อนูบิส จ้าวแห่งแดนมรณะ
บทที่ 7
“ท่านเป็นยังไงบ้างครับในร่างมนุษย์”
เวทิศเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ เขาตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมากที่ได้พบกับเทพอนูบิส เวทิศไม่เคยนึกว่าเรื่องที่เขาศึกษาเพราะความ
ชอบส่วนตัวจะเป็นเรื่องจริงขึ้นมาได้ เขาปวารณาตนเองว่าจะช่วยเหลืออนูบิสปราบปีศาจให้สำเร็จ
“เรียกผมว่าอินทร์ภูอย่างที่โอมเรียกก็ได้ ไม่ต้องเรียกว่าท่านหรอก”
อนูบิสเอ่ยกับเวทิศอย่างเป็นกันเอง ตอนนี้เขานั่งอยู่ในห้องทำงานของเวทิศที่อยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เวทิศบอกเขาว่า
มันคือสถานที่สอนให้คนเป็นนักปราชญ์
เมื่อยามตะวันตรงหัววันนี้เวทิศขับเจ้าเครื่องจักรสี่ล้อมาหาอาศิรที่โรงพยาบาลเพื่อจะรับอนูบิสมาที่มหาวิทยาลัย เวทิศบอก
ว่าที่นี่สะดวกมากกว่าในการสืบค้นเรื่องต่างๆและอนูบิสก็เห็นด้วยที่จะต้องเริ่มต้นการเสาะหาตัวปีศาจเนรูแล้ว เขาจึงกลายร่างเป็นมนุษย์
และมากับเวทิศ
“อย่าเลยครับ ถ้าอยู่กันลำพังแบบนี้ขอให้ผมเรียกท่านแบบนี้เถอะ แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่นผมก็จะเรียกท่านด้วยชื่อคน”
เวทิศเคารพศรัทธาในตัวอนูบิสมากเกินกว่าจะตีเสมอเทพผู้ยิ่งใหญ่ได้ อนูบิสไม่ได้กล่าวอะไรอีกเมื่อกำลังคิดหาคำตอบให้กับ
คำถามของเวทิศ
“ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ไม่ได้มีพลังอะไรเลยเมื่ออยู่ห่างโอม เป็นเพราะอังค์ของผมที่อยู่ในร่างของโอม
ทำให้ผมต้องอยู่ใกล้ๆเขา”
“เอาล่ะครับท่านเทพ ผมว่าเราจะต้องลิสรายการปัญหาที่เราจะต้องเคลียร์มันให้ได้ว่ามีกี่ข้อ”
เวทิศคว้าสมุดโน้ตและปากกามาถือในมืออย่างเป็นงานเป็นการ เขาจดปัญหาลงไปในสมุดของเขา
“ข้อแรก เจ้าปีศาจเนรูนี่มันมีที่มาจากไหนถึงบังอาจบุกเข้าไปในดินแดนหลังความตายได้ ทั้งที่มีการคุมเข้มรัดกุมมากสำหรับ
วิญญาณที่จะเข้าไป แสดงว่ามันจะต้องมีคนหรือเทพหรืออะไรบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังเจ้าปีศาจที่ว่านี้ให้เข้าไปโขมยขนนกออกมาและ
มันจะเอาขนนกไปทำอะไร”
“ข้อสอง ตอนนี้ไอ้ปีศาจที่ว่านี่มันอยู่ที่ไหน มันสามารถทำอะไรได้บ้างที่กรุงเทพ ท่านบอกว่าท่านใช้คทาฟันมันได้ก่อนที่มัน
จะหนีไป ผมว่ามันยังคงบาดเจ็บอยู่ล่ะแต่ว่าปีศาจอย่างมันจะใช้อะไรในการฟื้นกำลังของมันให้คืนสภาพเดิมได้”
“ข้อสาม การที่ท่านและมันหลุดมาจากดินแดนของท่านจนมาอยู่ที่นี่ หากท่านจับเจ้าเนรูได้แล้ว ท่านจะกลับไปยังอียิปต์สมัย
ท่านได้ยังไง ผมว่าเรื่องนี้สายการบินอียิปต์แอร์ไลน์ก็คงจะพาท่านกลับไม่ได้หรอกครับ”
“จากนั้นก็มาข้อที่สี่ อังค์ที่เป็นขุมพลังของท่านดันตกลงมาแล้วเข้าไปอยู่ในตัวไอ้โอม ท่านต้องอยู่ใกล้มันเพื่อจะใช้พลังของ
เทพ แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ท่านกับไอ้โอมจะตัวติดกันตลอดเวลา แล้วถ้าเกิดว่าท่านไปเจอไอ้เนรูตอนที่ไอ้โอมไม่ได้อยู่ด้วยท่านจะ
ทำยังไง เราต้องหาวิธีเอาอังค์ออกมาจากตัวไอ้โอมให้ได้”
อนูบิสไม่ได้บอกเวทิศอีกข้อหนึ่งว่าอังค์นอกจากจะเป็นขุมพลังของเขาแล้ว มันยังเป็นกุญแจสำหรับเปิดบานประตูสู่ดินแดน
หลังความตายอีกด้วย เพราะแค่เท่าที่เวทิศร่ายออกมาเป็นฉากๆนี้ก็ทำให้เทพอย่างเขาปวดศีรษะมากพอแล้ว
เวทิศเปิดจอคอมพิวเตอร์ เขาจ้องมันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพักหนึ่งจึงเงยหน้ามาหาอนูบิสอีกครั้ง
“ชื่อของมัน เนรู มีรากศัพท์มาจากคำว่าความกลัวและความตาย เพราะฉะนั้นเราต้องหาให้ได้ว่าไอ้เนรูจะไปสิงอยู่ตรงไหนที่มี
ทั้งสองอย่างให้มัน”
สีหน้าตื่นเต้นของคนที่นอนอยู่บนเตียงเล็กท่ามกลางแสงสว่างจัดจ้าของดวงไฟกำลังแรงสูงและเจ้าหน้าที่ในห้องผ่าตัดทำให้
อาศิรเดินเข้าไปและแตะมือลงไปบนหลังมือเหี่ยวย่นของคนไข้
“กลัวหรือครับคุณลุง ไม่ต้องกลัวนะ คุณลุงจะต้องปลอดภัย”
เอ่ยปากปลอบโยนเพื่อผ่อนคลายความรู้สึกของชายวัยชราที่อาศิรได้เข้ามาเป็นนายแพทย์มือสามสำหรับผ่าตัดตั้งแต่วันแรก
ที่เข้ามาฝึกที่แผนกศัลยกรรม โดยที่มีรุ่นพี่แพทย์อินเทิร์นเป็นมือสองและศัลยแพทย์มือหนึ่งก็คือนายแพทย์คีรี อาจารย์แพทย์ที่อายุน้อย
ที่สุดของแผนก
“เริ่มกันเถอะ”
ร่างสูงของคีรีพร้อมอยู่แล้วในชุดเสื้อคลุมสีเขียวทั้งตัว ใบหน้าครึ่งหนึ่งปิดบังด้วยหน้ากากกันเชื้อโรค เขารับถุงมือปราศจาก
เชื้อมาจากพยาบาลและสวมมันเข้ากับฝ่ามือทั้งสองก่อนจะเข้ายืนประจำตำแหน่งผ่าตัดข้างลำตัวคนไข้
วิสัญญีแพทย์และพยาบาลวิสัญญีเริ่มต้นฉีดน้ำยาสีขาวซึ่งเป็นยานำสลบเข้าไปในสายน้ำเกลือ คุณลุงที่มีสีหน้าตื่นเต้นหวาด
กลัวเริ่มหลับตาลงและหายใจได้ด้วยท่อช่วยหายใจที่สอดเข้าไปในปาก เมื่อเห็นว่าคนไข้หมดสติสัมปชัญญะลงแล้วคีรีจึงรับมีดผ่าตัดมา
และกรีดลงไปบนผิวหนังชั้นบนสุด
เนื้อเยื่อถูกกรีดลงไปทีละชั้นโดยมีแพทย์มือสองคอยช่วยเหลือ อาศิรซึ่งเป็นแพทย์มือสามได้แต่คอยช่วยเล็กๆน้อยๆในเบื้อง
ต้น เขามองการลงมีดผ่าตัดของคีรีด้วยความตื่นตากับความนิ่งและมั่นใจในการผ่าตัดจนกระทั่งสามารถเปิดช่องท้องคนไข้ลงไปเห็นส่วน
ลำไส้ที่อุดตันอยู่
“ตื่นเต้นหรือโอม”
สะดุ้งกับคำถามจากนายแพทย์มือหนึ่งของการผ่าตัดเมื่ออาศิรกำลังตั้งใจจดจ่อมองแต่คนไข้ เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคีรีที่
มองเขาอยู่ อาศิรจึงพยักหน้าลง
“ครับพี่คีรี ตอนเป็นนักศึกษาผมไม่เคยขี้นฝึกเคสที่ยากขนาดนี้”
ดวงตาที่จ้องมองเผยแสงวาววูบหนึ่งก่อนอ่อนแสงลงเป็นปกติ คีรีกลับไปจ้องมองลำไส้ตรงหน้าและใช้มีดคมเฉือนมันออกที
ละนิด
“ยากแค่ไหนก็ไม่เกินความสามารถของเราหรอก”
ลำไส้ส่วนอุดตันขาดออกจนเศษอาหารและเลือดพุ่งทะลักออกมา ทีมงานที่ยืนล้อมรอบสาละวนดูดซับสิ่งเหล่านั้นให้หมดไป
จากช่องท้อง คีรีรับเข็มเย็บกับด้ามจับมาและเริ่มต้นเย็บลำไส้ต่อเข้าด้วยกัน และหลังจากนั้นคีรีจึงเย็บปิดชั้นกล้ามเนื้อ อาศิรนึกทึ่งกับ
ฝีมือการเย็บแผลที่เรียบกริบและรวดเร็ว เขาเชื่อแล้วว่าหมอคีรีเก่งสมกับคำร่ำลือจริงๆ
เสียงเครื่องมอนิเตอร์ดังลั่นห้องจนอาศิรตกใจ เขาหันขวับไปมองความวุ่นวายของทีมวิสัญญีทันที
“ความดันตกกะทันหัน”
“ให้ยาเพิ่มความดันสิ”
อาศิรหันกลับไปมองคีรีที่เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อเห็นทีมดมยายังแก้ไขปัญหากันไม่ได้
“อย่าให้ความดันตกมากกว่านี้นะครับ เดี๋ยวเลือดไม่ไปที่หัวใจ”
น้ำเสียงของคีรีเริ่มขุ่นเมื่อความดันของคนไข้ยังไม่ขึ้นมาสู่ระดับปกติ เขาเร่งมือเย็บแผลจนปิดปากแผลได้แล้ว แต่ความดัน
เลือดของคนไข้ก็ยังต่ำอยู่
“เร็วหน่อยสิครับ มัวแต่ทำอะไรกันอยู่”
คีรีตวาดเสียงดังอย่างหงุดหงิด อันเป็นท่าทางที่ดูแล้วห่างไกลกับความใจเย็นอย่างที่อาศิรเห็น เขานึกไม่ถึงเช่นกันว่าภายใต้
บุคลิกสดใสยามแนะนำตัวในห้องประชุมของคีรีจะกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ยามไม่ได้ดั่งใจ
ไม่นานนักความดันของคนไข้ก็เริ่มกระเตื้องขึ้นจนอยู่ในระยะปลอดภัย คนไข้ถูกพาไปยังห้องพักฟื้นพร้อมกับอาศิรที่ถอน
หายใจอย่างโล่งอกที่วันนี้เขายังไม่ต้องเห็นวิญญาณที่กำลังลอยออกจากร่าง
“หายตื่นเต้นหรือยังโอม”
นายแพทย์คีรีเดินมาหาและชวนพูดคุยด้วยท่าทางที่กลับมาเป็นคนใจเย็นเช่นเดิมแล้ว หน้ากากถูกถอดไปทิ้งอาศิรจึงเห็น
ใบหน้าของคีรีได้ถนัด
“ก็ดีขึ้นแล้วครับพี่”
“อยู่ในห้องผ่าตัดก็ต้องเจอแบบนี้บ่อยๆอีกหน่อยก็ชิน”
อาศิรได้แต่ยิ้มรับตามประสาของเขา แต่คีรีก็ยังจ้องไม่วางตาจนอาศิรชักจะยิ้มเจื่อนลงทุกที
“จริงๆแล้วผ่าตัดลำไส้มันก็มีการพัฒนาดีขึ้นเยอะแล้วนะ โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนหลายๆที่ก็แข่งกันเรื่องนี้ อย่างเช่น
โรงพยาบาล...นี้ก็ถึงกับตั้งเป็นศูนย์เฉพาะทางเป็นเรื่องเป็นราวเลยซื้ออุปกรณ์ใหม่ๆมาใช้เรียกเงินได้เยอะอยู่”
อาศิรสะดุ้งเมื่อคีรีเอ่ยชื่อโรงพยาบาลที่บิดาของเขาเป็นเจ้าของอยู่
“หมอกำจรที่เป็นเจ้าของแกลงมาเล่นเรื่องนี้ เห็นว่าจะจัดอบรมเรื่องนี้ด้วยนะ เออ ใช่ ตอนที่แนะนำตัว พี่ได้ยินนามสกุลของ
โอมเหมือนกับนามสกุลของหมอกำจรเลยนะ เกี่ยวข้องอะไรกันหรือเปล่า”
น้ำเสียงราบเรียบระดับเดิมของคีรีทำให้อาศิรกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก เขาพยายามหลบเลี่ยงการตอบคำถามเหล่านี้
ตั้งแต่เริ่มเข้ามาเรียนแพทย์ หลายครั้งก็หลบได้ หลายครั้งก็หลบไม่ได้อย่างเช่นครั้งนี้ที่อาศิรต้องฝืนยิ้มออกมาขณะตอบคำถาม
“หมอกำจรเป็นพ่อของผมครับ”
กว่าจะเลิกงานก็เย็นมากแล้ว วันนี้อาศิรไม่ต้องอยู่เวรในวันแรก เขาจึงเดินมาด้านหน้าของโรงพยาบาลที่เวทิศขับรถยนต์พา
อนูบิสมาส่ง
“เป็นไงกันบ้าง ได้เรื่องอะไรไหมครับ”
เอ่ยถามอย่างเอาใจช่วย เพราะนอกจากเรื่องที่อังค์ตกใส่ตัวเขาเรื่องอื่นอาศิรก็ไม่รู้จะช่วยอะไรอนูบิสได้บ้าง
“กำลังเริ่มหาข้อมูลอยู่ว่าไอ้ปีศาจเนรูมันคือตัวอะไรกันแน่ ว่าแต่ใช้สมองมากหิวแล้วว่ะ ไปหาอะไรกินกันไหม”
ยังไม่ทันที่อาศิรจะตอบเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดัง อาศิรดึงจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเมื่อเห็นหน้าจอว่าใครโทรมาใบหน้าของ
เขาก็พลันหุบลง
“ครับพ่อ ไม่ได้ลืมครับ แต่ว่า...ครับ ก็ได้ครับ”
เวทิศเลิกคิ้วมองเพื่อนสนิท เขารู้ดีว่าปัญหาชีวิตของอาศิรคืออะไร
“พ่อมึงโทรมาทำไมไอ้โอม”
“วันนี้วันเกิดเมียของพ่อไงล่ะ เขาเลยบังคับให้กูไปร่วมงานด้วย ทำไมต้องให้ไปวะ ไม่เห็นอยากจะไปบ้านนั้นเลย”
ดวงตาของเวทิศเป็นประกายอย่างยินดีเมื่อได้ยินในสิ่งที่อาศิรกำลังบ่นพึมพำ
“แล้วมันเรื่องอะไรที่มึงต้องปฏิเสธวะโอม งานของแม่เลี้ยงมึงน่ะงานใหญ่แน่ๆและที่สำคัญพี่วินนี่ก็ต้องไปด้วย ดังนั้นมึงเองก็
ต้องไปกูจะได้เป็นคนติดสอยห้อยตามมึงไปด้วยไงล่ะ”
อาศิรส่ายหน้าเมื่อได้ยิน ลืมไปเลยว่าเวทิศนั้นแอบปลื้มพี่สาวคนละแม่ของเขามานานตั้งแต่มัธยม จนกระทั่งบัดนี้เวทิศก็ยัง
ไม่เลิกละเมอเพ้อพกทั้งที่กวินตรามองเวทิศเป็นแค่ตัวตลกเท่านั้น
“น่านะ โอม ไปด้วยกันหมดนี่แหละ แค่นี้แม่เลี้ยงของมึงไม่ล่มจมหรอกน่า”
ได้แต่คิดหนักจนต้องหันไปขอความเห็นจากอนูบิส เทพพลัดถิ่นก็ได้แต่ยิ้มอ่อน
“เรื่องนี้ไม่มีความเห็น แล้วแต่โอม”
เพราะแรงคะยั้นคะยอของเวทิศและเพราะคำสั่งของบิดา ในที่สุดเทพหนึ่งและมนุษย์อีกสองก็มาถึงหน้าบ้านที่แสนจะกว้าง
ขวางหลังหนึ่ง เวทิศจอดรถยนต์ท่ามกลางรถมากมายของแขกที่มาในงาน สถานที่กว้างขวางกลายเป็นแคบเมื่อมีแต่ผู้คนเดินกันขวักไขว่
ในสวนที่ถูกเนรมิตให้เป็นงานจัดเลี้ยงหรูหรา สีหน้าของอาศิรเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายในขณะที่เวทิศมองรอบตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ ส่วน
อนูบิสมีเพียงใบหน้าเรียบเฉยหากแต่กลายเป็นสะดุดผู้คนเพราะความหล่อเหลาจนพากันเหลียวมองเมื่อเขาเดินผ่าน
มีต่ออีกนิด...