My wife is a big boss เรื่องโดน katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My wife is a big boss เรื่องโดน katesnk  (อ่าน 161798 ครั้ง)

abcd

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
หัวใจมันเรียกร้อง  :m18: :m18: :m18:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ความรักที่ค่อยๆเกิดมักจะยาวนานและฝังแน่นเสมอ
 :a1: :a1: :a1:

........................................................

บทที่ 20 พบญาติ

มีเรื่องตลกที่ทำให้น้ำตาซึม ตอนที่พวกเราเข้าไปดูหนัง ในโรงที่ผมกับเคนไปดู แม้จะเป็นรอบดึกแล้ว ก็ยังอุตส่าห์มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง พาลูกวัยประมาณ 6-7 ขวบเข้าไปดูหนังด้วย ผมไม่ค่อยได้ดูหนังในโรงนานมากแล้ว เพราะไม่มีเวลา และรู้สึกรำคาญ ที่คนดูหนังส่วนหนึ่ง ไม่มีจิตสำนึกในการเป็นผู้ชมที่ดี

ทั้งโทรศัพท์มือถือที่ดังระหว่างชมภาพยนตร์ โดยที่เจ้าของไม่ยอมปิด หรือเปลี่ยนเป็นระบบสั่น เสียงดังยังไม่พอยังมีการรับโทรศัพท์และพูดคุยทำลายสมาธิของคนอื่นอีก เรื่องการพากษ์ไปด้วยเพราะเคยดูมาก่อน หรือเอาอาหารมีกลิ่นเข้ามากินในโรงหนัง โดยเฉพาะพวกฟาสฟู้ด ผมไม่เคยเจอ เคยแต่มีคนอื่นเล่าให้ฟัง แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นอะไรที่แย่พอควร

ครั้งล่าสุดที่ทำให้ผมสาปส่งการชมภาพยนตร์ในโรง ก็คือ เรื่องการพูดคุยหยอกเย้ากันในโรงหนัง ตอนนั้นผมไปดูหนังสยองขวัญเรื่องหนึ่ง ผมต้องการสมาธิในการดู เพื่อติดตามเนื้อเรื่อง ปรากฏว่าผมโชคร้าย ดันนั่งติด คู่รักคู่หนึ่ง ซึ่งทำตัวหวานใส่กันโดยไม่รู้จักกาลเทศะ

เริ่มตั้งแต่หนังตัวอย่าง สองคนนั้นก็คุยกันกระหนุงกระหนิง ป้อนขนม ป้อนน้ำกันยุกยิก เห็นแล้วน่ารำคาญ ผมอุตส่าห์ข่มใจเพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่หนังมา จะทำอะไรก็ทำไป และหวังว่าเขาสองคนคงเลิกพฤติกรรมนี้เมื่อหนังฉายแล้ว

ปรากฏว่าผมคิดผิด พอหนังเริ่มได้สักพัก ผู้หญิงซึ่งสงสัยเป็นพวกมนุษย์เจ้าปัญหา ก็เริ่มถามแฟนของตัวเองทันที ว่าทำไมตัวละครต้องทำอย่างนั้น แล้วคนนั้นทำไมถึงตอบกลับไปแบบนี้ ถ้าพูดกันเบาๆผมจะไม่ว่า

แต่นี่พูดคุยเสียงดังมาก ผมหันไปมองตั้งหลายครั้งก็ไม่ใส่ใจ ตอนไหนที่มีฉากน่ากลัว ผู้หญิงคนนั้นก็จะร้องวี้ด และผวาเข้าไปกอดแฟนหนุ่ม ตัวแทบจะเกยกันแล้ว ผมได้แต่นึกหงุดหงิดในใจ อยากจะด่าออกไป แต่ก็เกรงจะมีเรื่องมีราว ผมไม่อยากเป็นฝรั่งที่ไปทะเลาะเบาะแว้งกับคนไทย ไม่อยากให้มีอคติ ทางชาติพันธุ์เกิดขึ้น

ครึ่งหลัง ผมนั่งดูหนังไม่รู้เรื่อง เพราะรู้สึกหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา หันไปมองหน้าก็แล้ว จุ๊ปากก็แล้ว ขั้นสุดท้าย ขอร้องด้วยความสุภาพ ผู้หญิงคนนั้นก็หันมามองผมอย่างเหยียดๆ ราวกับว่าผมเป็นตัวประหลาดที่ไปต่อว่าต่อขานเธอ ในที่สุดผมก็เลิกให้ความสนใจ จะทำอะไรก็เชิญ คนบางคนก็อยากต่อการแก้ไข เพราะนิสัยไม่ดีมันฝังรากหยั่งลึกลงไปแล้ว กะอีแค่มารยาททางสังคมยังไม่มี แล้วจะไปทำตัวดีมีประโยชน์ต่อคนอื่นได้อย่างไร

ผมหยุดความคิดคำนึง เมื่อบนจอขอให้เรายืนตรงเพื่อแสดงความคารวะต่อพระเจ้าอยู่หัวของคนไทย ทุกคนพร้อมใจลุกขึ้น รวมถึงครอบครัว พ่อแม่ลูกนั่นด้วย สักพักก็มีเสียงเล็กๆของเด็กช่างสงสัย ถามพ่อของตัวเองขึ้นมา

“พ่อครับ คุณลุงคนนั้นเขาเป็นใครเหรอ ทำไมทุกๆคน ต้องยืนขึ้นด้วยล่ะ”



--------------------
คำถามที่ไร้เดียงสานั้น ผมว่าคนในโรงหนัง น่าจะเอ็นดู มากกว่าที่จะโกรธเด็กที่เด็กส่งเสียงดังขณะที่ทุกคนกำลังยืนตรงถวายความเคารพอยู่ ตัวผมนั้นลุ้นตามไปด้วย ว่าพ่อของเขาจะตอบยังไง ให้ลูกเข้าใจ

“อ๋อ คุณลุงคนนี้ เขาเป็นพ่อของพ่อน่ะลูก ท่านทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อพวกเรา พวกเรารักท่านมา เราจึงต้องยืนตรงเพื่อแสดงความเคารพรักในตัวท่านยังไงล่ะ”

ผู้เป็นพ่อตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมหันไปมองหน้าเคน ก็เห็นเขายืนอมยิ้ม ผมรู้ว่าเขาก็นิ่งฟังการโต้ตอบของพ่อลูกคู่นั้นอยู่เหมือนกัน

“แต่พ่อครับ แล้วคุณปู่ที่อยู่ที่บ้านล่ะ คุณปู่ไม่ใช่พ่อของพ่อหรือครับ”

เด็กน้อยนั้นยังคงสงสัยต่อเนื่อง ผมลุ้นฟังคำตอบต่อไป

“คุณปู่ที่อยู่ที่บ้าน ก็เป็นพ่อของพ่อนั่นแหละถูกแล้ว แต่พ่อของพ่อ ก็มีพ่ออีก คุณลุงคนนั้น นอกจากจะเป็นพ่อของพ่อแล้ว ยังเป็นพ่อของคุณปู่อีกด้วยนะลูก”

“แปลกจังเลยนะฮะพ่อ คุณลุงคนนั้นเป็นพ่อของพ่อ แล้วก็ยังเป็นพ่อของปู่ด้วย คุณลุงเป็นพ่อของคนอื่นๆอีกหรือเปล่าครับ”

เริ่มมีเสียงหัวเราะเบาๆจากคนรอบข้างผมที่ได้ยินได้ฟังคำสนทนาของหนูน้อยกับพ่อ ผมเหลือบมองเคน ก็เห็นว่าเขากำลังหัวเราะด้วยเหมือนกัน เขาหันมาเห็นผมเข้าพอดี เขายิ้มให้ผม

“เป็นสิลูก หนูน่ะ นอกจากพ่อที่เป็นพ่อแท้ๆแล้ว ก็ยังมีคุณลุงในจอหนังเป็นพ่อด้วยนะ ท่านเป็นพ่อของพวกเราทุกคน เป็นพ่อของประเทศชาติ และท่านก็รักพวกเราด้วย วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อหนูโตขึ้น เรียนรู้อะไรมากพอ หนูจะรู้ว่าท่านรักลูกๆของท่านมากแค่ไหน ท่านเป็นพ่อที่ยิ่งใหญ่ และประเสริฐมาก ไม่มีพ่อคนไหนในโลกอีกแล้ว ที่จะทำเพื่อลูกได้ถึงเพียงนี้”

พูดมาถึงตรงนี้ ผมเห็นคนหลายคนเริ่มเงียบ เมื่อหันไปมองเคนอีกครั้งก็เห็นว่าเขายืนนิ่ง แสงไฟจากจอภาพ ทำให้ผมมองเห็นน้ำตาที่ไหลหยาดต้องแก้มของเขา สงสัยคงจะสะเทือนใจในคำพูดนั่น เพราะผมเองฟังแล้วก็ยังรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ ภายใต้การปกครองของพ่อหลวงที่คนไทยทั้งปวงเคารพรัก

“ถ้างั้นผมก็จะรักท่าน เหมือนกับที่ผมรักพ่อกับปู่ครับ”

ผู้เป็นลูกตอบ อยู่ๆผมก็น้ำตาซึมขึ้นมา เมื่อตระหนักว่าคนไทยเคารพรักพ่อหลวงของเขามากมายขนาดไหน หาได้ยากมากที่ประเทศใดในโลกนี้จะมีบุคคลสำคัญที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติได้เท่ากับในหลวงของคนไทย


...........................................

เครดิต ---- เรื่องพ่อกับลูกนี้ เอามาจากพันทิพนะคะ มีคนมาเล่าให้ฟังไม่ รู้ว่าชื่ออะไร แต่อ่านแล้วชอบค่ะ เลยขอเอามาใส่ในนิยายนะคะ ชอบและประทับใจมาก ฟังกี่ที ก็อดจะร้องไห้ตามไม่ได้ค่ะ


--------------------
......................................

ผมเป็นคนต่างชาติต่างภาษา แต่ก็เกิดและเติบโตมาบนผืนแผ่นดินนี้ ได้เห็นความจงรักภักดีของทุกคนที่มีต่อกษัตริย์ของพวกเขา คนที่ชาวไทยยกไว้เหนือเกล้าให้เป็นพ่อของปวงชน

ได้เห็นพระราชกรณียกิจของท่านซึ่งมีมากมาย เพื่อให้ประชาชนของท่านอยู่ดีกินดี หลายครั้งที่ประเทศนี้มีเรื่องวุ่นวาย แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยลงได้เพราะบารมีของพระองค์ท่าน และผมก็นับถือพระเจ้าอยู่หัวของคนไทยเป็นกษัตริย์ในดวงใจของผมด้วยเช่นเดียวกัน

คนในครอบครัวของผมทุกคน ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง และพวกเราก็ตั้งใจว่า จะทดแทนคุณแผ่นดินที่ให้พวกเราได้มีโอกาสทำมาหากิน จะไม่สร้างปัญหาให้เจ้าของประเทศเดือดเนื้อร้อนใจ แต่จะอยู่อย่างกลมกลืนไปกับพวกเขา ศึกษาวัฒนธรรม ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ผมคิดว่ามันจะทำให้พวกผมซึ่งเป็นชนส่วนน้อยอยู่ร่วมกับคนไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ได้อย่างมีความสุข

“เคนร้องไห้หรือครับ”

ผมกระซิบถามเคนข้างๆหูด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เมื่อจบเพลงสรรเสริญพระบารมีแล้ว เคนยิ้มอายๆ ไม่ตอบผม รีบนั่งลงทันที ผมนั่งตาม และดึงเขามาจูบซับน้ำตาที่แก้มอย่างรวดเร็ว

โชคดีที่ผมนั่งแถวบนสุด ซึ่งเป็นที่นั่งแบบฮันนีมูนสวีท และทั้งแถวมีแค่ผมกับเคนเท่านั้น จึงไม่มีใครมามองให้ผมกับเคนต้องอาย เคนไม่ปฏิเสธผม ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเขากำลังอยู่ในอารมณ์ซาบซึ้งอยู่ก็ได้

ผมเอื้อมมือไปจับมือของเคนมากุมไว้ ปรารถนาที่จะส่งผ่านความอบอุ่นจากผมไปยังจิตใจของเขา เคนหันมายิ้มให้กับผม ใบหน้าที่เห็นนั้นดูน่ารัก จนผมอยากจะจูบกอดเคนเสียในโรงหนัง ต้องใช้ความยับยั้งมากมายที่จะไม่ให้ทำอะไรตามใจตัว เอาไว้ไปถึงที่พักของผมเมื่อไหร่ ผมค่อยอ้อนเขาดีกว่า เผื่อว่าเขาจะยอม

ตลอดเวลาที่นั่งดูหนังซึ่งมีความยาวเกือบ สามชั่วโมง เคนของผมให้ความสนใจกับภาพบนจอเต็มที่ ผมนั่งดูแล้วก็คิดตามไปด้วย ถึงแม้หนังจะยาว แต่ก็สนุกพอสมควร บางฉากอาจจะได้แรงบันดาลใจมาจากหนังฝรั่งบ้าง แต่ก็ยังพอถูไถไปได้ เมื่อมองถึงสิ่งที่หนังต้องการสื่อ ความรักชาติ รักแผ่นดินบ้านเกิด ความสามัคคีในหมู่ของคนไทย และการทรยศหักหลัง

ไม่ว่ายุคใดสมัยใด ก็มีคนดีๆที่คิดทำประโยชน์ต่อแผ่นดิน และคนชั่วที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองเสวยสุข โดยไม่แคร์ว่าประเทศชาติบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร แต่คนที่ทำอะไรไว้ ก็ย่อมได้รับผลกรรมอันนั้น สักวันหนึ่ง พวกเขาต้องชดใช้กรรมในสิ่งที่ตัวเองก่อ ไม่มีคนทำชั่วคนไหน ยืนยงอยู่ได้ โดยไม่ถูกฟ้าดินลงโทษ

“เป็นหนังที่ดีมากเลยครับ ผมเคยเรียนประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยามาตอนเป็นเด็กๆ จำได้ว่าคุณครูเก่งมากเลย เล่าให้ฟังเป็นฉากๆ จนเห็นภาพ ทำให้ผมชอบวิชาประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ตอนนั้น แต่พอได้มาเห็นเอง มันทำให้ผมยิ่งประทับใจมากเลยครับ มันทำให้ได้รู้ว่า แผ่นดินที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ กว่าที่เราจะได้มา เราต้องสูญเสียไปมากเท่าไหร่ มันทำให้ผมคิดว่า ในฐานะที่เกิดมาเป็นคนไทย เราควรจะหวงแหนมันเอาไว้ครับ”

ดูหนังเสร็จออกมาจากโรง เคนก็พูดเป็นต่อยหอย ผมฟังเขาเพลิน ตามปกติ เคนจะคุยกับผมน้อยมาก ถามคำตอบคำ ไอ้ประเภทชวนคุยก่อน แทบจะนับครั้งได้ เหมือนว่าเขายังเกรงผมอยู่ เนื่องจากผมเป็นหัวหน้าเขา ถ้าหากผมอยากให้เคนเป็นกันเองกับผมมากกว่านี้ สงสัยต้องหลอกพาเขามาเที่ยวบ่อยๆแล้ว

“ผมก็ชอบนะ เป็นหนังที่ชวนให้ฮึกเหิม ปลุกใจให้รักชาติได้ดีทีเดียว”



--------------------
....................................................

ผมชมอย่างจริงใจ แม้ตัวหนังจะเทียบไม่ได้กับที่พวกHollywood ทำ แต่เนื้อหาก็กินใจดี เคนยิ้มแก้มแทบปริ ที่ผมทำท่าชอบหนังเรื่องนี้ เขาชวนผมคุยไม่หยุดเลย เกี่ยวกับพระองค์ดำ กษัตริย์นักรบที่กอบกู้เอกราช ทำให้ประเทศชาติกลับมาเป็นปึกแผ่นมั่นคงอีกครั้ง

ท่าทางเขามีความสุขมาก เขาบอกว่าเขาภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย ไม่มีที่ใดในโลกที่จะสวยงามน่าอยู่เท่าที่นี่อีกแล้ว ผมนิ่งฟังและรู้สึกขำในใจ ไม่นึกว่าภายใต้ท่าทีเปิ่นๆ ซื่อๆของเขา จะมีเลือดแห่งความรักชาติร้อนแรงเข้มข้นอยู่ภายใน

พอถึงประโยคสุดท้าย ผมก็เกิดขำปนเศร้าขึ้นมา เขาว่าที่นี่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว และถ้าวันหนึ่ง ผมชวนเขาไปอยู่ที่เมืองนอก เขาจะไปกับผมไหม แล้วเขาจะชาตินิยม จนไม่อยากจะเกี่ยวดองกับฝรั่งอย่างผมหรือเปล่า มีสามีที่รักชาติยิ่งชีพแบบนี้ สงสัยผมคงต้องเหนื่อยกับการทำให้เขายอมรับผมไปอีกนานแน่เลย

เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ออกจากโรงหนัง ไปตามทางเดินที่จะไปยังลิฟท์ ผมเหลือบดูนาฬิกา มันยังไม่ดึกมากนัก ผมต้องถ่วงเวลาเอาไว้ให้นานที่สุด หากอยากจะหลอกเขาไปเพนเฮ้าส์ของตัวเอง ผมเลยแกล้งทำเป็นว่าหิวข้าวขึ้นมาอีก ทั้งที่จริง ผมไม่ได้รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย

บอกเคนไปปุ๊บ เขาก็ตามใจผมทันที เขาเอามือมาแตะหน้าผากผมอีก ตัวผมยังร้อนรุมอยู่ และผมก็รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย แต่ความที่ผมออกกำลังกายเสมอ เลยทำให้ผมพอจะฝืนสังขารอยู่ได้ สามีของผมทำสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย แต่เขาไม่กล้าโต้แย้งอะไรมาก เพราะเขานึกว่าผมอยากทานจริงๆ แล้วผมจะได้ทานยาด้วย เขาเลยตกหลุมพรางของผมโดยง่าย

ขณะที่เรากำลังเลือกร้าน ว่าจะทานที่ไหนกันดี เสียงเรียกชื่อเคนก็ดังขึ้น เราสองคนหันไปมอง ก็พบชายหญิงคู่หนึ่งใส่เสื้อยืดสีเหลืองมีสกรีน เรารักในหลวง ท่าทางเป็นสามีภรรยากัน จูงลูกเล็กมาด้วย ทั้งหมดกำลังมองมายังเราสองคน ทำท่าเหมือนไม่ค่อยจะแน่ใจว่าใช่คนที่รู้จักเขาหรือเปล่า ผมเห็นเคนของผมเบิกตาโต จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาคนทั้งสามทันที

“พี่คำก้อน พี่หนูพลอย ไปไงมาไงถึงมาที่นี่ล่ะ มาดูหนังกันเหรอ ”

สามีของผมทักเป็นภาษาอีสานบ้านเกิดของเขา สงสัยเจอคนบ้านเดียวกัน ดีจังที่ฟังออก เพราะที่บ้านมีคนใช้เป็นคนมาจากทางภาคอีสานด้วย เลยได้ฟังพวกเขาคุยกันตั้งแต่ผมยังเล็กแล้ว

“ ช่าย อ้ายพาพี่หนูพลอยเขามาดูหนัง นานแล้วตั้งแต่เข้ากรุงเทพมา มัวแต่ทำงาน ไม่มีเวลาได้พักเลย เพิ่งจะมีวันนี้แหละที่ว่าง ถึงได้พากันมาได้ แต่มาดึกไปหน่อย เพราะเลิกงานช้าน่ะ”

“ดีใจจังเลย ที่ได้เจอพวกพี่ๆ ผมอยากจะกลับบ้านใจจะขาด แต่ยังไม่มีเวลาเลย นี่เพิ่งเริ่มงานเหมือนกัน ยังไม่กล้าลาหยุด เอาไว้ถ้ามีเวลา จะกลับบ้านไปหาพี่หาน้อง หาพ่อหาแม่ ไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นไงบ้าง”



--------------------
โถ พ่อคุณพ่อทูนหัว สามีของผม คงคิดถึงบ้านมากสินะ เขาไม่กล้ากลับไปเพราะเพิ่งได้ทำงาน คงจะไม่มีเงิน และกลัวเจ้านายจะดุด้วยกระมัง แต่ผมไม่ใช่คนใจร้ายนี่นา ถ้าอยากลา ก็มาบอกผมก็ได้ ดีไม่ดี ผมอาจจะขับรถไปกับเขาด้วย

เพื่อหาโอกาสได้เจอกับ พ่อผัว แม่ผัว ทำความรู้จักกันไว้ก่อน ไม่รู้ว่าพ่อแม่เคนจะใจดี และน่ารักแบบเคนหรือเปล่า จะรับลูกสะใภ้ฝรั่งได้ไหม แล้วพวกเขาจะรังเกียจที่ลูกชายมีเมียเป็นเพศเดียวกันไหมนะ เป็นเรื่องที่ต้องลุ้นจริงๆ

“ตอนอ้ายขึ้นมา แม่เคน ฝากความคิดถึงมาด้วย และบอกให้โทรไปหาบ้างนะ”

พี่คำก้อนของเคน นำความจากแม่มาบอกเล่าให้เขาฟัง ผมเห็นว่าท่าทางจะคุยกันอีกนาน ซึ่งมันก็เข้าทางผมพอดี เพราะผมต้องการจะถ่วงเวลาของเคนอยู่แล้ว ผมจึงเดินไปหาเคน แล้วชวนเขาไปทานข้าว รวมถึงชวนสองสามีภรรยานั่นด้วย

“เอ้อ....นี่เจ้านายผมครับ พี่คำก้อน พี่หนูพลอย”

เคนแนะนำผมกับญาติของเขา หลังจากเรามาหย่อนตัวนั่งลงในร้านอาหารที่มีกาแฟเป็นตัวชูโรง ผมเลือกร้านนี้ เพราะมีทั้งเครื่องดื่ม และอาหารไว้คอยบริการ ที่สำคัญเจ้าของเป็นคนไทยด้วย พ่อของผมรู้จักกับเขาในงานเลี้ยงสำหรับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และคบหาสมาคมกันมาเนิ่นนาน ครอบครัวเราจะอุดหนุนสินค้าของกันและกันเสมอ และผมก็มีบัตรวีไอพี สำหรับลดราคาอาหารและเครื่องดื่มด้วย แต่ผมไม่ค่อยจะได้สิทธิ์สักเท่าไหร่

สองผัวเมียทำหน้างงๆเล็กน้อย คงจะงงว่าทำไมเจ้านายกับลูกน้องจึงเกี่ยวก้อยกันมาดูหนังแบบนี้ แถมยังทำท่าเหมือนกำลังจับผิดผมสองคน ผมคิดว่าเคนคงกำลังอึดอัดใจไม่รู้ว่าจะอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างเราอย่างไรดี ถึงจะทำให้ญาติของเขาหายสงสัย ผมเลยชิงพูดขึ้นก่อน เพื่อรักษาหน้าสามีของผม

“เคนเป็นผู้ช่วยเลขาของผมครับ ผมจะเรียกใช้เขาเสมอ เผื่อเวลาที่ผมต้องการอะไรขึ้นมาเร่งด่วน เขาจะได้จดบันทึก และรอรับคำสั่งผมได้ ผมไม่อยากใช้เลขาผู้หญิงครับ เพราะเวลาไปไหนด้วยกันมันจะมีคำครหาได้ง่าย ยิ่งเวลาที่เป็นส่วนตัวแบบนี้ คนอาจจะเข้าใจผิด มีเลขาผู้ชายสบายกว่ากันเยอะเลยครับ”

ไม่รู้ทำไมต้องไปอธิบายให้กับคนที่ไม่รู้จัก ได้เข้าใจการกระทำของผมกับเคนยืดยาวขนาดนี้ เกิดมาไม่เคยจะแคร์ความรู้สึกใครมาก่อนเลย ยกเว้นเมื่อครู่ที่ผมรู้สึกว่าจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อแก้ความเข้าใจผิด ผมเกรงว่าเคนจะเสียหาย ทั้งที่ใจสั่งว่าให้ผมเปิดตัวเป็นภรรยาของเขา แต่ผมก็รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะเกิดการยอมรับกันได้ง่ายนัก ผมไม่อยากให้เคนถูกนินทาว่าร้ายจากบรรดาญาติๆของเขา หากเคนได้รับแรงกดดันมากๆ เขาอาจจะอยากหนีไปจากสภาพที่เป็นอยู่นี้ก็ได้

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ เอ้อ...ถ้าไงก็ฝากน้องผมสักคนนะครับ”

นายคำก้อนมีทีท่าเกรงอกเกรงใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อผมพูดจบ ผมอดขำไม่ได้ นี่ท่าทางผมน่าเกรงขามมากอย่างนั้นเชียวหรือ ผมคิดว่าตนเองพูดแบบคนปกติทั่วไป ไม่ได้สวมหัวโขนเจ้านายเลยสักนิด เมื่อกี้ยังแอบคิดว่า ญาติของเคนจะเชื่อหรือเปล่าว่าเรามาด้วยกันแบบนายจ้างกับลูกจ้าง แต่ปรากฏว่าพวกเขากลับกลัวผมโดยไม่ต้องทำท่าดุดันแม้แต่น้อย อย่างนี้ก็ง่ายหน่อย คงไม่กล้าคิดว่าผมกับเคนมีอะไรกันเกินเลยกระมัง
“เคนเขาทำงานดี ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”



--------------------
คำพูดของผมคงทำให้สถานการณ์ดีขึ้นมาหน่อย คำก้อนกับหนูพลอย ยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรมากขึ้น ไม่เกร็งเหมือนทีแรก ในขณะที่เคนเองก็หน้าบานไม่ใช่น้อย การที่ถูกเจ้านายชมต่อหน้าญาติๆของเขา คงทำให้เคนมีความสุข

และเพื่อให้บรรยากาศมันเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น ผมก็เลยเชิญชวนให้พวกเขาสั่งอาหาร ตอนแรกพวกเขาก็ปฏิเสธว่าอิ่มแล้ว ผมมองท่าทางของพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาคงหิวพอประมาณ แต่ไม่กล้าสั่งอะไรมาทาน เพราะกังวลใจเรื่องเงิน หรือไม่ก็ไม่สะดวกที่จะทานอาหารกับคนแปลกหน้า แถมซ้ำยังเป็นเจ้านายของญาติตัวเองด้วย

ในเมื่อผมตั้งใจจะจริงจังกับเคน ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของเขา ญาติของเคนก็เหมือนญาติของผม เมื่อเราสองคนเปิดตัวว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอะเจอกับญาติของเขา ดังนั้นผมควรจะฝากเนื้อฝากตัวกับคนเหล่านี้ไว้ดีกว่า บางทีพวกเขาอาจจะช่วยเป็นแรงหนุนที่สำคัญให้ผมก็ได้

“แล้วหนูล่ะ หิวไหม”

ผมหันไปหาเจ้าตัวเล็ก ซึ่งผมแอบถูกชะตามาตั้งแต่เขาอยู่ในโรงหนัง ตอนนี้เขากำลังนั่งจ้องผมไม่วางตา คงไม่เคยเห็นฝรั่งกระมัง

“หิวสิ แม่หิวข้าว”

เขาตอบผม แล้วหันไปหาแม่ พี่หนูพลอยของเคนทำหน้าเสีย ที่ลูกแสดงความอยากกินออกมาทำให้ขายหน้าทั้งที่บอกไปแล้วว่าไม่หิว ทานกันมาแล้ว

“เดี๋ยวเราก็กลับบ้านกันแล้วลูก”

คนเป็นแม่บอก แต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะหิวจริงๆ เลยทำหน้ามุ่ยๆ แต่คงกลัวจะโดนดุ เลยไม่กล้าร้องงอแงออกมา ผมเลยต้องเป็นฝ่ายจัดการซะเอง

“เอาข้าวผัดปูมาให้เด็กที่หนึ่งนะครับ พวกคุณจะทานอะไรก็เชิญได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ ถือเสียว่ามื้อนี้ ผมเลี้ยงเพื่อทำความรู้จักญาติของลูกน้องผมแล้วกัน”

พูดจบ ผมก็สั่งอาหารมาทานด้วยกันประมาณ 4-5 อย่าง จากนั้นก็บอกให้เคนดูกับข้าวมาเผื่อญาติเขาด้วย เพราะขืนรอให้พวกเขาสั่ง เขาคงไม่กล้า เนื่องจากเกรงใจผม เคนหันมากล่าวขอบคุณ แล้วก็หันไปถามญาติของเขา ได้รายชื่ออาหารที่ต้องการมาอีก 3-4 รายการ

ระหว่างที่รอพนักงานมาเสิร์ฟ พวกเราก็นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ที่จริง ผมเป็นคนเปิดประเด็นด้วยการถามว่าพวกเขาทำงานอะไรที่ไหน แล้วก็ปล่อยให้พวกเขาพูด แล้วผมเป็นฝ่ายนั่งฟังมากกว่า

คำก้อนเล่าให้ผมฟังว่า เขาเป็นลูกของพี่ชาย แม่ของเคน พวกเขาจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน คำก้อน เรียนจบ ม.6 ก็ออกมาช่วยพ่อแม่ทำนา พอทำไปได้สักพัก ก็ไม่ไหว เพราะผลิตผลที่ได้ ไม่เพียงพอที่จะเอาไปใช้หนี้ พ่อแม่เลยขายที่นาบางส่วน แล้วก็ซื้อรถกะบะ ให้เขาเอาไปไว้รับจ้าง ส่งพืชไร่ แต่รถก็ดันมาคว่ำ พังเสียหาย ทำมาหากินไม่ได้ เลยเข้ามาทำงานในกรุงเทพ เป็นคนงานในโรงงาน ไต่เต้าจนได้พนักงานระดับหัวหน้าแล้ว แต่โรงงานกลับไปไม่รอด ต้องปลดพนักงานออก



--------------------
คำก้อนเป็นหนึ่งในนั้น เขาเพิ่งถูกปลดจากการเป็นพนักงานมาได้สักอาทิตย์แล้ว ได้เงินมาก้อนหนึ่ง ไม่มากเท่าไหร่ พอจะอยู่ได้ประมาณ สักสี่ห้าเดือน ต้องหางานใหม่ แต่งานก็แสนจะหายาก ช่วงนี้เขาเลยไปทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่โรงงานแห่งหนึ่ง สัญญาว่าจ้างแค่เดือนเดียว หลังจากนี้ก็ต้องกลับไปว่างงานเหมือนเก่า เมียของเขาเดิมทีอยู่บ้านก็ต้องช่วยอีกแรงด้วยการเข็นข้าวแกงไปขาย ฝากลูกให้คนอื่นเลี้ยง เย็นก็รับกลับ ไม่ค่อยได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา วันนี้ ได้โอกาสออกมาพักผ่อนกันบ้าง ก่อนจะลุยงานหนักเหมือนเดิม

ผมนิ่งฟังเขาเล่า แล้วก็ให้รู้สึกเห็นใจอย่างมาก ผมคิดว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ไม่ได้โกหกหรือเสแสร้งให้ดูน่าสงสาร ท่าทางเขาดูซื่อๆเหมือนเคนไม่มีผิด ตอนแรกที่ผมถามเขา เขาก็ทำท่าว่าไม่อยากจะเล่า ด้วยยังเกรงที่ผมเป็นคนแปลกหน้า แต่พอถูกผมชวนพูดคุย เขาก็ค่อยๆคลายความระแวงและเล่าออกมาให้ฟัง ผมลอบมองหน้าสามีของผมหลายครั้ง ก็เห็นเขาทำหน้าสงสารลูกพี่ลูกน้องของเขา คงจะเห็นใจในชะตากรรม แต่ไม่รู้จะช่วยอะไรได้

ค่ำวันนั้น ผมเลี้ยงข้าวพวกเขา ตอนที่พวกเขาจะกลับ ผมได้ยินเคนขอเบอร์โทรศัพท์พวกเขาและจดไว้ในกระดาษ เขาไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ผมให้ติดมาด้วย เพราะผมเองก็ไม่ได้บอกเป็นกิจจะลักษณะว่าเป็นของเขา ผมเลยบอกให้เคนบันทึกเบอร์ไว้ในโทรศัพท์มือถือของผม ใส่กระดาษเดี๋ยวมันหาย เคนก็เลยรับไปอย่างเกรงๆ ต่อหน้าคนอื่น แม้จะเป็นเวลาส่วนตัว เคนก็รู้ดีว่าควรจะปฏิบัติแบบให้เกียรติผมอย่างไร

หลังมื้อค่ำผ่านไป เคนจะพาผมกลับบ้าน แต่ผมบอกให้ลุงเทพพาไปที่เพนเฮ้าส์ก่อน เคนหันมามองหน้าผมอย่างจับผิด เขาคงระแวงว่าผมจะเล่นตลกกับเขา นับว่าเขาเองก็มีความช่างสังเกตอยู่ไม่น้อย ผมเลยต้องโกหกเขาว่า ผมจะขึ้นไปเช็คงานสักหน่อย แวะแป๊บเดียว เดี๋ยวค่อยกลับไปห้องเขา เพราะผมไม่ได้มาทำงาน บางทีอาจจะมีอะไรที่ต้องให้ผมสะสาง อย่างน้อยๆ หากผมได้ดู อาจจะช่วยทำให้ตัดสินใจอะไรได้บ้าง
เคนผู้แสนซื่อ เชื่อผมอย่างง่ายดาย ถ้าอะไรที่เกี่ยวข้องกับงาน เขาจะไม่โต้เถียง หรือตั้งข้อสงสัย ผมจึงสามารถหลอกพาเขาขึ้นไปยังชั้นบนได้ โดยผมพาเขาไปยังห้องทำงานของผมก่อน ทำทีเป็นเปิดคอม ตรวจตราดูจดหมายอิเลคทรอนิคส์ที่มีมาถึงผม ว่ามีเรื่องอะไรสำคัญบ้าง จากนั้นก็เปิดแฟ้มงานที่นนทรีนำมาวางไว้ให้บนโต๊ะ มีเอกสารที่จะต้องให้ผมเซ็นต์อนุมัติอยู่สองสามรายการ ไม่รีบร้อนนัก ผมวางมันกลับที่เดิม ยังไม่เซ็นต์ในทันที เพราะผมอยากทราบรายละเอียดจากเลขาของผมก่อน เพราะผมมอบให้เธอเป็นคนช่วยจัดการให้ ในระหว่างที่ผมไม่สบาย

ระหว่างที่ผมนั่งทำงาน เคนก็นั่งเงียบๆรอผมอยู่ที่โซฟา ท่าทางเขาคงง่วงเหมือนกัน เพราะแอบเห็นอ้าปากหาวบ่อยๆ พอผมหันไปมอง เขาก็ทำเป็นกระปรี้กระเปร่า จนผมรู้สึกขำในใจ ตอนแรก เคนว่าจะมาช่วยผมทำงาน เตรียมจะจดข้อมูลเสมือนหนึ่งว่ากำลังทำหน้าที่ผู้ช่วยเลขา แต่ผมบอกให้เขาไปนั่งพัก เพราะว่าผมแค่มาเช็คเรื่องงานเท่านั้น ไม่มีอะไรสำคัญมากถึงขนาดที่จะต้องจดบันทึกช่วยจำ เคนก็เลยไปนั่งคอยให้ผมทำงานจนเสร็จ



--------------------

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ลุ้นๆๆ เคนจะรอดมั๊ยคืนนี้  :m3: :m3: :m3:

OhhO16

  • บุคคลทั่วไป
อิอิ ผมว่าไม่รอด มาลุ้นดีกว่า ว่ากี่ยก 5555 :m18:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
ยาวสะใจ แถมมีสาระดีเยอะแยะเลย แล้วมารอลุ้นตอนต่อไปด้วย อิอิ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
รอลุ้นเคนจาดดนมั้ยน๊า  :m9:  :m9:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ลุ้นกันไปถึงไหนแล้ว คนลามก
 :m20: :m20: :m20:
********************
บทที่ 21 แผนร้ายเล่ห์รัก

ผมแกล้งถ่วงเวลาทำงานให้นานที่สุด เปิดคอมโน่นดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกเวปไซด์บริษัทในเครือ ผมเปิดดูเป็นสิบๆรอบแล้ว เพื่อดูความเจริญเติบโตก้าวหน้า และดูเรื่องผลผลิต การเปิดดูในคืนนี้ จึงเป็นการเปิดดูแบบไม่จริงไม่จังที่ต้องแสร้งทำเป็นว่าจริงจัง

เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ผมคิดว่าเป็นเวลาที่พอเหมาะพอควร ดึกกว่านี้ไปก็จะไม่ค่อยดี เพราะต่างคนต่างง่วง อาจจะหงุดหงิดใส่กันเสียเปล่าๆ ผมกะจะฟอร์มว่าไม่สบาย ให้เขาพาไปนอนพัก แล้วก็ถือโอกาสอ้อนให้เคนอยู่กับผมที่นี่คืนนี้

แต่จังหวะที่ผมยืนขึ้น เพื่อจะไปเรียกเขา ผมกลับรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาจริงๆ อาจจะเป็นเพราะผมยังเป็นไข้อยู่ แถมยังฝืนสังขารไม่ยอมนอนพักผ่อนต่อ ตะลอนๆไปโน่นมานี่ โดนแอร์ที่เย็นฉ่ำ แถมซ้ำยังมานั่งจ้องหน้าคอมนานๆ จนปวดหัวอีก เลยเกิดอาการไข้จับขึ้นมาจริงๆ ก็ดีมันจะได้แนบเนียนหน่อย ถึงจะต้องป่วยนานๆ ก็คุ้มค่า หากมีพยาบาลสุดหล่อมาคอยเฝ้าไข้ผม

เคนรีบลุกขึ้นทันที่แล้วผวาเข้ามาหาเมื่อเห็นว่าผมเซถลาตอนยืนขึ้น เขาประคองผมให้นั่ง แล้วก็เอามือแตะหน้าผากผมโดยอัตโนมัติ เหมือนจะเช็คว่าผมป่วยอย่างที่เขาคิดใช่ไหม หลังจากที่รับรู้ว่าตัวผมยังร้อนรุมด้วยพิษไข้ เขาก็ดุผมทันที

“เห็นไหม บอกแล้ว ว่าไม่สบายอย่ามาเที่ยวตะลอนๆแบบนี้ เป็นไงล่ะ ผลของการไม่เชื่อกันบ้าง เคลวินดื้อรั้นที่สุดเลย ไม่น่ารักเลยสักนิด อย่างนี้น่าจะปล่อยให้นอนป่วยซะให้เข็ด”

ผมมองสบตาที่แสดงออกถึงความห่วงใยของเขาแล้วก็ส่งยิ้มเจื่อนๆให้ แม้ว่าเขาจะกำลังตำหนิผมอยู่ ผมก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเขาจนนิดเดียว กลับรู้สึกเป็นสุขที่เขาเป็นกังวลเกี่ยวกับตัวผม รู้สึกผิดนิดหน่อยที่เจ้าเล่ห์กับเขา แต่เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้เคนแล้ว ผมยอมโดนตำหนิ

“ผมขอโทษนะ ที่เอาแต่ใจตัวเอง คราวหลังจะไม่ทำให้เคนลำบากใจอีกแล้วนะครับ”

บอกเขาเสียงอ้อนรู้สึกหนักๆหัว เลยเอียงหัวไปซบบ่าของเขา เคนส่ายหน้า เหมือนว่าระอาที่ผมเอาแต่ใจตัวเอง แล้วพูดขู่ผมอีก

“ก็ลองดื้อดูสิครับ ผมจะไม่สนใจเคลวินอีกแล้ว”

“ไม่เอานะครับ อย่าทำแบบนั้นนะ”

ร้องห้ามเสียงหลง ก่อนจะไอโขลกเขลกออกมาอีกหนึ่งชุดใหญ่ แต่ความสนใจของผมไม่ได้อยู่ที่อาการของตัวเอง ผมกังวลกับคำพูดของเขามากกว่า ยอมไม่ได้ถ้าเคนจะเลิกดูแลผม ตอนนี้ทำได้อย่างเดียว คือสงบเสงี่ยม และแสร้งทำเป็นป่วยให้สมบทบาทมากที่สุด ซึ่งผมไม่ต้องใช้ความพยายามมาก เพราะเดิมทีก็เป็นไข้อยู่ก่อนแล้ว เคนประคองผมให้ลุกนั่งตัวตรง และมองหน้าผม ก่อนจะถามด้วยเสียงอ่อนโยน

“ไม่ต้องพูดแล้วนะครับ คุณน่ะป่วยมากแล้ว ไปพักดีกว่า กลับบ้านไหวไหม”



--------------------
เข้าทางผมจนได้ ผมทำตาปรือมองหน้าเขา พูดเสียงแผ่ว

“คงไปไม่ถึงบ้านแน่ครับ ปวดหัวเหลือเกิน เคนช่วยพาผมไปนอนที่เพนท์เฮ้าส์ของผมได้ไหมครับ ตรงนี้เอง สะดวกกว่าครับ”

“จะดีหรือครับ คุณไม่สบายนะ อยู่คนเดียว จะไม่มีใครดูแลนะ ไปบ้าน ยังมีป้าหมี่ มีคนในครอบครัวคุณตั้งเยอะแยะ เป็นอะไรขึ้นมาก็พาไปหาหมอได้”

“แต่ที่นี่ ผมมีเคนนี่ครับ เคนคงไม่ปล่อยให้ผมป่วยนอนซมอยู่คนเดียว เกิดอะไรขึ้น เคนก็คงจะช่วยพาผมไปหาหมอใช่ไหม หรือว่า เคนจะทิ้งผมให้อยู่คนเดียวล่ะครับ”

ทำเป็นถามเขาด้วยเสียงตัดพ้อ ใจก็ลุ้นว่าเคนจะเห็นใจ และอยู่เป็นเพื่อนผมหรือเปล่า สุดที่รักของผม มองจ้องตาผมอย่างค้นคว้า เขาคงมองหาความหลอกลวงจากผม มีหรือจะยอมให้จับได้ ผมแสร้งไอโขลกเขลกขึ้นมาอีก แล้วทำเป็นโงนเงนเวียนหัว ซึ่งการแสดงของผมได้ผล เคนมีสีหน้าที่บอกถึงความวิตกกังวล เขานิ่งอยู่สักพัก จังหวะนั้นเอง ที่ผมเกิดปวดหัวจิ๊ดขึ้นมาจริงๆจนต้องนิ่วหน้า เคนเห็นอาการของผมเลยรีบตกลงทันที

“งั้นก็ได้ครับ คุณท่าทางไม่ไหวแล้ว นอนที่นี่สักคืนก็คงไม่เป็นไร เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อน แต่พรุ่งนี้ ต้องโทรบอกให้ที่บ้านมารับนะครับ ไม่งั้นก็กลับกับลุงเทพนะ”

“ครับ”

รับคำไปอย่างนั้นเอง ดีใจที่เคนตกหลุมพรางของผม ปลื้มมากๆที่เคนห่วงใยผมถึงเพียงนี้ การป่วยจริงๆของผมนับว่าคุ้มค่ามาก เพราะมันทำให้ผมรู้ความจริงในใจของเขา เคนเอนเอียงมาหาผมบ้างแล้ว คงต้องค่อยๆหาวิธีตะล่อมให้เขาอยู่กับผมในช่วงสุดสัปดาห์นี้ โดยไม่มีใครมาเป็นก้างขวางคอด้วย เราจะได้เรียนรู้กันและกันมากขึ้น

สามีสุดที่รักเอาแขนของผมโอบไปที่ไหล่เขา ส่วนมือของเคนสอดประคองที่เอวผม แล้วพยุงให้ลุกขึ้น ตัวผมหนากว่าเคน เวลาเขาประคองผม มันก็เลยทุลักทุเล ที่จริงผมอยากจะอุ้มเคนใจจะขาด ติดตรงที่กำลังเล่นบทคนป่วยหนักอยู่ เลยต้องทำตัวหมดเรี่ยวแรง เขาจะได้สงสารผม
กว่าที่เคนจะพาผมมายังห้องพักในเพนท์เฮ้าส์ได้ก็เล่นเอาเขาเหงื่อตก เคนประคองผมวางลงบนเตียง เอาหลังมือมาแตะที่หน้าผากผม เขาทำหน้ายุ่งๆ เริ่มดุผมอีกแล้ว

“ตัวร้อนมากกว่าเดิมแล้วนะครับ แสดงว่ากินยาไปแล้ว ไข้มันไม่ยอมลด ไปหาหมอดีกว่าไหมครับ”

“ไม่นะ ไม่ไปหาหมอนะครับ ให้ผมนอนพักที่นี่เถอะ เดี๋ยวผมกินยา แล้วจะรีบนอนพักผ่อนนะครับ”

รีบปฏิเสธเร็วปรื๋อ อุตส่าห์ลงทุนหลอกเคนออกมาจากห้องเช่า พาตระเวณเดินตากแอร์จนตัวเองไข้กลับมาอีก ก็เพียงหวังจะได้อยู่กับเขาสองต่อสอง จะให้ผมไปนอนในโรงพยาบาลได้ไง ที่นั่นคนเยอะแยะ จะสวีกกับเคนคงไม่ได้ เดี๋ยวเคนก็หาเรื่องหนีผมกลับห้องอีก

.............................................

..........................................

“ถ้างั้นต้องสัญญากับผมนะ ว่าจะกินยาแล้วนอนพัก ไม่ไปไหนอีก”

“ครับ ได้ๆ”

ก็ผมจะไปไหนได้ล่ะ ดึกดื่นขนาดนี้มันสมควรเป็นเวลาพักผ่อนของเราสองคนมากกว่า และรับรองได้ว่าวันสองวันนี้ ผมจะไม่ยอมย่างกรายจากเพนท์เฮ้าส์ของผมเด็ดขาด ต้องอ้อนเอาตัวเคนอยู่กับผมให้นานที่สุด

“เคนอย่าทิ้งผมไปนะ”

เล่นบทอ้อนเต็มที่ มือของเคนถูกผมจับเอาไว้แน่น ด้วยกลัวว่าเขาจะลุกหนีผมไป เคนยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เห็นแล้วหัวใจกระตุก อยากให้เคนทำหน้าแบบนี้กับผมทุกวันจัง

“วางใจเถอะครับ ผมบอกแล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ ผมก็จะทำตามที่พูดจริงๆ แต่ตอนนี้ ขอผมไปเอาผ้ามาชุบน้ำเช็ดตัวคุณก่อน คุณมีชุดนอนอยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมไปเอามาเปลี่ยนให้นะ คุณจะได้สบายตัวขึ้น ดีไหม”

น้ำเสียงของเขาเหมือนพูดกับเด็กๆ ผมพยักหน้า และส่งยิ้มซีดเซียวให้เขา เคนลุกขึ้น และเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเขาเปิดประตูตู้ แล้วเลือกดูชุดนอนมาให้ผม จากนั้นก็หยิบผ้าขนหนูมาผืนหนึ่งด้วย แล้วเดินไปที่ส่วนที่กั้นเป็นห้องครัว สักพักเขาก็กลับมาพร้อมกับกาละมังใส่น้ำใบขนาดย่อม

“ต้องเช็ดตัวลดไข้ก่อนนะ ตัวคุณยังร้อนอยู่ อาบน้ำตามปกติไม่ได้นะครับ แล้วเดี๋ยวผมจะเอายามาให้ทานก่อนนอนนะ คุณเก็บไว้ในกระเป๋าเอกสารใช่ไหมครับ”

ผมพยักหน้าแทนการตอบรับ ตาก็มองเคนที่ก้มหน้าก้มตาถอดเสื้อผมออกจากตัว และเอาผ้าชุบน้ำเช็ดให้ทุกซอกทุกมุม

“ยิ้มอะไรกันครับ ชอบทำตาเจ้าเล่ห์จังเลยนะ”

เคนแอบค่อน ผมหัวเราะเสียงแหบแห้ง แล้วตอบเขาว่า ผมดีใจที่ได้เขาเป็นสามี เขาอ่อนโยนและจิตใจดีมาก ผมคิดว่าผมได้เลือกคนที่ถูกต้องแล้ว และผมก็จะรักและภักดีกับเคนตลอดไป

มีสีแดงเรื่อปรากฏอยู่ที่แก้มของเขา สามีของผมก้มหน้าไม่ยอมสบตาผม ท่าทางเขินๆ ยิ่งทำให้ผมเพิ่มความเอ็นดูเขายิ่งขึ้นไปอีก นี่ถ้าไม่เห็นว่ากำลังป่วย และอยากให้เขาสงสารผมอยู่ละก็ ผมคงเผลอกดเขาลงบนที่นอนแล้วทำให้เขาเป็นของผมอีกครั้งจนได้

“เช็ดตัวเสร็จแล้ว ทานยาเลยนะครับ”

เขาหยิบยาออกมาจากกระเป๋าเอกสารของผม จากนั้นก็ประคองผมให้ลุกขึ้นนั่ง ส่งยาและน้ำให้ผม และรอดูจนผมกลืนยาลงคอจนหมด จากนั้นเขาก็ดันผมนอนลงบนเตียง แล้วชักผ้าแพรเนื้อบางมาคลุมตัวผม

“นอนได้แล้วนะครับ ดึกแล้ว พักผ่อนเยอะๆนะ จะได้หายเร็วๆ”

“แล้วเคนละครับ เคนจะไปไหน อย่าหนีผมนะครับ”



--------------------
“ไม่ไปไหนหรอกครับเคลวิน จะนั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆเตียงนี่แหละ ”

สามีผมตอบได้น่าชื่นใจนัก เขายิ้มให้ผม ไม่แสดงทีท่าเบื่อความเรื่องมากของผมเลยแม้แต่น้อย ผมรู้สึกเป็นสุขมาก อดใจไม่ไหวต้องคว้ามือเขามากุมไว้ และจูบมือของเคนไปมา ซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมยังไม่ชักมือกลับอีกด้วย เราสองคนประสานสายตากัน ต่างคนต่างไม่ยอมหลบ ผมเห็นความอ่อนโยนในดวงตาคู่นั้นที่เคนมองมา มันทำให้ผมหัวใจพองโต นึกฝันไปว่าเขาคงรักผมบ้างไม่มากก็น้อย

“เคนง่วงหรือเปล่าครับ ถ้าง่วงก็นอนได้นะครับ มีชุดหมอน ผ้าห่มสำรอง อยู่ในตู้ เคนเอามาปูนอนที่โซฟาก็ได้นะครับ”

ไม่กล้าชวนสามีสุดที่รักมานอนบนเตียงด้วย ทั้งที่อยากอยู่ใกล้เขาใจจะขาด แต่ผมกลัวว่าเขาจะติดหวัดจากผมอีก เดี๋ยวจะเป็นไข้วนไปวนมาไม่รู้จบ

“ไล่ให้ไปนอนห่างตัว ไม่กลัวว่าผมจะแอบหนีหรือครับ”

เคนถามเย้าๆ แล้วเขาก็หน้าแดงเสียเอง ที่พูดหยอกผมแบบนั้น ผมสิ่งยิ้มอ้อนให้เขา

“ไม่กลัวหรอกครับ เคนไม่ใช่คนพูดอะไรส่งเดช รับปากไปแล้ว เคนจะพยายามทำมันให้สำเร็จ ไม่ละทิ้งกลางคัน ผมเชื่อใจเคนว่าจะไม่ปล่อยให้ผมป่วยตายที่นี่ ไม่หนีผมไปไหนแน่นอนใช่ไหมครับ”

“กำลังจะทิ้งแล้วครับ คนป่วยพูดไม่หยุดแบบนี้ คงไม่มีทางหายง่ายๆ สู้หนีดีกว่า”

เขาสัพยอก ก่อนจะลุกขึ้น ผมมองตามอย่างกลัวว่าเขาจะหนีออกจากห้อง แต่เขาไม่ได้ทำแบบนั้น กลับเดินไปยังตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ และหยิบหมอนกับผ้าห่มที่เก็บอยู่ในนั้นออกมา จากนั้นก็เดินตรงไปยังโซฟา แล้วปูผ้าเตรียมที่นอนสำหรับตัวเอง ผมลอบยิ้มอย่างโล่งใจที่เขาไม่ไปไหน ยอมอยู่เป็นเพื่อนกับผมจริงๆ พอเห็นผมนั่งมองเขาไม่ยอมนอน เคนก็ทำเสียงดุใส่ผม

“หลับตาได้แล้วครับ”

ผมรีบปิดเปลือกตาลงทันที เมื่อเห็นเคนเดินมาหา ได้ยินเสียงฝีเท้าเขามาหยุดอยู่ข้างเตียง สักพักมือของเขาก็ยื่นมาลูบไล้ที่แก้มผมแผ่วเบา ผมอยากจะดึงเขาลงมานอนเคียงข้างด้วยนัก แต่ก็กลัวเคนจะหาว่าผมหลอกลวงเขาไม่ได้ป่วยจริง เลยต้องนอนหลับตานิ่งๆอยู่อย่างนั้น

จนกระทั่งเขาเดินกลับไปยังที่นอนของตัวเองที่ได้เตรียมไว้ ผมแอบเปิดเปลือกตาไว้ครึ่งๆเพื่อลอบมองเขา ก็เห็นเคนล้มตัวลงนอนบนโซฟาโดยตะแคงข้างหันมาทางผม แววตาที่มองมาแฝงด้วยความห่วงใยจนผมอยากจะลุกไปดึงมือเขามานอนด้วย

ต้องใช้พลังอย่างมากมายที่จะบังคับให้ตัวเองหลับตาลง เคนอยู่ในห้องเดียวกับผมแท้ๆ แต่ผมไม่สามารถแตะต้องตัวเขาได้ในตอนนี้ ได้แต่ปลุกปลอบใจตัวเองว่าวันพรุ่งนี้ กับมะรืนนี้ ยังมีเวลาเหลือเฟือ หากผมไม่ละความพยายามไปเสียก่อน ผมคงได้ใกล้ชิดสนิทแนบกับเคนแน่ๆ ขอเพียงผมอย่าทำเสียแผนเท่านั้น




--------------------
.................................................

“ฝันดีนะครับ”

เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่จะหลับไปคือ คำกล่าวราตรีสวัสดิ์จากสามีสุดที่รัก ยาที่ทานเข้าไปทำให้ผมง่วงงุนจนลืมตาไม่ค่อยจะขึ้น ทั้งที่อยากจะลืมตามมองเคนที่นอนอยู่ในห้องของผม แต่ถึงแม้ว่าผมจะหลับไป ผมก็เห็นเขาในฝันอยู่ดี ในโลกแห่งความจริงเคนใจดีอย่างไร ในฝันเคนก็เป็นแบบนั้น แล้วในฝันเคนก็รักและดูแลผมไม่ห่างเลย ผมมีความสุขมาก

ตอนที่ผมตื่นขึ้นมานั้น เคนไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว ผมกวาดตามองไปรอบห้อง ไม่เจอแม้แต่เงาของเคน ผมตกใจมาก รีบผวาลุกจากเตียงทันที ในใจนึกกลัวว่าเคนจะหนีผมกลับบ้านไปแล้ว นี่ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า หรือเคนจับได้แล้ว ว่าผมแกล้งป่วยเพื่อลวงเขามาที่นี่ แม้ผมจะมีเจตนาหลอกเขา แต่ผมก็ป่วยจริงๆ ตอนนี้ปวดหัวอยู่เลย

ผมเดินไปยังห้องน้ำ แต่ไม่เจอเขาอยู่ที่นั่น ในห้องครัวก็ไม่มี ผมเดินตามหาเขาไปทั่วห้อง แต่ก็ไม่มีร่องรอยของเคนให้เห็น ผมรู้สึกหงุดหงิดไม่สบายใจขึ้นมาทันที เคนไปไหนนะ เขาทิ้งผมแล้วหรือไร ไหนบอกจะอยู่เป็นเพื่อนผมจนกว่าจะหายไง ไม่ทันไรก็แอบหนีไปแล้ว

ขณะที่ผมกำลังกดโทรศัพท์เรียกไปยังเบอร์มือถือที่ผมให้เขา เคนก็เปิดประตูห้องก้าวเข้ามา ในมือถือข้าวของพะรุงพะรัง พอผมเห็นหน้าเขาก็รีบผวาไปกอด แล้วต่อว่าเขาที่หายตัวไปไม่ยอมบอกกล่าวกันให้รู้

“เคนไปไหนมาครับ ไหนบอกจะอยู่เป็นเพื่อนผมไง ไปไหนมา ทำไมไม่บอก ผมตื่นมา ไม่เห็นเคน ตกใจมากเลย นึกว่าคุณทิ้งผมแล้ว”

มีเสียงหัวเราะจากสามีสุดที่รักของผม ต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลขณะอธิบาย

“ไม่ได้ไปไหนไกลครับ ลงไปซื้ออาหารเช้ามาให้เคลวินทานไง เดี๋ยวคุณตื่นมาจะหิว ทานข้าว แล้วจะได้ทานยาไงครับ จะได้หาย”

คำตอบของเขา ทำให้ผมยิ้มออกมา เคนห่วงผมเลยลงไปซื้อข้าวมาให้ น่ารักจริงๆ เขาไม่ทิ้งผมตามที่สัญญา เคนใจดีกับผมมาก ผมสัมผัสได้ถึงความเอื้ออารีที่มีอยู่ในตัวเขา เคนไม่ได้ทำทุกอย่างให้ผมเพียงเพราะว่าผมเป็นเจ้านาย แต่เขาทำเพราะเขารู้สึกดีกับผม

“ตอนแรกว่าจะทำข้าวต้มให้ทาน แต่ผมใช้ครัวของเคลวินไม่เป็น กลัวจะทำข้าวของเสียหาย เลยตัดสินใจลงไปซื้อมากินดีกว่า เห็นคุณหลับอยู่ ผมก็เลยไม่ได้ปลุกครับ”

เคนบอกผมด้วยคำพูดซื่อๆ ท่าทางอายๆ คราวนี้ผมหัวเราะบ้าง ผมรู้ดีว่าเคนเป็นคนถ่อมเนื้อถ่อมตัว ชอบคิดว่าตัวเองมาจากครอบครัวที่ยากจน จึงไม่พยายามจะทำอะไรฟุ้งเฟ้อเกินตัว เขาไม่เคยซื้อของแพง ไม่ค่อยได้สัมผัสกับข้าวของเครื่องใช้ชั้นดี พอต้องมาใช้งานก็ทำไม่เป็น กลัวว่าจะทำพัง สงสัยผมคงต้องค่อยๆสอนเขาไปทีละน้อยแล้ว เพื่อให้เขาเคยชิน เคนจะได้ไม่รู้สึกแปลกแยกเวลาที่อยู่ร่วมกันกับผม

“ที่จริงปลุกผมให้ลุกมาทำก็ได้นะ ผมชอบที่ได้ทำกับข้าวอร่อยๆให้เคนทาน”

บอกเขาด้วยเสียงอ้อนๆ เคนยิ้มให้ผม



--------------------
“จะให้คนป่วยลุกขึ้นมาทำกับข้าวได้ไง คุณไม่สบายนะ เอ หรือว่าแกล้งป่วยกัน”

“เปล่านะครับ...ป่วยจริงๆนะ จับตัวดูก็ได้ ตัวยังร้อนอยู่เลย”

รีบปฏิเสธเสียงลั่น กลัวว่าเคนจะจับได้ เลยก้มลงเอาหน้าผากผมถูกับหน้าผากเขา เคนขมวดคิ้วเข้าหากัน ทำหน้าดุใส่ แล้วไล่ผมไปนอน

“แล้วคนป่วย รีบลุกมาจากเตียงทำไมกัน ไปนอนพักที่เตียงได้แล้วครับ เดี๋ยวผมเอาโจ๊กใส่ถ้วยไปให้นะ ถ้าดื้อผมจะกลับบ้านนะ”

เพราะประโยคท้ายนั่นทีเดียว ทำให้ผมรีบผละจากเขาไปนอน ได้ยินเสียงเคนหัวเราะด้วยความขำ แค่ได้ยินเสียงหัวเราะ กับได้เห็นหน้าตาที่เบิกบานของสามีสุดที่รัก ผมก็ใจแทบละลายแล้ว

“ป้อนหน่อยได้ไหมครับ ทานเองเดี๋ยวมันหกใส่เตียง”

ผมอ้อนเคน เมื่อเขายื่นชามโจ๊กมาให้ เคนทำปากยื่น จมูกบานพะเยิบพะยาบ หรี่ตามองผม ทำท่าเหมือนจะหมั่นไส้ที่ผมทำเป็นอ้อนให้เอาใจ ผมเลยแสร้งทำเป็นยกแขนขึ้น และทำเป็นอ่อนแรง แขนตกข้างลำตัว

“ไม่มีแรงเลยครับ ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้อ่อนเปลี้ยเพลียแรงจังเลย ป่วยคราวนี้ แย่มากๆเลยครับ”

อุปาทานหรือเปล่าไม่รู้ ผมเห็นแววตาเขาเปล่งประกาย มีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก เหมือนเขากำลั
ขำผม แต่ก็แป๊บเดียวเท่านั้น ก่อนจะมาเป็นทำหน้าดุ

“เห็นไหม ป่วยจนไม่มีเรี่ยวแรงแบบนี้ ทำอะไรก็ไม่ได้ กินข้าวด้วยตัวเองก็ยังไม่ถนัด อย่างนี้ต้องไปนอนโรงพยาบาลนะครับ หรือไม่ก็กลับไปนอนบ้าน ให้คนที่บ้านดูแลใกล้ชิด จะได้หายป่วยเร็วๆไงครับ ผมห่วงคุณนะครับ แต่ผมคงช่วยอะไรได้ไม่มาก เพราะไม่ได้เป็นพยาบาล เอางี้ดีไหม ผมเรียกลุงเทพให้ขับรถมารับไปโรงพยาบาลไหม”


........................................


OhhO16

  • บุคคลทั่วไป
อิอิ มาลุ้นต่ออิอิ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ว้าา นึกว่าจะมีให้จิ้น  :m19:

รอลุ้นต่อ  :m9:  :m9:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
เจ้าเล่ห์สุดๆ แต่ก็ทำไรไม่ได้  :m14: :m14: :m14:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
บทที่ 22

พอผมพูดจบ คนเจ้าเล่ห์ก็ทำหน้าเหรอหรา อ้าปากหวอ คงกลัวว่าผมจะทำจริงๆ สมน้ำหน้าคนป่วยอะไร ออดอ้อนออเซาะเก่งดีนัก

ถึงจะตัวร้อนเป็นไข้ แต่อาการของเคลวินก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรจนถึงขนาดที่ทำอะไรเองไม่ได้ ผมคิดว่าเขาอยากให้ผมอยู่ใกล้ๆเขามากกว่า

จะว่าไปก็ทั้งดูน่ารักและตลกดี เวลาเห็นท่านประธานบริษัทผู้ดุดันเข้มงวด มาทำท่าเป็นเด็กหนุ่มๆที่กำลังมีความรักแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าขึ้น ถ้าเขาไม่รักผม เขาคงไม่ทำถึงขนาดนี้

และเพราะว่าเคลวินทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ตัวเองเป็น มันทำให้ผมเกิดความประทับใจในตัวเขา การเป็นคนสองบุคลิกคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

เคลวินต้องสลับบทบาทไปมา ดุด่าว่ากล่าวผมในที่ทำงาน แต่พอถึงบ้านเขาก็ดูแลเอาใจใส่ และคอยรับฟังความทุกข์ของผม

เขาอยากให้ผมมีความสุข ข้อนี้ผมรู้ดี ถึงแม้เขาจะยุ่งไปหน่อย โดยเฉพาะการพยายามที่จะให้ผมได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายขึ้น ข้าวของที่กองอยู่ที่ห้องเช่าของผมจนแทบไม่มีที่นั่งและยืนแล้ว

เขาคงนึกว่าผมไม่เห็น ว่าเขาแอบซื้ออะไรใหม่ๆมาเพิ่มให้ ตอนแรกผมตั้งใจจะต่อว่าที่เขาทำอะไรโดยไม่บอกกล่าว แต่เมื่อเห็นว่าเขาป่วยแบบนี้ ผมก็เลยไม่อยากต่อว่าให้เสียใจ

คงต้องหาทางบอกกล่าวอีกที ว่าผมไม่ชอบในสิ่งที่เขาทำ ผมไม่อยากเป็นคนที่เกาะคนอื่นกิน อาศัยคนอื่นเพื่อให้ตัวเองสุขสบาย ผมลำบากมามาก อยากลืมตาอ้าปากได้เหมือนกับคนอื่นๆ

อยากมีบ้าน มีรถ มีเงินฝากในธนาคาร อยากให้พ่อแม่ได้กินอิ่ม น้องๆได้เรียนจนจบ แต่ทุกอย่างมันควรจะมาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองมากกว่าจะให้คนอื่นมาช่วยเนรมิตให้

เคลวินอาจจะเป็นฝรั่งที่ร่ำรวย และใจดี การบริจาค และช่วยเหลือคนอื่นของเขา อาจจะไม่ทำให้เขาเดือดร้อน มันคงเป็นแค่เศษเงินที่เขาสามารถเจือจานให้ได้

เวลาที่เคลวินทำดีกับใคร เขาอาจจะไม่คิดอะไร แต่ในฐานะที่ผมเป็นคนรับ ผมรู้สึกไม่สบายใจ ผมไม่อยากให้ใครมองเคลวินกับผมไปในทิศทางที่ไม่ดี

ไม่อยากให้คนว่าเขาว่าเอาเงินฟาดหัวคนอื่นเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ และผมก็ไม่อยากให้ใครมองว่าผมเป็นคนที่ซื้อได้ด้วยเงิน

แค่เคลวินรับผมเข้ามาทำงานเป็นเลขาใกล้ชิด ผมก็ถูกนินทาว่าร้ายมามากพอสมควรแล้ว ทุกวันนี้ผมจึงต้องพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเอง

หากเคลวินมาใจดีให้ข้าวของเครื่องใช้ มากเกินกว่าฐานะที่ผมควรจะมี ผมกับเขาก็คงตกเป็นหัวข้อนินทาของพนักงานเล่นสนุกปากไปตลอด

อย่างเช่นเมื่อเช้านี้ ผมก็เจอเรื่องที่ทำให้ผมหงุดหงิดใจเข้าจนได้ แต่ผมก็พยายามเก็บมันไว้ไม่อยากแสดงออกมาให้เคลวินเห็น

เรื่องที่เกิดขึ้นก็คือ ผมตื่นขึ้นมาก่อนเคลวิน และเป็นห่วงเขาว่าจะไม่มีอะไรทาน ในตู้เย็นที่อยู่ในส่วนพื้นที่ที่กั้นเป็นครัว มีอาหารสดหลายชนิดอยู่ในช่องแช่แข็ง แต่ผมไม่รู้จะทำอะไรให้เขากิน เลยตัดสินใจลงลิฟท์ไปข้างล่าง

ถัดจากตึกไปจะมีร้านขายอาหารมากมาย พวกพนักงานได้มาอาศัยฝากปากท้องไว้แถวๆนั้น ซึ่งผมเองก็ไปเคยไปทานบ่อยๆจนระยะหลังที่เคลวินทำข้าวกล่องให้ไว้กินที่บริษัทตอนกลางวัน ผมก็ไม่ค่อยได้ออกไปทานข้างนอกเท่าไหร่

โดยปกติร้านพวกนี้จะเปิดวันเสาร์และอาทิตย์ด้วย เพราะไม่ได้ขายอาหารให้พวกพนักงานบริษัททาน แต่ยังรับลูกค้าอื่นๆทั้งขาประจำ และขาจรด้วย



--------------------
จำได้ว่ามีร้านโจ๊กอร่อยอยู่เจ้าหนึ่ง ช่วงแรกๆที่เคลวินยังไม่มายุ่งเกี่ยวกับชีวิต ผมได้มาอาศัยบริการที่ร้านแห่งนี้ เขาทำโจ๊กอร่อยมาก มีทั้งโจ๊กหมู โจ๊กไก่ ใส่ไข่ และ ใส่เครื่องใน แล้วแต่เราจะเลือก ราคาก็ไม่แพงมาก อยู่ระหว่าง 12-15 บาท เจ้าของร้านเป็นคุณยายแก่ๆที่ขายอาหารไม่ได้หวังกำไร แต่ทำเพราะไม่อยากอยู่ว่างๆ

ที่จริงแกเป็นคนมีฐานะดีพอควร ลูกหลานส่วนใหญ่ก็มีงานมีการทำกันหมด แต่เพราะว่าแกเหงา อยู่บ้านเฉยๆ ก็หายใจทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ แกเลยขอลูกหลานเปิดร้านขายโจ๊ก แกจะได้มีอะไรทำฆ่าเวลาระหว่างรอลูกหลานกลับบ้าน

แรกๆลูกหลานก็ไม่ยอม เพราะไม่อยากให้แกเหนื่อย แต่เมื่อแกให้เหตุผลว่าแกไม่อยากเป็นคนไร้คุณค่า ลูกหลานก็เลยยอมฟัง ให้คุณยายขายโจ๊กได้ โดยมีลูกมือมาช่วย

ผมชอบไปซื้อโจ๊กที่ร้านคุณยาย เพราะอร่อย สะอาด และประหยัดเงินในกระเป๋า และมีโอกาสได้พูดคุยกับคุณยายด้วย แกทำให้ผมนึกถึงปู่ย่าตายายที่บ้านนอก ผมไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านนานแล้วตั้งแต่มาเรียนและมาทำงานในกรุงเทพ การได้คุยกับคนวัยใกล้เคียงกันกับคนทางบ้าน เลยพลอยทำให้ผมหายคิดถึงพวกเขาไปได้

วันนี้คุณยายเปิดขายโจ๊กตามปกติ พอแกเห็นผมแกก็ทักทายอย่างยินดี และถามว่าผมหายไปไหนมาตั้งนาน ไม่เห็นมาซื้อโจ๊กแกทานเลย ผมก็ยิ้มบอกว่าผมตื่นสาย ไม่กล้าบอกแกว่าผมมีคนทำอาหารเช้าให้ทานทุกวันแล้ว กลัวว่าแกจะเสียใจ

พอบอกแกไปอย่างนั้น แกก็สอนผมใหญ่ ว่าเป็นพนักงานมาสายไม่ได้ ต้องทำตัวให้เจ้านายรัก จะได้อยู่นานๆ แล้วแกก็คุยกับผมเรื่องงานการ ส่วนใหญ่ก็เป็นการดุผมมากกว่า ผมได้แต่ยืนยิ้ม ไม่ได้รู้สึกรำคาญใจอะไร เพราะรู้ว่าแกเอ็นดูผมเหมือนลูกหลาน

และสิ่งที่แกบอกสอนมา ก็เพราะแกอยากให้ผมได้ดี ซึ่งความรู้สึกอยากให้คนอื่นเจริญก้าวหน้า ประสบความสำเร็จ มันหาไม่ได้ง่ายๆนักในหมู่คนเมืองหลวง

ขณะที่ผมกับคุณยายคุณเรื่องการทำงานอยู่นั้น เราสองคนก็ถูกขัดจังหวะจากท่านผู้จัดการฝ่ายชาตรีที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ในวันหยุด และไม่รู้ว่าเขาเสียมารยาทฟังเราสองคนคุยกันนานเท่าไหร่

ผมมารู้ตัวอีกทีว่ามีบุคคลที่สามอยู่ด้วย เมื่อคุณยายพยักพเยิดไปทางด้านหลัง ผมหันไปมองก็เห็นคุณชาตรีทำหน้ายิ้มเยาะผมอยู่ ตอนนั้นคุณยายกำลังพูดเรื่องการทำตัวให้เป็นที่รักของเจ้านายอยู่พอดี อยู่ๆแกก็โพล่งขึ้นมา

“โอ๊ย คุณยายครับ ไม่ต้องห่วงนายเคนเขาหรอก ขานี้เขาเป็นที่โปรดปรานของเจ้านายจนจะได้เลื่อนขั้นข้ามหัวคนอื่นอยู่แล้ว ไม่เกินเดือนสองเดือนนี้คงมีข่าวดี”

คำพูดนี้ของแกทำให้ผมหน้าชา นี่แกจงใจจะหาเรื่องฉีกหน้าผมใช่ไหม

.............................................
“จริงเหรอลูก ยายก็ว่าแล้ว ว่าคนอย่างเราเจ้านายต้องรักและเอ็นดูแน่ๆ เพราะท่าทางเราเป็นคนอัธยาศัยดี สุภาพ อ่อนน้อม ไม่กร่าง ไม่คุยโตโอ้อวด และไม่มีลักษณะขี้อิจฉา คนทำความดีพระเจ้าย่อมเห็น เหมือนกับที่เจ้านายเคนเห็น คนเป็นเจ้านาย คงไม่มองอะไรตื้นๆหรอก ถ้าไม่เก่งจริงเขาคงไม่เลื่อนขั้นหรอกมั๊ง”

คำตอบซื่อๆของคุณยายทำให้ผมค่อยยิ้มออก หัวหน้าเก่าของผมหน้าเจื่อนๆ ที่คุณยายไม่ได้ตำหนิผมหรือมองผมในแง่ไม่ดีอย่างที่เขาต้องการ ผมไม่รู้ว่านายชาตรีมีจุดประสงค์อะไร แต่สิ่งที่เขาทำต้องไม่ใช่เรื่องที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับผมแน่

“หึหึหึ สำหรับนายเคน เจ้านายเขามองเห็นลึกซึ้งเลยครับ ไม่งั้นเขาไม่ดันจากเด็กฝึกงานให้ขึ้นมาเป็นพนักงานประจำหรอกคุณยาย นายเคนคงจะมีดีมากกว่าที่เราคิด ต้องคนอย่างเจ้านายถึงจะรู้แจ้งเห็นจริง”

ท่านผู้จัดการใหญ่ยังคงหาทางเหน็บแนมผมอีกต่อไป

“แหมคุณผู้จัดการ เด็กฝึกงานอาจจะมีความสามารถอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ ผู้จัดการคนอื่นไม่เห็นเพราะมัวแต่ประเมินว่าเขาต้อยต่ำ แต่คนที่เขามีประสบการณ์เขาอาจจะมองออกว่า เด็กฝึกงานน่าจะให้ทำงานอย่างอื่นที่มีคุณค่ามากกว่า มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกนี่นา ที่พนักงานบางคนอาจจะไม่รุ่งในงานหนึ่ง แต่อาจจะไปได้สวยและก้าวหน้าในงานอีกตำแหน่งหนึ่ง อย่าคิดมากเลย น่าจะดีใจกับเด็กมันนะ”

โห คุณยาย พูดได้โดนใจมาก ผมรู้สึกรักคุณยายที่สุดเลย ท่าทางของคุณยายเหมือนคนแก่ที่ไม่มีพิษมีภัย แต่ที่ไหนได้คุณยายกลับเฉลียวฉลาดลึกซึ้ง ไม่ใช่เพราะว่าคุณยายชมผมหรอกนะ ที่ทำให้ผมรู้สึกดี แต่ที่ผมชอบใจเป็นเพราะว่าคุณยายสามารถตอกผู้จัดการจนหน้าหงาย ด้วยมาดนิ่มนวลของแกต่างหาก

“ขอบคุณคุณยายมากนะครับ ดีใจจังที่คุณยายไม่คิดอย่างคนอื่นๆ ทำให้ผมรู้สึกว่าความพยายามของผมไม่สูญเปล่า”

จงใจจะพูดให้ผู้จัดการชาตรีได้ยิน ที่จริงผมว่าจะไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเขา เพราะมันจะเป็นการไม่มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ที่มีตำแหน่งใหญ่โตกว่า แต่พอเห็นเขาขยับปากจะประจานผมต่อ ผมก็เลยชิงพูดขึ้นเสียก่อน จากนั้นผมก็ขอตัวกับคุณยายว่าผมมีธุระไว้วันหลังจะมาคุยด้วย คุณยายยิ้มให้ผมอย่างเข้าใจ และโบกไม้โบกมือให้ผมไปได้ ผมก็เลยเดินหนี แต่ผู้จัดการชาตรีก็เดินตามผมอย่างว่องไว

“มาทำอะไรแถวนี้หรือเคน”

..........................................

คิดไว้แล้วเชียว ว่าต้องเจอคำถามนี้ เพราะการที่อยู่ดีๆ ผมก็มาโผล่ใกล้ๆกับที่ทำงานในวันหยุด คนที่ทำงานที่เดียวกันมาเจอก็ต้องสงสัยเป็นธรรมดา พอๆกับที่ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมท่านผู้จัดการจึงมาอยู่ที่นี่ด้วย หรือว่ามีงานเร่งด่วนที่ต้องทำ แต่เท่าที่รู้บริษัทไม่ได้มีนโยบายให้พนักงานมาทำงานล่วงเวลา แต่เน้นให้ทำงานให้เสร็จในเวลางานมากกว่า พอเห็นผมมองเขม้นอย่างกังขา ท่านผู้จัดการก็รีบพูดขึ้นมาเพื่อให้ความกระจ่างกับผมทันที

“ผมแวะมาเอาของที่ลืมไว้ที่บริษัท จะเอากลับไปทำงานที่บ้าน ตอนเช้ามีประชุมด้วย เดี๋ยวจะไม่เสร็จ คุณก็รู้นี่ว่าเจ้านายของคุณขี้โมโหแค่ไหน ถ้าเตรียมการมาประชุมไม่พร้อมมีหวังโดนเล้งแน่ๆ ก็เรื่องเกี่ยวกับการรายงานผลประกอบการ และเรื่องสรรพเพเหระต่างๆ”

ไม่รู้ว่าผมคิดมากไปหรือเปล่า ผมว่ามันมีความผิดปกติบางอย่างอยู่ในคำพูดนั่น บอกไม่ถูกว่าตรงไหน แต่ผมรับรู้ได้ว่ามันแปลกๆ ที่จริงคุณชาตรีไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ผมฟังมากมายขนาดนี้ก็ได้ มันฟังเหมือนคำแก้ตัวยังไงยังงั้น แล้วเขาจะต้องทำแบบนี้ทำไม หรือว่าเขามีอะไรที่ปกปิด เช่นแอบมาทำผิดอะไรไว้ เลยกินปูนร้อนท้อง ซึ่งมันก็ไม่น่าจะใช่ คุณชาตรีออกจะเฮี้ยบ และถือว่าเป็นคนเคร่งครัดในกฎระเบียบคนหนึ่ง คงไม่ทำอะไรที่เสียหายต่อบริษัทแน่

หรือว่าเขาเริ่มระแคะระคายเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเคลวินนะ เลยพยายามมาสืบสาวให้แน่ใจ ถ้าเป็นประเด็นหลัง ผมคงต้องระมัดระวังตัวหน่อย แค่นี้คนก็หาว่าผมเล่นเส้นแล้ว ยิ่งถ้ารู้ว่าเคลวินกับผมมีอะไรกัน คนคงได้นินทากันสนุกปาก และเคลวินเองก็จะถูกมองในแง่ไม่ดีด้วย

“คุณยังไม่ตอบผมเลยนะ เคน ว่าทำไมคุณถึงได้มาอยู่แถวนี้”

ผู้จัดการถามซ้ำ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยให้คำถามนี้มันผ่านไปง่ายๆ โดยไม่มีคำตอบ ผมหยุดเดินเมื่อผ่านเข้าไปในร่มของศาลาที่พักสำหรับยืนรอรถประจำทาง และหันไปพูดกับเขา

“อ๋อ ผมมาหาเพื่อนแถวนี้ครับ นี่เสร็จธุระก็จะกลับแล้ว”

มันคงไม่เนียนล่ะมั๊ง เพราะผมไม่ค่อยได้โกหกใคร นายชาตรีเลยทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ เขาเหลือบตาลงดูนาฬิกาบนข้อมือ แล้วมองผมอย่างสำรวจตรวจตราตั้งแต่หัวจรดเท้า

“นี่มันเพิ่ง เจ็ดโมงเอง มาหาเพื่อนแต่เช้ามืดเลยเหรอ เพื่อนที่ไหนล่ะ แถวนี้ก็มีแต่สำนักงานเต็มไปหมดนี่”
ว่าแล้วไหมล่ะ ผมไม่ทันนึกจริงๆ ความที่พูดปดไม่เก่ง แล้วก็แค่จะพูดปัดให้พ้นตัว เลยทำให้ไม่ทันคิดเรื่องเวลา และสถานที่ มันทำให้ผมอ้ำอึ้งอึกอัก ผู้จัดการก็มองผมอย่างจับผิด โชคดีอยู่บ้างที่ผมใส่เสื้อผ้าลำลอง ไม่ใช่ชุดทำงาน ทำให้ไม่ต้องถูกมองว่าไม่ได้กลับบ้าน

“เปล่าครับ เพื่อนผมไม่ได้อยู่แถวนี้ แต่เขามาจากต่างจังหวัด เขาอยู่ชลบุรี นั่งรถมาลงที่เอกมัย แล้วจะไปแถวหัวลำโพงครับ เรานัดมาเจอกันที่นี่ครับ เพราะมันสะดวกดี และเป็นทางผ่านไปยังที่พักเขาด้วยครับ”

อยู่ๆผมก็นึกข้ออ้างนี้ขึ้นมาได้ เลยอธิบายให้เขาฟัง แล้วผมก็แอบนึกขำตัวเองที่บอกรายละเอียดถึงขนาดนั้น ผมกำลังทำเหมือนที่นายชาตรีทำเมื่อสักครู่ คนที่แอบซุกซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ มันเป็นแบบนี้นี่เอง วิตกกังวล กลัวว่าเขาจะจับได้ คล้ายวัวสันหลังหวะ ต้องรีบพูดจากลบเกลื่อนเบี่ยงเบนประเด็นออกไป นี่คือความลับผม แล้วความลับนายชาตรีคืออะไรกัน



--------------------
...............................................




“คุณชาตรีก็รีบมาแต่เช้าเหมือนกันนะครับ บริษัทยังไม่เปิดเลย ไม่ต้องรอแย่หรือครับ หรือมีคีย์การ์ดปลดล้อคประตูครับ”

ย้อนถามเข้าให้บ้าง เพื่อดูปฏิกิริยาของผู้จัดการ ถ้าเขามีความลับบางอย่างปกปิด คงแสดงอาการออกมาบ้างล่ะน่า

“อ้อ....คือว่า....ผมรีบนะ กลัวงานไม่เสร็จ ไม่มีข้อมูลการประชุม ผมเลยรีบมาไง นี่ก็จะไปแล้ว ได้ของที่ต้องการเรียบร้อย .....เอ้อ ผมไปล่ะนะ”

สิ่งที่ผมคิดมันเป็นจริง ทำให้ผมเกิดความสงสัย ทำไมผู้จัดการถึงได้ดูลุกลี้ลุกลนนักนะ พอผมถามเขาไปแบบนั้น เขาก็อ้ำอึ้งแบบเดียวกับผม พอนึกขึ้นได้ว่าจะพูดอะไร ก็บอกมาซะเร็วปรื๋อ แล้วก็ขอตัวจากไป ทิ้งให้ผมยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์คนเดียว

ผมแสร้งทำเป็นนั่งรออยู่ที่ป้าย ไม่ได้เดินตามเขาไป เพราะมันจะเป็นที่ผิดสังเกต เนื่องจากผู้จัดการเดินไปยังลานจอดรถของบริษัท ผมเดินไปแอบที่พุ่มไม้ ข้างป้ายรถเมล์ รีๆรอๆจนกระทั่งเห็นรถของผู้จัดการขับผ่านหน้าไป ทิ้งเวลาสักพัก แล้วก็เดินย้อนกลับไปยังตึกทำงาน อ้อมไปด้านหลัง และขึ้นลิฟท์มายังชั้นเพนเฮ้าส์ ตาคอยสอดส่ายไปทั่ว ว่าจะมีใครตามผมมาหรือเปล่า

ช่วงจังหวะหนึ่งผมรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก การลักลอบกระทำความผิด เป็นเรื่องที่ทำให้ทั้งตื่นเต้น และทำให้เกิดความรู้สึกผิดบาปไปในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกมันบอกผมว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง กลัวว่าคนจะจับได้ หากมีใครล่วงรู้เข้า เขาจะคิดยังไง แล้วผมจะมองหน้าคนอื่นได้ไหม

ถ้าใครรู้ว่าผมมีอะไรกับท่านประธาน ความพยายามตั้งใจทำงานที่ผ่านมาของผม คงไม่บรรลุผล เพราะคนก็จะมองว่าผมเล่นเส้นสายอยู่ดี

คิดแล้วก็กลุ้ม ไม่น่าเอาตัวไปตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เลย ผมควรจะเลิกยุ่งกับท่านประธานดีหรือเปล่านะ จะว่าไปผมก็ไม่ได้คิดจะยุ่งกับเขาเลยแม้แต่น้อย เขาต่างหากที่เข้ามายุ่มย่ามในชีวิตผม บังคับผมจนตกเป็นของเขา แล้วก็เข้ามาเจ้ากี้เจ้าการในชีวิต

ตอนนี้จะสลัดออกไปก็ทำไม่ได้ง่ายๆ ไม่ใช่เพราะผมติดกับในความร่ำรวย หรือสิ่งของที่เขาปรนเปรอให้ แต่ผมแพ้ใจของเขาต่างหาก ยิ่งเขาดีกับผมเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งตัดใจจากเขาไม่ลง

ที่จริงจะโทษเขาคนเดียวก็ไม่ถูก หลายต่อหลายครั้งที่ผมยินยอมพร้อมใจไปกับเขาด้วย ยอมให้เขาลวนลามล่วงเกินผม โดยไม่คิดขัดขืนอย่างจริงจัง การไปเหมาว่าเขาแต่เพียงฝ่ายเดียว ผมก็พูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำ ตบมือข้างเดียวไม่มีทางดัง

หากผมไม่ยอมเสียอย่าง สู้ตาย ไม่ให้เขารังแก เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรกับผม อย่างน้อยเขาก็ต้องกลัวจะเสียชื่อเสียง ถ้าเกิดผมเอาเรื่องและแจ้งความขึ้นมา แต่นี่ผมไม่ได้ทำแบบนั้นเลยสักอย่าง เหมือนว่าผมก็ยอมให้เขาทำด้วย ผมจึงต้องรับผิดด้วยเหมือนกัน

ตอนนี้คนที่ผมคิดถึง กำลังนอนป่วยอยู่ ตอนแรกผมก็คิดว่าเขาสำออย แกล้งป่วยเพื่อหลอกให้ผมอยู่ใกล้ๆ ทว่าตัวของเขาก็ร้อนจริงๆ แถมไอโขลกเขลกอีกด้วย ถ้าจะเล่นละคร ก็เนียนจริงๆ แต่ช่างเถอะ เขาจะโกหกหรือไม่ก็ตาม เคลวินดีกับผมหลายเรื่อง ผมอยู่เป็นเพื่อนแค่นี้จะเป็นไรไป



--------------------
ผมสลัดความคิดแย่ๆเกี่ยวกับเคลวินออกไปจากหัวสมอง และรีบเดินเข้าตึก กดลิฟท์ไปยังชั้นบนสุด กลัวว่าเขาตื่นมาไม่เจอผม จะคิดมาก หาว่าผมทิ้งเขา แล้วก็กลัวว่าโจ๊กที่ซื้อมา จะเย็นชืดหมดอร่อย ต้องอุ่นอีก ซึ่งมองจากเครื่องครัวหน้าตาประหลาดเหล่านั้น ผมก็ยอมแพ้ มันทันสมัยเกินไป และผมคงใช้ไม่เป็น

จริงอย่างที่ผมคิด เคลวินตื่นมาแล้วไม่เจอผม เขาตกใจมาก ตอนที่ผมเข้าห้อง เห็นเขากำลังกดโทรศัพท์อยู่ ผมรู้สึกขำในใจ จะโทรหาใครกัน ตามผมเหรอ ผมไม่มีโทรศัพท์สักหน่อย ไอ้เครื่องที่เขาให้ผมยืมเมื่อวานนี้ ผมก็ไม่ได้ติดตัวเอาไปด้วย

ผมวางทิ้งไว้ในห้องเขานั่นแหละ พยายามไม่หยิบจับมาใช้ ตอนแรกผมคิดว่าเขาลืมโทรศัพท์ไว้ในห้องของผม แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเขาตั้งใจจะลืมมัน โดยมีเจตนาเพื่อให้ผมเอาไว้ใช้นั่นเอง ผมไม่อยากรับอะไรจากเขา สิ่งที่เขาทำให้ แค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว ชดใช้กันแทบไม่หมด ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณของใคร อยากทำมาหากินได้ด้วยตัวเอง

ถึงแม้เขาจะอ้างว่า ให้ด้วยความเสน่หา ภรรยาซื้อของให้สามีไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ผมกลับรู้สึกละอายใจ หากผมเป็นสามีของใครจริงๆ ผมควรจะเป็นฝ่ายให้ ไม่ใช่เอาแต่รับแบบนี้

เคลวินต่อว่าผมกระเง้ากระงอด ผมอดไม่ได้ที่จะขำเขา คนตัวใหญ่ๆ ที่โดยปกติมีอารมณ์กราดเกรี้ยว ดุดัน คล้ายกับสิงโตเจ้าป่า กลายเป็นแมวน้อยตัวเชื่องๆ คอยเอาแต่พันแข้งพันขาผม ออดอ้อนออเซาะ มันให้ความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน แต่น่ารักดีสำหรับผม

อยู่ดีๆพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปมา กลายเป็นเรื่องชินชาของผมไปเสียแล้ว และดูเหมือนผมเองก็รอคอยเวลาที่เขาจะกลายมาเป็นภรรยาที่แสนจะน่ารักของผม เพราะช่วงที่อยู่ด้วยกันตามลำพังเท่านั้น ที่ผมเหมือนจะเป็นใหญ่ โดยที่เคลวินเอาอกเอาใจผมตลอดเวลา ชักจะติดใจบทบาทของการเป็นสามีเสียแล้ว แม้จะเป็นสิ่งที่ถูกยัดเยียดให้รับก็ตาม

“ผมเจอคุณชาตรีด้วยล่ะ ที่ข้างล่าง กำลังซื้อโจ๊กให้คุณอยู่ เขาก็เดินมาคุยด้วย จะหลบก็ไม่ทัน ผมไม่คิดว่าจะเจอใครในตอนเช้าวันหยุดแบบนี้ เลยไม่ทันได้ระวังตัว โดนเห็นเข้าจนได้”

บอกให้เขาฟังถึงเรื่องที่ไปเจอเจ้านายเก่าของผมมาอย่างละเอียด แล้วเล่าทุกประโยคที่ได้คุยกัน อย่างน้อยๆ เคลวินก็ควรจะได้รับฟังไว้ เผื่อว่าโดนถามว่าผมมาทำอะไรแถวนี้ เขาจะได้ตั้งรับได้ถูก ผมกลัวอย่างเดียว ว่าเคลวินจะเสียหายไปด้วย

อาจจะถูกสงสัยว่าผมมาหาเคลวินที่นี่หรือเปล่า มันเป็นความรู้สึกของวัวสันหลังหวะ นับตั้งแต่ผมเผลอไผลมีอะไรกับเคลวิน ผมก็หวาดระแวงกลัวคนจะรู้ ไม่อยากให้ใครว่าร้ายนินทาเราทั้งคู่ให้เสียหาย

“อือ ...ทำไมคุณชาตรี ถึงได้รีบร้อนมาเอาของแต่เช้านะ มันรีบด่วนต้องใช้ขนาดนั้นเชียวเหรอ ประชุมวันจันทร์ตอนเช้า ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรซีเรียสนี่นา เป็นวาระทั่วไป ชี้แจงความคืบหน้าของงานที่ทำเท่านั้น ซึ่งเขาก็รายงานให้ผมทราบเป็นระยะอยู่แล้วนี่ เอ....หรือว่านั่นเป็นแค่ข้ออ้างของเขากันหือเคน เขาต้องมาด้วยวัตถุประสงค์อื่นแน่ๆ คุณว่างั้นไหม”

นั่นไง เคลวินคิดเหมือนผมไม่มีผิด แสดงว่าเขาก็ต้องคิดว่ากำลังถูกสอดแนมจากคุณชาตรีเหมือนกัน แต่คุณชาตรีจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร ดิสเครดิตเจ้านายตัวเองหรือไง หรือใครจ้างมา

..............................................................

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หุหุ ตาเคนหลงกลตามมาจนถึงเพนเฮ้าส์จนได้   :m1:  :m1:

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
เรื่องยุ่งๆ กำลังจะเกิดขึ้น รึเปล่าหว่าา  :m21: :m21:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
รอลุ้นต่อไป แล้วอีตาผู้จัดการสงสัยคิดไม่ซื่อ  :m21:  :m21:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ลงทันปัจจุบันแล้วนะครับ
ต่อไปคงต้องรอแล้วพี่เคทเขียนแล้ว
 :a9: :a9: :a9: :a9: :a9:
*************************

บทที่ 23

“แล้วเขาซักถามอะไรคุณเพิ่มเติมอีกบ้างไหมครับ”

ผมถามเคนอย่างสงสัย เริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว จากคำบอกเล่าของเคนมันทำให้ผมจับประเด็นได้ว่านายชาตรีกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง หรือว่า เขาระแคะระคายว่าผมกับเคนมีอะไรกัน เลยพยายามมาสืบดูให้รู้แน่ชัด แต่ที่ผมไม่เข้าใจว่าเขาจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร

ถ้าเขารู้ว่าผมกับเคนมีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกต่อกัน เขาจะได้อะไรบ้างจากข้อมูลเหล่านี้ หรือว่าเขาต้องการแบล็คเมล์ผม จริงสิ เขาไม่ค่อยชอบหน้าเคนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาจจะใช้เหตุนี้กลั่นแกล้งคนที่ตัวเองไม่ชอบหน้าก็ได้ หรือบางที เขาอาจจะขอต่อรองเรื่องตำแหน่ง และเงินเดือน

นายชาตรีทำงานให้กับบริษัทเรามานานแล้ว ตั้งแต่สมัยพ่อผมยังคงเป็นประธานกรรมการบริษัท เขาหวังตำแหน่งงานที่สูงกว่าผู้จัดการ และเขารอมานานหลายปี ตอนที่พ่อผมยังดูแลอยู่ ได้มีการเสนอชื่อเขามาหลายครั้ง แต่พ่อผมยังไม่ตกลง เมื่อผมรับบริษัทมาจากพ่อ และได้พิจารณาความสามารถของนายชาตรีแล้ว ผมก็เห็นสมควรว่า ควรจะให้เขารอคอยต่อไป

อายุงานที่ผ่านมา กับประสบการณ์และความทุ่มเท มันไม่แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดเท่าไหร่ บวกกับนิสัยใจคอของเขาที่ชอบดุด่าลูกน้อง ทำให้คนที่ทำงานด้วยอึดอัดใจ สิ่งเหล่านี้มันทำให้เขายังคงติดแหง่กอยู่ที่ตำแหน่งผู้จัดการ ไม่ได้ก้าวหน้าไปไหน ในขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคนที่ทำงานพร้อมกับเขา กลายเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ หรือเลื่อนขั้นเป็นผู้อำนวยการไปหมดแล้ว

หากนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจมาสืบเรื่องราวของผมกับเคน เพื่อจะต่อรองบังคับผมให้เลื่อนตำแหน่งให้เขา นายชาตรีจะต้องพบกับความผิดหวัง ผมเกลียดเรื่องการแบล็คเมล์มาก และหากเขามาใช้วิธีนี้กับผม ผมจะไล่เขาออกทันที โดยไม่จ่ายเงินชดเชยให้แม้แต่บาทเดียว และถ้าเขาฉลาดพอ และรู้จักนิสัยผมดี เขาจะต้องไม่ทำอย่างนั้นอย่างเด็ดขาด

คำถามที่ว่านายชาตรี มาแถวนี้ทำไม มันยังคงรบกวนจิตใจผม เพราะผมหาคำตอบของการมาปรากฏกายที่นี่ของเขาไม่ได้ ผมรู้สึกสับสนในการกระทำของนายชาตรี บางสิ่งบางอย่างมันขัดแย้งกันเอง นอกจากเรื่องปรากฏกายที่นี่ที่ยังต้องการคำตอบ

ผมยังสงสัยด้วยว่า ทำไมเขาถึงเลือกวันนี้ ที่ผ่านมาตั้งแต่ผมคบกับเคน ผมแทบจะไม่ได้มาพักที่เพนเฮ้าส์เลยด้วยซ้ำ ถ้าจะดักรอผมเพื่อจะจับผิด เขาก็ต้องมารออยู่เป็นเดือน ทว่าจากที่ได้รู้จัก นายชาตรีไม่ใช่คนที่จะอดทนรออะไรในระยะยาวแบบนี้นี่นา หรือว่าเขาเปลี่ยนไปแล้ว ความที่อยากจะได้อะไรบางอย่างจากผม ทำให้เขาหาทางจับผิดให้ได้ ผมต้องหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่งั้นมันคงค้างคาใจผมไปตลอดแน่ๆ

“ไม่ได้ถามอะไรครับ เจอคำถามผมเข้าไป แกก็เลยไม่อยากคุย รีบร้อนกลับทันที”

“อือ ประหลาดจัง”

“เราสองคนเห็นจะต้องระวังตัวนะครับ ต่อไปคงอยู่ด้วยกันแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ”



--------------------
...............................................................



เฮ้ย....ได้ไงล่ะ ไม่เอานะ ทำไมเคนพูดแบบนั้น ผมไม่ยอมหรอก อุตส่าห์พยายามมาจนถึงขั้นนี้แล้ว และเคนก็ยอมผมตั้งมากมาย อีกไม่นาน ผมคงได้ทั้งตัวและหัวใจของเคนแน่ๆ

แต่ถ้าเลิกพบปะ เลิกอยู่ด้วยกัน แบบนี้ผมก็แห้วนะสิ ผมไม่ยอมให้ไอ้เจ้าผู้จัดการมาเป็นมารขัดขวางความรักของผมหรอก เขาอยากจะรู้ อยากจะสอดแนมก็ทำไปสิ ผมตั้งใจแล้วว่า ผมกับเคน จะไม่มีการปิดบังใคร ผมจะอยู่กินกับเขาอย่างเปิดเผย ขอแค่เคนยอมรับรักผมเท่านั้น

ตอนนี้ที่ผมยังไม่อยากกระโตกกระตาก บอกให้ใครรู้ เพราะผมกังวลใจเกี่ยวกับชื่อเสียงของเคนต่างหาก ในเมื่อเคนเองก็ยังไม่ยอมรับว่ารักผม และยอมอยู่กินกับผมฉันท์สามีภรรยา

การปกปิดเรื่องของเขาไม่ให้ใครรู้ จึงแฟร์กับเคนที่สุด หากวันข้างหน้าเคนอยากแต่งงาน จะได้ไม่มีใครรู้ว่าเคนของผม เคยเป็นของผู้ชายด้วยกันมาแล้ว

“ไม่นะครับ ผมไม่ยอมหรอกนะ ถ้าจะต้องให้เลิกอยู่ใกล้กับเคน ผมคงอกแตกตายพอดี ทุกวันนี้ แค่เห็นหน้าเคนในที่ทำงาน ผมก็เกือบอดใจไม่ไหวแล้ว อยากกอดอยากจูบ อยากแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เวลาเห็นหนุ่มๆ หรือสาวคนไหนมองคุณ ผมแทบจะคลั่งเลยรู้ไหม

อยากจะตรงเข้าไปแทรกกลาง แล้วบอกว่า เลิกยุ่งกับสามีของผมได้แล้ว แต่ผมก็ทำไม่ได้ ได้แต่ฮึดฮัดโมโหคนเดียว ถ้าคนเพียงคนเดียว มายุ่งเกี่ยว แล้วทำให้เราต้องเลิกกัน ผมคงฆ่าคนๆนั้นแน่”

ผมโวยวายใส่เคนยกใหญ่ ที่เขาพูดแบบนั้น น่าแปลกที่เคนไม่ได้นึกโกรธผม เขามองหน้าผม แล้วก็หัวเราะ สงสัยคงเห็นผมเป็นตัวตลกแหงๆ

“ท่านประธาน เคยมีอารมณ์แบบนั้นด้วยเหรอ ไหนเคร่งครัดกฎหนักหนาไงครับ ว่าไม่มีเรื่องชู้สาวในที่ทำงาน เห็นรักษาภาพพจน์ออกจะตาย”

นั่นไง ว่าแล้ว เขาต้องขำผมเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่ๆ ก็จริงนะ ผมพยายามไม่ให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียแบบเรื่องชู้สาว หรือสมภารกินไก่วัดในที่ทำงาน ผมว่ามันจะทำให้เสียการปกครอง แต่ในกรณีของเคนนี้ ผมทำใจลำบากจริงๆ คงเป็นเพราะผมรักและหวงเขามากนั่นเอง

“เคนน่ะ....หัวเราะผมทำไมกัน..... เพราะคุณนั่นแหละ ที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ คุณทำให้ผมแทบคลั่งตายรู้ไหม ผมไม่เคยรักใครเท่าคุณมาก่อนเลยนะ ถ้าผมเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง คุณจะต้องรับผิดชอบชีวิตผมด้วย ได้ไหมครับ....”

ฮิฮิฮิ โมเมเสียเลย ไม่รู้ล่ะ ตั้งใจไว้แล้ว ว่ายังไงเสีย เคนก็จะต้องเป็นของผม ดังนั้นไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล วิธีไหนก็ตาม ที่จะได้เคนมาร่วมชีวิตด้วย ผมทำทั้งนั้น ต่อให้ต้องขู่ ต้องปลอบ หรือออดอ้อนก็ตาม ก็ผมรักของผมนี่นา

แค่มองตาก็รู้ว่าคนนี้แหละใช่เลย คนที่ผมตามหามานาน ยิ่งได้ใกล้ชิด ได้รู้จักนิสัยใจคอ ผมก็คิดว่าเคนคือคู่แท้ของผม ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับเขา คนอย่างเคนไม่ใช่จะหาได้ง่าย มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะปล่อยให้คนดีๆแบบเคนหลุดมือ

เคนต้องแต่งงานอยู่กินกับผม ใครที่มาเป็นตัวมารคอยขัดขวาง จะต้องเจอดีทุกรายไป ไม่เว้นแม้แต่พนักงานที่ทำงานให้บริษัทมานานอย่างนายชาตรีด้วย ยิ่งมาทำพฤติกรรมสอดรู้สอดเห็นแบบนี้ ยิ่งต้องจัดการซะก่อนจะมาทำเรื่องเสียหายให้กับผม



--------------------
“อ้าว โทษผมเสียแล้ว ที่จริงถ้าเคลวินไม่มายุ่งกับผมตั้งแต่แรกก็คงไม่มีปัญหา ไม่ต้องมาหลบซ่อนแบบนี้นะครับ”

“ใครบอกล่ะ ผมไม่เคยคิดว่าการได้รู้จักคุณ จะนำความเดือดร้อนมาให้นะ ตรงข้าม ผมกลับคิดว่ามันเป็นโชคมากกว่า ที่ทำให้ผมได้เจอคุณ และได้ครองรักกันอย่างทุกวันนี้”

ผมเห็นเคนขมวดคิ้ว ทำท่าเหมือนจะขำคำพูดผม ผสมกับอารมณ์หมั่นไส้ เขาคงคิดในใจว่าผมนี่ช่างกล้าพูดเสียจริงว่าเราครองรักกัน มันเป็นการโมเมของผมข้างเดียวมากกว่า

เคนยังไม่ได้ตกลงปลงใจอะไรด้วย ผมแค่อาศัยความใจกล้าน่าด้านทึกทักเอาเอง ซึ่งที่ผมทำแบบนี้เพราะมีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น ด้านได้อายอด ผมรักเขาและต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เคนตกลงปลงใจกับผมให้ได้

“โมเมอยู่เรื่อยเลย เห็นไหมครับ เพราะเคลวินเอาแต่ใจตัวเอง เลยทำให้ชีวิตเราสองคนยุ่งยาก คราวนี้จะทำไงดีล่ะครับ หากว่าคุณชาตรี แกระแคะระคายเรื่องนี้ และอยากสืบดูให้รู้ชัด เราสองคนไม่แย่เหรอ ผมน่ะไม่เท่าไหร่ เคลวินจะโดนหนักนะ เพราะคุณเป็นเจ้าของบริษัท มายุ่งกับลูกน้องแบบนี้ มันไม่เหมาะสม อาจจะเสียการปกครองในภายหลังได้นะครับ”

คำพูดของเคนนั้นถูกต้องทีเดียว การที่ประธานบริษัทมีอะไรกับพนักงานตัวเอง ก็ไม่ต่างอะไรกับสมภารที่กินไก่วัด คนอื่นรู้เข้า ก็มีแต่จะก่อให้เกิดการนินทาว่าร้าย ดีไม่ดี พนักงานใต้ปกครองจะสิ้นความนับถือเอา

แต่ผมเป็นคนไม่แคร์อะไรอยู่แล้ว ผมไม่คิดว่าการมีอะไรกับลูกน้องเป็นเรื่องที่ผิด เพราะผมไม่ได้มีนิสัยเห็นแก่ได้ เอาเปรียบลูกน้อง และไม่คิดที่จะให้ตำแหน่งหน้าที่การงาน รวมถึงผลตอบแทนจำนวนมาก เพื่อปรนเปรอคนที่ผมนอนด้วย

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมมีจิตปฏิพัทธิ์กับพนักงานในบริษัทของตัวเอง ก่อนหน้านั้น ผมจะมีแฟนที่เป็นคนภายนอกบริษัท ก่อนที่จะหยุดเรื่องนี้และหันมาเอาดีเรื่องการทำงานอย่างเดียว และความสัมพันธ์ที่ผมเป็นคนเริ่มต้น มันมีพื้นฐานมาจากความรักในตัวของเคนอยู่ก่อนแล้ว

ดังนั้นผมไม่สนใจว่าใครจะนินทาว่าร้ายอะไร จะให้ผมยกย่องเคนเป็นสามีของผมวันนี้พรุ่งนี้เลยก็ได้ ผมยินดีประกาศให้ทุกคนรู้ หากเคนยินยอมพร้อมใจที่จะอยู่กับผม เคนผ่านด่านทดสอบไปหลายเรื่องแล้ว เขาไม่ใช่คนเห็นแก่เงิน ไม่ขายตัวเพื่อให้ตัวเองมีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น เขาไม่หลงในสิ่งที่ผมให้กับเขา มีแต่จะโกรธด้วยซ้ำถ้าผมหยิบยื่นอะไรให้

เขาเป็นคนรักงานการ ขยัน อยากไต่เต้าไปสู่ความสำเร็จด้วยความสามารถของตัวเองมากกว่าจะเป็นการผลักดันจากผู้มีอำนาจในบริษัท และที่สำคัญเขาใจดีและอ่อนโยนมาก ไม่เคยคิดร้ายกับใคร สิ่งเหล่านี้ชนะใจผม จนไม่คิดว่าจะยอมเสียเขาไปเพื่อแลกกับหน้าตาตัวเอง

“ช่างปะไร ใครจะคิดยังไงก็ช่าง แต่ผมไม่มีวันเลิกกับเคนนะครับ”

นี่คือเจตนารมย์ของผม

“ถ้ามันจำเป็นก็ต้องเลิกนะ ผมไม่อยากให้เคลวินมัวหมองเพราะผม”

เคนยังคงห่วงใยคนอื่นมากกว่าตัวเองเหมือนเดิม ผมดีใจนะที่เขาห่วงผม



--------------------
“ไม่เห็นจะต้องกลัวนี่ครับ ผมยินดีเผชิญกับทุกสิ่ง ผมรักคุณด้วยความบริสุทธิ์ใจ ถ้าเราเลิกกันก็แปลว่าเรายอมแพ้ให้กับความคับแคบในจิตใจคน อย่างนี้ดีแล้วหรือครับ”

ผมตอบอย่างดื้อรั้น

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ เคลวิน คุณจะถูกพนักงานของตัวเองนินทานะ”

“เรื่องอะไรล่ะครับ เรื่องที่มาหลงรักลูกจ้างตัวเองงั้นเหรอ ทำไมล่ะ ลูกจ้างไม่ใช่คนหรือไง ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะมีตำแหน่งเป็นอะไร ถึงแม้จะเป็นยามบริษัท แต่ถ้าหากผมรักคุณ ผมก็จะอยู่กับคุณให้ได้”

“แหม ฟังแบบนี้ มันก็น่าปลื้มใจอยู่หรอกนะครับ แต่เคลวินต้องเข้าใจนะครับว่า ชีวิตคนมันไม่ใช่นิยาย น้อยคนจะรับได้กับความสัมพันธ์ที่เราเป็นอยู่นะครับ”

เคนทำท่าอ่อนอกอ่อนใจที่ผมไม่รับฟังอะไรง่ายๆ

“ก็ช่างปะไร รับไม่ได้ ไม่อยากร่วมงานในบริษัทผมก็ออกไปสิ”

ตอบไปอย่างพาลๆ

“อย่าพูดอย่างนั้นนะครับ คนเป็นประธานบริษัทคิดแบบนี้ ไม่ได้นะ บางทีเราอาจจะต้องเสียสละความสุขของตัวเอง เพื่อที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จนะครับ”

“จะพูดไงก็ช่าง ผมไม่อยากปีนขึ้นไปปักธงชัยบนยอดเขาเพียงลำพัง อยากมีคนข้างๆที่จะคอยแสดงความยินดีกับผม และคนคนนั้นก็คือเคนคนเดียวเท่านั้น”

ผมยืนกรานความคิดของตัว เคนส่ายหน้า ท่าทางกลุ้มอกกลุ้มใจกับความคิดของผม

“เฮ้อ เป็นประธานที่ดื้อจริงๆ”

“เพิ่งรู้หรือครับ น่าจะรู้ตั้งนานแล้วนะ ถ้าผมไม่ดื้อ คงไม่ตื้อให้คุณรับรักผมแบบนี้หรอก ผมอาจจะประสบความสำเร็จด้านเจรจากับนักธุรกิจมากมาย แต่ผมไม่สามารถโน้นน้าวใจเคนได้เลย เมื่อไหร่จะใจอ่อนยอมแต่งงานกับผมซะทีล่ะ”

กลับเข้าเรื่องเดิมอีกครั้ง ผมถือคติว่า น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน หัวใจอ่อนๆของเคนเมื่อเจอการตื้อของผม น่าจะหลงคารมกันบ้างล่ะน่า


..............................................

...........................................................

“เอ๋...คุยเรื่องคุณชาตรีอยู่ดีๆ ทำไมวกมาเรื่องนี้ล่ะ ไม่เอาๆเปลี่ยนเรื่องดีกว่า”

“แหม เคนอ่ะ พอจะพูดเรื่องแต่งงาน ก็เลี่ยงทุกที ก็ได้ ยังไม่พูดวันนี้ เอาไว้พูดวันหลัง ก็ยังไม่สาย วันนี้คุยเรื่องแก้ปัญหาคนคอยจับผิดกันก่อน ในความคิดของผมนะ ถ้าเราสองคนแต่งงานกัน ทุกอย่างก็จบ ไม่มีใครมาวุ่นวายกับเราอีกแล้ว”

ถึงจะเปลี่ยนเรื่อง ผมก็ดันกลับเข้ามาในประเด็นเดิมจนได้ เคนเกาหัวแกรกๆ คนซื่ออย่างเขาไม่ทันนักธุรกิจนักเจรจาต่อรองอย่างผมได้หรอก ความจัดเจนมันต่างกัน

“อ้าว สุดท้ายก็ลงแบบนี้จนได้ เคลวินช่วยเป็นงานเป็นการหน่อยได้ไหมครับ”

“ก็นี่แหละ เป็นงานเป็นการที่สุดแล้ว ผมกำลังหาวิธีการแก้ปัญหาไง”

“ทำแบบนี้ได้ซะที่ไหนล่ะ ผมไม่ได้อยากแต่งงานกับเคลวินนะครับ”

สามีของผมปฏิเสธ ทำเอาผมหน้าจ๋อย ดูสิ เรามีอะไรกันถึงขนาดนี้แล้ว เขายังไม่ยอมผมอีก จะให้ผมตื้อไปถึงไหนกัน

“เคนใจร้ายกับผมมากเลย”

ผมทำน้ำเสียงห่อเหี่ยว ท่าทางของผมคงเหมือนคนสิ้นหวังมาก มันคงไปกระทบกับจิตใจที่ขี้สงสารของเคน เพราะผมได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ

“ผมยังไม่คิดอะไรตอนนี้นะครับ อยากทำงานก่อน”

นี่เป็นการบ่ายเบี่ยงที่สุภาพของเขาแล้ว แม้มันจะหมายถึงคำว่าไม่ แต่ก็ช่วยให้ผมมีกำลังใจขึ้นมาเป็นกอง ผมหวังต่อไปในอนาคตว่า เมื่อเคนทำงานจนประสบความสำเร็จ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการ เคนอาจจะมีเวลาคิดและทบทวนเรื่องราวของเรา และหากผมยังมั่นคงต่อเขา ไม่เปลี่ยนแปลง เคนอาจจะเห็นความดีของผมบ้างก็ได้

“ครับ ผมจะรอนะ”

ผมมองเขาทำตาเป็นประกายเว้าวอน และได้เห็นความหวั่นไหวในดวงตาของเขา ความใจอ่อนของเคนอาจจะช่วยให้ผมสมหวังได้ในที่สุด

“สำหรับเรื่องของคุณชาตรี ผมจะลองสืบดูนะ ผมจะแกล้งทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องที่เขามาป้วนเปี้ยนแถวบริษัท คุณจะได้ไม่เดือดร้อน ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขามาจับผิดเราหรือเปล่า และถ้าใช่อย่างที่เราสงสัย ผมจะเรียกเขามาคุยนะครับ”

“แล้วระหว่างนี้ เราควรจะห่างๆหันดีไหมครับ เคลวินก็ไม่ต้องไปหาผมอีก เผื่อเขาสะกดรอยตาม”

“ไม่ครับ ทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนเด็ดขาด แหม รีบไล่ส่งผมเลยนะ รังเกียจผมเหรอ ไม่อยากเห็นหน้าผมอีกแล้วใช่ไหม”

ต่อว่าเขาอย่างงอนๆ ถึงแม้ผมจะผ่านเรื่องที่หนักหนาสาหัสมามากกว่านี้ แต่กับเรื่องละเอียดอ่อนเช่นความรัก ผมก็ค่อนข้างอ่อนไหว คนที่เคยชนะอะไรต่ออะไรมามากมาย ก็อ่อนแอเป็นเหมือนกัน

“เปล่าครับ อย่าคิดมากสิ แค่ไม่อยากให้คุณเดือดร้อน ถ้าคุณชาตรีสืบเรื่องของเราสองคนจริงๆ เขาต้องส่งคนมาสะกดรอยตามดูคุณแน่ ผมอยากให้คุณระวังตัวนะครับ”

“ถ้าเป็นเรื่องแค่นี้ ก็ไม่ต้องห่วงครับ ไม่มีใครสะกดรอยตามผมได้หรอก ผมมีผู้ช่วยเยอะ ห่วงแต่เคนนั่นแหละ จะอึดอัดไหม ถ้ามีคนตามสืบเรื่องของเราจริงๆ”



--------------------
ถามออกไปด้วยความห่วงใย ผมรอบจัดเพียงพอที่จะเอาตัวรอดได้ และความที่เป็นถึงประธานบริษัท นายชาตรีคงไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งให้ผมรู้ตัว เพราะนั่นย่อมหมายถึงอนาคตทางการงานของเขา แต่กับเคนซึ่งเป็นเพียงแค่พนักงานคนหนึ่ง อาจจะถูกตรวจสอบและติดตามได้ง่าย

ยิ่งเคนเป็นคนซื่ออยู่ด้วย เขาอาจจะเสียรู้ให้กับคนที่สอดรู้สอดเห็นก็ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นด้วยกับความคิดของตัวเองที่ว่า หากเขากับผมแต่งงานอยู่กินด้วยกัน ก็จะขจัดปัญหาทุกอย่าง และไม่มีใครนินทาว่าร้ายเขาด้วย ถึงจะมีก็คงไม่กล้าพูดให้เขาได้ยิน ก็สามีประธานบริษัทนี่นะ ใครจะกล้าพูดวิพากษ์วิจารณ์เราสองคนล่ะ

“ไม่รู้ครับ ผมเองก็นึกไม่ออกว่าจะเป็นยังไง”

ท่าทางเขาคงยังไม่คิดเตรียมการรับมือกับเรื่องนี้ น่าสงสารเขาจัง อยู่ดีๆก็ถูกลากเข้ามาให้เจอกับเรื่องวุ่นวายต่างๆ เป็นความผิดของผมแท้ๆทีเดียว แบบนี้คงต้องชดเชยให้เขามากๆแล้ว

“ยังไงเราสองคนก็ต้องพยายามต่อสู้นะครับ เพื่อที่เราจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ผมไม่อยากให้เคนอึดอัด แล้วทิ้งผมไป ผมคงตายแน่ๆถ้าไม่ได้อยู่กับเคน”

ผมพูดออดอ้อนเขา อยากให้เขารับรู้ความรู้สึกของผม และร่วมสู้ไปด้วยกัน เคนยิ้มให้ผมเหมือนจะขำ สักพักก็ทำหน้าดุ

“คนป่วยอะไรเนี่ย พูดมาก ไม่เห็นไอเลย หายไข้แล้วใช่ไหมครับ”

โอ้ย...ลืมเลย มัวแต่ตื่นเต้นกับข่าวที่ได้ยิน กับกลัวเขาเปลี่ยนใจไม่คบผมต่อ เลยพูดออกมาเป็นชุด เคนเลยจับได้ว่าอาการของผมเริ่มจะดีขึ้นบ้างแล้ว

“ไม่นะ ยังไออยู่เลย แค้กๆๆๆ...เจ็บคอด้วย ...ตัวก็ยังร้อนอยู่เลยครับ ดูสิ”

เพื่อยืนยันว่ายังไม่หายป่วย ผมจึงไอโขลกๆ พลางดึงมือของเคนมาแตะที่หน้าผากของผม และทำท่าทางเหมือนคนป่วย คราวนี้ เคนหัวเราะก๊าก เขารู้ว่าผมโกหก แต่ก็ไม่ยักจะโกรธ กลับขำผม...อา...ชอบจัง เคนหัวเราะแล้ว เขาหัวเราะให้ผม รัก...หน้าตาแบบนี้ของเขาจัง รักเคนที่สุดเลย

“เคลวินเจ้าเล่ห์ตลอดเวลาเลยนะครับ ผมคงไม่ต้องห่วงคุณแล้วกระมัง เก่งแบบนี้ คงช่วยเหลือตัวเองได้แน่ๆ”

“ห่วงเถอะนะครับ ที่จริง ผมไม่ได้เหมือนอย่างที่คุณเห็นนะ ร่างกายภายนอกอาจจะแข็งแรง แต่ที่จริงอ่อนแอมาก โดยเฉพาะหัวใจ มันต้องการคนดูแลที่เก่งๆ เคนช่วยเป็นคุณหมอโรคหัวใจของผมได้ไหมครับ ได้ยาชูกำลังจากเคน รับรองผมต้องหายแน่ๆ”

อ้อนเข้าไปอีก น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน หัวใจของเคนที่อ่อนอยู่แล้ว คงต้องหวั่นไหว และรักผมได้สักวัน ก็ผมอุตส่าห์ลงทุนทำตัวน่ารักกับเคนแล้วนี่นา เคนจะใจแข็งเมินเฉยต่อผมก็เกินไปแล้ว

“ผมไม่ถนัดดูแลคนไข้เจ้าเล่ห์หรอกครับ ไม่ได้เรียนมา ถ้าให้เป็นหมอผีก็ได้ เคลวินนะผีสิงบ่อย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ผมไล่ผีให้เอาไหม”

หลังจากที่เคนหยุดหัวเราะผม เขาก็แซวผมกลับ ผมยิ้มแก้มแทบปริที่ได้ยินเขาโต้ตอบด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าอบอุ่นแบบนี้ ชอบบรรยายกาศตอนนี้จังเลย เคนเลิกระวังตัวกับผม และยอมพูดเล่นกับผมแล้ว อยากให้ตัวเองป่วยตลอดไป เคนจะได้พูดดีๆ และดูแลผมทุกวัน



--------------------
“เคนจะใช้อะไรรักษาผมหรือครับ ควายธนู หรือข้าวสารเสกล่ะ ผมไม่กลัวหรอกนะ”

นึกสนุกบ้าง เลยพูดโต้ตอบกลับ

“แหมรู้ดีจัง รู้จักการไล่ผีไทยด้วยหรือครับ ถ้าไม่กลัวงั้นเอาแบบนี้ ใช้สายสิญจน์มัด แล้วจับถ่วงน้ำดีไหมครับ”

“หือ...แค่เคนใช้ความรักผูกมัดผม และขังเอาไว้ใน 4 ห้องหัวใจของเคน ผมก็ไปไหนไม่ได้แล้วครับ ยอมศิโรราบ สิ้นฤทธิ์ทันที ไม่หลอกหลอนอีกต่อไป แต่จะทำแค่หลอกให้เคนรักผมเท่านั้น”

พูดแล้ว ผมก็ทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตา ยกสองมือขึ้น แล้วยื่นมาที่คอของเคน ทำท่าเหมือนผีจะบีบคอ เคนหัวเราะเอิ๊กอ๊าก หน้าตาของเขาดูสดใสมาก จนผมอดใจไม่ไหว ต้องดึงเขาเข้ามาหาผมบนเตียง แล้วกอดเขาไว้แน่น

“แต่ผมหลอกไม่เก่งนะ ต้องหัดอีกเยอะ ถึงจะหลอกให้เคนรักผมได้ ยกเว้นแต่พ่อหมอจะสงสารเห็นใจ เลี้ยงผีตัวนี้ไว้ใกล้ ๆ คอยดูแลรับใช้ เป็นทาสรักของหมอ”

ผมกระซิบเสียงอ่อนหวานข้าง ๆ หูเคน และจูบแก้มเขาอย่างรักใคร่ เคนนั่งนิ่งไม่ขยับ เขาปล่อยให้ผมกอด และจูบเขาตามสบาย ใจผมพองโตคับอก นี่เคนคงใจอ่อนให้กับผมมากแล้วกระมัง เขาถึงไม่ขัดขืนอะไรเลย

ดีจัง อีกไม่นาน ผมกับเขาคงได้แต่งงานอยู่กินด้วยกันแน่ๆ คิดแล้วก็ให้สุขใจไม่น้อย ตอนนี้ผมก็ได้แต่หยอดไปเรื่อย ๆ พร้อมกับการรอเวลาให้ความฝันผมเป็นจริง

“จะทานข้าวได้หรือยังครับ โจ๊กจะเย็นหมดแล้วนะ หรือจะให้ผมเอาไปอุ่นให้ใหม่”

เคนพูดขึ้น ผมเลยนึกขึ้นได้ว่า เขาเอาอาหารเช้ามาให้ผมทาน แต่ผมมัวแต่สนใจเรื่องประเด็นที่เขาเล่าให้ผมฟัง เลยไม่ได้สนใจที่จะทาน เคนเลยวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง แล้วคุยกับผม ตอนนี้มันคงจะเย็นแล้ว เพราะสัมผัสกับความเย็นในห้องนอนของผม เขามองหน้าเพื่อรอคำตอบ ผมจึงพยักหน้าแล้วอ้อนต่อ

“ป้อนให้หน่อยนะครับ คุณหมอ”

สามีของผมยิ้ม แล้วดึงมือผมออกจากการกอดรัดเขา แล้วลุกไปที่โต๊ะที่วางโจ๊กเอาไว้ ก่อนจะเดินกลับมานั่งบนเตียง แล้วใช้ช้อนตักโจ๊กยื่นมาป้อนผม ตาของเราประสานกัน ผมเห็นความอ่อนโยนในนั้น มันทำให้ผมสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ผมอ้าปากรับโจ๊กกลืนลงคอ มันเย็นจริงๆด้วย แต่ทว่าผมกลับอบอุ่นในหัวใจ

“ทานยาแล้วก็นอนพักหน่อยนะครับ”

เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะที่ยื่นน้ำและยามาให้ หลังจากผมทานโจ๊กจนหมดเกลี้ยงถ้วยแล้ว ผมทำท่าจะงอแง แต่เขาทำหน้าดุใส่

.............................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-08-2007 16:44:43 โดย b|ueBoYhUb »

OhhO16

  • บุคคลทั่วไป
อิอิ มาทันแล้วว เย้ๆๆ มารอดุต่อไปครับ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เหอ เหอ เคลวินนี่ช่างอ้อนเจง ๆ  :a10:   :a10:  :a10:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
เจอลูกอ้อนอย่างงี้เคนจะรอดมั้ยเนี่ย  :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1

OhhO16

  • บุคคลทั่วไป
หง่ะ ไปไหนอ่ะ จะอ่านๆๆๆๆ

พี่เคทอ่ะครับ ทีนั้นไล่ผมไปแต่ง ดูตะเองจิ



รอนะครับๆๆๆ  แต่งไวๆนะครับ อยากอ่าน

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
รอ .......... ร๊อออออ ...................รอ  :m18: :m18: :m18:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ยังรอเรื่องนี้นะ พี่เคทเมื่อไหร่จะต่อเนี่ย  :m18:  :m18:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
มาแว้ว อัพเดททันใจตามคำเรียกร้อง คิกคิก
 :m11: :m11:

......................................................

“ป้อนให้หน่อยนะครับ คุณหมอ”

สามีของผมยิ้ม แล้วดึงมือผมออกจากการกอดรัดเขา แล้วลุกไปที่โต๊ะที่วางโจ๊กเอาไว้ ก่อนจะเดินกลับมานั่งบนเตียง แล้วใช้ช้อนตักโจ๊กยื่นมาป้อนผม ตาของเราประสานกัน ผมเห็นความอ่อนโยนในนั้น มันทำให้ผมสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ผมอ้าปากรับโจ๊กกลืนลงคอ มันเย็นจริงๆด้วย แต่ทว่าผมกลับอบอุ่นในหัวใจ

“ทานยาแล้วก็นอนพักหน่อยนะครับ”

เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะที่ยื่นน้ำและยามาให้ หลังจากผมทานโจ๊กจนหมดเกลี้ยงถ้วยแล้ว ผมทำท่าจะงอแง แต่เขาทำหน้าดุใส่

“ไหนบอกว่าให้ผมเป็นหมอไง ทำไมพูดอะไรถึงไม่เชื่อฟังครับ แบบนี้จะหายได้ไงกัน ถ้าทำตัวดื้อๆแบบนี้ จะพาไปส่งโรงพยาบาล ให้อยู่กับหมอจริงๆนะ”

สามีของผมขู่ด้วยน้ำเสียงเข้ม ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ ยอมทานยาโดยดี ที่จริงผมอยากจะลุกไปเดินเล่นยืดแข้งยืดขาบ้าง แต่สวมบทบาทคนไข้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แบบนี้ จะทำซ่าส์ก็ไม่ได้ เดี๋ยวเสียแผนหมด

อุตส่าห์หลอกเขามาที่เพนท์เฮ้าส์ของตัวเองได้แล้ว ก็ต้องพยายามเดินไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ ผมต้องทำให้เคนยอมเป็นของผมที่นี่ให้ได้ อิอิอิ คิดแล้วก็ขำกับความช่วยร้ายของตัวเอง ใครที่มีสามีน่ารักแบบผมก็คงต้องยอมทำตัวเป็นเมียเจ้าเล่ห์ด้วยกันทั้งนั้น

“เคนต้องสัญญาก่อนนะครับ ว่าถ้าผมตื่นขึ้นมา ต้องเจอเคนนะครับ”

“ผมไม่ไปไหนหรอก คงจะอยู่ที่ห้องนี้แหละ เดินเผ่นผ่านข้างนอกไม่ดี เดี๋ยวคนเจอเข้า จะถูกสงสัยเอาได้”

เขาตอบด้วยท่าทีเนือยๆ ผมรู้ว่าเขาคงเครียดเรื่องนายชาตรีไม่น้อย แต่เขาพยายามที่จะไม่พูดมันออกมา คงกลัวว่าผมไม่สบายใจ ผมยิ้มให้เขา แล้วหลับตาลง ไม่อยากคุยเรื่องนี้อีก ใจคิดถึงวิธีการจะให้ได้ข้อมูลมา ว่านายชาตรีมาแถวนี้ด้วยจุดประสงค์อะไร เขากำลังปกปิดอะไรอยู่หรือเปล่า หากเขาต้องการจะจับผิดจริง ผมคงไม่เอาไว้แน่

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาหรือเปล่า ที่ทำให้ผมหลับไปนานมาก พอตื่นขึ้นมา ผมก็ไม่เห็นเคนอีกแล้ว สิ่งแรกที่ผมคิดออกคือ เคนคงลงไปหาข้าวปลาอาหารมาให้ผมทาน เพราะเขาทำกับข้าวไม่เป็น เขารับปากว่าจะไม่ไปไหน แต่ความที่ห่วงกลัวว่าผมไม่มีอะไรกิน ก็คงจะทำให้เขาเสี่ยงที่จะลงไปหาอะไรข้างล่างแน่ๆ ผมนึกถึงป้าหมี่ขึ้นมาทันที หรือว่าผมจะโทรให้แม่บ้านของผม มาทำอาหารให้กินดีนะ

แล้วผมก็เปลี่ยนใจ ล้มเลิกความคิดที่จะช่วนป้าหมี่มาที่นี่เพื่ออำนวยความสะดวกให้เราสองคน ผมไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมพาเคนมานอนที่เพนเฮ้าส์ของผม ถึงแม้ว่าป้าหมี่จะรักผมมากเท่าไหร่ แต่การที่มีคนรู้เรื่องนี้น้อยที่สุดก็น่าจะเป็นการดี ผมอยากรักษาความลับให้เคน ผมกลัวเขาจะมีปัญหายุ่งยาก มากคนรู้เท่าไหร่ก็ยิ่งมากความ แค่ลุงเทพรู้คนเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้ว

ถ้างั้นผมควรจะทำอาหารกินกันกับเคนดีกว่า เพราะในตู้เก็บของในครัว ก็พอมีอาหารแห้งอยู่บ้างแล้ว และมีอาหารสดอยู่ในตู้เย็น ซึ่งป้าหมี่จะเอามาใส่ให้ใหม่เสมอทุกอาทิตย์ เผื่อว่าผมจะนอนค้างที่นี่ จะได้ทำอาหารกินเองได้ คนเลี้ยงของผมรู้ว่าผมนั้นชอบทำอาหารมาก และต้องการให้ในครัวมีทุกอย่างเตรียมพร้อมเสมอ เวลาที่ผมลงมือทำกับข้าวกินเอง จะได้ไม่ขาดเครื่องปรุงให้หงุดหงิดใจ



--------------------
แต่ก่อนอื่นผมต้องหาตัวเคนก่อน ว่าเขาอยู่ไหน เคนไม่ยอมเอาโทรศัพท์ไปด้วย เขายังไม่ยอมรับของที่ผมให้อยู่ดี คงต้องหาวิธียัดเยียดให้รับแบบแนบเนียน เคนจะได้ปฏิเสธลำบาก

การที่ผมติดต่อเขาไม่ได้ มันทำให้ผมหงุดหงิดมาก ผมอยากรู้ความเคลื่อนไหวของเคนตลอดเวลา ก็คนมันรักและห่วงนี่นา พอไม่เห็นหน้า หรือคลาดสายตาไปไหนก็จะกังวล ยิ่งตอนนี้ มีคนไม่หวังดี คอยสอดส่องเราทั้งคู่ มันยิ่งทำให้ชีวิตเคนไม่เป็นปกติสุขเหมือนเดิม ในเมื่อผมเป็นคนทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ผมก็ควรจะรับผิดชอบในตัวเขา

ผมเปิดประตูออกไปที่ระเบียง และชะโงกหน้าลงไปมองข้างล่าง ห้องพักของผมอยู่ชั้นบนสุดของตึก มองไปข้างล่างเห็นผู้คนตัวเล็กๆ ไม่ชัดเจน แต่ผมก็พยายามเขม้นมอง ยืนอยู่แบบนั้นเป็นนาน ผมก็ยอมแพ้ เลยตัดสินใจเดินเข้ามาในห้อง เพื่อรอเขา แต่รออยู่นานสองนานก็ยังไม่มา ผมเลยหาอะไรทำฆ่าเวลารอสามีสุดที่รักกลับเข้าห้อง

ทำน้ำผลไม้คั้นให้เขาทานดีกว่า คั้นเสร็จเอาแช่เย็นไว้ พอเขามาเหนื่อยๆ ดื่มแล้วจะได้สดชื่นอารมณ์ดี ความคิดไปแล้ว กายเลยตามไปบ้าง ผมเดินไปยังห้องครัว ที่มีเคาน์เตอร์บาร์กั้นบังไว้ เพื่อไม่ให้กลิ่น และ ควันจากการปรุงอาหาร ลอยมารบกวน พอเดินเข้าไป ผมก็ต้องหยุดกึก เมื่อเห็นเคนนั่งอยู่บนพื้นห้อง

แวบแรก ผมดีใจที่ได้เห็นเขายังอยู่ในห้องของผม ไม่ได้หนีไปไหน แต่ต่อมาผมก็คิดว่าเขาเป็นลมหรือเกิดอุบัติเหตุสักอย่างถึงได้นอนกองอยู่กับพื้นอย่างนั้น แต่เมื่อเดินไปหยุดยืนใกล้ๆก็พบว่าเคนกำลังหลับสนิทโดยเอาหลังพิงตู้เก็บภาชนะ ในมือถือตำราอาหาร ที่ถูกเปิดเอาไว้

ข้างๆตัวเขามีหนังสือเกี่ยวกับสูตรการปรุงอาหารหลากหลายชนิดวางอยู่ เห็นแบบนี้แล้ว ผมก็อดยิ้มไม่ได้ เคนคงใช้ช่วงเวลาที่ว่างอยู่จากการเฝ้าดูผม มาอ่านตำราทำอาหาร เขาคงพยายามเรียนรู้เพื่อทำกับข้าวให้ผมกินแน่ๆ ผมรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก สามีของผมน่ารักจริงๆ

“เคน เคนครับ...ตื่นเถอะ นอนแบบนี้จะไม่สบายตัวนะครับ”

เขย่าตัวเขาเบาๆ เพื่อเรียกให้เขาไปนอนบนเตียง แต่เคนก็ยังไม่ตื่น สงสัยเพลียจากการดูแลผม น่าจะให้เขาได้พักบ้าง ผมตัดสินใจช้อนร่างของเคนขึ้นมา แล้วอุ้มตรงไปยังเตียงนอน นึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ถ้าใครมาเห็นผมในสภาพแบบนี้ คงหัวเราะแน่ที่ภรรยาตัวโต อุ้มสามีตัวเล็กกว่าไปนอน มันน่าจะกลับกัน ผมน่าจะเป็นฝ่ายถูกอุ้มมากกว่า แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา สรีระร่างกายไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าขนาดของหัวใจ

“เดี๋ยวผมทำกับข้าวให้ทานนะ คุณเหนื่อยดูแลผมมามากแล้ว นอนพักก่อนดีกว่า”

ผมกระซิบเบาๆข้างหู และจูบที่ปากของเคนแล้วรีบผละออกไป ก่อนที่จะยั้งใจไม่อยู่ เลิกล้มการทำกับข้าว แล้วหันมากินเขาแทน การอยู่ห่างจากสามีสุดที่รัก เป็นเรื่องสุดท้ายที่ผมจะคิด ผมอยากจะอยู่กับเขาทุกวัน ทุกเวลา และรอที่จะให้ความฝันของผมกลายเป็นจริง

การนอนนานๆ ทำให้ผมรู้สึกเมื่อยขบ ผมบิดตัวไปมา และหักนิ้วมือตัวเองเพื่อทำให้กล้ามเนื้อและพลังวังชากลับคืน ก่อนจะเดินตรงไปยังตู้เย็น และหยิบอาหารสดออกมา วันนี้ผมกะจะทำมื้อใหญ่ให้เคนทาน ไหนๆเคนก็มีโอกาสได้มาที่เพนท์เฮ้าส์ของผม ดังนั้นต้องทำให้เขารู้สึกประทับใจ จนเขาอยากมาอยู่ที่นี่ วันนี้ต้องมีการเลี้ยงฉลอง



--------------------
เมนูมากมายปรากฏขึ้นในหัวสมอง อันโน้นก็อยากทำ อันนี้ก็อยากให้เคนได้ทาน ไปๆมา คิดได้เกือบ 20 รายการ จนผมต้องหัวเราะออกมาด้วยความขำ นี่มันแค่มื้อกลางวัน แต่ผมกลับคิดวุ่นวายไปหมด ที่จริง ทำอาหารเบาๆ แล้วไปฉลองมื้อหนักมื้อเดียวตอนเย็นดีกว่า

สรุปกับตัวเองเสร็จ ผมก็ลงมือทำอาหารง่ายๆสองสามอย่างเพื่อให้เคนทางแค่พออิ่ม แต่ไม่ต้องถึงขนาดจุกลุกไม่ขึ้น เพราะเดี๋ยวตอนเย็นเคนจะทานไม่ได้ พอทำเสร็จ ผมก็เอาขึ้นโต๊ะไว้รอท่า จากนั้นก็เดินไปหาเคนในห้อง

เคนยังหลับสบายอยู่บนเตียงนอน ผมยืนมองเขาอย่างเพลิดเพลิน จินตนาการโลดแล่นว่าถ้าผมกับเขานอนกอดกันบนเตียงใหญ่แบบนี้จะมีความสุขขนาดไหน ห้องก็กว้าง เตียงก็ใหญ่ เราสองคนคงสามารถทำกิจกรรมระหว่างสามีภรรยาได้เต็มที่ ตรงมุมไหนก็ได้

ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งเกิดความหื่นขึ้นมา ความปรารถนาในกายของเคนลุกโพลงขึ้นจนดันกางเกงผม ทำให้รู้สึกเจ็บ ผมกระโดดขึ้นเตียงทันที

ร่างของเคนถูกดึงเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนของผม ท่าทางเขาจะยังไม่ตื่นง่ายๆ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเคนของผมขี้เซาแบบนี้ เขาคงเหนื่อยจริงๆ เพราะไหนจะต้องทำงานหนัก แถมซ้ำยังต้องมาดูแลผมที่ป่วยอีก พอได้พัก ก็หลับราวกับคนหมดสติ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยปลุกให้ลุกขึ้นมาทานข้าวก็ได้ ตอนนี้ให้เขาหลับในอ้อมกอดของผมไปก่อนแล้วกัน

กลิ่นกายของเคนหอมเข้าจมูกผม มันผสมกลิ่นเหงื่อหน่อยๆ แต่ก็เร้าใจที่สุด ผมอดไม่ได้ที่จะสูดดมกลิ่นของเขา เริ่มจากแก้ม ซอกคอ ละเรื่อยไป มือของผมข้างหนึ่งสอดเข้าไปใต้เสื้อของเขาและลูบไล้ ขอนิดหนึ่งแล้วกันนะเคน

ตามปกติผมจะไม่ชอบลักหลับใคร เพราะมันไม่สนุก แต่กับสามีขี้เซา ผมกลับตื่นเต้นอย่างประหลาด และก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าผมทำอะไรลงไป มือใหญ่ของผมก็ล้วงเข้าไปในกางเกงของเคนเสียแล้ว

อืม...ดีจัง ผมไม่ได้ทักทายเคนน้อยด้วยมือมาหลายวันแล้ว เขายังอยู่ดีมีสุข แถมขี้เล่นอีกด้วย โดนสัมผัสหน่อย ก็พองตัวขู่ผม ความอยากเจอหน้าเจอตากัน ทำให้มือข้างนั้นเลื่อนมาปลดเข็มขัดออกทันที ซิปกางเกงถูกเลื่อนลงอย่างช้าๆ เปิดทางให้มือผมเลื่อนเข้าไปลูบหัวเด็กน้อยในร่มผ้าของเคนเต็มที่ ในที่สุดผมก็พาเขาออกมาชมโลก เคนน้อยร่าเริงดีใจตื่นตัวเต็มไม้เต็มมือผม

“คนป่วยอะไรกันเนี่ย ลามกจริง กับคนหลับก็ไม่เว้น”

เสียงพึมพำอย่างงัวเงียดังขึ้น ทำให้ผมสะดุ้ง หันไปมองเคน ก็เห็นว่าเขาหยีตามองผมอยู่ เขาคงตื่นตอนผมลวนลามเขาแน่ๆ ผมหัวเราะแหะๆ แต่มือยังไม่ยอมหยุด

“เคนจะได้สบายตัวไงครับ”

เถียงไปแบบข้างๆคูๆ ทว่ามือยังเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ ทำไงได้ ตอนนี้อารมณ์ผมเตลิดแล้ว เคนดึงดูดผมเข้าหาเขาเองนี่นา ใครจะอดใจไหว สามีนอนอยู่บนเตียงของเราทั้งคน จะปล่อยให้รอดมือไปได้ไง เจ้าน้องชายตัวน้อยของเคนอยู่ในมือผมแล้ว กำลังคึกคักเต็มที่ รอให้ผมจัดการเขาต่อ

“อือ...ไหนว่า..อืม..ไม่สบาย...ยังไงครับ...โอว..”

เสียงเขาขาดเป็นห้วงๆ เมื่อผมหยอกล้อหนักหน่วงขึ้น

............................................................
................................................................


“ผมอยากตอบแทนเคนบ้างครับ คุณดูแลผมมาตลอดเลยตั้งแต่ป่วย เลยอยากทำให้คุณมีความสุขบ้าง ให้ผมทำนะครับ”

ผมมองตาเขาแบบเว้าวอน อยากให้เขาเข้าใจการกระทำของผม เคนไม่ตอบ หากแต่ใบหน้าที่แสดงออกถึงความซ่านสยิว ทำให้ผมรู้ว่ากายของเขากำลังประทุด้วยเพลิงเสน่หาที่ผมเป็นคนจุดให้กับเขา

“เคลวินเจ้าเล่ห์ เอาเปรียบผมอยู่ต่างหาก”

เคนกล่าวหาอย่างไม่จริงไม่จังนัก เขารู้ว่าที่จริงผมกำลังหาประโยชน์จากร่างกายของเขา โดยยกเรื่องความสุขของเขามาอ้าง แต่เขาก็ไม่โกรธ และไม่ขัดขืนผมด้วย แถมซ้ำร่างกายเขายังมีปฏิกิริยาตอบรับมือไม้ของผมอีก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เชิญชวน แต่คำตอบที่ได้จากร่างกายของเขา ทำให้ผมตัดสินใจเดินหน้า ผมเลื่อนตัวลงต่ำ และถอดกางเกงเขาออกจากตัว

“ให้ผมปลดปล่อยเคนเป็นอิสระจากความเหนื่อยล้านะครับ”

บอกเคนเสียงหวาน จากนั้นผมก็อ้าปากรับเคนน้อยเอาไว้ มือของผมนวดไล้โลมลูบร่างกายท่อนล่างของเขาอย่างแผ่วเบา และเคล้นคลึงแรงขึ้นเมื่อเจ้าตัวน้อยตื่นตัวสู้มือ

“อึ ..อื้อ...อา...”

เสียงครวญครางอย่างสุขสม กับสะโพกที่ส่ายเร่าเข้ากับการเคลื่อนไหวของมือผมที่กอบกุมและรุกเร้าเขาอย่างหนักหน่วงด้วยมือและปาก ทำให้ผมลอบยิ้มอย่างมีชัย ร่างกายของเขาแสดงความปรารถนาที่เร่าร้อนออกมาเต็มที่ ไม่มีเขินอาย หรือ ปิดกั้นตัวเองเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

เคนของผมกำลังปล่อยให้ความพิศวาสเข้าครอบงำทีละน้อย ดูเหมือนเขาเองก็พึงพอใจในรสสัมผัสของผม เช่นเดียวกัน แต่เคนยังไม่กล้ายอมรับ เพราะมันขัดกับความเชื่อแต่เดิมของเขา ว่าผู้ชายควรคู่กับผู้หญิงเท่านั้น รักของชายกับชายเป็นเรื่องผิดปกติ แต่เขาก็เผลอไผลมอบกายให้ผมหลายต่อหลายครั้ง ยามถูกเล้าโลม

ถ้าเป็นแบบนี้เรื่อยๆ เคนคงเปลี่ยนใจมาชอบผมได้แน่ๆ ผมอาจจะต้องใช้ความพึงพอใจในเรื่องเพศสัมพันธ์เป็นตัวนำไปพร้อมๆกับความรักและหวังดีที่ผมมีให้กับเขา เจอโจมตีพร้อมๆกันแบบนี้ เคนจะใจแข็งได้ก็ให้มันรู้ไป

“เคล...ผม..ผมไม่ไหวแล้วครับ...”

สามีของผมร้องบอกด้วยเสียงสั่นพร่า ร่างของเขาเกร็งเขม็ง ก่อนที่จะพ่นสายใยรักของเขาเข้าสู่ปากของผม รสชาติของมันหวานปะแล่ม แต่อร่อยลิ้น ผมกลืนทั้งหมดลงคออย่างไม่รังเกียจ และทำความสะอาดให้เขาจนหมด รวมทั้งร่องหลืบที่ซ่อนเร้นจนเปียกชุ่มฉ่ำ

จากนั้นผมก็เคลื่อนกายขึ้นทาบทับ ผมดึงเสื้อที่หลุดลุ่ยออกจากร่างของเคน และจัดการกับตัวเองบ้าง ในที่สุดร่างของเราทั้งสองก็เปล่าเปลือยแนบชิดกัน เมื่อครู่เคนสุขสมไปก่อนหน้าผมแล้ว ตอนนี้ ผมจะเริ่มมันอีกครั้ง เราสองคนจะไปถึงแดนสุขาวดีพร้อมๆกัน

“เคนครับ ....ครั้งนี้ผมขอนะ....”



--------------------
“อื้อ ...จะดีหรือครับ”

พูดแบบนี้ แสดงว่าสุดที่รักของผมตั้งท่าจะปฏิเสธแน่ๆ ขี้โกงจริงๆ ตัวเองได้ปลดปล่อยไปแล้ว จะทิ้งให้ผมค้างต่างอยู่ได้ไง แล้วเครื่องติดซะขนาดนี้ ผมไม่มีวันยอมหรอก ผมรีบปิดปากที่กำลังประท้วงของเขาด้วยปากของผม และส่งจูบที่หวานล้ำแต่เผ็ดร้อนให้กับเขา มือของผมลูบไล้ไปทั่วผิวที่เปล่าเปลือยของเคนตั้งแต่หน้าอกแบนราบ เรื่อยมาจนถึงท้อง ก่อนจะต่ำลงไปยังเบื้องล่าง

“ได้คำตอบหรือยังครับ ว่าดีไหม”

ถามเขาขณะที่มือและปากไม่ยอมหยุดการเคลื่อนไหว

“อึ...อึม...”

เขาครางในลำคอ เมื่อผมกอบกุมส่วนที่ร้อนผ่าวของเขาไว้อีกครั้ง

“เคนตอบผมให้ชัดๆ หน่อยได้ไหมครับ ว่าเคนชอบไหม”

ผมแกล้งหยอกเย้าเขา ปรารถนาจะทรมานเคน จนกว่าเขาจะสารภาพว่าต้องการผมเช่นเดียวกัน เมื่อครู่ทำท่าปฏิเสธดีนัก แต่ร่างกายกลับตอบรับการลวนลามผมเต็มที่ สองมือของเขาโอบรัดร่างของผมไว้ มือไม้ลูบไล้แผ่นหลัง เมื่อผมจูบ เขาก็สนอง เราสองคนแลกลิ้นกันนัวเนีย ผมย่ามใจจูบเขาแนบชิด แทบไม่มีช่องว่างให้อากาศผ่าน จนเมื่อเขาทำท่าว่าหายใจไม่ออก ผมจึงปล่อย และถามเพื่อเอาคำตอบที่ผมอยากฟัง

“อือ...ชอบครับ”

เสียงนั้นเกือบเหมือนเสียงคราง เคนมองผมตาปรอย ริมฝีปากบวมเจ่อจากการจูบที่ยาวนานของเรา ใบหน้าของเขายามนี้ดูแล้วรัญจวนใจยิ่งนัก

“อยากให้ผมช่วยปลดเปลื้องให้คุณไหมครับ”

กระซิบถามเขาเสียงสั่นไม่แพ้กัน มือรูดร่างกายของเขาขึ้นลง ปากก็ก้มดูดกลืนยอดอกของเคนที่ชูชันเป็นไตแข็งสู้ลิ้นของผม

“อื้อ...”

เคนตอบรับสั้นๆ คิ้วขมวดเข้าหากัน สีหน้าเหมือนคนกำลังได้รับความทุกข์ทรมาน แต่ผมอยากได้ยินเต็มคำมากกว่านี้

“พูดสิครับ ว่าอยากให้ผมทำให้หรือเปล่า”

พร้อมกับคำถาม ผมก็โจมตีเคนซ้ำอีกระลอก ด้วยการใช้ลิ้นละเลงที่ยอดอก ก่อนจะลากลิ้นต่ำลงมาแถวท้องน้อย สะดือ และพื้นที่เหนือความเป็นชายของเขา โดยที่มือยังคงนวดเฟ้นเคนน้อยรูดขึ้นลงไม่ยอมหยุด น้ำใสๆไหลซึมออกมาจากส่วนปลายยอด สะโพกของเคนส่ายรับมือราวกับกำลังเริงระบำ มันทำให้ความร้อนรุ่มในกายผมถึงขีดสุด

“อื้อ..เคล.ครับ...ได้โปรดเถอะ”

ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง นี่เคนกำลังขอร้องผมอยู่หรือเปล่า

“ต้องการผมใช่ไหมครับ...”


..................................................................

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-09-2007 16:54:22 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
 :m10: :m10: :m10:
 :o :o
ค้าง !!!!!!
 :a6: :a6:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
โอววววว เคลลลลล อื้อ อ้า  :m10:  :m10:


OhhO16

  • บุคคลทั่วไป
มาอัพกะเอาเราถึงตายหรอ คิคิ 55++

ไม่ไหวแล้วววววววววววววว
 :m10: :m10: :m10: :m10: :m10:

ออฟไลน์ wews

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-0

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด