Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561  (อ่าน 77750 ครั้ง)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะคะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-11-2018 19:08:37 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
เขาจะรู้ไหมนะ

ว่ารอยยิ้มเมื่อวันแรกที่พบกันมันยังคงตราตรึง

อยู่ในหัวใจของใครคนหนึ่งและจะเป็นเช่นนั้นไปอีกนานแสนนาน


Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ

เรื่องย่อ :
‘ศุกล’ ได้ทุนไปเรียนระดับปริญญาโทในมหาวิทยาลัยที่ประเทศญี่ปุ่น บังเอิญได้พบกับ ‘เอกรงค์’ บนเกียวโตทาวเวอร์ ไม่เคยคิดเลยว่าอีก 3 ปีให้หลัง โชคชะตาจะนำพาให้ได้มาพบเขาอีกครั้งที่โรงเรียนสอนศิลปะของตนเองเพียงเพราะภาพที่คนวาดให้ชื่อว่า ‘รอยยิ้มวันแรกเจอ’ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เหมือนดำเนินไปด้วยดีหาก ‘รัตติเขต’ ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าที่ศุกลเคยสารภาพความรู้สึกที่มีให้รู้ไม่หวนคืนมาอีกครั้ง ความเข้าใจผิดและความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันจึงเกิดขึ้น ซ้ำพวกผู้ใหญ่ยังต้องหัวหมุนเมื่อเด็ก ๆ ที่สถาปนาตัวเองว่าเป็น ‘แก๊งกามเทพน้อย’ ยื่นมือเข้าช่วย


เรื่องอื่น ๆ




สารบัญ

ตอนที่ 1 กาลครั้งหนึ่ง
ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ
ตอนที่ 3 แสงและเงา
ตอนที่ 4 เข้าใจ
ตอนที่ 5 จูบแรก
ตอนที่ 6 I , sea , U
ตอนที่ 7 Night
ตอนที่ 8 ลมหวน
ตอนที่ 9 ตะกอน
ตอนที่ 10 อากาศ
ตอนที่ 11 โอกาส
ตอนที่ 12 อีกครั้ง
ตอนที่ 13 I'm Yours
ตอนที่ 14 รักของเรา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2018 13:18:14 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า










Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ

โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า และ leGGyDan



ตอนที่ 1 กาลครั้งหนึ่ง



‘Light and Shade’ คือชื่อของอาคารไม้สองชั้นสีขาวหลังคาจั่วแวดล้อมด้วยแมกไม้เขียวชอุ่มตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง เมื่อพ่อซึ่งเป็นศิลปินที่มีความชำนาญด้านศิลปะไทยสิ้นบุญลงตั้งแต่หนึ่งปีก่อน ลูกชายคนเดียวจึงสืบทอดเจตนารมณ์โดยบูรณะซ่อมแซมบ้านหลังนี้ซึ่งเป็นมรดกชิ้นเดียวที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้โดยไม่คิดขาย แม้จะมีนายทุนให้ราคาดีก็ตาม


เรือนหลังเล็กซึ่งเป็นพื้นที่พักผ่อนที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวถูกสร้างขึ้นใหม่แยกจากเรือนหลักเยื้องมาทางด้านหลังเกือบติดกำแพงบ้าน แต่ก็ยังมีที่ทางเหลือพอสำหรับปลูกต้นไม้ใบหญ้า ที่นี่นอกจากจะมีเรือนหลังใหญ่ไว้ให้บริการเช่าพื้นที่สำหรับแสดงผลงานศิลปะแก่นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไปแล้ว เจ้าของยังต่อเติมปีกด้านซ้ายออกไปโดยชั้นบนนั้นเป็นสตูดิโอเขียนภาพ ภายในโถงด้านล่างที่ล้อมรอบด้วยผนังกระจกกรอบลูกฟักถูกแบ่งเป็นสัดส่วนตามประเภทของศิลปะที่มีการเปิดสอนให้แก่ผู้สนใจ


โต๊ะเก้าอี้ถูกออกแบบขึ้นโดยเฉพาะเพื่อให้เหมาะกับประโยชน์ใช้สอย อุปกรณ์ศิลปะถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยให้ง่ายต่อการนำออกมาใช้งาน ทั้งกระดานวาดรูป กระดานเขียนแบบ หุ่นปูนปลาสเตอร์ ขาตั้งสำหรับวาดภาพสีน้ำมัน แท่นพิมพ์ แท่นหมุนขึ้นรูปสำหรับทำงานปั้น รวมไปจนถึงเตาเผาเซรามิกเล็ก ๆ หลังโรงรถ แม้อุปกรณ์ต่าง ๆ จะรองรับผู้เรียนได้จำนวนไม่มากนัก แต่ก็พอที่จะสามารถทำให้แต่ละคนสามารถค้นพบตัวเองได้อย่างไม่ยาก ที่นี่จึงเป็นดั่งจุดเริ่มต้นของคนมีฝันหลาย ๆ คน 


“Once upon a time กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ”


เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมปลายพึมพำขณะไล่สายตาไปตามตัวอักษรบนโปสเตอร์อาร์ตมันในกรอบอะคริลิคใสที่ติดตั้งอย่างถาวรกับกำแพงปูนเปลือยตรงทางเข้าซึ่งเป็นจุดให้ข่าวสารแก่ผู้ผ่านไปมาเกี่ยวกับนิทรรศการที่จะมีการจัดแสดงในแต่ละเดือน ธีร์ทัศน์กระชับกระดานวาดรูปในมือก่อนจะเดินเข้าไปภายในบริเวณอันแสนร่มรื่น


เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ที่เขาไม่ได้แวะมาที่นี่ สังเกตว่าขณะนี้ต้นโมกที่เจ้าของบ้านปลูกเอาไว้ต่างพร้อมใจกันออกดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมเย็น ทำเอาลืมกลิ่นควันจากท่อไอเสียของยวดยานที่นอกรั้วไปเลย เมื่อมองเข้าไปในเรือนกระจกก็พบว่ามีทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขากำลังนั่งเขียนรูปบนผืนผ้าใบกันอย่างขะมักเขม้น โดยมีพี่ ๆ นักศึกษาศิลปะหรือศิลปินมืออาชีพคอยให้คำแนะนำ


ธีร์ทัศน์ยิ้มกับตัวเองนึกถึงตอนที่ตัดสินใจคุยแบบเปิดอกกับแม่เมื่อช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาเพื่อจะขอเรียนต่อด้านศิลปะซึ่งเป็นสิ่งที่สนใจ เมื่อแม่ไม่ขัดข้องเขาก็สอบถามจากเพื่อน ๆ และขอคำแนะนำจากรุ่นพี่จนกระทั่งมาเจอโรงเรียนสอนศิลปะแห่งนี้ เมื่อแรกก้าวเข้ามาที่นี่ก็พบว่าไม่ได้มีเพียงแต่เด็ก ๆ อย่างเขาเท่านั้นที่สนใจในศิลปะ ผู้ใหญ่หลายคนก็แวะเวียนมาบ่อยครั้งหากมีเวลาว่าง แม้ต่างวัยต่างสถานะต่างภาระหน้าที่แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันก็คือความฝันที่จะได้ทำในสิ่งที่รัก ขายาวยังคงก้าวไปตามทางเดินที่โรยด้วยก้อนกรวดสีขาวประดับด้วยซีเมนต์หล่อเป็นรูปใบบัวขนาบข้างด้วยต้นโมกพุ่มเตี้ย ๆ ผ่านลานกระเบื้องหินหยาบกระทั่งมาหยุดยังอาคารหลักซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับแสดงนิทรรศการ


“ขอทางหน่อยครับน้อง”


เด็กหนุ่มรีบชักเท้ากลับพร้อมกับเอี้ยวตัวเปิดทางให้สองคนที่ช่วยกันยกเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่คลุมทับด้วยผ้าขาวผ่านไปได้สะดวก กำลังจะหันหลังกลับเพราะคิดว่าเด็กอย่างตนไม่ควรเข้าไปยุ่มย่ามแต่เสียงที่คุ้นเคยก็ทำให้เขาต้องหยุดความคิดนั้น


“อ้าวทัศน์ หายหน้าไปนานเลย”


“สวัสดีครับพี่ติ๊น” ธีร์ทัศน์ยกมือไหว้ชายหนุ่มวัยยี่สิบหกปีผู้เป็นเจ้าของ Light and Shade เมื่อแรกพบกันเมื่อกลางปีก่อนผมเผ้ายังยาวรุงรังหนวดเคราเฟิ้มจนแม่ของเขาเกิดความลังเลที่จะส่งให้ลูกชายคนโตมาเรียนที่นี่ หลังจากนั้นไม่นานพี่ติ๊นก็ตัดผมสั้น ไม่รู้ว่ามีใครบอกหรือเป็นความต้องการส่วนตัวกันแน่ แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในความคิดของธีร์ทัศน์มันช่วยเสริมบุคลิกให้ดูดีและน่าเชื่อถือขึ้นตั้งเยอะ ประกอบกับหน้าตาผิวพรรณที่บ่งบอกว่าไม่พ่อหรือแม่ต้องมีเชื้อสายจีนยิ่งทำให้แทบจะไม่มีสาว ๆ คนไหนอยากขาดเรียนในคลาสวาดเส้นของครูติ๊นเลยสักคน


“สอบเสร็จแล้วเหรอ” เจ้าของบ้านถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองเหมือนเช่นเคย


“วันนี้วันสุดท้ายครับ ก็เลยแวะมา”


“อืม พี่ฝากลูกกวาดไปบอกแล้วนี่นาว่าคลาสสีน้ำมันจะเริ่มสัปดาห์หน้า ลูกกวาดลืมหรือเปล่านะ” พูดพลางยกมือขึ้นเสยปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าผาก นั่นเพราะมันสั้นเกินกว่าจะรวบขึ้นไปรวมกับกลุ่มผมที่ด้านหลังซึ่งมัดไว้ครึ่งศีรษะได้


“ไม่ลืมหรอกครับ ลูกกวาดบอกผมแล้ว แต่วันนี้ผมจะแวะเอางานเข้ามาให้พี่ติ๊นช่วยแนะนำ แล้วก็จะมาถามด้วยว่าคลาสศิลปะเด็กของพี่ดลเต็มหรือยัง พอดีน้องปิดเทอมน่ะครับ แม่เลยอยากให้มาเรียนศิลปะดู น่าจะดีกว่าอยู่บ้านเล่นเกมเฉย ๆ”


“พี่ไม่แน่ใจนะ เข้ามาก่อนสิ ไอ้ดลอยู่ข้างในพอดี” พูดจบคนตัวสูงก็เดินนำเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ที่ปูด้วยไม้ขัดมัน


ที่นั่นธีร์ทัศน์พบหนุ่มสาวหลายคนกำลังช่วยกันติดตั้งภาพวาดสีน้ำมันเข้ากับผนังสีขาว บางคนรับอาสาจัดสปอรต์ไลท์หันทำมุมพอเหมาะเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้ผลงาน มันเป็นบรรยากาศที่เขาคุ้นเคยดีเมื่อกำลังจะมีนิทรรศการศิลปะเกิดขึ้นในแกลเลอรีแห่งนี้ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือการได้พบกับ ‘ภาดล’ ซึ่งเป็นครูสอนศิลปะในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งกับ ‘พีระ’ ที่เป็นกราฟิกดีไซเนอร์ในบริษัททำแอนิเมชันอยู่ด้วยกันที่นี่ด้วย ทั้งคู่ต่างเป็นเพื่อนสนิทของศุกลซึ่งปกติจะไม่ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับส่วนที่เป็นแกลเลอรีสักเท่าไร เพราะหน้าที่หลักของพวกเขาก็คือการเข้ามาสอนศิลปะตามวันเวลาที่ถูกกำหนดขึ้นเท่านั้น 


“ไอ้ดล แกมาช่วยฉันดูซิว่าจะเอารูปไหนไปทำสูจิบัตร” คนนั่งที่เท้าคางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นกลางห้องเอ่ยขึ้นในขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เจ้าของชื่อจึงวางมือจากการติดตั้งเฟรมผ้าใบเดินมานั่งลงข้าง ๆ แล้วดึงเม้าส์มาคลิกเสียเอง


“สวัสดีคร้าบบบพี่ ๆ” คำทักทายสั้น ๆ ส่งผลให้บรรดาผู้ใหญ่ที่กำลังช่วยกันทำงานอย่างแข็งขันต้องหยุดยิ้มให้เด็กหนุ่มจอมทะเล้นที่กำลังยกมือไหว้รอบทิศ


“ไงทัศน์” ภาดลยกมือขึ้นทักทาย


“น้องแวะมาถามเรื่องคอร์สศิลปะเด็กของแกน่ะ ตอนนี้เต็มหรือยังวะ” ศุกลกล่าวก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง


“ยังนะ ยังรับได้อีก 2-3 คน ถามทำไมเหรอ”


“แม่จะให้น้องมาเรียนน่ะครับ”


“น้องชายของทัศน์ อืม...ชื่อธรใช่ไหม จำได้ว่าเคยเจอหนหนึ่ง ที่เข้าไปป่วนห้องปั้นของไอ้พีเสียเละเลย”


“โอ้ย...นึกถึงแล้วยังขนลุกไม่หาย” พีระทำขนพองสยองเกล้ายกมือขึ้นลูบแขนตัวเอง ทำเอาคนเป็นพี่ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ เมื่อนึกถึงวีรกรรมของน้องชายสุดแสบ


“ตอนนี้อายุเท่าไรแล้วนะ”


“แปดขวบครับ”


“ดีเลย เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ในคลาสก็อายุราว ๆ นี้แหละ ฝากไปบอกคุณแม่นะว่าพามาได้เลย”


“ครับ ขอบคุณครับพี่ดล” ธีร์ทัศน์ยิ้มกว้างพลางปลดเป้สะพายหลังนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นวางกระดานวาดรูปลงข้างตัวแล้วมองสำรวจไปรอบ ๆ พบว่าบนผนังสีขาวภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่บัดนี้เต็มไปด้วยภาพเขียนสีน้ำมันจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นภาพทิวทัศน์ ภาพของผู้คนในอิริยาบถต่าง ๆ แต่ที่แปลกตาเห็นจะเป็นสีสันกับรอยแปรงที่ทำให้เกิดเป็นพื้นผิวบนผืนระนาบผ้าใบจนอดสงสัยไม่ได้ “นิทรรศการของใครน่ะพี่ ทำไมคราวนี้พวกพี่ลงมาทำงานด้วยตัวเองล่ะครับ”


“ของพวกพี่เองน่ะ ทำกับเพื่อน ๆ สมัยมหาวิทยาลัย เปิดให้เข้าชมสิ้นเดือนนี้” พีระกล่าว


“แล้วภาพไหนของพี่พีครับ”


“ที่ไอ้ติ๊นกำลังติดโน่น” เจ้าของภาพบุ้ยปากไปอีกทาง


ได้ฟังดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเบนสายตามองไปยังเจ้าของผมเส้นเล็กยาวระต้นคอที่กำลังช่วยกันกับเพื่อน ๆ ติดตั้งเฟรมสีน้ำมันเข้ากับผนัง “สวยจัง” ว่าแล้วก็ลุงพรวดขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ “ทีแปรงแบบนี้ไม่เคยเห็นเลยครับ”


“เคยเห็นแต่แบบที่เกลี่ยจนเรียบใช่ไหม” ศุกลหันมายิ้ม “แบบนี้น่ะเป็นลักษณะเด่นของศิลปะลัทธิประทับใจหรืออิมเพรสชันนิสต์ไง รอยทีแปรงแบบหยาบ ๆ เป็นการลงสีอย่างรวดเร็ว เพราะศิลปินต้องการบันทึกแสงและสีที่ตาได้เห็น ณ ช่วงเวลานั้น ภาพส่วนใหญ่ของศิลปินอิมเพรสชันนิสต์ก็เลยเป็นภาพวาดกลางแจ้ง ไม่ใช่วาดในสตูดิโอ เป็นการทำลายกฎแบบเดิม ๆ ของยุคคลาสิก ศิลปินมีชื่อในลัทธินี้ที่ทัศน์น่าจะเคยได้ยินชื่อก็อย่างเช่น โมเนต์ เรอนัวร์ แล้วก็เดอกาส์ ส่วนคอนเซปต์แบบละเอียดของนิทรรศการคราวนี้ต้องถามไอ้พี” ว่าพลางมองเลยไปยังคนต้นคิด


“คอนเซปต์คืออะไรเหรอครับพี่พี” ธีร์ทัศน์หันไปถามด้วยความสนใจ


“อันที่จริงจะเรียกว่ามันเป็นการรียูเนียนก็ได้ เพราะหลังจากเรียนจบมา 3-4 ปี ทั้งรุ่นก็ไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันอีกเลย ไอ้ติ๊นก็ได้ทุนไปเรียนต่อ บางคนก็กลับตั้งรกรากที่บ้านเกิด มีลูกมีเต้ากันไปก็เยอะ คอนเซปต์งานนี้ก็เป็นการนำเสนอเรื่องราวความประทับใจของพวกเราในช่วงเวลาที่แยกย้ายกันไป โดยเอาแนวทางการสร้างงานของศิลปินอิมเพรสชันนิสต์มาใช้ ภาพเขียนของแต่ละคนก็เลยเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือทิวทัศน์ต่าง ๆ ที่ได้พบเจอแล้วเกิดความประทับใจ เหมือนเป็นการมาเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องต่าง ๆ ผ่านภาพเขียน จะมีก็ของไอ้ติ๊นนี่แหละที่แปลกกว่าชาวบ้าน”


“ภาพของพี่ติ๊นเหรอครับ” เด็กหนุ่มหันกลับไปมองคนที่ถูกกล่าวถึงเมื่อสักครู่ เห็นเขากำลังค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมออกจากเฟรมผ้าใบสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่เพื่อเตรียมยกขึ้นติตตั้งกับผนัง มันกินพื้นที่หนึ่งในสามของผนังด้านขวามือ เป็นภาพเสี้ยวหน้าของใครคนหนึ่งที่ถูกจัดวางในแนวนอนทิ้งบริเวณว่างด้านข้างและไม่ลงลายละเอียดของฉากหลังมากนัก ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าหน้าในมุมก้มเล็กน้อยที่แสดงรายละเอียดตั้งแต่เหนือคิ้วลงมากระทั่งปลายคาง ที่โดดเด่นคงจะเป็นรอยยิ้มที่มีการเน้นด้วยแสงและสีเห็นแล้วพลอยยิ้มตามไปด้วย


“ชื่อภาพอะไรของมันนะ” ภาดลถามคนข้าง ๆ พร้อมกับกวาดตามองเลย์เอาท์ของสูจิบัตรที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก


“รอยยิ้มวันแรกเจอ” อีกคนตอบทันควันราวกับท่องจำจนขึ้นใจ “ตกลงแกจะบอกได้หรือยังวะว่านั่นรูปใคร”


“ไม่รู้เหมือนกัน” ศุกลกล่าวทั้งที่ไม่ได้หันมา คำตอบนั้นทำเอาคนรอฟังพากันเกาหัวแกรก ๆ ในขณะที่เจ้าของภาพเองยังคงอมยิ้มน้อย ๆ ให้กับภาพวาดฝีมือตนเองพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายหลายปีก่อนที่เขามีโอกาสได้ทุนไปศึกษาศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่มหาวิทยาลัยซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านศิลปะและการออกแบบของเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น...


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-11-2018 22:54:17 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

“โม แกอยู่ไหนเนี่ย เรารอแกอยู่ในร้านร้อยเยนนะ รีบ ๆ มาล่ะ อืม ๆ รีบมา...แค่นี้นะ”


ศุกลเงยหน้าขึ้นจากชั้นแขวนข้าวของเครื่องใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในบ้านก่อนจะมองเลยไปยังร่างเล็กของหญิงสาวในชุดเสื้อโค้ทสีเข้มความยาวระดับเข่า มันน่าจะอุ่นพอที่จะทำให้เธอสามารถไปไหนมาได้อย่างสบายยามเมื่อต้องมาอยู่ต่างถิ่นที่อุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียสเช่นนี้


“มาเที่ยวเหรอครับ” เป็นคำถามที่ถามด้วยภาษาคุ้นลิ้นซึ่งนาน ๆ จะได้เอื้อนเอ่ยนับแต่มาอยู่ที่นี่ได้เกือบปี


คนถูกจู่โจมมีท่าทางลังเลเล็กน้อย มือกำโทรศัพท์แน่นก่อนจะหันกลับมาดูให้แน่ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เห็นว่าไม่ใช่เพื่อนที่กำลังรอมาแกล้งกันให้ตกอกตกใจ หากแต่เป็นชายหนุ่มผิวขาวที่เพิ่งเดินสวนกันเมื่อสักครู่ คาดว่าเขาน่าจะเป็นชาวเอเชียแต่ไม่ได้เผื่อใจไว้ว่าจะเป็นคนชาติเดียวกันเลยสักนิด ดังนั้นเธอจึงทำใจดีสู้เสือฝืนยิ้มออกมา “ค...ค่ะ”


หญิงสาวเลือกที่จะตอบเพียงสั้น ๆ ทั้งที่จริงแล้วเธอมาส่งน้องชายซึ่งเป็นนักเรียนแพทย์แลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดนารา แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มและท่าทางของคนแปลกหน้าที่ดูเป็นมิตรซ้ำยังสื่อสารด้วยภาษาที่คุ้นเคย ดังนั้นเธอจึงถามกลับด้วยถ้อยคำเดียวกัน “มาเที่ยวเหมือนกันเหรอคะ”


“เปล่าครับ ผมเรียนที่นี่”


“มาเรียนไกลจัง เรียนที่มหาวิทยาลัยเกียวโตเหรอคะ” เจ้าของพวงแก้มขึ้นสีเลือดฝาดเพราะอากาศเย็นเฉียบกล่าวขณะที่สายตาก็ยังจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าของคู่สนทนา ผมยาวถูกมัดรวบเป็นหางม้าแล้วส่งไปไว้ด้านหลังจึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการค้นหาความจริงใจในดวงตาสีเข้มของอีกฝ่าย คิ้วหนาคู่นั้นก็ช่างรับกับหน้าผากและโครงหน้าคมสันอย่างเหมาะเจาะ คงดีไม่น้อยหากเขาจะซื้อมีดโกนที่อยู่ใกล้ ๆ มือนั่นกลับไปโกนไรหนวดเหนือริมฝีปากด้วย


“เกียวโต ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ อาร์ต แอนด์ ดีไซน์ น่ะครับ” ชายหนุ่มยังคงยิ้ม “ดีใจจังที่ได้เจอคนไทยที่นี่”


หญิงสาวยิ้มนิด ๆ ตอบกลับ ในใจยินดีเช่นกันที่ได้พบเพื่อนร่วมชาติในดินแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้ นั่นเพราะหลายวันที่ผ่านมาเธอรู้สึกเหมือนตนเองกำลังเข้าใจอาการใบ้รับประทานเข้าไปทุกที แต่ยังไม่ทันได้สนทนาต่อเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน


“อ...เอ้อ ขอโทษนะคะ สงสัยเพื่อนโทรมาแล้ว ขอตัวตัวก่อนนะคะ”


“ครับ โชคดีนะครับ เที่ยวให้สนุก” ศุกลกล่าวพลางโบกมืออำลาแล้วเดินจากมาเพื่อส่งคืนความเป็นส่วนตัวให้แก่อีกฝ่าย


หนุ่มนักเรียนทุนหยิบของ 2-3 อย่างลงตะกร้าก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์จึงไม่ทันได้สังเกตว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังมองมาที่ตนเอง...


“โม ทางนี้ ๆ” สาวสวยทำกระซิบกระซาบเพราะบรรยากาศในร้านมันช่างเงียบเชียบเสียเหลือเกิน


“คนอื่นล่ะ” ชายหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านที่เพิ่งเดินมาถึงเอ่ยขึ้น


“แยกย้ายกันไปช็อปปิ้งหมดแล้ว ว่าแต่แกเถอะไปไหนมา”


“ไปเจอเพื่อนมาน่ะ ไม่เจอกันนาน ตั้งแต่มันแต่งงานแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ เลยคุยกันยาว”


“เพิ่งรู้นะว่าแกมีเพื่อนอยู่เกียวโตด้วย” หญิงสาวกล่าวขณะเขย่งปลายเท้าหวังจะรั้งกล่องกระดาษสีสวยมาใส่ลงในตะกร้าแต่ก็คว้าไม่ถึง ได้แต่ยืนมองคนตัวสูงกว่าที่กำลังหยิบมันลงมาให้อย่างง่ายดาย


มือขาววางกล่องกระดาษสีสาวลายดอกซากุระลงในตะกร้าก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “แกก็มีคนรู้จักอยู่ที่นี่เหมือนกันไม่ใช่หรือไง”


“ใคร?”


“ก็ผู้ชายผมยาวที่ยืนคุยกันเมื่อกี้ รู้จักกันเหรอ”


“อ๋อ คนไทยน่ะ เขาเข้ามาทัก คงได้ยินที่เราคุยโทรศัพท์กับแกมั้ง”


“นึกว่าญี่ปุ่นหรือเกาหลีเสียอีก” พูดพลางเลื่อนสายตาไปยังแผ่นหลังกว้างของคนที่ยืนอยู่ไกล ๆ เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อย ในที่สุดเขาก็เดินออกจากร้านไป


“เนอะ เซอ ๆ ติสต์ ๆ เหมือนพระเอกซีรีส์ เห็นเขาบอกว่ามาเรียนมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับศิลปะที่นี่น่ะ” หญิงสาวสาธยายขณะเดินดูของไปเรื่อย ๆ แต่เมื่อไม่เห็นเพื่อนเดินตามมาเธอจึงย้อนกลับมายังจุดเดิมอีกครั้ง “โม มัวยืนเหม่ออะไรอยู่ ไปจ่ายเงินกันเถอะ จะได้รีบกลับโรงแรม เราเมื่อยขาจะแย่แล้ว”


“ป...ไปสิ ส่งตะกร้ามา เราช่วยถือตะกร้าให้” พูดจบชายหนุ่มก็รับตะกร้าจากมือของเพื่อนสาวมาถือเอาไว้เองก่อนจะพากันเดินไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์

....


ศุกลเดินฝ่าอากาศหนาวเย็นช่วงหัวค่ำมุ่งหน้าไปยังสถานีเกียวโตซึ่งเป็นทั้งสถานีรถไฟและจุดจอดรถประจำทางที่ให้บริการรับส่งผู้โดยสารรอบเมือง ตั้งใจจะขึ้นรถเมล์เพื่อกลับไปยังหอพักซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย แต่แล้วบทเพลงซิมโฟนีที่ดังขึ้นราวกับมีวงออเคสตรามาบรรเลงอยู่ ณ ที่นี้จริง ๆ กอปรกับแสงสีที่สาดกระทบละอองน้ำพุหน้าสถานีก็ทำให้ชายหนุ่มต้องเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ คล้ายถูกแรงดึงดูด เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นเป็นระยะพร้อมกับแสงแปลบปลาบจากแฟล็ชหน้ากล้อง ผู้คนที่ยืนชมการแสดงน้ำพุประกอบแสงสีเสียงต่างพูดคุยกันด้วยภาษาที่หลากหลาย


หนุ่มนักเรียนไทยยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนของหอคอยสีขาวทรงคล้ายแท่งเทียนซึ่งทอดลงบนระนาบกระจกอาคาร อดคิดไม่ได้ว่าการยืนตระหง่านอย่างเดียวดายนั้นจะให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวเหลือแสนเฉกเช่นกับความรู้สึกของเขาในขณะนี้หรือไม่ แม้รอบกายจะประกอบด้วยสรรพเสียงและผู้คนนับพัน แต่เสียงที่ได้ยินและภาพที่ได้เห็นอยู่ในขณะนี้กลับไม่ได้ทำให้อุ่นใจเลยสักนิด


เจ้าของร่างสูงตัดสินใจหันหลังให้ฝูงชนก่อนจะเดินดิ่งไปยังตึกของโรงแรมที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนซึ่งเป็นที่ตั้งของหอคอยเกียวโต จัดการซื้อตั๋วก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสูงสุด ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างจากบรรยากาศด้านล่าง บนนี้เงียบสงบและแทบจะไม่มีใครนอกจากเขากับนักท่องเที่ยวผมสีทองอีกไม่กี่คน รอบ ๆ โถงทรงกระบอกเป็นผนังกระจกใส สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบ ๆ ที่เต็มไปด้วยตึกสูงบดบังจนแทบไม่สามารถมองเห็นถนนหนทาง กล้องส่องทางไกลแบบหยอดเหรียญถูกตั้งประจำจุดต่าง ๆ ข้าง ๆ กันคือแผนที่บอกตำแหน่งของวัดสำคัญ ๆ ในเกียวโต


ชายหนุ่มเดินไปหยุดยังจุดหนึ่งก่อนจะหยิบเหรียญร้อยเยนจากกระเป๋ากางเกงหยอดลงในช่องใส่เหรียญแล้วแนบดวงตาลงกับจอมองภาพ ในใจอยากรู้เหลือเกินว่ากล้องส่องทางไกลนี้จะทำให้เขาสามารถมองเห็นได้ไกลเพียงใด คงดีไม่น้อยหากมันจะทำให้สามารถมองเห็นไปถึงที่ที่จากมาได้ แต่เมื่อปล่อยให้สมองซีกซ้ายทำหน้าที่บ้าง ความมีเหตุมีผลก็ทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่กำลังคิดนั้นเป็นไปไม่ได้ ศุกลยืดตัวขึ้นก่อนจะผละออกจากกล้องส่องทางไกลความสูงระดับอก เมื่อหันหลังกลับก็เกือบจะชนเข้ากับใครคนที่หนึ่งที่เดินผ่านมา


“Sorry!” นักเรียนทุนกล่าวด้วยความเคยชิน


“No problem! ไม่เป็นไรครับ”   


ศุกลมุ่นคิ้วด้วยสงสัยว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรว่าสามารถสื่อสารเป็นภาษาไทยกับตนเองได้


“ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ” คนพูดยิ้มน้อย ๆ “ผมเห็นคุณยืนคุยกับเพื่อนของผมที่ร้านร้อยเยนเมื่อชั่วโมงก่อน”


ทันทีข้อสงสัยในหัวถูกเฉลยก็ค่อยยิ้มออก “อ๋อ...ที่แท้คุณก็มากับคุณผู้หญิงคนนั้นนี่เอง เธอไปไหนเสียล่ะครับ”


“บ่นว่าเมื่อยก็เลยกลับโรงแรมไปก่อนน่ะครับ”


“มากันได้หลายวันหรือยังครับ” ถามพลางรอบสำรวจใบหน้าอาบแสงสีนวลจากโคมไฟบนเพดานให้ถ้วนถี่ ขนคิ้วหนาเรียงเส้นสวยรับกับดวงตาและสันจมูกดูคมคายตามแบบมาตรฐานชายไทยทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายต่างออกไปเห็นจะไม่พ้นรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า เป็นรอยยิ้มแบบที่ศุกลคิดว่าคนแปลกหน้าเช่นเขาไม่คู่ควรจะได้รับเสียด้วยซ้ำ 

 
“เกือบสัปดาห์แล้วละ พรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว ขืนอยู่ต่อเดี๋ยวที่ทำงานเชิญให้ออกกันพอดี” คำพูดติดตลกซ้ำไม่มีหางเสียงแทนที่จะทำให้รู้สึกถึงความเป็นกันเองกลับทำให้คนฟังคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้ใหญ่กว่าที่สายตาประมาณได้ ดังนั้นศุกลจึงกล่าวด้วยถ้อยคำที่ฟังดูสุภาพที่สุด   


“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณตามสบายนะครับ”


“จะกลับแล้วเหรอ”


คนถูกถามเพียงแต่พยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นผมลงไปพร้อมกับคุณเลยก็แล้วกัน” พูดจบก็เดินนำไปที่ลิฟต์เพื่อลงมายังชั้นล่างก่อนจะพากันเดินข้ามมาที่อีกฝั่งของถนนซึ่งเป็นฝั่งเดียวกับสถานีรถไฟเกียวโต


“ลาก่อนครับ” คนเดินนำหันมากล่าวเมื่อถึงป้ายรถเมล์ เป็นคำบอกลาที่ศุกลพูดติดปาก เขามักจะกล่าวคำนี้ทุกครั้งที่มีบังเอิญเจอคนไทยในเกียวโต นั่นเพราะไม่รู้ว่าหากกลับประเทศไทยแล้วจะมีโอกาสได้เจอกับคนเหล่านั้นอีกหรือไม่ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ได้พบกันก็ได้


“แล้วพบกันใหม่”


“ครับ?”


ชายหนุ่มในชุดเสื้อโค้ทตัวหนาเป่าลมผ่านริมฝีปากเพื่อให้ความอบอุ่นแก่สองมือก่อนจะทวนคำ “ผมบอกว่าแล้วพบกันใหม่” รอยยิ้มยังคงแต้มอยู่บนใบหน้าของผู้พูดราวกับมั่นใจในถ้อยคำที่กล่าวออกมาเสียเต็มประดา “เชื่อสิ ผมเป็นหมอดู”


สมองซีกซ้ายคงจะทำหน้าที่อย่างต่อเนื่องกระมัง ศุกลจึงนึกขันทันทีเมื่อได้ฟังประโยคนั้นชัดเจน ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงเพื่อเป็นการอำลาอีกครั้งก่อนจะก้าวขึ้นไปบนรถเมล์พร้อมกับความคิดที่ว่ามันจะเช่นนั้นได้อย่างไรกันถึงทฤษฎีจะบอกว่าโลกกลมก็เถอะ



...


สวัสดีค่ะ ไม่พบกันนานเลย...
เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงรู้สึกไม่ต่างกัน กว่าจะผ่าน 19 วันนี้มาได้มาทรมานเหลือเกิน
มันเป็นช่วงเวลาที่เหมือนคนไม่มีวิญญาณ ไม่อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากรับรู้เรื่องราวใด ๆ
อยากอยู่อย่างเดียว...คืออยากให้ทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน สุดท้ายเราก็พบว่ามันคือความจริง
เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ ร้องไห้ได้...แต่ต้องสัญญากับตัวเองนะว่าจะกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม

เราเคยบอกว่าเราคงหยุดเขียนนิยายไปอีกนาน ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันความตั้งใจนั้นก็ยังอยู่ค่ะ
จนกระทั่งน้อง leGGyDan มาชวนทำโปรเจ็กต์วันวาเลนไทน์
ตัวเราเองมีเหตุการณ์ที่ประทับใจอยู่เหตุการณ์หนึ่งเลยเล่าให้ฟัง สุดท้ายก็ได้ออกมาเป็นพล็อตแล้วตกลงกันว่าจะช่วยกันเขียนค่ะ
พอจะมีเวลาก็เลยรีบเขียนบทแรกแล้วส่งให้ leGGyDan น้องจะได้เอาไปเขียนต่อ
ปรากฏว่าน้องบอกว่าให้โพสต์เลยไม่ต้องรอวาเลนไทนแล้วด้วยเหตุผลว่า “จะได้เยียวยาหัวใจคนอ่านด้วย”
เราก็เลยมาโพสต์ในคืนนี้ หวังว่าจะช่วยให้คนอ่านรู้สึกดีขึ้น มีกำลังใจ มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตต่อไปค่ะ

ขอบคุณ leGGyDan ที่มาชวนทำโปรเจ็กต์นี้ เป็นเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจเลยว่าจะต้องเขียนออกมา
เพราะการเปิดเรื่องใหม่สำหรับเราคือการมีภาระ มีสิ่งที่ต้องคิดเพิ่มขึ้น แต่เริ่มเขียนแล้วก็ตั้งใจว่าจะเขียนให้จบค่ะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


หมายเหตุ ตัวอย่างภาพศิลปะลัทธิประทับใจ (Impressionism) http://bit.ly/2fkmQ58
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-11-2016 00:33:02 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
เห็นชื่อคนเขียนก็รีบกดเข้ามาอ่านเลย
เขียนกับพี่เลคกี้ด้วย เราชอบทั้งคู่เลยค่ะ!
จะรอติดตามนะคะ
เรื่องนี้เป็นหนุ่มศิลปินกับคุณหมอรึเปล่าเอ่ย? (เดาจากอาชีพของตัวละครในเรื่องที่ผ่านๆ มาของพี่เลคกี้ 555555)

ดีใจที่คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้ากลับมาเขียนนิยายเยียวยาอีกครั้งนะคะ
ขอบคุณพี่เลคกี้ด้วยที่ชวนกันกลับมา 55555555555

รออ่านตอนหน้า บรรยายถึงแกลลอรี่แล้วอยากจะไปสมัครเป็นนักเรียนของหนุ่มๆ บ้างจังเลยค่ะ ฮอลลลล

 :กอด1:

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
ขอบคุณคุณท้องฟ้าที่ได้เขียนเรื่องนี้ออกมาค่ะ เห็นชื่อคุณมาโพสต์นิยายแล้วก็ดีใจมากๆ ช่วงเวลานี้อยากจะยิ้มให้ได้มากที่สุดค่ะ

ขอตัวอ่านเนื้อเรื่องก่อนนะคะ ^_____^

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
ดีใจมากที่เห็นกลับมาอัพเรื่องใหม่
เราชอบผู้แต่งทั้งสองคนเลยค่ะ จะติดตามเรื่องนี้แน่นอน

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เห็นชื่อคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าก็พุ่งเข้ามาเลย

คิดถึงมากกกกกก ไปอ่านเรื่องเก่า ๆ ซ้ำ ๆ ให้ชุ่มชื่นหัวใจบ่อย ๆ ค่ะ

อยากไปสมัครเรียนที่นี่บ้าง ครู ๆ ท่าทางน่ากิน เอ๊ย! สอนเก่ง

ว่าแต่...หนุ่มปริศนาเป็นใครนะ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เยียวยาหัวใจจริงๆค่ะ บรรยากาศละมุนๆจนอยากไปเรียนวาดรูปด้วยเลย อิอิ

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
แค่เห็นคนชื่อคนแต่งก็กรี๊ดแล้วค่ะ
รีบเข้ามาเจิม
เปิดเรื่องได้น่าสนใจมากๆ ติดตามนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 2 เมื่อแรกเจอ


โบราณว่าไว้ฝนตก แดดออก ลูกจะคลอดมันเป็นอะไรที่ควบคุมและเลือกเวลาไม่ได้ ดังนั้น แม้จะเป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว ห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกแผนกกุมารเวชศาสตร์ของโรงพยาบาลรัฐย่านใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้ก็ยังคงมีผู้ป่วยเด็กและผู้ปกครองนั่งรอคิวตรวจอยู่เนืองแน่น


ผนังโดยรอบถูกตกแต่งด้วยวอลเปเปอร์ลายตัวการ์ตูนน่ารักและติดดอกไม้ขนาดเล็กใหญ่อยู่ทั่วไปจึงดูแปลกตาและสดใสกว่าแผนกอื่นๆ ของโรงพยาบาล แม้แต่บอร์ดใหญ่ที่มีไว้ให้ความรู้เรื่องโรคซึ่งตอนนี้เป็นโรคไข้หวัดใหญ่ยังเป็นภาพคุณกระต่ายสีชมพูผูกโบสีแดงยิ้มแฉ่งเห็นฟันหน้าขนาดใหญ่ถือแครอทชี้ชวนให้ดูภาพคุณกระต่ายตัวอื่นที่มีอาการป่วยสำคัญที่เป็นแล้วต้องรีบมาโรงพยาบาลรวมไปถึงวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น


ห้องตรวจที่มีอยู่ราวยี่สิบห้องเรียงรายไปตามทางเดิน ทุกห้องแลดูวุ่นวายมีทั้งผู้ปกครองเดินเข้าและคุณพยาบาลวิ่งสวนออกไปเมื่อเด็กทุกคนไม่ได้ให้ความร่วมมือในการตรวจรักษาง่ายๆ เหมือนผู้ใหญ่ ยกเว้นหลังประตูห้องตรวจหมายเลขหกที่ดูเหมือนจะสงบกว่าใครจนน่าแปลกใจ


แต่เมื่อสังเกตดูป้ายบนหน้าห้องที่ติดชื่อ ‘นายแพทย์เอกรงค์’ เป็นผู้อออกตรวจในวันนี้เจ้าหน้าที่ทุกคนในแผนกกุมารเวชก็ถึงกับร้องอ๋อ เพราะคุณหมอคนนี้ขึ้นชื่อเป็นอย่างดีเรื่องการรับมือเด็ก ไม่ว่าจะแสบเซี้ยวเปรี้ยวซ่าหรือเจ้าน้ำตาโยเยขนาดไหน เขาจะหาทางจัดการได้เรียบร้อยทุกรายไปจนพยาบาลแถวนี้แอบแซวกันอยู่บ่อยๆ ว่าเป็น ‘มือปราบเด็ก’ และบางครั้งก็มักจะแอบแซวต่อไปว่ามัวแต่สู้กับเด็กแล้วเมื่อไรกันนะถึงจะมีใครมาปราบความโสดของคุณหมอคนนี้ลงได้สักที ทั้งที่หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วอะไร ตาโตรับจมูกโด่งจะมีก็แค่หน้าผากกว้างเปิดโหงวเฮ้งรับทรัพย์ไปตามวัยที่ล่วงเลยมาจนถึงเลขสามแล้วก็เท่านั้นเอง


“เจ็บนิดหน่อยเหมือนมดกัดนะครับ”


เสียงทุ้มที่ดัดให้หวานเป็นเสียงที่สองเอ่ยขึ้นพร้อมกับเข็มคมกริบที่ปักตั้งฉากลงบนต้นแขนยังผลให้เด็กชายตัวเล็กจ้อยคาดวัยไม่เกิดแปดปีหลับตาปี๋พร้อมกับกัดปากกลั้นเสียงครางของตน


“อื๊ออออ” ใบหน้าของเด็กชายธีร์ธรเหยเกด้วยความเจ็บปวด ยิ่งคุณหมอหนุ่มกดปลายกระบอกฉีดยาดันยาให้เข้าไปยิ่งรู้สึกปวดจนสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ไหลผ่านเข้ามาในผิวเนื้อ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็เข้มแข็งเกินกว่าจะร้องไห้งอแงเหมือนเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน


ปลายเข็มถูกดึงจนพ้นเนื้ออ่อนแล้วคุณหมอหนุ่มจึงกดสำลีหยุดเลือดให้และกลับมาพูดด้วยเสียงปกติซึ่งฟังดูดุกว่าเดิมเล็กน้อย “เสร็จแล้วครับ”


“หมอโมโกหก” เด็กชายธีร์ธรหันมาชูนิ้วโป้งใส่พร้อมกับทำแก้มป่อง


“หมอไม่ได้โกหกนะครับ แค่มดมันตัวใหญ่ไปหน่อยเอง” เอกรงค์พูดกลั้วขำพลางทิ้งเข็มใช้แล้วลงถังขยะติดเชื้อที่วางอยู่ใต้โต๊ะ
เขากับเด็กชายสนิทกันมากพอจะหยอกเอินได้เพราะดูแลกันมาหลายปี นับตั้งแต่ตอนที่ปรเมษฐ์เพื่อนของเขาซึ่งเป็นหมอสูติฯ ผ่าตัดทำคลอดก่อนกำหนดให้เพราะมีภาวะแทรกซ้อนรกลอกตัวตอนอายุครรภ์ได้เพียงสามสิบสัปดาห์ จำได้ว่าเขาถูกตามตัวกลางดึกให้ไปช่วยดูแลเด็กทารกเนื้อตัวซีดเซียวและจากเด็กตัวเล็กน้ำหนักแค่หนึ่งกิโลกรัมกว่าๆ ต้องนอนตู้อบในวันนั้นก็ได้รับการเฝ้าประคบประหงมจนตอนนี้ตัวโตตามวัยและมายืนเถียงเขาจ้อยๆ ได้


เอกรงค์อมยิ้มมุมปากกับท่าทีแสนงอนของเด็กชาย เปิดลิ้นชักหยิบซองพลาสติกใสขนาดเล็กที่บรรจุเม็ดยาทรงรีสีส้มไว้ราวสิบเม็ดให้ “ยาวิเศษ รางวัลสำหรับคนเก่งที่ไม่ดิ้นและไม่ร้องไห้ครับ”


“เย้!” จอมแก่นรีบแบมือออกรับ แต่คุณหมอกลับดึงคืนไป


“เวลาผู้ใหญ่ให้ของต้องพูดว่าอะไรก่อนครับ”


“หมอโมยังหนุ่มอยู่เลยไม่ใช่ผู้ใหญ่สักหน่อย” เด็กชายธีร์ธรว่าด้วยความเป็นเด็กยังไม่รู้ประสา ผู้ใหญ่คนอื่นอาจจะยอมปล่อยผ่านเพราะดูน่าเอ็นดู แต่สำหรับกุมารแพทย์อย่างเขาแล้วเรื่องเล็กๆ ในวันนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในวันหน้า เด็กจะไม่รู้จักการให้ความเคารพ มารยาทพื้นฐานและการกล่าวขอบคุณ


“น้องธรครับ” เอกรงค์พูดซ้ำ พร้อมกับมองตาให้รู้ว่าไม่ได้ล้อเล่น


“ขอบคุณครับคุณหมอ” เด็กชายกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้ ยังผลให้ใบหน้าที่ตีขรึมอยู่คลี่ออกเป็นรอยยิ้มกว้างทันที “เก่งมากครับน้องธร”


ทันทีที่รับรางวัลมาเด็กชายก็แกะออกเทใส่มือและส่งเข้าปากเคี้ยวแจ๊บๆ


‘ยาวิเศษ’ ที่เขาให้ไปนั้นก็แค่วิตามินซีธรรมดาๆ ที่ให้อมเล่น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเด็กๆ ถึงได้ชื่นชอบกันนักจนบ่อยครั้งที่เขาสามารถเอามาต่อรองอะไรหลายๆ อย่าง อย่างได้ผลดีพอๆ กับตุ๊กตาตัวเล็กๆ ที่หมอหลายๆ คนชอบใช้


“สวย”


“อร่อยสิครับ ไม่ใช่สวย” เอกรงค์แก้ให้แต่เด็กชายกลับส่ายหัวดิกพร้อมกับลุกจากที่นั่งและเอื้อมมือมาแตะที่มุมปากข้างขวาของเขา ตรงที่ผิวแก้มบุ๋มลงไปเป็นรอยเล็กๆ


“นี่” เด็กชายพูดซ้ำ “สวย”


“เขาเรียกว่าลักยิ้มครับ”


“สวยจัง”


เอกรงค์ยิ่งคลี่ยิ้มกว้างขึ้นทำให้รอยบุ๋มลึกชัดใเด็กชายก็ยิ่งจิ้มเล่น …เหมือนจันทร์เสี้ยว... เขาต่อในใจ ใครๆ ก็พูดแบบนั้น แต่วันนี้เขากลับได้ยินคำตอบที่แตกต่างออกไปเป็นครั้งแรกในชีวิต


“เหมือนรูปวาดของพี่ติ๊นเลย”


“ใครคือพี่ติ๊นครับ” เอกรงค์ถามเพราะจำได้ว่าธีร์ธรมีพี่แท้ๆ ชื่อธีร์ทัศน์


“พี่ติ๊นคือพี่ติ๊นครับ”


“ครูที่โรงเรียนเหรอครับ” คุณหมอหนุ่มลองเปลี่ยนคำถามใหม่เพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ


เด็กชายพยักหน้า “พี่ติ๊นสอนวาดรูป”


“อ้อ” เอกรงค์พยักหน้าเริ่มจะเข้าใจก็พอดีกับคนที่จะช่วยไขข้อข้องใจเดินเข้าประตูมา


“ขออนุญาตครับ” เด็กชายในชุดนักเรียนกล่าวพลางยกมือไหว้ วันนี้เขาทำหน้าที่แทนคุณแม่พาน้องชายมาฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพราะกลับจากที่เรียนวาดรูปพร้อมกัน “เจ้าตัวแสบก่อปัญหาอะไรหรือเปล่าครับหมอโม” ถามเพราะเห็นเข้ามานานจนผิดสังเกต จริงๆ เขาควรจะเข้ามาด้วยตั้งแต่ทีแรกถ้าไม่ใช่เจ้าน้องชายห้ามไว้เพราะอายถ้าต้องโดนเห็นตอนทำหน้าตาประหลาด


“ไม่มีอะไรหรอกทัศน์ พอดีเสร็จเร็วเลยคุยอะไรกันนิดหน่อย”


“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะครับ นี่ก็ทุ่มกว่าแล้วเดี๋ยวจะถึงบ้านดึก” ธีร์ทัศน์บอกพลางส่งกระเป๋าเป้คืนให้น้องชายรับไปสะพายใส่หลังเตรียมพร้อมออกเดินทาง


“เดินทางดีๆ ล่ะ ฝากสวัสดีคุณแม่ด้วย”


“ครับหมอโม”


“เดี๋ยวนะทัศน์” เอกรงค์เรียกไว้เพราะยังคงติดใจชื่อที่ธีร์ธรเอ่ยขึ้นมาไม่หาย “พี่ติ๊นคือใครเหรอ”


“อ้อ” ธีร์ทัศน์ร้อง “พี่ติ๊นเป็นครูสอนวาดรูปที่ Light and Shade ที่ผมไปเรียนวาดรูปด้วยตอนนี้ไงครับ”


คนรอคำตอบพยักหน้ารับ


“เหมือนเนอะพี่” เด็กชายธีร์ธรดึงชายเสื้อพี่ชายพร้อมกับชี้มือ


“อะไร” พี่ชายมีสีหน้างุนงง แต่เมื่อมองตามปลายนิ้วเล็กๆ ของน้องที่ไปสิ้นสุดลงบนใบหน้าของคุณหมอซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะก็ถึงบางอ้อ “เหมือนจริงๆ ด้วย”


“พวกนายหมายถึงฉันหน้าเหมือนรูปวาดของพี่ติ๊นอะไรนี่ใช่ไหม” เอกรงค์ถาม ยิ่งนึกแปลกใจไปกันใหญ่


“ไม่เชิงว่าเป็นใบหน้าหรอกครับ” ธีร์ทัศน์อธิบายเพิ่ม “เพราะรูปที่พี่ติ๊นวาดมันมีแค่ครึ่งหน้า ส่วนที่เห็นชัดคือตั้งแต่สันจมูกมาจนถึงปาก และมันก็เหมือนกับหมอโมมากเลย แต่คงไม่ใช่หรอกครับ พวกจิตรกรน่ะอารมณ์ติสต์จะตาย ดูอย่างรอยยิ้มของโมนาลิซาสิ แล้วผมว่าตอนวาดพี่ติ๊นคงจะละเมอฝันถึงสาวที่แอบชอบหรือแฟนเก่ามากกว่าเพราะพี่ติ๊นตั้งชื่อภาพนั้นว่า ‘รอยยิ้มวันแรกเจอ’”


“รอยยิ้มวันแรกเจอ” เอกรงค์ทวนคำ


“ครับ” ธีร์ทัศน์ตอบพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเปิดภาพและยกเทียบกับใบหน้าคุณหมอหนุ่ม “นี่ไงๆ หมอโมก้มหน้าลงหน่อย นั่นแหละ แบบนั้นแหละ”


“เหมือนเป๊ะเลย” เด็กชายธีร์ธรร้องเสียงดังพร้อมกับตบมือเปาะแปะ


“ตาถึงนะเราน่ะ” คนพี่หันไปชูนิ้วโป้งให้น้องชาย


“ผมเก่งใช่ไหมล่า”


“ไหนขอฉันดูหน่อย” เอกรงค์เอียงคอมองตามภาพก่อนจะส่งโทรศัพท์คืน ยังไงก็ไม่รู้สึกว่ามันคล้ายกับเขาสักนิด


“พี่ติ๊นจัดแสดงภาพนี้ไว้ที่แกลเลอรีของ Light and Shade ด้วยนะครับ จัดรวมกับเพื่อนๆ มีภาพสวยๆ เยอะแยะเลย ถ้าหมอโมว่างๆ ลองแวะไปดูก็ได้นะครับจะได้รู้ว่าพวกผมสองคนพูดจริงหรือเปล่า” โปรโมทงานให้ศุกลเสร็จสรรพธีร์ทัศน์ก็หันไปหาน้องชาย “ไปกันเถอะธร”


“ครับผ้ม!” เด็กชายธีร์ธรทำท่าตะเบ๊ะขึงขังพร้อมกับตบเท้า ทั้งสองยกมือไหว้คุณหมอหนุ่มอีกครั้งก่อนจะกลับออกไป


คล้อยหลังสองพี่น้อง ห้องตรวจก็กลับมาสู่ความเงียบสงบอีกครั้งก่อนที่เสียงทุ้มหวานจะดังออกมาจากมุมห้องตรงทางเชื่อมออกไปยังทางเดินด้านหลัง เด็กหนุ่มวัยเดียวกับธีร์ทัศน์เดินเข้ามา เขาร่างสูงโปร่งหน้าตาดี ถึงจะเป็นถ้อยคำซ้ำๆ เชยๆ ที่ใครๆ พูดกัน แต่นั่นไม่ผิดเลยที่จะบอกว่าเด็กหนุ่มคนนี้หล่อเหลาเหมือนรูปสลัก เมื่อคิ้วตาปากนั้นเป็นเส้นโครงชัดและถูกจัดวางอย่างเหมาะเจาะบนเรียวหน้ารูปไข่รับกับเรือนผมสีน้ำตาลตามธรรมชาติซึ่งหยักศกนิดๆ   


“ไม่ลองไปดูสักหน่อยเหรอ” ‘นภธรณ์’ ยุ เขาได้ยินเรื่องที่สองพี่น้องเล่าให้ฟังทั้งหมดเพราะยืนรับลมอยู่ที่ระเบียง อันที่จริงไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง แต่เสียงของสองคนนั้นไม่ใช่เบาๆ เลย


เอกรงค์ส่ายศีรษะทันทีพร้อมกับเก็บของใส่กระเป๋าเมื่อผู้ช่วยพยาบาลหน้าห้องเดินมาส่งสัญญาณว่าไม่มีคนไข้ที่เขาต้องตรวจแล้ว “ไม่ล่ะ นายก็รู้ว่าฉันไม่ถนัดพวกงานศิลปะ”


“นั่นสินะ” นภธรณ์นั่งเท้าคางลงบนโต๊ะ “งานเลี้ยงปีใหม่ของโรงพยาบาลปีก่อนที่พ่อโดนเรียกขึ้นไปร้องเพลงนั่นนึกแล้วยังสยองไม่หาย ผมอยู่ข้างล่างแอบเห็นเพื่อนๆ พ่อเอามือปิดหูส่งเสียงโหยหวนกันใหญ่”


“แหม ใครจะร้องเพราะเหมือนนายล่ะ” เอกรงค์ว่า “เอาจริงๆ นะเจ้านอฟถ้านายจะเรียนได้เก่งสักครึ่งหนึ่งของร้องเพลงป่านนี้ไอ้โป้มันคงดีใจตาย”


ถึงเด็กหนุ่มจะเรียกเอกรงค์ว่าพ่อ แต่จริงๆ แล้วพวกเขาไม่มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดแม้แต่น้อย ไม่ใช่หลานหรือลูกพี่ลูกน้องอะไรด้วย นภธรณ์เป็นลูกชายของ ‘ปรเมษฐ์’ หรือ ‘ปีโป้’ เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนแพทย์ ซึ่งดันพลาดท่าไปทำผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ท้องสมัยเรียนอยู่ปีสาม หลังจากที่ฝ่ายผู้หญิงหนีหายไป ปรเมษฐ์ซึ่งทะเลาะใหญ่โตกับครอบครัวเพราะไม่ยอมบอกว่าใครเป็นแม่เด็กจึงประกาศว่าจะเลี้ยงลูกเองและแยกตัวมาอยู่คอนโดด้วยกันสองคนพ่อลูกตอนนภธรณ์อายุได้แค่สองเดือน แน่นอนว่าผลกรรมนั้นไม่ได้ตกอยู่ที่เจ้าตัวคนเดียว แต่มันรวมถึงกลุ่มเพื่อนสนิทด้วย ที่จู่ๆ ต้องมาร่วมหัวจมท้ายกลายเป็นคุณพ่อจำเป็น


แต่คงมีแค่เขานี่แหละที่นภธรณ์ชอบเรียกว่าพ่อจนติดปากในขณะที่เรียกคนอื่นๆ ว่าพี่หรืออาแล้วแต่อารมณ์และสถานการณ์ คงเพราะเขาเป็นคนไปรับไปส่งเด็กคนนี้ที่โรงเรียนและช่วยติวหนังสือให้เป็นประจำ แต่คนอื่นๆ กลับมองว่าเขาเหมือนแม่ที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชในทุกๆ เรื่องมากกว่า ก็จะไม่ให้เขาบ่นได้ยังไงในเมื่อเพื่อนรักดันรักสนุกโดยไม่คิดป้องกัน แถมยังชอบเล่นกับลูกแบบแผลงๆ แล้วไหนจะตามใจจนเคยตัวอีก


ว่าไปแล้วการที่เอกรงค์สามารถจัดการเด็กซนๆ คนอื่นได้อยู่หมัดคงเป็นเพราะมีนภธรณ์นี่แหละเป็นเครื่องเตือนใจ เหนื่อยๆ เมื่อไร นึกถึงหน้าเด็กคนนี้แล้วก็จะเกิดฮึกเหิมขึ้นมาทันทีว่าไม่มีเด็กคนไหนบนโลกนี้ที่เขารับมือไม่ได้อีกแล้ว


“รายนั้นน่ะคงเฉยๆ ผมว่าคนที่ดีใจน่ะพ่อมากกว่ามั้ง แหมให้สอนเลขแค่นี้ทำเป็นบ่นเช้าบ่นเย็น” นภธรณ์ว่า ก็ช่วยไม่ได้นี่นา พ่อของเขาให้มาแต่หน้าตาแต่ไม่ยอมแบ่งสมองมาให้บ้างเลย


“แล้วตกลงไอ้วิชาที่ตกน่ะสอบผ่านหรือยังล่ะ”


“ระดับผมซะอย่าง”


“ตกอีกรอบ?”


“ผ่านสิครับ!” นภธรณ์ยืดตัวขึ้นกอดอกฉับ แต่ถึงจะทำหน้าหงิกเป็นมะเหงกยังไงความหล่อนั้นก็ไม่ลดลงเลย


เอกรงค์ยิ้มขันและเก็บกระเป๋าต่ออย่างไม่ใส่ใจท่าทางงอนเป็นเด็กน้อยนั่น สักพักเจ้าตัวก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน “ตกลงพ่อโมจะไปดูหน้าเขาไหมผมจะไปเป็นเพื่อน”


“หน้าใคร?”


“ก็พี่ติ๊นอะไรนั่นไง พ่อติดใจไม่ใช่เหรอว่าทำไมถึงวาดรูปเหมือนพ่อ”


“ถ้าฉันจะติดใจอยากไปดู ก็เพราะรูปที่เขาวาดไม่ใช่คนวาดสักหน่อย”


“แต่ถ้าเขาไม่ได้มีซัมติงรองอะไรกับพ่อเขาจะวาดรูปพ่อออกมาได้ยังไง”


“ก็มโนไง  คิดไปเอง”


นภธรณ์ถอนหายใจเสียงดังเฮือก “ฟังนะครับ คุณพ่อโมผู้ไม่เข้าใจศิลปะ ศิลปินน่ะอาจจะเหมือนพวกเพ้อๆ สติไม่เต็ม แต่ผลงานทุกชิ้นล้วนมีสิ่งที่เรียกว่า ‘แรงบันดาลใจ’ นะครับและแรงบันดาลใจของพี่ติ๊นอะไรนี่ก็คือ ‘รอยยิ้มวันแรกเจอ’ ซึ่งมันก็ดันมาเหมือนรอยยิ้มของพ่อเป๊ะ”


เอกรงค์เหลียวมามองคนหัวทึบที่จู่ๆ ก็พูดจาเป็นการเป็นงานขึ้นมาทันที


“เอาเป็นว่าพ่อไม่ต้องไปดูเพราะคนวาดอย่างที่ผมว่าก็ได้ แต่พ่อกล้าสาบานไหมว่าไม่อยากเห็น ‘ภาพรอยยิ้มที่เหมือนกันกับของพ่อ’ น่ะ” พูดจบนภธรณ์ก็ยักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง “ผมไปรอที่รถนะ”


แล้วเด็กหนุ่มก็ใช้สองมือล้วงกระเป๋าเดินผิวปากออกไป ทว่าเดินยังไม่ทันจะพ้นกรอบประตูห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกด้วยซ้ำ เสียงเรียกชื่อก็ดังขึ้นจากด้านหลัง


“เจ้านอฟ”


นภธรณ์หันไปก็พอดีกับที่ของสิ่งหนึ่งถูกโยนมาตรงหน้า เขายกมือข้างเดียวขึ้นรับไว้ก่อนจะแบออกดูและพบว่ามันเป็นพวงกุญแจรถคาดิลแลคคู่ใจของเอกรงค์ ริมฝีปากหยักยิ้มขึ้นทันทีพร้อมกับเงยหน้าสบตาเจ้าของรถ


“สตาร์ทรถรอเลย ขอเอาของเก็บก่อนเดี๋ยวจะตามไป” เอกรงค์บอก


“ครับผม”


การเดินทางไป Light and Shade ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเมื่อมันคือแกลเลอรีเปิดใหม่ที่เอกรงค์ขับรถผ่านในระหว่างทางมาทำงานทุกวัน หากแต่ไม่เคยจะสนใจมอง ขับรถออกจากโรงพยาบาลผ่านเพียงแค่สองไฟแดง รถคาดิลแลคสีดำสนิทก็มาจอดเทียบหน้าประตูแกลลอรีสีขาวเปิดไฟสว่างตัดกับสีบรรยากาศยามค่ำคืน ชายหนุ่มเปิดประตูเดินลงจากรถแล้วเงยหน้าขึ้นมองอาคารไม้สูงสองชั้นตรงหน้า อึดใจต่อมานภธรณ์ก็เดินมายืนข้างกัน


“อะไรมันจะเหมาะเจาะขนาดนี้”


เอกรงค์เหลียวมองเด็กหนุ่มที่หันมายิ้มให้


“Light” นภธรณ์พยักเพยิดไปยังอาคารสีขาวตรงหน้า ซึ่งมีดวงจันทร์สีเงินส่องสว่างเป็นฉากหลังกระทบลงมาเห็นเป็นเงาทาบทับไปบนรถคาดิลแลคสีดำอย่างพอดิบพอดี “and shade... แสงและเงาไงครับ” ว่าไปตามที่เคยเรียนมาและพอจะเข้าหัวอยู่บ้าง


เอกรงค์ย่นคิ้ว ยังคงไม่เข้าใจว่ามันเป็นภาพที่สวยตรงไหน แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะเข้าใจอากัปกิริยานั่นจึงไม่อธิบายอะไรต่อและรีบเอ่ยชวน


“เข้าไปกันเถอะครับ”


“แต่ป้ายนั่นเขียนว่าปิดแล้ว” คุณหมอชี้ไปที่ป้ายด้านหน้าซึ่งบอกเวลาเปิดปิด 09.00 – 20.00 น.


นภธรณ์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “เพิ่งเกินมาแค่สิบนาที แถมประตูก็ยังเปิดอยู่แสดงว่าเขายังยินดีต้อนรับเราอยู่นะครับ” พูดหน้าตาเฉยพร้อมกับเดินนำไป


“เดี๋ยวก่อน...” กุมารแพทย์หนุ่มยกมือจะห้าม แต่ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มก็เดินผ่านประตูกระจกเข้าไปด้านในเสียแล้ว เขาจึงต้องตามเข้าไปอย่างเสียไม่ได้ “อย่าเสียมารยาทสินอฟ”


แต่พอได้เข้ามาก็ลืมความคิดที่จะพานภธณ์ออกไปเสียสนิท


ด้านในนั้นเป็นห้องโถงกว้าง บนผนังสีขาวสะอาดติดภาพเขียนไว้รายเรียง มีภาพคนในอิริยาบทต่างๆ รวมไปถึงภาพวิวทิวทัศน์สวยงาม มันดูเป็นสวรรค์บนดินแห่งหนึ่งของคนรักศิลปะเลยทีเดียว


เอกรงค์ได้ยินเสียงร้องว้าวเบาๆ จากเด็กหนุ่มที่มาด้วยกัน นึกขำอยู่ในใจว่าบางทีน่าจะเป็นนภธรณ์น่ะแหละที่อยากมาเองเสียมากกว่า เพราะเจ้าตัวเพิ่งบอกว่าสอบซ่อมผ่านแล้วหลังจากที่นั่งติวเข้มกับเขาอยู่หลายวัน บางที่นี่อาจจะเป็นการอ้อนขอของรางวัลกลายๆ ก็เป็นได้


เขาหันซ้ายแลขวามองหาเจ้าของแกลเลอรีหรือคนอื่นๆ เพื่อจะขออนุญาตแต่ก็ไม่เห็นใคร ในแกลเลอรีนั้นเงียบสนิทมีเพียงเสียงเพลงฮัมผ่านริมฝีปากของนภธรณ์ดังแว่วมา เอกรงค์มองไปที่โต๊ะซึ่งน่าจะเป็นจุดต้อนรับเห็นสูจิบัตรใส่อยู่ในโหลเซรามิคจึงหยิบขึ้นมาเปิดดู เห็นท่าทางไม่เลวจึงเดินแยกตัวไปดูอีกทางเพราะไม่อยากขัดอารมณ์สุนทรีย์ของเด็กหนุ่ม


เขาเดินดูภาพวาดสีน้ำมันที่ประดับประดาอยู่บนฝาผนังไปเรื่อยๆ บางภาพก็เข้าใจได้ แต่บางภาพก็ทำให้เขาต้องหยุดยืนมองอยู่หลายนาทีเพื่อให้สมองซีกขวาได้ทำงาน เป็นภาพที่ทำให้อดคิดไม่ได้ว่านี่หรือคือสิ่งที่ถูกเรียกว่า ‘ศิลปะ’ เพราะตามความเห็นของเขาแล้ว ภาพของเด็กๆ ที่ขีดๆ เขียนๆ เล่นยังดูน่ารักและเข้าใจง่ายกว่าอีก...แบบนี้มันเรียกว่าอะไรนะ... แอ๊บสแตรคเหรอ? หรืออะไรอิมๆ นิดๆ นะเหมือนเคยเรียนในวิชาสังคมเรื่องประวัติความเป็นมาของศิลปะสมัยม.ปลาย แต่ตอนนี้ความรู้ส่วนนั้นเขาคืนครูผู้สอนไปหมดแล้ว


เดินมาได้ครู่หนึ่ง เสียงฮัมเพลงของนภธรณ์ก็จางลงไปเรื่อยๆ หากยังพอได้ยินว่ายังอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน เขาเดินผ่านภาพแล้วภาพเล่า จนในที่สุดเท้าทั้งสองก็พามาหยุดอยู่หน้าภาพวาดสีน้ำมันบนเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่ และนี่คือภาพที่ทำให้เขาต้องเดินทางมาที่นี่


‘รอยยิ้มวันแรกเจอ’


เอกรงค์มองดูภาพตรงหน้าราวกับโดนมนตร์สะกด เขาไม่เคยสนใจงานศิลปะ ไม่เข้าใจความงามของกลิ่นสีและทีแปรงที่ป้ายไปปาดมา แต่ในภาพนี้ราวกับมันมีพลังงานอะไรบางอย่างซ่อนอยู่จนไม่อาจละสายตาไปได้ ทั้งที่เป็นแค่ภาพวาดเสี้ยวหน้าในมุมก้มเล็กน้อยที่มีแค่ส่วนคิ้วเรื่อยลงมาจนถึงปลายคางตามที่ธีร์ทัศน์บอก แต่ราวกับริมฝีปากบนผืนใบนั้นกำลังส่งยิ้มมาให้และพยายามเอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่างกับเขา


ว่าแต่ว่า... อะไรบางอย่างนั่นมันคืออะไรกันล่ะ?


เอกรงค์สะบัดศีรษะแรงๆ สองถึงสามครั้งเมื่อรู้สึกว่าตนเองชักจะเลอะเทอะไปกันใหญ่ แค่ภาพวาดจะมาบอกอะไรได้ ไอ้อาการมวนๆ โหวงๆ ในช่องท้องไม่ใช่ความตื่นเต้นอะไรหรอก นี่น่าจะเป็นเพราะปวดท้องต้องการปลดทุกข์มากกว่า... ใช่แน่ ต้องเป็นเพราะเหตุนี้แหละ


เขาเหลียวซ้ายแลขวาหาทางไปห้องน้ำ เห็นอยู่สุดทางจึงเดินตรงเข้าไป
หลังจากจัดการธุระเสร็จ เอกรงค์ก็มายืนล้างมือตรงอ่างหน้าห้องน้ำ ในจังหวะที่ล้างฟองสบู่ออกจนเกือบหมดสายตาก็เหลือบขึ้นมองเงาในกระจก


เขามองเงาสะท้อนของตัวเอง จ้องลึกเข้าไปในดวงตา ก่อนจะค่อยๆ หันไปทางซ้าย แล้วก็กลับคะแคงหน้าไปทางขวา ก้มๆ เงยๆ อยู่หลายมุมรวมทั้งแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่หลายท่าเพื่อยืนยันความคิดของตนเอง


“ไม่เห็นจะเหมือนสักหน่อย เราออกจะหล่อกว่าตั้งเยอะ” เอกรงค์สรุปสั้นๆ อย่างพึงใจ เขายิ้มให้กับเงาตัวเองในกระจกอีกครั้งในขณะที่เสียงทุ้มดังแว่วมาจากด้านนอก


“สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหม”


เอกรงค์เหลียวตามเสียงทัก และทันทีที่สายตาสบเข้ากับชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีเข้มลึก หัวใจก็เต้นแรงขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ย แรง... จนเขาอธิบายไม่ได้ว่ามันคืออะไรเมื่อในที่สุดเขาก็ได้พบคนที่ขโมยหัวใจของเขาไปนับตั้งแต่วันแรกที่เจอ...  อีกครั้ง


...



leGGY สวัสดีค่ะ

ถึงเวลาส่งคนของเรามาสู้ค่ะ หลังจากที่ปล่อยให้พี่ติ๊นทำคะแนนนำไปก่อน

มีคนทายถูกว่าอีกฝ่ายต้องเป็นหมอแน่ๆ ทีแรกเราก็คิดจะไม่เอาเหมือนกันค่ะ

แต่คิดไปคิดมากว่าจะขอคุณพี่ถ้าเธอเป็นท้องฟ้าผู้ใจแข็งดั่งหินผาแต่งงาน เอ๊ย! แต่งนิยายด้วยได้นั่นก็ยากแล้ว

ตามสำนวนนางยิ่งยากกว่า แล้วยังจะมาเล่นท่ายากเอาอาชีพไกลตัวเห็นทีจะไม่รอด

เลยคิดว่าเอาทางถนัดของแต่คนมาเจอกันดีกว่า เลยมาลงตัวที่ หนุ่มศิลปิน × หมอเด็ก

เป็นกำลังใจให้คุณหมอโมของเราด้วยนะคะ

#ทีมหมอโมหัวเถิก #เล่นเองเจ็บน้อยกว่า #หมอโมไม่ได้กล่าว

ส่งต่อตอนหน้า #ตอนที่3 ให้คุณพี่ถ้าเธอเป็นท้องฟ้าค่ะ #ยิ้มหวาน

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2016 22:58:51 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
ซื้อหวยทำไมไม่ถูกอย่างนี้บ้าง!
5555555555555555555555555

อ่านตอนนี้แล้วเลือกไม่ถูกเลยว่าจะอยู่ทีมใครดี
หนุ่มศิลปินก็ดี คุณหมอเด็กก็น่ารักเหลือเกิน
เถิกแล้วไงใครสน ดูอย่างวิคเตอร์คลุง ณ ยูริออนไอซ์สิคะ!
เถิกยังก๊าวใจจะตาย เราว่าหมอโมต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ

5555555555

อยากรู้จังว่าใครจะจีบใครก่อน
แต่ดูทรงแล้วน่าจะเป็นหมอโมรึเปล่า? ชอบเขามาตั้งแต่แรกแล้วนี่ >_<
ตั้งแต่ตอนที่เจอกันอยู่ญี่ปุ่นใช่มั้ย? บรรยากาศโรแมนติกไปอี๊กกก ฮอลลล

อยากไปดูเค้าจีบกัน
สามารถยื่นใบสมัครเป็นนักเรียนของพี่ติ๊นได้ที่ไหนคะ? เผื่อว่าหมอโมจะแวะมาให้เราเต๊าะเล่นบ่อยๆ บ้าง
ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ  :-[

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
เขินหนักมากกกก ในที่สุดก็เจออีกครั้ง
แหม น่าเชื่อจริงๆค่ะว่าเป็นหมอดู แม่นอะไรขนาดนี้
ดีนะที่มีพ่อสื่อคู่พี่น้องที่ดี สองคนนี้เลยได้มาเจอกัน
คัร้งหน้าคงต้องให้ของขวัญที่ใหญ่กว่าวิตามินซีแล้วล่ะค่ะคุณหมอ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
#ทีมหมอเด็ก ผู้ชายอย่างหมอโมนี่เทวดาชัดๆ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เรื่องน่ารักจังเลย อ่านไปยิ้มไป

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1859
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
//เข้ามาปาหัวใจใส่อย่างก้าวร้าว กี๊สสสสสส

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ todiefor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1

ออฟไลน์ bradpitt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1


ทั้ง หมอโม และ น้องศุกล  อ่านแล้ว ละมุนหัวใจเหลือเกินนนนนน :กอด1:

//มาต่อไวไว แบบนี่รักตายเลย :mew1:



 ตกลง  คนที่เป็นหมอดู จะมีเฉลยไหมฮะ  ว่าทำไมแม่นๆๆๆ  จัง

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 3 แสงและเงา


แม้ล่วงเลยมาจนเข้าสู่ปีที่สามหากแต่ภาพของอีกฝ่ายกลับมิได้เลือนหายไปในกาลเวลา ตรงข้าม...เหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของกุมารแพทย์หนุ่ม เอกรงค์จ้องหน้าคนตัวสูงที่เพิ่งเดินผ่านกรอบประตูเข้ามาไม่วางตา แม้ผมยาวจะถูกตัดจนสั้น หนวดเคราถูกโกนจนเหี้ยน ร่างกายไม่ได้ผอมแห้งเหมือนเมื่อครั้งที่บังเอิญพบกันที่ต่างแดน


ว่าไปแล้วทุกสิ่งดูเปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้น เหลือก็แต่ดวงตาคู่นั้นที่ยังคงไว้ซึ่งแรงดึงดูดไม่เสื่อมคลาย อันที่จริงเขาพอจะรู้เรื่องราวความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอยู่บ้างนับจากบอกลากันคราวนั้น ทั้งหมดคงต้องยกความดีความชอบให้แก่เพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมซึ่งทำงานอยู่ในสถานทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น แต่น่าเสียดายที่หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วเขาก็ไม่มีโอกาสได้รู้ข่าวคราวของนักเรียนทุนคนนี้อีกเลย


“ขอโทษครับที่ทำให้ตกใจ” แต่ดูเหมือนฝ่ายที่ตกใจจะเป็นคนพูดเสียมากกว่าทันทีที่เห็นหน้ากันชัด ๆ “พ...พอดีเห็นว่าคุณหายเข้ามานานแล้ว แล้วแกลเลอรีของเราก็กำลังจะปิด ผมเลยเข้ามาดู เผื่อว่าจะมีอะไรให้ช่วย”


“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ขวัญอ่อนขนาดนั้น” เอกรงค์คลี่ยิ้ม หารู้ไม่ว่ารอยยิ้มของตนเองกำลังทำให้หัวใจคนมองปั่นป่วน “แต่ถ้าจะช่วยละก็ ช่วยปิดที่นี่ให้ช้าลงแล้วพาผมเดินชมภาพในนี้สักหน่อยจะได้ไหมครับ ไหน ๆ ก็ตั้งใจมาแล้ว ไม่อยากให้เสียเที่ยว”


“ค...ครับ ช...เชิญทางนี้” เจ้าของแกลเลอรีรับคำก่อนจะเดินนำคู่สนทนาออกมายังห้องโถงด้านนอก


แม้ตำแหน่งการเดินจะเหลื่อมกันอยู่ แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคในการที่คุณหมอจะลอบสำรวจเสี้ยวหน้าของชายที่ความสูงพอ ๆ กันได้ ตาคมมองเลยไปยังเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมปลายที่กำลังยืนรออยู่ กำลังจะอ้าปากอีกฝ่ายก็ตะโกนลั่น


“พ่อ! ทำไมเข้าห้องน้ำนานจัง พี่เขาจะปิดบ้านแล้ว”


ถ้อยคำนั้นทำเอาคนเดินนำชะงัก ศุกลหยุดก่อนจะได้ยินประโยคสวนกลับแว่วมาจากด้านหลัง


“ใครพ่อนาย พี่เว้ย! เรียกให้มันถูก” ว่าแล้วก็สาวเท้ามาหยุดข้าง ๆ รีบแก้ตัวด้วยเกรงว่าอีกคนที่เพิ่งพบกันจะเข้าใจผิด “น...นี่ลูกชายเพื่อนผม”


“อะไรวะ ยอมให้เรียกพ่อมาได้ตั้งนานสองนาน วันนี้เกิดอยากจะเป็นพี่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น” เด็กหนุ่มเกาหัวแกรก


“เออ วันนี้ขอเป็นพี่สักวันนะนอฟ แล้วก็...อ...เอ้อ พี่ขอเวลาสิบห้านาที นายจะไปรอที่รถก็ไปก่อนเลย”


“อ้าวพ่อ!” นภธรณ์ร้องเสียงหลง


“พี่!”


“เออ ๆ พี่ก็พี่” คนอ่อนวัยสุดในที่นั้นถอนใจเฮือก “ผมยังไม่ได้บอกพี่โมสักคำว่าอยากไปรอที่รถ”


“บอก!”


“บอกตอนไหน”


“ก็ตอนนี้ไง พี่บอกให้นายไปรอที่รถ” ว่าแล้วก็โยนกุญแจให้เป็นครั้งที่สอง


“โอเค กระจ่าง” นภธรณ์คว้ากุญแจรถยนต์ที่กำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศได้ก็เดินบ่นกระปอดกระแปดออกไป


ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะลับสายตา ศุกลก็เอ่ยขึ้นเนื่องจากกลัวว่าจะกินเวลาที่อีกฝ่ายได้กำหนดไว้เมื่อสักครู่ “เริ่มจากภาพนี้เลยก็แล้วกันนะครับ จะไม่ได้ไม่เสียเวลาของคุณ” กล่าวพลางผายมือไปยังภาพเขียนสีน้ำมันที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด


“ผมอยากดูภาพนั้นมากกว่า” กุมารแพทย์หนุ่มตอบแบบไม่มีหางเสียงก่อนจะเดินมุ่งไปยังผนังฝั่งตรงข้าม เขาหยุดยืนอยู่ตรงนั้นรอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าเงียบลงจึงถามขึ้น “คุณวาดภาพนี้หรือเปล่า”


“ครับ”


“คอนเซ็ปต์คืออะไรเหรอ”


“คอนเซ็ปต์ของนิทรรศการครั้งนี้ก็คือความประทับใจเมื่อได้เจอเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตครับ” ศิลปินหนุ่มเลือกที่จะตอบเช่นนั้น ทั้งที่มีแต่เขาคนเดียวที่แม่นยำในคอนเซ็ปต์ของผลงานตนเองที่สุด


“ไม่เอาทั้งงานสิครับ ผมอยากรู้แค่ภาพนี้” เอกรงค์ยังไม่ละความพยายาม


“ก็ตามชื่อภาพนั่นละครับ”


คนฟังถอนใจเบา ๆ พลางก้มลงมองป้ายที่ติดอยู่ข้าง ๆ ซึ่งแสดงรายละเอียดของภาพ “อืม...รอยยิ้มวันแรกเจอ” ริมฝีปากสวยพึมพำเบา ๆ จากนั้นก็หันกลับมาสบตาเจ้าของภาพ “ที่จริงผมไม่ค่อยเข้าใจในศิลปะสักเท่าไรหรอก แล้วก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสเข้ามาในแกลเลอรีด้วย แต่ที่มาวันนี้เพราะมีคนบอกผมว่ารูปที่คุณวาดเหมือนผม ก็เลยมาดูให้แน่ว่าจริงหรือเปล่า”
เมื่อเห็นท่าทางอึกอักของอีกฝ่ายคุณหมอหนุ่มจึงค่อย ๆ สืบเท้าเข้ามาใกล้ “ช่วยถ่ายรูปให้ผมดูหน่อยได้ไหม”


“ค...ครับ ขอโทรศัพท์ด้วย”


เอกรงค์โคลงหัวน้อย ๆ “ผมลืมไว้ในรถน่ะ คงต้องรบกวนคุณแล้วละ”


“ครับ” เจ้าของแกลเลอรีรับคำแล้วจึงดึงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง ตั้งท่าเตรียมพร้อมแล้วมองอีกฝ่ายผ่านหน้าจอในมือ


“บอกผมด้วยนะว่ามุมมันได้แล้วหรือยัง” ว่าพลางก้มหน้าลงเป็นมุมเดียวกับในภาพแล้วยิ้มน้อย ๆ


“แค่นั้นละครับพอแล้ว อยู่นิ่ง ๆ นะครับ” พูดจบศุกลก็แตะปลายนิ้วลงบนระนาบสัมผัสเพื่อบันทึกภาพ


“เหมือนไหม” อีกฝ่ายก้าวเข้าหาพร้อมกับยื่นหน้าดูภาพที่ถ่ายได้ มันใกล้เสียจนศุกลเองไม่กล้าหายใจเพราะกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ นั่นช่างมีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจเหลือเกิน


“เหมือนสิ มันจะไม่เหมือนได้ยังไง ก็...”


“ก็เพราะคุณวาดรูปผม” ต้นแบบของรอยยิ้มในภาพชิงตอบก่อน “เจอกันแค่ครั้งเดียวแต่วาดเหมือนขนาดนี้มีนัยอะไรหรือเปล่า”


ศุกลยังคงวางหน้านิ่งทอดตามองเจ้าของแก้มบุ๋มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ไม่คิดเลยว่าคำพูดของเขาในวันนั้นจะเป็นจริงในอีกสามปีให้หลัง ขณะสมองกำลังทบทวนเหตุการณ์แต่หนหลัง ดวงตาก็ยังไม่ละจากรอยยิ้มนั้น และมันก็ค่อย ๆ กว้างขึ้น


“ไม่แกล้งแล้ว” เอกรงค์หัวเราะในลำคอเบา ๆ “กลับดีกว่าครบสิบห้านาทีพอดี ไว้ค่อยมาใหม่ รู้แล้วว่าอยู่ที่นี่” ยังไม่ทันจบประโยคดีก็เดินผ่านร่างของคนที่กำลังอยู่ในอาการงุนงงไปยังประตู


จิตรกรหนุ่มเดินตามแขกผู้มาเยือนกระทั่งพ้นชายคาอาคารสองชั้น เห็นไฟท้ายรถคาดิลแลคที่จอดติดเครื่องอยู่ใกล้กับโรงรถ เกรงว่าเมื่อไปถึงตรงนั้นแล้วจะไม่มีโอกาสได้ถามอีกจึงเอ่ยขึ้น  “เดี๋ยวครับ ที่บอกว่าเป็นหมอดูน่ะจริงหรือเปล่า”


“ทำนายแม่นขนาดนี้ยังไม่เชื่ออีกเหรอ” คนถูกถามยิ้มขัน ๆ มองอีกฝ่ายที่กำลังพยักหน้าไม่ประสา


“ก็แค่คิดว่ามันไม่น่าเชื่อ”


“ถ้าอย่างนั้นผมจะทำนายต่ออีกเรื่อง เผื่อคุณจะเชื่อ” ปากสวยยังคงยิ้มส่งผลให้ผิวเนื้อที่ข้างแก้มด้านขวาบุ๋มลึกลงจนแต่เมื่อรวมกับองค์ประกอบอื่น ๆ บนใบหน้าแล้วกลับเป็นสิ่งชวนมองยิ่งนัก “ผมทำนายว่าคุณจะได้พบผมอีกจนเบื่อหน้ากันไปเลย คอยดูแล้วกันว่าจะแม่นไหม” เพื่อไม่ให้เป็นการออกตัวแบบล้อฟรีกุมารแพทย์หนุ่มจึงกล่าวต่อ “ผมจะพาน้องชายมาเรียนศิลปะน่ะ อยากให้คุณช่วยแนะนำคอร์สที่น่าจะเหมาะกับคนวาดรูปไม่เอาไหนแบบมันหน่อย ปิดเทอมแล้วไม่อยากให้อยู่บ้านเปล่า ๆ เอาไว้ผมจะไปขออนุญาตพ่อมันแล้วกลับมาใหม่ก็แล้วกัน”


“ค...ครับ”


“อย่าลืมส่งรูปให้ผมด้วยนะ” พูดยังไม่ทันขาดคำก็แบมือรอ


“อะไรครับ” ศุกลมุ่นคิ้ว มองกิริยาท่าทางของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ


“โทรศัพท์คุณไง ยังไม่มีเบอร์กันแล้วจะส่งรูปให้ผมได้ยังไง เอามาสิ” เอกรงค์กลั้นยิ้ม ดวงตาติดอยู่กับคนที่กำลังหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกจากกระเป๋า ดูงงก ๆ เงิ่น ๆ จนเขาต้องรีบคว้าโทรศัพท์จากมือมากดหมายเลขพร้อมบันทึกชื่อของตนเองเสร็จสรรพก่อนจะกดโทรออก รอกระทั่งไอ้แสบที่นั่งรออยู่ในรถลดกระจกตะโกนขึ้นท่ามกลางไฟสลัว ‘พ่อโม มีคนโทรมาคร้าบบบ!!!’ ถึงจะขัดใจกับคำนำหน้าชื่ออยู่บ้าง แต่ก็พอใจกับภาพรวมที่เกิดขึ้นมากกว่า คุณหมอยกยิ้มน้อย ๆ พลางคืนโทรศัพท์ให้ในขณะที่ดวงตาสองคู่ยังสบกันนิ่ง แต่แล้วรอยยิ้มบนหน้าของเอกรงค์ก็จางหาย นัยน์ตาขี้เล่นถูกแทนที่ด้วยแววจริงจังก่อนจะกล่าว


“คราวนี้คงไม่ต้องพูดว่าลาก่อนแล้วนะ” สิ้นสุดถ้อยคำนั้นรอยยิ้มก็จุดขึ้นบนใบน้าอีกครั้ง “แล้วเจอกันครับ” พูดจบก็เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถก่อนจะขับออกไป...


....


ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายสัปดาห์ก่อนทำให้การจราจรในกรุงเทพฯ แทบเป็นอัมพาต ในตรอกซอกซอยมีแต่น้ำท่วมขัง  Light & Shade เองก็ได้รับผลกระทบนั้น หลายวันมาแล้วศุกลตัดสินใจปิดบ้านเพื่อรอให้ทุกอย่างคืนสู่สภาวะปกติ กระทั่งเมื่อวันก่อนฝนกระหน่ำตกลงมาอีกครั้งอย่างกับจะสั่งลาเดือนสุดท้ายของช่วงปลายฝนต้นหนาว อดคิดถึงคำพ่อไม่ได้ว่า ‘นั่นคือฝนสั่งฟ้า และอีกไม่นานลมหนาวก็จะมา’


เห็นทีจะจริงเพราะในหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ณ ตอนนั้นเต็มไปด้วยข่าวประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาที่เพื่อน ๆ ต่างส่งต่อให้กัน ในเนื้อข่าวแจ้งว่าประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม และนี่ก็เพิ่งขึ้นเดือนใหม่มาได้เพียงไม่กี่วัน ในที่สุด Light & Shade ก็เปิดทำการอีกครั้ง ศุกลโผล่หน้าเข้าไปในห้องเรียนศิลปะเด็กที่ภาดลรับอาสามาสอนให้ในช่วงวันหยุดซึ่งคลาดเคลื่อนไปจากกำหนดการเดิมเพราะสภาพอากาศที่แปรปรวน


ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ เพราะเด็กโข่งที่กำลังนั่งเท้าคางทำหน้ายู่อยู่ที่หลังห้อง ไม่รู้ว่าผู้ปกครองนภธรณ์คิดอย่างไรกันจึงได้ส่งเด็กหนุ่มมาเรียนในสิ่งที่เจ้าตัวบอกว่าไม่ถนัด ซ้ำเจ้าตัวยังบอกอีกว่าหากไม่ยอมมาเรียนก็จะถูกตัดค่าขนม ตัวเขาในสถานะของผู้สอนก็ช่วยได้เพียงแค่จัดคอร์สที่เหมาะสมและไม่ยากจนเกินไปให้เท่านั้น


“เด็ก ๆ ลองมองไปรอบ ๆ ตัวซิครับว่าเราเห็นอะไรบ้าง” คุณครูดลที่ยืนอยู่หน้าห้องเริ่มนำเข้าสู่บทเรียน


“ต้นไม้ครับ” ธีร์ธรยืดตัวตะโกนสุดเสียง


“แล้วต้นไม้ของน้องธรเป็นสีอะไรครับ”


“สีเขียวครับ” เด็กชายตอบฉะฉาน


“หนูเห็นท้องฟ้าค่ะครูดล” อีกคนแทรกขึ้น


“ท้องฟ้าของแป้งหอมสีอะไรคะ บอกครูดลได้ไหม”


“ตอนเช้าเป็นสี...สีฟ้าค่ะ บางวันมีก้อนเมฆสีขาว ตอนเย็น ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีส้ม แล้วก็ดำจนมองไม่เห็นอะไรเลย”


“เก่งมากครับ” เจ้าของคำถามกล่าวอย่างพอใจ “เห็นไหมครับเด็ก ๆ ว่ารอบตัวของเราเต็มไปด้วยสี เมื่อกี้ที่ธรบอกว่าต้นไม้เป็นสีเขียว เราลองมาดูกันดีกว่าว่ามันเขียนจริงไหม” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หยิบกิ่งโมกที่เสียบเอาไว้ในตะกร้าขึ้นมาชูให้เด็ก ๆ ดู


“ข้างบนสีเขียวอ่อนครับครู” เด็กชายที่สวมแว่นสายตาหนาเตอะเอ่ยขึ้น


“ข้างล่างเขียวเข้มค่ะ” อีกคนเสริม


“เก่งมาก เห็นไหมว่าแค่กิ่งไม้กิ่งเดียวยังประกอบไปด้วยใบไม้สีไม่เหมือนกันเลย แถมเมื่ออยู่ท่ามกลางแสงจ้า ๆ เราอาจจะเห็นเป็นสีหนึ่ง ในขณะที่ถ้าเมฆลอยมาบังดวงอาทิตย์เราก็อาจจะเห็นใบไม้เป็นอีกสี เพราะฉะนั้นถ้าเราจะวาดภาพให้สวยเราก็ต้องเรียนรู้เรื่องสีกันก่อน วันนี้ครูดลจะชวนเด็ก ๆ มาช่วยกันผสมสี ก่อนอื่นเราต้องรู้จักแม่สีก่อน เด็ก ๆ รู้ไหมว่าแม่สีมีสีอะไรบ้าง” ภาดลยืดคอมองคนนั่งข้างหลังสุด “น้องนอฟตอบได้ไหมครับ”


เจ้าของชื่อลอบถอนหายใจเบา ๆ ขยับปากตอบทั้งที่มือยังเท้าคาง เสียงที่ได้ยินจึงอู้อี้แต่ก็ยังจับใจความได้ “สีแดง เหลือง น้ำเงินครับ”


“เยี่ยมครับ ถ้าอย่างนั้นนอฟก็น่าจะตอบได้ว่าเมื่อเราเอาแม่สีแต่ละสีมาผสมกันจะได้สีอะไรบ้าง”


“สีแดงผสมกับสีเหลืองได้สีส้ม สีเหลืองผสมกับสีน้ำเงินได้สีเขียว สีน้ำเงินผสมกับสีแดงได้สีม่วงคร้าบบบ” ตอบอย่างเสียไม่ได้กระนั้นก็ยังได้ยินเสียงชื่นชมจากคนถามและเสียงอื้ออึงของพวกเด็ก ๆ ราวกับสิ่งที่พูดออกไปเมื่อครู่เป็นความรู้ใหม่ที่เพิ่งถูกค้นพบสุดยอดจิตรกรเอกของโลกก็ไม่ปาน


“พี่นอฟสุดยอด” เด็กชายหัวโจกประจำห้องยกนิ้วหัวแม่มือให้ก่อนจะย้ายข้าวของเดินมานั่งลงข้าง ๆ กัน


“ถามสักคำไหมว่าฉันอยากนั่งกับนายหรือเปล่า” นภธรณ์พูดพลางทอดถอนใจ อดนึกต่อว่าเอกรงค์ไม่ได้ ไม่รู้ไปหว่านล้อมท่าไหนปรเมษฐ์พ่อของเขาจึงอนุญาตให้มาเรียนศิลปะที่นี่ ทั้งที่ตั้งใจว่าปิดเทอมนอนเล่นเกมอยู่ที่บ้านให้สบายใจเสียหน่อยหลังจากต้องอดทนติวหนังสือมานาน


“พี่ติ๊นช่วยดูงานให้ผมหน่อยได้ไหมครับ” เสียงของธีร์ทัศน์ดังขึ้นจากด้านหลังส่งผลให้เจ้าของบ้านต้องละสายตาจากกลุ่มของเด็ก ๆ ในห้อง


“ได้สิ ถ้าอย่างนั้นไปนั่งที่ม้านั่งนั่นก็แล้วกัน” พูดจบก็เดินนำเด็กหนุ่มไปยังม้านั่งสีขาวใต้ต้นจำปีต้นใหญ่ที่พ่อปลูกเอาไว้


“นี่ครับ” ธีร์ทัศน์นั่งลงพร้อมกับส่งกระดานให้ครูสอนวาดเส้นของเขาดูภาพที่ร่างด้วยดินสอบนกระดาษปอนด์ซึ่งถูกหนีบด้วยตัวหนีบ


“ฝีมือดีนี่ การบ้านเหรอ”


“เปล่าครับ ผมกะว่าจะวาดประกวด แต่กติกาของเขาคือให้ใช้สีโมโนโครม ลองหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตแล้วแต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร”


“อืม...ถ้าให้อธิบายตอนนี้ สีโมโนโครมหรือสีเอกรงค์ก็คือการใช้สีหลักหรือสีที่เด่นเพียงสีเดียวแต่มีหลายค่าน้ำหนัก”


“มันทำยังไงเหรอครับพี่ติ๊น”


“การใช้สีเอกรงค์*...สมมติถ้าเราเอาสีน้ำเงินเป็นสีหลัก เอาง่าย ๆ ก็ลองผสมขาวลงไปนี่แหละ “จำได้ไหมที่พี่เคยสอนว่า ขาวกับดำไม่ใช่สี มันคือแสงและเงา” รอจนอีกฝ่ายพยักหน้าจึงอธิบายต่อ "ดังนั้นผสมสีน้ำเงินกับขาวจะได้ค่าน้ำหนักของสีที่อ่อนลงหรือสว่างขึ้นเรียกว่า ‘Tint’ แต่ถ้าผสมด้วยดำ ค่าน้ำหนักสีจะเข้มขึ้น เรียกว่า ‘Shade’ เล่าให้ฟังแบบนี้พอเห็นภาพไหม”


“เข้าใจขึ้นตั้งเยอะเลยครับพี่ติ๊น” ธีร์ทัศน์ยิ้มกว้าง “อืม...ชื่อของพี่ติ๊นต้องมาจาก ‘Tint’ แน่ ๆ”


“ไม่รู้สิ ต้องไปถามพ่อดู เอาไว้ได้เจอกับพ่อเมื่อไรแล้วพี่จะกลับมาบอกนะ”


“ม...ไม่ต้องกลับก็ได้ครับ ถึงตอนนั้นพี่ก็อยู่กับพ่อเถอะ” คนอายุน้อยกว่าหัวเราะแหะ ๆ


“ล้อเล่นน่า เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่หาหนังสือที่มีภาพประกอบมาให้อ่านก็แล้วกันนะ”


“ขอบคุณครับพี่ติ๊น เสร็จเมื่อไรจะเอามาให้พี่ติ๊นดูเป็นคนแรกเลย ถึงตอนนั้นจะถามว่าฝีมือแบบนี้พอจะไปเป็นรุ่นน้องพี่ติ๊นที่ KUAD** ได้หรือเปล่า”


“ก็ต้องฝึกให้มาก ๆ สิ แต่ว่าถ้าได้ไปจริง ๆ ล่ะก็พี่จะบินไปส่งถึงหัวกระไดมหาวิทยาลัยเลยดีไหม”


“พี่สัญญาแล้วนะ” เด็กหนุ่มยื่นมือให้จับ


“สัญญา” พูดจบศุกลก็ประกบมือลงไปก่อนจะเขย่าเบา ๆ ย้ำคำสัญญาลูกผู้ชาย


เสียงกระแอมเบา ๆ เป็นผลให้มือที่กุมกันแน่นต้องคลายออก เมื่อสองคนหันกลับไปมองตามทิศทางของเสียงก็พบร่างสูงของใครคนหนึ่งกำลังเดินมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ


“สวัสดีครับหมอโม” เป็นธีร์ทัศน์ที่เอ่ยขึ้นและไม่ลืมที่จะยกมือไหว้


“สวัสดีครับทัศน์”


“มารับนอฟเหรอครับ” ว่าพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ “เดี๋ยวก็คงเลิกแล้วละครับ ผมก็มารอรับน้องกลับเหมือนกัน”
กุมารแพทย์หนุ่มไม่ได้ว่าอย่างไร อันที่จริงเขาจะปล่อยให้นภธรณ์กลับเองก็ได้ เพราะรายนั้นชอบความอิสระอยู่แล้ว หากแต่อีกฝ่ายเป็นเหตุผลให้เขาสามารถมาที่นี่ได้บ่อย ๆ มารับหน่อยจะเป็นไรไป


“ถ้าอย่างนั้นหมอโมนั่งรอตรงนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปข้างในแล้ว” พูดจบหนุ่มม.ปลายก็ลุกขึ้นก่อนจะหันไปกล่าวกับอีกคน  “ผมไปข้างในก่อนนะครับพี่ติ๊น”


ศุกลเพียงพยักหน้าน้อย ๆ แล้วเงยขึ้นมองคนที่พักนี้ได้เจอกันบ่อยจริงตามที่เขาได้ทำนายเอาไว้ ที่จะไม่แม่นอยู่อย่างเดียวเห็นจะเป็นเรื่องที่ว่า ‘เห็นหน้าจนเบื่อ’ เพราะนี่ก็เกือบเดือนแล้วความรู้สึกนั้นกลับยังไม่ผุดขึ้นในใจเลยสักนิด


“ขอนั่งด้วยคนนะครับพี่ติ๊น” ไม่ต้องรอให้เชิญเอกรงค์ก็นั่งลง


“แน่ใจเหรอว่าคุณต้องเรียกผมแบบนี้”


“ก็เรียกแทนเด็ก ๆ ไง ทำไมต้องทำซีเรียสด้วย แค่เรียกพี่ติ๊นเอง” กุมารแพทย์หนุ่มกล่าวอย่างสบายอารมณ์


“ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณพ่อน้องนอฟก็คงไม่เป็นไรใช่ไหม”


“บอกไงแล้วว่าเจ้านอฟไม่ใช่ลูกผม” คนพูดมุ่นคิ้วน้อย ๆ เมื่อถูกขัดใจ


“รู้แล้ว บอกหลายรอบแล้ว” เจ้าของบ้านกล่าวก่อนจะทอดตามองถัดขึ้นไปจากเรือนกระจกซึ่งเขาใช้เป็นสตูดิโอสำหรับเขียนภาพ ซึ่งปกติไม่ได้อนุญาตให้ใครขึ้นไปง่าย ๆ เนื่องจากต้องการจำกัดไว้เป็นพื้นที่ส่วนตัวอีกทั้งยังเป็นห้องที่เก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ ของพ่ออีกด้วย หน้าต่างบานกระทุ้งถูกเปิดเอาไว้จึงได้ยินบทเพลงพระราชนิพนธ์ลมหนาวจากเครื่องเล่นซีดีแว่วอยู่ไกล ๆ อากาศเริ่มเย็นลงแบบนี้ทีไรก็ห้ามใจไม่ให้คิดถึงเสียงฮัมเพลงของพ่อไม่ได้เลย


“รู้แล้วก็ไม่ควรเรียกแบบนี้ ฟังดูห่างเหินยังไงไม่รู้”


ศุกลเหลียวมองด้วยหางตาก่อนจะถาม “แล้วจะให้เรียกว่าอะไร”


“ไม่บอก คุณคิดเอาเองสิ” เจ้าของแก้มบุ๋มยิ้มพลางต่อเองในใจ ‘แต่ถ้าจะเรียกที่รักก็ไม่ว่าอะไร’


“คุณนี่ทำตัวเป็นเด็ก”


“ส่วนคุณ...” เอกรงค์ทำท่าครุ่นคิด “ก็ทำตัวแก่เกินวัย พวกศิลปินเขาเป็นแบบนี้กันทุกคนไหมนะ นิ่ง ๆ ขรึม ๆ คาดเดายากจัง ผมนึกว่าจะบ้า ๆ บอ ๆ พูดไม่รู้เรื่องเสียอีก”


ศุกลดึงสายตากลับมายังคนข้าง ๆ “ผมก็นึกว่าเป็นหมอจะต้องภูมิฐานน่าเชื่อถือ พูดจามีหลักการกว่านี้”


“เป็นเด็ก แต่เถียงคำไม่ตกฟาก”


“ถ้ารู้ตัวว่าอายุมากกว่าก็เลิกเรียกผมว่าพี่ติ๊นได้แล้ว”


“เอาไว้ตอนที่คุณรู้ว่าควรจะเรียกผมว่าอะไร ผมจะเลิกเรียกก็แล้วกัน แต่ผมรู้ว่ากว่าจะถึงวันนั้นก็คงอีกนาน” ตั้งใจลากเสียงเพื่อเน้นความหมายของคำสุดท้าย


“รู้ไปหมดทุกอย่าง” ศุกลบ่นงึมงำ


“ผมไม่ได้รู้ไปหมดทุกอย่าง แต่ผมพยายามจะรู้ให้ได้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนที่ผมชอบต่างหาก แล้วคุณล่ะ รู้อะไรเกี่ยวกับคนที่คุณชอบบ้างหรือเปล่า เอาแค่เรื่องง่าย ๆ ก่อนก็ได้ อย่างเช่นรู้หรือยังว่าตัวเองชอบใคร”


เหมือนโดนซัดด้วยหมัดตรงเข้ากลางหน้า ในหัวมึนงงไปหมดจนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ในขณะที่เอกรงค์เองมองคนหน้านิ่งแล้วทำผิวปากไม่ใส่ใจ ต่างคนต่างไม่รู้เลยว่าการสนทนาของพวกเขากำลังอยู่ในสายตาอีกสองคู่


“คิดไว้ไม่มีผิดว่าพ่อโมต้องมีแผนการ ยังแปลกใจไม่หายว่าทำถึงได้อยากให้เรามาเรียนที่นี่นัก ฮึ่ย!”


“เราก็คิด คิดว่าผมเราต้องหลุดเป็นกำแน่ นายช่วยเอามือออกจากหัวของเราก่อนได้ไหม แสบไปหมดแล้ว” ธีร์ทัศน์เอ่ยขึ้นกับคนที่กำลังเอามือจิกผมของเขาอยู่


“อุ้ย! โทษ ๆ ลืมตัว” นภธรณ์กล่าวพร้อมกับรีบปล่อยมือจากเส้นผมของอีกฝ่ายทันที


“เราว่าหมอโมต้องชอบพี่ติ๊นแน่ ๆ หรือนายว่ายังไง”


“แน่เสียยิ่งกว่าแน่ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นจะมองใครด้วยสายตาแบบนั้น คุยกับใครไม่เกินสิบประโยคมั้ง ถึงจะเป็นคนไข้ก็เถอะ...”


“พี่ทัศน์ พี่นอฟ ดูอะไรกันอยู่ครับ” ธีร์ธรร้องขึ้นเมื่อเห็นพี่ชายทั้งสองคนกำลังเกาะหุ่นปูนปลาสเตอร์รูปดาวิด*** ที่มีเพียงส่วนหัวลงมาถึงลำคอซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะที่ริมหน้าต่าง ท่าทางลับล่อชวนให้สงสัยนัก เด็กชายไม่รอช้าทำท่าจะปีนขึ้นไปยืนบนโต๊ะจนพี่ชายต้องรีบคว้าตัวไว้


“อ๋อ แอบดูหมอโมกับพี่ติ๊นคุยกันนี่เอง”


นภธรณ์ส่งเสียงชู่ “เงียบน่า ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” จากนั้นก็พยักหน้าเป็นสัญญาณให้ธีร์ทัศน์นั่งลง


ทั้งหมดลงมานั่งสุมหัวอยู่กับพื้นห้องเรียนวาดเส้นที่ขณะนี้เหลือเพียงพวกเขาสามคน


“แล้วนายจะเอายังไงต่อ จะเชียร์หรือจะขัดขวาง แต่ถ้าเป็นเราเราเชียร์ เพราะมันจะเป็นการดีต่อตัวหมอโม” ธีร์ทัศน์ออกความเห็น


“ทำไมนายถึงคิดว่ามันจะดีต่อพ่อโมล่ะ” นภธรณ์ถาม


“หมอน่ะคงอายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้วน่ะสิ”


“อืม...ก็ถ้าเป็นเพื่อนพ่อตั้งแต่สมัยเรียน...” คนพูดกลอกตาขึ้นพลางใช้ความคิด “เออ มันก็จริง”


“เชียร์สิพี่ ต้องเชียร์” ธีร์ธรกล่าวพลางตีมือแปะ ๆ


“รู้เหรอว่าเขาพูดเรื่องอะไรกัน” นภธรณ์เอ่ยขึ้น


“รู้ ก็เชียร์ให้หมอโมจีบพี่ติ๊นไง ธรพูดถูกใช่ไหมล่ะ”


“นายให้น้องกินอะไรวะถึงได้แสนรู้แบบนี้” คนที่ดูเจ้าแผนการที่สุดในกลุ่มทอดถอนใจ


“กินเหมือนที่พ่อนายให้กินนั่นแหละ” ธีร์ทัศน์สวนกลับ


“อ๋อ! กระดูก” เด็กชายตัวจ้อยเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปตีมือกับพี่ชายเพื่อแสดงให้รู้ถึงความเป็นพวกเดียวกัน


“ไม่ใช่เว้ย!” นภธรณ์ส่ายหัวหน่าย ๆ ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่มาร่วมหัวจมท้ายกับสองพี่น้องนี่...


พอย่างเข้าหน้าหนาวฟ้าก็มืดเร็วกว่าปกติ ทั้งที่เลยหกโมงเย็นมาไม่ถึงยี่สิบนาทีแต่บรรยากาศรอบ ๆ กลับดูราวกับนั่นคือเวลาเลิกงานของดวงอาทิตย์ ทั่วบริเวณเงียบเชียบอาจด้วยเพราะเป็นวันศุกร์สิ้นเดือน บรรดาผู้ใหญ่ที่เคยมานั่งเขียนรูปแทบจะไม่มีให้เห็น เวลานี้หลายคนคงนั่งดื่มกินสังสรรค์ฉลองเงินเดือนออกกันอยู่ที่ร้านบรรยากาศน่านั่งที่ไหนสักแห่งในกรุงเทพฯ  ศุกลเดินมาส่งเด็ก ๆ ที่รถคาดิลแลคสีดำ ไม่ลืมกล่าวขอบคุณเจ้าของรถที่รับอาสาไปส่งพี่น้อง ‘สองที’ ให้ เจ้าของบ้านมองตามรถหรูที่ค่อย ๆ เคลื่อนพ้นแนวกำแพงปูนเปลือย ในใจครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะรู้เกี่ยวกับชายหนุ่มเจ้าของรถมากกว่านี้โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว


“ทำไงดีวะ”



...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...



สวัสดีค่ะ

เรื่องนี้สนุกตรงที่เวลาคนหนึ่งเขียนตอนของตัวเองเสร็จจะรีบส่งให้อีกคนเพราะอยากรู้ว่าเขาจะเขียนอะไรต่อ

ส่วนอีกคนก็รีบเขียน เพราะอยากรู้ตอนต่อไป แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นตอน ๆ ไป จนได้ออกมาเป็นแบบนี้

ทำลายทุกกฎ 100 หน้ากว่าจะเจอกัน นิยายมีล้านตอนหรือไง ปาไปครึ่งเล่มแล้วยังไม่เจอกัน

เรื่องนี้เจอกันแล้วนะคะ หวังว่าคนอ่านจะยิ้มไปกับพวกเราค่ะ

สำหรับตอนที่ 4 คงต้องฝาก leGGy ให้ช่วยดูแลค่ะ


หมายเหตุ * ตัวอย่างการใช้สีเอกรงค์ http://www.1freewallpapers.com/magic-blue-iceberg/ja
** KUAD คือ KYOTO UNIVERSITY OF ART & DESIGN
*** ประติมากรรม ดาวิด (David) สร้างโดยมิเกลันเจโล (Michelangelo) ดาวิด เป็นกษัตริย์องค์ที่ 2 ของอิสราเอล
ดาวิด (อ่านตามพระคัมภีร์ภาษาไทย) แปลว่า ที่รัก ค่ะ ดูรูปและเรื่องราวได้ที่ https://mrvop.wordpress.com/2010/08/16/david/ นะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-11-2016 00:13:10 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
หมอเด็กที่เจ้าเล่ห์ที่สุดดดด

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
นี่หมอหรือทหารหน่วยจู่โจมคะ ???


ออฟไลน์ Khan_htt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
กรี๊ดดดดดด รุกเร็วร รุกแรง ต้องหมอโมเท่านั้น  :z2:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
น่ารักมากกกก ชอบพี่ติ๊นค่ะ
เด็กๆก็แอบแซวผู้ใหญ่นะ 555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด