยากลองทำดู”



                (ไม่แซวก็ได้ เขินอยู่แน่เลย กริ้ววว)



                “เราจะฟ้องนายแน่” เราพูดเสียงนิ่ง กลบเกลื่อนความร้อนที่กระจายอยู่ทั่วแก้ม



                (ชะอุ้ย ไม่ล้อแล้วว โธ่ งั้นพี่ปั้นรีบมานะครับ ผมกับไอ้เอ็มเจกลับก่อนล่ะ ถ้าพี่ปั้นมาถึง ไอ้นายคงจะทำหน้าหล่อรอพี่ปั้นอยู่แหงๆ)



                “จะบ้ารึไง”



                (งั้นพี่ปั้นบอกมันว่า ‘รักนะจุ๊บๆ’ ด้วยนะครับ)



                “ได้” เรารับปาก แดมคงอยากจะแสดงความรักให้กับเพื่อนในวันเกิ...



                (ฮ่าๆๆๆ)



                เรามองจอที่ดับไปอย่างมึนๆ ก่อนจะที่หัวจะสว่างวาบ เดี๋ยวนะ...



                ....นี่แดมหลอกเราบอกรักนายหรอ...



                เราย่นจมูกก่อนจะคว่ำหน้าจอลงกับโต๊ะอาหาร เลิกสนใจแดมสายลับต่อไป



                …นาย วันนี้วันเกิดนาย เราจะทำของโปรดให้นายกินเอง!...

               





                เรายิ้มเมื่อความพยายามของเราเป็นผลอยู่ตรงหน้า ข้าวห่อไข่หน้าตาธรรมดาแต่ดูดีกว่าที่เราคิดไว้มากนัก เราเบนสายตามองขวดโหลในถุงแล้วอดยิ้มไม่ได้



                ...หวังว่าคนรับจะยิ้มเหมือนกันนะ...



                จะสี่โมงครึ่งแล้วหรอ



                เราตกใจเมื่อเหลือบมองนาฬิกาที่ห้องรับแขก เอื้อมมือคว้ามือถือขึ้นมาก่อนจะพบว่ามีหลายสายที่ไม่ได้รับ รวมถึงข้อความของเจ้าของวันเกิดที่ดูเหมือนว่าจะพึ่งตื่นด้วย เราเลือกที่จะส่งข้อความกลับไปมากกว่าการโทรกลับ



                Nine Naay
                ถึงบ้านรึยังครับ
                ตอบผมหน่อย
                ผมเป็นห่วง
                อยู่ตรงไหนแล้ว
                ให้ผมไปรับไหม
                พี่ปั้น

read Khaopun
เราถึงบ้านแล้ว
กำลังจะไปนาย
แต่อาจจะช้าหน่อย
วันนี้วันศุกร์นี่

            Nine Naay
            พี่ปั้น
            ผมเอาแต่ใจตัวเองเกินไปไหมครับ
            ถ้าพี่ปั้นเหนื่อย
            เราเจอกันวันหลังก็ได้

read Khaopun
ไม่ ก็เราสัญญากับนายแล้ว

                Nine Naay
                ที่บอกว่าจะอยู่กับผมทั้งวันทั้งคืนนั่นหรอครับ



                …เด็กคนนี้นี่...



                เราก้มลงมัดเชือกรองเท้าของตัวเอง แล้วก็คว้าถุงกระดาษที่บรรจุความรู้สึกของเราอยู่ในนั้นขึ้นมา เรามองดูประโยคสุดท้ายบนจอที่ทำให้อีกฝ่ายเงียบไปพักใหญ่แล้วก็ยิ้มกับตัวเอง


read Khaopun

ก็สัญญาที่ว่าเราจะไปหานายไง



___________

ขอร้องไห้ให้กับความคิดถึงงงงง
คิดถึงทุกคนมากจริงๆ
หายไปนานเเถมยังมาสั้นอีก
ต้องขอโทษทุกคนด้วยใจจริง
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
#คิดถึงเสมอ

หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 16 : เรา...กับคำสัญญา P.8 [6/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-04-2018 20:53:54
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 16 : เรา...กับคำสัญญา P.8 [6/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: villevia ที่ 06-04-2018 21:16:12
แงงง กลับมาแล้วว รอนานมาก
ทำไมดูมีความจะดราม่า กลัวใจจ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 16 : เรา...กับคำสัญญา P.8 [6/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 07-04-2018 02:45:42
 คิดถึงพี่ปั้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน  :ling1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 16 : เรา...กับคำสัญญา P.8 [6/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-04-2018 09:17:48
เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะพี่ปั้นนนน เราชอบความรุมล้อมของทีมบาสมาก มีความฮาเร็มหนุ่มหล่อ  :hao7:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 16 : เรา...กับคำสัญญา P.8 [6/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 07-04-2018 14:51:31
คิดถึงมากกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 16 : เรา...กับคำสัญญา P.8 [6/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 08-04-2018 15:17:17
ดูแลตัวเองด้วยนะคะพี่ปั้น คืนนี้ยาวๆไปค่าาา :o8:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 16 : เรา...กับคำสัญญา P.8 [6/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: por_pla4u ที่ 08-04-2018 23:39:09
มนต์รักข้าวห่อไข่รึเปล่าน๊าตอนหน้า :hao3:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 16 : เรา...กับคำสัญญา P.8 [6/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-04-2018 00:08:39
 :-[



โถๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 16 : เรา...กับคำสัญญา P.8 [6/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-04-2018 01:06:49
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 17 : เขา...กับคำสารภาพสีขาว P.8 [21/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 21-04-2018 22:47:49
Act 17 : เขา...กับคำสารภาพสีขาว



            ก็สัญญาที่ว่าเราจะไปหานายไง



                ดีใจ--นายดีใจจนควบคุมจังหวะหัวใจไม่อยู่ ก็พี่ปั้นน่ารัก น่ารักจนเขาแทบจะบ้า เขาเผลอจ้องข้อความล่าสุด...จ้องอยู่แบบนั้นจนหน้าจอดับไป คล้ายกับว่าเขาจะบันทึกทุกตัวอักษรเอาไว้ในสมอง



                ...พี่ปั้นจะมาหาเขา...



                นายกุมหัวใจที่เต้นรัวของตัวเองไว้แน่น ขยุ้มเสื้อแรงๆ จนเกิดรอยยับยู่ยี่ ก่อนจะค่อยๆ ลดระดับความดีใจลง เขาโดนพี่ปั้นแอคแทคด้วยคำพูดง่ายๆ ซื่อๆ กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วก็ยังไม่เคยชิน



                ถ้าพี่ปั้นอยู่ตรงหน้าตอนนี้นายอยากจะจับพี่ปั้นมากอดไว้ซะให้เข็ด ให้ดิ้นจากเขาไปไหนไม่ได้เลย มันเขี้ยวชะมัด และแน่นอนว่าพี่ปั้นต้องร้องโวยวายแบบที่ไม่เคยให้ใครเห็นมาก่อนแน่ๆ แค่คิดนายก็แทบหุบยิ้มไม่ได้แล้ว เพราะคนที่เขาคิดถึงอยู่ตอนนี้ และเป็นคนที่เขาอยากเจอนักหนากำลังมาที่นี่ มาหาเขา!



                “เวรแล้ว”



                เขาดีดตัวขึ้น มือขวากระชากผ้าห่มผืนบางออกจากตักอย่างรวดเร็ว นายก้มมองตัวเองแล้วก็พบว่าเขาใส่เพียงกางเกงขาสั้นตัวหนึ่งเท่านั้น เมื่อคืนหรือเมื่อเช้าเขานอนไปนอนไหนก็ไม่รู้ เพื่อนตัวดีอย่างไอ้แดมกับไอ้เอ็มเจที่นอนก่ายกันค่อนคืนก็หายตัวไปแล้ว พวกมันทิ้งภาระความรกรุงรังให้กับห้องของเขาอยู่ตรงหน้าทีวี ขวด แก้วน้ำ รวมถึงจานที่ถูกวางทิ้งไว้ตรงพื้น นายขยี้ผมตัวเองแรงๆ อย่างนึกโทษตัวเองที่เผลอดื่มจนไม่มีสติ ก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย



                เขาเดินออกจากห้องน้ำแปดนาทีให้หลัง นายใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมอย่างบ้าคลั่ง แล้วหันไปมองนาฬิกาบนผนัง จากบ้านพี่ปั้นถึงห้องเขาใช้เวลาไม่นานนักแต่เพราะวันนี้เป็นวันศุกร์พี่ปั้นอาจจะถึงห้องเขาเกือบหกโมงโดยประมาณ เมื่อครั้งก่อนที่ติดต่อเขาไม่ได้ พี่ปั้นถามเขาเรื่องที่อยู่อย่างละเอียด เพราะพี่ปั้นทำหน้าอ้อนแบบไม่รู้ตัวขนาดนั้นเขาถึงบอกไปอย่างไม่ต้องคิดอะไรเลย แถมยังไปบอกลุงยามด้านล่างว่าถ้ามีคนน่ารักๆ มาถามถึงเขาให้เข้าหอมาได้เลย แม้ว่าหอเขาจะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ต่ำมากก็เถอะ



                ถึงจะรู้สึกหงุดหงิดหน่อยๆ กับการปล่อยให้พี่ปั้นต้องเดินทางคนเดียว แต่ในใจลึกๆ เขาก็กลับดีใจที่พี่ปั้นเป็นฝ่ายมาหาเขาเอง



                เขาจะ...คิดเข้าข้างตัวเองได้ใช่ไหม



                นายลงมือเก็บกวาดห้องได้ไม่นาน เขาก็ต้องขมวดคิ้ว พี่ปั้นมาช้าเกินไปรึเปล่า ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วเวลาพึ่งผ่านไปได้เพียงครึ่งชั่วโมง ทำไมนะเขารู้สึกนานเหมือนผ่านมาหนึ่งวันแล้ว นายจ้องหน้าจอมือถือ...เขาเป็นคนรอที่ไม่อยากเร่งรัดพี่ปั้น พี่ปั้นมาหาเขาแค่นี้ก็ดีมากแล้ว



                ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างเริ่มทอแสงสีส้ม นายเหม่อมองด้วยความสนใจ พลางคิดไปถึงวันเกิดที่ผ่านมาๆ นายมักจะนอนโง่ๆ เล่นเกมให้พ้นผ่านไปวันๆ หนึ่ง หรือไม่ก็ออกไปกินเบียร์นั่งคุยกับเพื่อนหรือรุ่นพี่ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ วันเกิดเขาไม่ได้สำคัญอะไรนักหรอก แต่...ครั้งนี้เขาอยากให้มันสำคัญขึ้นมา เขาอมยิ้มกับตัวเองกับความคิดตัวเอง



                “บ้าไปแล้วแน่ๆ ไอ้นาย” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เขาก็หยุดยิ้มไม่ได้เลยจริงๆ



                เขาอยากมีพี่ปั้นให้คิดถึงแบบนี้ตลอดไป



                ก๊อกๆ



                นายดีดตัวออกจากโซฟาอย่างแรงเหมือนกับว่าที่เท้านั้นติดขดลวดสปริงไว้ เขาสะดุ้งเพราะเสียงเคาะประตูหน้าห้อง คนที่พึ่งตื่นสะบัดหน้าสองสามทีแล้วเรียบเรียงความคิด



                “เผลอหลับไปตอนไหนวะ”



                แสงสีส้มนอกหน้าต่างหายไปแล้ว และท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีครามเข้ม เขาเผลอขมวดคิ้วเมื่อมองนาฬิกาอีกครั้ง ทุ่มครึ่งแล้วหรอ! ...นานเกินไปแล้วนะพี่ปั้น... เพราะแบบนั้นเขาจึงก้าวเท้าไปเปิดประตูอย่างเร็ว ยื่นมือขวากระชากประตูออกอย่างแรง



                “พี่ปั้นทำไมมาช้...”



                นายลดมือจากลูกบิด ประตูที่แง้มออกเผยให้คนที่ยืนอยู่หลังประตูชัดๆ



                และ...



                คนๆ นั้นไม่ใช่คนที่เขารอ



                “พี่ชา...”

               









                กึก!



                “เบียร์หน่อยไหม”



                คนตรงหน้าวางกระป๋องเบียร์ตรงราวระเบียงด้วยท่าทีไม่เร่งรีบ ลมเย็นพัดเอื่อยๆ พาดผ่านผิวไปมา เวลานี้อากาศกำลังดีไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนวันที่ผ่านๆ มา แต่นั่นไม่ได้ทำให้นายข่มความร้อนใจของเขาได้เลย



                “ไม่ดีกว่าพี่” เขาปฏิเสธเสียงเรียบ พลางเบนสายตามองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือของอีกฝ่าย ไม่สนใจกระป๋องเบียร์ที่ตั้งท้าลมอยู่แบบนั้น



                “อะไรวะ เมื่อก่อนกูชวนแดกมึงไม่เคยปฏิเสธนี่ เอาหน่อยดิ วันเกิดมึงจะไม่ได้แดกได้ไง” ชาคว้าหมับที่กระป๋องก่อนจะยัดมันใส่มือเขา นายชะงักเพราะคำว่าวันเกิด เขายื่นมือออกไปอย่างเสียมิได้ พี่ชาหันมามองนายด้วยสายตาเศร้า ซึ่งเขาไม่รู้ว่านั่นหมายความว่าอะไร แต่ที่รู้ๆ คือเขานี่แย่ชะมัด ไม่รักษาน้ำใจของพี่ชาเอาซะเลย แสดงท่าทีเย็นชาใส่ทั้งๆ ที่รุ่นพี่คนนี้จำวันเกิดของเขาได้ทุกปี



                “ก็ได้พี่”



                “มึงเป็นอะไรไอ้สัด” ท้ายประโยค ชาพูดด้วยเสียงยานคาง ประกอบกับหน้าแดงๆ ทำให้นายรู้ว่าคนที่มาพร้อมกับถุงร้านสะดวกซื้อคนนี้คงจะดื่มมาก่อนหน้านี้แล้ว



                “ไม่ได้เป็นอะไรครับ แต่ขอบคุณว่ะพี่...ที่นึกถึงผม”



                “หึ กูก็นึกถึงมึงตลอดแหละ มีแต่มึงที่นึกถึงแต่ไอ้...” พี่ชาพลิกตัวเท้าศอกทั้งสองข้างระเบียงเก่าๆ หันหน้าเข้ามามองผ้าม่านสีเทาที่ไหวเพราะแรงลม



                “อะไรนะพี่”



                “ช่างเหอะ เออ กูมีเค้กให้มึงด้วยนะ ซื้อที่เซเว่นว่ะ” พี่ชายิ้มมุมปากแล้วเดินนำเขาเข้ามาในห้อง



                “พี่ชา จริงๆ ไม่ต้องก็ได้นะพี่” เขาแปลกใจเล็กน้อย โตจนป่านนี้แล้ว นายไม่ต้องการเค้กเหมือนเด็กๆ อีกแล้ว แต่ดูเหมือนว่าพี่ชาจะไม่คิดแบบนั้น



                “เหอะน่า... วันเกิดมึงทั้งทีจะมาอยู่ในห้องเงียบๆ คนเดียวได้ไงวะ” พี่ชาเอ่ยพลางมองเขานิ่ง ทั้งเขาและพี่ชานั่งอยู่บนโซฟาแคบๆ สองที่นั่ง รุ่นพี่ตัวสูงเกือบเท่าเขายกกระป๋องเบียร์ขึ้นมาดื่ม นายได้ยินเสียงน้ำเหลือก้นกระป๋องเล็กน้อย คงเป็นเพราะพี่ชายกดื่มจนเกือบหมด รุ่นพี่คณะวางลงกระป๋องเบียร์บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาก่อนจะจัดการกับถุงพลาสติกข้างๆ กัน



                และเพราะนั่งตรงนี้ นายถึงเห็นนาฬิกากลางห้องชัดเจน



                ....สองทุ่ม? พี่ปั้น!?!...



                นายตกใจจนเกือบจะลุกพรวดแต่คนข้างๆ กดบ่าเขาไว้อย่างรวดเร็วเช่นกัน และตอนนั้นเองเขาถึงรู้ว่า เปลวไฟจากเทียนเล่มเล็กๆ อยู่ตรงหน้าเขานี่เอง



                “เป่าเทียน อึก มึงเป่าเทียนสิ”



                “พี่เมาแล้วนะ”



                “กูไม่ได้...เมา ไอ้ห่า เบียร์สี่ห้ากระป๋องทำอะไรกูไม่ได้หรอก เร็วววว เป่า! เทียนหยดลงเค้กหมดแล้วเนี่ย” พี่ชาถือเค้กไว้บนฝ่ามือซ้ายที่เริ่มโงนเงนไปมาเล็กน้อย ส่วนมือขวาก็จับไหล่เขาแน่น แสงไฟสะท้อนอยู่ในตาของเขาและพี่ชาไหวไปมา นายพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว



                “มองทำไมเป่าดิวะ อ๋อ เออ...กูลืมร้องเพลง ทำไมไอ้เอ็มเจกับไอ้แดมไม่เห็นมาร้องเพลงเลย กูร้องเองก็ได้ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทู้ยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทู้ยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู้..ยู....”



                เขามองหน้าพี่ชานิ่งตัดสินใจพูดออกมาแม้จะรู้ว่ามันฟังดูแย่



                “พี่ชา...ผมขอโทษ ผมต้องไป” ในหัวเขามีแต่หน้าพี่ปั้นเต็มไปหมด เขาต้องไปหาพี่ปั้นตอนนี้ เวลานี้ นายหวังว่ารุ่นพี่จะเข้าใจ



                แต่ว่าพี่ชากลับไม่เข้าใจ...



                “ทำไมวะ มึงจะไปหาปั้นหรือไง!” รุ่นพี่ตะโกนลั่น เค้กที่อยู่บนฝ่ามือตกลงบนพื้น จนเปลวไฟที่โดนแรงของกระแทกจากเค้กดับลง เขาหันไปมองหน้าพี่ชาด้วยความตกใจแล้วพบว่าพี่ชากัดริมฝีปากคล้ายกับว่ากลั้นความรู้สึกบางอย่างอยู่



                “ผมขอโทษจริงๆ พี่” นายเข้าใจเมื่อกี้นี้เอง... ว่าสายตาของพี่ชาหมายถึงอะไร เขารีบลุกขึ้นยืนคว้ากุญแจรถบนโต๊ะ พลางมองซ้ายขวาหาโทรศัพท์ของตัวเอง



                “หาไอ้นี่หรอ” พี่ชาชูมือถือของเขาขึ้น รุ่นพี่มองหน้าจอสีดำสนิทแล้วแค่นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะพูดเสียงเบา “มันไม่มาหรอก”



                “ขอให้ผมเถอะครับ ผมเป็นห่วงพี่ปั้น”



                ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาหลีกเลี่ยงการเอ่ยชื่อพี่ปั้นต่อหน้าพี่ชา เขาไม่อยากมองพี่ชาแย่ไปกว่านี้เพราะรู้เรื่องการกระทำในอดีต นายบอกตัวเองเสมอว่ามันไม่เกี่ยวกัน เพราะพี่ชาก็เป็นรุ่นพี่ที่ดีสำหรับเขาและเพื่อน แต่ครั้งนี้ไม่ไหวจริงๆ เขาเป็นห่วงพี่ปั้นจนแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว



                 “ห่วงปั้น? กูไม่เข้าใจทำไมมึงถึงชอบวิ่งตามคนที่ไม่สนใจใครอย่างมันด้วยวะ”



                “ขอ ให้ ผม ” นายกัดฟันพร้อมกับกำหมัดแน่นทันที แค่ได้ฟังประโยคนั้นนายจึงรู้สึกถึงความโกรธของตัวเองที่สูงขึ้น พี่ชาไม่มีสิทธิ์ว่าพี่ปั้น พี่ชาไม่เคยสัมผัส ไม่เคยเห็นตัวจริงของพี่ปั้นเลยแม้แต่น้อย มีแต่พี่ชาที่คอยทำร้ายความรู้สึกพี่ปั้นซ้ำๆ



                “มึงโกรธหรอ หึ ใช่สิ ก็กูไม่ใช่ปั้นนี่นะ อึก” พี่ชาที่อยู่ตรงหน้าไม่เหมือนคนที่เขาเคยรู้จัก แววตาสีน้ำตาลดูตัดพ้อผสมน้อยใจยามเมื่อจ้องมองเขา



                “พอเถอะพี่ชา” เขาข่มความรู้สึกไว้ข้างใน เผลอกำหมัดแน่นขึ้นเพื่อระบายอารมณ์ แม้ว่าจะเป็นห่วงพี่ปั้น แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากให้พี่ชาคิดอะไรไปมากกว่านี้แล้วเช่นกัน



                “พี่เมามากแล้ว พี่จะอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่ผมจะต้องออกไปหา...”



                “กูไม่ได้เมา! มึงจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!” ไม่ทันได้พูดจนจบ พี่ชาก็ตรงเข้ามากระชากคอเสื้อเขา ใบหน้าและแววตาแดงก่ำ พี่ชาแรงเยอะพอสมควรทั้งๆ ที่ขาทั้งสองข้างเริ่มจะทรงตัวไม่อยู่แล้วแท้ๆ นายจับข้อมือของรุ่นพี่ตัวเองไว้แน่น เป็นการบอกกลายๆ ว่าเขาจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว และนั่นเองทำให้ชานนท์เกร็งตัวอย่างโกรธจัด



                ...กูก็ไม่อยากเสแสร้งอีกต่อไปแล้วเหมือนกัน!...



                “ทำไม! กูแตะต้องไม่ได้เลยหรอวะ  กูจะบอกให้มึงตาสว่างนะว่าไอ้คนนั้นของมึงน่ะมันไม่ได้ใส่ใจมึงเลยซักนิด”



                “พอเถอะพี่ชา”



                “หึ คนอย่างมันนะ..คนที่มึงชอบน่ะมันก็แค่ไอ้ขี้ขลาดเท่านั้นแหละ”



                “บอกให้หยุดพูดไงวะ!!”



                “กูไม่หยุด! ไอ้ปั้นมันเห็นแก่ตัว กูถามหน่อยมันชอบมึงบ้างรึยังหรือปล่อยให้มึงตามดูแลแบบนี้!”



                “พี่ปั้นจะรู้สึกยังไงกับผมแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่วะ!!” นายตะโกนลั่น มือทั้งสองข้างบีบข้อมือชานนท์แน่น ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองหลงรักพี่ปั้น เขาไม่เคยคิดเรียกร้องอะไร เพราะพี่ปั้นคือคนสำคัญ จะไหนฐานะอะไร หรือต้องรอนานแค่ไหนเขาก็ยอมทั้งนั้น



                “อึก ก็เพราะ เพราะกูเป็นพี่มึงไง! แม่ง...เพราะคนที่อยู่ข้างๆ มึงก็คือกู แต่มึงไม่เคยรู้อะไรเลย! แค่กูที่มาก่อน...ไม่ใช่ไอ้ปั้น ฮึก ทำไมต้องเป็นมัน...ทำไมไม่ใช่กูที่ชอบมึงมาตลอ...” พี่ชาตะโกนลั่นไม่แพ้กัน มือที่จับคอเสื้อเขาเริ่มสั่น และไร้เรี่ยวแรง พอๆ กับน้ำเสียงของชานนท์ที่เริ่มขาดห้วง พี่ชาซบหน้ากับไหล่ของเขา นายยืนนิ่ง ทุกอย่างในสมองเริ่มสับสน เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายที่ออกมาจากปากพี่ชาอย่างแผ่วเบา ภาพเก่าๆ ก็ฉายซ้ำในความทรงจำ ...พี่ชา...รุ่นพี่ที่ดูแลเขา คอยช่วยเหลือตลอดมา...



                “อย่าชอบผมเลย” ...อย่าชอบเขาเลย ความรักทั้งหมดเขามีไว้ให้คนๆ เดียวไปแล้ว... นายเอ่ยคำขอของเขาออกมาอย่างยากลำบาก เขาไม่อยากให้ความสัมพันธ์พี่น้องต้องจบลงแบบนี้ เขามองหน้ารุ่นพี่ด้วยความเห็นใจแต่เพราะความรู้สึกเป็นสิ่งบังคับใครไม่ได้ พี่ชาชะงัก แววตาฉายแววตกใจแวบหนึ่ง ก่อนเงยหน้ามามองเขาด้วยสีหน้าเจ็บปวด



                “กูชอบมึง” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินคำขอของรุ่นน้อง “...ถึงมึง อึก จะพูดยังไงก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้” ชานนท์เม้มริมฝีปากแน่น ในใจเขาร้าวไปหมดเมื่อเห็นสายตาที่นายมองมาที่เขา ชานนท์รู้ว่าทันทีที่เขาพูดสามคำสั้นๆ นี้ออกไปสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้คือนายไม่ได้คิดกับเขาเหมือนที่เขาคิดกับนาย



                ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือฤทธิ์ความเสียใจกันแน่ที่ทำให้ชานนท์เก็บความรู้สึกต่อไปไม่ไหว



                “กูชอบมึง!!” ชานนท์พูดจนแทบเป็นเสียงตะโกน ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขารู้ดีว่าการปฏิเสธที่เจ็บปวดกำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า...แต่เขาอยากลองเสี่ยง



                คนตรงหน้าเขายืนนิ่ง



                และหลังจากนั้นคำตอบที่ชัดเจนดังก้องในห้องแคบๆ นี้



                 “ผมขอโทษ...นอกจากพี่ปั้นแล้วผมคงไม่รักใครอีก”



                เขารู้ว่ามันฟังดูโหดร้าย แต่ถึงอย่างนั้น...



                กึก! กึก กึก



                จู่ๆ ก็มีเสียงบางอย่างชนกับประตูห้อง นายหันขวับไปที่หน้าประตูทันที ...พี่ปั้น!?... เขาขยับตัวเพียงเล็กน้อย พี่ชาก็ปล่อยมือที่จับเสื้อเขาไว้คล้ายหมดเรี่ยวแรง เขาเอ่ยขอโทษอีกครั้งแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปกระชากประตูอย่างแรง



                ...ที่ตรงนั้นไม่มีใครเลย... มีเพียงถุงกระดาษที่บรรจุกล่องข้าวห่อไข่กับขวดโหลที่เต็มไปด้วยกระดาษรูปดาวห้อยอยู่ตรงลูกบิดประตู



                เพียงเท่านั้นหัวใจเขาก็ถูกบีบรัดอย่างรุนแรง



                “พี่ปั้น!” เขาตะโกนอย่างร้อนรน คว้าถุงนั้นแล้วก้าวขาไปด้านหน้า



                จากนั้นก็เริ่มออกวิ่ง…

 

                สายลมจากระเบียงที่เปิดไว้พัดเข้ามาในห้องเอื่อยๆ ชานนท์ค่อยๆ ทิ้งตัวนอนแผ่บนพื้นกระเบื้องเย็นๆ ในห้องของรุ่นน้องที่เขาก็แทบไม่รู้ตัวว่าความรู้สึกดีๆ ที่เขามีให้เปลี่ยนเป็นชอบตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาหันมองก้อนเค้กที่ถูกทิ้งให้เย็นชืดหมดความหวานอยู่ตรงนั้น เทียนวันเกิดตรงกลางจมหายไปกับเนื้อเค้กเหมือนกับใจเขา

 

               “ถ้ากูบอกมึงเร็วกว่านี้ อึก...คนที่มึงรอ...”



                ในห้องที่เงียบสนิทไม่มีคำตอบให้เขา ชานนท์ยิ้มแล้วมองเค้กก้อนนั้น



                “...จะเป็นกูบ้างได้ไหมวะ”

 









                ตุบ! ตุบ! ตุบ!

 

               นายวิ่งมาตามโถงทางเดินชั้นหนึ่งของหอพักก่อนจะวิ่งผ่านลุงยามที่เอาแต่จ้องโทรศัพท์มายังลานจอดรถ เสียงฝีเท้าและเสียงหัวใจเต้นดังผสานกัน ระหว่างทางไม่มีวินาทีไหนเลยที่เขาจะไม่มองหาพี่ปั้น แต่ว่าทำไม ทั้งๆ ที่ห่างกันไม่กี่นาทีแต่ที่นี่กลับ...



                ...ไม่มี

                ไม่มีพี่ปั้น...



                “พี่ปั้น!”



                 นายวิ่งหาจนทั่ว เขาควานหาโทรศัพท์ทั่วกระเป๋ากางเกง แล้วก็พบว่าพี่ชายังไม่ได้คืนให้แก่เขา เขาเท้าเอวด้วยมือซ้าย อกกระเพื่อมด้วยความเหนื่อยหอบ สมองขาวโพลนขณะเดียวกันหัวใจก็วูบโหวงอย่างหาสาเหตุไม่ได้



                “อยู่ไหน พี่ปั้นอยู่ที่ไหนครับ”



                นายพึมพำพลางกวาดสายตาไปรอบๆ เขากลับมายืนตรงหน้าหอพักอีกครั้ง เขามั่นใจว่าพี่ปั้นยังไม่ได้ไปไหนไกล แต่เมื่อมองรอบๆ แล้วไม่พบใครเลย นายกำหมัดแน่นระบายอารมณ์อีกครั้งหนึ่งก่อนจะหมุนตัวกลับไปที่ลุงยามเพื่อขอยืมโทรศัพท์ แต่แล้วหางตาก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งที่นั่งกอดเข่าอยู่บนชิงช้าขึ้นสนิมข้างหอพัก ข้างๆ กันเป็นกระถางต้นไม้ใหญ่ที่เกือบจะบังร่างคนๆ นั้นจนมิด



                นายรู้สึกร้อนที่กระบอกตา เมื่อพี่ปั้นเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา แววตาเศร้าสร้อยที่มองมาทำให้เขาหายใจไม่ออก เขาเห็นแค่นั้นจึงได้แต่เรียกชื่ออีกคนด้วยเสียงแผ่วเบาเท่านั้นเอง



                “พี่ปั้น...”

               







                เอี๊ยด อ๊าด เอี๊ยด อ๊าด



                ผ่านมากว่าสิบนาทีที่พี่ปั้นไม่พูดอะไรเลย และเขาก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ดูเหมือนว่าพี่ปั้นมีหลายเรื่องให้คิด นายลอบมองพี่ปั้นด้วยความกลัว กลัวว่าเอ่ยคำใดซักคำ พี่ปั้นจะหายไป...จากเขา



                “ขอโทษนะครับพี่ปั้น” เขาเอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงชิงช้าไหว ...เป็นเพราะเขาทนไม่ไหวอีกต่อไป และนั่นทำให้คนข้างๆ หันหน้ามามองเขาอย่างแปลกใจ



                “ขอโทษเราทำไม”



                “ผมเสียใจ แค่ปกป้องพี่ปั้นจากคำพูดคนอื่นยังทำไม่ได้เลย” เขาเชื่อว่าพี่ปั้นได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น พี่ปั้นถึงได้นิ่งไปแบบนี้ แววตาของพี่ปั้นเหมือนกับวันที่ได้เจอพี่ชาอีกครั้ง



                “เราต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องขอโทษ เราเห็นแก่ตัวจริงๆ นั่นแหละ ไม่แปลกที่ชานนท์จะพูดแบบนั้น” ข้าวปั้นในตอนนี้สับสนเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา กี่ครั้งแล้วที่คำพูดและการกระทำของชานนท์มักจะทำร้ายเขาเสมอไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง



                “พี่ปั้น! อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว” นายเผลอพูดเสียงดัง แต่ถึงอย่างนั้นพี่ปั้นเห็นแล้วก็ยิ้มบางๆ เป็นยิ้มที่ทำให้หัวใจของเขาชาวาบ



                “เราไม่เป็นไร”



                “พี่ปั้น...”



                หยดน้ำตาร่วงผล็อยยามเมื่อเขายื่นมือไปกุมหน้าพี่ปั้นไว้ น้ำตาของพี่ปั้นหยดลงบนหลังมือ มันร้อนซึมเข้าไปในใจของเขา นายทนเห็นพี่ปั้นร้องไห้ไม่ได้ เขาจึงรั้งต้นคอพี่ปั้นให้ซบกับบ่าตัวเอง



                “พี่ปั้นไม่ได้เห็นแก่ตัว แต่เป็นผมเองที่ยืนยันที่จะรอ ผมรอได้ครับ พี่ปั้นไม่ต้องรีบ ผมบอกแล้วไงครับกว่าจะถึงวันนั้นผมจะเป็นคนที่ชอบพี่ปั้นซ้ำๆ เอง พี่ปั้นเป็นพี่ปั้น ผมก็เป็นผมเหมือนเดิม...”



                พี่ปั้นปล่อยให้น้ำตาไหลบนบ่าเขาเงียบๆ พี่ปั้นผละออกจากกอดก่อนจะเงยหน้าสบตาเขา



                “นายรู้ไหม...เพราะนายเป็นแบบนี้ บางทีเราก็ชะล่าใจ นึกชอบความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนแบบนี้  แต่มาวันนี้... ตอนที่ชานนท์บอกชอบนาย เราถึงรู้สึกตัว นายไม่จำเป็นต้องรอคนขี้ขลาดอย่างเราเลย นายจะไม่รอเราแล้วก็ได้...อุ๊บ”



                เขาโกรธและอยากลงโทษพี่ปั้นทันทีที่ได้ยินคำนั้น ไวเท่าความคิดนายยื่นมือไปยึดท้ายทอยพี่ปั้นไว้ เอียงหน้าแล้วทาบริมฝีปากลงบนกลีบปากสีแดงนั้นอย่างรวดเร็ว พี่ปั้นยกมือดันหน้าอกของเขา และไม่นานมือทั้งสองข้างก็เปลี่ยนมาจับเสื้อเขาแทน



                “อย่าพูดทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจสิครับ ผมเจ็บนะ” นายกระซิบชิดริมฝีปากพี่ปั้นหลังจากถอนจูบ ดวงตาโตช้ำของข้าวปั้นสั่นไหวเมื่อได้ยินคำว่าเจ็บ



                “เราขอโทษ...”



                ทั้งนายและข้าวปั้นสบตากันอยู่แบบนั้น เพราะไม่เหลือใคร นายถึงกลัวว่าพี่ปั้นจะปล่อยมือจากเขา เขารู้สึกได้ว่าที่ผ่านมาพี่ปั้นหวั่นไหวกับเขา พี่ปั้นเปิดใจให้เขากว่าใครคนอื่น มีเขาคนเดียวที่เห็นพี่ปั้นแบบที่คนอื่นไม่เห็น ทุกอย่างทำให้เขามั่นใจ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...ตอนนี้เขากลับเริ่มกลัวซะแล้ว



                “พี่ปั้นครับ อย่าผลักไสผมเลย” นายไม่รู้ตัวเลยว่าเขาอ้อนวอนอีกคนผ่านสีหน้าแบบไหน และกลายเป็นนายเองที่โถมตัวกอดข้าวปั้นแน่น เขาปฏิเสธพี่ชาอย่างไร้เยื่อใยแต่กลับขอร้องความรักจากพี่ปั้น



                “นาย...”



                เขากอดพี่ปั้นแน่นขึ้น “ถ้าพี่ปั้นไม่ต้องการให้ผมอยู่ใกล้ๆ พี่ปั้นแล้วจริงๆ ผมจะไปเอง”



                “...”



                “คนอื่นจะคิดยังไงกับผมก็ช่าง แต่ผมมีแค่พี่ปั้นคนเดียว อยากดูแลพี่ปั้นแค่คนเดียว ให้ผมรอพี่ปั้นนะครับ” เป็นเขาบ้างที่อยากจะเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตัวเอง ไม่สนใจหน้าไหนทั้งนั้นนอกจากพี่ปั้นอย่างที่พูด



                “นายทำให้เรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวมากขึ้นนะรู้ไหม” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ฝ่ามือที่เล็กกว่ายกขึ้นมากอดปลอบเขาเบาๆ เขาจึงตอบกลับไปด้วยเสียงหนักแน่น



                “ถ้าอย่างนั้น...ผมยอม”



                เนิ่นนานทีเดียวที่พี่ปั้นและเขากอดซับความรู้สึกกันอยู่แบบนั้น ข้างๆ หอพักในเวลานี้เงียบสนิท มีเพียงเสียงรถราจากถนนข้างนอกกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดของชิงช้าเท่านั้น



                “นาย” ข้าวปั้นเรียกอีกคน ขณะผละออกจากอ้อมกอดของนายอีกครั้ง แววตาแน่วแน่ของพี่ปั้นพาลให้ใจเขากระตุบวูบ หรือว่านี่จะเป็นกอดสุดท้ายจากพี่ปั้น



                เขาหยุดความคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ เขาพาลโกรธตัวเองที่ไม่รีบออกไปหาพี่ปั้น เขาพาลโกรธพี่ชาที่ทำให้เรื่องยุ่งยากไปใหญ่ เขาพาลโกรธทุกอย่างที่ทำให้พี่ปั้นจะไปจากเขา



                “สุขสันต์วันเกิดนะ ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่นายที่ทำให้นายเกิดมาบนโลกใบนี้”



                พี่ปั้นยิ้ม... แสงไฟนีออนข้างทางสาดแสงเข้ามาจนเขาเห็นเพียงเสี้ยวรอยยิ้มพี่ปั้นเท่านั้น นายชะงักพร้อมกับดวงตาที่สั่นไหว พี่ปั้นรู้...



                “...”



                “เราทำข้าวห่อไข่มาแล้วแต่มันคงเย็นหมด เรารีบมากแต่รถติดเกินไป เพราะว่าเป็นวันสำคัญของนาย เราพยายามแล้วแต่ก็มาช้าจนได้ แย่จังเนอะ”



                ...ไม่ครับ ไม่เลย...



                นายพูดในใจ เขาปิดกลั้นอารมณ์กลัวที่พุ่งทะยานของตัวเอง



                “เราพูดไม่ค่อยเก่ง ทำอะไรก็ไม่เก่ง แต่ขอบคุณนะ...เวลาอยู่กับนายเราก็เป็นตัวเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”



                “...”



                “เราตั้งใจมาที่นี่เพื่อบอกกับนายว่า...”



                ดวงตาแดงช้ำของคนพูดมองมาที่เขาด้วยความมั่นคง และซื่อตรงแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน หัวใจของเขาแทบหยุดเต้นราวกับลูกตุ้มนาฬิกาบนหอคอยสูงที่หยุดเคลื่อนไหว



                “เราชอบนายมาแล้วหนึ่งพันครั้ง”



                “...”



                วินาทีนั้นเองลูกตุ้มนาฬิกาบนหอคอยสูงแกว่งไปมาอีกครั้ง เสียงของของมันดังเหง่งหง่างกังวานใสในใจของเขา







------
คิดถึงทุกคนมากค่ะ
ตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ ส่วนเราคิดมากกว่าจะลงประหนึ่งคนบ้า
มาบอกความรู้สึกกันได้ที่ แท็ก #เรากับเขา
ปล.เพจเฟซบุ๊กพึ่งตัดสินใจทำค่ะ เสิร์ชJaevin ก็จะพบกัน มาเป็นคนเเรกของเพจกันค่ะ 55
ปล.สองขอฝากพื้นที่บอกว่าใครที่รอน้องเขากับคุณชาย รอเราก่อนนะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 17 : เขา...กับคำสารภาพสีขาว P.8 [21/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-04-2018 23:31:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 17 : เขา...กับคำสารภาพสีขาว P.8 [21/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 22-04-2018 00:45:02
พีคอ่ะที่ชาชอบนาย ถ้าในมุมของชาก็เจ็บปวดนะรักเค้าแต่เค้ารักคนอื่น
แต่นั่นแหละความรักมันบังคับกันไม่ได้ อีกอย่างชาเลิกว่าปั้นได้แล้ววววววว  :katai1:

พี่ปั้นบอกชอบนายแล้ว ประทับใจพี่ปั้น
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 17 : เขา...กับคำสารภาพสีขาว P.8 [21/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 22-04-2018 07:16:51
พี่ปั้นบอกน้องแล้วดีใจแทนปั้นปอบสงสารชานนท์แต่ไม่รักคือไม่รักถึงจะบอกช้าเร็วแค่ไหนก็คือไม่รักเปิดใจมองคนอื่นนะชานนท์อย่าว่าปั้นและอย่าสร้างปัญหาให้เขาสองคน
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 17 : เขา...กับคำสารภาพสีขาว P.8 [21/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 22-04-2018 11:57:05
ฮรืออ ดีใจแทนนายเลยอ่ะ นายไม่ต้องรอแล้วนะ พี่ปั้นเตียมใจนายแค่ไหนเนี่ยกว่าจะบอกชอบได้ และสุดท้ายพี่ปั้นยังน่ารักน่าบีบเหมือนเดิมเลย
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 17 : เขา...กับคำสารภาพสีขาว P.8 [21/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-04-2018 13:07:55
 :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 17 : เขา...กับคำสารภาพสีขาว P.8 [21/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-04-2018 17:47:14
 :z3:



แอร้ยยยยยยยยย ชอบๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 17 : เขา...กับคำสารภาพสีขาว P.8 [21/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 22-04-2018 19:15:08
จะคนมาก่อนมาหลัง คนไม่ใช่ยังไงมันก็ไม่ใช่หรอกนะพี่ชา ทำใจเหอะ
ดูเหมือนจะมีคนเป็นลม ยาดมไหมน้องนาย 5555
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 17 : เขา...กับคำสารภาพสีขาว P.8 [21/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-04-2018 20:45:44
พีคตรงพี่ชานี่แหล่ะ  :a5:

ชอบคำสารภาพรักของพี่ปั่นจังงงง พับดาวมาด้วย น่ารักจังเลยค่าา อยากจับกิน นุ่มนิ่มมากๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 17 : เขา...กับคำสารภาพสีขาว P.8 [21/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: por_pla4u ที่ 24-04-2018 21:01:01
อะไรอ่ะนายชานนท์ มาแรงแซงโค้งกันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 17 : เขา...กับคำสารภาพสีขาว P.8 [21/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 26-04-2018 23:39:54
หนึ่งพันครั้งแล้วหรอ

โคตรโรแมนติก,,,
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 18 : เรา...กับความชอบครั้งที่หนึ่งพัน... P.9 [7/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 07-06-2018 22:23:03
ไหนใครคิดถึงขอให้ยกมือขึ้น

Act 18 : เรา...กับความชอบครั้งที่หนึ่งพัน...



                ตั้งแต่เด็ก แม่มักจะหาความชอบให้เราเสมอ อาจเป็นเพราะเราไม่กล้าแสดงออก อยู่คนเดียวเงียบๆ แม่จึงกังวลเป็นพิเศษ เราไม่เคยคิดว่าการไม่มีความสนใจในสิ่งใดๆ จะสร้างปัญหาให้กับเรา

 

               จนกระทั่งวันหนึ่ง…มันเกิดปัญหาขึ้นมา



                “ปั้นชอบอะไรล่ะลูก”



                เราสามคนพ่อแม่ลูกนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะอาหาร นี่ไม่ใช่การล้อมวงทานมื้อเย็นแต่อย่างใด เพราะบนโต๊ะมีแต่เอกสารเต็มไปหมด แต่มีอยู่หนึ่งแผ่นที่วางอยู่ตรงกลางโต๊ะ และดูเหมือนว่าจะเป็นเอกสารเจ้าปัญหาที่เร่งรัดการตัดสินใจของเราในเวลาอันสั้นนี้



               ‘เอกสารเลือกแผนการเรียน’



                “ชอบวิทย์ไหม” พ่อเอ่ยถาม



                เราส่ายหน้าพลางมองเกรดวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในระดับกลางๆ ของตนเอง



                “ชอบศิลปะไหมลูก” แม่เอ่ยถาม



                เราส่ายหน้าพลางมองเกรดศิลปะที่ต่ำลงกว่านั้น



                ...ความถนัดเป็นศูนย์...



                “ปั้นไม่มีความชอบ” เราสบตาแม่ด้วยอาการคิดไม่ตก



                “มีสิลูก” แม่รีบพูดก่อนจะย้ายมานั่งข้างๆ เรา แม่ลูบไหล่เราก่อนจะพร้อมกับพูดไปด้วย “คนเราน่ะจะต้องมีความชอบ ความสนใจอยู่อย่างหนึ่งนั่นแหละ”



                “ปั้นเคยชอบวิทย์แต่พอนานๆ เข้าปั้นก็ไม่ชอบมัน”



                แม่ยิ้มบาง ในขณะที่พ่อส่งยิ้มให้กำลังใจมาให้เรา



                “ปั้นเคยชอบศิลปะ ปั้นมองแล้วรู้สึกดีแต่พอมองอีกครั้งปั้นก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น ปั้นคงไม่มีสิ่งที่ชอบ” เราเอ่ยพลางมองรายละเอียดของแต่ละแผนการเรียน และประโยคต่อมาของแม่ทำให้เราเงยหน้าขึ้นอย่างสนใจ



                “ปั้นก็เจอความชอบของตัวเองซักวันหนึ่งเองนั่นแหละลูก” มือของแม่ลูบหัวเราประกอบการพูด และเป็นเพราะเราไม่เข้าใจ แม่จึงอธิบายต่อมา



                “เป็นสิ่งที่ทำให้ปั้นต้องรู้สึกชอบถึงหนึ่งพันครั้ง”



                “...”



                “และครั้งที่หนึ่งพันหนึ่ง ความชอบนั้นจะเป็นตกหลุมรักมันอย่างสมบูรณ์เลยล่ะลูก”



                “...หรอครับ”



                เรามองแม่ที่สบตาพ่อแล้วยิ้มกว้างอย่างไม่เข้าใจนัก



                ...รู้สึกชอบถึงหนึ่งพันครั้งงั้นหรอ...

 







                “หยุดยิ้มได้ไหม” เรามองคนที่นั่งข้างๆ ตาขวาง แกล้งถลึงตาทำเป็นดุเพื่อปกปิดความอายที่แล่นริ้วทั่วใบหน้า



                “เอ้า คนยิ้มก็ผิด”



                “ใช่ ผิดมากด้วย”



                นายพาเรามาส่งที่บ้าน เพราะว่ายังไม่ได้ฉลองวันเกิดของเขา เราจึงชวนเขาเข้ามานั่งด้านใน นายถือถุงกระดาษที่เราให้ตามเข้ามาเหมือนเด็กๆ ก่อนจะเอ่ยปากชวนเรากินข้าวห่อไข่ที่เย็นชืด ตอนที่เขาตักข้าวขึ้นมากินด้วยตาแดงๆ นั่นทำให้เรารู้สึกสงสารจับใจ แม่ที่ขึ้นนอนไปแล้วได้ยินเสียงรถจึงเดินลงมา พอเห็นว่าเป็นวันเกิดนาย แม่ก็เข้ามากอดและอวยพรวันเกิดให้เขาก่อนจะขึ้นขอตัวไปนอน ช่วงเวลานั้นเราเห็นเขาน้ำตาซึมขณะที่กอดตอบแม่เราด้วย



                และตอนนี้เราทั้งสองคนนั่งอยู่ห้องนั่งเล่นกลางบ้าน เราดูทีวี ส่วนเขาก็...



                “พี่ปั้น โรแมนติกนะเนี่ย” นายยกขวดโหลขึ้นมาด้วยมือขวา ท่าทางของเขากลบความปลื้มใจไม่มิด เราเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก



                “อะ...อะไรเล่า” ก็นั่นเป็นสิ่งที่คนไม่พูดไม่เก่งอย่างเราทำได้นี่นา



                “ทำไมถึงเป็นรูปดาวครับ” เขาถามด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มขณะที่หยิบดาวออกมาจากขวดโหลสองสามดวง



                “เพราะเราพับดาวสวยที่สุด”



                “โห แค่เนี้ย ถ้าพี่ปั้นพับรูปกบสวยที่สุดคงมีแต่กบเต็มขวดโหลให้ผมใช่ไหมครับ” นายพูดขำๆ แต่แววตากลับไปเต็มไปด้วยความสุข



                “อื้ม”



                “ว่าแต่ในนี้มีดาวกี่ดวงครับ ถึง...หนึ่งพันไหมครับ”



                เราย่นจมูกไม่ได้ตอบอะไร รู้ว่านายแกล้งถามเพราะคำสารภาพของเราเมื่อค่ำ ดวงตาเขาเป็นประกายวิบวับอยู่ตลอดเวลา



                “ไม่ถึงหรอครับ เสียใจจัง” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่นายก็นั่งยิ้มมองดาวเล็กๆ บนฝ่ามือตัวเองไม่หยุด เราซึ่งเป็นคนให้ก็อดรู้สึกดีไม่ได้ จะว่าไปก็...



                “นาย”



                “ครับ” เขาละสายตาจากดาวที่อยู่ในมือก่อนเงยหน้ามาตามเสียงเรียก



                “จริงๆ ในนี้น่ะมีดา...”



                “ครับ?”



                จู่ๆ ก็เหมือนทั้งโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ เราเม้มปากขณะที่มองเห็นหน้าตัวเองสะท้อนในแววตาของเขา ในนั้นเราเห็นตัวเองชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่าแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นโอบล้อมเราทั้งคู่ให้เคลื่อนตัวเข้าหากันอย่างช้าๆ จนทำให้เราลืมเรื่องที่จะพูดไปเสียสนิท



                เรารู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่พัดผ่านปลายจมูก สัมผัสนุ่นหยุ่นเฉียดผิวแก้มเราไปแผ่วเบา และก่อนที่อะไรๆ จะเข้าใกล้กันไปมากกว่านี้...



                ครืดดดด!



                เฮือก!



                เราตกใจเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะไม้หน้าทีวีจนเผลอผลักอกเขาออกไปอย่างรวดเร็ว นายเองก็มีสีหน้าตกใจอยู่วูบหนึ่ง จากนั้นเราก็ได้ยินเสียงจิ๊เล็กๆ จากปากเขาก่อนที่เขาจะกดรับสาย



                อ่า...เราไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้นสถานการณ์เมื่อกี้มันล่อแหลมเกินไป อยากจะยกมือกุมใจตัวเองให้หยุดส่งเสียงดังได้แล้วแต่ก็ทำได้เพียงก้มมองปลายเท้าตัวเองอยู่แบบนั้น ไม่ได้เห็นว่าคนที่โทรศัพท์อยู่นั้นมองเราไม่วางตา



                “ว่าไง”



                (อยู่ไหนวะ)



                สาบานว่าเราไม่ได้แอบฟังเลย ก็เสียงเอ็มเจดังลอดออกมาจากสายชัดเจนขนาดนั้น



                “บ้านพี่ปั้น”



                (เออ กูไปส่งมาแล้วนะเว้ย พี่ชาแม่งไม่พูดอะไรเลยว่ะ)



                “ขอบใจว่ะเอ็มเจ”



                (เดี๋ยวไอ้นาย..)



                “หือ”



                (กู...ถามจริงๆ เถอะ มึงกับพี่ชา...เกิดอะไรขึ้นวะ)



                เราชะงักเพราะได้ยินชื่ออีกคนออกมาจากปลายสาย เรื่องราวที่หายไปครู่หนึ่งกลับเข้ามาในสมอง นี่...เราลืมไปได้ยังไง ชานนท์ยังอยู่ที่นั่น พวกเราทิ้งอีกคนที่เสียใจไว้เบื้องหลัง



                “ไว้ค่อยคุย”



                เรามองปลายเท้าของตัวเอง และคิดเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาในวันนี้



                “พี่ปั้น..”



                “หือ?”เราหันไปตามเสียงเรียกอย่างช้าๆ อีกคนมีสีหน้าเป็นกังวลส่งมาให้



                “ชานนท์เป็นยังไงบ้าง” เราเอ่ยถาม พอจะเข้าใจว่าทำไมนายถึงต้องทำแบบนั้น เราเข้าใจดี...การที่เราจะต้องประคับประคองความรู้สึกของอีกคนไม่ให้กระทบกับความสัมพันธ์ที่ผ่านมา เรื่องพวกนี้แทรกซึมอยู่ในตัวของคนทุกคนจนบางครั้งเราก็ลืมที่จะคิดถึงความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองไป



                “เพราะพี่ชานนท์เป็นเหมือนพี่ชายผมถึงทิ้งเขาไว้ไม่ได้ ขอโทษนะครับ”



                น่าแปลกที่หลังจากวางสาย บรรยากาศรอบตัวกลับเปลี่ยนไปซะอย่างนั้น คล้ายกับว่ามีเราทั้งคู่หลุดเข้าไปอยู่ในบอลลูนยักษ์ที่มีแต่ความอึมครึมชวนให้รู้สึกอึดอัด



                “นายจะขอโทษเราทำไม นายทำดีแล้ว ถ้าชานนท์ทำอะไรไม่คิดขึ้นมาคงไม่ดีแน่ๆ” ในฐานะคนที่เคยเป็นเพื่อนกัน ชานนท์ไม่เคยระเบิดอารมณ์ขนาดนี้มาก่อน ขนาดเราแค่ได้ฟังแล้วยังรู้สึกเจ็บปวดไปด้วยเลย



                “แต่ผมกลัวพี่ปั้นคิดมาก ผมถึงไม่ได้บอก” เราพิจารณาคนที่นั่งข้างๆ กัน นายยังเป็นคนดีเหมือนเดิม เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาคิดถึงคนอื่นมากขนาดไหน นายคงเสียใจไม่น้อยที่ความสัมพันธ์รุ่นพี่กับรุ่นน้องคงไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว



                “ไม่ต้องกลัวเราคิดมากหรอก นายน่ะคิดมากกว่าเราอีก”



                เพราะรู้จักกันมาพักใหญ่ๆ เราถึงรู้ว่านายคนที่สดใสน่ะไม่มีจริงหรอก และเราไม่รู้ว่าคำว่าคิดมากของเขากับคำว่าคิดมากของเรา แฝงความหมายอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า



                “พี่ปั้นก็คิดมากเหมือนกัน”



                “นายก็คิดมาก” ...มากกว่าเราไม่รู้กี่เท่า... เราเถียงกลับพร้อมด้วยใบหน้าบึ้งนิดๆ เขากลับมาเป็นนายจอมดื้ออีกแล้วหรอ



                “อืมมมม ผมคิดมากเรื่องอะไร ไหนพี่ปั้นลองบอกผมซิ”



                ดูเหมือนว่าบอลลูนยักษ์จะเริ่มปล่อยลมแห่งความอึมครึมออกแล้วล่ะมั้ง เพราะอยู่ดีๆ นายก็ยกยิ้มมุมปากก่อนจะมองเราด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ถูก นี่เขาเปลี่ยนอารมณ์เร็วจนเราตามไม่ทันเลย



                “นายคิดมากทุกเรื่องแหละ” เราตอบก่อนจะเบนสายตาไปมองโฆษณาในทีวี



                “ผิดครับ”



                “...”



                “จริงๆ แล้วผมคิดมากอยู่เรื่องเดียว” เราหันกลับมามองหน้าเขาแล้วก็พบว่านายยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะเคลื่อนตัวมาใกล้เราช้าๆ เราตกใจถอยจนแผ่นหลังไปชนกับแขนโซฟาอีกด้านหนึ่ง นายตามมาใช้แขนทั้งสองข้างของเขากักตัวเราไว้



                “อยากรู้ไหมครับว่าเรื่องอะไร”



                “ปะ...ปล่อยเรานะ” เราหลับตาปี๋ ทั้งๆ ที่เราใช้มือดันอกเขาไว้เต็มกำลังแต่นายก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย แถมใบหน้าที่ยอมรับว่าหล่อนั้นก็เคลื่อนเข้ามาใกล้อีกครั้ง



                “เรื่องที่ว่าตอนนี้...พี่ปั้นเป็นแฟนผมรึยังครับ”



                กึก



                เราหยุดนิ่ง ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ นายเลื่อนมือมาประคองแก้มเราไว้ทั้งสองข้าง ฝ่ามืออุ่นๆ กับรอยยิ้มจริงใจของเขาทำให้เราชะงักงัน



                “พี่ปั้นเป็นแฟนผมรึยังครับ” นายถามเราอีกครั้ง นิ้วโป้งข้างขวาของเขาไล้หางตาเราเบาๆ



                “ยะ...ยัง”



                ...ก็นายยังไม่ได้ขอเลยนี่...



                “อ้าว” นายทำหน้าผิดหวัง ไหล่กว้างแบบนักกีฬาลู่ลงเล็กน้อย ท่าทางเสียใจของเขาทำให้เราเผลอยกมือขวาจับมือเขาข้างหนึ่งของเขาที่กุมหน้าเราไว้อีกที เรากำลังจะพูดต่อแต่จู่ๆ เขาก็โพล่งขึ้นเสียงดังจนเราสะดุ้ง



                “วันเกิด!”



                “...”



                “เทวดาครับ” นายจ้องหน้าเรา ท่าทางเขามีความตื่นเต้นจนเรามองกลับไปอย่างไม่ไว้ใจ



                “อะ...ไร”



                …เทวดาที่ไหน มีเรากับนายสองคนเนี่ย…



                “เทวดามองใครครับ ผมกำลังจะขอพร ช่วยทำให้พรผมเป็นจริงด้วยเถอะครับ”



                ...นายอย่ามาเพี้ยนต้อนรับวันเกิดนะ...



                “รับปากสิครับ” นายเขย่ามือเราเป็นเชิงบังคับให้เราเข้าร่วมการแสดงฉากนี้ นี่ตกลงเรากำลังเล่นเป็นเทวดาหรอ เราหลุดขำแต่ก็อยากรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรต่อ



                “...”



                “คำขอของผมอาจจะยิ่งใหญ่หน่อย เทวดารับปากผมได้ไหมครับ แล้วผมจะไม่ขออะไรเลย”



                “บอกก่อนว่าซื้อบ้านซื้อรถเราไม่มีให้นะ” เราหน้าเหวอเมื่อได้ยินคำว่ายิ่งใหญ่แต่ก็ยอมเป็นเทวดาอย่างมึนๆ คนที่ขอพรอยู่ถึงกับหลุดหัวเราะ



                “หึหึ อะแฮ่ม ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ แต่คำขอนี้เทวดาให้ผมได้แน่นอน รับปากผมสิครับ นะครับ”



                “อ่า...ได้ เห็นแก่วันเกิดของนายเราจะให้”



                นายยิ้มกว้างก่อนจะเขย่ามือเรา “สัญญาแล้วนะครับ”



                “อื้อ...”



                “คำขอของผมคือขอให้ผม..”



                “...”



                “ให้ผมได้ดูแลพี่ปั้นในฐานะแฟน...ได้ไหมครับคุณเทวดา” นายลงไปนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น เขากุมมือเราที่นั่งอยู่บนโซฟาคล้ายกับว่ากำลังอธิษฐานขอพรอยู่ในโบสถ์



                “ทะ...อะไรของนายเนี่ย”



                “คำตอบล่ะครับพี่ปั้น ผมอายนะ”



                “ขนาดเราไม่ได้เป็นคนพูดยังอายเลย”



                “คำตอบครับ อย่าเฉไฉ ผมมันเขี้ยว...ว่าไงครับ”



                นายมองเราถึงแม้ว่าจะดูมั่นใจแต่กลับมีความอ้อนวอนเล็กๆ อยู่ในดวงตา เราจึงส่งยิ้มไปให้ เป็นยิ้มที่มาจากความรู้สึกของเราทั้งหมด



                “เจ้าของวันเกิด...”



                “..”



                “คุณจะได้รับพรนั้นเดี๋ยวนี้”



                “!!...”



                หมับ!



                “เฮ้ยย อย่ามากอดเรา” แทบจะสะดุ้งกับแรงกอดของเขา เราดันหน้าอกเขาไว้ นายตอบกลับด้วยเสียงอู้อี้เพราะใบหน้าเขาแนบไหล่เราอยู่



                “ผมไม่ได้กอดเรา ผมกอดแฟนตัวเอง” เขาทำเสียงฮึ่มฮ่ำ แขนเขารัดเราแน่นแล้วโยกไปมา



                ...อ่อก หายใจไม่ออก...



                “นะ...นาย” เราใช้แรงทั้งหมดที่มนุษย์ข้าวปั้นอย่างเรามีผลักอกเขาออก เขาเงยหน้ามองเราด้วยความไม่เข้าใจ



                “มุกขอพรเทวดาอย่าไปเล่นที่ไหนอีกนะ”



                “...ทำไมครับ”



                “เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่านายเป็นเด็กติงต๊อง”



                “ยอมรับครับ เพราะคนมีความรักมักจะดูเด็กลงไปนิดนึง”



                ...นี่...นายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...



                “อีกอย่างพี่ปั้นไม่ต้องห่วง ผมไม่ไปเล่นที่ไหนหรอกมุกนี้ใช้กับแฟนคนเดียวครับ”



                ...ย้ำจริงๆ เลยแฟนเนี่ย...



                “ฮั่นแน่...เขินเลยอะดิ”



                เราปัดมือทีเขี่ยแก้มเราออก มองนายตาขวาง ทั้งๆ ที่ใจเต้นแทบจะระเบิด



                ...เราเขินที่นี่ไม่ได้เขินที่เลย นายบ้า...

 







                “เด็กสองคนนี้ยังไงนะ เตียงที่ห้องก็มีไม่นอนดีๆ”



                “นั่นสิ ดูหนังจนดึกสิท่า”



                “พ่อปลุกข้าวปั้นกับนายซิ นอนคอเอียงซบกันขนาดนั้นตะคริวกินรึยังก็ไม่รู้”



                “ไม่เอาล่ะ เดี๋ยวไอ้ลูกหมามันงอแง”



                “ฮื่อออออ”



                “นั่นไง เสียงมาแล้ว”



                “พูดไม่ทันขาดคำ ลูกคนนี้”



                “แม่จัดการเองนะ พ่อไปรดน้ำต้นไม้ล่ะ”



                “พ่อ! ชิ่งเลยนะ”



                ...อือ เสียงดังไปหมด…



                ทำไมพ่อกับแม่ถึงมาอยู่ห้องเราแต่เช้าเลย ตอนนี้เวลานอนนะ... เราทนเสียงไม่ไหวเลยต้องยกคอขึ้นจากหมอนช้าๆ แอบตงิดในใจว่าทำไมไม่นุ่มเหมือนเดิม ก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น



                จากนั้นเราก็พบความจริงอยู่สี่ข้อ



                ข้อหนึ่งคือความเจ็บปวดตรงคอแล่นริ้วเข้ามาถึงก้านสมอง เจ็บจนต้องร้องว่า...



                “เจ็บบบบบ”



                ข้อสอง แม่ยืนกอดอกหัวเราะโดยที่ไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆ เลย



                “แม่ ช่วยปั้นด้วย ปั้นจะกลายเป็นข้าวปั้นเอียงๆ แล้ว”



                แถมแม่ยังปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยอีกด้วย



                “โนจ้ะลูก”



                …ใจร้าย...



                ข้อสามเราพบว่าเราไม่ได้นอนอยู่ในห้องตัวเอง



                “ช่วยไม่ได้อยากจะนอนด้านล่างเอง เอ้า ลุกมาได้แล้วฝากปลุกคนที่ลูกนอนทับไหล่เขาทั้งคืนด้วย”



                หือ?



                และ…

               ข้อสี่



                เรานอนซบไหล่นายทั้งคืน แล้วคนที่ถูกซบไหล่ก็พิงแก้มกับหัวเราอีกที



                พรึ่บ!



                และการที่เราเด้งตัวลุกขึ้นยืนเพราะสะดุ้งกับความจริงทั้งหลายแหล่นั้นทำให้หน้านายแทบจะทิ่มลงไปกับโซฟาทันที

และนั่นก็เป็นการปลุกอีกคนให้ตื่นอย่างสมบูรณ์แบบ



                “ข้าวปั้น! ลุกพรวดพราดไม่เรียบร้อยเลย โธ่...นายเจ็บไหมลูก”



                อ่า...

                ความจริงที่แถมมาอีกข้อก็คือเราไม่ใช่ลูกของแม่ เพราะแม่นวดต้นคอให้นายอย่างแผ่วเบา โดยมีลูกแท้ๆ ยืนมองตาปริบๆ



                “ฮื่ออออ มันเจ็บที่สุดเลย”

               


[ต่ออีกนิดค่ะ]
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 18 : เรา...กับความชอบครั้งที่หนึ่งพัน... P.9 [7/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 07-06-2018 22:24:10
              “อายุ วัณโณ สุขัง พลัง”

 

              “สา--ธุ”



                หลังจากที่เกิดเหตุการณ์หลงลืมลูกชายของแม่แล้ว แม่ก็ตัดบทเราด้วยการให้เรากับนายไปอาบน้ำแม้ว่าตอนนี้จะเช้ามาก(ที่สุด)ก็ตาม นายใส่เสื้อผ้าของพ่อแล้วเดินงงๆ มาที่ห้องครัวก่อนจะเดินออกไปหน้าบ้านพร้อมกับถาดอาหารตักบาตรและโถข้าวสวย ส่วนเรากับพ่อก็ตามไปสมทบทีหลัง พอเห็นพระท่านเดินมาจากปากซอยก็ถึงได้ร้องอ๋อ



                “สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะลูกนะ ขอให้มีแต่ความสุข” แม่โอบไหล่นายแล้วโยกซ้ายขวา นายรีบยกมือไหว้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื้นตันใจ และเราก็อดที่จะยิ้มไม่ได้เลย



                “ขอบคุณครับคุณน้า คุณอา” เขาซ่อนนัยน์ตาแดงก่ำไว้ด้วยการก้มหน้าไหว้พ่อกับแม่หลายๆ ครั้งติดกัน



                “เรียกน้าว่าแม่เถอะจ้ะ เพื่อนปั้นก็เหมือนลูกแม่อีกคน เนอะพ่อเนอะ”



                เรากลัวเขาจะเห็นว่าเราแอบมองอยู่เลยหันมาเล่นกับพ่อ ซึ่ง...พ่อไม่เล่นด้วยเลยแถมยังหันหน้าไปพูดกับนายแทน



                “อืม จริงๆ แล้วน่ะนะ คนที่นายขอบคุณอาจจะไม่ใช่พ่อกับแม่แต่เป็น...”



                “โอ๊ย! มดกัด”



                “หือ ลูกหมาโดนมดกัดหรอ” พ่อหันมามองที่ข้อเท้าเราอย่างรวดเร็ว นายก็ทำท่าจะเดินเข้ามาด้วยแต่ติดตรงที่แม่ยังกอดไหล่นายไม่ปล่อย เราหลบตานายก่อนจะหันไปหาพ่อ



                “อื้อ พ่อดูให้ปั้นหน่อยตรงไหนก็ไม่รู้”



                “ไม่เห็นมีเลยปั้น” พ่อเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่เวลาเราอ้อนหน่อยก็จะเปลี่ยนเป็นอีกคนไปเลย ขอโทษนะครับพ่อที่หลอกใช้ในสถานการณ์แบบนี้



                “โอ๊ะ หายแล้วครับ”



                “อะแฮ่ม สองพ่อลูก โหวกเหวกแต่เช้ามดกัดร้องเหมือนโดนเชือด ปะๆ เก็บของไปทานข้าวเช้ากัน” แม่ส่ายหน้าเอือมๆ แล้วหันไปคว้าแขนลูกชายคนใหม่เข้าบ้านแทน เราที่วุ่นวายอยู่กับพ่อจึงไม่เห็นสายตาของนายที่มองมา



                แดดเช้ายังไม่ทันร้อนพ่อก็ขอตัว เพราะอิ่มกาแฟกับปาท่องโก๋ที่แม่ซื้อมาตอนไปตลาดเช้า ดังนั้นในครัวจึงเหลือแค่แม่ เรา แล้วก็นายที่ตั้งแต่ตื่นนอนมาเราทั้งคู่ยังไม่ได้คุยกับเต็มประโยค



                “ปั้นไปเด็ดใบมะกรูดที่หลังบ้านให้แม่ทีไป”



                “ครับ งั้นเอ่อ...เราไปหลังบ้านนะ” เรารีบพูดแล้วหลบตานาย หวังว่าจะต่อเวลาหายใจหายคอให้กับตัวเองได้อีกนิดหนึ่ง เราพยายามหลีกเลี่ยงความตื่นเต้นแปลกๆ เวลามองหน้านาย มันเป็นความตื่นเต้นที่มีมากกว่าเดิมหลายเท่าตั้งแต่เราเอ่อ...เปลี่ยนสถานะน่ะ



                “ผมไปช่วยพี่ปั้นนะครับคุณแม่”



                “จ้ะ ดีเหมือนกันปั้นเอื้อมไม่ถึงหรอก”



                ...อย่าตามเรามา... เราเบะปากจะร้องไห้ ฮือ...ก็ใจเรายังไม่พร้อมนี่นา เราเดินมาถึงริมรั้วซึ่งมีบันไดขนาดเล็กพิงอยู่



                “โกรธผมหรอครับ”



                ...เฮ้ย..อะไรทำให้นายคิดแบบนั้น... เราหันขวับไปหาเขา แต่คนพูดกลับหยิบบันไดมากางออก ทำทุกอย่างราวกับเป็นการพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ต่างจากเราที่ทำตาโต



                “ทำไมมองอย่างนั้นครับ ก็พี่ปั้นน่ะ...”



                “เราทำไม”



                “ไม่เห็นพูดกับผมเลยซักคำ” นายพูดเสียงเบาเหมือนพึมพำกับตัวเอง เขาคงไม่รู้ตัวว่าหรอกใช้น้ำเสียงแบบไหน เพราะเอาแต่เก็บใบมะกรูดต้นสูงริมรั้วไปเรื่อยๆ เรายืนนิ่งก็เพราะน้ำเสียงน้อยใจของเขาพาลให้เรามือไม้อ่อนซะดื้อๆ



                “เปล่านะ เราไม่ได้...”



                “หรือว่าเรื่องเมื่อวานจะเป็นแค่ฝันกันแน่ครับ”



                “...จริงๆ เราก็แค่...”



                มาคิดๆ ดูแล้วยิ่งรู้จักนายก็ยิ่งเห็นนายในมุมอื่นมากยิ่งขึ้น เหมือนกันกับตัวเราที่เวลาอยู่กับเขาก็เป็นข้าวปั้นแบบที่คนอื่นไม่ค่อยได้เห็นนัก



                “ช่างเถอะครับ” นายเบนสายตามองพื้น จนทำให้เราคันยิบๆ ในใจด้วยความหงุดหงิด อย่ามาบอกปัดทั้งที่ตัวเองก็รู้สึกค้างคาจะได้ไหม เราจับไหล่นายทำให้เขาเงยหน้ามาสบตาเรา



                “ก็เราเขินไงเข้าใจไหม! เราทำตัวไม่ถูกนี่...มีแฟนคนแรก แถมยังมานอนซบกันในบ้านตัวเองอีก” เราพึมพำกับตัวเองและแน่นอนว่านายคงได้ยินมันหมดแหงๆ



                “ไม่ต้องยิ้มเลย”



                “หึหึ” นายหลุดยิ้ม “รู้อยู่แล้วแหละว่าพี่ปั้นเขิน ทำไงได้เป็นแฟนกับเทพบุตรแห่งมธ.ทั้งทีต้องเขินเป็นธรรมดา”



                อะ...อะไรนะ...เราขอถอนคำพูด นายมีแค่มุมเดียวเท่านั้นแหละ มุมเจ้าเล่ห์ที่ไม่มีเปลี่ยนแปลงแถมยังหลงตัวเองไม่เปลี่ยนไปด้วย



                “หนอยนาย แกล้งเราหรอ” รู้อยู่แล้วยังจะทำตัวน้อยอกน้อยใจอีก โดนกำปั้นไป!



                “ฮะเฮ้ย...อย่าตีผม ผมเปล่าแกล้งนะครับ ก็พี่ปั้นน่ะ...ไม่คุยกับผมเลย แถมยังอ้อนคนอื่นต่อหน้าผมด้วย จะไม่ให้ผมน้อยใจได้ยังไงล่ะครับ”



                เราชะงักกำปั้นที่กำลังประทุษร้ายเขาอยู่เพราะคำว่าคนอื่น “เราอ้อนคนอื่นอะไร...เดี๋ยวนะ นายหมายถึง...จะบ้าหรอนั่นพ่อเรานะ คิดแบบนั้นได้ไง”



                นายหลังปีนขึ้นบันไดหนึ่งขั้นแล้วพูดขึ้น “ผมรู้ครับแต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้เลย ก็อยากให้พี่ปั้นอ้อนผมบ้างนี่นา” เขาพูดอ้อมแอ้มเหมือนกับเด็กมีความผิด



                ...นายเอ๊ย อยากแกล้งเราดีนัก...ต้องเจอแบบนี้



                “นาย เราน่ะอ้อนนายไม่ได้หรอก”



                “...”



                “พ่อเคยบอกว่าให้เราทำได้เฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น”



                “...”



                “เอ หรือว่านายอยากเป็นน้องชายเราล่ะ”



                จบประโยคนั้นทำเอานายแทบจะสะดุดบันไดที่กำลังปีนลงมาสองขั้น เราเลิกคิ้วทำหน้ากวนๆ ใส่เขาก่อนจะพูดต่อ



                “ว่าไงล่ะครับน้องนาย”



                เพียงชั่ววินาทีเราเห็นคิ้วขวานายกระตุกเล็กน้อย ใบมะกรูดที่นายกำอยู่ในมือหล่นลงมาข้างเท้าเราสองใบถ้วน เขาไม่ใส่ใจจะมองมันแถมยังพูดต่อพร้อมกับเปลี่ยนสีหน้าที่เรามองว่าเจ้าเล่ห์ชะมัด



                “อืมมม ถ้างั้น...ฝากบอกคุณพ่อได้ไหมครับว่าขอเพิ่มผมเป็นคนในครอบครัวอีกซักคน”



                “...”



                “ไม่ใช่ฐานะน้องชายแต่ในฐานะลูกเขยน่ะครับ”



                เขาวางมือไว้บนหัวเราก่อนจะออกแรงขยี้ไปมา



                “เพราะผมอยากให้พี่ปั้นอ้อนผมจะแย่แล้ว”



                เราเงยหน้าสบตาของนายช้าๆ ทวนประโยคข้างต้นในหัวสองครั้ง



                ก่อนจะหันหลังและ…



                ...ออกวิ่ง



                ตุบ ตุบ ตุบ ปัง!



                เราวิ่งเข้าบ้านโดยมีเสียงหัวเราะในลำคอของนายเป็นเอฟเฟค เราเดินผ่านห้องครัว ยกมือปิดแก้มตัวเองแล้วถลาไปนั่งอยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่น อกกระเพื่อมแรงเพราะควบคุมจังหวะหัวใจผ่านการสูดลมเข้าปอด ส่วนมือขวาก็เลื่อนลงมากำชายเสื้อตัวเองแน่น



                “ข้าวปั้น! ไปตั้งนานแล้วใบมะกรูดแม่ล่ะ!!” แม่ถือตะหลิวมายืนท้าวเอวอยู่ข้างโซฟาด้วยใบหน้าถมึงทึง เราสะดุ้งก่อนจะส่งยิ้มแห้งๆ ให้แม่พลางชี้ไปทางหลังบ้าน เท่านั้นแหละ แม่ที่แสนดีก็กลายเป็นแสนใจร้ายอีกครั้ง



                ...เพราะนายนั่นแหละ ทำให้เราเขินจนลืมใบมะกรูดเลย!...





___________
คิดถึงทุกคนค่ะ เรากลับมาเเล้วววว
ขอบคุณทุกคนเหมือนเดิม ทุกคอมเมนต์เเละการรอคอยทำให้ฟื้นคืนชีพ
ปล.เป็นแฟนกันเเล้วจำเป็นต้องเต๊าะพี่ปั้นอีกไหม น้องนาย หุหุ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 18 : เรา...กับความชอบครั้งที่หนึ่งพัน... P.9 [7/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-06-2018 23:35:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 18 : เรา...กับความชอบครั้งที่หนึ่งพัน... P.9 [7/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 08-06-2018 07:28:59
เขินนนนจุงพี่ปั้นน่ารักๆๆๆขอบคุณนักเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 18 : เรา...กับความชอบครั้งที่หนึ่งพัน... P.9 [7/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 08-06-2018 10:20:11
ขนาดเป็นแฟนกันแล้วนะ หัวใจพี่ปั้นทำงานหนักแน่ๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 18 : เรา...กับความชอบครั้งที่หนึ่งพัน... P.9 [7/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-06-2018 15:16:46
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 18 : เรา...กับความชอบครั้งที่หนึ่งพัน... P.9 [7/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-06-2018 11:17:33
พี่ปั้นอยู่บ้านเหมือนเด็กตัวน้อยๆเลยยย ดีใจกับน้องนาย ได้มีครอบครัวกับเขาสักที  :hao5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 18 : เรา...กับความชอบครั้งที่หนึ่งพัน... P.9 [7/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 13-06-2018 23:55:59
เจินจนลืมของเลย,,,
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 18 : เรา...กับความชอบครั้งที่หนึ่งพัน... P.9 [7/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: por_pla4u ที่ 21-06-2018 23:45:29
ในที่สุดก็กลับมาแล้ว และเค้าก็เป็นแฟนกะนแล้วด้วย อิอิ ส่วนชา... คนแพ้ก็ต้องดูแลตัวเองนะจ้ะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 19 : เรา...กับเรื่องราวในคืนวันศุกร์ P.9 [26/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 26-06-2018 21:46:33
Act 19 : เรา...กับเรื่องราวในคืนวันศุกร์




              เราคบกับนายได้มาซักพักแล้ว



                “แกคิดจะบอกฉันบ้างไหมฮะปั้น!?!”




                ถ้าถามว่าประโยคข้างต้น ทำไมถึงดีเลย์นักก็เพราะว่าเรากับนายไม่ได้บอกใคร แถมยังไม่มีใครถามอะไรนี่นาจนกระทั่งวันหนึ่งแกงค์นักบาสของศิลปากรนำทีมโดยเจ็ม มาเจอนายที่เดินจูงมือเราข้ามถนนอยู่




                จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องบังเอิญน่ะนะเพราะเราก้มลงไปมัดเชือกรองเท้าในตอนที่ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวให้คนเดินข้ามพอดี นายที่ยืนรอเราพอเห็นว่าเลขนับถอยหลังใกล้จะหมดเวลา เขาจึงคว้ามือเราเพื่อเดินข้ามไปอีกฝั่งอย่างที่เราก็ไม่ทันได้ตั้งตัวเหมือนกัน ซึ่งอีกฝั่งนั้นน่ะมีเจ็ม กี้ ฟุน เหน็ง และใครต่อใครในทีมบาสที่ยืนตัวแข็งเหมือนได้จ้องตากับเมดูซ่ามาอย่างนั้นล่ะ




                ทันทีที่พวกเขาเลื่อนสายตามามองมือเรากับนาย...




                และวันนั้นก็คือวันที่โลกรู้...




                นายยืนกอดอกมองเพื่อนทีมบาสฝั่งนครปฐมที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ หลังจากที่พวกเขารู้ว่าเรากับนายเป็นอะไรกันโดยไม่ต้องเอ่ยถาม เราก็ยืนงงๆ แต่พอเราหลุดหัวเราะเพราะขำกับท่าทางน้องๆ เท่านั้นแหละ นายก็ล็อคคอเราให้เดินไปอีกทางทันทีแถมยังเอามือใหญ่ๆ มาปิดปากเราอีก ทิ้งให้น้องทีมบาสส่งเสียงร้องไห้โฮตามหลัง




                วันจันทร์ต่อมา...เราโดนชมพู่กักขังโดยการบ่นเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มที่ห้องชมรมบาสฯ ของมหาลัย ชมพู่พูดจนเรามึนตึ๊บ ใจความสำคัญก็คือน้อยใจที่เราไม่บอกอะไรเลย




                “ใช่ว่าฉันจะไม่ระแคะระคาย นายมันแสดงออกขนาดนั้นก็เหลือแต่แกที่ตอบตกลงกับมันตอนไหนเท่านั้นแหละ แต่ฉัน! ฉันเป็นเพื่อนของแก ฉันอยากจะได้ยินจากปากของแกเอง ไม่ใช่ในกรุ๊ปไลน์ผู้พิทักษ์พี่ปั้นอย่างนี้! ทำไมฉันต้องรู้เรื่องทีหลังด้วย ฮือ ฉันเสียใจ”




                “จริงๆ แล้วชมพู่แค่เสียใจที่รู้ช้าสุดใช่ไหม” เราโพล่งขึ้น ลืมคิดไปว่าคนฟังอาจจะตีความได้อีกแบบนึง




                “ไอ้หมาปั้นแกว่าฉันเผือกหรอ! นี่แหนะ!”




                “โอ๊ย เปล่าเลย เปล่านะ”




                หลังจากนั้นสมาชิกกรุ๊ปไลน์ผู้พิทักษ์เอ่อ...พิทักษ์เราก็ปรากฏตัวขึ้น พวกเขามีสีหน้าเศร้าแต่ก็พยายามฝืนยิ้ม เจ็มดันหลังน้องฟุนให้ก้าวมาข้างหน้า น้องฟุนทำตาโตก่อนจะกระแอมเล็กน้อย




                “ผม...ฟุน วิทย์กี ปีสาม ขอเป็นคนพูดแทนสมาชิกทั้ง127คนที่อยู่ในกรุ๊ป”




                ...เดี๋ยว...เดี๋ยวนะร้อยยี่สิบเท่าไหร่นะน้องฟุน...




                “พวกเรายินดีอย่างที่สุดที่พี่ปั้นมีคนที่มาดูแลพี่ปั้นอย่างเป็นทางการแล้ว อึก”




                ...อ่า...ยินดีด้วยสีหน้าแบบนี้เศร้าหมองมันคือยินดีแบบไหนกัน...




                “สมาชิกของกรุ๊ปเราเห็นพ่อง เอ๊ย เห็นพ้องต้องกันว่า พวกเราจะยังคงมีกรุ๊ปนี้ต่อไปแม้ว่าพวกเราจะได้มองพี่ปั้นห่างๆ อย่าห่วงๆ พวกเราจะไม่ไปกีดขวางใดๆ พวกเราจะเดินหน้าพิทักษ์พี่ปั้นเหมือนเดิมเพราะถ้าไอ้..อะแฮ่ม คนฝั่งมธ.ทำให้พี่ปั้นเสียใจแล้วล่ะก็...”




                ฟุนเงยหน้าขึ้น เขาเปลี่ยนสีหน้าเศร้าให้กลายเป็นมุ่งมั่นในทันใด และหลังจากนั้นอีกสี่ห้าคนที่เหลือก็พูดพร้อมกับเสียงดังลั่นห้อง




                “...พวกเราจะไปถล่มมัน!!!”




                เราสะดุ้งตกใจ ค่อยๆ ถอยหันไปยืนข้างชมพู่ที่มองไปด้านหน้าด้วยสีหน้าเอือมๆ เรากระซิบแผ่วเบา




                “น้องๆ กินอะไรเข้าไปน่ะชมพู่”




                ชมพู่หรี่ตามอง ท่าทางจะเคืองอยู่ถึงได้ผลักหัวเราจนโยกไปด้านข้าง




                “ยาชูกำลังเพี้ยนล่ะมั้ง”




                ...หา?...

 










                (ถึงไหนแล้วครับ)




                “อยู่ลานจอดรถแล้ว อื้มๆ โอเค รู้แล้ววว”




                พอวางสายปุ๊บก็มีสายตาอาฆาตมาจ้างคนขับทันที




                “ทำไม มันขาดกันไม่ได้หรือไง ต้องโทรมาเช็คทุกสิบนาทีเนี่ย”




                “ไม่ถึงขนาดนั้นซักหน่อย”




                “เฮอะ!”




                “น่า อย่างอนเลยย เราขอโทษที่ไม่ได้บอกชมพู่นะ...” เราว่าพลางจับมือข้างซ้ายของชมพู่มากุมไว้ ตอนที่เธอกำลังปลดเข็มขัดนิรภัยออก




                “อย่างอนกันเลยนะ นะ...” ชมพู่เม้มปากก่อนจะสะบัดมือเราออก เธอหันหน้าไปมองนอกกระจก อาการแบบนี้ทำให้เราใจเรากระตุกวูบหรือว่าเพื่อนรักจะเกลียดเราแล้ว แต่ก่อนจะได้คิดอะไร ชมพู่ก็หันกลับมาพร้อมกับแก้มที่แดงระเรื่อ




                “ถ้าแกเป็นผู้ชายฉันจะลากเข้าโรงแรมแล้ว”




                “เฮ้ย!”




                “ทำไมแกจะด่าฉันว่าเป็นผู้หญิงไม่เรียบร้อยล่ะสิ” ชมพู่ปรายตามองเล็กน้อยก่อนจะหยิบลิปกรอสมาเติมด้วยท่าทางไม่เร่งรีบ




                “ชมพู่ แต่เราก็เป็นผู้ชายอยู่นะ”




                “โอ๊ย ปั้น! เบื่อแกจริงๆ ไปๆ ลงจากรถได้แล้ว เดี๋ยวนายจะใช้ตุ๊กตาวูดูมาแช่งฉันโทษฐานที่พาแกมาช้า”




                ปัง




                ชมพู่พูดจบก็เดินเฉิดฉายลงไปยืนข้างรถทันที เราเกาหางคิ้วเบาๆ อย่างไม่เข้าใจ




                “ก็เราเป็นผู้ชายจริงๆ นี่นา”




 







                “ไอ้นายพี่ปั้นมาแล้ว” พอก้าวเข้าร้านปุ๊บ เราก็รู้เลยว่านายกับเพื่อนเขานั่งตรงไหน ก็เอ็มเจน่ะสิ โหวกเหวกจนหลายคนหันมามอง




                “ทางนี้ครับพี่ปั้น” นายเอี้ยวตัวมาก่อนจะยกมือเรียกเรา ทันทีที่ไปถึงโต๊ะนายก็ดันตัวเราให้นั่งชิดกระจกทันที เอ็มเจกับแดมเอ่ยทักทายเราเป็นการใหญ่




                “พวกแกสนใจฉันบ้าง”




                “โทษครับพี่ชมพู่คนสวยยยย มาๆ นั่งครับ”




                “ร้อนหรอครับเหงื่อออกเยอะเลย” นายหยิบทิชชู่เช็ดเหงื่อตรงข้างขมับหลังจากส่งชาเขียวเย็นมาให้ดื่ม ก่อนหน้านี้เราก็ทำตัวเลิ่กลั่กเหมือนกันตอนที่นายทำอะไรแบบนี้ให้ แต่หลังจากนั้นมาก็เริ่มชินจนลืมไปว่าเราไม่ได้อยู่กันสองคนเช่นตอนนี้




                “เดี๋ยวนะ วันนี้เขานัดกันสองคนหรอวะ ไม่ใช่นัดกินข้าวกับเพื่อนแฟนงี้หรอ”




                “ก็ว่างั้น”




                “เออฉันคุยด้วยดิ เหงาปาก”




                เราหลุดขำก่อนจะเบี่ยงหน้าออกจากมือของนายเขาชะงักเล็กน้อยแล้วก็ค่อยๆ เลื่อนมือลง วันนี้เป็นวันที่เรากับนายนัดเพื่อนของอีกฝ่ายให้มากินข้าวกัน จริงๆ แล้วเพราะตัวตั้งตัวตีอย่างเอ็มเจบอกว่าอยากจะฉลองการคบกันของเรากับนาย เราว่าอันที่จริงเป็นเพราะเอ็มเจอยากจะกินชาบูที่มีโปรฯ ว่า ‘มา 5 จ่าย 3’ ต่างหากล่ะ




                “กินกันๆ” เราเอ่ยชวน ช่วงที่ผ่านมาเราสนิทกับเอ็มเจและแดมมากขึ้นด้วยเหมือนกัน




                “เฮ้ย พี่ปั้นจะกินกันตรงนี้เลยหรอ”




                เราทำท่าถอนหายใจจนไหล่ตก “นายดูเพื่อนนายดิ”




                “เดี๋ยวเหอะไอ้เอ็มเจ เอาของมาลงหม้อได้แล้ว” นายเตะขาเอ็มเจเบาๆ แต่ได้ยินเสียงโอ๊ยด้วย ก่อนที่จะเกิดศึกใหญ่โต แดมและชมพู่ก็ห้ามทัพโดยการหยิบอาหารบนสายพานเหมือนมีวิชานินจาอยู่ในตัว




                “โหหห” เราอ้าปากค้างเมื่อชมพู่กินทุกอย่างราวกับว่าเธอคือเครื่องจักร




                “ปั้นมัวแต่โห เดี๋ยวก็กินไม่ทันหรอก” ชมพู่บ่นแต่ก็ไม่หยุดตักปลาหมึกเนื้ออวบๆ เข้าปาก เราหันไปมองนายที่ขะมักเขม้นอยู่กับอาหารในหม้อแวบนึงก่อนจะตอบออกไปอย่างไม่คิดอะไร




                “ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวนายตักให้เราเอง”




                “อ่อก น้ำซุปหวานๆ มันติดคอครับเพื่อนแดม”




                “เดี๋ยวกูเอากุ้งไปช่วยดูดน้ำซุปนะเพื่อน”




                “กินน้ำดีกว่า ดับไฟร้อนในตาฉัน”




                “หึหึ”




                เราที่คีบสาหร่ายวากาเมะจากหม้อหันไปมองรอบด้านอย่างงงๆ “เราพูดอะไรผิดหรอนาย”




                “เปล่าครับ กินเยอะๆ นะครับพี่ปั้น”




                บทสนทนาบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เอ็มเจกับแดมเล่าวีรกรรมของพวกเขากับนายเยอะเลย ในขณะเดียวกันชมพู่ก็เล่าเรื่องของเล่าให้นายฟังเหมือนกัน เราลอบยิ้มรู้สึกดีใจที่คนใกล้ตัวยินดีกับเราและนายไปด้วย นายคงจะคิดเหมือนกันเพราะเขาหันมาส่งยิ้มให้




                ...ดีจังนะ ที่มีพวกเขาเป็นเพื่อน...




                พวกเรากินไปคุยกันไปจนเวลาล่วงเลยมาเกือบสองทุ่ม ชมพู่และเอ็มเจก็เกิดไอเดียว่าเราควรจะไปฟังเพลงต่อที่ร้านแห่งหนึ่งในตลาดนัดไฟรัชดา แดมก็เห็นดีเห็นงามด้วยเพราะปกติแล้ววันหยุดสุดสัปดาห์ทีไร เขาจะไม่ค่อยได้เห็นนายเท่าไหร่นัก ซึ่งสาเหตุนี้เช่นกันที่ทำให้ชมพู่กับเอ็มเจยิ่งเติมเชื้อไฟยุยงให้เราไปด้วยมากขึ้นไปอีก บอกว่าพวกเราขลุกอยู่ด้วยกันสองคน ไม่สนใจเพื่อนฝูง




                “ปั้นแกอย่าคิดมาก เร็วๆ เดี๋ยวเราจะไม่ว่างแล้วนะ” ชมพู่เปิดพัดลมเครื่องเล็กจ่อใส่หน้าพร้อมกับพูดไปด้วย แต่ประเด็นคือคำว่าไม่ว่างทำให้นายขมวดคิ้ว




                “วันนี้นายแต่งตัวหล่อมากเลย” เรามองการแต่งตัวของนายแล้วก็เอ่ยชมอย่างไม่มีเหตุผล นายส่ายหน้าก่อนจะใช้มือหนาๆ บีบต้นคอเราเบาๆ




                “อย่าเปลี่ยนเรื่องครับ ไม่ว่างนี่เพราะอะไรครับ”




                “พวกแกอย่าพึ่งคุยกัน เอาเป็นว่าเจอกันที่ตลาดนัดนะ ไปๆ เอ็มเจ แดมไปรถพี่ เดี๋ยวรถติด”




                “เจอกันเว้ย รีบมา ห้ามเบี้ยว” เอ็มเจกระโดดกอดคอนายทีหนึ่งแล้ววิ่งตามชมพู่ออกไป ส่วนแดมก็ยิ้มๆ แล้วก็โบกมือส่งกำลังใจมาให้




                …ทิ้งระเบิดแล้วก็ชิ่งเลยนะชมพู่ววว...




                ปัง!




                “เราทำพรีเซ้นต์กลุ่มน่ะ มีนัดทั้งเดือนเลย” เราพูดเสียงอ่อยเมื่อเห็นนายกอดอกพิงหลังกับประตูรถด้านขวา หลังจากที่เข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว




                “แล้วทำไมผมไม่รู้ครับในเมื่อเราคุยกันทุกวัน”




                ...เสียงดุจัง...




                “พี่ปั้น?” นายถามย้ำเมื่อเห็นว่าเราเงียบ เราเปล่าเงียบเลย ตกใจเสียงเฉยๆ




                “เอ่อ ก็... เราเรียนเยอะด้วย วิชาเอกก็มีแต่พรีเซ้นต์ วิชาโทก็มีแต่พรีเซ้นต์ สรุปแล้วมีพรีเซ้นต์งานกลุ่ม งานเดี่ยวดังนั้นเราเลยจะไม่กลับบ้าน”




                “ทั้งเดือน?”




                “ก็เกือบๆ น่ะ”




                “โอเคครับ” เขาจ้องหน้าเรานิ่งๆ จากนั้นก็ผละไปแล้วก็เริ่มออกรถ ถึงจะพูดงั้นก็เถอะแต่...บรรยากาศกลับเงียบสนิท




                “นายยยยย โกรธเราหรอ”




                “เราคุยกันทุกวันแต่พี่ปั้นไม่เห็นบอกอะไรผมเลย” นายพูดเสียงนิ่งเขาเอาแต่จ้องไปที่ถนนด้านหน้าจนผิดปกติ




                “เราต้องบอกด้วยหรอ” เราถามออกไปอย่างพาซื่อ “เมื่อก่อนเราก็ไม่กลับบ้านเป็นเดือนๆ แบบนี้แหละ”




                เราไม่คิดว่าจะเป็นอะไรเพราะปกติแล้ว มันก็เป็นแบบนี้มาตลอด




                “เมื่อก่อนพี่ปั้นยังไม่มีผมนี่ครับ”




                เราชะงัก ค่อยๆ คิดตามคำพูดของนายแล้วก็คลี่ยิ้ม




                “โอ๋ๆ ขอโทษนะ เราลืมไปว่ามีเด็กขี้เหงาอยู่ตรงนี้หนึ่งคน” เราเอื้อมมือไปลูบหลังเขาเบาๆ พร้อมกับยิ้ม




                “พี่ปั้น อย่ามาทำแบบนี้กับผมนะ คิดว่าผมจะใจอ่อนหายโกรธหรอ”




                “โธ่ น้องนายขี้เหงา”




                “หยุดทำเสียงแบบนี้เลยนะพี่ปั้น”




                เราหัวเราะ ก็ดูท่าทางเขาตอนนี้สิเหมือนเด็กเลย “น้องนายเป็นเด็กติดพี่ปั้นหรอครับ”




                “เหอะ ถึงไม่ใช่เด็กแต่ก็ติดพี่ปั้นได้เหมือนกันครับ ติดหนึบด้วย อยากลองไหมครับ”




                “แน่...หยอดให้เราเขินอะดิ ไม่ได้ผลหรอก” บอกเลยว่าเรามีภูมิต้านทานความเขินแล้วนะ




                “ไม่ได้ผลแล้วใครหน้าแดงเป็นกุ้งต้มแบบนี้ล่ะครับเนี่ย”




                ...อ่ามีภูมิต้านทานแบบไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์น่ะ...




                เรากับเขาคุยกันไปเรื่อย ทะเลาะกันบ้าง ไม่ก็ชวนดูคนเดินอยู่ข้างถนนบ้าง เพราะติดไฟแดงเกือบทุกสี่แยกที่ต้องขับผ่าน เวลาอยู่ด้วยกันแบบนี้จึงนานกว่าปกติ เรานึกถึงการคบกันซักพักใหญ่ๆ ระหว่างเรากับนาย อืม...จะว่าไปมันก็เหมือนกับทุกวันๆ นั่นแหละนะ คงจะต่างกันที่เรากับเขาไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้องแต่เป็นอีกสถานะหนึ่ง อ้อ แถมยังเป็นซักพักใหญ่ๆ ที่เราคุยกันบ่อยขึ้น และเอ่อ...ใกล้ชิดมากขึ้นด้วย




                เราคิดว่าอย่างนั้นนะ และการที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นเราก็เลยรู้ว่าเขาน่ะ...อ้าว ชมพู่ไลน์มานี่นา เสียงแจ้งเตือนดังลั่นห้องโดยสารของรถ




                Chompoo
                ถึงไหนแล้ว




                เราเงยหน้ามองข้างทางก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อพิมพ์ตอบชมพู่ ถึง....




                “คุยกับใครครับ”




                “คุยกับ...” ปากเราตอบแต่มือเราพิมพ์ดังนั้นสมองน้อยๆ ของเราก็เลยไม่ได้ตอบคำถามเขาให้ชัดเจน




                “พี่ปั้น อยู่ด้วยกันไม่ควรเล่นมือถือครับ”




                “คุยกับชมพู่ๆ” เราเก็บโทรศัพท์หลังจากพิมพ์จบ ชมพู่บอกว่าเกือบถึงแล้วเลยให้เอ็มเจไลน์มาบอกเราว่าจะไปนั่งร้านฝั่งไหน




                เขาพยักหน้ารับ บรรยากาศกดดันเริ่มหายไปนิดหน่อย




                นั่นไงล่ะ...เด็กขี้เหงา พ่วงมาด้วยอาการหวง โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ด้วยกันอันน้อยนิด นายจะแปลงร่างเป็นมนุษย์ที่เกรี้ยวกราดตอนที่เราไม่สนใจ เราสนใจนะ...เขาคิดไปเองต่างหาก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้แซวได้ไงว่าเขาเป็นน้องนาย




                “อย่าให้มีมาตรการขั้นเด็ดขาดนะพี่ปั้น”




                “รู้แล้วน่า ทีนายตอนคุยกับเพื่อนเราไม่เห็นใช้มาตรการอะไรเลย”




                “พี่ปั้นไม่ใช้แต่พี่ปั้นเดินหนีผมไปเลยครับ แถมยังงอนไม่คุยกับผมตั้งนาน”




                เราขมวดคิ้ว ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “เราทำแบบนั้นหรอ”




                ...ไม่เห็นรู้ตัวเลย...




                “ทำหน้าตางงเป็นลูกหมา ก็พี่ปั้นแหละจะมีใคร”




                นายหัวเราะก่อนจะยื่นมือมาผลักหัวเรา เดี๋ยวผลักเดี๋ยวลูบอยู่นั่นหละ! อย่าให้เราไม่ต้องเอื้อมมือบ้างเถอะ หัวนายยุ่งแน่!




[มีต่อนะคะ]
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 19 : เรา...กับเรื่องราวในคืนวันศุกร์ P.9 [26/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 26-06-2018 21:49:39




                เราใช้เวลาเดินทางสามล้านปีแสง ในที่สุดก็ถึงที่หมายเสียที กว่าจะวนหาที่จอดรถได้นายแทบจะขับกลับ ชมพู่โทรมาบอกชื่อร้านก่อนจะวางสายไปอย่างรวดเร็วเพราะเสียงเพลงที่ดังลอดเข้ามาทำให้พวกเราคุยกันไม่รู้เรื่อง นายพาเราลัดเลาะผ่านโซนเสื้อผ้าไปที่ร้านนั่งดื่มอีกฝั่ง(นายให้เหตุผลว่าถ้าพาเราไปทางโซนอาหารชมพู่จะไม่ได้เจอเราอีก) ร้านที่เพื่อนรักเรานั่งรออยู่นี้เป็นร้านนั่งดื่มสไตล์วินเทจมีสองชั้น ซึ่งตลอดทางเดินเข้าไปมีเพลงจังหวะแปลกดังมาตลอดเวลา แถมชาวต่างชาติก็เยอะมากอีกด้วย เราใจเต้นแปลกๆ ขณะดูสิ่งต่างๆ รอบตัว นี่เป็นครั้งแรกที่รอมาเนิ่นนาน เฮ้ย เราไม่ใช่เอลซ่าก็แค่มนุษย์ปั้นเด็กเนิร์ดที่ชอบเก็บตัวอยู่แถวฝั่งธนเท่านั้นเอง




                “ยิ้มอะไรพี่ปั้น”




                “เราไม่เคยมานั่งร้านแบบนี้เลยนะเนี่ย ทำไมที่นี่คึกคักดีจัง”




                “ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ” คนข้างๆ บ่นงึมงำในลำคอ เขากวาดตามองไปรอบๆ อย่างไม่ชอบใจนัก




                “อะไรนะ”




                “เปล่าครับ ไม่อยากขัดคนที่กำลังตื่นเต้น” นายพูดแล้วยื่นมือมาจับ แต่ตอนนั้นมีใครอีกคนเดินมาเบียดพอดีเราเลยกระตุกมือออกจากมือเขา วินาทีนั้นเราเห็นเขาทำหน้าหมองลงเล็กน้อยแต่ไม่ได้คิดอะไร




                “ขอโทษๆ เราตกใจคนเมื่อกี้”




                “ไปครับ” นายว่าแบบนั้นแล้วก็เดินนำ เขาพาเราเข้ามาในร้านที่คนแน่นมาก เราเห็นเพื่อนๆ นั่งอยู่บนชั้นสองของร้าน ตัวร้านเปิดโล่งทำให้ไม่อึดอัด แต่ก็ยังร้อนอยู่ดี เรามัวแต่เดินดูการตกแต่งร้านจนเผลอชนคนอื่นบ้าง สุดท้ายนายก็เดินกลับมาแล้วดันตัวเราให้อยู่ด้านหน้าเขาแทน




                “นาย ขากลับเราไปเดินดูของไหม” เราเอี้ยวตัวไปคุยกับนายที่เดินตามหลังมา รู้สึกเห็นอะไรก็อยากเข้าไปดูด้วยเฉพาะของทำมือ เอ เมื่อกี้เราเห็นขวดแก้วทรงแปลกๆ สวยดีเหมือนกัน




                “แล้วแต่พี่ปั้นเลยครับ ถ้าไม่ง่วงก่อนนะ” นายก้มตัวมาคุยด้วยเพราะคนเบียดและเสียงเพลงที่ดังตลอดเวลา คุยกันไปคุยกันมา สุดท้ายนายก็โอบรอบคอเราแทนจนหลังเราแนบชิดกับอกเขา




                “โห เราไม่ง่วงหรอก นายเห็นเรานอนตอนสองทุ่มหรอ”




                “บางทีก็นอนตอนทุ่มนึง”




                “มั่วแล้ว แต่...ถ้าเราง่วงคราวหลังเรามาอีกได้ไหม”




                “ไม่ได้ครับ” นายรัดคอเราแน่นขึ้นก่อนจะพูดต่อ “ไม่ต้องออกมาดีแล้วครับ คนมองพี่ปั้นเยอะ ผมหงุดหงิด”




                “หงุดหงิดอะไร...อ้าวนั่นไง ชมพู่”




                “โอ๊ยยย พ่อพระเอกกว่าจะมาถึง เอ็มเจจะดื่มเบียร์ทั้งถังแล้วนะยะ”




                “พี่พู่ผมจิบเบียร์ฟังดนตรีสดเองไม่ได้มาดื่มเป็นถัง พี่ปั้นนั่งครับนั่ง” เราพยักหน้ารับ แต่จะนั่งก็ไม่ได้เพราะติดแขนของอีกคนที่กำลังจะฆาตกรรมคอเราอยู่ แดมเห็นแบบนั้นก็ขำใหญ่




                “ไอ้นาย แขนมึงน่ะน้อยๆ หน่อยพี่ปั้นไม่ไปไหนหรอก แหนะ ไม่ต้องมองแรงใส่กู กูไม่ได้ชวนคนเดียวพี่ชมพู่กับไอ้เอ็มเจนู่นบังคับกู” เราหันไปมองนายหลังจากที่นายทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างชมพู่ แล้วปล่อยเราให้นั่งถัดจากเขาอีกที




                “เอ้า ไหงมาโทษกันงี้วะไอ้แดม พี่พู่ต่างหากอยากดริ๊ง แต่มึงอะอยากแดกกก”




                “พอๆ... เอาน่านาย แกดูหน้าปั้นสิ ดี๊ด๊าเชียว ถือว่าพาแฟนเด็กมาเปิดโลกของผู้ใหญ่”




                “อืมๆ” เราพยักหน้าขณะฟังบทสนทนาผ่านหู พร้อมกับเปิดเมนูบนโต๊ะ มีแต่เมนูน้ำ อาหารไม่มีบ้างหรอ




                “ดูดิ ยอมรับว่าเป็นแฟนเด็กด้วยอะ” เอ็มเจโพล่งขึ้นมา เราก็พยักหน้าไปด้วย ...เพลงสนุกดีนะ...




                “ฮ่าๆๆ ปั้นยังไม่รู้ตัวอีก”




                “พี่ปั้นเอ๊ยยย”




                จู่ๆ ก็มีมือของใครบางคนยื่นมาจับคางแล้วเขย่าไปมา




                “นาย! เราอ่านเมนูไม่รู้เรื่อง”




                “มันเขี้ยวโว้ย”

                               













                “ทำไมนายไปนานจัง”




                “ตามมันไปไหมล่ะ” ชมพู่ที่ยกมือถือมาถ่ายสตอรี่อินสตราแกรมของตัวเองหันมาตอบเรา เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันนะ ทันทีที่เห็นเราลุกแดมก็รีบยื้อแขนเรา




                “ไม่ได้ครับ ไอ้นายด่าตายเลย”




                “แต่นายไปนานแล้ว”




                “เอ้า ก็แกอยากกินมันฝรั่งเกลียวๆ อะไรนั่นไม่ใช่หรอนายถึงลุกไปเนี่ย”




                อ่า...เรื่องของเรื่องก็คือว่าร้านนี้ไม่ค่อยมีอาหารอะไรที่น่าทานซักเท่าไหร่ ประกอบกับเราอยากไปเดินเที่ยวเลยบอกว่านายว่าจะไปซื้อของกินเล่นซะหน่อย แต่นายหันขวับมาพร้อมกับสายตาคมกริบ เขาบอกว่าจะออกไปซื้อให้และไม่ให้เราเดินออกไปด้วยเพราะเดี๋ยวมัวแต่เดินมองของกินเพลิน เราถึงกับร้องอ๋อเพราะตอนแรกที่บอกว่าชมพู่จะไม่ได้เจอเราอีกเพราะแบบนี้นี่เอง นายอาจจะหลอกว่าเราว่าเป็นหมูแต่ไม่พูดตรงๆ ก็ได้ ส่วนเอ็มเจอยากกินอย่างอื่นด้วยก็เลยตามไปด้วย รีบจนทิ้งโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะกันทั้งสองคน




                คราวหลังจะแอบมาคนเดียว แต่ตอนนี้




                “เราอยากไปหานาย”




                “มันไม่หายไปไหนหรอกนั่งๆ แกลองกินนี่ซิ อร่อยนะ” ชมพู่ยัดแก้วน้ำที่มีน้ำสีชมพู่อยู่ด้านในใส่มือเรา มืออีกข้างก็ถ่ายคลิปไปด้วย




                “ชิมหน่อย น้ำหวาน”




                “ไม่...เอา ว่าแต่หวานจริงไหมอะ”




                “ไอ้หมาปั้น ฮ่าๆ ดูดิไอ้เจ็มเข้ามาด่าฉันใหญ่เลย มันบอกว่าห้ามให้แกกินเด็ดขาดไม่งั้นมันจะลาออกจากชมรม” เราขมวดคิ้วซักพักก็ร้องอ๋อ ชมพู่น่ะสิไลฟ์ลงอินสตราแกรมของตัวเอง คุยเล่นกันสองสามประโยคจู่ๆ ก็มีเด็กวัยรุ่นโต๊ะที่ติดกับเราตะโกนโหวกเหวก




                “เชี่ยอาร์มเมาก็กลับบ้านไป”




                “เฮ้ยไม่เมาๆ ชนหน่อยดิว้า”




                เรากับชมพู่เงยหน้าขึ้นไปมอง ก็คนที่เสียงดังนั้นนั่งอยู่ติดกับแดมเลย ท่าทางจะยังเป็นเด็กวัยรุ่นที่อายุน้อยกว่าพวกเรา เขาโงนเงนไร้สติแต่ก็ยังชูแก้วไว้เหนือหัว และ...ไม่กี่วิต่อจากนั้นก็ขาอ่อนชนแดมเข้าเต็มแรง และเสียงของพวกเราก็ประสานกันดังลั่น




                “เฮ้ยยยย!”




                ซ่า!




                “ไอ้เชี่ยยยย!”




                สิ้นประโยคนั้นพวกเพื่อนน้องคนนั้นก็รีบเข้ามาขอโทษทันที




                “พี่ๆ ผมขอโทษแทนเพื่อนด้วยมันเมา เชี่ยกันต์เอาตัวเพื่อนมึงกลับไป”




                “เออๆๆ แม่งเอ๊ยไอ้อาร์ม ลำบากชิบเป๋ง ขอโทษครับพี่”




                “แดกไม่เป็นก็ไม่ต้องมานั่งร้านดิวะ แม่งเอ๊ย” แดมสบถเมื่อมองเสื้อตัวเองที่เปื้อนแอลกอฮอล์จนกลิ่นหึ่งไปหมด เราตกใจอยู่แวบนึงก่อนจะรีบไปดูแดมทันที ส่วนชมพู่ก็ยกมือขอทิชชู่ที่ร้านเพิ่ม โชคดีที่ชมพู่ไม่องค์ลงคงเห็นว่าเป็นเด็กล่ะมั้ง




                “เพ่ หัดทำหน้าดีๆ เหมือนหน้าตาบ้างเด่ะ”




                “ไอ้เด็กนี่...” แดมกัดฟันแต่พยายามผ่อนลมหายใจ




                “ไอ้เชี่ยอาร์ม ขอโทษจริงๆ พี่ ไปกลับได้แล้ว”




                เหตุการณ์ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แวบนึงที่เราใจเต้นแรงเพราะกลัวว่าจะมีเรื่องกัน แต่เพราะแดมเป็นคนที่ใจเย็น(มากกว่าเอ็มเจ) เราจึงวางใจไปเปลาะนึง




                “เดี๋ยวผมไปล้างตัวแป๊บนะครับ พี่ชมพู่กับพี่ปั้นห้ามไปไหนนะครับ” แดมสั่งอย่างเร็วๆ แล้วก็วิ่งไปที่ห้องน้ำด้านล่าง




                “สั่งอย่างกับเป็นเด็กๆ เลย ชมพู่ไม่ต้องห่วงเราจะดูแลชมพู่เอง”




                “ปั้น” ชมพู่มองบน แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก




                “อะไรเล่า ก็ชมพู่เป็นผู้หญิงเดี๋ยวมีคนไม่ดีมาลวนลามทำยังไง ขนาดแดมยังเป็นห่วงเลย”




                “ขอบใจจ้ะเพื่อนรักกกกก ที่แดมมันสั่งน่ะเป็นเพราะแกมากกว่า เดี๋ยวนายกลับมาแล้วสุดที่รักเป็นอะไรไปมันจะยุ่ง เอ...จะว่าไปนายดูเป็นห่วงแกจริงๆ เลยนะ ฉันล่ะอยากรู้จังว่าผู้ชายฮ็อตๆ อย่างนายตอนอยู่กับแกเป็นยังไง”




                ที่ชมพู่บอกว่านายฮ็อตคงเป็นเพราะว่าตอนที่นายจะออกไปซื้อของกินให้เรา มีผู้หญิงโต๊ะที่ติดกับบันไดทางลงเข้ามาคุยกับนาย ตอนแรกเราก็ไม่เห็นหรอกแต่ชมพู่สะกิดให้หันไปดู บอกตรงๆ เราก็อยากรู้ว่าเขาจะทำยังไง แต่อีกใจก็รู้ว่านายเชื่อใจได้เสมอ




                “เมื่อกี้ฉันล่ะอึ้งไปเลย ถ้าฉันเป็นผู้หญิงเมื่อกี้นะฉันคงรีบกลับ อายเกิ้น อุตส่าห์ใจกล้าเข้ามาลูบไล้ เป็นไงล่ะเจอพ่อหนุ่มนักบาสมองนิ่งๆ ไปไม่เป็นเลย ฮ่าๆ เออ...แกยังไม่ตอบฉันนายตอนอยู่กับแกเป็นยังไง ไหนเล่าให้เพื่อนรักฟังสิ” ท้ายประโยคชมพู่เน้นคำแล้วส่งสายตาเชือดเฉือนมาให้ เราจึงจ้องไอเย็นจากถังน้ำแข็งแล้วก็นึกถึงนาย




                ...ตอนอยู่กับเราหรอ...




                “นายขี้หวง” จำได้ว่าอาทิตย์ก่อน เอ็มเจแวะมาส่งนายที่บ้านเรา ซึ่งก่อนหน้านั้นนายส่งข้อความขอให้เราทำข้าวห่อไข่ให้หน่อยเพราะเขาหิวมาก พอมาถึงนายก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แต่เอ็มเจตามเข้ามาด้วยเห็นข้าวห่อไข่วางอยู่บนโต๊ะ เขาเลยจับช้อนส้อมเตรียมจะจิ้ม นายออกจากห้องน้ำมาเท่านั้นแหละ เอ็มเจรีบชิ่งกลับแทบไม่ทัน




                “อันนั้นไม่ต้องอยู่กับแกสองคนมันก็เป็น หวงแกซะขนาดนี้”




                “เราหมายถึงนายหวงของมากเลยต่างหาก”




                “เหอะ หัวข้อไม่น่าสนใจ ไหนมีอีกไหม”




                “อืมม...นาย...ชอบแกล้ง”




                “ใครไม่แกล้งแกบ้างล่ะ”




                “หรอ...”




                “เอาที่พิเศษๆ หน่อยได้ไหม”




                ...คิดไม่ออกเลย...




                “อย่างเพื่อนฉันนะอยู่กับเพื่อนนางจิกกัดทุกคน แต่พออยู่กับแฟนโอ้โหอย่างกับเด็กสิบขวบ” ชมพู่บ่นๆ แล้วก็เล่าเรื่องเพื่อนตัวเองให้ฟัง ในตอนนั้นเราก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ เราว่า...นายเป็นคนที่ชอบกอดแหละ ไม่ก็สัมผัสอะไรแบบนี้ เราว่าเขาไม่รู้ตัวหรอกนะ แต่หลังๆ มานี้เวลาอยู่ใกล้ๆ นายจะต้องเอามือมาลูบไหล่ ลูบคอ เผลอๆ ดึงผมบ้างก็มี หนักเข้าหน่อยก็ซบไหล่แล้วก็หลับไป เขาเคยมารับเราทั้งๆ ที่เหนื่อยมาก เจอหน้ากันปุ๊บเขาก็กอดทันที




                ...นายเหมือนเด็กที่ต้องการที่พักพิงมากเลย...




                อ่า อีกอย่างเขาชอบขอ…




                “พี่ปั้นผมขอความรักหน่อยครับ”




                “เฮ้ยๆ ทำไมหน้าแดง แกคิดอะไรป้ะเนี่ย”




                “เปล่านะ!” เรารีบปฏิเสธเมื่อชมพู่ก้มหน้ามาใกล้จนปลายจมูกเกือบชนแก้มเรา เราคว้าแก้วของใครก็ไม่รู้บนโต๊ะขึ้นมาดื่มเลี่ยงการสบตากับชมพู่




                อึกๆๆ




                “ปั้น แกดื่มกลบเกลื่อนว่ะ ตัวแค่เนี้ยมาหน้าดงหน้าแดง หรือว่าตอนอยู่กันสองต่อสองพวกแก...”




                อึกๆๆ




                “ฮ่าๆๆ ขำแกว่ะปั้น แล้วแต่จะกระดกแก้วอะไรนักหนา เฮ้ย!! นั่นของฉัน!”




                พอชมพู่เอ็ดขึ้นมาเราถึงก้มมองแก้วในมือ น้ำสีชมพูจางๆ เหลืออยู่ก้นแก้ว เรากลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะเลียมุมปาก และรู้สึกว่า




                ...หวานดีแฮะ...

 










                แกร๊ง




                “เอ้าๆ จะหลับแล้วน่ะ”




                นายเหลือบมองคนที่ซบไหล่เขาตามที่เอ็มเจชี้ พี่ปั้นเผลอไปดื่มแอลกอฮอล์ไปแก้วใหญ่ถึงกลับมึนเลยทีเดียว เขากลับมาพร้อมกับไอ้มันฝรั่งทอดของพี่ปั้นพร้อมกับของกินที่พี่ชอบอยากกินอีกหลายอย่าง พอเห็นพี่ปั้นหน้าแดงก็เดาได้ไม่ยาก หันไปมองข้างๆ ก็เห็นพี่ชมพู่ยิ้มขอโทษส่งมาให้ที่ห้ามพี่ปั้นยกดื่มอีกหลายแก้วต่อจากนั้นไม่ได้ เขาไม่ได้พูดอะไรออกไปแต่เห็นทีการอยากลองของพี่ปั้นครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตแล้วล่ะ




                หงุดหงิดอีกแล้ว




                ไม่ใช่เพราะพี่ปั้นหรอก




                แต่ไอ้โต๊ะข้างๆ นี่จะเหลือบมองคนของเขาอีกนานไหมวะ




                ใจไม่สงบเลย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยกมือเสยผมของพี่ปั้นไปด้านหลังก่อนจะลูบเบาๆ




                “ไงชีวิตรักดีไหม” แดมถามยิ้มๆ แน่นอนว่าเอ็มเจก็ยิ้มล้อเลียนเขาด้วย ส่วนพี่ชมพู่พึ่งขอตัวกลับไปเมื่อกี้ เธอบอกว่านัดกับเพื่อนกลุ่มมัธยมต่อที่ร้านแถวสุขุมวิท




                “ดี” นายตอบสั้นๆ ตามอารมณ์ของตัวเองก่อนจะยกแก้วขึ้นมาดื่ม ...ดีดิ ยิ่งกว่าดี ถ้าไม่นับเรื่อง...ช่างเถอะ...




                “หึทำนิ่ง แต่ดีใจด้วยว่ะที่มึงได้เจอคนๆ นั้นซะที”




                อึก




                พี่ปั้นสะอึก เขาถึงรีบวางแก้วทันที ก่อนจะลูบหลังปลอบ




                “เจอใคร--” พี่ปั้นปรือตาขึ้นแล้วเงยหน้าถามเขา “เจอ อึก ใครหรอนาย”




                “ละเมอแหง แต่โคตรน่ารักเลยว่ะ” เอ็มเจส่ายหัวหน่อยๆ ระหว่างขณะมองพี่ปั้น พอมันเห็นเขาจ้องมันเท่านั้นแหละ เอ็มเจก็เลยรีบพูดต่อพร้อมกับโบกมือไปมา




                “แฟนเพื่อนน่ารักก็ชมหน่อยไม่ได้ไง๊”




                “ไม่ได้”




                “ไอ้นายขี้หวง”




                “เออ”




                ไอ้เอ็มเจชักจะเอาใหญ่ สนิทกับพี่ปั้นหน่อยชอบมาแหย่พี่ปั้น




                “อึก เจอใครนะ...”




                นายละสายตาจากเพื่อนมามองคนข้างตัว ก่อนจะระบายยิ้มเล็กน้อย ความหงุดหงิดที่ก่อตัวเงียบๆ หายไปหมดทันที่มองพี่ปั้น




                ...ก็เจอคนที่ทำให้ผมอยากตื่นขึ้นมาในทุกๆ วันยังไงล่ะครับ...




                “แน่ๆๆ ยิ้มเว้ยยิ้มมมม เชี่ยแดมดูเพื่อนมึงดิ โมเม้นนนน”




                “โลกมันสีชมพูจริงจริ๊งงง”




                “ไม่เสียแรงที่เราหลอกมันมาวันนี้ แถมยังได้นั่งดูคนน่ารักเมาด้วยว่ะ กูฟินสองต่อ”




                กึก!




                นายหุบยิ้ม เปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยเหมือนปิดสวิตซ์ เขากวาดสายตาไปรอบๆ โต๊ะก่อนจะเอ่ยนิ่งๆ




                “กูพาพี่ปั้นกลับล่ะ พวกมึงหาทางกลับเองแล้วกัน”




                “เดี๋ย...!!”




                พรึ่บ




                “ไอ้เชี่ยนายยยยยย พวกกูไม่ได้เอารถม๊า”




                ...แล้วทำไมกูต้องปล่อยให้คนน่ารักของกูนั่งนิ่งให้คนอื่นมองด้วยวะ...






---------------------
ตอนนี้ไม่มีอะไรมาก ช่วงต่อเรื่องค่ะ
#เรากับเขา
เลิฟ(พี่ปั้น)
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 19 : เรา...กับเรื่องราวในคืนวันศุกร์ P.9 [26/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-06-2018 23:09:09
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 19 : เรา...กับเรื่องราวในคืนวันศุกร์ P.9 [26/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 26-06-2018 23:52:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 19 : เรา...กับเรื่องราวในคืนวันศุกร์ P.9 [26/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-06-2018 04:41:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 19 : เรา...กับเรื่องราวในคืนวันศุกร์ P.9 [26/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 27-06-2018 12:18:19
โลกนี้สีชมพู :give2:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 19 : เรา...กับเรื่องราวในคืนวันศุกร์ P.9 [26/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-06-2018 13:35:34
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 19 : เรา...กับเรื่องราวในคืนวันศุกร์ P.9 [26/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 04-07-2018 23:48:42
นายขี้หึงมากๆไ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 20 : เรา...กับพัฒนาการฉบับข้าวปัั้น P.9 [26/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 26-07-2018 21:41:57
Act : 20 เรา...กับพัฒนาการฉบับข้าวปั้น



                “อือ ครับ...”



                (ตื่นรึยังเนี่ยปั้น เสียงแหบเชียว)



                “อื้อ แม่ครับตอนนี้กี่โมง”



                (สิบโมงเช้า)



                “แม่อ่า...”



                สิบโมงง ทำไมต้องรีบปลุกด้วยย เราบิดตัวไปมาบนที่นอนก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง ไม่อยากรับรู้ว่าพระอาทิตย์ขึ้นจนจะตรงหัวอยู่แล้ว



                (นาย ปั้นยังไม่ตื่นเลยลูก นี่เราเดินดูต้นไม้กันตั้งนาน ปั้นยังนอนกินบ้านกินเมืองอยู่เลย)



                ...เดี๋ยวนะ นาย?...



                “แม่อยู่กับนายอีกแล้วหรอ”



                (ใช่สิ จะโทรมาอวดซะหน่อย วันนี้เราสามคนมาจตุจักรกัน)



                “เราสามคน? หมายความว่าพ่อก็หักหลังปั้นด้วยหรอครับแม่”



                (ปั้นพูดเกินจริงไปหน่อยแล้วเราน่ะ)



                “แล้วปั้นล่ะ! ทำไมปั้นไม่ได้ไป ทำไมทิ้งปั้นกันหมด” เราเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง สะบัดผ้าห่มจนตกไปข้างเตียง เรื่องนี้เรายอมไม่ได้เด็ดขาด



                (โธ่ ลูกชายยย ปั้นไม่กลับบ้านเองนี่ นายคุยไหมลูก ปั้นโวยวายใหญ่ เดี๋ยวแม่ไปช่วยพ่อดูกล้วยไม้ตรงนู้นก่อน... ครับ)



                ดูเหมือนว่านายจะรับโทรศัพท์ต่อจากแม่ เพราะเสียงกร๊อกแกร๊กดังมาตามสาย เราขยี้ผมตัวเองจนฟูเป็นรังนก ขยับขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าบึ้งตึง



                (พี่ปั้น? ตื่นไปหาอะไรกินได้แล้วนะครับ สายแล้...)



                “ทำไมเราไม่ได้ไป ทำไมเราต้องอยู่ที่นี่”



                เราพูดตัดพ้อ แค่ได้ยินเสียงคึกคักจากอีกฝั่ง เราแทบอยากมีปีก จะได้บินกลับบ้าน



                (เอ้า ก็พี่ปั้นบอกเองว่าทำงาน)



                “นายก็บอกเราว่าทำงานเหมือนกัน ทำไมนายถึงไปกับพ่อแม่ได้”



                (งานของผมไม่เยอะเท่าของพี่ปั้นนี่นา อีกอย่างคุณพ่อกับคุณแม่พี่ปั้นอยากลงต้นไม้พอดี ผมแวะไปหาก็เลยมาด้วยกันครับ)



                “...”



                (น่า...พี่ปั้นกลับมาศุกร์หน้านี้แล้วไม่ใช่หรอครับ พรุ่งนี้วันอาทิตย์ให้ผมไปหาไหมครับ)



                “ไม่ต้องหรอก”



                (อดทนอีกนิดนึงจะได้กลับบ้านแล้วครับ)



                “อื้ม”



                (พี่ปั้น...)



                “...” อยู่ที่นี่คนเดียวโคตรเหงาเลย ทำแต่งานๆๆ ถ้าไม่เจอชมพู่ก็เจอแต่เอกสารกองโตๆ เราไม่อยากทำแล้ว เรา...



                (คิดถึงนะครับ)



                เราชะงัก ก่อนจะกัดริมฝีปากแน่น เสียงทุ้มๆ ที่ส่งมาตามสายนั่น ...ข้าวปั้นโดนโจมตี



                “...”



                (พี่ปั้นคิดถึงผมบ้างไหมครับ)



                “...”



                (พี่ปั้นนน)



                “...อืม” เราตอบออกไปเบาๆ ได้ยินเขาหัวเราะในลำคอ ก่อนที่ปลายสายจะเอ่ยต่อมา



                (อืมอะไรครับ)



                “ก็คิดไง”



                (...ครับ?)



                นายแกล้งเย้า ท่าทางอารมณ์ดีต่างกับเราที่เขินจนแก้มร้อนจี๋ ไม่เข้าใจตัวเองว่าพูดกับเขาแค่นี้ทำไมถึงทำได้ยากนัก



                (ว่าไงนะครั...)



                เราสูดลมหายใจเข้า



                แกร๊ก



                “ก็คิด...ถึงไง”



                (อ้าว คิดถึงแม่หรอปั้น)



                เฮ้ย! แม่



               เกือบจะอุทานใส่แม่แต่ยั้งไว้ได้ทัน เราลอบถอนหายใจ นายนะนายจะไปก็ไม่บอกกันซักคำ



                ...เกือบไปแล้วเรา...
 


                “คระ...ครับ”



                (โถๆ ลูกน้อย /นายเอานี่ไปด้วยดีไหม/ เออปั้นแค่นี้ก่อนนะลูก พ่อเรียกนายไปยกต้นไม้แล้ว แม่จะไปช่วยด้วย)



                “โอเคครับ ซื้อต้นไม้ให้สนุกนะครับ”



                เราพูดประชด และแม่ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว



                (แน่นอน เราสามคนสนุกอยู่แล้ว)



                ตรู๊ด!...



                ...แม่อะ!!!...



 





                “แกเขียนอินโทรบทวิเคราะห์วรรณกรรมเสร็จหรือยัง”



                “...”



                “ปั้น!”



                “หือ ว่าอะไรนะ”



                “ฉันถามว่าแกขึ้นอินโทรรึยัง”



                “ยังเลย”



                “นี่อย่าบอกว่าแกงอนที่พ่อแม่แกไปเที่ยวกับนายน่ะ แหนะ...เงียบแบบนี้ใช่เลย”



                “...ก็อยากไปด้วยนี่”



                “ฮ่าๆ หมาปั้นเอ๊ย ว่าแต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพ่อแม่แกจะชอบนายขนาดนั้น”



                “อืม จนลืมเราแล้วเนี่ย วันเสาร์อาทิตย์ทีไรชอบโทรมาบอกเราว่าอยู่กับนาย แต่ก็ดีเหมือนกันนายจะได้ไม่เหงา”



                “ย้อนแย้งจริงๆ นะแกเนี่ย เอ้า มองกล้อง ยิ้มหน่อย”



                แชะ!



                “บอกอะไรก็ทำตามนะ ช่วงมึนๆ เนี่ย”



                เราเงยหน้ามองชมพู่ที่กดโทรศัพท์พร้อมกับส่ายหน้าเหมือนกับเอือมระอากับการที่เรายิ้มให้กล้อง



                ...เราผิดตรงไหน ก็ชมพู่บอกให้ยิ้มเราก็ยิ้มแล้วไง...



                “ทำอะไรอะ”



                “ส่งรูปแกลงกรุ๊ปผู้พิทักษ์”



                “เฮ้ยยยย อย่านะ เดี๋ยวนายก็โกรธเราอีก” เรารีบคว้าโทรศัพท์มาแต่ชมพู่กลับยืดแขนไปด้านหลังก่อนจะยกยิ้มแบบพี่กิ๊ก สุวัจนี



                “โอ๊ย มันไม่โกรธหรอก แกไม่รู้หรอ พวกมันร่วมมือกันแล้ว”



                “ร่วมมือกัน? หมายความว่าไง”



                “ไม่มีอะไรหรอก แค่เป็นสายรายงานให้นายเฉยๆ น่ะ”



                “ถ้างั้น แสดงว่าเราก็กำลังร่วมมือกับแดม กับเอ็มเจด้วยน่ะสิ”



                “ทำไมยะ”



                “ก็ตั้งแต่ที่เราไม่ได้กลับบ้าน แดมกับเอ็มเจส่งรูปนายมารายงานเราตลอดเลย” เราชูหน้าจอที่แสดงบทสนทนาล่าสุดของเรากับพวกเอ็มเจให้ชมพู่ดู



                ชมพู่ยื่นมือข้ามโต๊ะมาผลักหัวเราจนเซ ก่อนปิดจมูกตัวเอง “เหอะ เหม็นความรัก”



                ...อะไรเล่า เอ็มเจกับแดมส่งมาให้เองต่างหาก เราไม่ได้ขอเล้ย...



                เพื่อนรักเราพยักหน้าแบบขอไปที แล้วเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ชมพู่สบตาเราแฝงความหมายที่เราต่างรู้ดีว่ามันคืออะไร



                “อื้ม”



                เราขยับนิ้วสองสามทีเป็นการเตรียมพร้อม ทำงานได้แล้วข้าวปั้น

 





                “โอยยย เมื่อยหลัง” ชมพู่ร้องโอดโอยหลังจากรัวแป้นพิมพ์อยู่นาน เราสองคนนั่งทำงานอยู่ใต้ตึกอาคารเรียนรวมของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นที่ที่มีนักศึกษามานั่งทำงานกันจนดึกดื่น ปกติแล้วเราจะชอบทำงานที่ตึกคณะมากกว่า เพราะคนไม่พลุกพล่านเท่าที่นี่ ต้องตามใจชมพู่เขาล่ะ เห็นบอกว่าเปลี่ยนที่นั่งทำงานเผื่อจะได้เจอเนื้อคู่จากคณะอื่นบ้าง



               เวลาเกือบห้าโมง วันอาทิตย์แบบนี้ คนเริ่มบางตาไปมาก ทีเป็นแบบนั้นก็เพราะว่าทุกคนหิวยังไงล่ะ จึงต้องเพิ่มพลังให้กับการทำงานที่ยังอีกยาวไกล ช่วงใกล้เดธไลน์ทุกคนมักจะมีพลังวิเศษกัน



                “เสร็จแล้วหรอชมพู่” เราถามโดยที่ตายังมองจออยู่ เพื่อนรักเรายืดแขนคลายกล้ามเนื้อก่อนจะหันมาตอบ



                “เสร็จแล้ว พอ! ฉันไม่แก้แล้ว เพราะฉันหิวมาก แก ไปหาอะไรกินกันไหม”



                “ไม่เอาดีกว่าเรากำลังติดพัน”



                “เกลียดศัพท์แกมากเลยปั้น แต่!ฉันหิว แกเห็นใจผู้หญิงใกล้เป็นเมนส์หน่อยได้ไหม”



                “ประจำเดือนต่างหากล่ะชมพู่ He realized…”



                “เออออ นั่นแหละ ฉันจะกินหมูได้ทั้งตัวแล้วนะ”



                “แต่เราอยากทำให้เสร็จก่อน and what he needs...”



                “แต่ฉันไม่ไหวแล้ว”



                ชมพู่ยืนขึ้นเท้าเอวมองเราด้วยสายตาโมโห...เอ่อ โมโหหิว เราชะงักนิ้วที่กำลังพิมพ์อยู่แล้วหันไปตอบ



                “งั้นชมพู่ไปซื้อเลย เราจะรออยู่ที่นี่ ถ้าชมพู่มา love-hate relation…ship ถ้าใจดีซื้อของกินมาให้ด้วยนะ”



                “ย่ะ! ไปล่ะ หิวๆๆ ฉันเกลียดการวิเคราะห์นิยายที่สุด”



                เราส่ายหน้าเบาๆ กับเสียงบ่นของชมพู่ แล้วใครว่าเราชอบกันล่ะ ฮือ อยากร้องไห้ ให้เราเรียนโฟเนติกยังจะดีซะกว่า ช่วงนี้เป็นช่วงทรหดของปีสี่เลยก็ว่าได้ จะว่าไปตั้งแต่เรียนมาไม่มีตอนไหนที่ไม่ทรหดเลยนี่ คิดแล้วก็อยากจะเททุกอย่างทิ้งแล้วตะโกนว่า...



                ...ตุ๊ดตู่!...



                “โทษนะครั...”



                โป๊ก!



                “โอ๊ย”



                เหตุการณ์ข้างต้นเกิดขึ้นรวดเร็วมากเปรียบเทียบได้กับสองวินาทีครึ่งเท่านั้น ขณะที่เราพิมพ์งานอยู่นั้นจู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งก้มหน้าเข้ามาใกล้โดยที่เราไม่ทันตั้งตัว เราที่กำลังมีสมาธิอยู่ก็สะดุ้งจนหน้าผากโขกกับคางของคนแปลกหน้านี้เต็มแรง



                “เฮ้ย เจ็บป้ะเนี่ย ขอโทษครับๆๆ”



                ...เจ็บบบ....



                เรายกมือกุมหน้าผากด้วยสีหน้าเจ็บปวด เขานั่งลงข้างเราพลางทำท่าเงอะงะก่อนจะโบกไม้โบกมือพูดขอโทษเราใหญ่ นี่มันช่วงเวลาประจวบเหมาะอะไรกัน เรานั่งอยู่เฉยๆ ยังเจ็บตัวได้ คนมาใหม่นั่นผงะไปที่เห็นท่าทางเราแบบนั้น



                “ผมขอโทษ แค่จะมาถามทางไม่คิดว่าจะทำให้ตกใจขนาดนั้น”



                หน้าผากเราร้อนฉ่าเป็นผลมาจากความเจ็บที่ยังเหลืออยู่ ใจเราร้องตะโกนว่าเจ็บนับครั้งไม่ถ้วนแต่ปากกลับร้องไม่ออก แล้วทำไมคนๆ นี้ถึงไม่มีเสียงร้องซักแอะ



                “ขอโทษจริงๆ ครับ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” เขาก้มหน้ามาหาเราอีกแต่เพราะเรายังกุมหน้าผากจึงไม่เห็นหน้าเขาชัดเจน



                “ไม่ ไม่เป็นไร”



                “พี่?...หรือน้องวะ? เอ่อพี่ครับ...ผมจะถามว่าสนามบอลศิลปากรไปทางไหนน่ะครับ นัดเพื่อนไว้แต่ผมไม่เคยมา” เราค่อยๆ เลื่อนมือลงจนเห็นหน้าของคนที่นั่งข้างๆ เราพบว่าเขาเป็นคนที่หน้าตาดีทีเดียว ผมที่ปรกหน้าผากยุ่งเหยิงดูเข้ากับลุคเขาอย่างน่าประหลาด เขาใส่เสื้อและกางเกงฟุตบอลสีน้ำเงินแบบเข้าชุด และดูเหมือนว่าเราจะรู้สึกคุ้นตาชอบกล



                อ่าไม่หรอกมั้ง...เราเบือนหน้าหนีก่อนจะจ้องจอโน้ตบุ๊กต่อ ...อึดอัดชะมัด รีบตอบคำถามเขาไปแล้วกัน...



                "อ่าที่ถามน่ะ...สนามฟุตบอลก็เดินตรงไปตามถนน เลี้ยวซ้ายที่โรงอาหารก็จะเห็นแล้วล่ะ” เขามองตามที่เราชี้แล้วก็ร้องอ๋อ หลังจากนั้นก็เกิดความเงียบทั่วบริเวณรอบตัวเรา



                “ขอบคุณมากครับ”



                เราส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรแล้วหันมามองจอต่อ หางตาเห็นว่าเขาลุกขึ้น



                “เราเคยเจอกันมาก่อนปะครับ หน้าคุ้นๆ”



                เราขมวดคิ้ว ก่อนจะส่ายหน้าอีกครั้ง ยังไม่ไปอีกหรอเนี่ย



                “ไม่มั้งครับ”



                “สงสัยจำคนผิดครับ ยังไงขอบคุณมากพี่”



                 ...เฮ้อ ไปซะที ว่าแต่เจ็บจังคางเขาเป็นเหล็กหรือไงนะ...



                เรารวบรวมสมาธิรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์ต่อ แต่สิบนาทีหลังจากนั้นผู้ชายคนเดิมก็เดินกลับมา เขาวางขวดน้ำเย็นไว้บนโต๊ะดังกึก เราจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความไม่เข้าใจ



                “แทนคำขอโทษที่ทำให้เจ็บครับ ไม่รู้ว่าพี่ชื่ออะไร แต่ผมชื่อ...อาร์มนะ เรียนอยู่มธ. ปีหนึ่งครับ”



                เขายิ้มพลางเกาท้ายทอยสองสามทีแล้วเดินจากไป ทิ้งเราให้งงกับน้ำเปล่าหนึ่งขวด และประโยคแนะนำตัวสั้นๆ



                แปลก...คนอะไรชื่ออาร์มนะ...

               







                เรื่องนี้ถึงหูชมพู่ในอีกยี่สิบนาทีต่อมา เธอกลับมาพร้อมกับอาหารมื้อเย็น ของทอด น้ำปั่น เค้ก ทุกอย่างอยู่เต็มสองมือของชมพู่ ยังไม่พอคนที่ถือถุงของกินเดินตามมาคือเจ็มและกี้ในชุดนักกีฬาบาสเก็ตบอลเต็มยศ



                พอเราเล่าจบทุกคนก็ร้องว่า...



                “ฮะ!!!”



                “ไม่เห็นต้องตะโกนใส่กันเลยนี่สามคนนี้”



                “เดี๋ยวๆ ปั้น ฉันไม่อยู่แค่แป๊บเดียว มีคนเอาน้ำขวดนี้มาให้แกหรอ แถมยังเจอกันเมื่อกี้อีก”



                “มีอุบัติเหตุนิดหน่อย ชมพู่ดูดิ หน้าผากเราแดงไหม”



                ชมพู่ลูบผมที่ปรกหน้าผากเราสองสามที “โธ่ เจ็บตัวเลยเพื่อนฉัน”



                เพื่อนสนิทเรามีท่าทีอ่อนลงแต่อีกสองคนนั้น...ไม่เลย



                “มันทำอะไรพี่ปั้นปะครับ” เจ็มตาโตเขาแทบจะลุกขึ้นเข้ามาเขย่าตัวเรา



                “แค่มาถามทางไปสนามฟุตบอลน่ะ เห็นบอกว่าเป็นเด็กมอ...เอ่อ มธ.”



                “เด็กมธ.?”



                “เห็นบอกว่างั้น”



                “เด็กมธ.มาทำอะไรที่นี่ครับ ถ้าเป็นไอ้นายว่าไปอย่าง”



                “สงสัยมาหาเพื่อนล่ะมั้ง” เราพูดพร้อมกับเกาหัวแกรกๆ อย่างไม่ใส่ใจ แถมยังไม่ได้ยินประโยคหลังที่กี้เอาแต่บ่นงึมงำ



   จู่ๆ เจ็มทำท่าเหมือนนึกอะไรออกก่อนจะเอ่ยปากถามเราต่อ “ไอ้คนนั้นหน้าตี๋ๆ หน่อยใช่ไหมครับ ใส่เสื้อบอลทีมเลสเตอร์ซิตี้ สีน้ำเงินๆ ปะครับ”



                “ใช่ๆ เจ็มรู้ได้ไงน่ะ”



                “เดินผ่านกันเมื่อกี้ครับ แต่ทำไมผมรู้สึกว่าคุ้นหน้าก็ไม่รู้”



                “จะว่าไปเขาบอกว่าเราหน้าคุ้นๆ ด้วยเหมือนกัน”



                เจ็มกับกี้สบตากันเงียบๆ



                “แต่ช่างเถอะ คงจำผิดแหละมั้ง”



               เราเอ่ยไปอย่างไม่ใส่ใจเพราะสายตาเรามองไปที่ของกินบนโต๊ะอย่างเปิดเผย ก็อาหารที่ชมพู่จ้วงกินอยู่ตอนนี้มันน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ เรากับชมพู่แย่งกันทานอาหารเพื่อบำรุงสมองที่ชำรุดเพราะงานที่คั่งค้าง โดยมีเจ็มและกี้เป็นเสมือนทาสที่ปรนนิบัติพัดวีผู้จัดการทีมบาสของตัวเอง



              เราทำงานต่อจนถึงสองทุ่ม ขากลับนี่แทบจะเดินหลับตาเข้าหอ พอถึงห้อง นอนพักไม่นานนายก็โทรมา เราผลัดกันเล่าเรื่องประจำวันให้อีกฝ่ายฟังรวมถึงเรื่องคนแปลกหน้าในวันนี้ด้วย นายเงียบไปแต่เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร ไม่ทันได้ฟังเรื่องของนายเราก็เผลอนอนหลับไปก่อน



             และเราไม่รู้เลยว่า หลังจากนั้นอีกสามวันเราจะได้เจอคนที่ไม่ได้เห็นหน้ามาซักพักใหญ่ ต้องบอกว่าคนๆ นี้มาพร้อมกับพายุ



             เอ่อ...พายุจริงๆ นะ

 





             ซ่าๆๆ



             “ขับรถดีๆ นะชมพู่ ฝนตกขนาดนี้ระวังด้วย”



             “แกก็รีบๆ เข้าห้องตัวเปียกหมดแล้ว นี่ถ้าไม่บังเอิญเจอแกพอดีแกก็คงจะวิ่งฝ่าฝนไปจนถึงหอสินะ”



             “...”



             “ไม่ต้องทำท่าหูตก รีบๆ ไปเลยเดี๋ยวไม่สบายซะก่อน”



             เราพยักหน้าก่อนจะเอ่ยขอบคุณชมพู่ เรารีบวิ่งลงจากรถชมพู่ สองมือกอดกระเป๋าไว้แนบอก แล้วเดินเร็วๆ ผ่านประตูหอพักที่เปิดค้างไว้อยู่แล้ว ช่วงฝนตกแบบนี้คุณป้าเฝ้าตึกไม่ค่อยซีเรียสเรื่องคนเข้าออกมากนัก



             “ทางเดินเปียกหมดเลย”



             เราบ่นพร้อมกับก้มมองพื้นกระเบื้องหอพักชั้นสี่ ค่อยๆ เกาะกำแพงเดินไปทีละก้าว ไม่ได้หรอก พื้นลื่นขนาดนี้ ถ้ารีบเดินมีหวังก้นจ้ำเบ้าให้คนอื่นหัวเราะเยอะแน่ๆ พอถึงหน้าห้องเราก็ก้มหน้าหากุญแจอีก คราวนี้แทบจะมุดหน้าลงไปในกระเป๋าเลย



             ...อยู่ไหนนะ...



             ทำไมเวลาเรารีบมันถึงไม่ได้ดั่งใจนัก เราควานหากุญแจจนกระเป๋าที่จับอยู่ร่วงลงไปกองกับพื้นสร้างความหงุดหงิดให้เราขึ้นไปอีก ก็หนาวจะตายอยู่แล้วนี่



             แกร๊ง!



เอ้า ยังจะหล่นอีก ในขณะที่เราก้มตัวไปเก็บกุญแจอยู่นั้นก็มีเสียงคุ้นๆ ดังมากจากด้านหลังพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ตรงเข้ามา



            “ช่วยหาไหมครับ”



            “เอ่อ ไม่เป็นไรครับ”



            เอ๊ะเสียงนี้...



            ขวับ!



           “นะ...นาย!?!”



             เจ้าของเสียงทุ้มเดินยิ้มเข้ามาหา เขายกมือมาวางบนหัวเราเบาๆ



             “ว่าไงครับคุณลูกหมาตกน้ำ”







 

             “มาได้ไง”               



             เราเหลือบตามองคนที่นั่งกำลังเช็ดผมให้เราด้วยท่าทางขะมักเขม้น เป็นนายนั่นเองที่มาพร้อมกับพายุฝน



             “เห็นประตูหอเปิดอยู่เลยเดินเข้ามาเลยครับ”



“นาย”



“ผมขับรถมาครับ”



             “ฝนตกหนักด้วยเนี่ยนะ”



             “มาตกหนักตอนผ่านมหิดลมานี่แหละครับ”



             “ทำไมไม่บอกเราก่อน”



             “มันกะทันหันครับ”



             “แต่พรุ่งนี้นายมีเรียนไม่ใช่หรอ”



             “อาจารย์ยกเลิกครับ ไม่มีเรียนจนถึงวันศุกร์เลย”



             “แล้ว...”



             “แล้วก็เลยมาหาพี่ปั้น ขอมาอยู่ด้วยสองวัน รอรับพี่ปั้นกลับบ้านครับ”



             เราขมวดคิ้ว ท่าทางสงสัยไม่เลิก “นายไม่ซ้อมบาสหรอ”



             “พี่ปั้น” เขาดุอย่างไม่จริงจังนักแต่ก็ไม่หยุดขยับผ้าขนหนูผืนเล็กบนหัวเรา ผ้าขนหนูที่เขาเอามาจากราวแขวนเสื้อหน้าห้องน้ำด้วยตัวเอง เราไม่แปลกใจในเรื่องนั้นเลยเพราะเวลาที่นายแวะส่งเขามักจะตามขึ้นมาส่งเราถึงห้องเสมอๆ



             “ดุเราทำไม ก็เราอยากรู้นี่ มาไม่บอกแบบนี้เราตกใจเลยมีคำถามเยอะหน่อย”



             “ไม่หน่อยแล้วครับ ผมตอบจนคอแห้งแล้วเนี่ย” นายพูดขำๆ ก่อนจะใช้มือขยี้ผมเราแรงๆ เราโยกตัวหนีแล้วขยับตัวนั่งหันหน้าเข้าหาเขาที่นั่งอยู่กลางเตียง นายเลิกคิ้วรอฟังเราพูดต่อ



             “แล้วนายกินข้าวรึยัง”



             “ยังครับ”



             “ไปองค์พระฯ ไหมจะได้ไหว้พระด้วย เอ๊ะ...แต่ฝนตกนี่” รู้สึกว่าไหล่ตก หูตก ฟ้าฝนเนี่ยทำให้หลายอย่างหยุดชะงักกันไปหมด เป็นเราเองที่ตื่นเต้นเพราะนายไม่เคยมาค้างที่นี่แถมเรายังไม่เคยพาเขาไปทานอะไรอร่อยๆ ที่นครปฐมเลย



             “กินอะไรก็ได้ครับ”



             “ได้ไง เด็กท่าพระมานครปฐมทั้งที นายอยากกินอะไร ที่นี่ มีชาบู หมูกระทะ ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู บะหมี่เกี๊ยว ผัดไท ราดหน้า แต่ต้องรอฝนหยุดตกซักแป๊บ คิดมาก่อนว่าอยากกินอะไร...”



             หมับ!



             นายหยุดคำพูดของเราด้วยการวาดแขนมากอดเอวแน่น แถมยังออกแรงดึงตัวเราเข้าไปชิดอกเขาอีก แต่คำพูดต่อมาของเขาทำให้เราแทบสำลักน้ำลาย



             “อยากกินข้าวปั้น”



             “เฮ้ย” เราดิ้นจะผลักตัวนายออก แต่เขาหัวเราะหึหึก่อนจะแนบแก้มลงบนไหล่เรา สัมผัสอุ่นๆ จากอีกคนทำให้ลดความเย็นของอากาศหนาวไปได้เยอะทีเดียว



             “ล้อเล่นครับ อยากกอดจะแย่แล้ว”



             อาจจะเป็นเพราะน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ส่งมาจากนายนั้นทำให้เราชะงัก ก่อนจะวาดแขนกอดตอบนาย และตบหลังเขาเบาๆ เป็นเชิงปลอบ



              “...นาย?”



              “คิดถึงพี่ปั้น ผมคงเป็นเด็กขี้เหงาอย่างที่พี่ปั้นว่า...”



              “...”



              “แต่คิดถึงจริงๆ นะครับ ที่ไปบ้านพี่ปั้นบ่อยๆ ก็เพราะคิดถึงพี่ปั้น”



              “โอ๋ๆๆ ไม่ต้องร้องนะน้องนาย” เราพูดติดตลก แต่ความรู้สึกบางอย่างตีขึ้นมาจนแทบล้นอก



              จุ๊บ



              นายเอียงหน้า กดริมฝีปากร้อนตรงต้นคอจนเราสะดุ้ง บรรยากาศอุ่นๆ ลอยหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน



              เฮ้ยๆ



              “หยุดเลยๆๆ” เราดันตัวเขาออก นายผละออกมาทำหน้าตางงๆ แต่เรารู้ว่าแกล้งทั้งนั้น



              “ขอความรักไงครับ ไม่สงสารผมหรอ”



             “อย่ามาเนียน”



             “เนียนไม่ได้ งั้นขอตรงๆ เลยล่ะกันครับ ขอความรักให้ผมหน่อยพี่ปั้นนน ขอตรงปากนะครับ”



             “ไม่ ปล่อยเลยๆ เราจะไปทำมาม่าให้นายก็แล้วกัน” เราจิ้มหน้าผากนายแรงๆ หนึ่งทีก่อนจะลุกขึ้น แต่มนุษย์นายกลับคว้าเอวเราอย่างรวดเร็วจนทำให้เราเสียหลักไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงโดยที่เขานอนขำอยู่ข้างๆ กัน



             “ไม่ต้องรีบครับ ผมยังไม่หิว ตอนนี้ต้องการแค่ความรักของพี่ปั้นอย่างเดียว ผมอิ่มทิพย์ได้”



             “ขี้โม้”



             เราหันไปย่นจมูกใส่เขาทีนึง แต่ถึงจะว่าแบบนั้นแต่แรงดึงดูดเจ้าปัญหาก็ผลักเราให้เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ในขณะเดียวกันนายก็ขยับตัวขึ้นมาคล่อมตัวเรา เสียงเนื้อผ้าเสียดสีกันบนเตียงทำให้รู้สึกแปลกๆ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเราเป็นไปอย่างไม่รีบร้อน และเป็นธรรมชาติเหมือนกับเราทั้งคู่เริ่มคุ้นเคยกับความใกล้ชิดแบบนี้ มือของเขาเลื่อนมากุมซีกหน้าด้านซ้ายของเราเอาไว้เบาๆ ไม่รู้ว่าแผ่นหลังจมลงไปกับเตียงตอนไหน รู้ตัวอีกที แสงไฟนีออนเหนือหัวถูกบดบังด้วยใบหน้าของเขาไปแล้ว



             และจากนั้นเราก็ค่อยๆ หลับตาลง



             ในตอนที่ด้านนอกมีเสียงฝนตกดังขึ้นเรื่อยๆ เรากลับได้ยินเสียงหัวใจเต้นตุบตับและเสียงที่เกิดจากริมฝีปากของเราทั้งคู่ดังสะท้อนอยู่ในห้องเล็กๆ นี้



             นายปรับเปลี่ยนองศาใบหน้าไปมา ปลายจมูกเฉียดผ่านกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า สองมือกำชายเสื้อของนายไว้แน่น หน้าอกเรากระเพื่อมแรงขึ้นเพราะหอบหายใจแรง แถมยังรู้สึกว่าเลือดยังสูบฉีดหนักจนคิดว่าต้องตายแน่ๆ แต่พอเราจะผละออกนายก็ตามมาจูบซ้ำๆ เขาไม่ปล่อยให้ผีเสื้อที่บินว่อนอยู่ในท้องได้หยุดพักเลยแม้แต่วินาทีเดียว



             “นะ..นาย ”



             ...ชักจะนานไปแล้วนะ...



             นายรู้ว่าควรหยุด เขายิ้มชิดริมฝีปากก่อนจะเลื่อนไปกดจูบค้างไว้ตรงหน้าผากบริเวณ ซึ่งเป็นที่ที่ชนกับคนแปลกหน้าเมื่อสองวันก่อน ...เขาใช้นิ้วโป้งไล้เบาๆ ตรงหน้าผาก เราเริ่มกลับมาเป็นข้าวปั้นคนเดิมที่เงอะงะและไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ตรงไหน แรงดึงดูดเมื่อกี้หายไปแต่กลับมีความเขินอายเข้ามาแทนที่ และนายคงจะรู้เช่นกันว่าเราเขินจนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขาเลย



             ...ให้ตายเถอะ กับเรื่องนี้ไม่เคยชินเลยซักที...



            “ผมรัก” เขาพูดเสียงเบา แต่เราก็ได้ยินอยู่ดี



             “ว่าอะไรนะ”



             “ชื่นใจที่สุด” นายรู้ว่าเรารู้ เขายิ้มก่อนล้มตัวมากอดรัดเราเหมือนงูเหลือม เรารู้นะว่าเขาทำเพราะกลบเกลื่อนความเขินของตัวเอง นายโยกตัวเราไปมาเหมือนตุ๊กตาตัวหนึ่งพลางกดหัวเราให้ซบไปกับบ่าเขา



             “นายชื่นใจแต่เราจะตายแล้วเนี่ย”



              ถึงจะร้องขอความเห็นใจแค่ไหน นายก็ไม่เห็นจะคลายกอดซักที แต่ก็ดีเหมือนกันเราจะไปซ่อนแก้มแดงๆ นี่ไม่ให้เขาเห็นซักพัก


หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 20 : เรา...กับพัฒนาการฉบับข้าวปั้น P.9 [26/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 26-07-2018 21:44:19

               

               เพราะฝนเริ่มซาหลังจากนั้นอีกสองชั่วโมง เราจึงพาเขามาหาอะไรทานที่ไม่ใช่อะไรก็ได้อย่างที่นายต้องการ พื้นชื้นแฉะจนทำให้เราแทบลื่นอยู่หลายครั้ง นายที่เดินตามมาด้านหลังถึงจะคอยคว้าไหล่ไว้ แต่ก็ส่งเสียงหัวเราะมาไม่หยุด



               “หยุดหัวเราะ”



               มานั่งรอข้าวเขาก็ยังไม่หยุดอีก ...ไม่เห็นรึไงว่าคนมองหมดแล้ว โดยเฉพาะ...ผู้หญิงโต๊ะข้างๆ ที่มองนายแล้วก็ยิ้มอยู่แบบนั้น...



                “โอเคครับบบ หน้าบึ้งจัง ผมหยุดหัวเราะแล้วไง”



                ไม่รู้ตัวเองเป็นอะไรมันน่าหงุดหงิดใจชะมัด



                “ยิ้มให้ผมหน่อยครับ” นายยื่นมือมาจากอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ก่อนจะยืดแก้มเราออก



                เราจับมือเขาออกพลางเหลือบมองไปรอบๆ



                “พอแล้ว คนมอง”



             “ไม่ใจดีกับผมเลย” เขาทำหน้าหงอย เด็กเจ้าเล่ห์คนนี้ไว้ใจไม่ได้หรอก



             “ใครจะไปอารมณ์ดีเหมือนนายล่ะ”



                “ก็ต้องอารมณ์ดีซิครับ ผมไม่ได้เจอพี่ปั้นมากี่วัน กี่อาทิตย์แล้ว หรือว่าพี่ปั้นไม่ดีใจถึงทำหน้าบึ้งใส่ผมแบบนี้”



                “เปล่าทำซะหน่อย เราแค่ ช่างเถอะ...กินข้าวกัน”



                เราสองคนกินข้าวเงียบๆ ตอนนี้เกือบสามทุ่มแล้วนักศึกษายังคงคึกคัก คงเป็นเพราะฝนที่ตกตอนเย็นทำให้ต้องออกมาซื้อของกินกันช่วงนี้



                “พี่ปั้นออกมามืดๆ ค่ำๆ แบบนี้ทุกวันหรอครับ” นายเริ่มต้นบทสนทนา เขากำลังทำให้ความเงียบค่อยๆ หายไป เขายิ้มเล็กน้อยตอนที่ฟังเราพูด



                “ก็มีบ้างแหละ แต่ที่นี่คนเยอะนะ ขนาดสี่ห้าทุ่มเรายังลงมาซื้อของกินเลย”



                ...ว่าแต่ทำไมยิ่งพูดนายถึงหุบยิ้มล่ะ...



                “ลงมาสี่ห้าทุ่ม?”



                “เอ่อ...ใช่ก็มีบ้าง”



                “คนเดียว?”



                “ก็คนเดียวน่ะสิ”



                “ให้ตายเถอะพี่ปั้น ทำไมผมไม่เกิดเร็วกว่านี้อีกซักนิดนะ” เขาถอนหายใจ คิ้วได้รูปขมวดกันเป็นปม



                “ทำไมล่ะ”



                “ถ้าผมเกิดเร็วกว่าเดิมคงจะดีกว่านี้นะ ผมจะเรียนที่นี่ ผมจะเช่าห้องอยู่ข้างๆ พี่ปั้น ผมจะลงมาซื้อของกินเป็นเพื่อน ผมจะไปรับพี่ปั้นตอนฝนตก จะได้ไม่ไปไหนมาไหนคนเดียวแบบนี้ จะได้เจอพี่ปั้นเร็วๆ ด้วย” เรานิ่งไปก่อนจะมองหน้าคนที่กำลังบ่นให้ข้าวกะเพราะหมูสับฟัง เรายกยิ้มเป็นยิ้มที่มาจากความดีใจข้างใน ไม่คิดเลยว่าคนอย่างเรา คนใช้ชีวิตเงียบเหงามาตลอดหลายปีจะมีคนที่อยากเกิดมา...เพื่อเจอเรา



                “แบบนี้แหละดีแล้ว”



                “...ครับ?”



                “แบบนี้แหละดีแล้วจริงๆ นะ”



                “พี่ปั้น...” นายเงยหน้าขึ้นสบตากับเราที่ยิ้มอยู่เงียบๆ

               





                “โห นายเตรียมพร้อมขนาดนี้เลยหรอ แล้วถ้าเราไม่ให้นอนล่ะ”



                กลับเข้ามาที่ห้อง ก็พึ่งสังเกตว่านายเตรียมตัวที่มาจะนอนที่นี่อย่างจริงจัง...หมายถึงเสื้อผ้านะ อย่าคิดเป็นอย่างอื่น นายที่เดินออกมาจากห้องน้ำพอเห็นเราชี้ที่กระเป๋าเขาเลยเข้าใจ



                “ถ้าพี่ปั้นไม่ให้นอนผมก็ไปขอนอนกับคนอื่นก็ได้ครับ”



                “ขอนอนกับใครล่ะ”



                “อืมมม...กับใครดีนะ”



                เขาพูดยิ้มๆ เหมือนหยอกเล่น แต่เราเม้มปากฉับ อยู่ๆ ก็มีความรู้สึกไม่ชอบใจพุ่งขึ้นมาจนจุกหน้าอก และดูเหมือนนายจะสังเกตเห็นมัน



                “พี่ปั้น...”



                ภาพผู้หญิงที่ร้านอาหารเมื่อกี้ผุดขึ้นมาในความคิด ...ไม่ชอบเลยจริงๆ...



                พอคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา นายมักจะอยู่ใกล้ๆ เราเสมอ จนเราลืมนึกไปว่าแล้วตอนที่นายไม่อยู่ใกล้เราล่ะ เพราะเป็นนาย...คนที่ใครๆ ต่างก็แอบมอง เราพยายามทำเป็นมองไม่เห็น เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเราออกไปด้านนอก สายตาของคนอื่นมักจะหยุดอยู่ที่นายเสมอ



                “ถ้างั้นนายก็ไปนอนกับใครก็ได้งั้นสิ”



                ถึงจะไม่ชอบใจแต่เพราะคำพูดของนายเราจึงเอ่ยประชดออกไป นายชะงัก ในห้องสี่เหลี่ยมนี่มีแต่เสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่งๆ เท่านั้น



                เงียบสนิท



             เรานั่งก้มหน้ามองเท้าซีดๆ ของตัวเองอยู่ปลายเตียง ในใจมันรู้สึกแย่หลังพูดประโยคนั้นออกไปเพียงหนึ่งวินาที เราเป็นอะไรกันนะ ความรู้สึกอึดอัดในอกนี่มันอะไรกัน นายยืนมองเราอยู่นาน ในที่สุดเขาก็เดินเข้ามานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเรา ฝ่ามือเย็นเฉียบลูบแก้มเราช้าๆ



                “พี่ปั้นอย่าดูถูกความรักของผมนักเลย”



                อาจเพราะน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วเจ็บปวด ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองแย่ยิ่งกว่าเดิม



                “เรา...ไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษ” เกือบจะร้องไห้แล้ว แต่นายรั้งคอเราลงมาซบที่ลาดไหล่เขา พลางกระซิบบอกว่าไม่เป็นไร



                “พี่ปั้นน่ะ คิดอะไรต้องบอกผมบ้างนะรู้ไหม”



                “...”



                “เราตกลงคบกันแล้ว มีอะไรไม่ชอบใจก็บอกกันสิครับ”



                “...”



                “ไหนพี่ปั้นบอกผมสิครับ ว่าที่เม้งใส่ผมเนี่ยเป็นเพราะอะไรหื้ม?” เรากัดริมฝีปาก ก่อนจะผละตัวออกจากวงแขนของนาย เราค่อยๆ เลื่อนตัวมานั่งพื้น เรายกมือกอดเข่าตัวเองและพิงหลังกับปลายเตียง นายขยับตามมานั่งข้างๆ แล้วเขานิ่งคล้ายกับรอเราพูด เขาเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอ...ฟังความรู้สึกที่พรั่งพรูออกไปนี้



                “เรา...ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เราไม่ชอบใจเลยที่นายพูดแบบนั้นเลย เหมือนกับว่าจะไปหาคนอื่นง่ายๆ แต่แล้วเรากลับบอกให้นายไปง่ายๆ เหมือนกัน เรานี่แย่จังนะ” เพราะหาเหตุผลไม่ได้ เราเลยพูดออกไปอย่างน้อยก้อนหินที่ถ่วงความรู้สึกอยู่ตรงนี้คงจะมีน้ำหนักเบาลงบ้าง



                “ผมพูดเล่นครับ ขอโทษที่ทำให้คิดมากนะครับ ต่อไปนี้ผมจะไม่พูดอะไรให้พี่ปั้นคิดมากอีกแล้ว”



                “ไม่หรอก อาจจะเป็นเพราะเรา...กลัวล่ะมั้ง” เราเอนหัวซบกับไหล่เขา อุณหภูมิผิวกายเย็นกว่าปกติ เขาเงียบฟังพลางกดจูบกลางกระหม่อม



                “...”



                “มีแต่คนมองนาย เราเลยกลัวว่าวันนึงคนที่นายเลือกอาจจะไม่ใช่เราก็ได้...พอคิดแบบนั้นแล้วก็...”



                แววตานายฉายแววแปลกใจวูบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะจุดยิ้มที่มุมปาก ทั้งหมดนั่นเราไม่ได้เห็นมันเลยแม้แต่น้อย “พี่ปั้นรู้ไหมครับ”



                “...หืม?”



             “เพราะเหตุผลเดียวกับพี่ปั้น ผมถึงทนรอวันศุกร์ไม่ไหวและพาตัวเองมาอยู่ตรงนี้”



                เราหันหน้ามองนายอย่างไม่เข้าใจนัก



                “ก็เพราะมีแต่คนชอบพี่ปั้น มีแต่คนมองพี่ปั้นของผม ผมถึงกลัวว่าคนอื่นจะมาแย่งพี่ปั้นไปจากผม ผมโคตรงี่เง่าเลยใช่ไหมครับ”



                ...เราเนี่ยนะ... “จืดชืดอย่างเรามีแต่นายแหละที่หลงผิด”



                “พี่ปั้นก็รู้ว่ามันไม่จริง ไม่งั้นไอ้เด็กมธ.คนนั้นจะไปหาพี่ปั้นได้ไงครับ” ท้ายประโยคนายพูดเสียงแข็งจนเราตกใจ



                “...นั่นน่ะ เรื่องบังเอิญ” เขาคงรู้เรื่องจากชมพู่แล้วแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่มีท่าทางโกรธขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ



                “สำหรับผมนั่นคือการจงใจครับ ไม่ทราบว่าพี่ปั้นไปทำตัวน่ารักหรือทำอะไรตรงไหนที่ทำให้ไอ้คนที่มันเรียนท่าพระนั่นมันทำเนียนมาถามทางได้”



                “อ้าวเขาเรียนฝั่งเดียวกับนายด้วยหรอ”



                “พี่ปั้น!”



                ...เดี๋ยวนะ ทำไมสถานการณ์มันชักเปลี่ยน นายเม้งใส่เราแทนแล้วเนี่ย...



                แล้วตกลงเราดีกันแล้วใช่ไหม



                ไม่ต้องคิดหาคำตอบให้มากมาย เพราะต่อจากนั้น เราก็โดนนายบ่นยาวเหยียด เขาบ่นทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเราแถมยังบ่นรัวๆ จนแทบฟังไม่ทัน เขาบอกเราว่าไม่รู้จักระวังตัว มีคนมาเนียนจีบก็มึนใส่ จะบอกว่าตอนนั้นเจ็บหน้าผากอยู่ต่างหากถึงเถียงไม่ทัน ยิ่งนายบ่นเขายิ่งเพิ่มเลเวลบรรยากาศติดลบเข้าไปอีก เขาบ่นไปถึงชมพู่ บ่นพวกผู้พิทักษ์ที่ละเลยหน้าที่ บ่นๆๆๆ



                จากนั้นก็นอนหันหลังให้เรา จนเราได้แต่มองเขางงๆ จับต้นชนปลายไม่ค่อยถูกก็เลยล้มตัวลงนอนข้างๆ เขา พอเราเริ่มเคลิ้มหลับก็รู้สึกถึงวงแขนที่รวบเอวเราเข้าไปใกล้ แถมยังซุกหน้าที่คอเรานอนหลับปุ๋ย ทิ้งให้เรานอนตัวเกร็งเป็นท่อนไม้อยู่แบบนั้น



                “งอนครับแต่อยากนอนกอด”



                ถึงจะใจเต้นแรงจนนอนไม่หลับแต่จะยอมให้วันนึงแล้วกัน



                ...กอดแล้วหายงอนด้วยนะ...







=========
มาช้าอีกเเล้วค่ะ
ขอโทษมากๆ เลย พี่ปั้นเป็นนิยายรายเดือนไปซะเเล้ว
ขอบคุณทุกคนเหมือนเดิมค่ะ 
ขอให้มีความสุขในวันหยุดนะคะ
คิดถึงม้วกเลยยย
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 19 : เรา...กับเรื่องราวในคืนวันศุกร์ P.9 [26/6/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-07-2018 08:10:29
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 20 : เรา...กับพัฒนาการฉบับข้าวปั้น P.9 [26/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-07-2018 23:33:42
 :impress2:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 20 : เรา...กับพัฒนาการฉบับข้าวปั้น P.9 [26/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 28-07-2018 00:13:52
คิดถึงพี่ปั้นมากกกกกกกกกกก ความรักกำลังสุกงอม อิอิ :mew1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 20 : เรา...กับพัฒนาการฉบับข้าวปั้น P.9 [26/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 28-07-2018 06:42:58
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 20 : เรา...กับพัฒนาการฉบับข้าวปั้น P.9 [26/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-07-2018 22:38:46
พี่ปั้นนน่ารักจนหนุ่มมธมาติดกับอีกคนแล้วเหรอคะ คนอย่างพี่ปั้นไม่ควรต้องให้เขามาเจอเรื่องดราม่าอะไรทั้งสิ้น ขอให้น่ารักไปวันๆก็พอนะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 20 : เรา...กับพัฒนาการฉบับข้าวปั้น P.9 [26/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-07-2018 01:22:05
เสน่ห์เรี่ยราดจริงๆ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 20 : เรา...กับพัฒนาการฉบับข้าวปั้น P.9 [26/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 31-07-2018 12:05:21
น้องนายกลายเป็นตาแก่ขี้บ่นไปแล้ว 5555
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』 Act 20 : เรา...กับพัฒนาการฉบับข้าวปั้น P.9 [26/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 31-07-2018 23:53:29
หวานกำลังดี,,,
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 21 : เขา...กับเรื่องที่ไม่ได้พูดแต่รู้สึก P.9 [28/8/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 28-08-2018 21:33:42
วันนี้ฝนตก

Act 21 : เขา...กับเรื่องที่ไม่ได้พูดแต่รู้สึก     



                “อารมณ์ดีจังนะข้าวปั้น”



                “แน่นอนครับ งานส่งหมดแล้ว แถมยังได้กลับมานอนบ้านด้วย” เพราะอาทิตย์นี้เรามีเรียนที่นครปฐมแค่วันเดียวดังนั้นข้าวปั้นของแม่ก็จะได้กลับมานอนที่บ้านทุกวันเลย ดีใจที่สุด



                “แน่ใจหรอ ไม่ใช่ว่า...” แม่หรี่ตาแกล้งพูดเสียงสูง ทำเอาพ่อที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้ไม้หัวเราะไปด้วย



                “อะไรกันครับ ปั้นก็อารมณ์ดีเพราะจะได้อยู่บ้านต่างหาก คิดถึงกับข้าวแม่ที่สุดเลยด้วย”



                “ปากหวานจริงๆ  เอ้อแล้วปั้นอยู่นู่นกินอะไรล่ะนาย”



                หือ?



                ...นั่นคือประโยคที่ถามนายหรือถามเรากันแน่…



                “พี่ปั้นกินขนมเป็นหลักครับ ตอนอ่านหนังสือดึกๆ ชอบแกะขนมมากินตลอดเลย แถมในห้องมีแต่พวกขนมกับมาม่า”



                “ปั้น! แม่บอกแล้วใช่ไหมอย่ากินมาม่า”



                “ก็พ่อเอาใส่กระเป๋าไว้ให้ตั้งแต่เปิดเทอม ปั้นต้องเอามากินหน่อยเดี๋ยวมันเสีย” เหมือนโดนดุจนตัวเล็กลง เราอ้อมแอ้มตอบท่ามกลางเสียงหัวเราะของนายและ...พ่อ



                “พ่ออออ ทำไมรุมปั้นงี้ล่ะ”



                “ตลกปั้นไง”



                ...คำตอบคงมีแค่นั้นเองสินะ...



                “อะ เอาล่ะ ในเมื่อลูกชายของแม่เริ่มจะขาดสารอาหาร เย็นนี้เราจะทานอาหารนอกบ้านกัน”



                เราทำตาโตก่อนจะหันหน้าไปสบตานายด้วยความตกใจ รู้สึกหัวใจพองโตเหมือนบอลลูนยักษ์ กินเนสบุ๊กส์จะต้องจารึก



                ...แม่บอกว่าจะทานอาหารนอกบ้าน!!...

               







                อ่า...



                ก็อาหารนอกบ้านจริงๆ นั่นแหละ



                “พี่ปั้น ยกจานในครัวออกมาด้วยนะครับ”



                ...เฮ้ๆ นี่บ้านเรานะ... มนุษย์นายสั่งเราได้งั้นหรอ



                “นาย เดี๋ยวเอ็มเจกับแดมจะมาถึงกี่โมงนะลูก” ไม่ต้องแปลกใจ นอกจากนายแล้วแม่ก็ยังรู้จักแดมกับเอ็มเจอีกด้วย มีคนแวะมาหาตอนลูกไม่อยู่เนี่ยแม่เราชอบนักล่ะ



                “อีกครึ่งชั่วโมงครับ”



                “ดีเลยๆ บอกให้เอ็มเจแวะซื้อกุ้งที่ตลาดซอย 71 ให้แม่หน่อยนะ”



                “ซื้อเบียร์ให้พ่อด้วย”



                “เอ่อ ทุกคนครับนี่วันเกิดอยากจะกินแต่เอาปั้นมาอ้างใช่ไหมครับ”



                “พึ่งรู้หรอปั้น”



แม่หัวเราะ ก่อนจะยกถาดใส่บาร์บีคิวจากมือนายไปวางไว้โต๊ะหน้าบ้าน แปลกแต่จริง ก่อนหน้านี้เราบอกแม่ว่าอยากกินนู่นนี่แม่ไม่เห็นสนใจเลย พอนายเล่าว่าเขาไปทานอาหารเย็นกับคุณลุงแล้วรสชาติไม่ถูกปาก แม่ก็อาสาจะทำอาหารให้นายกินเองทันที



                ...อย่างนี้น่ะหมายความว่ายังไงครับ...



                “พี่ปั้น พี่ชมพู่จะมาด้วยนะครับ” นายเอ่ยขึ้นระหว่างเดินเข้ามาหาเราแล้วคว้าตะกร้าใส่จานชามไปถือไว้เอง เมื่อวานหลังจากนายมาส่งเราที่บ้านตามปกติ แต่เพราะคุณลุงเขาโทรมา นายจึงขอตัวกลับก่อน แล้วนายก็โผล่มาตั้งแต่เช้าของอีกวัน นั่งคุยเล่นกับแม่จนถึงตอนนี้ และไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าเราถึงรู้สึกว่านายมีเรื่องอะไรในใจ



                “หือ ชมพู่หรอ? ได้ไง ชมพู่ไม่เห็นบอกเราเลย”



                “เมื่อกี้พี่พู่โทรหาพี่ปั้นแล้วไม่รับสาย เลยโทรเข้าเครื่องผมครับ พอบอกว่าที่บ้านกำลังเตรียมอาหารอยู่เลยจะมาหา วันนี้พี่พู่มานอนบ้านที่กรุงเทพพอดีครับ”



                “โห เราถามคำเดียวเอง ตอบซะยาว” เราทำหน้ามุ่ยจนเขาหลุดหัวเราะ



                “เดี๋ยวพี่ปั้นก็ถามเยอะกว่านี้ครับถ้าผมตอบนิดเดียว”



                …โอเค เห็นนายยิ้มแล้วก็สบายใจ...

 







                เรื่องมันไปยังไงมายังไงถึงมีคนเต็มบ้านเราไปหมด เราเดินถือบาร์บีคิวสองไม้ที่ปิ้งเองไปที่โต๊ะยาวหน้าบ้านอย่างงงๆ ไม่มีใครสนใจเราเลย ขนาดนายก็ยังคุยกับพ่อเราไม่หยุด เรานั่งลงเงียบๆ ข้างชมพู่ กระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้น



                “อ้าวเจ้าของบ้านมานั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” เอ็มเจแกล้งทำหน้าเหรอหรา หมั่นไส้ชะมัด กินกุ้งของเราจนแทบจะหมดชาม พอเราเบะปากเป็นคำตอบก็มีเสียงหัวเราะครืนดังรอบโต๊ะ



                “ปั้น แกถือบาร์บีคิวมามือเปล่าไม่ร้อนหรอ” ชมพู่เอ่ยทักแค่นั้นก่อนจะหันไปชมแม่ว่าทำน้ำจิ้มซีฟู้ดอร่อยมาก เอาเถอะ...เราน้อยใจให้เนื้อบนไม้บาร์บีคิวก็ได้



                พรึ่บ!



                “ทำไมไม่ใส่จานมาครับ เดี๋ยวนิ้วก็พองหรอก” นายย้ายตัวเองมานั่งข้างเรา หันไปมองที่นั่งของเขาก็เห็นว่าแดมไปนั่งแทนที่แถมยังชนแก้วกับพ่อเราด้วย



                “นายอย่าสนใจเราเลย” เราว่าก่อนจะกัดเนื้อชุ่มซอสบาร์บีคิว “เรามันก็ข้าวปั้นคนนึงที่ไม่มีใครสนใ...”



                ...อร่อย!...



                “ตาว้าวเลยพี่ปั้น” เอ็มเจเอ่ยแซว พอแม่มาถามว่าตาว้าวเป็นยังไง ชมพู่กับเอ็มเจเลยแย่งกันพูด เรียกง่ายๆ ว่านินทาเราระยะเผาขน



                “นายชิมบาร์บีคิวรึยังอร่อยใช้ได้เลยล่ะ” เราเคี้ยวเนื้อตุ้ยๆ อื้อหือ รู้สึกถึงความหอมหวานอยู่ในปาก จนเราลืมเรื่องน้อยใจไปจนหมด นายที่นั่งข้างๆ ถึงกับหลุดขำ



                “หึหึ โตจนป่านนี้แล้วยังกินเลอะอยู่อีกนะครับ” นายเอียงหน้ามอง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูสดใสขึ้นเยอะ



                “เดี๋ยวเราค่อยเช็ด” เราพูดพร้อมกับกัดพริกหยวกเข้าเต็มคำ



                “มาครับ ผมเช็ดให้” เขาพูดเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคน พอเหลือบเห็นนายทำท่าจะยื่นมือมาเราก็เบี่ยงหน้าหนี พ่อกับแม่นั่งอยู่หัวโต๊ะนี่เอง เขาก็รู้ยังจะแกล้งอยู่ได้



                “อื้อ อย่า” เราขมวดคิ้วส่ายหน้าปฏิเสธแต่นายยังดื้อที่ยื่นมือมาอีก ทำไมวันนี้นายถึงไม่ฟังเราเลยนะ



                “พี่ปั้นก็กินไปสิครับ ผมเช็ดให้เอง”



                “นายอย่าเล่น”



                “ซอสราดมันเผ็ด ปากพี่ปั้นแดงหมดแล้ว มาครับ”



                “มีเด็กๆ มากันเต็มบ้านขนาดนี้ดีจังเลยนะเนอะพ่อ คราวหน้าต้องให้ปั้นพาเพื่อนมาบ่อยๆ แล้ว ใช่ไหมปั้น?”



                ขณะที่นายไล้นิ้วตรงขอบปากเรา จู่ๆ แม่ก็หันหน้ามาหาทางนี้พอดี และนั่นทำให้เราสะดุ้งสุดตัวจนปัดมือนาย เผลอเอ็ดเขาด้วยความตกใจ



                “นาย!/เพี้ยะ!/”



                “....!!!"



            “...ขอโทษครับ”



                เสียงเฮฮาเมื่อครู่เงียบสนิท นายเก็บแววตาตกใจของตัวเองไว้มิดชิด ก่อนเอ่ยขอโทษเบาๆ ตัวเราเองก็หลบสายตาของพ่อแม่ที่มองมา



                ไม่สิเป็นสายตาของทุกคนต่างหาก

             

              “เอ่อ ปั้นแกจะเสียงดังทำไม ฉันตกใจหมด แหมข้าวปั้นก็อย่างเนี้ยแหละค่ะ ตอนอยู่ม.ก็ชอบเสียงดังใส่หนูบ่อยๆ แหะๆ แม่คะ แม่มีสูตรทำน้ำจิ้มไหมคะ อร่อยมากเลย” ชมพู่เป็นคนแรกที่ทำลายความอึดอัดนี้ เธอชวนแม่คุยต่อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนแดมกับเอ็มเจก็ทำเป็นยกแก้วเบียร์ชนกับพ่อ ชวนคุยเรื่องฟุตบอลโลกที่ผ่านไป



                คล้ายๆ กับว่าทุกคนพยายามไม่ให้ความสนใจกับเราทั้งคู่มากนัก



                “นะ...นายเราไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษนะ” หลังมือของนายแดงขึ้นเล็กน้อย แม้ตอนนี้จะเริ่มมืดแล้วแต่เราก็ยังเห็นชัดเจน                 เราใช้นิ้วโป้งลูบเบาๆ ที่รอยนั่นใต้โต๊ะ



                “เจ็บไหม” เราถามอย่างรู้สึกผิด



              คนข้างๆ เงียบอยู่นานจนเราเงยหน้าขึ้นไปทวนคำถามอีกครั้ง นั่นทำให้เราเห็นแววตาหม่นแสงของเขาที่มาพร้อมกับคำตอบ



               “เจ็บครับ”



                ช่างเป็นคำตอบแผ่วเบาแต่หนักอึ้งในหัวใจเหลือเกิน

 







                  บรรยากาศต่อจากนั้นมันแย่ไปหมด



                เราหันไปมองเสี้ยวหน้านายอย่างรู้สึกผิด



                “ปั้นแกเข้าไปเอาน้ำจิ้มเพิ่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”



                หลังจากพ่อและแม่เข้าบ้านไปเอนหลัง ชมพู่ก็เอ่ยขึ้น เราที่มองนายอย่างเป็นกังวลก็หันหน้ามาหาคนชวนด้วยความสงสัย ก็เรา...ยังไม่ได้คุยกับนายเลยนี่ ชมพู่ไม่ให้เราปฏิเสธเธอคว้ามือเราเข้ามาในบ้าน ปล่อยให้นายนั่งอยู่กับเอ็มเจและแดมที่พยายามชวนนายชนแก้ว



                “พวกแกโอเค...รึเปล่า” ชมพู่เปิดประเด็นทันที เราชะงักเพราะคำถามนั่น



                “...” เรื่องที่เกิดขึ้นกลางโต๊ะอาหารทำให้นายเงียบไปอย่างที่เราไม่เคยรู้สึกมาก่อน



                “มีอะไรอยากจะระบายไหม”



                พอมีคนถามความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

     

                 “ชมพู่ เรา เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ เรา...” เราละล่ำละลักบอก พยายามทบทวนการกระทำของตัวเองว่าทำพลาดไปตรงไหน หรือทำอะไรโดยที่ไม่รู้ตัวรึเปล่า และยิ่งคิดก็ยิ่งได้คำตอบ หัวใจบีบรัดจากสิ่งที่มองไม่เห็น ยิ่งคิดก็เห็นจุดเล็กๆ ที่ตัวเองมองข้ามไป



                เราก้มหน้าต่ำ ที่มากกว่าความรู้สึกนั้นก็คือทุกครั้งนายมักจะเข้าใจและเปิดอกคุยกับเราเสมอ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นายหลีกเลี่ยงจะคุยกับเราและนั่นทำให้เราปวดหัวใจมากกว่าเดิม



                “เอาล่ะๆ ไม่ต้องร้องๆ ถึงจะคบกันแล้วก็ยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้กันอีกมาก พวกแกไปคุยกันให้เข้าใจซะ ยิ่งเป็นคนสำคัญน่ะก็ต้องยิ่งใส่ใจกันให้มากนะ”



             ชมพู่ปล่อยให้เราตกตะกอนความคิดของตัวเองอยู่ไม่นานเธอก็เอ่ยทำลายความเงียบ



             “...”



                “ปั้น...”



                “หืม”



                “การที่มีใครอีกคนมาอยู่ในชีวิตน่ะ มันไม่ง่ายเลยนะ...”



                “...”



                “แล้วการที่จะรักษากันและกันไว้ได้...มันยากยิ่งกว่า”



                “...”



                “แกรู้ใช่ไหม”

 







               เหมือนระหว่างเรามีกำแพงบางๆ ที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ

             

               เราตัดสินใจว่าจะคุยกับนาย แต่ดูเหมือนว่ายังไม่มีโอกาสนั้น



                เรารอ...



                รอจนน้ำแข็งในแก้วละลายแล้ว นายก็ยังไม่หันมามองเรา



                นายนั่งดื่มเบียร์ไม่สนใจใคร เขาจมอยู่ในภวังค์ของตนเองอยู่นาน เพราะบรรยากาศที่แปลกไป  ทั้งชมพู่ เอ็มเจ และแดมจึงพยายามหาเรื่องต่างๆ มาพูดคุยกัน แต่ทุกอย่างมันกร่อยสนิทบวกกับเริ่มดึกแล้ว ไม่นานเพื่อนๆ น้องๆ ก็ขอตัวกลับ โดยที่เรายืนยันว่าจะเก็บของเองได้ไม่ต้องเป็นห่วง ชมพู่ยิ้มให้กำลังใจเราก่อนกลับ ส่วนเอ็มเจมากระซิบบอกว่าจะพานายกลับไปด้วยเพราะดูท่านายคงจะเมาแล้ว คนที่ถูกเอ่ยถึงขมวดคิ้วฉับ เราหันไปมองเขาเล็กน้อยก่อนจะปฏิเสธเอ็มเจไป



                เสียงแก้วกระทบกันดังกร๊องแกร๊งภายในห้องครัว เราล้างแล้วส่งให้นายที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำทุกอย่างเหมือนปกติทั้งๆ ที่รับรู้อยู่ในใจว่ามีอะไรแปลกไป เขาปิดปากเงียบ แต่ก็ยังไม่ไปไหนคอยช่วยเราเก็บของ ห้ามเรายกอะไรหนักๆ ด้วยสายตาดุๆ ...อย่างน้อยท่าทางนั้นก็ทำให้ใจชื้นได้บ้าง



                เก็บของล้างจานชามเรียบร้อยแล้วเราก็เข้ามานั่งพักที่ห้องนั่งเล่น เราส่งผ้าชุบน้ำเย็นๆ ให้คนที่ตามมานั่งข้างๆ นายรับมาเช็ดหน้า ตรงแก้มเขายังมีริ้วแดงบางๆ จากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ระหว่างเรามีความเงียบเป็นเพื่อนอยู่นานจนกระทั่งนายขยับตัว เราทำท่าเริ่มต้นพูดอะไรบางอย่างแต่เป็นนายที่เอ่ยขึ้นมาก่อนคล้ายกับว่าเขาไม่พร้อมจะเป็นผู้ฟังเหมือนที่ผ่านมา



                “เราขอโทษนะ...”



                “พี่ปั้นครับ...” นายในตอนนี้ดูอ่อนไหวจนเรานึกกลัว



                “...”



                “พี่ปั้น...ไม่มั่นใจในตัวผมหรอครับ”



                เราหันไปมองคนพูดด้วยความตกใจ สีหน้าและแววตาเราส่งออกไปแบบไหนกันนะคนมองถึงได้ยิ้มเศร้าแบบนั้น เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เราพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ในหัวขาวโพลนพร้อมกับความรู้สึกชาที่อก



                “นาย...” กว่าจะเอ่ยมาได้แต่ละคำมันยากเย็นจนเราอยากจะตีตัวเอง ทุกสิ่งทุกเหตุการณ์ตีรวนเข้ามาในสมองจนเราตะหนักได้ว่าสีหน้าของนายเมื่อครู่ทำให้เราเหมือนแผ่นซีดีที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วน



              และอาการนั้นเองยิ่งทำให้อีกฝ่ายคิดไปไกล



                “ไม่เป็นไรครับพี่ปั้น...”



                “ระ...เรา...ขอโทษเราที่ทำให้นายคิดแบบนั้น...”



                 “อ่าผมเมาแล้ว พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พี่ปั้นลืมมันไปเถอะครับ” เขาไม่รอให้เราตอบจนจบประโยค แต่กลับตัดบท นายหัวเราะออกมาแผ่วเบาก่อนจะล้มตัวลงนอนบนตักเรา ราวกับว่าเมื่อกี้เป็นบทสนทนาทั่วๆ ไป เขายกหลังมือมาปิดตาบังแสงไฟเหนือหัวและนั่นทำให้เรารู้ว่าเขากำลังกลัว..เหมือนที่เราเป็นอยู่



                “ง่วงจังครับ” เสียงสั่นๆ นั่นทำให้เราเม้มปากแน่น นายคงไม่อยากฟังอะไรตอนนี้ “นอนพักซักแป๊บผมก็ดีขึ้นแล้วครับ”

               

                    “โอเค นายนอนพักก่อน แล้วพรุ่งนี้เราค่อยมาคุยกันนะ” เราส่งยิ้มให้นายแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นก็ตาม มือขวาลูบผมเขาช้าๆ ขอให้คืนนี้เยียวยาเราทั้งคู่แล้วพรุ่งนี้จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม นายคว้ามือข้างนั้นของเราก่อนจะกุมไว้หลวมๆ เขาแนบแก้มกับฝ่ามือของเรา สิ่งที่เราไม่อยากเห็นที่สุดคือสีหน้าเศร้าจากนาย โดยเฉพาะสาเหตุนั้นมันมาจากตัวเราเองแล้วล่ะก็ เราแทบจะทนดูไม่ไหว ทำไมเราถึงแย่แบบนี้นะ

 

               ...อยากร้องไห้ชะมัด...



                คืนนั้นเรารู้สึกกำลังล่องลอยอยู่อากาศก่อนที่หลังจะสัมผัสกับความนุ่ม เราขยับตัวเข้าหาสัมผัสอุ่นๆ แล้วกอดเอาไว้ รู้สึกถึงความอุ่นวาบที่หน้าผาก ก่อนที่จะผล็อยหลับไปเราได้ยินเสียงกระซิบจากที่ไกลดังแว่วมา



                “ผมรักพี่ปั้นนะครับ แล้วพี่ปั้น...รักผมบ้างไหม

 






                นายไม่มีวันพรุ่งนี้ให้เราได้คุยกันอย่างจริงจัง เพราะหลังจากสายเข้าตอนเช้านายก็ต้องรีบกลับ ท่าทางเร่งรีบทำเอาเราไม่กล้าที่จะเอ่ยรั้งเขาไว้เลย



                “พี่ปั้นครับ ผมมีธุระต้องกลับก่อนนะครับ”



                เขาเอ่ยขึ้นตอนที่เราเดินมาส่งที่หน้าบ้าน นายกลับมาเป็นคนเดิม บรรยายกาศหม่นๆ หายไปจนหมดสิ้น เหมือนกับว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่ความฝัน



                เราตัดสินใจเอ่ยปาก



                “นาย...เรื่องเมื่อคืนน่ะเรา...”



                “พี่ปั้นไม่ต้องคิดมากนะครับ ผมเมาพูดอะไรไปเรื่อยแหละ” ยิ่งนายพูดเราค่อยๆ ก้มมองพื้น สุดท้ายแล้วเราก็แค่คนขี้ขลาดเหมือนที่ชานนท์เคยบอก นายหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะลูบหัวเราช้าๆ เป็นเชิงปลอบ แล้วคนที่ปลอบเราอยู่ตอนนี้ล่ะ...เคยคิดถึงตัวเองบ้างไหม



                เขาก้มมองโทรศัพท์ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมาบอก “เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วผมจะรีบมาหานะครับ”



                เป็นเราเองที่ไม่รู้จะไปต่อยังไง กลัวว่าเอ่ยอะไรออกไปแล้วจะมีแต่ไปกวนตะกอนความรู้สึกของเขาขึ้นมาอีก “ธุระ มีเรื่องอะไรรึเปล่า เราช่วยนายบ้าง...ได้ไหม”



                “เรื่องลุงน่ะครับไม่มีอะไรหรอก พี่ปั้นน...อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิครับ ผมไม่เป็นอะไรซักหน่อย เอาล่ะตอนนี้ผมต้องไปแล้วครับ ทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวผมก็ไปสายพอดี” นายยิ้มแย้มตรงกันข้ามกับแววที่แทบจะเก็บความรู้สึกไว้ไม่อยู่ของเขา



                ...อย่าไปเลย...



                เขายิ้มขำก่อนจะหมุนตัวกลับ นาทีนั้นเรายื่นมือไปคว้าชายเสื้อเขาไว้แน่นอย่างที่ตัวเองก็ไม่คาดคิดมาก่อน เป็นปฏิกิริยาอัติโนมัติ



                เพราะแค่คิดว่า...ถ้าเราไม่คว้าไว้นายจะหายไปรึเปล่านะ

             

                “พี่ปั้น?”



                มือที่กำเสื้อเขาไว้สั่นเล็กน้อย นายมองอย่างแปลกใจ แววตาสีดำสนิทของเขามีความสับสนและประหม่าอยู่ในนั้น



                “นายยัง....ยังอยากได้คำตอบที่นายถามเมื่อคืนอยู่รึเปล่า”



                “ผม...”



                Rrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrr



                นายชะงักก่อนจะก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาปล่อยให้ปลายสายวางไปเองก่อนจะลากสายตากลับมามองเราอีกครั้ง



                “แล้ว...คำตอบนั้นทำให้เรายังเหมือนเดิมไหมครับ”



                น้ำเสียงและสายตาที่ส่งมานั้นทำให้เราเข้าใจว่าที่เขาพยายามทำเป็นลืมเรื่องเมื่อวานนั้นเพราะอะไร



                “อื้ม” เราสบตาเขา “แน่นอน”

 
.
.
มีต่ออีกนิดนะคะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 21 : เขา...กับเรื่องที่ไม่ได้พูดแต่รู้สึก P.9 [28/8/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 28-08-2018 21:34:11




                ไหนว่าไม่นานไง



                นายหายไปสามวันแล้ว คนโกหก วันแรกเขาส่งข้อความมาสั้นๆ ว่าติดธุระ แถมยังสั่งไม่ให้เราออกไปไหนรอเขาติดต่อกลับมาเอง และหลังจากนั้นก็เงียบไป ไม่อ่านแถมไม่ตอบไลน์เราด้วยซ้ำ จนเรานึกเกลียดคำว่าธุระไปซะอย่างนั้น เราถามแดมกับเอ็มเจก็เอาแต่บ่ายเบี่ยง นายหายไปแบบนี้ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกกังวลใจแปลกๆ



                มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า



                ไม่ใช่ว่าหลบหน้าเราหรอกนะ



                หรือว่าเขาเปลี่ยนใจไม่อยากฟังแล้ว



                เราถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขณะที่นั่งเท้าคางจ้องดาวกระดาษหนึ่งดวงที่วางอยู่บนโต๊ะ คอยดูนะ ถ้าเจอนายเมื่อไหร่เราจะตีเขาหนักๆ เลย



                แต่...

                อยากคุยด้วยแล้ว เมื่อไหร่นายจะตอบซักที เราดึงสายตากลับมามองโทรศัพท์ที่หน้าจอเป็นสีดำสนิท

             

             ...เรารอต่อไปไม่ไหวแล้ว!...



             เราคว้าสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะมากำไว้ อีกมือหนึ่งก็คว้ากระเป๋าสะพาย ก่อนจะวิ่งลงบันไดบ้านตึงตังเกือบจะลื่นตกบันไดขั้นนึงแหนะ จนแม่กับพ่อที่นั่งดูรายการเกมโชว์ตอนเย็นถึงกับรีบร้องทัก



             ความร้อนรนช่างเปลี่ยนคนขี้ขลาดอย่างเราจนน่าตกใจจริงๆ



             ไม่ใช่ความร้อนรนสิ เป็นนายต่างหาก



            Khaopun
                ทำอะไรอยู่
ตอบเราได้แล้ว
เราอยากคุยด้วยแล้ว

   

             เรากดโทรหา กดส่งข้อความคล้ายกับคนบ้า เหมือนกลับไปช่วงแรกๆ ที่รู้จักกันเลย นายมักจะตื๊อเราอยู่แบบนี้ ตอนนี้เรากลับเป็นแบบนั้นซะเอง เราหัวเราะอย่างขมขื่นกับตัวเอง



         
      Khaopun
นายอยู่ที่มอรึเปล่า
เรามาหา
เรารออยู่ข้างสนามฟุตบอลที่มอนาย
เราจะรอนะ



                ดูเหมือนว่าเราจะมาไม่ทัน จำได้ว่านายมีเรียนช่วงบ่ายเราจึงตัดสินใจมารอเขาที่มหาวิทยาลัยแต่เพราะเราตัดสินใจช้าไป พอมาถึงหน้าคณะนายก็ห้าโมงกว่าเข้าไปแล้ว แถมนายยังไม่มีทีท่าว่าจะตอบกลับ เราเดินคิดอะไรมาเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็มายืนข้างสนามฟุตบอล ก่อนทิ้งตัวลงนั่งและฟุบหน้ากับโต๊ะหินอ่อนเยื้องๆ กับอัฒจันทร์ข้างสนาม



                ฮือ



                เขาลงโทษเรารึเปล่านะ ลงโทษคนแย่ๆ แบบเรา

                หรือว่าคนอย่างเราควรจะอยู่คนเดียวตั้งแต่แรก

                แต่ยังไงก็เถอะตอนนี้...คิดถึงจัง...



                “เฮ้ย คุณมานั่งร้องไห้ทำไมตรงนี้” อยู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นเหนือหัว เราจึงรีบเงยหน้าขึ้นตามเสียงนั้นอย่างตกใจ



                “ตุ๊ดตู่!”



                “อ้าว! ที่...ศิลปากรนี่”



                “อะ...เอ่อ...”



                “เดี๋ยวๆ เจอหน้าก็เรียกว่าเหี้...เอ๊ย ตุ๊ดตู่อะไรนี่สองครั้งแล้วนะ” เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะระหว่างที่มองหน้าเหวอๆ ของเรา

   

                “โท...ขอโทษที เรา...อุทานเพราะตกใจน่ะ”



                “งั้นหรอ หือ? ทำหน้างี้ นี่อย่าบอกว่าจำผมไม่ได้นะ ผมอาร์มไง โคตรบังเอิญเลยเจอกันอีกแล้ว” เขาคนนั้นวางกระเป๋าลงบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงตรงข้ามเรา ท่าทางธรรมชาติคล้ายกับว่าพวกเราสนิทสนมกันมาก่อน



                “...” ไม่ใช่ชื่ออาร์มนะหรอ ขณะที่เราทวนชื่อเขาอยู่ในใจ เสียงตะโกนจากกลางสนามก็ดังขึ้น คนที่ชื่ออาร์มคงจะมีนัดลงเล่นฟุตบอล



                “เชี่ยอาร์มไม่เล่นบอลหรอวะ!”



                “พวกมึงเล่นไปก่อนเลย!! โทษทีครับ พวกมันชอบตะโกนคุยกันงี้ทุกที เอ่อ แล้วนี่...มาทำอะไรที่นี่คนเดียว”



                “...คือ”



                Rrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrr



                ขอบคุณเสียงสวรรค์ จู่ๆ โทรศัพท์เราที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นครืดคราดสายเข้าเป็นเบอร์แปลกสิบหลัก เราค้อมหัวนิดๆ ให้คนฝั่งตรงข้ามก่อนกดรับโทรศัพท์



                “ฮัลโหลพี่ปั้นครับ” เพียงประโยคเดียวจากปลายสายก็ทำให้เราตกใจจนเผลอยืนขึ้นอย่างลืมตัว หัวใจเต้นแรงอย่างที่ทราบสาเหตุ



                “...นาย? นายหรอ” เรื่องราวที่เตรียมมาหายไปหมด แค่รับโทรศัพท์นายเราเหมือนจะลืมหายใจไปชั่วขณะ รู้สึกแสบร้อนโพรงจมูกขึ้นมากะทันหันทันทีที่ได้ยินเสียงของอีกคนพร้อมกับเสียงเฝีเท้าหนักๆ ดังมากตามสาย



                (พี่ปั้น ผมขอโทษครับ มันมีเหตุด่วนนิดหน่อย ผมจะไปหาแล้วนะครับ...)



                เขาอยู่แถวนี้งั้นหรอ...



                “อื้อ นาย เรา เรารอนายอยู่ มาเจอกั...”

             

                  “เฮ้ๆ ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ฟังไม่รู้เรื่องกันพอดีหรอก”



                และเพราะประโยคที่แทรกเข้ามานั้นเสียงของนายก็เปลี่ยนไป



                (นั่นเสียงใครครับ? พี่ปั้นอยู่ที่ไหนครับ)



                “ตอนนี้เราอยู่มอนาย เราติดต่อนายไม่ได้เลยมาหา”



                (พี่ปั้น! ผมบอกแล้วไงว่าผมจะไปหาพี่ปั้นเอง ทำไมพี่ปั้นดื้ออย่างนี้ครับ ถ้ามีอะไรเกิด...) เขาไม่เคยพูดแบบนี้กับเราเลย ไม่เคยเสียงแข็งกับเราขนาดนี้ด้วย เราตกใจจึงได้ยินประโยคสุดท้ายไม่ชัดเจน



                “ขอโทษ เราแค่อยากเจอนายเท่านั้นเอง”



                (ผมกำลังไป.../ตึก ตึก ตึก/)



                ...เราเชื่อนายได้ใช่ไหม...



                แหมะ!



                “ชิบห...เอ่อ ทิชชู่ไหมครับ”



                เราส่ายหน้า เม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเอง



                “...ขอตัวนะ” เราคว้ากระเป๋าบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน แต่คนที่นั่งอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะลุกขึ้นตามทันที เขาคว้ามือเราที่จับกระเป๋าอยู่คล้ายกับบอกให้อยู่ก่อน เราสะดุ้งตกใจ จังหวะนั้นทำให้โทรศัพท์ที่ยังไม่ได้วางสายหลุดจากมือก่อนจะสไลด์ตัวกับโต๊ะหินอ่อนสีขุ่น



              “เดี๋ยวสิ!”



                กึก!



              (พี่ปั้น!...) เสียงสบถแว่วมาจากปลายสายก่อนที่จะตัดไป



                “อย่ามายุ่งกับเราเลย...ปล่อยเถอะ” เราอยากจะออกจากสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุดแต่ก็ออกแรงดึงกระเป๋าจากมือผู้ชายบ้าๆ คนนี้ไม่ได้ซักที



                “เฮ้ๆ ไม่ต้องกลัว ผมแค่อยากจะ...”



                “...”



                “ขอถามชื่อหน่อยได้ไหม”



                “...!!!”



                ผลัก!



                “ไม่ได้ว่ะ ขอโทษที”



                และตอนนั้นเองก็ผู้ชายที่ชื่ออาร์มก็เซไปด้านหลังจนเกือบจะล้มพร้อมเสียงดังแหวกอากาศขึ้นมา



                นั่นทำให้เราชะงัก



                ...นาย!?... เราหันขวับไปมองด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวัง



                “พี่ปั้น”  คนมาใหม่ดันตัวเราไว้ด้านหลังก่อนจะออกแรงกระชากกระเป๋าจากมืออาร์มที่ยืนอึ้งอยู่ “เป็นอะไรรึเปล่าครับ”



                พอเจ้าของแผ่นหลังนั่นหันมาเราถึงรู้ว่า...



                ไม่ใช่นาย



                “ชิบหาย พี่ปั้นอย่าร้องไห้เลยครับ เกิดอะไรขึ้น ไอ้เชี่ยนี่ทำอะไรพี่ปั้นรึเปล่าครับ” แดมสบถก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าโมโห นั่นทำให้อาร์มรีบโบกมือปฏิเสธคนที่จะเข้ามาคว้าคอเสื้อเขาทันที พวกตะโกนใส่กันจนคนที่อยู่ในสนามหันมามอง



                “ทำอะไรพี่กูวะ...นี่มึง?ไอ้ขี้เมา? มึงทำอะไรวะ!”



                “เฮ้ย เปล่านะเว้ย! แล้วกูไม่ใช่ไอ้ขี้เมาด้วย”



                “ไม่ทำแล้วพี่ปั้นจะร้องไห้ได้ไงวะ!”



                “แค่จะถามชื่อเองโว้ย...”



                “เฮ้ย ไอ้อาร์มนั่นรุ่นพี่ๆๆ”



                เรามองภาพตรงหน้าก่อนจะถอยหลัง พอก้มหน้ามองเท้า น้ำร้อนๆ หยดลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้



-------------
คิดถึงงงงงง
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 21 : เขา...กับเรื่องที่ไม่ได้พูดแต่รู้สึก P.9 [28/8/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 29-08-2018 15:12:18
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 21 : เขา...กับเรื่องที่ไม่ได้พูดแต่รู้สึก P.9 [28/8/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-08-2018 20:08:01
ฮื่อออ พี่ปั้นนนน อย่าร้องงงงง  :hao5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 21 : เขา...กับเรื่องที่ไม่ได้พูดแต่รู้สึก P.9 [28/8/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 29-08-2018 23:39:15
น้ำตาพี่ปั้นนนน โฮฮฮ ไม่เอาไม่ร้อง จังหวะนรกจริงๆ ประดังประเดมาหมดพร้อมกันเลย  :katai1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 21 : เขา...กับเรื่องที่ไม่ได้พูดแต่รู้สึก P.9 [28/8/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 29-08-2018 23:47:34
แรก ๆ เราชอบนะ
ชอบภาษา ชอบสำนวน ชอบความเอื่อยเรื่อย
แต่อ่านมา 21 ตอนเข้านี่แล้ว … ยังอึมครึมเลยอะ

หรือเพราะนาน ๆ ลงที เราเลยต้องย้อนกลับไปอ่านทวน
แล้วเลยได้อารมณ์ติด ๆ ดับ ๆ ติดอยู่ตรงคลองตัน
ไม่ไปถึงพัฒนาการซะที  เฮ้อออออออ

ไว้เรารอคำว่า END ก่อนละกันเนอะ
จะกลับมาเก็บทำคำให้ครบความค่ะ สัญญา :bye2:

หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 21 : เขา...กับเรื่องที่ไม่ได้พูดแต่รู้สึก P.9 [28/8/61]
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 31-08-2018 18:06:39
ในจินตนาการ พี่ปั้นมองซ้ายขวาแล้วพูดว่า
นายอ่ะ นายอยู่ไหน..ฮืออออออออ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 21 : เขา...กับเรื่องที่ไม่ได้พูดแต่รู้สึก P.9 [28/8/61]
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 12-09-2018 02:00:39
มารอพี่ปั้นกับน้องนาย
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 22 : เรา....กับนายใต้ไฟผลส้ม P.10 [30/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 30-10-2018 22:11:41
https://www.youtube.com/watch?v=EksdW4ymTZo
I don't want to lose you



Act 22 : เรา....กับนายใต้ไฟผลส้ม



ลำแสงสีส้มลอดผ่านช่องว่างของอัฒจันทร์ในขณะที่ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง เราหยิบดาวออกจากกระเป๋าของตัวเอง ดาวดวงน้อยที่อยู่กลางฝ่ามือมันโดนแรงทับแรงกระแทกจนบี้เสียรูปทรงไปหมด ถึงพยายามจะพับใหม่ มันก็เป็นดาวที่ยับๆ อยู่ดี



  “พี่ปั้นอย่าร้องไห้เลยนะครับ ถ้าไอ้นายมาเห็นเป็นเรื่องแน่” แดมวางขวดน้ำอัดลมไว้ตรงหน้า เขามีสีหน้ากังวลเมื่อเดินกลับมาเห็นเรานั่งซึมอยู่เหมือนเดิม



“นายจะมาจริงๆ ใช่ไหม” เราไม่อยากรอเก้ออีกแล้ว



“เดี๋ยวมันก็มาถึงแล้วครับ จริงๆ ไอ้นายน่ะมันอยากมาใจจะขาดแล้วครับ แต่ว่ามีเรื่องนิดหน่อย” ท้ายประโยคเขาพูดเสียงเบาจนเราฟังไม่ถนัด



“มีเรื่องอะไรรึเปล่า”



“เอ่อ ไม่มีอะไรครับ พี่ปั้นไม่ต้องกังวลนะครับ มา! ผมอยู่รอเป็นเพื่อนเอง ไม่ให้ไอ้เด็กบ้านั่นมารังแกพี่ปั้นได้อีก...”



“แดม”



“ครับ?”



“...นายคง...ไม่ได้เกลียดเราใช่ไหม”



“พี่ปั้นทำไมถามอย่างนั้นครับ” แดมร้องขึ้นตกใจ



“ไม่รู้สิ”



ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เรารู้อยู่เต็มอก ลึกๆ แล้วเราแค่ต้องการใครซักคนมาย้ำเตือนว่า นายรู้สึกยังไงกับเรา แล้วเราเองรู้สึกยังไงกับนาย



“...กับพี่ปั้นน่ะ นายมันจริงจังมากนะครับ”



                “...”



“ความรักทำให้เราเป็นคนโง่นะครับ ทั้งงี่เง่า กลัว คิดมาก เป็นกังวล  น้อยใจ สารพัด ไอ้นายน่ะเป็นอย่างนั้นใช่ไหมล่ะครับ” แดมหัวเราะแผ่วๆ ก่อนจะส่ายหน้าเมื่อนึกถึงเพื่อนตัวเอง



ถ้างั้นเราก็เป็นคนโง่เหมือนกันสินะ...



 “แต่ที่มันเป็นแบบนั้นพี่ปั้นก็คงจะรู้ว่าเพราะอะไร...”



“...”



“เพราะงั้นถ้ามั่นใจแล้วก็อย่ารอเลยนะครับ” แดมส่งยิ้มจริงใจมาให้ เขาทิ้งท้ายด้วยการลูบหัวไหล่เราเบาๆ



และนั่นก็เป็นเวลาเดียวกับแสงสุดท้ายของวันหมดลงไปพอดี…

 







“แอบฟุบหน้าร้องไห้จนหลับไปเลย แล้วเรื่องลุงมึง เรียบร้อยรึยังวะ”



“อย่าพึ่งพูดตอนนี้เลย”



“เออ กูเข้าใจ งั้นกูไปก่อนล่ะ มึงต้องโทรหากูนะถ้ามีอะไรที่มึงควบคุมไม่ได้”



“ขอบใจว่ะ”



สัมผัสเบาๆ ที่ลูบหัวเราทำให้เราลืมตาขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นแสงสปอร์ตไลท์ข้างสนามเป็นอย่างแรก ไม่นานเงาของใครบางคนก็บดบังแสงนั้นไว้



เขามาพร้อมกับประโยคธรรมดา แต่หัวใจกลับเราอุ่นวาบคล้ายกับว่ามีบางอย่างไหลผ่าน



“มารับแล้วครับ”



คนที่ไม่เจอกันสามวันอยู่ตรงข้ามเราตอนนี้ ไม่มีแดม มีแต่นาย



แค่นั้น...น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งลงมา เขาใช้นิ้วโป้งปาดมันออกก่อนจะคลึงหางตาเราช้าๆ



“ให้ตายเถอะ ร้องไห้ก่อนจะพูดแบบนี้ได้ยังไงกัน”



“มันไหลมาเองนี่นา..” เราพูดเสียงเบา ความอ่อนโยนในน้ำเสียงทำให้เรากกลืนน้ำตาลงไปแล้วมองหน้าเขานิ่ง นายดีกับเราเสมอเลย มีแต่เราที่ทำร้ายความรู้สึกของเขา



“กลับบ้านกันครับพี่ปั้น”



รอยยิ้มของนายพัดให้น้ำตาไหลลงมาอีกหนึ่งหยด

 







ธรรมศาสตร์ในเวลานี้ยังคงมีนักศึกษาอยู่บ้าง เราสองคนเดินข้างๆ กัน ผ่านไฟทางเดินที่สว่างเหมือนกับผลส้มเรืองแสง ทันทีที่เราเดินช้าลง นายก็หันมาพร้อมกับขมวดคิ้ว



“....ปวดตาหรอครั...”



“...เราขอโทษ”



“...!?”



“ขอโทษทำให้นายรู้สึกแย่”



“...”



เราพูดไม่เก่ง คิดก็ช้า แต่ก็พยายามอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้สิ่งที่เรากำลังจะสื่อพังทลายลงไป เพื่อรักษาคนอีกไว้ในความสัมพันธ์ของเรา



“ทุกๆ อย่างเลย เราขอโทษนะ เรามา...เริ่มกันใหม่ได้มั้ย”



“พี่ปั้น” เสียงคนที่เล่นฟุตบอลดังโหวกเหวกแทรกเข้ามาให้โสตประสาทเป็นระยะๆ นายเลื่อนมากุมมือเราไว้หลวมๆ สีหน้าที่ส่งมาให้เรามีหลากหลายความรู้สึกอยู่ในนั้น



“พี่ปั้นอย่าขอโทษอีกเลยครับ ผมไม่เคยคิดว่าพี่ปั้นผิดอะไร”



“นาย...” เราได้แต่เรียกชื่อเขาเท่านั้นเอง



“ผมยอมรับครับว่าตอนนั้นผมเสียใจ ผมคิดตลอดทั้งคืนนั้น...ผมผิดเองที่ไม่ใส่ใจพี่ปั้นมากพอ ผมรู้ว่าพี่ปั้นไม่ชอบให้ผมแสดงออกแบบนั้นตอนอยู่ข้างนอกผมก็ยังทำ”



“...”



“เป็นผมเองที่ต้องขอโทษมากกว่า เป็นผมเองที่อยากขอโอกาสจากพี่ปั้น”



ทำไมเด็กคนนี้ถึงไม่เคยโทษเราเลย ทำไมเขาถึงเก็บทุกอย่างไว้กับตัวของเขาเอง ทำไมเราถึงรู้สึกโกรธขึ้นมา เขาจะต่อว่าเราก็ได้ แต่นายเลือกที่จะไม่ทำ ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะคำว่าใส่ใจ ที่เขาบอกว่าไม่คิดถึงเรานั้นมันไม่ถูกต้องเลย



“นาย...ทำไมถึงเอาแต่โทษตัวเอง” ในคลองสายตาเราเห็นเพียงแต่มือของนาย คนข้างๆ ชะงักอีกครั้ง เราจึงเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ความรู้สึกบางอย่างในอกเหมือนกำลังจะปะทุออกมา ราวกับว่าเป็นข้าวปั้นอีกคนนึง



“นายบอกว่าถ้ามีอะไรก็บอกกันไง นายรู้ไหมกับเรื่องความรักเราก็แค่คนโง่คนนึง เราไม่รู้ต้องทำตัวยังไง ถ้าเราทำให้นายเสียใจ เราอยากให้นายสอน เราอยากให้นายบอกเหมือนกับที่นายบอกเราอยู่เสมอ ทำไมคราวนี้นายกลับเก็บเงียบ เราแค่อยากรู้...”



“...”



ทั้งหมดนั้น...



“เราไม่อยากให้นายเสียใจคนเดียว เพราะนายเป็นแบบนี้...เราก็เสียใจไม่แพ้กัน”



“พี่ปั้น...”



นายยิ้มอีกแล้ว เขายิ้มให้กับความรู้สึกที่กักเก็บไม่ได้ของเรา แต่ดวงตาเขาก็มีความเศร้าอยู่เช่นกัน



 “ไม่คิดเลยว่าความกลัวของผมจะทำให้พี่ปั้นเสียใจขนาดนี้” เขาพึมพำกับตัวเอง



“นายกลัวอะไร...”



เขาเม้มปากแน่นก่อนจะคลายออก "ผม..."



"..."





"ผม...กลัวว่าเสียพี่ปั้นไป”



“...!!!”



หัวใจเราบีบรัดแน่นกับความเจ็บปวดที่ซ่อนไว้ในส่วนลึกของนาย



 “คนเราน่ะพูดในสิ่งที่คิดทุกอย่างไม่ได้หรอกใช่มั้ยครับ เพราะแบบนั้นผมกลัวว่าถ้าผมพูดในสิ่งที่เราคิดทุกอย่าง ผมกลัวว่า...ผมจะเสียพี่ปั้นไป”



“...นาย”



 “ตั้งแต่แรกผมตั้งใจว่ารอพี่ปั้นได้เสมอ ให้เราสองคนเรียนรู้กันไปเรื่อยๆ แต่เป็นเพราะวูบนึงมันคิดน้อยใจ คิดว่าพี่ปั้นอายที่จะคบกับผมหรือเปล่า หรือว่าผมยังไม่ดีพอ ผมถึงอยากมั่นใจ ว่าผมไม่ได้คิดไปเองคนเดียว ว่าผมไม่ได้รักพี่ปั้นแค่ฝ่ายเดียว”



“...”



“แต่พอมานั่งคิดดีๆ แล้วก็เป็นผมเองนี่ที่อยากให้มันค่อยเป็นค่อยไป แล้วพี่ปั้นเองก็ไม่ได้คิดแบบนั้นซักนิด ผมมีสิทธิ์อะไรไปคิดแทนพี่ปั้นกัน แต่ไอ้ความน้อยใจนี่มันเด็กชะมัดเลยนะครับ... เด็กจนผมนึกอาย ผมคิดแบบนั้นกับพี่ปั้นได้ยังไง ถ้าพี่ปั้นรู้เข้า...ผมกลัวว่าผมจะต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว”



แววตาเจ็บปวด และทุกคำ ทุกประโยคของเขาวิ่งวนอยู่ในความคิดซ้ำๆ



....เราเข้าใจทุกอย่างแล้ว ทั้งหมดที่นายแสดงออกในวันนั้น...



 “เพราะฉะนั้นผมถึงขอโทษพี่ปั้นและขอโอกาสได้ไหมครับ”



“นาย....”



ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจเราอุ่นวาบไปหมดแบบนี้ คนอีกคนที่เข้ามาในชีวิตพร้อมกับความซื่อตรง ความจริงใจ ความหวังดี และทุกอย่างที่นายมอบให้คนอย่างเรามันมีค่ามากกว่านั้น พวกเราเงียบอยู่นานให้อะไรบางอย่างชะโลมหัวใจ



“นายอย่าโทษตัวเองอีกเลยนะ  เราแค่ไม่เข้าใจกันเท่านั้นเอง”



“...”



“คิดซะว่าเราสองคนได้เรียนรู้กันเพิ่มขึ้นอีกอย่างนึงแล้วนะ”



“ขอบคุณนะครับพี่ปั้น”



นายค่อยๆ คลี่ยิ้มที่มุมปาก จนกลายเป็นยิ้มกว้าง ยิ้มที่เรามองแล้วมีความสุข



และเราก็ส่งยิ้มกลับไปให้เขาแบบเดียวกัน แล้วเอ่ยคำขอบคุณ



ดีจังนะที่พวกเราต่างเรียนรู้ในความสัมพันธ์ ที่มีทั้งขอโทษ และขอบคุณ



บรรยากาศที่หนักอึ้งระหว่างนายกับเขาถูกทำลายลงอย่างช้าๆ เราสบตานายนานนับนาที ก่อนที่เสียงเฮจากสนามฟุตบอลปลุกพวกเราออกจากความคิด ทั้งๆ ที่ไม่กี่นาทีก่อนเรารู้สึกว่าเสียงรอบตัวไม่มีผลใดๆ กับเราเลย



เหมือนกับว่าคนตรงหน้าเรามีแค่นาย แต่คนตรงหน้านายก็มีแค่เราเช่นกัน



“มือนายเย็นหมดแล้ว เรากลับกันเถอะ”



เราเปลี่ยนเป็นฝ่ายที่ดึงมือนายมากุมไว้แล้วเริ่มออกเดิน พยายามไม่มองขอบตาแดงๆ ของนายที่เอาแต่จ้องมือของเราสองคนจนไม่มองทาง



บนฟุตปาธมีแค่เราสองคน ในตอนที่เท้าซ้ายของเขาก้าวมาอยู่ข้างๆ เรา เราก็กระชับมือเขาแน่นขึ้นเพื่อเรียกความตั้งใจให้กลับมาอีกครั้ง เพราะเห็นรถนายจอดอยู่ไม่ไกล เราจึงหันมามองนายแล้วตัดสินใจพูด



 “นาย...”



“ครับ” เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มดีใจเหมือนเด็กๆ



 “เรา...เราไม่ได้อายที่คบกับนายนะ ไม่เคยคิดเลย แต่บางทีเราก็ เอ่อ...เขินมากๆ เลย นอกจากพ่อแม่แล้วก็ไม่เคยมีใครมาดูแลเราแบบนายนี่นา”



“ผมเข้าใจแล้วครับพี่ปั้น” เขาทำท่าจะโอบไหล่เราแต่เพราะเราไม่ปล่อยมือซักที เพราะแบบนั้นเขาจึงเอียงหน้าอย่างสงสัย



ดาวดวงที่หนึ่งพันหนึ่งของเรานอนแน่นิ่งอยู่ในกระเป๋า



แต่คราวนี้เราคงไม่ต้องใช้มันแล้วล่ะ



เราจะให้ไฟผลส้มพวกนี้เป็นพยาน



“คำถามที่นายเคยถามน่ะ..."



“...ครับ?”



“เรารักนาย”



“...!!!”



ตอนนี้มั่นใจได้แล้วนะ









 

ไม่น่าเชื่อคำสั้นๆ เพียงแค่นั้นกลับมีพลังที่ยิ่งใหญ่...



แบบที่....ทำให้หัวใจคนบางคนพองโต ทำให้คนบางคนแทบจะร้องไห้ ทำให้ดีใจจนแทบบ้า



หรือไม่ก็...ทำให้คนๆ นั้นหลงคิดว่าทุกอย่างเป็นความฝัน



“นายขับระวังหน่อย”



“นายระวังมอเตอร์ไซค์”



“นายจอดรถก่อนไหม”



“นายถึงบ้านเราแล้ว”



“นาย ไปกินข้าวกัน แม่ทำกับข้าวไว้เยอะเลย เขียนโน้ตว่านอนก่อนไม่รอแล้วนะด้วย”



“นายมาเร็ว”



“นาย!”



...ชักจะโมโหแล้วนะ...



“พี่ปั้น ผมฝันอยู่ใช่ไหมครับ”



“ไม่ได้ฝัน”



“ถ้าผมไม่ได้ฝัน แล้วผมได้ยินคำๆ นั้นได้ยังไง”



ถึงจะโมโหเขา แต่ก็เอ็นดูนายด้วยเหมือนกัน  คนตัวสูงเอาแต่นั่งพึมพำอยู่บนโซฟาไม่ยอมมาที่โต๊ะอาหารซักที จนเราที่เดินเข้าไปแล้วต้องเดินกลับมาอีก



“คำอะไร”



ความร้อนพุ่งมาที่แก้มอีกระลอก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เราแทบจะระเบิดตัวเองตลอดทางกลับบ้าน ก็นายเอาแต่พูดว่า “พี่ปั้นรักผม” ไปตลอดทาง



“คำว่ารัก”



พูดจบ หูนายก็แดงแข่งกับแก้มเราซะอย่างนั้น



“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ฝัน”



เราบอกว่ารักนายจริงๆ แล้วเจ้าเด็กโง่



“ขอกอดได้ไหมครับ พิสูจน์ว่าไม่ได้คิดไปเอง” เขากางแขนรอ



“มะ...ก็ได้”



เกือบจะหลุดปากปฏิเสธเพราะความเขิน แต่ก็กลัวนายจะน้อยใจอีก ไม่รู้ทำไม นายถึงยิ้มกรุ้มกริ่มแปลกๆ เขากลับมาเป็นคนเดิมแล้วหรือยังไง คนที่เอะอะต้องขอความรักเสมอๆ



“มาครับกอดกัน” เราขยับตัวไปใกล้ ชำเลืองมองทางก่อนจะกางแขน แก้มเขาอยู่ตำแหน่งเดียวกับหัวใจของเราพอดี



“ขอความรักจากเราหรอ”



“ผมได้แล้วนี่ครับ”



“อ่า...”



วันนี้ความกล้าหาญของเราจะทำให้เราระเบิดเพราะความเขินรึเปล่านะ



แต่พอเห็นรอยยิ้มนายแล้วก็...



....ดีแล้วล่ะ...



“แต่ผมน่ะอยากได้ความรักจากพี่ปั้นเยอะๆ พี่ปั้นจะได้สนใจแค่ผม” ว่าแล้วก็กระชับกอดแน่น เหมือนกับเด็กหวงของเล่น



“...”



เขาผละออกมาก่อนจะดึงเรานั่งบนตัก มือขวาลูบแก้มเราช้าๆ ส่วนใจเราไม่ต้องพูดถึงเต้นแรงจนคิดว่าเขาคงได้ยินทุกอัตราการเต้นแล้วล่ะมั้ง



นายค่อยยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนริมฝีปากแตะกันแผ่วเบา



“ผมรักพี่ปั้น”



เขากระซิบชิดริมฝีปากราวกับส่งคำว่ารักไปกับจูบนั้น



“ขอบคุณที่รักผมนะครับ”

 







...ขอบคุณเหมือนกันนะ...





===========
miss u
ความจริงมันยาวกว่านี้แต่พิมพ์ๆ ลบๆ
สุดท้ายก็อยากให้จบบทด้วยคำว่าขอบคุณนี่แหละ...ดีเเล้ว (เลียนแบบพี่ปั้น55)
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 22 : เรา....กับนายใต้ไฟผลส้ม P.10 [30/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 30-10-2018 23:02:49
มาต่อแล้ว หลังจากรอมานาน  :mew1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 22 : เรา....กับนายใต้ไฟผลส้ม P.10 [30/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-10-2018 23:35:34
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 22 : เรา....กับนายใต้ไฟผลส้ม P.10 [30/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 31-10-2018 04:34:52
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 22 : เรา....กับนายใต้ไฟผลส้ม P.10 [30/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 28-11-2018 22:35:31
ยังรออยู่นะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 23 : เรา...เป็นทุกอย่างได้เพื่อใครคนหนึ่ง P.10 [30/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 30-01-2019 15:13:28
*ไม่มีอะไรจะบอกนอกจากรักและคิดถึง*



Act 23 : เรา...เป็นทุกอย่างได้เพื่อใครคนหนึ่ง





               “อ้าวนาย แม่ได้ยินเสียงรถ นึกว่าจะขึ้นไปนอนข้างบนกัน”



               “สวัสดีครับ แอบมารบกวนไม่ได้บอกก่อนต้องขอโทษด้วยนะครับ”



               “ไม่เป็นไรลูกนายมากดีปั้นหงอยมาหลายวันแล้ว พ่อ! ดูหมาปั้นลูกพ่อสิ นอนทับขานายเป็นตะคริวหมดแล้วมั้งน่ะ”



               “หือ? นั่นสิ นายต้องไปตัดขาไหมลูก มาทีไรเป็นหมอนให้ปั้นตลอดเลย”



               “ตอนนี้ผมไม่มีความรู้สึกที่ขาแล้วครับพ่อ”



               “สองคนนี้...ยังจะตลกอีก ข้าวปั้น ข้าวปั้นลูก ตื่น เช้าแล้ว มานอนอะไรตรงนี้”



               “อือออ”


               
                “ไม่ไหวเลยจริงๆ ตื่นเลยนะเจ้าเด็กขี้เซา”



               “อื้อ แม่อ่า” เรายกหลังมือบังแสงสว่างจ้าของเช้าวันใหม่



               ...เดี๋ยวนะ!...



               เมื่อคืน?



               ห้องนั่งเล่น?



               นาย!?



               เหมือนเหตุการณ์ฉายซ้ำ

               เราลุกพรวดขึ้นมา แล้วหันไปถามแม่ด้วยน้ำเสียงตกใจ



               “นายล่ะครับแม่!”



               “ก็อยู่นี่ไง” แม่ชี้ไปด้านหลังเรา “นอนทับขาเขาแล้วยังตีมึนอีก”



               อ่า
               


               ...โล่งอกไปที นายไม่ได้ไปไหน...



               เราลอบผ่อนลมหายใจ หวังว่าจะไม่มีใครเห็นนะ พ่อกับแม่ชวนนายคุยสองสามคำ จากนั้นแม่ดุนิดหน่อย(จริงๆ นะ) แล้วก็โบกมือไล่เราไปอาบน้ำ เราเหลือบมองคนที่อมยิ้มอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับขมวดคิ้ว



               “ผมหนีไปไหนไม่ได้หรอกครับ  มีลูกหมานอนทับขาทั้งคืน”



               “ฮ่าๆๆ”



               “นาย! พ่อกับแม่ก็หัวเราะปั้นด้วยหรอ ใช่สิ ปั้นเป็นหมาหัวเน่าแล้วนี่”



               “อ้าว รู้ตัวด้วย นายลูกไปล้างหน้าแปรงฟันมาทานข้าวกัน”



               “แม่...”



               แม่ฉุดมือนายให้ลุกขึ้นก่อนจะเดินควงแขนออกไปจากห้องนั่งเล่น เราหน้ามุ่ยตั้งใจจะหันไปจะอ้อนพ่อ แต่พ่อก็เดินหนีไปรดน้ำกล้วยไม้ซะอย่างนั้น



               “พ่ออ่า...”



               เท่านั้นเสียงหัวเราะก็ประสานเสียงกันอีกครั้ง



               เรายกหมอนขึ้นมาปิดหน้าแล้วแอบยิ้มอยู่คนเดียว



               ถึงจะโดนทุกคนแกล้ง แต่ว่าบรรยากาศแบบนี้...มีความสุขจัง



               ขอให้มีความสุขอยู่กับเราตลอดไปเลยได้ไหม

 











               “นายไม่ไปเรียนหรอ”



               สองชั่วโมงถัดมาทั้งบ้านก็เงียบลง เพราะพ่อกับแม่ออกไปทำงาน ส่วนเด็กธรรมศาสตร์ ดีกรีนักบาส แถมยังเก่งภาษาอังกฤษคนเนี้ยก็ทิ้งตัวลงข้างเรา นายอยู่ในชุดนักบาสที่คาดว่าคงจะติดอยู่ในรถของเขาเหมือนเดิม ในมือมีโทรศัพท์มือถือเครื่องที่เราไม่เคยเห็น



               “ผมขอใช้สิทธิ์ลาหนึ่งครั้งครับ”



               “เกเรนี่”



               “เปล่านะครับ ได้อยู่กับพี่ปั้นทั้งทีนี่นา”



               “ให้เราไปธรรมศาสตร์เป็นเพื่อนไหม” เราเอ่ยขึ้นไม่ได้คิดจริงจัง ส่วนตาก็เอาแต่จ้องเปเปอร์ในจอโน้ตบุ๊ก ไม่มีเรียนแต่งานเพียบเลยเรา แต่เพราะอีกคนเงียบไป เราจึงเงยหน้าไปมองแล้วก็พบว่า...



               นายหน้าบึ้งใส่



               ...เราพูดอะไรผิดไปหรอ...



               “พี่ปั้น ผมยังไม่ได้ดุพี่ปั้นเรื่องเมื่อวานเลยนะครับ”



               “เรื่องเมื่อวาน?”



               ความทรงจำเราอาจจะต้องซ่อมแซมแหงๆ เราไม่เข้าใจที่นายพูด เพราะที่เราจำได้ ก็มีแต่เรื่องของนายเท่านั้น ขนาดตอนนี้ยังมีแต่นายเต็มไปหมด เหมือนฟองสบู่ที่มีหน้านายลอยล่องอยู่อย่างงั้นแหละ



               “ตีมึนอีกแล้วนะครับ” นายพูดเสียงเข้ม ฟองสบู่ที่ว่าแตกดังโพละขณะที่เขายื่นมือมายืดแก้มเรา



               “อื้อ อะไรเล่า เราไม่รู้จริงๆ นี่”



               เราจับมือเชาออก ไม่ได้เจ็บจนต้องร้องโอดโอยแต่คนข้างๆ ก็เปลี่ยนมากุมมือเราแทน ลูบเบาๆ เป็นเชิงปลอบ



               “ผมบอกแล้วว่าให้พี่ปั้นอยู่ที่บ้านผมเสร็จธุระแล้วจะไปหา แล้วเป็นยังไงล่ะ ไอ้เด็กปีนเกลียวนั่นมาจีบจนได้ ถ้าผมไม่รีบโทรหาไอ้แดมนะป่านนี้มันทำอะไรๆ”



               เพราะประโยคนั้นทำให้เราฉุนกึก



               “เราไม่ได้บอกให้มาจีบเราซะหน่อย แล้วถ้านายไม่หายไปเฉยๆ เราก็คงไม่ออกมาหรอก”



               “…”



               “เราบอกว่าอยากคุยด้วย ส่งข้อความหาก็ไม่ตอบเลย”



               นาทีนี้งานอะไรก็ไม่อยู่ในความสนใจอีกแล้วล่ะ เราสองคนประจันหน้ากัน ทุ่มเถียงกันเหมือนวันก่อนๆ มือที่กุมกันไว้เปลี่ยนเป็นกอดอกของตัวเอง



               “ผมติดธุระครับ พอเสร็จธุระแล้ว โทรศัพท์ก็ดันตกน้ำอีก ผมเร่งร้านซ่อมเร็วที่สุดแล้วแต่สุดท้ายก็ต้องไปหามือสองมาใช้ เปิดแล้วก็โทรหาพี่ปั้นเลยครับ” นายพยายามอธิบาย แววตาดื้อรั้น



               “ธุระอะไรของนาย” เราคาดคั้น นึกเกลียดคำว่าธุระขึ้นมา



               ...ถ้าเราหายไปจะบอกว่าติดธุระมั่งแล้วกัน...



               “ติดธุระจริงๆ นะครับ”



               “ได้!”



               “พี่ปั้นโกรธหรอครับ”



               “ถ้าเราหายไปบ้างล่ะ”



               “พี่ปั้น!” นายเอ็ดอย่างลืมตัว



               “เสียงดังใส่เราทำไม” เราตาโตตกใจนิดๆ กับน้ำเสียงของเขา และดูเหมือนว่านายจะรู้ตัว เขาดึงเราเข้าไปกอด คางได้รูปกดทับไหล่ขวาเราเอาไว้



               “...ไม่...พี่...”



               เราจะโกรธจริงๆ แล้ว



               “พูดดังๆ ให้เหมือนที่นายเอ็ดเราสิ”



               “ขอโทษครับ แต่พี่ปั้นอย่าพูดว่าหายไปได้ไหม” เขาผละออก จ้องตาเราอย่างจริงจัง



               “เราจะไปที่ไกลๆ บ้างนายจะได้หาเราไม่เจอ จากนั้นเราจะ...”



               “พอแล้วครับ”



               “ทำไมล่ะ ทีนายยัง...”



               “เพราะ...ผมคงอยู่ไม่ไหว” เขาพึมพำแน่นอนว่าเราได้ยินมันชัดเจน



               “นาย...เราล้อเล่น อย่าจริงจังสิ” ใจเราอ่อนยวบ พูดขอโทษเขาในใจ ไม่อยากเห็นเขาเป็นเหมือนครั้งนั้นอีก “อะ...เห็นไหมเล่า นายยังไม่อยากให้เราหายไปเลย ทีหลังนายก็ห้ามหายไปอีกนะ”



               “...ครับ” เจ้าเด็กร่าเริงคนเมื่อกี้ กลายเป็นหงอยเหงาซะได้ เขากอดเราอีกหน ถึงจะสงสารแต่ท่าทางน่าเอ็นดูนั่นน่ารักชะมัด



               “สัญญาด้วย”



               “ครับ...”



               แถมเวลาเราพูดคางก็กระทบไหล่ไปด้วย เหมือนหุ่นยนต์เลย



               “อย่าหายไปนะครับ”

 

 









               ตั้งแต่รู้จักนาย เวลาก็ผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน อาจจะซักสองเดือน สี่เดือน หกเดือนหรือมากกว่านั้น เราก็ไม่แน่ใจนัก รู้แต่ว่าพอมองกลับไป เราไม่นึกเสียดายแม้แต่วินาทีเดียว



               “อ่านหนังสือ!”



               (พี่ปั้น ผมอยากเจอพี่ปั้นครับบบ) คนปลายสายลากเสียงยาว



               มาถึงช่วงปลายเทอมแล้ว นายเป็นเด็กหัวดี แต่ขยันขี้เกียจจริงๆ เลย คนที่อยู่ข้างนอกแล้วดูเท่แต่พออยู่กับเราก็เหมือนเด็กน้อยคนนึงนี่เอง



               (/เชี่ยนายยย มึงอย่ามาอ้อนแถวนี้กูขนลุก/ มึงทนไม่ได้มึงก็ไปนั่งนู้นไป /พี่ปั้นคร้าบอย่าไปเชื่อมัน/)



               เสียงโหวกเหวกดังลอดมาทำให้เราหลุดขำอย่างช่วยไม่ได้



               “โอ๊ย เกรงใจคนไม่มีคู่บ้างจ้า”



เราคุยกับนายอีกสองสามคำก่อนจะกดวาง แล้วหันมามองคนข้างๆ “ชมพู่ว่าอะไรนะ”



               “เปล๊า”



               “งอนอีกแล้วหรอ เอางี้เราหาแฟนให้ชมพู่ดีไหม”



               เราสองคนอยู่ระหว่างทางกำลังกลับบ้าน ชมพู่อาสาขับรถมาส่งเราด้วยตัวเอง จะว่าไป....นักศึกษาปีสี่อย่างเราใกล้จะบอกลาบ้านที่นครปฐมแล้ว เรานำเสนองานทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว สอบเสร็จหมดแล้วด้วย(เพราะเรียนน้อยด้วยแหละ) จะเหลือก็แต่ส่งงานเท่านั้น เพราะงั้นนอกจากกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วก็ยังมีเอกสารอีกปึกใหญ่ๆ ให้เราทำสุดสัปดาห์นี้



               “อะไรนะ”



               พอรถชะลอติดไฟแดงชมพู่ก็หันขวับมาถาม



               “เราช่วยหาแฟนให้ชมพู่เอง” เราตอบแต่สายตากลับมองไปนอกรถ “นั่นไงๆๆ ชอบป้ะ” เราชี้ไปที่แผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่งที่คร่อมมอเตอร์ไซค์คันใหญ่



               “หือ?”



               “มองจากด้านหลังชมพู่ชอบมั้ย”


               
               “ไอ้หมาปั้น ลูกเขานั่งอยู่ด้านหน้ารถ แกไม่เห็นรึไง!” ชมพู่ผลักหัวเราแทบจะทันทีก่อนแว้ดออกมาชุดใหญ่ พึ่งสังเกตว่าเธอหันมือถือมาทางเรา



               ...ที่ผลักมา อินเนอร์ล้วนๆ ใช่ไหม...



               “อ้าวหรอ งั้นคนนู้นล่ะ” เราชี้ไปรถอีกคันที่กระจกใสจนเห็นหน้าคนขับรถ



               “พอเลยๆ คนสวยๆ อย่างฉันไม่ขอรับความชั่วเหลือจากแกหรอกปั้น”



               “อะ...เอ่อ ชมพู่ไม่ได้ด่าเราใช่ไหม”



               ...เหมือนเราจะได้ยินคำว่าชั่ว อะไรซักอย่าง...



               “ฉันไม่เคยด่าแกเล๊ยยยย ทุกคนเห็นไหมคะ ปั้นมันพยายามหาแฟนให้ฉันค่ะ มันกำลังยัดเยียดคนที่ติดไฟแดงให้ฉันจ้า”



               ...เฮ้ย ชมพู่ไม่ได้ถ่ายรูปตัวเองแต่กำลังไลฟ์อยู่หรอเนี่ย...

 









               “ข้าวปั้น แม่ทำข้าวห่อไข่ให้นายน่ะลูก มีผลไม้ด้วยเอาไปฝากแดมกับเอ็มเจ”



               “ครับ?”



               “เอ้า ยังจะมาทำหน้าหมาสงสัยอีก น้องอ่านหนังสือสอบมีเวลาทานข้าวรึเปล่าก็ไม่รู้ เราว่างก็เอาข้าวไปให้น้องหน่อย”



               “อ่า...”



               ครับ



               เราตอบรับแม่ในใจ เพราะตอนนี้กำลังจดจ่ออยู่กับวรรณกรรมเรื่องใหม่ที่นายซื้อให้เมื่อสองอาทิตย์ก่อน(แอบอ่านเพราะไม่อยากทำงาน) ตอนนี้ถึงจุดหน่วงใจที่ทำให้หูเราดับสนิท



               ...สำหรับตาแล้วยายได้ตาย โตนีโน่เอ๋ย...



               “ข้าวปั้น?”



              ...คนเราจะไม่มีวันตาย ตราบใดที่ใครคนหนึ่งยังเราเรา จำไว้นะ...



               อื้อหือออ



               “...”



               “รู้เรื่องไหมเนี่ย โอ๊ย ฉันสงสารนายจริงๆ เลย ปั้น!”



               “ครับ!”



               พรึ่บ!



               “แม่....” เราลากเสียงยาว แล้วก็พบสายตาดุๆ ของแม่ มือขวาปิดหนังสือแล้ววางลงกับโต๊ะ เดี๋ยวกลับมาอ่านต่อนะ



               “ไม่ต้อง!”



               “ปั้นได้ยินแล้วครับบบบ เดี๋ยวปั้นเอาไปให้นายเอง ทีกับนายนะ แล้วปั้นล่ะแม่ไม่เห็นเอาข้าวไปให้ที่หอบ้างเลย”



               ...บ่นไปงั้นแหละ แต่ก็ลุกไม่ได้เห็นหน้าหลายวันก็อยากเจอเขามั่งนี่นา...



               “ไม่ต้องงึมงำ ไปได้แล้ว เย็นแล้วจะขึ้นรถขึ้นราก็ระวังด้วย”



               “คร้าบบบบ”



               เราหิ้วถุงผ้าออกมาจากบ้าน ไม่คิดจะโทรหานายก่อนหรอก ช่วงสอบนี้เขากลับไปนอนที่บ้านแทนที่จะเห็นหอพักแถมยังมีเพื่อนเขาอยู่ด้วย เราก็หายห่วง

 







               ตอนที่แท็กซี่จอดเทียบหน้าบ้านนายก็หกโมงพอดี เรามองผ่านรั้วเข้าไปก็เห็นไฟสว่างอยู่ ถ้านายเจอข้าวห่อไข่นายต้องตกใจแน่ๆ เลย เรายิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องที่คาดการณ์ไว้



               แต่ว่า



               ยิ่งเดินเข้าไปเราก็ยิ่งรู้สึก



               แปลก...



               เราขมวดคิ้ว เอ็มเจกับแดมมาติวที่นี่นี่นาแล้วทำไมถึงมีรองเท้าแค่สองคู่ล่ะ



               เราถอดรองเท้า ก่อนจะเปิดประตูเข้าบ้าน ก้าวเท้าไปที่มุมห้องรับแขก แต่จังหวะที่เราจะเอ่ยปากเรียกนายนั้น เสียงที่ไม่คุ้นหูก็ดังขึ้น ทำให้เราขมวดคิ้วและเงียบลงโดยไม่ได้ตั้งใจ
               


               เท้าหยุดอยู่หลังกำแพง



               “ช่วยลุงอีกซักครั้งเถอะนะ”



               “...”



               “ลุงรู้ว่าลุงขอร้องนายมามากแล้ว แต่เรื่องคดีมันยืดเยื้อ นายก็รู้ว่าลุงมีลูกคนเดียวถ้าลุงไม่ช่วยไอ้ทูมัน ลุงจะช่วยใคร”             



               เราไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ แต่เพราะอะไรบางอย่างตรึงเท้าเราให้นิ่งอยู่กับที่



               “ลุงรู้ว่านายทำงานหนัก แต่ลุงสัญญาว่าจบเรื่องเมื่อไหร่ นายไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน....”



               “คราวที่แล้ว...”



               ทำไมกัน...น้ำเสียงนายดูเหนื่อยจังเลย



               “...”



               “คราวที่แล้วลุงก็พูดแบบนี้ ผมยอมไปหาเงินเพิ่มมาให้ลุง ผมพยายาม...”



               “...”
               


               “ที่ผมทำได้ ผมพยายามทำให้ลุงแล้ว ตอบแทนลุงที่เลี้ยงดูผม...”



               “...”



               “...แต่ผมบอกลุงแล้วว่าอย่ายุ่งกับคนอื่น”



               “คนอื่น? คนอื่นอะไรกัน นายโกรธลุงเพราะเรื่องนี้หรือไง คนอื่นที่นายว่าก็เป็นแฟนไม่ใช่หรอ...”



               “ลุงครับ!”



               “....ไอ้ทูมันบอกว่าครอบครัวเขาก็เอ็นดูนายดีนี่ ขอให้ช่วยหน่อยมันเป็นไปไม่ได้เลยใช่ไหม หรือจะให้ลุงไปขอเองล่ะ อย่างนั้นน่ะเขาต้องช่วยลุงแน่นอน เพราะลุงคือครอบครัวคนเดียว.....”



               “ผมบอกแล้วไงครับว่าอย่ายุ่งกับพี่ปั้น”



               นายพูดลอดไรฟัน น้ำเสียงเขาแข็งกระด้างอย่างไม่เคยได้ยินมาก่อน บรรยากาศของความอึดอัดลอยคลุ้งไปหมด ลุงของเขากลืนน้ำลายเสียงดัง ส่วนเรากำถุงผ้าในมือแน่น บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกที่อยู่ตรงอกนี่มันอะไรกัน



               “ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลุง แต่...ผมช่วยลุงไม่ได้อีกแล้ว และช่วยบอกลูกชายลุงด้วยนะครับ เลิกมาสอดส่องชีวิตของผมกับพี่ปั้นได้แล้ว ถ้ายังไม่หยุดเรื่องที่ครอบครัวลุงตั้งใจจะเก็บไว้เป็นควา....”



               ยังไม่ทันที่นายจะพูดจบ มือเย็นเฉียบที่โผล่มาจากด้านหลังก็ปิกปากเราฉับ! เราตัวชาวาบด้วยความตกใจสุดขีด



               “อะ...อื้อ”



ถุงกล่องข้าวแทบจะหล่นออกมาจากมือ แต่เพราะตกใจเราจึงกำมันไว้แน่น



               “พี่ปั้น”



               เสียงกระซิบคุ้นหูดังพร้อมกับเสียงชู่ๆ



                เป็นเอ็มเจกับแดมนั่นเอง เขาสองคนมองเราด้วยแววตาตื่นตระหนก ก่อนจะดึงแขนเราไปนอกบ้าน

 

.
.
ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 23: เรา...เป็นทุกอย่างได้เพื่อใครคนหนึ่ง P.10 [30/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 30-01-2019 15:23:47
.
.


               ถุงกล่องข้าววางอยู่บนชิงช้าตัวข้างๆ  ตัวที่นิ่งสนิท



               เรานั่งอยู่ชิงช้าตัวถัดไป กลิ่นของโซ่ที่เต็มไปด้วยสนิมโชยมาตามอากาศ ไม่ไกลจากเราคู่รักคู่หนึ่งกำลังวิ่งเหยาะๆ ออกกำลังกายยามเย็น



               “เอ่อ พี่ปั้นมานานแล้วหรอครับ”



               “อื้ม” เราตอบแดมขณะที่หางตาเหลือบเห็นหลังคาของโบสถ์คริสต์อยู่ลิบๆ พลางนึกไปถึงวันที่นายพาเราไปที่นั่น



               “พี่ปั้นโกรธนายมันหรือป่าวครับ”



               “โกรธหรอ”  เราทวนคำเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเด็กๆ สองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ



               “ไม่ เราไม่ได้โกรธ”



               ...เราสงสารนาย....

 

               “จริงๆ มันน่ะ กลัวครับ” จู่ๆ เอ็มเจก็เอ่ยขึ้น



               “...ไอ้นายนี่ขี้กลัวสุดๆ ไปเลย”



               “...”



               “แล้วก็ชอบคิดอะไร ทำอะไรคนเดียวโดยไม่บอกใคร มันกลัวว่าคนอื่นจะเดือดร้อนเพราะมัน”



               “จริงๆ เรื่องนี้พวกผมก็พึ่งรู้ไม่นานมานี้เองครับ” แดมเสริม ส่วนเราก็นั่งฟังเงียบๆ



               “พวกเราไปเห็นนายทำงานหนักขึ้น ซักไซ้ไปเรื่อยๆ เอาพี่ปั้นมาขู่มันถึงจะยอมบอกว่ามันทำงานเป็นกำลังหาเงิน...เพื่อลุงกับป้าของมัน”



               “ทีแรกก็เข้าใจได้นะครับ เรื่องบุญคุณน่ะพูดยาก แต่หลังๆ เริ่มรู้สึกว่านี่มันจะขูดรีดเกินไปแล้ว แถมไอ้ตัวต้นเหตุยังนอนกระดิกเท้าอยู่เฉยๆ ทำอย่างกับว่าไอ้นายมาทำงานใช้หนี้ชีวิตอย่างนั้นเเหละ”



               “เราสองคนเลือดขึ้นหน้าแทนมัน ไอ้นายมันก็ไม่บ่นหรอกครับ แต่มันหนักข้อขึ้นก็ตอนที่พวกเขาเริ่มพูดถึงคนที่มันแคร์และอยากปกป้องมากที่สุด...”



               “...ก็มีแต่พี่ปั้นนี่แหละ พี่ปั้นเข้าใจที่ผมจะพูดใช่ไหมครับ”



               “เราเข้าใจ”



               ...ทุกอย่างและเราไม่โกรธนายเลย

               

               





 

               เราลุกขึ้นเตรียมจะกลับบ้านนาย ใช้เวลาอยู่ข้างนอกไม่นานนัก เพราะเป็นห่วงนาย จึงชวนเอ็มเจกับแดมกลับ

             

               “ไอ้เด็กนี่ ถ้าไม่มีลุงอย่างฉัน จะโตมาได้ถึงขนาดนี้หรือไง! กล้าดียังไงมาขู่...”

               

               เสียงฝีเท้าหนักๆ พร้อมกับเสียงก่นด่าดังเข้ามาใกล้  แดมกับเอ็มเจอสบตามกับเงียบเชียบ ก่อนจะขยับตัวบังเราทันที

               

               “นี่!” ลุงนายหันมาเห็นก็ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรก่อนจะเงียบเสียง ใบหน้าโกรธขึงไม่มีความอาทรเหมือนที่นายเคยเล่าให้ฟัง เราแอบมองได้นิดนึง เอ็มเจก็ขยับตัวบังจนหมด

           

               “คุยกับเพื่อนผมเสร็จแล้วหรอครับ”

               

               ไม่รู้ว่าเอ็มเจพูดเสียงสีหน้าแบบไหน ลุงของนายถึงส่งเสียงฟึดฟัดอีกระลอกแล้วเดินจากไป

               

               “เกือบไปแล้วไหมล่ะมึง ถ้าไอ้นายรู้โดนด่าตายเลยไอ้ห่า”

               

               แดมหันหน้าพูดกับเอ็มเจ เวลานั้น ลุงของนายที่คิดว่าเดินไปไกลแล้วเหลียวกลับมาอีกครั้ง

               

               และสบตากับเรา

 

               







               "ไอ้นายพวกกูกลับมาแล้วโว้ย”

               

               เราเดินตามหลังพวกเขาเข้าบ้าน เพื่อนนายนี่ปรับอารมณ์เร็วจนน่าเหลือเชื่อ

               

               “พวกมึงอย่ากวนตีน กูบอกให้ออกไปแป๊บเดียวแล้วรีบกลับมา ปล่อยให้กูคุยอยู่กั...” นายที่นั่งเปิดหนังสืออยู่ที่โต๊ะตัวเดิม ส่งเสียงหงุดหงิด ถึงจะเห็นแต่ผมที่ปรกหน้าผากเขาแต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าคิ้วคงขมวดกันให้วุ่น

               

               “แถ่นแท้นนน พวกกูพากำลังใจมาส่ง”

               

               “พี่ปั้น! มาได้ไงครับ”

               

               เอ็มเจกับแดมกลัวนายจะคิดมากเลยเตรียมบทพูดซะยกใหญ่  แต่เพราะตลอดทางที่เดินกลับบ้าน เราเอาแต่คิดอะไรเงียบๆ คนเดียว ทำให้พวกเป็นกังวล



               พวกเขายิ้มค้างและรอคำตอบจากเรา



               “ก็มา...แท็กซี่”

               

               “อะ...ฮ่าๆๆ พี่ปั้นเนี่ยตลกเหมือนกันเนอะไอ้แดม เดี๋ยวพาไปเล่นมุกหน้าร้านเสื้อเราดีกว่า หน้านิ่งๆ คงจะเรียกลูกค้าได้เยอะ”

               

               “ไอ้นี่ ไปๆ กินผลไม้ดีกว่า แม่พี่ปั้นฝากมาเดี๋ยวไอ้นายแย่งหมด”

             

               ว่าแล้วเอ็มเจก็ถูกแดมลากออกไปก่อนที่นายจะยื่นเท้าไปเตะก้นเพื่อนรักของเขา

               

               “มาได้ไงครับ” พอนายหันกลับมาเขาก็คว้าข้อมือเราไปนั่งข้างๆ แล้วกอดเอวทันที มืออีกข้างที่ว่างเช็ดเหงื่อที่ขมับให้

               

               “แท็กซี่”

               

               “อย่าล้อเล่นสิครับ”

               

               เราหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะตอบไป



               “เอาข้าวเย็นมาส่งให้ลูกรักของแม่น่ะ หิวแล้วใช่ไหม”

               

               นายมองกล่องข้าวเขาเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะหรี่ตาลงเมื่อเห็นว่าเราจ้องเขาไม่วางตา “เป็นอะไรรึเปล่าครับ” เขาจับคางเราไปพลางหาความผิดปกติ

               

               “ไม่เป็นไรนี่” เราจับมือเขาออก มือข้างนี้ทำงานหนักไหม ร่างกายของเขาได้พักบ้างหรือเปล่า หัวใจของนายเริ่มเหนื่อยล้าบ้างไหม



               ข้างในอกของเรา มันตีรวนจนหน่วง

               

               เนิ่นนานกว่าจะพูดออกมา

               

               “เหนื่อยไหม”

               

               เหนื่อยรึเปล่า เราแบ่งเบาได้ไหม

               

               นายชะงัก แล้วมองนิ่ง             

               ส่วนเราก็มองหน้าเขาเช่นกัน ก่อนจะเลื่อนสายตามองริมฝีปาก

               

               เราขยับตัวเข้าหานาย               

               ขณะที่ไม่ละสายตามองเขา               

              ขณะที่ใช้นิ้วโป้งไล้มุมปากนายแผ่วเบา

               

               วินาทีต่อมา

               ตัวของเราแทบไม่มีช่องว่างระหว่างกัน

               ส่วนโค้งของริมฝีปากของเราแนบสนิท

               

               เสียงหัวใจตัวเองเหมือนจะถูกขยายให้ดังเพิ่มขึ้นร้อยเท่า คนตรงหน้ามีแววตาประหลาดใจอยู่ครู่นึง เขาปล่อยให้เราจูบปลอบเขาด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก

               

               “เราเห็นลุงของนาย...”

               

               ไม่ทันได้พูดจบ แววตานั้นก็เข้มขึ้นความรู้สึกบางอย่างครอบงำเขา นายขบเม้มกลับมาถึงจะไม่แรงมากนักก็ทำให้เราส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ

               

               มือหนายึดท้ายทอยเราไว้แน่น ถ่ายทอดอารมณ์กลัวออกมาอย่างหนักหน่วง

               

               “อื้อ”

               

               “ถ้าผมไม่ให้...พวกเขาก็เอาไปไม่ได้”

               

               เราขมวดคิ้วกับคำพูดนาย ไม่ทันจะได้คิดอะไร เขาเลื่อนริมฝีผากมาทาบที่ปลายคาง ก่อนจะเลื่อนไปที่ลำคอ มือข้างหนึ่งลูบเอวเราผ่านเนื้อผ้ากั้น ทุกที่ที่เขาสัมผัสร้อนจนแทบจะละลาย

               

               "นาย...”

               

               “...”

               

               “เราอยู่กับนายเสมอนะ”



               "..."



               และถึงเขาจะไม่เหลือใคร ก็ไม่เป็นไร เราจะเป็นทุกอย่างให้เอง



               เขาชะงักงัน...               

               ความนึกคิดกลับมาอย่างรวดเร็ว นายซบหน้ากับลาดไหล่เรานิ่ง

               ความเปียกหยดหนึ่งไหลออกมาจากหางตา





               เขาค่อยๆ ปรับลมหายใจ กอดเอวเราแน่นเหมือนกับกลัวว่าเราจะหายไป

               

               “เจ็มไหมครับ” เขาลูบต้นคอเราเบาๆ

               

               “ไม่เป็นไร”

               

               นับเป็นครั้งแรกที่เราเกือบจะเลยเถิด นายไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ขณะที่เราก็ไม่เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน

               เพราะอย่างนั้นความร้อนจึงกระจายอยู่ทั่วใบหน้า มือซ้ายที่นายประสานไว้เริ่มชื้น

               

               “เรารู้เรื่องทุกอย่างแล้วนะ” นายเงยหน้าขึ้น สีหน้ากังวล และหลายๆ อย่างผสมปนเปกันไปหมด

 

               





               นายไม่สนใจเอกสาร หรือหนังสือเรียนบนโต๊ะ แดมกับเอ็มเจรีบร้อนกลับไปซักพักนึงแล้ว พวกเขาคงเห็นว่านายคงต้องใช้เวลา

               

               นายเล่าให้เราฟังเรื่องปัญหาของลุงเขา ส่วนเรื่องที่ทำให้เขาสติหลุดก็คือเรื่องที่ลุงพยายามจะให้เขาขายบ้านหลังนี้ และ….

               

               “ก่อนหน้านี้ผมเต็มใจช่วย ก็ลุงเขาเลี้ยงผมมาตั้งแต่พ่อแม่เสีย แต่จู่ๆ ไอ้ทู...ลูกชายลุงน่ะครับ มันโทรหาผมแล้วก็พูดถึงพี่ปั้น มันขู่ผมว่าจะเข้าหาพี่ปั้นถ้าผมไม่ยอมช่วยลุง...พูดถึงพ่อแม่พี่ปั้นเสียๆ หายๆ ขู่ว่าจะบอกพ่อแม่ของพี่ปั้นด้วย”

               

               “ผมไม่อยากให้ใครยุ่งกับพี่ปั้น หรือครอบครัวพี่ปั้นแม้แต่นิด ก็เลยทำข้อตกลงกับลุง...”

               

               “เด็กโง่ ทำไมไม่บอกกันบ้าง พ่อกับแม่เราเต็มใจช่วยนายนะ ถ้าจะทำให้นายได้หลุดพ้นจากพวกเขา”

               

               เขาส่ายหน้า “พ่อแม่พี่ปั้นดีกับผมมาก แค่นี้ผมก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว...แต่พี่ปั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ครั้งนี้ผมไม่ยอมอีกแล้ว เพราะอย่างนั้นวันนี้ลุงถึงกับถ่อมาถึงที่นี่ ผมบอกพวกเขาแล้ว มันจบแล้ว ผมช่วยได้เท่านี้จริงๆ”

               

               “เหนื่อยมามากแล้วนะ ตัวแค่นี้เอง”

               

               นายเจออะไรมามากมายเหลือเกิน คำว่าตัวแค่นี้คงไม่เกินจริงหรอกมั้ง

               

               “จากนี้ขอให้เขาไม่มายุ่งกับนายอีกนะ”

               

               เราชอบเวลาที่ได้เปิดใจคุยกัน เพราะมันทำให้เรารู้สึกใกล้เขาเข้าไปอีก ในขณะเดียวกันก็ได้แบ่งเบาความรู้สึกของเขามาด้วย

               

               นายจมอยู่กับตัวเองไม่นานเขาก็เริ่มพูดอีกครั้ง

               

               “ตอนที่ผมเด็กๆ ลุงของผมน่ะ....เวลาคริสมาสต์ทีไรเขาจะมาหาผมที่บ้านพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่ง บอกว่าอยากได้อะไรให้เขียนใส่กระดาษนี้ไว้ ม้วนใส่ถุงเท้า แล้วแขวนไว้หน้าห้องนอน... ลุงบอกว่าถ้าตื่นมาแล้วคำขอจะเป็นจริง”

               

               “...”

               

               “ตอนเช้า...รู้ไหมครับพี่ปั้น สิ่งที่ผมขอวางอยู่หน้าประตู ผมดีใจและรอคอยมันทุกปี”

               

               “...”

               

               “ผมน่ะชอบเขามากเพราะเขาเป็นลุงคนเดียวของผม แถมยังเป็นซานต้าครอสของผมด้วย”

               

               เขามองตรงไปด้านหน้า แววตานายเป็นประกายแต่แฝงด้วยความเศร้าอย่างปิดไม่อยู่

               

               “...แปลกนะครับ พอเวลาผ่านไปซานต้าคลอสคนเดิมก็ไม่มีอีกแล้ว”

               

               “...”

               

               “...ผมไม่ได้ของขวัญมาหลายปีแล้ว แต่ถ้าผมขอได้อีกครั้ง”

               

               “...”

               

               “ผมอยากให้ลุงกลับไปเป็นซานต้าคลอสใจดีคนนั้นเหมือนเดิม”

               

               ...ที่นายมองอยู่คือรูปที่แขวนอยู่บนผนัง         

               ในภาพนั้นมีพ่อแม่และลุงของเขา ตรงกลางนั้นมีเด็กชายตัวเล็กๆ ยิ้มสดใสพร้อมกับกล่องของขวัญในมือ

               

               เขาคงรู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย ที่ต้องมาลงเอยแบบนี้

               

               เราหันซ้ายขวามองหาตัวช่วย ไม่อยากให้เขาจมดิ่งมากนัก

               

               ...นั่นไง...

               

               “นาย...คริสต์มาสยังไม่ถึงแต่เรามีของขวัญให้นะ ข้าวห่อไข่ที่เย็นแล้วจากซานต้าปั้นเอง”

               

               เขาชะงัก ค่อยๆ ละสายตาจากรูปภาพมามองเรา จากนั้นมุมปากก็โค้งขยับ           



               “หึหึ”

               

               “เอ้า ขำอะไรล่ะ รับไปสิ ซานต้าเมื่อยนะ”

               

               “เป็นแฟนผมเเล้วก็เป็นซานต้าด้วยหรอ"



               "อื้ม"



               "น่ารัก....แฮ่ม...ว่าแต่ผมยังไม่ได้ขอพรเลย ซานต้ามีของขวัญได้ยังไงครับ”

               

               “หือ? แล้วนายอยากได้อะไรล่ะ”

               

               นายจ้องมาที่ปากก่อนจะมองไปที่ลำคอ ตรงที่เราก็ไม่รู้เลยว่ามีรอยสีแดงจางๆ เกิดขึ้นตอนไหน จะรู้อีกทีก็ตอนส่องกระจกอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง

               

               “ว่าไง มองอยู่ได้”

               

               “ผม...อยากได้จูบจากซานต้าปั้นเหมือนเมื่อกี้น่ะครับ”

               

               ฉ่า               



               เจ้าเด็กคนนี้           

               จะล้อเขาตลอดไปเลยหรือไงนะ

               

               ว่าแต่...เห็นนายยิ้มกว้างแบบนี้



               ....ซานต้าจะอนุมัติคำขอดีไหมนะ...

               




แถมท้าย
               “ช้า...ช้าหน่อยได้ไหม นาย...อื้อ”
               “พี่ปั้นครับ ขออีกได้ไหมครับ”
               “ไอ้เชี่ย เสียงแหบพร่า สัดเอ็มเจมึงจะเอาไง” คนพูดกระทุ้งศอกไปหาเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตอนที่หลบไปกินผลไม้อยู่ในครัว เขาก็หน้าแดงกันเป็นแถบๆ
               “เอาเลย ไอ้เหี้ย ไม่ใช่ ไม่เอาๆ เข้าไปตอนนี้กูว่าไอ้นายตัดเพื่อนกับเราแน่”
               “ใครใช้ให้มึงลืมชีทล่ะ ยืนรอมานานแล้วนะโว้ย เมื่อกี้ก็ไม่ไปเอา”
               "ตอนเราแอบอยู่ครัวมึงกล้าไปเอาไหมล่ะ ไอ้นายแม่งฮอตอย่างไฟเยอร์”
               “ชิบหาย พี่ปั้นจะไหม้ไหมวะ”
               “พี่ปั้นไม่ไหม้หรอก แต่กูจะไหม้แล้วอ่า”
               “ไอ้เอ็มเจ! มึงยืนหนีบขาทำไม”
               “เชี่ยแดม กูว่าค่อยมาพรุ่งนี้แล้วกัน พากูกลับหอที”
               แดมถอนหายใจ จะสอบอยู่อาทิตย์หน้าพวกเขาจะรอดกันไหมเนี่ย ก่อนที่เท้าคู่หนึ่งกับอีกคู่ที่เดินบิดๆ จะเดินพ้นประตูรั้ว เอ็มเจก็หันมาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
               “มึงว่าไอ้นายจะได้กินข้าวห่อไข่ไหมวะ”
               “เชี่ย!”
               เขากระซิบดุ
               ....คิดเหมือนกันเลยว่ะ....




ขอโทษที่หายไปนานเลยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาหากันค่ะ
#เรากับเขา เข้าปี 2019
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 23: เรา...เป็นทุกอย่างได้เพื่อใครคนหนึ่ง P.10 [30/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 31-01-2019 00:25:38
กลับมาแล้ว  :mew1: แอบสงสารนายจัง ชีวิตมีแต่ความลำบาก กำลังจะมีความสุข ก็มีมารผจญอีก
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 23: เรา...เป็นทุกอย่างได้เพื่อใครคนหนึ่ง P.10 [30/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 06-02-2019 03:27:55
ว่าแล้วทำไมนายถึงกันปั้นออกจากผู้ชายคนนั้น ที่แท้ลูกพี่ลูกน้องของนายที่มีจุดประสงค์ไม่ดีนี่เอง พอเข้าใจละ รีบมาต่อนะครับ ขนาดช่วงนานๆ คนอ่านลืม
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 23: เรา...เป็นทุกอย่างได้เพื่อใครคนหนึ่ง P.10 [30/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: btoey ที่ 19-02-2019 10:08:08
โถ่ๆๆๆเอ็มเจ~~~~ :call:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 24 : เขา...กับความรักครั้งสุดท้าย P.10 [17/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 17-03-2019 22:51:28
Act 24 : เขา...กับความรักครั้งสุดท้าย



นายยิ้ม ขณะมองพี่ปั้นพลิกตัวมากอดเขาตอนกลางดึก



เขาอยากมองพี่ปั้นไปนานๆ  นายเอื้อมมือลูบผมนิ่มอย่างเบามือ ลมหายใจรินรดปลายคางเป็นจังหวะนั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเขาไม่ได้ฝันไป



เขาไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกนี้อีกแล้ว นายมักจะย้ำคำนี้เสมอ แน่ล่ะ เพราะดีใจเขาเลยมักจะพูดมันบ่อยๆ



คิดอะไรอยู่นะ ถึงขมวดคิ้วแบบนั้น นายยิ้มบางๆ พลางลูบหน้าผากพี่ปั้นอย่างเบามือ คนที่นอนอยู่ทำเสียงอืออาสองสามครั้งแล้วก็ขดตัวซุกอกเขาเป็นลูกแมว



ถ้าปิดเทอมแล้ว เขาจะชวนพี่ปั้นไปเที่ยวบ้าง ไปที่ไหนดีนะ อืม....มีหลายที่อยากไปกับพี่ปั้นจนบรรยายแทบไม่ถูก นายคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พอกะพริบตาอีกทีแสงแดดก็ลอดผ่านผ้าม่านมากระทบแก้มพี่ปั้น



นี่เขามองพี่ปั้นจนถึงเช้าเลยหรอเนี่ย



พี่ปั้นรู้คงจะตีเขาแน่ๆ แต่ทำไงได้ ไม่ได้เจอพี่ปั้นตั้งหลายวัน คิดถึงจะแย่แล้ว



นายอยากมีพี่ปั้นทุกวัน ได้มองพี่ปั้นตื่นนอน และรอเข้านอนพร้อมกันทุกวัน คงจะดีไม่น้อย



อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ จัง

 





“นาย”



เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับแรงเขย่าเบาๆ พอลืมตาขึ้น เขาก็พบว่าพี่ปั้นก้มหน้ามามองใกล้ๆ



เผลอหลับไปตอนไหนเนี่ย อดเห็นพี่ปั้นตื่นเลย



“เป็นอะไรปวดหัวหรอ” มืออบอุ่นแตะหน้าผากเขาแผ่วเบาก่อนจะผละไป



“เปล่าครับ” เขาขยี้ตาสองสามทีไล่ความง่วงออก



“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตา เราทำข้าวผัดไว้ให้พอกินได้อยู่นะเราชิมแล้ว เออ แล้วก็...เอ็มเจกับแดมจะเข้ามาอ่านหนังสือตอนสิบโมงนะ”



อ่า



มาปลุกตอนเช้า ใส่เสื้อผ้าของเขา แล้วทำอาหารให้กินเนี่ย อยากให้เขาฟัดให้จมเขี้ยวหรือไงนะ



“นาย?”



เขาเผลอมองไม่วางตาไปหน่อย พี่ปั้นเลยทำหน้าสงสัยส่งมาให้



นายใจกระตุก จนหน้าแดง หูแดงไปหมด กลัวว่าพี่ปั้นจะรู้ว่าเขาคิดเรื่องอกุศลแต่เช้าจึงรีบคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป



...ตกลงเขาไม่ได้ฝันใช่ไหมเนี่ย...



“กินเยอะๆ นะ แล้วก็ตั้งใจอ่านหนังสือด้วย”



“แล้วพี่ปั้นจะไปไหนครับ” เขากลืนข้าวผัดคำสุดท้ายลงท้องก่อนจะเงยหน้าถามพี่ปั้น



“กลับบ้านสิ”



“ต้องกลับแล้วหรอครับ”



“อื้ม แม่โทรหาตั้งแต่เช้าบอกว่าหาลูกไม่เจอ” นายมองปากพี่ปั้นขยับขึ้นลงจนต้องกลืนน้ำลายอย่างเงียบเชียบ



“พี่ปั้นน่าจะให้ผมคุย ผมจะได้บอกว่าพี่ปั้นไม่อยากกลับ อยากนอนกอดผมแน่นไม่ไปไหน”



พี่ปั้นส่ายหน้าแล้วส่งยิ้มบางๆ มาให้ แดดสีเหลืองอ่อนจากด้านหลังทำให้พี่ปั้นของเขาดูละมุนละไม นายใจเต้นแรง ตกหลุมรักคนตรงหน้านับครั้งไม่ถ้วน

 





“ไอ้นาย”



“อืม”



เขาครางในลำคอตอบรับ ก็เพื่อนรักเขาทั้งสองยุกยิกมาตั้งแต่สิบนาทีที่แล้ว



“ตกลงเมื่อคืนได้กิน...เอ๊ย ได้เคลียร์กับพี่ปั้นเรื่องลุงมึงรึยังวะ” เอ็มเจเอ่ยขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นแล้วก็พบสายตาเป็นห่วงจากเพื่อนสองคน เขาพยักหน้าเป็นคำตอบ



“หวังว่าคราวนี้ลุงมึงจะเลิกยุ่งจริงๆ นะเว้ย ต่างคนต่างอยู่มาตั้งนาน เดือดร้อนก็ค่อยโผล่มาทีนึง”



นายคิดตามคำพูดของเพื่อน...หลังจากลุงเขากลับไปวันนั้น ไอ้ทูลูกพี่ลูกน้องเขาทั้งพยายามโทรและส่งข้อความมาต่อว่าเขาด้วยความโกรธ กระทั่งมาวันนี้โทรศัพท์กลับเงียบสนิท



นายก้มหน้ามองหนังสือทำท่าเหมือนไม่คิดอะไร แต่ในใจเขากลับวูบโหวงกังวลอย่างน่าประหลาด



ครืด ครืด ครืด ครืด



“เชี่ยเอ็มเจ มึงปิดเน็ตเดี๋ยวนี้เลย แจ้งเตือนเด้งอย่างกับปืนกลแบบนี้แม่งรบกวนสมาธิพวกกู” แดมยื่นมือไปตบหัวเอ็มเจดังผลัวะ ก่อนที่จะคว้าโทรศัพท์ของเอ็มเจขึ้นมาดู



“ในไลน์กลุ่มผู้พิทักษ์นี่ เชี่ยนายดู พวกมันโอดครวญกันใหญ่เพราะพี่ปั้นจะเรียนจบแล้ว ฮ่าๆ จากนี้ไม่รู้จะแอบมองใครที่น่ารักเท่าพี่ปั้น”



“ไหนๆ กูดูมั่ง โหพี่ชมพู่เข้ามาแว้ดใหญ่”



แดมยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าเขาแว้บนึงแล้วก็หันไปคุยกับเอ็มเจต่อ เขาเหลือบมอง เพราะเป็นเรื่องพี่ปั้น นายจึงปัดเรื่องกังวลอย่างอื่นทิ้งไป แค่มีพี่ปั้นก็พอแล้ว เรื่องอื่นน่ะ...ไม่น่าเก็บเอามาใส่ใจซักนิด



“ก็ดี”



“มึงว่าไงนะไอ้นาย”



“กูบอกว่าดีแล้ว พี่ปั้นน่ะให้กูเห็นคนเดียวก็พอ”



“โอ๊ย ไอ้ขี้หวง”



แล้วเพื่อนเขาก็เปลี่ยนมาตบหัวเขาคนละที



...คิดถึงอีกแล้ว...

 









(ครับ? อื้อ นาย...ว่าไง สอบเสร็จรึยัง)



แอบงีบแน่เลย เสียงถึงอู้อี้แบบนี้ เหมือนความคิดจะสื่อถึงกัน คนปลายสายถึงได้กระแอมเบาๆ เสียงกุกกับบ่งบอกว่าคงจะพยายามมุดตัวออกจากผ้าห่ม



“เสร็จแล้วครับ พี่ปั้นครับ...ผมเหนื่อย” นายไม่เหนื่อยเลยซักนิด ที่พูดไปเพราะอยากอ้อน ถ้าเพื่อนได้ยินคงขนลุกพิลึก แต่ไม่เห็นเป็นไร เขาก็อ้อนกับพี่ปั้นคนเดียวนี่



(เหนื่อยก็กลับไปพักกก)



“อยากเจอพี่ปั้นมากกว่า”



(มาสิ)



หือ?



เขาประหลาดใจ ไม่ทันได้คิดอะไรต่อพี่ปั้นก็พูดขึ้น



(เรามีเรื่องอยากจะคุยกับนายเหมือนกัน)



“อะไรหรอครับ”



ทำไมนะ ที่เขาคิดว่าน้ำเสียงพี่ปั้นจริงจังเกินไป....



(ก็เรื่อง...)



ปึก!



“ไอ้นายไปแดกเหล้าไหมวะคืนนี้ สอบเสร็จแล้วนะเว้ย ปีสามมันเป็นอดีตแล้ว วู้วฮู้ว”



“นักศึกษา เงียบหน่อย”



(...นาย?)



“ครับ”



“โทษครับจารย์ แหนะๆ คุยกับพี่ปั้นหรอวะ” เขาพยักหน้าเป็นคำตอบ เพื่อนเขาจึงยักคิ้วพร้อมส่งยิ้มยียวนมาให้ “งั้นกูไปชวนไอ้แดมไปเมากันตามประสาคนโสดดีกว่า ไว้คุยกันเพื่อน”



(แต่นายพึ่งสอบเสร็จ ไปกับเพื่อนก่อนก็ได้นะ)



“ไม่เป็นไรครับ ผมคิดถึงพี่ปั้นมากกว่า...”



(โอเค้ งั้นเรารอที่บ้านนะ ขับรถดีๆ ล่ะ)



“ครับ”



เพราะพี่ปั้นหัวเราะนิดๆ ก่อนจะวางสายทำให้นายสบายใจขึ้นเยอะ แต่ยังไงก็ตามเถอะ



โคตรอยากเจอพี่ปั้นเลยว่ะ

 







เขาขับรถตรงมาบ้านพี่ปั้น รถค่อนข้างติด ถึงอย่างนั้น พอผ่านร้านอาหารญี่ปุ่น นายตัดสินใจแวะซื้อข้าวหน้าเนื้อกับไข่ออนเซ็นสองที่ พร้อมอาหารเซ็ตอีกสองอย่างไปฝากที่บ้านพี่ปั้น แล้วก็ขับรถต่ออย่างอารมณ์ดี



ขณะที่ติดไฟแดงนายมองออกไปนอกหน้าต่าง ถัดจากรถเขามีรถเมล์สาย 18 ชะลออยู่ เขาหวนนึกถึงวันแรกที่เจอพี่ปั้นพลางอมยิ้ม ไม่คิดว่าตัวเองจะนึกมุกขอไลน์ได้เร็วขนาดนั้น

 

ก็ตอนนั้นแค่คิดว่าถ้าคนๆ นี้ลงจากรถไป ก็คงไม่มีโอกาสอีกครั้งแน่ๆ

 

ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นน่ะเขาก็เป็นคนบังคับเข็มพรหมลิขิตด้วยตัวเอง

 

ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เขาได้เจอพี่ปั้น



ปริ้นๆ



นายยิ้มขำพลางส่ายหน้าให้กับตัวเองเล็กน้อยก่อนจะรีบออกรถ เขาเลี้ยวเข้าซอยบ้านพี่ปั้นด้วยความเคยชิน บ้านขนาดกระทัดรัดแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของพี่ปั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว



นายจอดรถอีกฝั่งของถนนเยื้องหน้าบ้านพี่ปั้น ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบอาหารเย็นที่เบาะหลัง



ในขณะที่กำลังจะเปิดประตูรถนั้น เขาเห็นพี่ปั้นเดินออกมาหน้าบ้าน



“ออกมารับเราหรอเนี่ย”



เขาพึมพำ สีหน้ายิ่งแจ่มใส นายลงจากรถ ตาเป็นประกายแห่งความสุขคู่นั้นยังคงจ้องมองพี่ปั้น



รถราวิ่งขวักไขว่ นายไม่สามารถก้าวขาวไปข้างหน้าได้เลยแม้แต่น้อย



บรืนนนนน



เสียงมอเตอร์ไซค์แล่นมา ดังไปทั่วบริเวณ เมื่อรถมอเตอร์ไซค์คันนั้น จอดลงตรงหน้าพี่ปั้น เขาตัวเย็นวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุ



พอเจ้าของรถเสียงดังคันนั้นถอดหมวกกันน็อค นายก็กำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว เขาก้าวขาออกมาโดยที่ไม่ละสายตาจากสองร่างนั้น



ปริ้นๆ



ทำไมเขาจะจำไม่ได้ เจ้าของรถนั่น คือไอ้ทู ลูกพี่ลูกน้องของเขา!



มันกำลังจะทำอะไร!



“เฮ้ย! ไอ้น้องข้ามถนนยังไงวะเนี่ย ไม่ดูรถเลยหรือไง!”



ลมสงบกำลังพัดพาคลื่นใหญ่ถาโถมสู่ความหวาดกลัวของเขาอีกครั้ง



และวินาทีที่มือสกปรกข้างนั้นผลักไหล่พี่ปั้น



เขาตัดสินใจข้ามถนนท่ามกลางเสียงก่นด่าดังสนั่น

 



“พี่ปั้น!”



นายไปถึงตัวพี่ปั้นได้ทันเวลา การมาของเขาทำให้ลูกพี่ลูกน้องชะงัก นายไม่เสียเวลาคิดเขาดันตัวพี่ปั้นให้อยู่หลังตัวเองทันที เพียงวินาทีเดียวที่สบตา เขารับรู้ถึงความกังวลของพี่ปั้น



“ไอ้นาย” เจ้าของรถมอเตอร์ไซค์เส็งเคร็งจอดรถ แต่ก็ยังไม่ยอมลงมา เอาแต่วางท่าคร่อมรถซึ่งนายมองว่ามันน่ารำคาญสิ้นดี



“ทำไมมึงถึงยังไม่จบซักทีวะ”



ยิ่งเห็นไอ้ทูแสยะยิ้ม เขายิ่งหัวเสีย



“มึงคิดว่ามึงขู่พ่อกูได้คนเดียวหรือไงวะ กูก็ขู่ได้ หรือจะทำมากกว่าขู่...แฟน...มึงได้เหมือนกัน”



“งั้นมึงคงอยากเข้าคุกจริงๆ สินะ” เขากัดฟัน กำหมัดแน่นจนเล็บจิกฝ่ามือ



“หึ”         



ทำเป็นวางท่าซะใหญ่โต ที่มาวันนี้มันคงกลัวว่าเขาจะบอกตำรวจจนต้องโผล่หัวมา ก็ไอ้หลักฐานที่เขาเผลอได้มาด้วยความบังเอิญนั่นน่ะ หลักฐานที่ว่าก็คือลูกพี่ลูกน้องของเขา ตั้งใจชนคนขี้เมาคนนั้นจริงๆ



ลุงยอมถอยไปแล้วตั้งแต่วันนั้น ถึงได้เลิกยุ่งกับเขา แน่นอนว่าสำหรับลูกชายคงไม่ใช่สินะ...ไม่อย่างนั้นมันคงไม่มาระรานที่นี่



“หึ มึงไม่กลัว?”



 “มึงกล้าก็ลองดูสิ!”



ผลัวะ!



โครม!



เพราะมันถือดีไปมองคนของเขา สายตาน่ารังเกียจที่โลมเลียพี่ปั้นนั่นทำให้นายไม่ทนอีกต่อไป



ผลัวะ! ผลัวะ!



ไอ้ทูล้มลงพร้อมๆ กับมอเตอร์ไซค์คู่ใจที่หล่นโครมลงกองไปกับพื้น นายเลือดขึ้นหน้า เข้าไปต่อยคนที่เคยวิ่งเล่นด้วยกันตอนเด็กซ้ำๆ ถุงกล่องอาหารมื้อเย็นที่ถือมากระจัดกระจาย เขาไม่มีเวลาสนใจ ลูกพี่ลูกน้องที่ล้มอยู่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่เอามือมาปัดป้องหมัดของเขาไปมา เสียงตุ๊บตั๊บดังก้องอยู่ในหัวทว่านายได้ยินเสียงพี่ปั้นร้องห้ามดังกว่าเสียงไหนๆ พี่ปั้นโถมตัวกอดแขนซ้ายของเขาแน่น



“นาย! นาย!”



“เกิดอะไรขึ้น นาย!”



“ไอ้ทู! นาย!”



“ข้าวปั้น! พ่อ...ไปห้ามหน่อยเร็ว นายลูก”



เวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงคนมาใหม่สามคนก็ร้องห้ามด้วยน้ำเสียงร้อนรนเพราะความโกลาหลที่เกิดขึ้น พ่อแม่พี่ปั้นวิ่งออกมาจากในบ้าน คนที่ตามหลังมาคือลุงของเขาเอง เมื่อเห็นแบบนั้นนายชะงักไปด้วยความตกใจและนั่นทำให้เขาโดนลูกถีบของไอ้ทูที่สีข้างอย่างแรง จนทำให้พี่ปั้นที่กอดเขาแทบจะล้มไปด้วย นายได้สติหันขวับไปหาพี่ปั้น พี่ปั้นจะโดนลูกหลงไม่ได้ และเขาไม่ควรทำตัวขาดสติแบบนั้น เขาสบตากับอีกคนที่กำลังน้ำตาไหล



“เป็นอะไรไหมครับ”



เขาลูบหน้าพี่ปั้นมือสั่น  รู้สึกกลายเป็นนายอีกคนที่ทำตัวแย่ๆ ต่อหน้าพี่ปั้น เขาไม่ทันเห็นว่าทูกำลังหน้ามืดด้วยความโกรธ มันเห็นช่องว่าง...เตรียมง้างหมัดเตรียมจะต่อยท้ายทอยเขาเต็มแรงอีกครั้ง



เพี้ยะ!



“พอแล้วไอ้ทู!”



หน้าไอ้ทูหันไปตามแรงตบ ไหล่ถูกกระชากให้ถอยห่างทันที มันตัวแข็งทื่อทว่าหมัดที่กำแน่นสั่นสะท้าน พ่อตบหน้ามัน!



“พ่อ!”



“ยังเรียกกูว่าพ่ออีกหรอ! ทำเรื่องงามหน้ายังไม่เคยสำนึกผิด แล้วยังจะมาทำร้ายคนอื่นอีก! มึงจะทำให้คนเป็นพ่อตายไปเลยหรือยังไง!



นายไม่สนใจสองพ่อลูก เขารวบพี่ปั้นเข้ามาในอ้อมกอด ขยับตัวหนีออกจากระยะที่ไอ้ทูจะโจมตีสามสี่ก้าว ใจกระหน่ำตีในอกจนเจ็บปวด ก่อนจะสบตากับพ่อและแม่ของพี่ปั้น สายตานั้นเต็มไปด้วยคำขอโทษ พี่ปั้นกำเสื้อเขาแน่นพร้อมกับกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้อง



“ผมขอโทษแทนลูกชายผมด้วยนะครับคุณ มันจะไม่มีอีกแล้ว ครอบครัวเราติดหนี้คุณ...”



ลุงของนายที่ขยับมายืนอยู่ตรงหน้าลูกชายตัวเอง แล้วยกมือไหว้พ่อกับแม่ของพี่ปั้น นายผละออกจากพี่ปั้นก่อนจะหันไปมองลุง เขาขมวดคิ้วแน่น



ทูก็เช่นกัน



...อุตส่าห์จะมาสั่งสอนแฟนของไอ้นาย เพราะไอ้นายกล้าขู่ครอบครัวเขา กล้าอกตัญญู ทั้งๆ ที่บ้านเขาก็แทบไม่มีกินแต่ต้องมาช่วยส่งเสียงมันเรียนตั้งแต่เด็ก ทำไมกัน ทำไมพ่อของเขาถึงได้นอบน้อมขนาดนั้น…



แม้จะอยู่ในความคิดแต่ความเคียดแค้นนั่นแสดงออกมาจากแววตาทั้งหมด



“หมายความว่ายังไงพ่อ!”



“มึงขอโทษนายกับข้าวปั้นเดี๋ยวนี้!” เมื่อพ่อของตนไม่ตอบคำถาม ทูอยากจะหาอะไรระบายอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่ในอกนี้ไปให้หมด ทูรู้สึกความร้อนพุ่งขึ้นใบหน้า มันอับอาย อดสู โกรธ และริษยาอยู่ในขณะเดียวกัน



“ไม่จำเป็น พวกคุณออกไปจากบ้านเราซะ เรื่องที่ตกลงกันไว้คุณคงจะไม่ลืม ห้ามมายุ่งเกี่ยวกับนายและข้าวปั้นอีก และอย่าลืมครอบครัวของคุณไม่เกี่ยวข้องกับนายอีกนับตั้งแต่วันนี้!”



คุณพ่อของพี่ปั้นพูดเสียงหนักแน่น ใบหน้าเย็นชากดดันให้ลุงของนายค้อมหัวลงต่ำ แม่ของพี่ปั้นจับมือข้างหนึ่งของคุณพ่อแน่น สายตาแข็งกร้าว ยามที่เดินมาอยู่หลังนายและพี่ปั้น นายเข้าใจในทันที ที่พี่ปั้นบอกว่าจะคุยกับเขาคงเป็นเรื่องนี้



ลูกพี่ลูกน้องของเขาฮึดฮัด มันอยากจะตะโกนใส่หน้าพวกมันเป็นหมื่นๆ คำ เจ้าของใบหน้าช้ำเลือดเห็นนิ้วของพ่อตัวเองสั่นเล็กน้อย และปลายซองสีน้ำตาลที่ถูกพับลวกๆ โผล่มาจากกระเป๋ากางเกง ทูกัดกรามตัวเองราวกับจะบดให้มันแหลกละเอียด



...หมายความว่า พ่อกับแม่ไอ้หน้าอ่อนนี่ยอมช่วยไอ้นายจริงๆ สินะ เดิมทีเขาเสนอให้พ่อพูดถึงเรื่องแฟนไอ้นายเพราะอยากจะขู่ให้มันหาเงินให้หนักขึ้นเท่านั้นมาเป็นค่าจ้างทนาย พวกเขารู้ว่าคนที่ไอ้นายรักเอามาเป็นเครื่องต่อรองได้



...หึ ทำไมไอ้นายถึงมีแต่คนคอยค้ำชู หนี้ของคนอื่น ครอบครัวนี้ก็เต็มใจช่วยอย่างนั้นหรอ...



ทูยกมอเตอร์ไซค์ของตัวเองขึ้นก่อนจะวาดขาคร่อมเศษเหล็กคันนั้น



“หึ พอใจมึงแล้วสินะไอ้นาย”



นายรู้ ไอ้ทูก็แค่พาล เขาจ้องไอ้ทูเขม็ง ไม่กล่าวอะไรอีก เขารู้สึกว่าแค่หายใจร่วมกับมันก็มากเกินพอแล้ว



“พอใจแล้วสินะที่เห็นพวกกูตกต่ำถึงขนาดนี้ หึ ไม่น่าเลยนะพ่อ ถ้ามันจะอกตัญญูถึงขนาดนี้ ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายๆ ไปกับพ่อแม่ของมันเลย จะเก็บมันมาเลี้ยงทำไมวะ!”



เสียงทุ้มแหบตวาดก้อง ระบายความเคียดแค้นในใจ และไม่รอให้ขับไล่ครั้งที่สอง ทูบิดคันเร่งออกไปทันที



ทิ้งความย่ำแย่ทางความรู้สึกไว้ให้เบื้องหลัง



“ผม...ผมขอโทษจริงๆ ครับ นายเอ๊ย ลุงขอโทษ” นายมองลุงตัวเองที่ตาแดงก่ำ หลังค้อมลงอย่างไร้ศักดิ์ศรี “ลุงขอโทษจริงๆ”



ผู้ใหญ่อีกสองท่านถอนหายใจ ทำไมจะไม่เข้าใจความรู้สึกเพราะรักลูกมากไปจึงยอมทำทุกอย่าง พ่อกับแม่ของพี่ปั้นแม้จะเอ่ยไปแบบนั้น แต่ก็เดินเข้าไปหาลุงนาย ตบไหล่เบาๆ ท่าทางคงอยากจะพูดอะไรให้กับลุงของเขา



และตรงนี้เหลือเขากับพี่ปั้นแล้ว



“พี่ปั้น ผม...ผม...”



“นายอย่าทำแบบนี้อีกนะ ถ้านายเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง” นายอยากจะชกหน้าตัวเอง พี่ปั้นร้องไห้เพราะเขาอีกแล้ว เขารู้สึกปั่นป่วนจวนเจียนจะระเบิด



 “พี่ปั้น ผมเกือบจะทำให้พี่ปั้นต้องเจ็บตัว...”



พี่ปั้นกุมมือเขา พลางพูดเสียงหนักแน่น “ไม่เป็นไร...นายจำไว้นะ”



“...”



“ขอแค่นายไม่เป็นอะไร เราก็ไม่เป็นอะไร”



แม้ว่าดวงตาและปลายจมูกแดงช้ำ พี่ปั้นก็ยังส่งยิ้มมาให้เขา



และประโยคเมื่อครู่ทำให้เขาอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ



ถ้าเขาเจ็บ พี่ปั้นก็เจ็บ



แล้วเมื่อกี้พี่ปั้นจะเจ็บแค่ไหนกันนะ



คนตรงหน้าเข้มแข็งกว่าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ



ไม่ใช่เขาแค่อยากจะปกป้องพี่ปั้น แต่พี่ปั้นก็เช่นกัน



“ขอบคุณนะครับ” เขาเอ่ยออกไปแผ่วเบา



...จะแค่ไหนก็ไม่เคยพอสำหรับคนๆ นี้...



พี่ปั้นบีบมือเขา ก่อนจะเบนสายตาไปด้านนอก



“อ่า ไหนดูซิ ของที่นายซื้อมาถูกคนใจร้ายนั่นทำลายหมดแล้ว นั่นของโปรดเรานี่”



คนที่เหมือนแสงสว่างของเขาเดินออกไปหน้าบ้านเก็บถุงอาหารเย็นที่หล่นกระจายออกไปตรงริมถนน เขาเดินตามออกไปไม่ห่าง หางตายังเห็นพ่อแม่ของพี่ปั้นยืนคุยกับลุงของเขาตรงซุ้มดอกกล้วยไม้



พี่ปั้นยังคงเป็นพี่ปั้น เป็นคนที่ทำให้เขาหายดีเสมอ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม



รถราด้านนอกเริ่มบางตาลงแล้ว พี่ปั้นของเขาชูถุงอาหารขึ้นมาระดับไหล่ ส่งยิ้มให้แต่ก็ทำหน้าเสียดายอาหารโปรดจนเขาต้องเผลอยิ้ม



บ้านหลังนี้ ครอบครัวนี้ดีกับเขาเหลือเกิน



...รอยยิ้มของพี่ปั้นนับจากนี้ จะเป็นของเขาโดยสมบูรณ์...



เขาจะไม่ทำให้พี่ปั้นต้องเสียน้ำตาอีกแล้ว



นายเหม่อมองพี่ปั้นได้ไม่นานก็รู้สึกถึงลมเย็นสายพัดผ่านตัวเขาไป นายหนาววูบจนเกร็งแขน



ไม่ทันได้คิดถึงสาเหตุ



และไม่มีใครคาดคิดว่า



มอเตอร์ไซค์ของทูย้อนกลับมาอีกครั้ง แรงบดเบียดของล้อนั่นเต็มไปด้วยความโกรธแค้นพุ่งตรงมาด้านหลังของเขาอย่างรวดเร็ว



กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรจะเกิดขึ้น....แสงสว่างวาบเข้ามาในตาพี่ปั้นก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกอย่างที่เขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน



“นายระวัง!”



สิ้นเสียงนั้นนายรู้สึกว่าเหตุการณ์ทุกอย่างมันกระทันหันไปหมด



ผลัก!



เขามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนคนโง่

ภาพตรงหน้าถูกชะลอให้ช้าลงเป็นสิบเท่า



ฝ่ามือที่มักจะมีแรงน้อยกว่า

ผลักเขาให้พ้นเขตของรถอันตรายไปอย่างเฉียดฉิว



แต่พี่ปั้นกลับไม่ใช่...



รถของไอ้ทูเฉี่ยวแขนพี่ปั้นจนเจ้าตัวเซถลาไปกลางถนน

ขณะที่มีรถอีกคันกำลังแล่นมา



ปริ้นนนนนนน



เอี๊ยดดดดดด



โครม!



กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น...

พี่ปั้นของเขาก็นอนนิ่งอยู่ตรงนั้นแล้ว....

 

“โทษนะครับ”

“...ครับ?”

“ส้มผมกลิ้งไปโดนเท้าคุณ..”




ความทรงจำในก่อนหน้านั้นแทรกความนึกคิดเข้ามาเป็นระยะ…ติดๆ ดับๆ คล้ายอยู่ระหว่างความฝันกับความจริง



“พี่ชื่ออะไร”

“เราไม่จำเป็นต้องบอก”

“บอกมาเถอะ...งั้นถือซะว่าเห็นแก่ถุงส้มใบนั้น”

“ชื่อ...ปั้น”

“มาจากกำปั้นหรอพี่”

“ข้าวปั้น”




“ปล่อยมือคนไข้ก่อนครับคุณ ใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้ว”



“เราจะลงแล้วล่ะ”

“อ๋อครับ...”

“โชคดีนะ”




“นายลูกปล่อยมือพี่เขาก่อน ปั้น...ฮือ”



“นาย...ความชอบของเราอาจจะตามนายไม่ทัน”

“แต่จนกว่าถึงวันนั้นช่วยรอหน่อยนะ”



เสียงไซเรน เสียงร้องไห้ เสียงหายใจที่อ่อนล้า แทรกเข้ามาในโสตประสาท

มือของพี่ปั้นเย็นเฉียบ ไม่ต่างใจเขา

หนาวเหน็บ...ราวกับว่าความอบอุ่นได้หายไปแล้ว



“อย่าดื่มนะ นายขับรถ”

“เหม่ออะไรครับ ฝนตกแล้ว มาครับ…เดี๋ยวไม่สบาย”




นายยังคงจ้องมองใบหน้าซีดเซียว

แม้ว่าน้ำตาอุ่นร้อนไหลลงมา ลวกผิวจนแสบไปหมด

เขาก็ไม่ละสายตา...แม้แต่วินาทีเดียว



“พี่ปั้นร้องไห้ทำไมครับ”

“เพราะนายนั่นแหละ! เราเรียกนายแล้วนายไม่ตอบเราเลย เหมือนนายไม่ได้อยู่ที่นี่ เราถึงกลัว...” 

“เรากลัว...นายไม่กลับมา”

“ผมจะไม่กลับมาได้ยังไง...ก็พี่ปั้นอยู่ตรงนี้ทั้งคน”



หัวใจของเขาเจ็บปวดเหลือเกิน



“สุขสันต์วันเกิดนะ ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่นายที่ทำให้นายเกิดมาบนโลกใบนี้”

“เราตั้งใจมาที่นี่เพื่อบอกกับนายว่า...”

“เราชอบนายมาแล้วหนึ่งพันครั้ง”




แค่คิดว่าคนที่เจ็บเป็นพี่ปั้น เขาก็เหมือนตายลงไปแล้ว



“นายกลัวอะไร...”

“ผม...กลัวว่าเสียพี่ปั้นไป”

“คนเราน่ะพูดในสิ่งที่คิดทุกอย่างไม่ได้หรอกใช่มั้ยครับ เพราะแบบนั้นผมกลัวว่าถ้าผมพูดในสิ่งที่เราคิดทุกอย่าง ผมกลัวว่า...ผมจะเสียพี่ปั้นไป”

“คำถามที่นายเคยถาม...”




“ขอทางหน่อยครับ ห้องฉุกเฉินพร้อมแล้ว!”

“คุณครับเข้าไปไม่ได้ครับ ญาติรอด้านนอกนะครับ”



ใจร้ายจัง



“...ครับ?”

“เรารักนาย”



จะให้เขาอยู่คนเดียวบนโลกนี้หรือยังไง



...ถ้าไม่มีพี่ปั้นแล้ว ผมจะอยู่ไปเพื่ออะไร...

 


[ต่อด้านล่างนะคะ]
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 24: เขา...กับความรักครั้งสุดท้าย P.10 [17/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 17-03-2019 22:53:00
ผนังสีขาว

ทางเดินสีขาว



สถานที่ที่เขาไม่เคยนึกชอบมันเลย

ถึงอย่างนั้น เขาต้องกลับมาอีกครั้ง และรอคอย



การรอคอยสำหรับเขามันช่างทรมาน...กว่าครั้งไหนๆ



ไม่รู้ว่ามาถึงนี่ได้ยังไง แต่นายรู้สึกเหมือนกับว่า...เขาผ่านการจมน้ำมาเป็นพันๆ ครั้ง



นายเหม่อมองบานประตูนั่นอย่างไม่มีสติ ความทรงจำผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ผสมทั้งอดีตและเหตุการณ์เมื่อครู่



“นายลูก ไปทำแผลก่อน” ฝ่ามืออบอุ่นสัมผัสที่ไหล่ข้างขวาแผ่วเบา เขาที่เหม่ออยู่นาน ค่อยๆ หันกลับมาสบตาคนตรงหน้าอย่างเชื่องช้า คุณแม่พี่ปั้นส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ เขาจุกจนพูดไม่ออก



ตรงกลางอกวูบโหวงอยู่ตลอดเวลา



“...”



“ปั้นไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ถึงมือหมอแล้ว” มืออีกข้างหนึ่งวางทาบทับมือที่กำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อของเขา พ่อแม่พี่ปั้นที่ใจเสียไม่แพ้กันกำลังปลอบประโลมเขา ไม่กล่าวโทษเขาแม้แต่คำเดียว



ทั้งๆ ที่เขาเป็นตัวต้นเหตุเเท้ๆ



“ผม...” นายพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงไป น้ำเสียงเจ็บปวดเกินใครจะคาดคิด กระทั่งผู้ใหญ่ทั้งสองก็น้ำตารื้นด้วยความสงสาร



“...”



 “เป็นเพราะ...ผม พี่ปั้นถึง...”



เขาพบว่าตัวเองอ่อนแอเสียเหลือเกิน

อ่อนแอ ไร้ค่ายิ่งกว่าก้อนกรวดที่แม้แต่คนรักยังปกป้องไม่ได้



....พี่ปั้นตัวแค่นี้ จะทนเจ็บได้ยังไง...



“ปั้นจะไม่เป็นไร ไม่ต้องร้องนะลูก”



เสียงกระซิบพร้อมกับอ้อมแขนโอบล้อมกายเขา

เขาปล่อยให้ความอ่อนแอและความหวาดกลัวท่วมท้มออกมาอย่างไม่อาย


“ผมขอโทษ อึก ผมขอโทษครับ”

 







มืด



“นาย...”



“...”



“เราอยู่กับนายเสมอนะ”



“...”



“นาย”



เสียงเรียกหนึ่งดังพร้อมกับแรงเขย่าเบาๆ พอเปิดตาขึ้น เขาก็พบว่าคนตรงหน้ากำลังก้มลงมามองใกล้ๆ



เสื้อเชิ้ตสีฟ้าบนตัวรวมถึงกางเกงสแล็คสีดำเหมาะกับรูปร่างอีกฝ่ายอย่างน่าประหลาด



“พี่ปั้น?”



เขาขมวดคิ้ว มึนงงกับเหตุการณ์ข้างหน้า บรรยากาศรอบๆ เบาสบายเหมือนนอนอยู่บนท้องฟ้า ล่องลองคล้ายความฝัน



“เป็นอะไรปวดหัวหรอ” มืออบอุ่นแตะหน้าผากของเขาแผ่วเบาก่อนจะผละไป



สัมผัสเสมือนจริงทำใจเขาเต้นแรง



“เปล่าครับ” นายส่ายหน้าประกอบคำพูด



“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตา เราทำข้าวผัดไว้ให้พอกินได้อยู่นะเราชิมแล้ว รีบเลยเดี๋ยวก็ไปสัมภาษณ์งานสายหรอก”



...เหมือนวันนั้นเลย...



ริมฝีปากบางบ่นเขาต่ออีกสองสามประโยค สองมือท้าวเอว คิ้วขมวดกันแน่น ขณะเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหาชุดทางการที่เข้ากันให้เขา



“ตัวไหนดีนะ...”



นายลุกขึ้นนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง สายตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังของพี่ปั้น



มุมปากยกยิ้มบางอย่างไม่รู้ตัว



ดีชะมัด...



ได้โตไปพร้อมกับพี่ปั้นด้วย

ได้มองพี่ปั้นทุกวัน

ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพี่ปั้น



หากว่านี่คือฝัน คงเป็นฝันดีที่สุดที่เขาไม่อยากตื่นเลย

               









นายสะดุ้งตื่นพร้อมกับหางตาที่เปียกชื้น เขาเช็ดมันลวกๆ ก่อนจะมองไปรอบๆ เมื่อกลางดึกคุณหมอออกมาจากห้องฉุกเฉินแจ้งข่าวให้กับญาติผู้ป่วยก่อนจะย้ายพี่ปั้นมายังห้องพิเศษ



“โชคดีนะครับที่รถคันนั้นหักหลบไปชนกำแพงบ้าน ไม่งั้นคนไข้อาจจะบาดเจ็บหนักกว่านี้ คนไข้เอาแขนรองรับน้ำหนักทำให้แขนซ้ายหัก เอ็นข้อเท้าฉีก ส่วนศีรษะที่ฟาดลงกับพื้น ไม่มีบาดแผลภายนอกแต่เรากำลังรอผลจากซีทีแสกน คนไข้ตอบสนองดี ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลนะครับ กลางคืนอาจจะมีไข้ขึ้นสูงทางเราจะจัดเตรียมพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิดครับ”



“เห็นไหม เจ้าลูกหมาของพ่อดวงดีจะตาย”



“ขอบคุณค่ะคุณหมอ ฮึก” พ่อของพี่ปั้นถอนหายใจอย่างโล่งอก ระหว่างนั้นก็กอดปลอบคุณแม่ไปด้วย



นายเงียบขณะฟังอาการของพี่ปั้น แววตาเขาวูบไหวเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นนายแทบไม่ละสายตาไปไหนเลย เขาจ้องมองพี่ปั้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เห็นพี่ปั้นอยู่ตรงหน้า แต่นายกลับรู้สึกว่าเขากลัวเหลือเกิน 



ในตอนสาย ชมพู่เข้ามาในห้องพิเศษอย่างรีบร้อน จากนั้นก็คุยกับพ่อแม่พี่ปั้นก่อนจะเหลือบมองนายเป็นระยะๆ ท่าทางของทั้งคู่ไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับนาย เขานั่งอยู่ข้างเตียงพี่ปั้นไม่ขยับเขยื้อน ท่าทางเหม่อลอยจนหลายคนนึกเป็นห่วง



นายรู้สึกตัวตลอดเวลา ทว่าเขาไม่รู้สึกถึงหัวใจของตัวเอง



“นายไปพักก่อนไหมลูก”



“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากรอพี่ปั้นตื่น พ่อกับแม่กลับไปพักที่บ้านก็ได้นะครับ ผมจะดูพี่ปั้นให้เอง”



“นาย แกอย่าทำให้ปั้นเป็นห่วงได้ไหม ดูสภาพแกตอนนี้สิ” ชมพู่พูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง แต่ว่า...ให้เขาแย่กว่านี้ก็ได้ นายคิดราวกับว่าเขาต้องการลงโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา



“พี่ชมพู่ไปส่งพ่อกับแม่ทีนะครับ พวกเราไม่ได้เอารถมา”



“ดื้อจริงๆ เลย” ชมพู่ทำท่าจะพูดอะไรต่อแต่เพราะระบบสั่นจากมือถือรบกวนซะก่อน เธอค้อมหัวลงเป็นเชิงขอตัวก่อนจะออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอกห้อง



“ฮัลโหล แดมแกรีบๆ มาเลยนะ...”



ผู้ใหญ่ทั้งสองคนสบตากันช้าๆ ท่าทางของนายตอนนี้ไม่มีใครอยากปล่อยให้อยู่คนเดียว พวกเขาใจเสียไม่แพ้กัน เหตุการณ์เมื่อวานมันรวดเร็วจนไม่มีใครได้ตั้งตัว แต่อย่างน้อยลูกชายของพวกเขาก็ผ่านมันมาได้ และเชื่อแน่ว่านายไม่มีทางยอมครอบครัวนั้นอีกอย่างแน่นอน



แม่ของพี่ปั้นเดินมาหยุดอยู่อีกด้านนึงของเตียง พลางลูบแก้มพี่ปั้นช้าๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ



“นอนหลับสบายเลยข้าวปั้น”



“…” เขายิ้มรับคำพูดนั้นอย่างอ่อนล้า



...นั่นสิครับ นอนเยอะๆ แบบนี้ไม่ดีเลยนะ...



“นายรู้ไหมลูก จริงๆ แล้วเมื่อวานน่ะ...”



“....” นายที่ทอดสายตามองพี่ปั้นอยู่ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับคนพูดช้าๆ



“บ้านเราจัดงานเลี้ยงเล็กๆ รอนายอยู่นะ”



“งานเลี้ยงหรอครับ” เขาทวนคำพูดอย่างติดๆ ขัดๆ คุณพ่อพี่ปั้นที่เมตตาเขาตลอดมา เดินมาข้างๆ เขาแล้วบีบไหล่



“ก็งานเลี้ยงฉลองที่นายเป็นลูกคนที่สองของบ้านเรายังไงล่ะลูก”



“หมะ...หมายความ...” นายได้แต่อึกอักเผลอกุมมือพี่ปั้นที่นอนหลับอยู่อย่างไม่รู้ตัว คุณแม่พี่ปั้นไม่ตอบคำถามเขาในทันทีแต่กลับเล่าเรื่องบางอย่างแทน



“ตั้งแต่เด็กๆ ข้าวปั้นเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองเลย นายก็รู้ใช่ไหม แม่กับพ่อเป็นห่วงข้าวปั้นมาตลอด แต่แล้ววันนึง เขาก็เดินเข้ามาบอกพวกเราว่าเขาชอบคนๆ นึงมากๆ และคนๆ นั้นไม่ใช่ผู้หญิง ท่าทางไม่ลังเลแม้แต่นิด” คุณแม่พี่ปั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก



“ตอนนั้นพ่อกับแม่ตกใจแถมเคืองนิดหน่อย เจ้าลูกหมาของเรามาบอกว่ามีคนที่ชอบต่อหน้าเลย เรื่องเพศอะไรไม่สำคัญหรอก แม่พูดเสมอว่าคนเราต้องเติบโตกับทางที่ตัวเองเลือกแล้วต้องเรียนรู้ที่จะผิดหวังด้วย พ่อกับแม่อยากให้เขาเรียนรู้แต่ก็ไม่อยากเห็นลูกเสียใจ



ถึงอย่างนั้น ข้าวปั้นยอมรับ แต่ก็อยากให้พ่อกับแม่รู้จักคนที่เขาชอบมากขึ้นแม้ว่าจะรู้จักแล้วก็เถอะ แม่ก็สงสัยนะ แต่ว่า...เดาไม่ยากหรอก นอกจากชมพู่แล้ว ก็มีแต่นายนี่แหละ ข้าวปั้นบอกว่าถ้าพ่อกับแม่รู้จักนายแล้วจะต้องเอ็นดูนายแน่ๆ แถมยังบอกอีกว่า ถึงแม้ว่าต้องผิดหวัง ถ้าหากในอนาคตมันไม่ใช่ความรัก ข้าวปั้นก็อยากให้นายรู้ว่านายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว อย่างน้อยก็มีครอบครัวเราที่หวังและเต็มใจให้นายพึ่งพา”



นายซึมซับทุกคำพูด ก่อนยิ้มกับตัวเองพร้อมกับขอบตาร้อนผ่าว นึกถึงวันที่เขาเมาพูดจาทำร้ายจิตใจพี่ปั้น ทั้งๆ ที่... ทั้งๆ ที่พี่ปั้นดีกับเขาขนาดนั้น คนขี้ขลาดคือเขาทั้งหมด พี่ปั้นบอกพ่อกับแม่ด้วยตัวคนเดียวแบบนั้น จะคิดมากแค่ไหนก่อนจะบอกออกไป



“พ่อกับแม่ประหลาดใจอยู่นาน แต่หลังจากนั้นเราก็คอยเป็นกำลังใจให้ทั้งสองคนอยู่เงียบๆ ......ตั้งแต่ที่รู้จักกับนายมา พวกเราก็เอ็นดูนายจริงๆ ไม่ใช่เพราะเรื่องราวของนายหรอกนะลูก เพราะนายเป็นเด็กดี เป็นคนดี ได้เห็นทั้งสองคนคอยห่วงใยช่วยเหลือกัน แค่นั้นมันก็พอแล้วสำหรับพ่อกับแม่



แม่แอบคิดนะว่า ตั้งแต่ตอนไหนกันที่ลูกชายของแม่กล้าหาญขนาดนี้ กระทั่งเมื่ออาทิตย์ก่อน ข้าวปั้นเล่าเรื่องลุงของนายให้พ่อกับแม่ฟัง ข้าวปั้นคิดมากเลยล่ะ ไม่อยากให้นายรู้สึกว่าพวกเราสงสารนายหรืออะไรทำนองนั้น ลุงของนายติดต่อปั้นมา ปั้นไม่อยากให้นายเสียใจอีกแล้ว สุดท้ายก็เลยตัดสินใจด้วยตัวเอง ข้าวปั้นไม่อยากให้นายไม่มีสมาธิ เพราะเป็นเรื่องที่บ้านเมื่อไหร่นายจะจมดิ่งอยู่แบบนั้น ปั้นมาปรึกษาพ่อกับแม่ขอให้พ่อกับแม่รับนายมาเป็นลูกอีกคน แถมยังบอกอีกว่าเผื่อวันไหนไม่มีปั้นแล้วอย่างน้อยนายก็มีพ่อกับแม่ที่รักและห่วงใยนายไม่ต่างจากปั้น”



ฟังถึงตรงนี้ หัวใจของนายหดเกร็ง รู้สึกไม่พอใจกับประโยคหลัง ทำเพื่อเขาขนาดนี้แล้วแล้วคิดจะทิ้งเขาไปหรือไงกันนะ นายเม้มปากแน่น พยายามกลั้นความร้อนตรงกระบอกตาและโพรงจมูก เขาก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อหลบซ่อนความอ่อนแอนั้นไว้



“น่าตีใช่ไหมล่ะ ที่พูดเป็นลางแบบนี้ แม่ตีปั้นให้แล้วนะลูก” คุณแม่พี่ปั้นหัวเราะเบาๆ พลางเดินเข้ามาใกล้เขา



“ข้าวปั้นรักนาย นายก็รักปั้นมาก ทำไมพ่อกับแม่จะไม่รู้ พวกเรารู้มานานแล้วเพราะปั้นรักนายถึงได้ทำเรื่องบ้าบิ่นไม่คิดชีวิตแบบนี้ แม่รู้ว่านายต้องผ่านอะไรมามาก แต่คนเราน่ะคิดถึงอดีตได้ รู้สึกผิดกับอดีตได้เสมอ อย่าเอาอดีตมาทำให้ปัจจุบันเราเจ็บช้ำเลยนะลูก ข้าวปั้นคงไม่ดีใจถ้าคนที่เขาปกป้อง เสียใจอยู่แบบนี้ ตอนนี้ข้าวปั้นไม่เป็นอะไรแล้ว เพราะฉะนั้น นายอย่าเอาแต่โทษตัวเองนะลูก”



“....”



“ข้าวปั้นน่ะบอกว่าอยากให้นายมาแทบทนไม่ไหว อยากเห็นสีหน้าของนาย ตอนที่พ่อกับแม่จะบอกนายว่า..."



"จากนี้ไปนายมาอยู่บ้านเรา เป็นลูกของพ่อกับแม่อีกคนนะลูก”



แม่ของพี่ปั้นรั้งหัวไหล่เขาเข้าไปในอ้อมกอด



และ...สุดท้ายเขาก็กลั้นมันไม่ไหว นายสะอึกสะอื้น พูดขอบคุณนับครั้งไม่ถ้วน



ในตอนนั้นเอง เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น พร้อมกับแรงบีบเบาๆ ที่มือของนาย



“อือ”



กึก



คนในห้องชะงักงัน ก่อนจะหันไปตามเสียงนั่น





“ข้า...ข้าวปั้น...พ่อ ตาม...หมอ”



นายเองก็เงยหน้าขึ้น



คนที่เขารักค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ใบหน้าเริ่มมีซับสีเลือดหันหน้ามาหาคนที่รออยู่ข้างเตียงทั้งสามคน ขณะที่สบตากับคนรอ น้ำตาของพี่ปั้นหยดหนึ่งก็ไหลออกมา



เขาพบว่า หัวใจของเขา



...กลับมาเต้นอีกครั้ง...





#เรากับเขา
คิดอยู่นาน สุดท้ายก็กดโพสต์ตอนนี้ลงไป
ในตอนที่เขียนมาถึงตรงนี้
เราคิดว่าไม่มีใครบนโลกนี้สมบูรณ์เเบบ
แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุดในแบบที่ตัวเองเลือก
มาถึงบรรทัดนี้ ก็อยากจะบอกรักและคิดถึงทุกคนเหมือนเดิมค่ะ
น้องนายกับพี่ปั้นด้วย รักนะะ
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 24: เขา...กับความรักครั้งสุดท้าย P.10 [17/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-03-2019 00:27:37
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 24: เขา...กับความรักครั้งสุดท้าย P.10 [17/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 18-03-2019 03:20:57
ชีวิตขงนายน่าสงสาร แต่ก็ยังโชคดีที่ได้เจอกับคนที่รักจริงอย่างข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 24: เขา...กับความรักครั้งสุดท้าย P.10 [17/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-03-2019 22:49:12
ร้องไห้เลย สงสารนายมาก ขอบคุณพี่ปั้นและคุณพ่อคุณแม่ที่เอ็นดูน้อง ส่วนทูมันน่าโดนสักทีไหมอ่ะ สงสารลุงมาก
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 24: เขา...กับความรักครั้งสุดท้าย P.10 [17/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ohanaeo ที่ 19-03-2019 03:12:21
พี่ปั้น ทำเราร้องไห้เลย :hao5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 24: เขา...กับความรักครั้งสุดท้าย P.10 [17/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-03-2019 13:38:44
ตกใจหมดเลย
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 24: เขา...กับความรักครั้งสุดท้าย P.10 [17/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: junlifelove ที่ 25-04-2019 23:06:27
สงสารนายอะ เมื่อไหร่จะมีความสุขกับเค้าซักที ฮืออออ
พี่ปั้นไม่เป็นอะไรแล้วนะ
ขอให้ต่อจากนี้มีความสุขกันซักทีนะคะ สงสารทั้งสองคนเลย

หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 24: เขา...กับความรักครั้งสุดท้าย P.10 [17/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-04-2019 10:50:42
สงสารนาย แบบนี้ไอ้ห่าทูก็เข้าคุกแน่ๆใช่ไหม ตั้งใจชนคนเมาแล้วยังตั้งใจชนนายอีก

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 24: เขา...กับความรักครั้งสุดท้าย P.10 [17/3/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 13-05-2019 01:04:29
แงงงงง พี่ปั้นนนน อินมากร้องไห้เลย ฮืออออออ :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 25: เรา...กลับมาแล้วนะ P.10 [14/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 14-07-2019 20:55:12
Act 25: เรา...กลับมาแล้วนะ


            เราพบว่าตัวเองกลายเป็นนักบินอวกาศที่ลอยล่องอยู่ในความมืดมิดและเย็นชืด       



                หางตาเห็นแสงแปลบปลาบสว่างวาบเข้ามาเป็นระยะๆ ยังไม่ทันได้หันไปมองต้นแหตุ ฉับพลันนั้น...เราก็ถูกมือที่มองไม่เห็นผลักลงสู่หลุมดำอันเวิ้งว้างโดยไม่ทันตั้งตัว แขนขาหนักอึ้ง จับคว้าอะไรไม่ได้เลย จนต้องปล่อยให้ร่างกายจมดิ่งไปแบบนั้น เราหมุนเคว้งอยู่ในห้วงอวกาศครู่หนึ่งพร้อมกับความกลัวที่เริ่มเกาะกินหัวใจที่ปวดหนึบ เพราะสมองพึ่งรับรู้ว่าที่นี่ไม่มีใครเลย



                ไม่มี...ใครงั้นหรอ



                “ข้าว...ปั้น”



                พลันหูก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังอยู่ใกล้ๆ แต่กลับห่างไกลในความรู้สึก



                “พี่ปั้น...”



                เสียงของพ่อ แม่ แล้วนั่น...เสียงของนาย



                ...ไม่มีแรงที่จะตอบ...



                ...ไม่มีแรงแม้แต่กระดิกนิ้ว...



                กลัวว่าคนที่เรียกอยู่จะท้อ จนหยุดที่จะคอยเรา



                พ่อ แม่ นาย ได้ยินปั้นไหม



                “ฮึก”



                “ข้า...ข้าวปั้น...”



                น้ำตาร้อนจัดกลิ้งลงข้างแก้ม ก่อนจะที่แสงสว่างจะค่อยๆ เข้ามาสู่คลองสายตา ความเจ็บปวดแล่นริ้วทั่วร่างกายจนเผลอขมวดคิ้วแน่น และอยากจะหลับตาลงอีกครั้งเพื่อหนีความเจ็บปวด แต่เพราะเจ้าของมืออุ่นที่พลิกกลับมาจับมือเราไว้ บีบย้ำเบาๆ ถ่ายทอดความคงอยู่ของชีวิตผ่านมือข้างนั้น



                และตอนนั้นถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว เราไม่ใช่นักบินอวกาศที่ลอยคว้างอยู่คนเดียวอีกแล้ว

               







                สองตามองความวุ่นวายขนาดย่อมที่เกิดขึ้นรอบตัวหลังจากเผลอหลับไป เราพบว่าความเจ็บและกลิ่นของโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย ถึงตัวจะขยับไม่ได้มากแต่ตาเรามองพวกเขาอย่างตั้งใจ ... ดีแค่ไหนแล้วที่ตื่นมาแล้วไม่ได้อยู่คนเดียว ดีแค่ไหนแล้วที่เรายังหายใจ อาจเป็นเพราะว่าเจ้ามนุษย์มัมมี่ไม่พูดอะไรออกมาซักคำ ทุกคนจึงกังวลขึ้นมาจนเรียกหมอและพยาบาลมาสอบถามหลายครั้ง เมื่อหมอยืนยันว่านอกจากบาดแผลภายนอกแล้วจิตใจของเราก็แข็งแรงดี เท่านั้นบรรยากาศนักอึ้งก็หายไป แม่ทั้งกอด ทั้งหอมเรา แถมยังเล่าเรื่องตอนที่เราหลับไปให้ฟังมากมาย เล่าว่าชมพู่ แดม แล้วก็เอ็มเจมาเยี่ยมด้วยแต่เราหลับไปซะก่อน เว้นแต่เรื่องตัวการที่แม่เล่าสั้นๆ ว่าไม่พ้นมือกฏหมายอย่างแน่นอน



                “ข้าวปั้น ขอบคุณนะลูก”



                เราค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นแววตาของพ่อกับแม่ คนที่รักที่สุด คนที่อยู่ข้างๆ เสมอและไม่เคยทิ้งเราไปไหนเลย เราเข้าใจความหมายของคำว่าขอบคุณดี ขอบคุณที่หมายถึงทุกๆ อย่างที่เรายังอยู่ตรงนี้ อยู่กับพ่อและแม่ อยู่กับนาย ขอบคุณที่เข้าใจลูกคนนี้ทุกการกระทำ



                “ปั้น ก็...ขอบคุณครับ” เราตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แม่ยิ้มพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้นมา ส่วนฝ่ามืออบอุ่นของพ่อไล้แก้มเราเบาๆ



                ...ดีที่สุดเลย...



                “เจ้าลูกหมาของพ่อโตขึ้นเยอะเลยนะ”



              “เอ้อ นายไม่ต้องล้างผลไม้แล้วนะลูกมาอยู่เป็นเพื่อนข้าวปั้นหน่อย เดี๋ยวพ่อกับแม่จะกลับไปเอาของที่บ้านแป็บนึงลูก” แม่เอ่ยขึ้น ก่อนจะยิ้มนิดๆ เมื่อเสียงตอบกลับดังมาจากโซนห้องครัว



              “ได้ครับ”



              พ่อเดินเข้าไปตบไหล่นายเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมแม่ ต่อจากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งห้อง ...แปลก...ก็คนที่เราคิดว่าจะต้องติดหนึบอยู่กับเรากลับทำตัวยุ่งๆ อยู่มุมนู้นมุมนี้แทบจะตลอดเวลา นายปล่อยให้พ่อกับแม่เข้ามาอยู่ใกล้ๆ มากกว่าที่จะเป็นเขา นายมักจะก้มหน้าต่ำ เหมือนกับเก็บงำอะไรบางอย่าง ที่เราทั้งคู่ก็รู้ว่ามันคืออะไร



                เราอยากเห็นหน้านายใกล้ๆ จัง



                “นาย”



                “ครับ” เขาตอบรับ แล้วขยับเก้าอี้มานั่งข้างๆ เขาจับมือเราไว้หลวมๆ ขณะที่เขายังคงเลื่อนสายตาไปมองแขนมัมมี่ของเรา



              “อยากเห็นนายใกล้ๆ” ให้แน่ใจว่าเขาไม่เป็นอะไร พอเราหลุบตามองเขา ถึงได้สบกับนัยน์ตาแดงก่ำ โธ่ “ร้องไห้ทำไมกัน”



                นายยกมือขึ้นจับหางตาตัวเองด้วยท่าทางแปลกใจก่อนจะใช้หลังมือเช็ดออกเร็วๆ



                นานทีเดียวกว่าเขาจะพูดออกมา



                 “พี่ปั้น....ให้ผม...เจ็บแทนได้ไหมครับ”



                “...ไม่ได้หรอก” เราหัวเราะเสียงแผ่วหลังจากตอบกลับคำถามนั้น นายคิดอะไรไม่เข้าท่าเลย แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยกมือข้างขวาที่เริ่มจะมีแรงไปจับมือเขาอีกที



              “....”



              “ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วเราจะปกป้องนายเพื่ออะไรกัน”



              “...”



                เขาไม่ตอบอะไร ก่อนจะค่อยๆ ซบหน้าผากกับต้นแขนซ้ายของเรา ปล่อยให้น้ำตาที่ไหลออกมาใหม่ ประโยคนั้นของเราไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย เพราะกลับกัน...ถ้านายเป็นเรา เขาก็ต้องเลือกที่จะทำแบบนั้นเหมือนกัน



                เราไม่เคยคิดอยากย้อนเวลากลับไป...แก้ไขอะไรเลย



                ที่ทำแบบนั้น...เพราะอะไร...เหตุผลมันง่ายขนาดนั้นเลยล่ะ รู้ไหม...



                “ผมน่ะ...ไม่อยากสัญญาอีกแล้วเพราะที่ผ่านผมทำมันไม่ได้เลย พี่ปั้นต้องกลัวแค่ไหน ต้องเจ็บแค่ไหน ผมทำอะไรไม่ได้เลย เพราะผม...”  นายเริ่มต้นพูดขณะผละออกมามองตาเรา น้ำเสียงที่มั่นคงในตอนแรกกลับสั่นพร่าขึ้นเรื่อยๆ



                “นายไม่ผิด เพราะเราเต็มใจที่จะทำ”



                “ผมหยุดคิดไม่ได้เลยครับพี่ปั้น ภาพพวกนั้นมันหมุนวนอยู่ในนี้ ผมเอาแต่คิด...ถ้าพี่ปั้นไม่ตื่น ผมก็ไม่อยากอยู่อีกแล้ว...”



                “นาย--” เราเรียกชื่อเขาแผ่วเบา หัวใจหดเกร็งเพราะประโยคสุดท้าย นายไม่รอให้เราคิดอะไรมากกว่านั้น เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลง มุมปากยกยิ้มคล้ายกับคิดถึงอะไรบางอย่าง



                “ตอนที่ผมอยู่คนเดียว ผมมักจะถามตัวเองเสมอว่าผมจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร รู้ไหมครับ...แค่ตอนนี้ ตอนที่พี่ปั้นตื่นขึ้นมาคุยกับผม ยิ้มให้ผม หัวเราะให้ผม แค่นี้...พอแล้วครับ ผมรู้แล้วว่าคนเรามีชีวิตอยู่เพื่อใช้ชีวิตที่เหลือกับใครซักคน”



                “...”



                เราไม่ได้เศร้าเลย แต่ว่าน้ำตาไหลออกมาซะอย่างนั้น



                “พี่ปั้นรู้ใช่ไหมครับ...”



                “...”



                “...เพราะผมรัก”



                “....เราก็รัก”



                เพราะเหตุผลของพวกเรามันง่ายดายเหลือเกิน



                “ที่ผมไม่อยากสัญญาเพราะผมไม่รู้... ผมไม่ใช่พระเจ้า...ผมห้ามสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะงั้นผมขอ...ที่จะอยู่กับพี่ปั้น ทุกช่วงเวลาเลยได้ไหมครับ ไม่ว่าพี่ปั้นจะหัวเราะ จะร้องไห้ ไม่ว่าจะเจ็บป่วย จะมีวันที่มืดมน หรือสดใส ผมก็อยากอยู่ตรงนี้ ต่อจากนี้ไป...”



                “...”



                “...ให้ผมได้อยู่ข้างๆ พี่ปั้นนะครับ”



                “อย่างกับว่านาย...ขอเราแต่งงานงั้นแหละ” เราหัวเราะเบาๆ ทั้งที่หัวใจเต้นรัวไม่หยุด



                “แล้วถ้าเป็นอย่างงั้น พี่ปั้นตกลงไหมครับ” นายยิ้ม เกลี่ยนิ้วกลางด้านซ้ายของเราอย่างนุ่มนวล นายชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะกดริมฝีปากร้อนบนหน้าผาก



                ต่อจากนั้นก็ให้ลมหายใจของเราเป็นคำตอบให้กับเขา



                ให้ลมหายใจของเรารักษาแผลที่ปริร้าวของเขาให้เหมือนเดิม



                หนึ่งคนไข้กับหนึ่งคนเฝ้า ขยับตัวกอดกันให้หายคิดถึง แต่เพราะท่าทางเก้ๆ กังๆ แถมยังมีสายน้ำเกลือระโยงระยางกับเฝือกหน้าเตอะ เราสองคนจึงได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ

 






                “ฉลองเรียนจบอย่างเป็นทางการให้กับข้าวปั้นและพี่ชมพู่คร้าบบบบบบ”



                แกร๊ง



                “ชนครับชนนนนน”



                แกร๊ง



                “อีกครึ่งปี พวกผมจะตามไปติดๆ ครับผมมมมม”



                “เอ้า เชี่ยนายชนๆๆ ไม่ต้องห่วงพี่ปั้นขนาดนั้น”



                เอ็มเจตะโกนแหวกเสียงเพลงแดนซ์ที่เขาเลือกเอง ผ่านลำโพงบลูทูธที่เอ็มเจนำเสนอก่อนจะขออนุญาตพ่อกับแม่และคนข้างบ้านเราในการเปิดเพลงแดนซ์ตามสมัยนิยม



                อ่า



                วันนี้เป็นวันเสาร์ ช่วงหัวค่ำแบบนี้ซอยบ้านเราก็คึกคักเป็นพิเศษ



                ใช่ ที่คึกคักที่สุดคงจะเป็นบ้านเราเอง ตอนนี้เราอยู่กันที่สนามเล็กๆ หน้าบ้าน กล้วยไม้บนกระถางแขวนไหวเพราะแรงลมหรือแรงสั่นจากคลื่นเสียงก็ไม่ทราบได้



                “พี่พู่ ดื่มอีกดื่มอีกพี่ ชดใช้ให้กับความท้อแท้ในการเรียนที่ผ่านมา วู้วฮู้ว แกร๊งๆๆๆ”



                และก็ใช่อีกที่ว่า...เจ้าของงานอย่างเราไม่มีโอกาสได้พูดซักคำ



                “พี่ปั้นหน้าบูดทำไมครับ โธ่ๆ อยากซดเหมือนพวกผมอะดิ๊” เอ็มเจหันไปยักคิ้วให้กับแดมเพื่อนรักของเขา



                “นาย”



                “เอ้า งอนแล้วก็เรียกแฟนให้ช่วยหรอคร้าบบบบ”



                “เราว่า...ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้ว เราจะไม่ต้อนรับเอ็มเจเข้าบ้านเราอีกแล้วล่ะ”



                พรวด!



                “ไหงงั้นอ๊า”



                ก็เพราะเตาไฟฟ้าเยื้องกำแพงบ้านนั่นมีหมูย่างที่ส่งกลิ่นหอมกำลังดี ก็เพราะหมูย่างที่เข้าปากเอ็มเจเป็นกับแกล้ม คำแล้วคำเล่า



                “เอ็มเจ แกเนี่ยนะ ไม่รู้จักเอาใจเจ้าของบ้านเลย ปั้นเพื่อนร้ากกกก วันนี้ในฐานะที่เราเรียบจบอย่างเป็นทางการ แถมไอ้วายร้ายที่มันทำร้ายแกก็หน้าจืดรับกรรมอยู่ในคุกนู่นแล้ว เออแต่ช่างมันอย่าไปพูดถึงมันเลยดีกว่า มาปั้น...เรามาดื่มน้ำฟรุ๊ตตี้ๆ ให้กับชีวิตกันเถ้อออ” ชมพู่ขยับแขนที่เริ่มจะหนักอึ้งมาพาดบนไหล่เรา นายที่นั่งตรงข้างเอาแต่ส่ายหน้าให้กับความวุ่นวายบนโต๊ะอาหารก่อนจะลุกขึ้นไปตรงเตาปิ้งย่าง



                “พี่พู่ครับ จะเอาฟรุ๊ตตี้ๆ เข้าปากพี่ปั้นต้องถามเจ้าของก่อนนะครับ” แดมเบนสายตามองนาย พร้อมกับบุ้ยปากเป็งเชิงล้อเลียน



                “เพื่อนแดม เพื่อนเอ็มเจว่าพี่ปั้นเนี่ยเขากินไอ้พวกแอลกอฮอล์อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก”



                จะแซวเราอะไรก็ได้ เราไม่ได้โกรธเลย ถ้าหมูไม่อยู่จานตรงนู้นหมด แถมเอ็มเจยังมาท้าทายอำนาจของเราอีก เราจึงมีน้ำโหขึ้นมานิดๆ



                “ใช่ไหมครับ”



                หนอย!



                 “เราน่ะ!...” เราโพล่งขึ้นมาด้วยหน้าตาเอาเรื่อง



                “...”



                ทั้งโต๊ะเงียบกริบ ชะงักค้างราวกับรอดูเรื่องมหัศจรรย์



                “เราน่ะ...กินอะไรไม่ได้ทั้งนั้น”



                เราก็เหมือนกับลูกโป่งที่มีลมรั่ว ยิ่งตัวฟีบลงเมื่อได้สบตากับนายที่เดินกลับมาพอดี



                “อุ๊บ ฮ่าๆๆๆๆ ขึงขังได้เพียงวินาทีเดียว”



                “โอ๋ๆ น้า พี่ปั้นต้องรักษากระดูก ต้องกินนม กินอาหารที่มีประโยชน์นะครับ”



                “โธ่ ปั้นเพื่อนชั้นนนน ลืมไปเลย งั้นฉันจะกิน จะดื่มแทนแกเอง มาเอ็มเจ แดม ชนนนนนนนนนน”



                ฮือ



                ชีวิตเราช่างน่าเศร้...



                หมู!



                หมูย่างบนจานมาโผล่ตรงหน้า เราปาดน้ำตาในใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินมาอยู่ข้างๆ



                “นายยยย” น้ำตาจะไหล นายของเราดีที่สุดเลย เราใช้มือขวารับจานมาถือไว้ ไม่สนใจ ชมพู่ กับสองเพื่อนรักที่กอดคอกันร้องเพลงเสียงดัง



                “หมูไม่ได้หมดหรอกครับ ไม่ต้องร้องนะ” นายยื่นขวามาโยกหัวเราแล้วรั้งให้ไปซบข้างเอว เขาหัวเราะเบาๆ “กินผักด้วยนะครับ”



                “อื้อ ขอบคุณนะ เราจะกินให้หมดเลย”



                พอได้ของกิน แล้วอารมณ์ดีขึ้น เราจึงกลับเข้าร่วมวงคนบ้าบอได้อีกครั้ง



                “พี่ปั้นครับ ได้ข่าวว่าพี่ปั้นกักตัวเพื่อนผมไม่ให้ออกไปไหนเลยหรอ”



                “ไม่ใช่ซะหน่อย นายอยากอยู่กับเราต่างหาก ใช่ไหมนาย”



                “หึหึ ครับ”



                “โอ้ยยยย อิจฉาเขาจูงมือกัน อิจฉาเขาหอมแก้มกัน แต่ทำไมตัวฉันจึงไม่มีสิทธิ์อย่างเข้าาาาาา อิจฉาเขาโอบกอดกัน แต่ฉันทำได้แค่เพียงม่องงงง แค่ม่อง มองดูเขารักกานนนนนนนนนนนน”



                “เอ็มเค อะแฮ่ม เอ็มเจ..ถ้าจะร้องเพลงด้วยเสียงแบบนั้นน่ะ เราว่าเอ็มเจไปร้องในห้องน้ำให้ถังน้ำฟังดีกว่า”



                “เอื้อออออ สลัดผัก ผมถูกแทงด้วยคำพูดครับ”



                “ฮ่าๆๆๆ คนน่ารักกลับมาร้ายแล้วเว้ยเฮ้ยๆๆ เชี่ยเอ็มเจ สู้พี่ปั้น วิ่งดิเอ็มเจวิ่งงง”



                “ปั้นดีมาก สู้มันๆๆๆ เพื่อนฉันต้องอย่างนี้”



                และแล้วค่ำคืนแห่งการเลี้ยงฉลองก็ดำเนินมาถึงตอนจบ







                “นายย เราง่วงแล้วอ่า”



                หลังจากผลัดกันอาบน้ำ ล้างกลิ่นควันแล้ว เราก็ออกมานั่งรอนายมาที่เก็บกวาดห้องครัว เขาส่งเสียงมาว่าให้รออีกหน่อยก่อนจะเร่งมือล้างจานในซิงค์ นายย้ายเข้ามาอยู่บ้านเราตั้งแต่ที่เราออกจากโรงพยาบาล เป็นลูกของพ่อกับแม่อีกคน โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนนามสกุล นายทำตามอย่างที่เขาพูดไว้อย่างสม่ำเสมอ ช่วยดูแลเราจนกระทั่งที่เรียกว่าเรียนจบอย่างเป็นทางการก็เพราะมีนายกับชมพู่นี่แหละ ช่วงที่ออกจากโรงพยาบาลอาทิตย์แรก มนุษย์แขนมัมมี่อย่างเราเคว้งไปเลย ทำอะไรก็ไม่ถนัด ทั้งมือทั้งเท้าทำเอาน่าหงุดหงิดไปหมด แต่เพราะพ่อกับแม่ แล้วก็นาย เราจะผ่านช่วงเวลาท้อแท้มาได้ ตลอดปิดเทอมของเขาก็ดูแลเราไม่ห่าง ส่วนเราก็ใช้ชีวิตหลังเรียนจบกับการดูแลตัวเอง กินนม กินอาหารที่นายสรรหามาให้ จนพ่อเปลี่ยนมาเรียกหมูปั้นแทน ไม่น่าเชื่อว่าปีนี้เราเจออะไรมาเยอะแยะเหมือนกันนะเนี่ย แต่การที่ได้เจอนายเป็นเรื่องที่ดีที่สุ...ด



                คิดถึงตรงนี้ก็อมยิ้มก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง



                “พี่ปั้นไปนอนก่อนไหมครับ อ้าวหลับซะแล้ว”



                นายส่ายหน้าเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าคนพี่หลับคอพับอยู่ที่โซฟา



                “บอกให้ไปนอนก่อนก็ไม่เชื่อ” เขาระบายยิ้ม ลูบผมพี่ปั้นอย่างเบามือ เขากับพี่ปั้นย้ายลงมานอนห้องด้านล่าง ห้องที่พ่อกับแม่ยกให้เขานั่นแหละ การตกแต่งอยู่ที่พี่ปั้นทั้งหมด นายไม่ได้พูดอะไรมากนักเพราะแค่ได้เป็นที่ต้องการของคนที่รัก ได้มีครอบครัวอีกครั้ง เขาก็ดีใจจนบรรยายไม่ถูก ได้แต่ส่งสายตาขอบคุณให้พี่ปั้นตลอดเวลาและเข้าไปกราบตักพ่อกับแม่พี่ปั้นอย่างซาบซึ้งใจ



                “วันนี้ยังไม่ได้นวดเลยนี่นา”



                นายพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่สองเท้าจะเดินไปหยิบยาบนหัวเตียงไม่นานแล้วก็กลับออกมานั่งคุกเข่า เขายกขาพี่ปั้นไว้บนโซฟา คนที่นอนหลับรอส่งเสียงอืออาเล็กน้อย พี่ปั้นไม่ชอบให้เขาจับเท้า ต้องบังคับถึงจะยอม เวลาที่พี่ปั้นหลับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เขาเรียนรู้ที่จะนวด และทำมันได้ดี นายจึงมักจะนวดข้อเท้าให้พี่ปั้นเสมอๆ โดยที่เจ้าตัวหลับลึกไม่รู้ตัวเพราะฤทธิ์ยา เท้าพี่ปั้นดีขึ้นมากแล้วแต่เขาก็ยังคงทำแบบนี้ทุกวัน



                นายตั้งใจนวดโดยไม่รู้ว่ามีใครแอบมองอยู่ตรงบันได กระทั่งนวดเสร็จแล้วก็อุ้มพี่ปั้นเข้าไปนอนในห้อง คนที่แอบมองอยู่จึงเดินลงมา ในอกอุ่นวาบอย่างเต็มตื้น เธอยิ้มเมื่อหวนกลับไปคิดถึงความทรงจำหนึ่ง

             





               .
               .
               .

            “น้องข้าวปั้นแกไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ค่ะคุณแม่ เอ...อยู่บ้านก็ปกติหรือคะ ถ้าอย่างนั้นคุณครูจะช่วยดูอีกแรงนึงค่ะ สงสัยน้องจะยังปรับตัวไม่ได้”



                “ข้าวปั้น เล่นอะไรอยู่คนเดียวลูก กลับบ้านกัน”



                เจ้าของหัวเล็กหันไปมอง ทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นเคย แม่เดินเข้ามาหาเด็กชายข้าวปั้นที่สนามเด็กเล่นของโรงเรียนประถม เธอใส่ชุดทำงานที่ดูทะมัดทะแมง ผมยาวที่รวบไว้ตรงท้ายทอยทำให้ดูเป็นคุณแม่ที่ทันสมัย เธอให้สามีรออยู่ที่รถแล้วอาสาเดินมารับเจ้าตัวเล็กเอง



                “แม่”



                “ปะ กลับบ้านกัน กระเป๋าอยู่ไหนลูก” เธอไม่ได้มองว่าลูกชายตัวเล็กนั่งกอดเข่าอยู่พื้นทราย ดวงตากลมโตมองตามแม่ที่เอาแต่หากระเป๋าลายการ์ตูนให้เขาอยู่



                “ปั้น...ยัง...ไปไม่ได้” เสียงเล็กๆ เอ่ย พอเธอหันไปท่าทางลูกชายของเธอช่างน่ารักน่าชังอะไรแบบนี้



                “หือ” แต่แล้วเธอก็ขมวดคิ้วพลางคุกเข่าบนพื้นอย่างไม่กลัวเปื้อน “ทำไมล่ะลูก”



                “อ้วน บอกว่าปั้นต้องอยู่ในนี้ ถึงจะให้เล่นด้วย” เด็กชายตัวน้อยก้มมองวงกลมที่มีขนาดเท่าตัวเขา วงกลมวงนั้นล้อมรอบตัวเขาอยู่ แม้ว่าเส้นจะดูโย้เย้แต่ก็มองออกว่าเป็นวงกลม



                “แต่ที่นี่ไม่มีใครแล้วนะลูก แม่มารับปั้นเป็นคนสุดท้ายแล้ว” แม่เหลือบมองซ้ายขวาประกอบคำพูดก่อนจะยื่นมือมาให้ลูกชาย เด็กน้อยจึงเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาเศร้าสร้อย



               ...ที่นี่ไม่มีใคร แม้แต่เศษกิ่งไม้ที่ใช้ขีดวงกลมก็ยังถูกลืมทิ้งไว้ข้างๆ...



                “ถ้าปั้นออกไป ปั้นก็ไม่ได้เล่นกับพวกเขา อ้วนบอกแบบนั้น” หลังจากคำพูดนั้น คนเป็นแม่ส่งสายตาสงสารลูกชายตัวเล็กอย่างปิดไม่มิด เธอเงียบไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแสนเสียดาย



                “เอ...แล้ววันนี้ ใครจะเล่นกับแม่ล่ะถ้าปั้นอยู่ในนี้ วันนี้แม่เล่นเป็นตำรวจนะ ส่วนพ่อเป็นโจร แล้วปั้นก็เป็นชาวบ้านไงจำไม่ได้หรอ”



                แม่เอียงหน้าไปทางซ้าย ข้าวปั้นก็เอียงหน้าไปทางขวา เด็กน้อยคิดตาม พลันดวงตาฉ่ำน้ำนั้นก็เบิกกว้างขึ้น ริมฝีปากเล็กๆ ของลูกชายที่ยิ้มออกมาเหมือนกับดอกไม้ที่ค่อยเบ่งบานในใจของผู้เป็นแม่



                “จริงด้วย!”



                เด็กชายปั้นเหมือนผ้าขาว ใบหน้ากลมเกลี้ยงกับรอยยิ้มน่ารักเป็นสิ่งที่เธออยากเห็นตลอดชีวิต ข้าวปั้นไม่ใช่คนแปลกประหลาด แต่โลกนี้ไม่เคยกับใจดีกับความรู้สึกใครนักหรอก



                รู้ไหมลูก ถ้าลูกไม่มีเพื่อน แม่จะเป็นเพื่อนให้ลูกเอง ถ้าลูกล้มแม่จะคอยพยุง ถ้าลูกเสียใจแม่จะคอยปลอบ ถ้าลูกทำผิดแม่จะตักเตือน แม่จะค่อยๆ สอนให้ปั้นเข้มแข็งในแบบที่ปั้นเป็น



                ข้าวปั้นก้าวเท้าซ้ายออกมาจากวงกลม จับไหล่แม่ที่มองมาด้วยรอยยิ้ม “แล้วอ้วนจะว่ายังไง จะโกรธปั้นไหม”



                “ไม่เป็นไรลูก ถ้าอ้วนโกรธเพราะปั้นออกจากวงกลม ปั้นก็ไปเล่นกับเพื่อนคนอื่น”



                “แล้วถ้า...ปั้นไปเล่นกับคนอื่น เขาจะให้ปั้นอยู่ในวงกลมอีกไหมแม่ แล้วถ้าแม่ไม่มารับ ปั้นต้องรอในนี้ใช่ไหมครับ” ข้าวปั้นหันไปชี้วงกลมบนพื้นที่เท้าเล็กพึ่งก้าวออกมา



                “เจ้าเด็กน้อยของแม่ เชื่อคุณตำรวจคนนี้นะ ในอนาคตนู้น ข้าวปั้นจะไม่ต้องอยู่ในวงกลมเพื่อรอใครหรอกนะลูก จะมีคนที่อยู่กับปั้นทุกที่ โดยที่ปั้นไม่ต้องรอในวงกลมนี้อีก” เด็กชายโผเข้ากอดแม่ ซบแก้มเข้ากับบ่าขวาของแม่ แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากมายนัก



                “แล้ว...อนาคตนานไหมครับ”



                “ไม่นานหรอกลูก แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ข้าวปั้นก็ยังมีแม่จะอยู่กับลูก จะเป็นตำรวจ เป็นทหาร อะไรก็แล้วแต่ที่ปั้นอยากให้เป็น”



                แม่เป็นได้ทุกอย่าง ขอแค่เห็นรอยยิ้มของลูก



                “เป็นหมอด้วย!” เด็กชายปั้นพูดขึ้นอย่างดีใจ



                “แล้วพ่อเป็นอะไรล่ะ คนไข้หรอ” เสียงทุ้มดังมาจากด้านหลัง เจ้าลูกหมาของพ่อผละจากออกกอดแม่ แล้วกระโจนเกาะขาพ่อเหมือนหมีโคอาล่า



                “พ่อ!”



                “ไป กลับบ้านกัน” พ่อสบตากับแม่อย่างมีความหมายแวบนึง ก่อนจะอุ้มหมีโคอาล่าไว้ แขนแข็งแรงรองก้นของเจ้าลูกชายที่ตอบรับเสียงดังฟังชัด



                “อื้อ”



                “กลับบ้านกัน”
               .
               .
               .





                ในตอนนี้ ลูกชายของเธอเจอคนๆ นั้นแล้วสินะ



                “แม่” พ่อตามลงมาตั้งใจว่าจะมาเช็คความเรียบร้อย หลังจากที่ปล่อยให้เด็กๆ ดื่มกันประสาวัยรุ่น แต่พอลงมากลับเห็นภรรยายืมเหม่อมองประตูห้องของลูกชายทั้งสองคน



                “...คิดอะไรอยู่หรอแม่”



                “ไม่มีอะไรหรอกพ่อ...ก็แค่...ดีใจที่มีลูกชายสองคน”



                ดีใจที่เห็นข้าวปั้นเติบโต และพบเจอคนที่ดีอย่างนาย และแม่ไม่เป็นห่วงอะไรปั้นอีกแล้ว



                “หืม...แล้วแม่...” พ่อขมวดคิ้ว เอนตัวเข้าไปกระซิบอย่างขี้เล่น ผิดกับมาดตอนอยู่กับคนอื่น



                “...”



                “...อยากมีคนที่สามไหม”



                “ว้าย พูดอะไรเนี่ย แก่แล้วเลอะเลือน” เธออดแหวเบาๆ ใส่สามีตัวเองไม่ได้



                “เขินอะไรปูนนี้แล้ว”



                “ปูนนี้เนี่ยแหละ ไปๆ แม่ไปนอนก่อนละ”



                เขาหัวเราะตามหลังภรรยาที่เดินขึ้นบันไดไป ก่อนจะเดินไปแง้มประตูห้องลูกๆ



                ...อย่างที่แม่ว่า เขาเองก็ดีใจที่มีลูกชายสองคนเหมือนกัน...





======================
ขอโทษค่ะ ไม่มีคำไหนจะเหมาะเท่าคำนี้อีกแล้ว ขอโทษที่หายไปนาน
เราคิดถึงทุกคนมากๆ เลย คิดถึงนาย คิดถึงข้าวปั้น
และต้องบอกว่าตอนหน้าคงจะเป็นตอนสุดท้ายแล้วค่ะ
ฮือ เราคิดถึงงงงงงงงงงจริงๆ นะ
ขอบคุณทุกคนนะคะที่ยังรอกันเสมอมา
#เราเอง #เรากับเขา
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 25: เรา...กลับมาแล้วนะ P.10 [14/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-07-2019 22:24:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 #เรากับเขา 』Act 25: เรา...กลับมาแล้วนะ P.10 [14/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 16-07-2019 03:50:54
ขอบคุณที่มาต่อครับ ผ่านพ้นช่วงที่เครียดไปได้ด้วยดีนะข้าวปั้น นาย
หัวข้อ: Re: END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: jaevin ที่ 12-08-2019 22:49:58
Last Act

เป็นเรากับเขา....ทุกช่วงเวลา



                “ข้าวปั้น บอกนายรึยังลูกเรื่องวันรับปริญญา”



                แม่ถามขึ้น ขณะที่เรากำลังมองแดดสีส้มตอนหกโมงเย็น ซึ่งสาดแสงผ่านระแนงไม้เข้ามาในห้องครัว



                เราเหลือบตามองแม่ เท่านั้นแหละในหัวก็เหมือนปลดล็อคอะไรบางอย่าง



                แค่กๆ



                “เอ้าๆ ถามแค่นี้ถึงกับสำลัก”



                “ก็...แค่กๆ...ปั้น...อึก...”



                “ไม่ได้บอกล่ะสิ” แม่ส่ายหน้าพลางส่งทิชชู่ให้เราเช็ดปาก



                “อื้อๆ ทำไงดีล่ะแม่ ปั้นลืมมมม”



                “เรื่องของลูกสองคนแม่ไม่ยุ่งด้วยล่ะ”



                “ไหงงั้นอะแม่ นี่ปั้นเองนะครับ”



                “เฮ้อ นายรู้ต้องเสียใจมากแน่ๆ เลย”



                แม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับตักเกี๊ยวน้ำหน้าปากซอยทานอย่างเอร็ดอร่อย ต่างจากเรา ที่เกี๊ยวน้ำชามนี้ไม่อร่อยแล้ว ออกจะเค็ม



                เพราะน้ำตาไหลจนเค็มไปหมดแล้วเนี่ย



                ฮือ!



                เราปาดน้ำตาที่ไหลข้างในใจก่อนจะนึกย้อนไปยังที่มาของปัญหานี้



                หลังจากเรียนจบและเป็นพนักงานบริษัทเต็มตัว กลุ่มอักษรศาสตร์ของเราก็มีข่าวลือว่ามหาวิทยาลัยกำหนดรับปริญญาตอนปลายปีแต่ยังไม่ระบุวันที่แน่นอน เราพูดเรื่องกลางโต๊ะอาหาร พ่อแม่และนายแสดงความดีใจด้วยการตักของกินใส่จานเราใหญ่ แต่ดูเหมือนนายจะดีใจมากเป็นพิเศษ ก่อนนอนเขาเปิดหาข้อมูลเกี่ยวกับการรับปริญญา แถมยังย้ำนักย้ำหน้าให้เรารีบบอกถ้าหากได้กำหนดวันที่แน่นอน นายยิ้มมองเราตั้งนานสองนาน เป็นอะไรก็ไม่รู้ เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน



                และสองอาทิตย์ก่อน นายปรึกษาเราเรื่องฝึกงาน เขาบอกว่าสถานทูตที่สิงคโปร์ตอบรับเขาเรียบร้อยแล้ว เราดีใจกับเขาด้วยจริงๆ แถมยังตื่นเต้นเหมือนตัวเองจะไปฝึกงานอย่างนั้นแหละ แต่หลังจากนั้น ดูเหมือนว่าเขามีสีหน้าท่าทางลังเลอยู่ในใจ 



                “นายมีโอกาสไปเรียนรู้งานที่สถานทูตเลยนะ อย่าลังเลเลยนะ”



                จำได้ว่าวันนั้นเรานั่งดูหนังด้วยกันในห้องนอน เป็นหนังแฟนตาซีที่เราพยายามจำรายละเอียด จนเผลอละเลยนายไปตอนไหนก็ไม่ทราบได้



                “แต่พี่ปั้น..ไม่อยาก.ผม..มา..หรอครับ”



                ด้วยความที่เราจดจ่อ เสียงของนายจึงขาดๆ หายๆ และเราก็ตอบกลับไปโดยที่ไม่ละสายตาจากจอ



                “อืม”



                หรือเราพลาดอะไรไป



                พอแม่พูดขึ้นเมื่อกี้นี้ เราก็เข้าใจทุกอย่างทันทีราวกับลูกโป่งที่โดนเข็มทิ่ม ก็ช่วงที่เขาฝึกงานตรงกับงานรับปริญญาของเราพอดีน่ะสิ คนที่ดีใจกว่าคนรับอย่างนาย ไม่ได้อยู่ในวันสำคัญแบบนี้ เขาคงน้อยใจ ใช่ นายน้อยใจ แถมเรายังผลักไสให้เขาไปฝึกงานไกลอีกด้วย



                ไม่ๆ เราไม่ได้ผลักไส เราเห็นว่ามันเป็นโอกาสดีนี่นา



                “แม่สวัสดีครั...”



                เสียงทุ้มที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น ขณะเดียวกันเราก็ทึ้งผมน้อยๆ พร้อมกับง้างกำปั้นจะเขกหัวตัวเอง



                หมับ!



                ไม่ทันได้ประทุษร้ายตัวเอง มือเราก็ถูกคว้าก่อน



                “ทำอะไรครับ” คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามเสียงเข้ม เราลอบกลืนน้ำลาย นายในโหมดดุๆ เนี่ยไม่คุ้นเอาซะเลย



                “เอ่อ...” เราเหลือบมองแม่เพื่อขอความช่วย แต่แม่กลับเอาแต่อมยิ้มก่อนจะยกชามเกี๊ยวของตัวเองออกไปอย่างแนบเนียน



                “ผมถามว่าพี่ปั้นจะทำอะไรครับ”



                “ขอโทษ”



                “ห้ามทำให้ตัวเองเจ็บครับ”



                “อื้อ เราลืมตัว”



                  ตั้งแต่เราเข้าโรงพยาบาลครั้งนั้นนายแทบจะระวังทุกฝีเก้า เราหดคอเหมือนกับเจ้าเต่าที่กลัวกระต่าย อ่า...เป็นกระต่ายให้โหมดโหดซะด้วย เราเอื้อมมือไปกุมมือเจ้ากระต่ายในชุดนักศึกษา ก่อนจะกระตุกแขนให้เขานั่งลงข้างเรา



                “นั่งก่อนเร็ว เรียนมาเหนื่อย เราตักเกี๊ยวให้นะ...”



                คนตัวสูงส่ายหน้าคาดโทษ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงข้างเรา สายตาคมกริบของนายจ้องเราขณะเดินไปตักเกี๊ยวมาเสิร์ฟให้ถึงที่



                “เดี๋ยวนี้นายอารมณ์แปรปรวน ต้องกินเกี๊ยวน้ำเยอะๆ”



                นายขบเคี้ยวฟัน ออกแรงดึงเราให้เสียหลักไปนั่งตักเด็กมหาลัยปีสุดท้ายคนนี้จนได้   



                “เหวอ ทำอะไรน่ะนาย”



                นายรัดเอวเราไว้แน่น แล้วกดคางกับลาดไหล่ของเราราวกับจะลงโทษ



                “เจ็บๆ จั๊กกะจี้ด้วย อื้อ”



                ริมฝีปากเฉียดผิวเราไปมา อุณหภูมิแก้มขึ้นสูงอย่างกับคนเป็นไข้ “นาย ฮือ ยอมแล้ว”



                “ไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรให้ผมโกรธ”



                “โกรธกันแล้วเราไม่มีความสุขนะ”



                “รู้ครับ” นายถอนหายใจ ลมร้อนรดหลังคอจนเราหนาวขึ้นมา



                “โกรธคนที่ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรให้โกรธเนี่ย ไม่ดีเลยนะ”



                “...” เรารู้สึกว่าหูลู่ลงมา ทำไมล่ะ เหนื่อยกับเราแล้วหรอ



                “มองผมแบบนั้น... ไม่โกรธแล้วครับ ไม่มีใครโกรธพี่ปั้นได้นานหรอก โดยเฉพาะผม”



                ทำไมล่ะ เราทำอะไรให้นายรู้สึกไม่ดีหรอ ถึงประโยคนี้จะไม่ได้พูดแต่เราก็หันกลับไปเป็นฝ่ายกอดคอนายแน่น



                “โอ๋ๆ ไม่โกรธแล้วจริงๆ ครับ”



                “รู้ไหมว่านายดุเรามากี่วันแล้ว”



                มือหนาๆ ลูบหัวลูบหลังเราอย่างกับปลอบเด็ก อ่าเหตุการณ์มันพลิกผันแล้วใช่ไหม



                “ดุให้คนแถวนี้เข็ดซะบ้าง จะได้กลับบ้านตรงเวลา ไม่ไปเถลไถลกับ ‘เพื่อน’ ที่ทำงาน”



                เรากำลังคิดหาทางเข้าเรื่องที่คิดว่าทำให้นายโกรธ แต่ใครจะรู้ว่าเชลยอย่างเรา มีโทษหลายกระทง



                ...เดี๋ยวนะ...



                “เดี๋ยวๆ นายไม่ได้งอนเราเรื่องงานรับปริญญาหรอ”



                เราผละจากซอกคอนาย ก่อนจะเงยหน้ามองเขา ตุ๊ดตู่แล้ว นี่เราเผลอเปิดประเด็นหรอเนี่ย ขยับตัวจะลงจากตักแต่กระต่ายตัวนี้แปลงร่างเป็นปลาหมึกซะแล้ว



                “นั่นก็เรื่องนึงครับ แต่ช่วงนี้ผมว่าพี่ปั้นชักจะเหลวไหลใหญ่แล้ว นี่ถ้าผมไม่ดุมาหลายวัน พี่ปั้นคงจะไปเที่ยวอยู่ข้างนอก ปล่อยให้ผมรอเกือบทุกวัน”



                “เราไม่ได้เที่ยวนะ ลูกค้าเขานัดนอกสถานที่เราก็เลยต้องอยู่ต่อกับเพื่อนที่ทำงานน่ะ”



                “หึ”



                “จริงๆ นะ”



                “เห็นที ผมต้องไปรับไปส่งพี่ปั้นซะแล้ว”



                “ไม่เอา” ไม่จ้องตาแล้ว บีบคั้นหัวใจเกิน เราซบแก้มเข้าที่ไหล่นาย พูดอู้อี้อยู่คนเดียว “ที่ทำงานเราไกล นายเหนื่อย” พูดจบนายก็ลูบท้ายทอยเราเบาๆ



                “แล้วเรื่องงานรับปริญญาน่ะ เรา...คือวันกำหนดออกมาแล้วล่ะ อย่างที่นายคิดว่ามันตรงกับ...เอ่อนั่นแหละ แต่ แต่...” เราผละออกมาอีกครั้ง เอนตัวไปข้างหลังพร้อมกับยึดไหล่นายไว้แน่น



                “มันไม่เป็นไรหรอก เราไม่คิดมาก งานรับปริญญาไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับเรา...” นี่เราพูดอะไรออกไปเนี่ย สีหน้านายดูเหมือนจะแย่ลง



                “เดี๋ยว เดี๋ยวเราค่อยมาถ่ายรูปกันตอนนายกลับมาตอนปีใหม่ก็ได้ เนอะๆ”



                นายไม่ตอบอะไร จนกระทั่งเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา เราจึงรีบลุกกลับมานั่งที่เดิม



                “พ่อกลับบ้านช้านะ ปั้นกินเกี๊ยวหมดแล้วมั้งน่ะ...”



                “เอ้า แล้วนายไม่กินหรอลูก”



                นายยิ้มตอบรับ แล้วหยิบช้อนขึ้นมาทันที เป็นอันว่านายกับเราจบบทสนทนาค้างๆ คาๆ ไปแบบนั้น



                ...ฮือ เกี๊ยวเค็มจริงๆ ด้วย...







               

 

read Khaopun

                ชมพู่ช่วยเราด้วย นายงอนเราอีกแล้ว

                Poochom

                เดี๋ยวๆ นี่แกใช้คำว่างอนกับนายหรอ

read Khaopun

                ก็นายงอนจริงๆ นี่

                Poochom

                แล้วนี่แกอยู่ไหน อยากเจอไหมล่ะ

read Khaopun

                เรากำลังรอรถเมล์กลับบ้าน

ลูกค้านัดคุยงานแถวอนุสาวรีย์ฯ

เราต้องรีบกลับไปรอนาย

                Poochom

                ถ้างั้นก็รีบกลับซะ แล้วอย่าไปงอแงข้างทางล่ะ

                มีอะไรโทรมาได้

                โอ๊ย ฉันไปก่อนล่ะ เจ้านายใช้งานอะไรตอนใกล้จะเลิกงานเนี่ย

read Khaopun

โอเค




                เราเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะเงยหน้ามองฟ้า



                ...ฝนจะตกอีกแล้ว เลิกงานทีไรเป็นแบบนี้ทุกที…



                ยืนมองคนขวักไขว่ไปเรื่อยเปื่อยเกือบสิบห้านาที รถเมล์สายที่คุ้นเคยก็จอดเทียบท่าใกล้ๆ เราพอดี คนที่ยืนรอรถสาย 18 รีบเดินตามรถเมล์มาเป็นโขยง แม้ว่าเราจะอยู่ใกล้แต่ก็โดนพลังประชาชนผลักกระเด็นออกมาจนได้ ยืนเบียดไปไม่นานก็ได้นั่งซักที



                “ติวานนท์ แคราย ท่าอิฐคร้าบ”



                ...เฮ้อ ฟ้าขมุกขมัวเหมือนใจเราตอนนี้เลย...



                “ขึ้นมาเลยครับพี่”



                …กลับไปจะง้อนายยังไงดีนะ...



                “แบ่งกันไปครับ รถขาดระยะนะครับ”



                ...พูดอะไรก็ได้น่า ขอให้ยิ้มให้เราก็พอ...



                “ขึ้นเลยพี่ มาเลย”



                ...อยากนอน หิวด้วย...



                 “เดี๋ยวอย่าพึ่งออกมีคนขึ้น เอ้า ไป...”



                พอนั่งข้างหน้าต่างบนรถเมล์แบบนี้ ก็ทำให้เราอดนึกถึงวันแรกที่เจอนายไม่ได้ วันนั้นคล้ายๆ กับวันนี้เลย



                กึก กึก



                พรึ่บ



                ...คิดถึงนายจังง...



                “โอ๊ะ ขอโทษครับ”



                “…”



                “โทษนะครับ” มีแรงสะกิดที่ไหล่ซ้ายสองสามที เราที่พูดคนเดียวในใจเกือบสะดุ้ง ไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนมานั่งข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วหันไปมองเจ้าของเสียงช้าๆ



                “ครับ? นาย!?”



                “ส้มผมกลิ้งไปโดนเท้าคุณ..” เขาพูดต่อไม่สนใจสีหน้าแปลกใจของเรา พร้อมกับชี้ไปด้านล่าง เราก้มมองตามอย่างงงๆ จึงเห็นว่าส้มผลนั้นกลิ้งมาใกล้กับเท้าเรา ถึงจะจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเขามาได้ยังไงแต่ก็ก้มตัวลงไปเก็บส้มผลนั้นให้



                “ขอบคุณครับ” คนหน้าคุ้นเคยที่แสร้งเป็นคนแปลกหน้าตีหน้าขรึม หลังจากรับผลส้มไปใส่ถุงพลาสติก เขามองตรงไปด้านหน้า ไม่เหมือนครั้งนั้นที่เอาแต่ชวนคุย



                เราหลุดยิ้มเมื่อนึกถึงวันเก่าๆ ก่อนจะหันไปมองอีกคน



                สถานการณ์เหมือนเดิม แต่เวลาเปลี่ยน เด็กมหาลัยสองคนที่ฝ่ายนึงถามไม่หยุด กับอีกฝ่ายพูดน้อย



                มาตอนนี้กลับกัน เด็กพูดน้อยคนนั้นอยู่ในชุดทำงาน และกำลังหาวิธีง้ออีกคน



                “ซื้อส้มเยอะจังครับ” เราอมยิ้มเอ่ยถาม ราวกับเป็นบทสนทนาของคนไม่รู้จักกัน



                “...ซื้อไปฝากที่บ้านน่ะ...ครับ ช่วงนี้ฝนตกกลัวแฟนป่วย” เขาตอบเสียงเข้มกลับมา หลังจากใช้ความคิดซักครู่หนึ่ง คงจะคิดว่าเราเล่นอะไรล่ะสิ



                “มีแฟนแล้วหรอครับเนี่ย” เราไม่สนใจยังคงสวมบทบาทเป็นคนช่างจ้ออย่างผิดวิสัย ถ้าไม่ใช่นายมาชวนคุยในวันนั้นเราก็คงเป็นข้าวปั้นที่เก็บตัวเหมือนเดิม



                “มีแฟนแล้วหรอครับ” เราถามอีกครั้ง



                “ใช่ครับ” คิ้วของอีกฝ่ายกระตุก แต่ถึงอย่างนั้นเราก็เกือบจะกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่



                “แล้วนี่เรียนอยู่หรอ”



                เขาอยู่ในชุดนักศึกษา รูปร่างดีสมกับเป็นนักกีฬา ไม่เหมือนเราขนาดใส่เสื้อเชิ้ตทำงานยังดูไม่สมาร์ทเท่าเขาเลย



                “ใกล้จบแล้วครับ”



                “เด็กๆ นี่ดีจังเลยนะครับ เราน่ะไม่อยากทำงานเลย”



                “หึ” ดูเหมือนเขาจะไม่ถูกใจกับคำว่าเด็ก  ถึงกับเหลือบตามามอง



                “เอ่อ แล้วเรียนอยู่มธ.หรอครับ” เราถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้วเต็มอก “อ้อ เห็นเอกสารที่โผล่มาน่ะ” เราแกล้งเนียน



                “ใช่ครับ”



                “แฟนเราก็อยู่มธ.ครับ ใกล้จะจบเหมือนนาย เอ่อ เหมือนคุณเลย”



                “....”



                “เด็กมธ.ขี้งอนทุกคนรึเปล่า คุณรู้ไหมครับ”



                คราวนี้นายหันมาทั้งตัว



                ดูเหมือนครั้งนี้ เราจะชนะล่ะ



                ...มองเราซักทีนะ...



                “หยุดเล่นได้แล้วครับ”



                “อ้าว เรารู้จักกันแล้วใช่ไหม น่า...อย่าหน้าบึ้งเลย ยิ้มให้เราหน่อยน้า ขอโทษๆๆ” เราแทบจะไหว้อยู่แล้ว กลายเป็นคนง้อนายก่อน ก็นะ...มีนายอยู่เดียวนี่



                “ถ้าไม่ติดว่าอยู่บนรถเมล์นะ” นายหลุดหัวเราะมาหนึ่งคำอย่างอ่อนใจ ก่อนจะยื่นมือมาขยี้หัวแรงๆ “ไม่เคยโกรธพี่ปั้นได้จริงๆ นั่นแหละ” เขาพูดกับตัวเอง



                เราสองคนเงียบไปไม่นาน นายก็เริ่มต้นบทสนทนาอีกครั้ง



                “พี่ปั้น ทุกเรื่องของพี่ปั้นสำคัญกับผมนะครับ”



                เราหันหน้าไปมองเขา...รู้สึกอุ่นวาบอยู่ในอกทุกครั้งที่คิดว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้เจอนาย สบตากับคนที่เอ่ยเสียงจริงจัง  พลางคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่นาน

 

                “พี่ปั้น สมัครงานไปรึยังครับ มาครับผมช่วยดู”

                “อื้อๆ บริษัทนี้ดีไหม”

           

                “เราใส่เสื้อตัวไหนไปสัมภาษณ์ดี”

                “ตัวนี้ดีกว่าครับ พี่ปั้นผิวขาว ใส่ตัวนี้แล้วดูดี”

           

                “ตื่นเต้นจัง นายมาซ้อมเป็นคนสัมภาษณ์ให้หน่อย”

                “อะแฮ่ม สวัสดีครับ เชิญนั่งครับ แนะนำตัวด้วยครับ”

                “เดี๋ยวๆ เรายังไม่ทันนั่งเลย”

                “อ้าว ผมก็ตื่นเต้นด้วยนี่นา ฮ่าๆ”

 

                “สัมภาษณ์เสร็จผมไปรับนะ”


                “มาครับ ฉลองที่ได้ทำงานแล้ว ของที่พี่ปั้นชอบทั้งนั้น”


                “วันนี้ทำงานวันแรกขอให้พี่ปั้นทำงานราบรื่น เจอเพื่อนร่วมงานที่ดี ห้ามใครชอบพี่ปั้นของผมด้วยเถิด สาธุ”


                “เหนื่อยหรอครับ วันนี้โดนหัวหน้าดุหรอครับ”



                “โอ๋ๆ ไม่ร้องนะครับ”



                “ดีใจด้วยครับพี่ปั้น อยากเห็นพี่ปั้นใส่ชุดรับปริญญาเร็วๆ จัง”



                “วันจริงต้องตื่นเช้ามาก พี่ปั้นต้องตื่นไม่ทันตั้งแถวแน่ ถ้าผมไม่ปลุก”

           



                อันที่จริง...ทุกเรื่องของเราสำคัญสำหรับนายจริงๆ นั่นแหละ คนที่ใส่ใจ และอยู่ทุกช่วงเวลาเลยอย่างที่เขาเคยพูดไว้



                “ขอโทษ แล้วก็ขอบคุณนะ” ขอโทษที่บางทีก็ทำให้น้อยใจ แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลย



                เราจับมือนาย พร้อมกับส่งยิ้มไปให้ แทนความรู้สึกทั้งหมด



                “เราไม่อยากให้นายเสียโอกาสนี่นา เรามีนายอยู่ทุกวัน เรื่องอื่นไม่สำคัญเลย”



                “ผมรู้ครับ ก็...ตอนที่เราดูคลิปงานรับปริญญาเก่าๆ กัน พี่ปั้นมอง...ไม่กะพริบเลย”



                “หือ เรามองอะไรนะ”



                “ในคลิปนั้น พี่ปั้นมองคนที่เช็ดเหงื่อให้บัณฑิตแล้วก็ยิ้มออกมา ผมอยากเป็นคนที่ทำแบบนั้นให้พี่ปั้นบ้าง”



                “...”



                “ผมอยากเป็นคนที่ดูแล อยากเอาใจใส่ อยากทำหน้าที่แฟนบัณฑิตนี่ครับ”



                ในที่สุด เจ้าของถุงส้มก็สารภาพจนหมดเปลือก ที่ทำขรึมมาหลายวันเพราะเหตุผลนี้งั้นหรอ



                อ่า



                ...แฟนบัณฑิต...



                คำไม่คุ้นชินแต่ใจกลับเต้นแรงซะอย่างนั้น



                นายพลิกฝ่ามือ เป็นฝ่ายประสานนิ้วทั้งห้าของเราเอาไว้ ทั้งคนพูดคนฟังหน้าแดงไม่แพ้กัน



                เงียบเพราะเขินกันไปไม่นาน เราทั้งคู่ก็ขยับตัวผละมือออกจากกันเพื่อกระแอมแก้เขิน จากนั้นเราก็ตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง



                เสียงกระเป๋ารถเมล์ก็ตะโกนบอกชื่อป้ายเรียกความสนใจให้นายให้หันไปมอง ไม่นานเขาก็ขยับตัว กระชับสัมภาระ พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เราเตรียมพร้อม



                เขาลุกขึ้นก่อน ปล่อยให้เราเดินนำไปที่ประตูรถเมล์ ซึ่งตอนนี้มีเด็กนักเรียนสองสามคนที่ยืนรออยู่เหมือนกัน ในเวลาที่ประตูเปิด เราหันกลับมายัดกระดาษยับยู่ยี่ใส่ในมือเขาแล้วก้าวขาตามหลังน้องนักเรียนไป



                นายที่ลงตามทีหลัง ถือถุงส้มข้างนึง ส่วนอีกข้างนึงกำกระดาษเล็กๆ ไว้ในมือ สีหน้างุนงง



                เรากางร่มให้เขา ยื่นหน้าเข้าไปใกล้



                “...ไม่เห็นต้องเป็นแฟนบัณฑิตเลย”



                นายก้มมองข้อความข้างใน ก่อนเราสองคนจะยิ้มกว้างให้กัน

 

                เป็นแฟนเราก็พอแล้ว ☺

 

                 ---------------------------------------------------------               

               





               ตอนจบหลังจากตอนจบ

                 ---------------------

                “พี่ปั้น...รักนะครับ จุ๊บ”

                “อื้อ รัก ฮึก เหมือนกัน”

                 ---------------------

                “ไอ้นายดึงหน้ามาหลายวัน วันนี้เป็นไรวะผีเข้าอ่อ”

                “เอ็มเจ เดี๋ยวเหอะมึง เดี๋ยวพี่ท่านเอาบาสทุ่มหัว”

                “โอ๊ย เชี่ยแดม ตาเยิ้มขนาดนี้มันไม่รู้เรื่องหรอก สงสัยเมาพี่ปั้น”

                ผลัวะ!

                “ตบกูทำไมเนี่ย ไอ้นาย”

                “มึงพูดถูก กูเมา...พี่ปั้น”

                “สงสัยมันถูกใจจนมือลั่นเลยว่ะ”

                 ---------------------

                “แม่คะ พ่อคะสวัสดีค่ะ”

                “อ้าวสวัสดีลูก มาหานายกับปั้นหรอ”

                “ค่ะ ได้ข่าวว่านายงอนข้าวปั้นเลยอยากมาเห็นเป็นบุญตา”

                “ฮ่าๆ เอาสิ เข้าไปดูลูกนั่งดูทีวีกันอยู่ ไปดูว่าเขางอนกันเป็นยังไง”

                “ค่ะแม่ ขอตัวก่อนนะคะพ่อ”

                “ตามสบายลูก”

                ตึก ตึก ตึก

                “อ้าว ออกมาเร็วจัง เจอไหมลูกชมพู่”

                “แม่คะ พ่อคะ เขางอนกันอีท่าไหนถึงหอมแก้มมันเขี้ยวกันขนาดนั้นคะ”

                “แม่ว่า ชมพู่...ได้ข่าวมาผิดแล้วล่ะลูก”

                “หนูโดนหลอกค่ะแม่ ฮือ”

                 ---------------------

                “พี่ปั้นนนนนนนน”

                “เฮ้ยๆๆ เกิดอะไรขึ้น”

                “เกิดไรขึ้นวะ พี่ปั้นเป็นอะไร”

                “พวกมึง กูเจอพี่ปั้นในรอบปีเว้ย”

                “เฮ้ยๆๆๆ จริงปะๆๆ ตั้งแต่เขาจบไปกูก็เหี่ยวเฉาไม่มีคนน่ารักให้ส่อง จนอยากกลายเป็นปลาให้ตุ๊ดตู่คาบเล่นแถวสะพานสระแก้วว่ะ”

                “เดี๋ยวๆ มึง สงสารตุ๊ดตู่ จระเข้ศิลปากรที่ต้องแดกมึงมากกว่า”

                “เชี่ยพวกนี้อย่านอกเรื่อง เจอพี่ปั้นแล้วไงต่อๆ”

                “เอ้อๆๆ”

                “กูเจอเขา แล้วกูก็ตะโกนเรียกเว้ย ตอนหันมาน่ารักสัสๆ ใส่ชุดทำงานด้วยแม่งเง้ยกูอยากแง๊นนนน”

                “น่ากลัวสัสๆ แล้วไงไอ้เหี้ย นอกเรื่องตลอด”

                “เขาหันมายิ้มเว้ย แล้วก็โบกมือ”

                “กูแข็งไปแล้ว”

                “เชี่ย! หื่น”

                “ไม่ใช่! ตัวแข็งต่างหาก พี่ปั้นเดินมาใกล้ๆ กูนี่ยิ้มรอเลย”

                “เชรดดดดด บรรลุชีวิตติ่ง กูมอบมงให้มึงเป็นติ่งชั้นสูง”

                “ชั้นสูงไรล่ะ กูเนี่ยชั้นต่ำของแท้ เขาเดินผ่านกูไปเลย”

                “เอ้า หักมุม”

                “ตอนเดินผ่านโอ๊ยโคตรหอม กูงี้หันกลับไปดูเลยเว้ย”

                “คนจริงต้องดมตอนเดินผ่าน แล้วๆๆๆ”

                “ไอ้เชี่ยนายมารหัวใจ แม่งยืนรออยู่ด้านหลังกู”

                “ยิ้มค้างของจริง”

                “ส่วนไอ้นายยิ้มเย้ยกูจังงงง”

                “ถ้ากูเป็นแฟนพี่ปั้นนะ กูจะอวดเช้าอวดเย็น ไม่ซ่อนไว้ในห้องเหมือนไอ้นายหรอกโว้ยยยย”

                “ทำเป็นโวยวาย ที่แท้อิจฉา”

                “เออ หรือมึงไม่อิจฉา”

                “อิจฉาโว้ยยยย!!”

                 ---------------------

               

-คำขอบคุณหลังจากตอบจบ-
ไม่นานมานี้เรามีโอกาสได้เขียนงานชิ้นนึง ในงานชิ้นนั้นพูดถึงการกลับบ้านของนักเขียนชื่อดัง
ที่บอกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่รู้ว่าบ้านของเราคืออะไร ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน คุณก็จะกลับไปได้เสมอ
บ้านของนักเขียนก็คือการเขียน ส่วนบ้านของคนชอบเขียนอย่างเราก็คือการเขียนเหมือนกัน
ที่พูดมาทั้งหมดเรากลับบ้านเเล้วนะทุกคนน ขอบคุณมากค่ะที่อ่านมาถึงตรงนี้
อาจจะรอนานหน่อยก็ยังมีคนรอ เราดีใจมากเลยค่ะ และต้องขอโทษที่หายไปโดยไม่บอกกล่าว
ขอบคุณที่รอกันมาเสมอ คำติชมต่างๆ เราพร้อมนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น
พูดถึงเรื่อง เรากับเขา บ้าง จริงๆ แล้วอยากนำเสนออะไรที่เรื่อยๆ ดูบ้าง
เเถมยังเป็นความเรื่อยๆ ของคนมีปมสองคน ที่มาเจอกัน
คนที่คิดว่าเป็นแบบนี้ เขาอาจจะรู้สึกแบบนั้น เราจะคาดเดาไม่ได้เลย
ถ้าหากว่าไม่ได้มาเรียนรู้กัน
สุดท้ายแล้วความรักคืออะไร การเติบโต การเรียนรู้
พี่ปั้นกับนายคงจะรู้อยู่แก่ใจ
ขอบคุณทุกความเห็น ทุกคลิกที่แวะเวียนเข้ามา
รักคนที่ไม่เคยหน้ากันเลยในโลกของตัวหนังสือ

                   

หัวข้อ: Re: END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: TuEyyy ที่ 15-08-2019 06:37:57
น่ารักที่สุดดด  :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Rabbitrd ที่ 15-08-2019 07:35:48
ตื่นเต้น เหมือนเจอเพื่อน ยังอ่านไม่จบ แต่เห็น อักษร ศิลปากรนี่รีบทำความรู้จักก่อนเลย  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: btoey ที่ 18-08-2019 17:10:46
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์สาววาย ที่ 28-09-2019 16:41:17
น่ารักเกินไปแล้วววววว เป็นเรื่องที่ดีมากๆอีกเรื่องหนึ่งเลยค่ะ ขอบคุณอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้เราได้มาเจอกันนะคะ ขอบคุณคนเขียนและขอบคุณนายกับพี่ปั้นมากน้าาาา
หัวข้อ: Re: END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: FaX ที่ 02-10-2019 18:06:41
เป็นนิยายย ที่ละมุนละไมมากเลยค๊าาาา อ่ายได้เรื่อยๆไม่มีเบื่อ สมูทมากก  หลงรักตัวละครทั้งนายเอก พระเอก คู่นี้เขามาแบบน้ำตาลเรียกพี่ไปแล้วค๊าา  ฟินในความน่ารักของทั้งคู่ อยากมีโมเมนต์นี้บ้างงง อั้ยๆๆๆ
หัวข้อ: Re: END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 10-10-2019 16:49:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
ละมุนนุ่มนวล
เหมือนกินไอติมรสวนิลา
ชอบบบบบบบบ
ขอบคุณนะคะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 09:12:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 28-09-2020 17:30:55
อ่านจบแล้วจ้า แต่เราว่าเรื่องมันเอื่อย ๆ ไปนิดนึง ยังไงก็ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านนะจ๊ะ

 :katai2-1: :katai2-1: