ร่างสูงหวนนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ได้อยู่กับเกี๊ยว ริมฝีปากนุ่มนิ่มที่เขาได้สัมผัส เขายังจำมันได้ดี อันที่จริงเขาก็ไม่เคยลืมมันได้เลยตั้งแต่วันนั้น คิดถึงเกี๊ยวมากซะจนแทบจะทนไม่ไหว เหมือนกับว่ามีใครเอามีดมากรีดที่หัวใจของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ถึงจะเคยพร่ำเพ้อกับตัวเองมาตลอดว่า คนตัวเล็กอยู่ในกำมือของเขา จะบีบให้แหลกคามือเมื่อไรก็ได้ แต่บอลกลับคิดผิดถนัด เขาเองต่างหากที่ยื่นหัวใจของตนให้เกี๊ยวไปโดยไม่ลังเลและตอนนี้ เกี๊ยวก็เป็นฝ่ายที่กำลังกุมหัวใจของเขาอยู่...
“ฝากดูแลลูกดาด้วยนะพี่” แม่ของเกี๊ยวเอ่ยกับหญิงสาววัยกลางคน โดยมีเด็กหนุ่มตัวเล็กสะพายกระเป๋าเป้ใบโตยืนหลบอยู่หลังผู้เป็นพ่อ ร่างบางก้มหน้างุดไม่ยอมพูดอะไร ถึงจะพูดอะไรไปตอนนี้มันก็ไร้ความหมาย เพราะสุดท้ายเขาก็ต้องไป
“ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าเอกมันก็บ่นว่าอยากมีน้อง พี่น่ะก็อยากให้ลูกเธอได้เรียนดีๆกับเค้าบ้าง ยังไงซะก็เหมือนเป็นลูกเป็นหลานของพี่อีกคน วางใจเถอะดา” ผู้หญิงที่ดูมีอายุมากกว่าแม่ท่าทางใจดีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของผู้หญิงที่อยู่ในฐานะพี่สาวแท้ๆของแม่ผม
“ไงก็...ต้องรบกวนดูแลเจ้าเกี๊ยวมันด้วยนะ” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมแต่กลับเจือปนด้วยความห่วงใยลูกชายคนเดียวของตนอย่างเหลือล้น
“...” ป้าพยักหน้าอย่างรับรู้
“ตั้งใจเรียนนะ แม่จะรอ” นัยน์ตาของแม่ถูกฉาบด้วยน้ำตาใสๆ แม่พูดก่อนจะหอมผมฟอดใหญ่
“เกี๊ยว ไปอยู่ที่โน้นต้องเป็นเด็กดีนะรู้มั้ย อย่าดื้ออย่าซนล่ะ” ผู้เป็นพ่อนั่งยองๆก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พลางดึงตัวของเกี๊ยวเข้าไปกอดแน่นด้วยความรัก
“ครับ” ผมจะตั้งใจเรียนไม่ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังในตัวผม จะไม่เกเรเหมือนแต่ก่อนให้แม่ต้องเสียใจ ถ้านั่นคิดสิ่งที่ผมสามารถทำได้ในตอนนี้
“พ่อกับแม่รักลูกนะ” ถึงแม้จะเป็นแค่ประโยคสั้นๆ แต่ความหมายลึกซึ้งจนเกินกว่าจะหาคำใดมาอธิบาย ไม่มีใครเข้าใจความหมายของมันจริงๆก็ได้แต่บอกไปตามความรู้สึกอย่างนั้น คุณเคยรักใครตั้งแต่แรกพบมั้ย รักจนหมดหัวใจ ผมคิดว่านั่นแหละคือความรู้สึกที่พ่อแม่ทุกคนมอบให้ลูกของตัวเองตั้งแต่ยังไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ
“ผมก็รักพ่อกับแม่” ร่างเล็กพูดอู้อี้อยู่ในลำคอพลางซบหน้าตรงบ่าของผู้เป็นพ่อ แขนเล็กโอบกอดระหว่างสองบุคคลที่ให้กำเนิดเขามา
พ่อจูงมือผมเดินไปหาป้าซึ่งยืนรออยู่ห่างๆ ถึงจะเห็นว่าแม่ร้องไห้แต่แม่ก็ยังยิ้มให้ผมพลางโบกมือลาเบาๆ สักพักคนที่จับมือผมกลับไม่ใช่พ่ออีกต่อไป ผมถูกจูงมือเดินห่างจากพ่อกับแม่ไปไกลเรื่อยๆ คนตัวเล็กหันมองดูพ่อกับแม่ที่โบกมือลาอยู่เบื้องหลัง ไกล และไกลห่างออกมาจนไม่สามารถมองเห็นคนสองคนที่ผมรักมากที่สุดอยู่ในสายตาได้อีก
วิวข้างทางที่ไม่คุ้ยเคยเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ต้นไม้สีเขียวๆดูเหมือนจะน้อยลงทุกที มีแต่ตึกสูงๆขึ้นแข่งกันแทน เสียงอึกทึกของเครื่องยนต์บนท้องถนนพร้อมกับฝุ่นควันที่ลอยเข้ามาในจมูก ทำให้ผมทั้งอึดอัดและหายใจไม่ค่อยออก นั่งรถมานานเท่าไรผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าตอนนี้ผมอยากกลับบ้าน
นัยน์ตาคู่สวยเหม่อลอยออกไปนอกกระจกรถซึ่งจอดมานานร่วมชั่วโมงได้ รถยนต์หลายสิบคันจอดเรียงยาวบนถนนที่แม้กว้างเพียงใดก็ดูคับแคบไปถนัดตา
“เฮ้อ... คงเหนื่อยสินะนั่งรถมาทั้งวันเลย ป่ะๆ เอาข้าวเอาของไปเก็บก่อน เดี๋ยวป้าจะทำอะไรให้กิน” ป้าพูดก่อนจะลูบหัวคนตัวเล็กที่ดูอิดโรยอย่างเอ็นดู
“ครับ” ร่างเล็กพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนจะเดินเข้าไปใบบ้านของป้า ที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กแต่ถ้าเทียบกับบ้านเกี๊ยวแล้วที่นี้ถือว่าดีกว่าเยอะ
“อืม ยังจำพี่เอกได้มั้ย ตอนนี้พี่เค้าไปเรียนพิเศษอยู่ เดี๋ยวสักพักก็คงกลับแล้วล่ะ” ผมถือกระเป๋าเดินตามหลังป้าเข้าไปในห้องนอนของที่ดูเหมือนว่าจะมีเจ้าของแล้ว
“...” คนตัวเล็กส่ายหัวแรง ตั้งแต่ขึ้นรถมาเขาก็แทบไม่ได้พูดอะไรเลย ถามคำก็ตอบคำ
“นั่นสิเนอะ ตอนนั้นเกี๊ยวแค่สองสามขวบเอง เหอะๆ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงอดีต
“ตามสบายเลยนะ จะดูทีวีรอก่อนก็ได้” บ้านป้าดูจะต่างจากที่ผมคิดเล็กน้อย ที่นี้มีต้นไม้เยอะ แถมยังเงียบสงบกว่าข้างนอก ไม่มีกลิ่นควัน หรือแม้แต่เสียงอึกทึกของผู้คนให้ปวดหัว ป้าเค้าใจดีกับผมมาก แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ผมชอบที่นี่ขึ้นมาได้เลย
เกี๊ยวทิ้งตัวนั่งตรงเก้าอี้นุ่ม สายตาเสมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีแดงอมส้ม เห็นก้อนเมฆเบาบางลอยอยู่ไกลๆ มันเหงาจนคล้ายกับว่าโลกทั้งใบถูกบีบเข้ามาจนเหลือแต่ตัวผมคนเดียว ผมไม่มีใครแล้วจริงๆ มือเล็กล้วงไปในกระเป๋ากางเกง ในมือถือรูปของพ่อกับแม่ออกมา มันเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องรออีกนานเท่าไรผมถึงจะได้กลับไปอยู่กับพ่อแม่
ไหล่เล็กสั่นไหวระริก น้ำตาใสๆอาบท่วมพวงแก้มเนียน เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่เบาราวกับกระซิบ เกี๊ยวจ้องมองบุคคลที่อยู่ในรูปอยู่นาน คงไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของเขาในตอนนี้ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน น้ำตาไหลรินออกมามากขึ้นตามความรู้สึกที่ยากจะห้ามไว้ได้
ร่างเล็กร้องไห้จนกระทั่งพล่อยหลับไปในที่สุด ในอ้อมแขนก็โอบกอดรูปพ่อกับแม่ไว้แน่นอย่างหวงแหน คราบน้ำตาที่เลอะดวงหน้าหวานจนดูน่าสงสาร เด็กชายนอนนิ่งขดอยู่บนเก้าอี้น่วมในห้องนอนที่แสนสงบ มีลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ช่วยให้คนตัวเล็กได้ผ่อนคลายบ้าง มันเหนื่อยทั้งร่างกายและจิตใจ เรื่องราวต่างๆที่ถาโถมเข้ามาใส่อาจจะดูโหดร้ายเกินไปสำหรับเด็กหนุ่มในวัยนี้ แต่ยังไงเขาก็ต้องยอมรับมันให้ได้ ไม่แน่มันอาจจะทำให้เด็กหนุ่มได้โตเป็นผู้ใหญ่และเข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิม
“นี่ ตื่นได้แล้ว ตื่นสิ ตื่นๆๆ” มือหนาจับไหล่เล็กก่อนจะเขย่าเบาๆ เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับจ้องมองบุคคลแปลกหน้าที่ถือวิสาสะนอนในห้องของเขา
“งืม... แม่เหรอ ขออีกแปบน่า” ร่างเล็กเอ่ยงึมงำอยู่ในลำคอ
“ไม่ยอมตื่นใช่มั้ย” นัยน์ตาคมลอบมองดวงหน้าหวานก่อนจะเผลออมยิ้มเล็กๆ
“เห้ยฮ่าๆ พะ พอ แล้วฮ่าๆๆ” คนตัวเล็กพูดไปหัวเราะไป เพราะถูกใครบางคนจี้เอว ขัดจังหวะเข้าเฝ้าพระอินทร์ของเขา
“ยังบ้าจี้เหมือนเดิมเลยนะเรา” คนตัวสูงยิ้มกว้างให้ร่างเล็กที่นั่งอยู่ก่อนจะขยี้หัวแรงๆ ทำเอาเกี๊ยวงงไปเหมือนกัน เพราะคำพูดที่ใช้ดูเหมือนว่าจะสนิทกันมากกว่าคนที่เพิ่งเคยพบกันครั้งแรก เออ... ลืมไปว่าผมกับพี่เค้าเคยเจอกันสมัยเด็กๆแต่ผมยังจำความไม่ได้
“อะ เอ่อ...” ร่างบางมองตามหลังชายหนุ่มที่ตัวโตกว่าเขาหลายเท่า ร่างสูงโยนกระเป๋าวางไว้บนเตียง ก่อนจะหันหน้ามามองเกี๊ยวอีกครั้ง ดวงหน้าคมเรียว ผิวสีไข่อย่างคนสุขภาพดี ดวงตาสีนิลจ้องมองมาทางผม รูปร่างสัดทัดไม่อ้วนไม่ผอมจนเกินไป สวมอยู่ในชุดนักเรียนที่ชายเสื้อเริ่มหลุดรุยออกมาบ้างแล้ว
“หิวข้าวรึยังล่ะ รีบล้างหน้าล้างตาแล้วค่อยไปกินข้าวกัน ห้องน้ำอยู่ทางนู้นน่ะ” ชายหนุ่มที่อายุมากกว่าผมอยู่ 3-4 ปีเอ่ยพลางชี้นิ้วไปที่ประตูบานสีขาวซึ่งอยู่ภายในห้อง (ห้องน้ำส่วนตัว) ผมพยักหน้าแล้วรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างเชื่อฟัง คนตัวเล็กล้างคราบน้ำตาด้วยน้ำสะอาด เรียกความสดชื่นกลับคืนมาได้บ้าง แต่มันกลับไม่สามารถลบความเศร้าในใจของเกี๊ยวได้เลยแม้แต่น้อย
“เอ่อ... พี่...” เกี๊ยวมองแผ่นหลังกว้างที่กำลังเอื้อมมือไปดึงบานหน้าต่างเข้ามา ดูเหมือนว่าลมเริ่มจะแรงขึ้นเรื่อยๆท้องฟ้าสีเทามืดครึ้มบ่งบอกว่าฝนใกล้จะตก ร่างเล็กยืนลังเลก่อนจะตัดสินใจเรียกชายหนุ่มเบื้องหน้า
“อ้าว เสร็จแล้วเหรอ ไปกินข้าวกัน” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนจะส่งยิ้มให้คนตัวเล็กที่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องน้ำ
ร่างสูงกอดคอเกี๊ยวเดินลงบันไดมาอย่างเงียบๆ ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันอยู่มากทำให้เกี๊ยวดูยังเด็กถึงแม้เจ้าตัวจะคิดว่าตัวเองโตแล้วก็ตาม ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าเกี๊ยวยังคงปรับตัวไม่ได้ อาจจะคิดถึงบ้านก็เป็นเรื่องธรรมดา เด็กขนาดนี้จากบ้านมาคงทำใจลำบากเอาการ เอกลอบมองร่างบางด้วยความเอ็นดู
“แม่ครับมีอะไรกินมั้งเนี่ย” ร่างสูงเดินตรงรี่เข้าไปในห้องครัว โดยไม่ลืมล็อกคอเกี๊ยวเขาไปด้วย จะว่าไปแล้วผมเองก็เริ่มหิวเหมือนกันแหละ ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เที่ยงแล้ว
“ผัดหอยลาย กับผัดผักรวมมิตรจ้า อ่ะ ช่วยยกนี่ไปวางบนโต๊ะให้แม่หน่อยสิ” ป้าตอบแล้วก็ยิ้มๆมาให้ผม จะว่าไปแล้วผมก็รู้สึกอบอุ่นเหมือนกันนะเวลาที่ป้ากับพี่เค้ายิ้มมาให้ผม
“เกี๊ยวนั่งตรงนี่สิ” ร่างสูงลากเก้าอี้ออกมาขณะกวักมือเรียกร่างเล็กที่ยืนนิ่งเป็นสากเบือเพราะทำตัวไม่ถูกเกี๊ยวเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างกับเอก ก่อนป้าจะมานั่งร่วมโต๊ะด้วยอีกคน โต๊ะไม้กลมๆเต็มไปด้วยอาหารสองสามอย่างกับข้าวสวยร้อนๆที่มีควันฉุยขึ้นมาชวนให้น้ำลายส่อทันที
“เป็นไง บ้านป้าพออยู่ได้มั้ย” ป้าพูด ขณะเดียวกันท้องฟ้าสีเทาก็มืดสนิท สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนักในไม่ช้า ภายในห้องครัวมีประตูกระจกบานใหญ่ติดอยู่ที่ผนังทำให้เกี๊ยวเผลอมองออกไปข้างนอกหลายครั้งด้วยใจเหม่อลอย พอมองเม็ดฝนที่กระทบกับบานประตูกระจกมันทำให้เขารู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวพิกล
“อะ อ่อ อยู่ได้ครับ” เสียงเรียกของป้าเรียกสติของเกี๊ยวกลับคืนมา ถึงตอนนี้มันหิวจนไส้จะขาด แต่ทว่าเขาแทบจะกลืนข้าวไม่ลง
“มานี่ เดี๋ยวพี่แกะให้” เอกมองเกี๊ยวที่พยายามแกะหอยลายในจานตัวเองอยู่นานก่อนจะออกปากช่วย ร่างสูงแอบหัวเราะเล็กๆเพราะความไม่ประสีประสาของร่างบาง
“ขอบคุณครับ” เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา เรี่ยวแรงที่มีมันเหมือนจะหดหายไปกับการเดินทางที่แสนยาวนาน
“กินผักเยอะด้วยล่ะ จะได้โตไวๆ” เอกพูดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างให้กับคนตัวเล็ก
“ครับ” นั่นทำให้เอกได้รับรอยยิ้มจางๆจากเกี๊ยวเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาถึง
เม็ดฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างบ้าคลั่งโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อาหารเย็นมื้อแรกในบ้านใหม่ของเขาดูเรียบง่ายและอบอุ่นถึงแม้ว่าจะไม่มีพ่อแม่นั่งข้างๆผมเหมือนเดิมแล้ว แต่ผมก็ต้องขอบคุณทั้งป้าและพี่ชายที่คอยให้กำลังใจผม ถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนแต่ผมก็รับรู้ได้
“ขึ้นไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวพี่จะช่วยแม่ล้างจานแปบหนึ่ง ไปคนเดียวได้รึเปล่า” พี่เอกถามผม มือก็พลางเก็บจานบนโต๊ะไปด้วย
“เอ่อ เดี๋ยวผมช่วยล้างก็ได้” มาอยู่บ้านคนอื่นแถมยังไม่ช่วยงานบ้านเค้าอีกมันก็ออกจะนิสัยไม่ดีเกินไปหน่อย
“ไม่ต้องหรอก เราน่ะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้วไม่ใช่เหรอ รีบๆไปอาบน้ำเหอะ” ว่าแล้วคนตัวสูงก็ดันหลังเล็กออกมาจากห้องครัวชนิดที่ว่าแทบจะไม่ต้องออกแรงอะไรเลย
“แต่ว่า... ผมอยากช่วย” ร่างบางยืนยันที่จะช่วยอยู่ดี
“อื้ม ตามใจงั้นยกจานตรงนั้นมาให้พี่หน่อยสิ” โหย... ทำไมเปลี่ยนใจง่ายจังแหะ พูดปุบก็ใช้ปับเลย
พี่เอกเป็นคนถูซัลไลต์ส่วนผมเป็นคนล้างจานในน้ำสะอาด พี่เอกชวนคุยจนทำให้ผมหัวเราะและลืมเรื่องที่บ้านได้สักพัก แต่นั่นมันทำให้ผมคิดถึงไอ่โอมขึ้นมาซะดื้อๆ ตอนนี้มันจะเป็นยังไงบ้างนะ กูขอโทษที่กูไม่ได้บอกมึงก่อนหน้านี้ หวังว่ามึงจะยกโทษให้กูนะ โอม...
“เอ้า ไปอาบน้ำได้แล้ว” พี่เอกก็ดันหลังผมขึ้นบันได เสียงหัวเราะของเราดังท่ามกลางเสียงของสายฝนที่ยังคงตกลงมาเรื่อยๆ
จากที่เคยตักน้ำอาบจากในโอ่งตอนนี้ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นฝักบัวแทน แต่ว่ามันใช้ยังไงว่ะเนี่ย ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยใช้เป็นครั้งแรก
“พี่เอก อันนี้มันใช้ยังไงอ่ะ” ร่างเล็กโผล่ศีรษะออกมาจากหลังบานประตูห้องน้ำ ภายในห้องมีพี่เอกกับป้ากำลังยืนคุยกันอยู่
“อืม แม่ฝากด้วยนะ” ป้าพูดเสร็จแล้วก็หันมายิ้มอย่างอ่อนโยนให้ผม ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“ไหน ก็หมุนตรงนี้ อันนี้เป็นน้ำเย็นส่วนอันนี้น้ำอุ่น ลองเปิดดูสิ” ไอ่ที่พี่เอกพูดมาผมก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ค่อยจะกล้าลองใช้เท่าไร มือเล็กเอื้อมไปเปิดก๊อกน้ำเย็นจนสุด ด้วยความไม่รู้แถมยังหันฝักบัวไปทางพี่เอกพอดีร่างสูงเลยโดนน้ำเย็นไปเต็มประตู
“พี่เอก ผะ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ร่างบางรีบขอโทษขอโพยยกใหญ่ เพราะถูกน้ำเสื้อนักเรียนผืนบางเลยแนบไปกับแผงอกแกร่งเผยให้เห็นกล้ามอกนิดๆของเอกที่เริ่มแตกหนุ่ม
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไร คราวหน้าคราวหลังก็ระวังหน่อยล่ะกัน” พี่เอกเอามือลูบหน้าตัวเอง พลางยิ้มจางๆมาให้ผม สุดท้ายพี่เอกก็หมุนก๊อกนั้นทีก๊อกนี้ทีจนอุณหภูมิของน้ำไม่ร้อนและเย็นจนเกินไป ดวงหน้าหวานซีดเซียวเพราะรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
“แม่ฝากน้องนอนด้วยไปก่อนนะ สงสารน้อง นอนคนเดียวแกอาจจะกลัวน่ะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยหลังจากที่คนตัวเล็กหายเข้าไปในห้องน้ำแล้ว
“อ่อ ได้ครับแม่ เอกก็ไม่ได้ว่าอะไร” ร่างสูงเอ่ยทันทีที่เกี๊ยวเปิดประตูออกมาพอดี
“พี่เอก อันนี้มันใช้ยังไงอ่ะ” ร่างเล็กโผล่ศีรษะออกมาจากหลังบานประตูห้องน้ำ ภายในห้องมีพี่เอกกับป้ากำลังยืนคุยกันอยู่(ย้อนไปอ่าน)
หลังจากที่ผมกับพี่เอกสลับกันอาบน้ำเสร็จ เราก็นั่งดูทีวีกันสักพัก พี่เอกเค้าก็ชวนผมคุย ถามโน้นถามนี้ จะว่าไปแล้วพี่เอกก็เป็นคนที่คุยสนุกดีเหมือนกันแฮ่ะ ถึงตอนเด็กๆผมจะจำพี่เค้าไม่ได้ก็เหอะ
ฟรึบ~!! จู่ๆไฟมันก็ดับขึ้นมาซะยังงั้น ทำให้ทั้งผมและพี่เอกต่างเงียบไปตามๆกัน
“กลัวเหรอ” พี่เอกถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แปลกไป
“ผะ ผมเปล่ากลัว” แต่ผมขยับตัวไม่ออกเลย ถึงแม้ว่าจะมีแสงนีออนจากไฟข้างถนนส่องเข้ามาทำให้พอเห็นล่างๆ แต่มันก็ยังน่ากลัวอยู่ดีนี่ครับ ฝนก็ตก แถมไม่รู้บ้านนี่มีผีรึเปล่า
แบร่ ...
เย้ย~!! สองเสียงที่ประสานดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของพี่เอกคนเดียว ส่วนผมน่ะเหรอ ลงไปกองอยู่กับพื้นแล้ว ก็พี่เอกเล่นโผล่หน้าเข้ามาใกล้ๆแถมแลบลิ้นปลิ้นตา เล่นเอาผมใจหายวูบไปอยู่ตาตุ่ม
“ฮ่าๆ ไหนว่าไม่กลัวไง” หัวเราะเข้าไป เดี๋ยวผมเอาคืนมั้งไอ่ผมก็เงียบพูดอะไรไม่ออกเลย
“นอนดีกว่า เรานอนบนเตียงนี่แหละ เดี๋ยวพี่นอนที่โซฟาเอง” พี่เอกก็หอบผ้าห่มกับหมอนไปที่โซฟาหน้าทีวี (ในห้องนอนเดียวกันนั่นแหละ) เห้ย ทำไมยังงั้นล่ะ ผมชักจะรู้สึกผิดขึ้นมาทันที มานอนเบียดกับพี่เอกจนพี่ต้องไปนอนที่โซฟาแทน เตียงพี่เอกมันเป็นเตียงเดี่ยวนอนได้คนเดียว ถ้านอนเบียดกันสองคนดึกๆก็คงมีใครคนหนึ่งตกลงมาแหงๆ
“ไม่ต้อง ผมนอนที่โซฟาก็ได้” เกรงใจสิครับ เกรงใจมากๆเลยด้วย
“อย่าดื้อสิ” พี่เอกดึงผ้าห่มกับหมอนที่ผมพยายามแย่งอยู่
“แต่ผม...กลัว” ร่างบางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทั้งกลัวทั้งเกรงใจที่มารบกวนพี่เอกถึงขนาดนี้
“อืม เหรอ งั้นนอนด้วยก็ได้ ว่าแต่เราไม่นอนดิ้นใช่มั้ย” พี่เอกพูดกึ่งทีเล่นทีจริงแล้วก็ยิ้มๆให้ผม รอยยิ้มเหมือนกับป้าไม่มีผิด ก็แม่ลูกกันนี่เนอะ มือหนาขยี้ผมคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู
ถึงผมจะไม่เคยนอนเบียดเตียงกับคนแปลกหน้า ไม่สิ ญาติห่างๆ แต่ว่ากับพี่เอกผมก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด เพราะพี่เอกใจดีกับผมมากจนบางครั้งผมคิดว่ามันมากเกินไปแล้ว ผมว่าเตียงมันเล็กแล้วนะแต่ผมกลับนอนได้อย่างสบายๆไม่ใช่เพราะผมตัวเล็กแต่พี่เอกเค้านอนจนเกือบตกเตียงเพราะกลัวว่าจะมานอนเบียดกับผมซะมากกว่าในห้องนอนที่มืดมิด มีเพียงคนตัวเล็กที่ยังคงเบิกตากว้างในความมืด ความเงียบที่มีแต่เสียงฝนเป็นเพื่อนในยามนี้ ทำให้เกี๊ยวเริ่มเข้มแข็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว จะมามัวร้องไห้เป็นเด็กๆไม่ได้อีกแล้ว
ความทรงจำสีจางๆผมจะเก็บมันไว้ที่ส่วนลึกของหัวใจและจะไม่มีวันลืม เรื่องราวที่ผ่านมาผมจะจดจำมันเอาไว้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไร อีก 1 ปี 2 ปี หรือ 5 ปีต่อจากนี้ไป เราจะเป็นยังไงเมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ เป็นทหาร หรือเป็นครู ถึงแม้ว่าวันนี้กูจะมองไม่เห็นว่าตัวเองเป็นยังไง แต่ทุกครั้งที่หลับตาลงเมื่อไร กูก็จะเห็นมึงอยู่ในความทรงจำตลอดไปนะเพื่อน
END.
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม และคอยคอมเม้นให้ผมมาตลอดนะครับ ตอนสุดท้ายฟังเพลงซื่อสัตย์ของบอดี้ไปด้วยก็ซึ้งดี เหอะๆ ขอบคุณครับ