My wife is a big boss เรื่องโดน katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My wife is a big boss เรื่องโดน katesnk  (อ่าน 161643 ครั้ง)

tae

  • บุคคลทั่วไป
My wife is a big boss เรื่องโดน katesnk
« เมื่อ06-01-2007 20:40:23 »

My Wife Is A Big Boss

1.เคลวิน หรือ เคล หนุ่มรูปหล่อ หุ่นเพอร์เฟค รวยระดับมหาเศรษฐี การศึกษาระดับปริญญาโท เขาเป็นชาวอเมริกัน วัย 30 ปี ผู้มีความใฝ่ฝันแปลกประหลาดที่อยากจะเป็นเจ้าสาวของใครสักคน แต่งงานและมีชีวิตที่มีครอบครัวที่มีความสุข พ่อแม่ของเขาอยู่เมืองไทย เพราะมีกิจการขนาดใหญ่อยู่ที่นี่ การมารับตำแหน่งประธานของบริษัทแทนพ่อของเขาทำให้เขาได้เจอว่าที่เจ้าบ่าวของเขา คนที่เขาอยากใช้ชีวิตด้วยอย่างที่สุด แต่หนุ่มผู้โชคดี (หรือโชคร้าย) คนนั้น ไม่ทันได้รู้ตัว และเขาไม่ได้เป็นเกย์ แถมซ้ำยังเป็นแค่ลูกจ้างชั่วคราวในบริษัทของเขาด้วย เรื่องยุ่งยากจึงเกิดขึ้น เมื่อประธานบริษัทคิดจะเคลมสวาทลูกน้องของตัวเอง

2.เคน หรือ บักเคน หนุ่มซื่อๆจากที่ราบสูง อายุ 22 ปี เรียนจบรามแล้วมาได้งานในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ทำงานเป็นแค่เด็กลูกจ้างชั่วคราว กินค่าจ้างรายวัน ยังไม่ได้รับการบรรจุ เนื่องจากหัวหน้าไม่พอใจในผลงานของเคน เด็กหนุ่มเรียนไม่ค่อยเก่ง ไม่ค่อยทันคน และดูซื่อๆ แต่จิตใจดี มีเมตตา นิสัยแบบคนบ้านนอกที่น้ำใจงาม เขาฝันว่าอยากจะทำงานให้ได้เงินสักก้อน แล้วก็จะกลับไปแต่งงานกับผู้หญิงที่เขาหมายตาไว้ที่บ้านนอก แต่ไม่นึกว่าโชคชะตาจะเล่นตลกกับเขา ทำให้เขาต้องกลายมาเป็นเจ้าบ่าว และเจ้าสาวของเขาไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นผู้ชาย แถมเป็นเจ้านายจอมเฮียบอีกด้วย.
บทที่ 1 : ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ

“แม่ครับ ผมกลับบ้านมาแล้วนะ พาเจ้าสาวมาด้วย นี่ไงครับ หล่อไหม”

หล่อเหรอ ผมทวนคำในความฝัน เป็นเจ้าสาวแล้วทำไมถึงต้องหล่อด้วย มันควรจะสวยสิ มีอะไรผิดพลาดหรือไง ชักเอะใจเสียแล้ว ผมรีบพลิกร่างคนที่อยู่ข้างๆให้หันมาเผชิญหน้ากับผม และเมื่อมองเห็นชัดเจน ผมก็แหกปากร้องเสียงหลง

“เฮ้ย.......อะไรวะ”

ผมยกมือลูบหน้าตัวเอง แล้วหัวเราะ ฝันไปหรือนี่ ทำไมมันถึงได้เหมือนจริงจังเลย ที่สำคัญเจ้าสาวนั่นทำไมถึงได้เป็นผู้ชาย และมีหน้าตาเหมือนท่านประธานบริษัทของผมเหลือเกิน นี่ผมเก็บเรื่องของเขาเอามาคิด จนฝันร้ายหรือยังไงนะ แย่จังเลย ผมคงกลัวเขามากจนเกินไป เลยทำให้ผมเครียดจัด เก็บเอามาฝันเป็นตุเป็นตะ สงสัยต้องจูนเครื่องตัวเองใหม่เสียแล้ว

“ตื่นแล้วหรือครับ ไปอาบน้ำก่อนดีไหม แล้วค่อยมาทานข้าวกัน”

เสียงหนึ่งดังขึ้นภายในห้องเช่าซอมซ่อของผม เล่นเอาสะดุ้ง ผมเหลียวไปมองรอบตัวอย่างงงๆ ห้องเช่าแห่งนี้ มีผีด้วยเหรอ หรือว่าผนังมันบางมากจนกระทั่งได้ยินเสียงจากห้องข้างๆ แต่ผมมาอยู่เกือบจะครบหนึ่งเดือนแล้ว มันยังไม่เคยมีปรากฏการณ์แปลกประหลาดอะไรเลยนี่นา สงสัยผมยังไม่ตื่นดี

ผ้าม่านที่กั้นส่วนที่เป็นห้องนอนของผม กับส่วนที่เป็นห้องรับแขกและทานข้าวไหวพะเยิบพะยาบ จากนั้นร่างหนึ่งก็ก้าวออกมา ผมตกใจตาเหลือกเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ ผมสีทองอร่าม ยืนยิ้มอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนตรงหน้า มันเป็นชุดผ้ากันเปื้อนจริงๆ เพราะชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้ใส่อะไรอีกเลย เขายิ้มตาหวานเยิ้มมาให้ผม จากนั้นก็เดินตรงมาหา ทรุดนั่งลงบนเตียงข้างๆ แล้วเอาศีรษะวางไว้ที่ไหล่ของผม ทำท่าอ้อนๆ ตลอดเวลาเล่านั้น ผมได้แต่ตกตะลึงอ้าปากค้าง

“ท่านประธานครับ เอ้อ ...นี่มัน...เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ...ท่านมาอยู่ที่บ้านผมได้ยังไง แล้วทำไมถึงแต่งตัวในสภาพแบบนั้น แล้ว เอ้อ ผมล่วงเกินอะไรท่านไปหรือเปล่าครับ”

ผมระล่ำระลักถามถี่ยิบ พยายามจะขืนตัวออกช้าๆ รู้สึกแปลกๆที่เห็นประธานบริษัทผู้ได้ชื่อว่าเฮียบที่สุด มาทำท่าอ้อนผมแบบนี้ แถมซ้ำเขายังอยู่ในร่างกายที่เปลือยเปล่า มีเพียงผ้ากันเปื้อนปกปิดร่างกายด้านหน้าเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ผมมองร่างของตัวเองโดยอัตโนมัติ ก็พบว่าตัวเองเปลือยเปล่า ไร้อาภรณ์ปกปิดเช่นเดียวกัน ผมใจหายวาบ ตกใจแทบเป็นลม พยายามนึกทบทวนอย่างรวดเร็ว ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมและเขาเมื่อคืนนี้
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2010 21:08:14 โดย THIP »

tae

  • บุคคลทั่วไป
“นี่ เคนจำอะไรไม่ได้เลยหรือครับ”

ท่านประธานถามผม น้ำเสียงเหมือนตัดพ้อ เขาช้อนตาคมหวานขึ้นมองผม พลางโอบแขนไปรอบเอว แล้วดึงตัวผมมากอดไว้แนบแน่น ผมรู้สึกขนลุกขนพองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พยายามแกะมือเขาออกจากตัว

“เอ้อ ท่านประธานครับ นี่ท่านเมาหรือเปล่า”

ถามด้วยความสงสัย คนที่กอดผมทำหน้างอนๆ ที่ไปกล่าวหาเขาแบบนั้น

“เมื่อคืนน่ะเมาบ้างนิดหน่อย แต่ตอนนี้มีแต่เมารักครับ”

“อ้า....ผมว่าท่านยังไม่สร่างนะครับ ว่าแต่ยังไม่ตอบผมเลย ว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วระหว่างเรา มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างไหม”

ถามออกไปแล้ว ก็รู้สึกกลัวคำตอบ จากสภาพของผมและเขา มันชวนให้คิดไปถึงไหนๆ นี่ผมคงไม่ได้ ล่วงเกินเขาหรอกนะ

“เคนนี่ ไม่ไหวเลยจริงๆ สงสัยเมื่อคืนจะเมามาก เลยจำเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้ งั้นผมจะบอกให้เคนนะครับ ว่าเมื่อคืนนี้ เราทำอะไรกันบ้าง”

“ครับ แต่ก่อนอื่น ท่านช่วยกรุณาปล่อยผมได้ไหม ผมอึดอัดนะครับ แล้วผมก็คิดว่าเราสองคนควรจะ เอ้อ ใส่ เสื้อผ้าที่เรียบร้อยกว่านี้”

ผมบอกเขาพร้อมกับพยายามเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอด แต่เขาก็รัดร่างผมแน่นขึ้นไปอีก

“เราก็นอนแบบนี้กันทั้งคืนนะครับ เคน แล้วเรา สองคนก็ทำอะไรกันมากกว่านี้อีก”

“อะ...ไอ้ที่ว่านี่มัน..หมายถึงอะไรนะครับ”

รู้สึกว่ามีความไม่ชอบมาพากลบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว ชักกลัวสิ่งที่เขาจะบอกผมเสียแล้วสิ ท่านประธานบริษัท เอามือข้างหนึ่งลูบไล้ไปทั่วหน้าอกเปลือยเปล่าของผม และเลื่อนมือต่ำลงไปเรื่อยๆจนถึงท้องน้อย ผมขยับตัวอย่างอึดอัด เอามือคว้าแขนของเขาเอาไว้ ก่อนที่เขาจะไปไกลมากกว่านี้ พลางสบตาสีฟ้าสวยคู่นั้น เขายิ้มให้ผม ใบหน้าของเขาดูสว่างไสว ชวนมองยิ่งนัก

“เมื่อคืนนี้เราทั้งสองกลายเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้วนะครับ เคนเป็นสามีของผม และผมก็เป็นภรรยาของเคนแล้ว”

“หา.....”

ผมอุทานอย่างตกใจ นี่ผมฟังผิดหรือเปล่า เขาบอกว่าเราสองคนเป็นสามีภรรยากัน เป็นไปได้อย่างไร ทำไมผมจำอะไรไม่ได้เลย พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก นี่มันเรื่องล้อเล่นกันหรือเปล่า ทำไมท่านประธานจึงอำผมแรงๆแบบนี้

เขากลั่นแกล้งผมใช่ไหม ถ้าอยากให้ผมออก ก็ไม่เห็นจะต้องแบล็คเมล์ผมแบบนี้นี่ ผมรู้ตัวว่าผมทำงานช้า ไม่ได้เรื่อง ผิดพลาดบ่อย จึงไม่ได้บรรจุสักที แต่ถ้าบริษัทนี้ไม่ต้องการผม ก็น่าจะไล่ผมออกไปเลยก็ได้ เขาเป็นประธานบริษัทมีสิทธิจะสั่งการอะไรก็ได้อยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องลงมือจัดการกับผมด้วยตัวเองเลย โดยเฉพาะวิธีการแบบนี้
ง่ะ ผมไม่เข้าใจ นี่มันอะไรหรือครับ ท่านประธานพูดอะไรอ่ะ ผมงง”

“ผมพูดว่า ผมจะมาอยู่กับคุณอย่างภรรยา และจะคอยปรนนิบัติรับใช้คุณไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลยนะครับ”

“อ๊ากกกกกก”

นี่ผมคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ผมตบหัวตัวเองอย่างแรง จนตัวเองต้องสะดุ้งด้วยความเจ็บ นี่ผมไม่ได้ฝันไปแน่ๆ ประธานบริษัทรูปหล่อ แต่ดุดัน และแสนจะเจ้าระเบียบกำลังบอกกับผมว่า เขาจะมาอยู่กับผมที่นี่เพื่อคอยปรนนิบัติรับใช้ผม

ในฐานะที่เป็นเมียด้วย ถ้าผมไม่ได้เพี้ยนไปจากการเมาเหล้าเมื่อคืน ท่านประธานก็คงจะต้องมีของหนักๆหล่นใส่หัว หรือไม่ก็เกิดอุบัติเหตุถึงได้พูดในสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้แบบนี้

ผมเหลียวมองดูรอบๆห้อง พยายามมองหากล้องที่แอบซ่อนไว้ มันน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่ง คงมีการจัดฉากทำเรียลลิตี้โชว์ โดยให้ผมเป็นตัวแสดง หรือไม่ก็อย่างที่ผมคิดไว้แต่แรกคือท่านประธานจะแบล็คเมล์ผม เพื่อให้ผมออกจากงาน ทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว ผมไม่ตลกแน่ๆ

“ท่านครับ พูดกันตามตรงนะครับ ว่าผมกลัวท่านจริงๆ ผมลาออกก็ได้ แต่อย่าใช้วิธีการนี้เพื่อขับไล่ผม เอาล่ะ วันนี้ผมจะไปยื่นใบลาออก ผมรู้ว่าที่ผ่านมาผมทำให้บริษัทเสียหายมากมาย และผมไม่สมควรจะอยู่ที่นั่น ถ้าผมทำแบบนี้ ท่านก็ควรจะเลิกล้อเล่นกับผมได้แล้วครับ ปล่อยผมได้แล้ว มันไม่น่าสนุกอะไรเลยนะครับ ผมขอร้องอย่าทำแบบนี้เลย”

แขนที่กอดผมคลายออกโดยอัตโนมัติ จากนั้นร่างของผมก็ถูกหมุนให้มายืนเผชิญหน้ากับท่านประธานหนุ่ม เขาใช้สองมือเกาะกุมไหล่ผมไว้แน่น ตาสีฟ้าที่หวานใส่ผมเมื่อครู่นี้ แปรเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองเหมือนคนที่ถูกขัดใจ หน้าของเขาบึ้งตึง คิ้วขมวดมุ่น เขาพูดด้วยน้ำเสียงเกือบจะเป็นตะคอกว่า

“ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ล้อเล่น และนี่ก็ไม่ใช่การแบล็คเมล์เพื่อให้คุณลาออกจากงาน ผมไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนั้น ผมชอบคุณจริงๆ และอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย ในฐานะภรรยาของคุณคนหนึ่ง ผมรู้ว่าเรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างกระทันหันเกินไป

คุณไม่ทันตั้งตัว อันนั้นผมขอโทษ แต่ผมจำเป็นต้องทำแบบนี้ เพื่อผูกมัดคุณไว้ ผมไม่อยากเสียคุณให้กับใคร ได้ยินไหมครับ ถ้าหากคุณไม่รังเกียจ ผมก็อยากจะขอโอกาสในการที่จะแสดงให้คุณได้รู้ว่า

ผมสามารถทำหน้าที่ภรรยาได้ดีแค่ไหน นะครับ ขอร้องเถอะ ช่วยรับผมเป็นภรรยาด้วยเถิด ไหนๆเราก็มีอะไรกันแล้ว คุณจะมาทอดทิ้งผมได้ไง คุณเป็นลูกผู้ชาย คุณต้องรับผิดชอบในตัวผมนะครับ”
หน้าตาบึ้งตึงนั่น เปลี่ยนมาเป็นเว้าวอนอีกแล้ว ท้ายประโยคเขาทำเสียงออดอ้อนอ่อนหวาน จนผมเริ่มงง ปรับอารมณ์ตัวเองไม่ถูก รู้สึกเหมือนถูกคนเอาหินหลายๆก้อนมาโยนใส่หัวผมไม่ยั้งจนมึนงงไปหมด

ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ หรือว่านี่เป็นฝันซ้อนฝัน ผมยังไม่ตื่น ให้ตายเถอะ ขอให้มันเป็นเพียงความฝัน ถึงแม้จะเป็นฝันร้ายก็ตาม แต่มันก็ยังดีที่พอตื่นขึ้นมา ฝันร้ายก็จะได้หายไป ผมจะได้กลับมามีชีวิตแบบเดิม

ผมกลัวสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่นี้ ทำไมมันต้องมาเกิดกับผมด้วยนะ แล้วเมื่อคืนนี้ทำไมผมไปทำอะไรบ้างไม่รู้ ทำไมผมถึงคิดไม่ออก เขาว่าผมต้องรับผิดชอบในตัวเขา เพราะเราเป็นของกันและกันแล้ว

นี่ผมเมาจนถึงขั้นลงมือข่มขืนเขาหรือไงเนี่ย ไม่นะ ผมไม่ได้ทำแน่นอนเลย ผมเชื่อมั่นในตัวเองแบบนั้น เพราะผมไม่ได้รู้สึกว่าผมได้มีเพศสัมพันธ์กับใครเมื่อคืนเลย ถ้าผมทำจริง ต่อให้เมาแค่ไหน มันก็น่าจะจำได้สิ

“รับผิดชอบ เอ้อ เมื่อคืนนี้ ผมล่วงเกินท่านประธานงั้นเหรอครับ ผมไม่รู้ตัวเลย ถ้าผมทำแบบนั้นจริงๆ ผมก็ขอโทษนะ ครับ”

ถึงจะจำไม่ได้ แต่ผมก็ควรจะขอโทษไว้ก่อน หากผมได้ล่วงเกินเขาจริงๆ บางทีการยอมรับผิด อาจจะช่วยทำให้เรื่องมันคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น

“เปล่าครับ เคนไม่ได้ล่วงเกินผมหรอก ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายล่วงเกินคุณ ผมต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายขอโทษ ผมได้ปล้นความเป็นชายของเคนไปแล้วครับ ผมเสียใจจริงๆนะครับ แต่ว่า ผมทำไปเพราะว่า ผมรักเคนจริงๆนะครับ”

“วะ ...ว่าไง...นะครับ...”

“คุณฟังไม่ผิดหรอก คุณน่ะ เป็นของผมแล้วนะครับ เมื่อคืนนี้”

โอ๊ยจะเป็นลม ใครก็ได้ช่วยมาปลุกผมตื่นจากความฝันร้ายนี่เสียที รู้สึกว่ามันจะเป็นความฝันที่ยาวนานมากเกินไปแล้วนะ ฝันบ้าบออะไรกันเนี่ย ผมถูกประธานบริษัทเรียกร้องให้รับผิดชอบในตัวเขา ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายล่วงเกินผม

เขาบอกว่าเขาต้องการเป็นภรรยาของผม แต่เขากลับเป็นฝ่ายทำให้ผมกลายเป็นของเขา ผมจะบ้าตายทำไมเรื่องมันถึงได้วุ่นวายบ้าบอคอแตกแบบนี้ ทำไมมันถึงต้องเกิดขึ้นกับผมด้วย ผมไม่เคยสร้างเวรสร้างกรรมกับใครที่ไหน ทำไมผมถึงได้โชคร้ายแบบนี้ล่ะ

ท่านประธานบริษัท ยิ้มหวานให้ผมอีกแล้ว เขารั้งร่างเปลือยของผมเข้ามากอด ผมเอามือยันตัวเขาไว้ พยายามขืนตัวออกห่างจากเขาเต็มที่ แต่ผมไม่อาจจะต้านทานพละกำลังของเขาได้ แค่รูปร่างสูงใหญ่ของเขาก็แทบจะบังตัวผมมิดแล้ว แถมยังเรี่ยวแรงเยอะอีกด้วย แค่เขาดึงแขนผมให้เข้ามาหา ผมก็เซไปตามแรงของเขาแล้ว

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:

น่าสงสารพระเอก  :try2:



ว่าแต่ มาต่อเร็วๆ นะคับ :haun5:

tae

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 2 : ขอผมเป็นเจ้าสาวของคุณได้ไหม

5 ชั่วโมงที่แล้ว.......

หลังจากขับรถมาตามคำบอกของคนเมาที่คอพับคออ่อนอยู่ข้างๆ ในที่สุดผมก็เจอเข้ากับบ้านเช่าของเขาพอดี จากสภาพที่เห็น มันเป็นตึกที่สร้างด้วยอิฐฉาบปูนสองชั้น แบ่งเป็นห้องว่างให้เช่าทั้งหมดชั้นละ 5 ห้อง ค่อนข้างจะคับแคบ ข้างในสามารถวางได้เพียงแค่เตียงนอน และกั้นพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็น ห้องรับแขก และแบ่งส่วนทำอาหารไว้ใกล้ๆกับห้องน้ำ

ผมวางร่างที่อ่อนปวกเปียกเพราะความเมาของคนในอ้อมแขน ลงบนที่นอนเล็กแคบนั่น พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องของเคนเล็กเท่ารังหนู ไม่รู้ว่าเขาทนอยู่ไปได้อย่างไร นอกจากเตียง ตู้ และโซฟาเก่าๆตัวหนึ่งแล้ว เฟอร์นิเจอร์ที่จะตกแต่งห้องให้น่าอยู่ก็แทบไม่มี แต่อย่างว่าแหละ ห้องเล็กขนาดนี้จะขนอะไรใส่เข้าไปได้มากมาย เขาก็อยู่สมกับฐานะของเขาแล้ว ลูกจ้างชั่วคราวเงินเดือนไม่ถึงหลักหมื่นอย่างเขาจะไปเอาปัญญาที่ไหนอยู่บ้านดีๆ เห็นแล้วก็ให้รู้สึกสงสารยิ่งนัก อยากรับเขาไปอยู่บ้านเดียวกันกับผม แต่ก็กลัวเขาจะคิดมาก ท่าทางหมอนี่หยิ่งในศักดิ์ศรีเสียด้วยสิ

“เช็ดเนื้อเช็ดตัวก่อนนะครับ”

บอกคนเมาไปด้วยเสียงอ่อนโยน เขาพยักหน้าทำตาปรือๆมองผม แล้วยิ้มให้ ผมคิดว่าเขาคงพยายามจะขอบคุณ แต่เสียงที่ออกมาจากปากเขามันฟังไม่เป็นคำพูด สงสัยจะเมามากจริงๆ ผมนี่ก็ไม่น่าจะไปชวนเขาทานเลย คออ่อนจริงๆเลย นายเคนสุดที่รักของผม

ฮ่าฮ่าฮ่า ผมหัวเราะกับตัวเอง นี่ผมเรียกเขาว่านายเคนสุดที่รักเหรอ เร็วไปหรือเปล่าหนอ ไม่หรอกนะ ก็ผมรักเขาจริงๆนี่นา รักทันทีที่ได้เห็น ยิ่งได้รู้นิสัยใจคอของเขาผมยิ่งหลงรักเขาอย่างมากมาย ในสายตาคนอื่น เคนอาจจะดูเป็นคนที่ไม่เอาถ่าน ทำอะไรไม่เป็น แต่ผมไม่เห็นจะแคร์ ทำอะไรไม่เป็น ก็สามารถสอนได้ แต่เรื่องของจิตใจมันสอนลำบาก เคนของผมมีข้อดีตรงที่ มีจิตใจงดงาม อ่อนโยน เห็นอกเห็นใจคนรอบข้าง นิสัยแบบนี้สิผมชอบ เขาช่างน่ารักมากมาย ไม่เห็นแก่ตัว ทำอะไรเพื่อคนอื่นเสมอ ซึ่งหานิสัยแบบนี้ได้ยากสำหรับคนในเมืองหลวง ผมไม่ชอบคนเก่งแต่เห็นแก่ตัว คนอย่างเคน น่าจะสนับสนุนให้เขาได้ดิบได้ดี เพราะเขาคงทำให้หน่วยงานทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่แก่งแย่งแข่งขัน

ถึงแม้ว่าผมจะเข้ามาบริหารงานบริษัทนี้แทนพ่อของผมได้ไม่นาน แต่ผมก็พอจะรู้เรื่องราวภายในบริษัทเป็นอย่างดี คนที่นี่ ต่างชิงดีชิงเด่น เร่งทำผลงาน ทำเพื่อตัวเอง ใช้วิธีการทุกอย่างไต่เต้าไปสู่ความสำเร็จ แม้จะเหยียบย่ำ ฟาดฟันกันเองก็ยอมเพื่อให้ได้มาถึงตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงส่ง และเงินเดือนที่แพง ผมไม่เห็นด้วยที่จะให้พนักงานเป็นหุ่นยนต์ ทำงานอย่างไร้หัวใจ ผมต้องการคนทำงานที่เต็มใจทำงานให้ผมอย่างเต็มกำลังความสามารถ ทำงานเป็นทีมด้วยความรักและสามัคคีกัน ไม่ปัดแข้งปัดขา หรือเข่นฆ่ากันเอง ผมยินดีมอบตำแหน่งงานและเงินเดือนที่สูงให้ ถ้าพวกเขาพิสูจน์ให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่จะทำเพื่อบริษัท ผมก็จะทำให้พวกเขาสมหวัง
“ท่านประธานครับ...ผมทำงานแย่จริงๆหรือครับ”

เสียงอ้อแอ้ของเคนดังขึ้น ผมนั่งมองหน้าเขา แล้วก็ยิ้มอย่างปลอบใจ เขาคงวิตกกับเรื่องนี้มาก ตั้งแต่ถูกหัวหน้าเรียกไปด่า เพราะทำงานผิดพลาด และลากผมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดูท่าทางเขากังวลเหลือเกินว่าจะถูกไล่ออก งานนี้คงสำคัญสำหรับเขามากจริงๆ

“เดี๋ยวเราค่อยจัดการกันไปดีกว่าครับ เคน ตอนนี้ คุณทำใจให้สบายเถอะนะ ผมเอาผ้าชุบน้ำมาแล้ว เดี๋ยวเช็ดเนื้อเช็ดตัวเสียหน่อย คุณจะได้สร่างเมาไงครับ”

บอกเขาเสียงนุ่ม เคนพยักหน้าให้ผมเป็นเชิงอนุญาต ผมจึงลงมือแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขา และถอดเสื้อออกจากตัว ค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควรเพราะเคนดูเหมือนไม่ค่อยมีสติสักเท่าไหร่ ทีแรกผมลังเลใจว่าจะถอดกางเกงเขาดีหรือไม่ กลัวว่าจะเป็นการล่วงละเมิดเขา แต่เมื่อคิดว่าถ้าหากทำความสะอาดร่างกายเขาจนหมด แล้วหาเสื้อผ้าที่ใส่สบายๆให้ เขาจะได้ไม่อึดอัด และนอนหลับโดยง่าย ผมเลยตัดสินใจเปลื้องเสื้อผ้าทุกชิ้นของเขาออกจนหมด

ไม่รู้ว่ามันเป็นการตัดสินใจถูกหรือผิดของผมกันแน่ ที่ไปทำให้เขาเปลือยกายจนหมด ผมนั่งมองร่างที่ไร้อาภรณ์ปกปิดของคนตรงหน้าด้วยใจสั่นระรัว เคนเล่าให้ผมฟังเมื่อตอนเย็นนี้ ว่าเขาเป็นคนบ้านนอก บ้านของเขาอยู่ในจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน เขาเป็นคนท้องถิ่นโดยกำเนิด ทว่ารูปร่างของเคนที่ปรากฏให้ผมเห็นอยู่ขณะนี้ มันไม่เหมือนรูปร่างของคนต่างจังหวัดที่ขาดอนามัยแต่อย่างใด

ถึงแม้ร่างกายของเคนจะผอมเพรียว แต่เขาก็มีกล้ามเล็กน้อย พอสวยงาม ไม่แคระแกรนแบบคนไม่มีจะกิน หรือกล้ามบึกอย่างชนชั้นผู้ใช้แรงงาน ผิวกายของเขาไม่ถึงกับขาว แต่เขาก็ไม่ใช่คนผิวคล้ำเกรียมแดด ผิวของเขาละเอียดนุ่มไม่หยาบเลยด้วยซ้ำ มันออกเป็นสีเหลืองๆเหมือนผิวของคนเอเชียทั่วไป ใบหน้าของเคน ไม่หล่อจัด แต่ก็ดูดีชวนมองทีเดียว

ตอนที่ผมเช็ดเนื้อตัวให้เขานั้น ผมรู้สึกหวั่นไหวเต็มไปด้วยเพลิงปราถนา เคนช่างน่ารักเหลือเกิน จนผมอดไม่ได้ ที่จะลูบไล้ร่างกายของเขา รู้ดีว่ามันไม่ถูกต้องที่ทำกับคนเมามายไม่ได้สติแบบนั้น ผมไม่ต้องการลักหลับเขา อยากมีอะไรด้วยกันตอนที่เขาอยู่ในภาวะปกติมากกว่า ผมพยายามหักห้ามใจสุดฤทธิ์ที่จะไม่มองยอดอกสีน้ำตาลอ่อนๆที่ชูชันเมื่อสัมผัสกับความเย็น มันชวนให้ลิ้มรสเหลือเกิน คงจะหวานหอมน่าดู ตอนที่มือเลื่อนมาตรงหน้าท้องแบนราบ พยายามจะเบือนหน้าหนีไม่มองไปที่น้องชายตัวน้อยของเขา ด้วยกลัวว่าตัวเองจะเก็บอาการหื่นกระหายไม่อยู่ แต่ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาช่างมีแรงดึงดูดให้หันไปมองเสียเหลือเกิน ในที่สุดผมก็ทนฝืนตัวเองไม่ได้ ในการที่จะไม่ชื่นชมร่างกายของเขา แล้วผมก็รู้ว่ามันช่างเป็นเรื่องโง่เง่าสิ้นดี ร่างกายเปลือยเปล่าของเคนยั่วอารมณ์พิศวาสของผมให้ลุกโพลงขึ้นมาจนระงับไม่อยู่
_________________

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
หึหึ ไม่อยากจะคิดว่าต่อไปจะเกิดไรขึ้น   :try2:


 :haun5: :haun5: :haun5:

tae

  • บุคคลทั่วไป

_________________
ตอนผมโน้มตัวลงไปกอดจูบเคนนั้น เขาปรือตาขึ้นมามอง เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังถูกผมลวนลามอยู่ เขาก็ปัดป้อง แต่ผมหน้ามืดตามัวเสียแล้ว อารมณ์ปรารถนาในตัวของเคนเข้าครอบงำจนผมไม่อาจยับยั้งชั่งใจตัวเองได้ รู้ตัวว่าทำไม่ถูก แต่ผมก็ไม่ห้ามตัวเอง ผมกอดจูบเคนด้วยความคลั่งไคล้ในตัวของเขา น่าสงสารที่เคนสู้แรงผมไม่ได้เลย เขาตัวบางกว่าผมมาก และเรี่ยวแรงก็ไม่มี เพราะยังอยู่ในอาการมึนเมาอยู่ แต่เพื่อไม่ให้ดูเหมือนว่าผมกำลังข่มขืนเขา ผมจึงทำทุกอย่างเพื่อปลุกอารมณ์ของเคนให้คล้อยตามผมไปด้วย

น้องชายตัวน้อยของเคน ถูกผมคลึงเคล้นหยอกเย้าด้วยมือและปาก จากที่อ่อนปวกเปียก กลายเป็นรื่นเริงปึ๋งปั๋ง คนเมาครางอื้ออึง ขยับกายไปมา ยิ่งเห็นเขาทำท่ามีความสุข ผมก็ยิ่งได้ใจเร่งไม้เร่งมือเต็มที่ พอเห็นว่าอารมณ์ของเคนถูกปลุกถึงขีดสุด ผมก็ไม่รอช้า เปลื้องผ้าผ่อนของตัวเอง แล้วก้าวขึ้นทาบทับ

ดูเหมือนเคนทำท่างงน้อยๆ คงคิดว่าตัวเองคงอยู่ในความฝันแน่ๆ เพราะเขาไม่ได้ว่าอะไร แต่กลับพร่ำเกี่ยวกับเรื่องเจ้าสาว และการแต่งงาน และพูดถึงแม่ด้วย ท่าทางที่เหมือนคนละเมอของเคนดูน่ารักยิ่งนัก จนผมอดใจไม่อยู่ ต้องรั้งศีรษะเข้ามาใกล้ และมอบจูบที่ดูดดื่มให้กับเขา เนิ่นนานกว่าที่ผมจะยอมถอนริมฝีปากออก เคนตาปรือปากเจ่อ เพราะถูกจูบเมื่อสักครู่ และแล้วแขนของเคนก็ยกขึ้นโอบไปรอบคอของผม แล้วก็โน้มให้ลงมาหา เขาพึมพำกระซิบข้างหูเรียกผมด้วยสำเนียงอ่อนหวานว่า “เจ้าสาวของผม” แค่นี้ มันก็ทำให้ผมแทบจะลอยไม่ติดพื้นอยู่แล้ว ผมรีบตอบรับเขาไปทันทีว่า ยินดีอย่างยิ่งที่เขาให้เกียรติผม และผมจะเป็นเจ้าสาวของเขาให้ดีที่สุด

ไม่มีคำพูดอะไรระหว่างเราอีกแล้ว ผมแยกขาของเคนออก และใช้นิ้วเข้าไปเบิกทางไปสู่ถ้ำสวรรค์ เนื่องจากว่าถ้ำน้อยของเคนเป็นดินแดนลึกลับที่ยังไม่มีนักสำรวจคนใดได้พบพานมาก่อน มันจึงยังเล็กและแคบอยู่ หลังจากที่ผมจัดการระเบิดช่องทางเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการขนอุปกรณ์หนักเข้าไป ถ้ำของเคนก็พร้อมแล้วสำหรับนักผจญภัยอย่างผม
เจลหล่อลื่นถูกนำมาใช้ เพื่อความสะดวกสบายสำหรับการสำรวจ เคนยังไม่ชินกับหัวรถจักรที่กำลังเคลื่อนเข้าไปข้างในถ้ำเล็กนั่น ผมต้องทำให้เขามั่นใจว่า ครั้งแรกของเขาไม่ได้เลวร้ายเลยสักนิด ผมกลัวว่าหากผมหักหาญน้ำใจเคนมากไป ทำให้เขาไม่ประทับใจในครั้งแรก โอกาสที่ผมจะได้ใกล้ชิดกับเขาจะไม่มีมาอีก นี่ก็ยังไม่รู้เลยว่า เมื่อเคนตื่นขึ้นมา และรู้ว่าเขาได้เสียความบริสุทธิ์ให้กับผมไปแล้ว เขาจะว่าอย่างไรบ้าง จะโกรธจนไม่มองหน้าผมหรือเปล่านะ แต่ช่างเถอะ ไว้ค่อยคิดทีหลังแล้วกัน ตอนนี้ขอผมครอบครองเป็นเจ้าของเคนก่อน ไม่งั้นผมนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายคลั่งตาย หากไม่ได้รักกับเคน

ความแตกต่างทางด้านโครงสร้างร่างกาย ทำให้เคนของผมถึงกับสะดุ้งและผวาเฮือกเมื่อผมแทรกตัวเข้าไปในร่างของเขา แม้จะมีความลื่นของเจลเป็นตัวนำพา แต่เคนก็ยังคงเจ็บปวดอยู่ดี ผมเห็นเขาหน้านิ่วคิ้วขมวด ตาเบิกโพลง เหมือนคนที่สติกำลังจะกลับคืนมา ซึ่งผมไม่ยอมให้เคนเป็นผู้ขัดจังหวะกิจกรรมครั้งนี้ของผมหรอก ผมเดินหน้าแล้ว ไม่ถอยหลังเด็ดขาด คิดได้ดังนั้น ผมก็หยุดการเคลื่อนไหว และโน้มลงไปหาเขา และเริ่มต้นจูบเคนอีกครั้ง มือข้างหนึ่งสอดประคองที่ศีรษะ อีกข้างลูบไล้ไปตามร่างกายของเขาอย่างแผ่วเบา จนกระทั่งถึงท้องน้อย ผมยึดแก่นกายของเคนไว้อีกครา และปลุกเร้าปลอบขวัญ ทำให้มันร่าเริงขึ้นมาใหม่ เมื่อเห็นเขาคลายความเจ็บปวด ผมก็เริ่มต้นเคลื่อนไหวสะโพกตัวเองช้าๆ แต่เน้นๆ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2007 13:16:01 โดย b|ueBoYhUb »

tae

  • บุคคลทั่วไป
เคนนิ่วหน้า ปากร้องครางไม่เป็นภาษา ผมคิดว่าเขายังคงเจ็บและมีความสุขไปพร้อมๆกัน ผมทำกับเขาอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน อยากให้เคนมีความสุขให้มากที่สุด อยากให้เขาติดใจในตัวผม อยากให้เขารับรู้ว่าผมรักเขามากแค่ไหน และอยากให้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งดีที่ผมจะมอบให้ ในฐานะเจ้าสาวของเขา

และแล้วช่วงวินาทีแห่งความหฤหรรษ์ก็บังเกิด เมื่อเคนบรรลุถึงความสุขสุดยอด ร่างของเขาเกร็งกระตุก แล้วก็ทะลักทลายความสุขออกมา โดยที่ผมเองก็ถึงสวรรค์ไปพร้อมกับเขาด้วย สายน้ำอุ่นในกายผมรินไหลสู่กายเขาทุกหยดหยาด เราสองคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ผมเป็นของเขาแล้วเขาก็เป็นของผม ทันทีที่ปลดปล่อยอารมณ์ออกจนหมด ผมก็กอดเขาไว้อย่างแนบแน่น

ตอนเย็นของเมื่อวานนี้……

“ทำไมถึงปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น รู้ไหมว่าบริษัทจะได้รับผลเสียหายยังไง หากว่าท่านประธานไปไม่ทันนัด”

เสียงเอะอะเอ็ดตะโรของผู้จัดการฝ่ายที่กำลังโมโหสุดขีด ทำให้ชายหนุ่มผิวขาว ท่าทางเป็นเด็กใหม่ ที่ยังไม่ค่อยเป็นงานอะไรกลัวจนตัวลีบ

“ผมขอโทษครับ ผมไม่ระมัดระวังเอง วันนี้ มีงานเข้ามาจนเยอะมาก ผมเลยสับสน”

เด็กใหม่คนนั้นพยายามอธิบาย

“คุณให้เขาทำอะไรบ้างน่ะ คุณชาตรี”

ชายหนุ่มต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีทอง ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมตัวหนา หลังโต๊ะทำงานไม้โอ๊คสีเข้ม ถามผู้จัดการฝ่ายวัยกลางคน พลางปรายตามองมาทางคนที่ถูกต่อว่าต่อขานอย่างสนใจ
“ก็ให้ทำงานทั่วๆไปนะครับ ถ่ายเอกสาร รับโทรศัพท์ พิมพ์งาน ช่วยงานคนในฝ่าย แล้วแต่ว่าจะมีงานอะไรให้ทำ”

“แล้วเขาไม่มีงานอะไรที่รับผิดชอบเป็นชิ้นเป็นอันเหรอ”

ท่านประธานหน้าฝรั่ง ถามผู้แก่วัยกว่า อย่างสงสัย

“เรายังไม่ได้มอบหมายอะไรให้เขารับผิดชอบหลักๆน่ะครับ เพราะเขาเป็นแค่ลูกจ้างชั่วคราว ที่เ ราจ้างมาช่วยงานพนักงานในฝ่ายนะครับ”

“แล้วเขาทำงานมากี่เดือนแล้ว”

“6 เดือนแล้วครับ”

ชาย สูงอายุตอบอย่างนอบน้อม

“นานแล้วนี่ แล้วไม่เห็นวี่แววว่าควรจะบรรจุให้เขาทำงานประจำเหรอ”

“ท่านประธานครับ นายคนนี้ ทำงานไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่ เราก็เลยยังไม่ไว้ใจที่จะบรรจุให้เขาเป็นพนักงานประจำครับ แล้วพอเจอเหตุการณ์วันนี้เข้า ผมก็คิดว่าเราคิดถูกแล้วที่ไม่จ้างเขาในรูปแบบนั้น ทำงานผิดพลาดร้ายแรงแบบนี้ เวลาให้ออกจะได้ทำได้ง่ายครับ”
คำอธิบายของเขา ทำให้ชายหนุ่มที่ยืนเป็นจำเลยให้วิพากษ์วิจารณ์อยู่ หน้าซีดลงไปมากกว่าเดิม เขาสบตากับท่านประธานหนุ่ม อะไรบางอย่างในแววตาของเขาทำให้ผู้มีอำนาจสูงสุดในบริษัทเกิดความสงสาร

“ผมพอจะรู้แล้วล่ะ ว่าทำไมเขาถึงทำงานพลาดขึ้นมา บางที งานที่มอบหมายให้เขาทำมันอาจจะมากมายเกินไปไม่เป็นชิ้นเป็นอัน มันอาจจะทำให้เขาสับสน เดี๋ยวคนโน้นใช้ เดี๋ยวคนนี้ใช้ ก็เลยทำให้เขาหลงๆลืมๆไปก็ได้ เอางี้ ในเมื่อคุณเองก็เห็นว่าเขาทำงานให้กับฝ่ายได้ไม่ดี แล้วคุณก็เห็นว่าควรจะให้เขาออกไป คุณไม่ต้องการเขาแล้ว ผมก็ขอตัวเขามาทำงานกับผมแล้วกัน”

สิ่งที่ได้ยินจากปากประธานหนุ่มทำให้ผู้จัดการอ้าปากหวอ ทำหน้ามึนงง ด้วยไม่เข้าใจว่าทำไมประธานบริษัทจึงต้องไปช่วยเหลือคนที่ทำงานผิดพลาดด้วย

“ไม่ต้องสงสัยเลย ที่ผมรับเขามาอยู่กับผม เพราะต้องการให้โอกาสเขา ได้ทดลองทำงานเป็นชิ้นเป็นอันดูบ้าง อยู่ใกล้ๆผมเขาคงไม่กล้าทำอะไรผิดพลาด เขาคงต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น หากทำอะไรไม่ได้เรื่องอีกคราวนี้ ผมจะได้จัดการเขาได้ทันที อีกอย่างเขาเป็นคนทำงานวันนี้พลาด เขาก็ต้องรับผิดชอบ ผมจะให้เขาชดใช้ให้กับบริษัท ผมตัดสินใจแบบนี้ คุณมีอะไรสงสัยหรือไม่”
เสียงของท่านประธานหนุ่มที่สั่งการออกมา ดูห้วนสั้น ทว่ามีอำนาจ กระทั่งผู้จัดการฝ่ายที่ได้ชื่อว่าดุ เข้มงวด ก็ยังเกรงกลัว นายชาตรี รีบรับคำ แล้วหันไปพูดกึ่งๆตวาดให้คนที่ยืนตัวลีบอยู่ กล่าวขอบคุณประธานบริษัทที่ไม่เอาเรื่องกับความผิดของตัวเอง

หลังจากนั้นอีก สองชั่วโมง

“ผมต้องขอขอบคุณท่านประธานมากครับ ที่ไม่ติดใจเอาความทั้งที่ผมทำความผิดพลาดอย่างไม่น่าจะให้อภัย แถมซ้ำท่านยังเอ็นดูผม ให้ผมมาร่วมงานด้วย แล้วนี่ ยังพาผมมาเลี้ยงข้าวเย็นอีก ผมไม่รู้จะพูดอย่างไรดี คำขอบคุณก็ดูเหมือนว่ามันจะน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ ที่จะกล่าวกับท่านนะครับ ท่านประธานใจดีกับผมมากมายจริงๆ”

เคนกล่าวขอบคุณผมอย่างนอบน้อม เขานั่งตัวลีบอยู่ตรงหน้าผมท่าทางเกรงกลัว เขาพยายามจะกล่าวขอบคุณผม แต่คงไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ซึ่งก็น่าเห็นใจอยู่หรอก นานๆพนักงานระดับล่างอย่างเขา จะได้มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเสียที เขาก็ต้องเกร็งและกังวลใจเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเขาเพิ่งทำผิดพลาดมา แล้วผมยังให้โอกาสเขา แถมซ้ำ พอตกตอนเย็น ผมยังชวนเขาและผู้จัดการฝ่ายมาทานข้าวร่วมกันอีก เขาเลยหงอเข้าไปใหญ่ ผมเห็นท่าทางเครียดๆของเขาแล้ว ก็เลยอยากทำให้สบายใจ จึงพูดกับเขาด้วยเสียงเรียบๆว่า

“ไม่เป็นไรหรอก คนเรามันผิดพลาดกันได้ ว่าแต่คุณเถอะ มาทำงานกับผมแล้ว ก็อย่าทำให้มันเสียเรื่องอีก เดี๋ยวจะทำให้ผมเสียหน้า เพราะผมเป็นคนดึงคุณเข้ามาร่วมงาน เดี๋ยวใครต่อใครจะว่าเอาได้ ว่าผมไม่มีตา ผมให้โอกาสคุณครั้งนี้ คุณก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนได้เห็นประจักษ์ ว่าคุณทำได้จริงๆ เท่านี้ก็เป็นการตอบแทนผมแล้ว”

“ท่านประธานให้ความเอ็นดูเธอแล้วนะเคน อย่าทำให้ท่านผิดหวังล่ะ”

นายชาตรี กล่าวเสริมคำพูดของผม เคนผงกหัวมองผมอย่างกล้าๆกลัว ซึ่งผมก็เข้าใจดีถึงความรู้สึกของเขา และเริ่มที่จะรู้สึกเอ็นดูเคนมากขึ้น ผมเลยเริ่มรายการสัมภาษณ์เพื่อให้เคนคลายความตึงเครียด การพูดคุยอาจจะช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้น

“เรียนจบอะไรมาล่ะ ถึงได้มาทำงานที่นี่”

“เอ้อ มนุษยศาสตร์ อังกฤษครับ”

“งั้นก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีนะสิ”

“ก็พอได้นะครับ แต่ว่าสำเนียงอาจจะไม่ดีนัก”

คนน่ารักของผม กล่าวอย่างถ่อมตัว ผมยิ้ม รู้สึกดีที่เขาพูดออกมาตรงๆไม่อ้อมค้อม ไม่อวดเก่ง ทำไมผมจะไม่รู้ว่าปัญหาของไทยคืออะไร เขาก็เหมือนกับคนทั่วไปที่ภาษาอังกฤษจะดีในเรื่องของแกรมม่า อ่านออกเขียนได้ แต่พูดไม่คล่อง

ผมเช็คประวัติของเคนที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลแล้ว เขาได้คะแนนดีในเรื่องการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษ รวมถึงการแปลด้วย ถึงแม้ว่าวิชาอื่นๆจะคะแนนไม่ดีก็ตาม แต่นั่นไม่มีความหมายอะไรสำหรับผม

การเรียนที่ใช้คะแนนทุกวิชามาวัดว่าใครเรียนเก่งไม่เก่ง มันดูไร้สาระสิ้นดี สำหรับผมแล้ว จะให้โอกาสกับคนที่ทำงานเก่ง มากกว่าเรียนเก่ง ผมไม่ชอบประเภทความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด เพราะพวกนั้นจะเป็นตัวถ่วงให้กับสถานที่ทำงาน

ผมตั้งเป็นนโยบายให้กับผู้จัดการทุกคนเลยว่า ให้พิจารณาเลื่อนตำแหน่งกับคนที่ปฏิบัติงานดี แต่ไม่ต้องไปเกรงใจพวกเก่งแต่ทฤษฎี หรือพวกชอบสร้างวิมานในอากาศ แต่ไม่ลงมือทำมัน

“ไม่เป็นไร ฝึกๆไปก็จะชินเอง ดีเลย ผมกำลังต้องการคนพูดภาษาอังกฤษได้อยู่ดี ถ้างั้นคุณมาทำงานเป็นผู้ช่วยเลขาผมไหม”

“หา ..ท่านครับ ท่านจะให้เด็กคนนี้ไปเป็นผู้ช่วยเลขาท่านเลยเหรอ เขายังไม่เป็นงานอะไรเลยนะครับ ผมเกรงว่าเขาจะทำให้งานของท่านเสียหาย”
_________________

tae

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 3 ความใฝ่ฝันของท่านประธาน

แหม...ท่านผู้จัดการฝ่ายของผมพูดต่อหน้าเด็กนั่นโดยไม่เกรงใจเขาซะเลย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่พนักงาน แต่เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีอารมณ์ความรู้สึก ต้องสั่งสอนมารยาทของการเป็นผู้บริหารที่ดีเสียแล้ว ความในใจของหัวหน้าไม่จำเป็นต้องมาแพร่งพรายให้ลูกน้องรู้ เดี๋ยวลูกน้องจะเสียใจ และมีผลต่อความเคารพนับถือในตัวของเรา ผมเองก็เป็นคนที่ขี้หงุดหงิด โมโหง่ายเห็นใครทำอะไรไม่ถูกใจ ผมก็ไม่รีรอที่จะต่อว่า และจัดการทันที เพื่อไม่ให้งานมันเสียหายมากขึ้น แต่ถ้าเป็นเรื่องความรู้สึกที่มีต่อลูกน้อง ผมจะพยายามระมัดระวังไม่พูดมันออกมา จะด่าก็เฉพาะเรื่องงานเท่านั้น

“ของอย่างนี้ค่อยๆเรียนรู้ไปก็ได้ ที่จริงเลขาของผมน่ะ งานเยอะมาก เพราะต้องรับเรื่องทุกอย่างในบริษัทตามที่พวกคุณส่งกันมา ก่อนที่จะส่งให้ผม ถ้าหากมีคนช่วยงานก็จะแบ่งเบาภาระเขาได้ อีกอย่างเขาก็เป็นผู้หญิงด้วย การติดสอยห้อยตามผมไปในบางสถานที่ มันก็ไม่เหมาะกับตัวเขา แถมบางทียังต้องไปงานที่ต้องกลับดึกๆดื่นๆ มันอันตรายต่อการที่ผู้หญิงจะกลับคนเดียว ถ้าเป็นผู้ชายยังไม่เป็นไร”

ผมอธิบายเหตุผลประกอบการตัดสินใจ ถึงอย่างไรผมก็เลือกที่จะให้เคนทำงานใกล้ชิดกับผมอยู่แล้ว แต่ผมจะไม่ให้ใครมาดูถูกเหยียดหยามเคนได้ ว่าเขาไม่มีความสามารถพอที่จะทำงานนี้ ผมนี่แหละที่จะเคี่ยวเข็ญให้เคนเป็นงานให้ได้ ลองดูกันสักตั้งว่านายเคนคนนี้ จะพิสูจน์ให้ตัวเองเห็นความสามารถได้ไหม ถ้าหากเขาทำงานแย่จริงๆ ผมเห็นควรที่จะเก็บตัวเขาไว้ในบ้านอย่างเดียว

จะคุ้มไหมหนอ กับการลงทุนครั้งนี้ ผมคิดในใจ ผมต้องเอาศักดิ์ศรีของความเป็นประธานบริษัท ลงไปการันตีความสามารถของพนักงานไร้ชื่อ ซึ่งทำงานไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร ตามที่ผู้จัดการฝ่ายคุณชาตรีรายงานมา แต่ผมเชื่อในสายตาตัวเองว่าเด็กคนนี้ฝึกได้ เขามีความมุ่งมั่น ขยันขันแข็งพอสมควร สังเกตได้จากการที่เขาทนทำงานรับใช้ทุกคนในฝ่ายมาได้นานถึง 6 เดือนโดยไม่ปริปากบ่น ทั้งๆที่เงินเดือนก็น้อยแสนน้อย สวัสดิการก็ไม่มี แถมยังถูกดุด่าว่ากล่าวด้วย เป็นคนอื่นก็ถอดใจเปิดหนีไปแล้ว

จะว่าเขาไม่มีที่ไปก็ไม่ได้ก็คงลำบาก เพราะเขาก็เพิ่งจะจบมาได้ไม่นาน และความสามารถด้านภาษาเท่าที่เห็นก็ดูใช้ได้อยู่ น่าจะได้งานดีๆกว่านี้ด้วยซ้ำ เป็นเพราะจังหวะและโอกาสที่ไม่ลงตัวกันมากกว่า ทำให้เขามาติดแหง่กอยู่ที่บริษัทแห่งนี้ ซึ่งก็นับว่าเป็นโอกาสดี ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสเจอตัวเขา ผมไม่รู้ว่าเขารองานอื่นอยู่หรือเปล่า บางทีเขาอาจจะเหมือนกับคนอื่นๆที่สมัครงานไว้หลายๆที่ แต่ผมไม่มีวันปล่อยให้เขาหลุดมือไปหรอก ผมเจอเขาแล้ว และเขาจะต้องอยู่กับผม ทั้งทำงานด้วยกัน แล้วก็อยู่ร่วมกันอย่างสามีภรรยา

tae

  • บุคคลทั่วไป
เมื่อหลายเดือนก่อน............

เจ้าสาวที่ยืนถ่ายรูปกับเจ้าบ่าวใต้ซุ้มกุหลาบสีขาว ช่างเป็นภาพที่สวยสดงดงามเหลือเกิน จนผมอดใจไม่ไหว ต้องเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลาที่สุขสันต์นี้

“ท่านประธานคะ เชิญถ่ายรูปร่วมกันค่ะ”

นนทรี หรือ นนนี่ เลขาสาวของผมกล่าวเชื้อเชิญให้ไปถ่ายรูปกับเขาและเจ้าบ่าวซึ่งก็เป็นพนักงานในบริษัทผมเหมือนกัน เขายืนฉีกยิ้มอยู่ ผมก้าวเข้าไปยืนตรงกลาง โดยมีเจ้าสาวกับเจ้าบ่าวขนาบข้างซ้ายขวา ผมยืนให้ถ่ายรูปอยู่สักครู่ จากนั้นก็กล่าวอวยพรคนทั้งคู่ตามธรรมเนียมไทย ซึ่งคู่บ่าวสาวก็น้อมรับคำอวยพรนั่นด้วยรอยยิ้มสดใส พลางเชื้อเชิญผมเข้าไปในงาน แต่ผมขออยู่ข้างนอกก่อน ที่จริงผมยังไม่อยากเข้าไปนั่งข้างในเพื่อรอทานอาหารโต๊ะจีนสักเท่าไหร่ ใจอยากจะอยู่ข้างนอกเพื่อยืนดูเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวมากกว่า ผมชอบไปงานแต่งงาน ใครเชิญมา ไม่ว่าจะเป็นญาติ เพื่อน หรือลูกน้อง ผมไปหมดโดยไม่เกี่ยง และทุกคนก็เหมือนจะรู้ว่าผมชอบไป เวลาจัดงานทีไร ก็จะมาเชิญผม และจะย้ำนักย้ำหนาให้ไปให้ได้

ผมชอบบรรยากาศในงานแต่งงาน เพราะมันเป็นการที่คนสองคนซึ่งมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งการเลี้ยงดูอบรม และบางครั้งก็ความเชื่อ ความชอบ แต่เขาก็พยายามสร้างครอบครัวร่วมกัน ปรับตัวเข้าหากัน ผมเองก็ฝันถึงการมีครอบครัวที่อบอุ่น ผมอยากมีใครสักคนที่อยู่เคียงข้าง เขารักผม แล้วผมก็รักเขา เราจะอยู่ด้วยกันไปตลอด

จำได้ว่าเมื่อตอนเด็กๆ ผมได้รับรู้เรื่องการแต่งงานเป็นครั้งแรกจากแม่ของผม น้องสาวของเธอ ซึ่งก็คือน้าผม กำลังจะแต่งงานกับหนุ่มไทยคนหนึ่ง ทั้งสองพบกับในที่ทำงาน พวกเขารักกันมาถึงสี่ปี กว่าจะตกลงปลงใจใช้ชีวิตด้วยกัน น้าสาวของผมมีความสุขมาก เธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากผู้หญิงที่เอาแต่เที่ยวรักสนุกไปวันๆ กลายมาเป็นแม่บ้านแม่เรือน เธอหัดเข้าครัว ทำกับข้าว เรียนรู้วิธีการทำอาหารไทย เพื่อเอาใจว่าที่สามี น้าสาวของผมพูดภาษาไทยไม่ค่อยคล่อง เพราะเพิ่งย้ายมาทำงานในเมืองไทย แต่เธอก็ขวนขวายที่จะเรียนรู้เพื่อให้สามารถสื่อสารกับเขาให้ได้ ความรักที่เธอมีต่อเขาทำให้เธอกลายเป็นว่าที่เจ้าสาวที่ร่าเริงแจ่มใส และมีความสุขเสมอ

น้าผู้ชายว่าที่เจ้าบ่าวคนไทยของน้าผม เป็นผู้ชายไทย ที่มีจิตใจอ่อนโยน เขามีความสุภาพ ให้เกียรติผู้หญิง ครอบครัวเราชอบเขาทุกคน รวมทั้งผมด้วย ตอนนั้นผมอายุเพียงแค่ 7 ขวบ เพิ่งจะมีโอกาสได้ร่วมในงานแต่งงานครั้งแรก รู้สึกตื่นเต้นตามคนในบ้านไปด้วย ผมมีโอกาสได้คุยกับน้าผู้ชาย แล้วก็รู้ว่าเขาเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน เขากังวลใจว่าครอบครัวฝรั่งของพวกเรา จะชอบคนไทยอย่างเขาไหม ผมเริ่มรู้สึกชอบเขาขึ้นมาทันที และตอนนั้นนั่นเองที่ผมอยากจะเป็นเจ้าสาวของเขาแทนน้าของผม

tae

  • บุคคลทั่วไป
วันแต่งงาน ผมมีโอกาสได้ถือช่อดอกไม้ ที่น้าสาวให้ช่วยถือเอาไว้ มันเป็นช่อดอกไม้ที่สวยมาก น้าบอกว่า จะเอาไว้โยนตอนออกจากโบสถ์ ผู้หญิงคนไหนรับได้ จะได้แต่งงานเป็นคนต่อไป พอถึงวันน้าจะเดินออกจากโบสถ์ ถามหาดอกไม้ แต่ไม่เจอ เพราะผมแอบเอาไปซ่อนเสียแล้ว คนที่จะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไป จึงได้รับดอกไม้อีกช่อหนึ่ง ซึ่งสวยน้อยกว่าช่อที่ผมมีอยู่ โชคดีที่มันเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย ตอนสั่งดอกไม้ เลยได้มาสองช่อ จึงมีกู้หน้า แต่นับจากนั้นมา ผมก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ช่อดอกไม้ของเจ้าสาวอีกเลย แต่ผมไม่สนหรอก เพราะในครั้งต่อๆไป ผมเป็นฝ่ายแย่งกับพวกสาวๆเสียเอง

ช่อแรกที่ผมแย่งได้ มาจากงานแต่งงานของญาติของผมคนหนึ่ง ในเดือนถัดไป ตอนที่ผมแย่งมาได้ พวกสาวๆพากันร้องโวยวาย หาว่าผมเป็นเด็กผู้ชาย แต่ทำไมมาแย่งช่อดอกไม้ของคนที่จะเป็นเจ้าสาวต่อไปในอนาคต ในขณะที่ผู้ใหญ่ พากันเอ็นดูขบขันที่ผมทำเลียนแบบพวกเพื่อนเจ้าสาว พวกเขาคิดว่าผมเป็นเด็ก ไม่รู้เรื่องอะไร หารู้ไม่ว่าผมมุ่งมั่นเอาจริง พวกเขาคิดว่าพอผมโตขึ้น ผมคงคิดได้เอง แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ความรู้สึกอยากเป็นเจ้าสาวมันฝังรากหยั่งลึกลงไปในใจผมแล้ว ผมไม่สนการเป็นเจ้าบ่าว ผมว่าการเป็นเจ้าสาว เป็นเรื่องที่น่าสนใจดี คนเป็นเจ้าสาวมีความสุขทุกคน ที่สำคัญ ถ้าเราได้เจอเจ้าบ่าวดีๆ เขาก็จะดูแลเราตลอดไป แล้วผมก็เริ่มที่จะสนหนุ่มไทยแล้วด้วยสิ เพราะหนุ่มไทยใจดี น่ารัก และอบอุ่นทุกคน

ความคิดคำนึงของผมสะดุดหยุดลง เมื่อสายตาของผมปะทะเข้ากับร่างๆของผู้ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งอยู่บนพื้น และนวดเฟ้นขาของหญิงชราที่นั่งอยู่บนโซฟาในล๊อบบี้ ท่าทางของเธอดูไม่ค่อยสบายเหมือนคนที่กำลังได้รับบาดเจ็บ ท่าทางที่สุภาพของหนุ่มคนนั้น ทำให้ผมเกิดความสนใจ และอดรู้สึกชื่นชมไม่ได้ที่เขาห่วงใยผู้เป็นแม่ของเขาขนาดนี้ ท่าทางคงจะรักแม่น่าดู
สักพักผมก็เห็นชายหนุ่มคนนั้นก็มีคนมาเรียกตัว เขามีท่าละล้าละลัง เหมือนห่วงใยหญิงชราที่ยังเจ็บอยู่ กระทั่งหญิงผู้นั้นโบกมือ บอกว่าไม่เป็นอะไร เขาถึงได้เดินตามคนที่มาเรียกไป ผมยืนมองอยู่สักพัก ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาตรงกันข้าม

“คุณป้าเป็นยังไงบ้างครับ ปวดขาหรือ”

“อื้ม ใช่ โรคคนแก่น่ะพ่อหนุ่ม เดินมากๆ ก็ปวดขา เมื่อกี้ก็ไปลื่นล้มอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องน้ำตรงโน้นแน่ะ ดีนะเนี่ยที่มีคนมาเห็น เลยช่วยเอาไว้ได้ ไม่งั้นแย่แน่”

“แล้วลูกคุณป้าไปไหนล่ะครับ”

“เขาไม่ได้มาด้วยหรอกค่ะ ป้ามาคนเดียว มางานแต่งงานหลานชายน่ะค่ะ ตรงห้องโน้นน่ะ”

หญิงชราชี้ไปยังงานแต่งงานที่จัดอยู่อีกห้องหนึ่งตรงข้ามกันกับห้องที่จัดงานเลี้ยงแต่งงานของเลขาผม

“อ้าว แล้วผู้ชายคนที่มาช่วยนวดให้คุณป้าล่ะครับ เป็นญาติกันเหรอ”

ผมถามอย่างสงสัย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






tae

  • บุคคลทั่วไป
“เปล่าหรอกจ๊ะ พ่อหนุ่มใจดีคนนั้นเป็นคนเจอป้าตรงหน้าห้องน้ำ ก็พยุงมานั่งตรงนี้แหละ แล้วก็ช่วยนวดขาที่ปวดให้ป้าด้วย น่ารักมากๆเลย ช่วยคนแก่ อย่างป้า ทั้งที่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของตัวเอง ช่างมีน้ำใจจริงๆ”

คำตอบที่ได้รับ ทำให้ผมอดรู้สึกตื้นตันไปด้วยไม่ได้ คนไทยเป็นคนที่อัธยาศัยใจคอดีจริงๆ มีน้ำใจกับผู้ที่กำลังเดือดร้อนเสมอ ผมหลงรักเมืองไทย กับคนไทยก็ตรงนี้เอง

“ท่านประธานครับ เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวกำลังจะขึ้นเวทีแล้วครับ ขอเชิญท่านประธานเข้างานได้แล้วครับ”

พนักงานคนหนึ่ง เดินตรงเข้ามาหาผม และกล่าวเชิญให้เข้างาน ผมหันไปกล่าวลาคุณป้า

“แต่งงานแล้วหรือยัง”

ผมถามพนักงานคนนั้น เขาทำหน้างงๆ แต่แล้วก็พยักหน้า ไม่รู้ว่าอะไรดลใจทำให้ผมถามเขาไปว่า เจ้าสาวเขาน่ารักไหม เขาพยักหน้า แล้วบอกว่าเธอน่ารักมาก เป็นเพื่อนพนักงานด้วยกัน เธอเป็นคนดี น่ารัก และเขาก็มีความสุขมากที่ได้เธอมาเป็นเจ้าสาว ผมยิ้มอย่างพึงพอใจกับคำตอบที่ได้ยิน แล้วก็ก้าวเข้าห้องจัดงานเลี้ยงนำหน้าเขาไป

“เจ้าสาวสวยมากจริงๆนะ”

เสียงชื่นชมเจ้าสาวค่อนข้างดังมาจากโต๊ะข้างๆ โต๊ะที่ผมนั่งเป็นโต๊ะวีไอพี แต่เยื้องไปด้านหลัง ก็เป็นโต๊ะของบรรดาแขกของเจ้าบ่าวเจ้าสาว ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนๆพนักงานในบริษัทนั่นเอง ผมสะดุดตาเข้ากับคนชายหนุ่มหน้ากางคางเหลี่ยมคนหนึ่ง เขาไม่ใช่คนหล่อเหลาบาดตาอะไร แต่ก็ดูดีคมเข้มเร้าใจ ผมปิ๊งเขาทันทีที่เห็น นึกสงสัยว่าเขาเป็นใครกันหนอ เพื่อนของเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาว แล้วเขาทำงานอยู่ในบริษัทของผมหรือเปล่า ถ้าเขาเป็นพนักงานของผม ก็ง่ายในการที่จะเจอตัวเขาในวันหลัง

จากการสำรวจคนที่นั่งอยู่ด้วย ซึ่งบางคนผมพอจะคุ้นตาอยู่บ้าง ก็รู้ได้ว่า คนที่อยู่ในโต๊ะทั้งหมด เป็นพนักงานในบริษัทของผม แต่คงไม่ใช่เพื่อนร่วมงานของเจ้าสาว เพราะผมไม่คุ้นตา น่าจะทำงานอยู่ในฝ่ายของเจ้าบ่าว หรือไม่ก็เป็นเพื่อนในแผนกข้างเคียงมากกว่า ไม่รู้ว่าผมจ้องเขาอยู่นานเท่าไหร่ แต่คงนานพอที่ชายหนุ่มคนนั้นจะรู้ตัว เขาหันมาเห็นผมกำลังมองเขาอยู่พอดี เขารีบหลบตาวูบ คงไม่กล้าสบตาประธานบริษัทอย่างผม แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ผมเห็นเขาถนัดตั้งแต่นั่งจ้องเขาแล้ว เขาก็คือคนเดียวกันกับหนุ่มผู้อารีที่ช่วยคุณป้าที่เจ็บขาคนนั้นนั่นเอง ผมยิ้มในใจอย่างมีความสุข หนุ่มที่ผมถูกชะตา เป็นคนที่มีจิตใจงดงามเหลือเกิน เขาช่างเป็นผู้ชายที่น่าสนใจเสียจริง

เมื่อวานนี้ ตอนเย็น ในร้านอาหาร…..

“แต่งงานหรือยัง”

tae

  • บุคคลทั่วไป
ผมตั้งคำถามเอากับเคน ซึ่งตอนนี้เริ่มจะมึนๆเล็กน้อย หลังจากดื่มเหล้าเข้าไป ที่จริงเขาไม่ได้อยากเมาต่อหน้าผม แต่ผมเห็นว่าเขายังเครียดไม่เลิกกับการถูกตำหนิในวันนี้ รวมถึงการที่ต้องมาทำงานร่วมกับผม เขากลัวว่าจะทำพลาดอีก ผมก็เลยหาทางให้เขาผ่อนคลาย เลยชวนเขาดื่มเหล้า โดยมีผู้จัดการฝ่ายร่วมด้วย โดยผมบอกกับเขาว่า ไม่ต้องคิดว่าผมเป็นผู้บริหารระดับสูง คิดว่าผมเป็นเพื่อนร่วมงาน แล้วนี้ก็คือการสังสรรค์กัน เขาจะได้ไม่ต้องกังวล มีเรื่องไม่สบายใจอะไรก็พูดออกมาได้เลย ผมยินดีรับฟัง เขารับคำ แล้วก็ยอมดื่มกับพวกผม แต่ไม่คิดว่าเขาจะคออ่อนขนาดนี้ ดื่มได้แก้วเดียว ก็ชักตึงๆแล้ว แต่ดีตรงที่ เมาแล้วพูดมาก ผมเลยถือโอกาสสัมภาษณ์เรื่องส่วนตัวของเขาอย่างละเอียด โดยที่เขาก็ตอบผมตามประสาซื่อ โดยไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย ผมเลยได้ใจล้วงลึกเขามากขึ้นถึงเรื่องส่วนตัว

“ยังเลยครับ ผมเพิ่งจะเรียนจบ แต่ก็มีคนที่หมายตาอยู่เหมือนกัน เป็นเพื่อนสมัยเด็กๆครับ อยู่ที่บ้านนอก ตั้งใจไว้ว่าเก็บเงินได้แล้ว จะไปขอครับ”

แย่จังเลย เขามีคนที่หมายตาไว้แล้ว และกำลังจะเก็บเงินไปขอ รู้สึกอิจฉาผู้หญิงคนนั้นเสียจริงที่จะได้เป็นเจ้าสาวเคนสุดที่รักของผม แต่ช่างเถอะ ผมต้องการตัวเขา และผมจะแย่งเอามาให้ได้ ต่อให้เป็นเพื่อนสมัยเรียน ที่กำลังจะแต่งงานกัน ผมก็ไม่สน ตอนนี้เขามาอยู่ในกำมือของผมแล้ว ผมไม่มีวันปล่อยลูกไก่ตัวนี้ไปหรอก

“สเปคคนที่ชอบเป็นอย่างไรหรือ”

หุหุหุ ผมหลุดคำถามคำนี้ออกไปจนได้ ก็อยากรู้นี่นา ว่าคนที่ผมชอบนั้น เขาชอบคนรักแบบไหน เผื่อว่า บางที ผมอาจจะมีลุ้นบ้าง เขายิ้มให้ผม เป็นยิ้มแรกที่เห็นแบบไม่มีอาการเกร็ง

“ผมชอบคนที่อ่อนหวาน เป็นแม่บ้านแม่เรือนครับ ทำกับข้าวเก่งๆ เข้าใจผม รักครอบครัว ไม่ชอบเที่ยวครับ ที่สำคัญต้องร่าเริงอารมณ์ดีด้วย”

กรี๊ดดดดดด ผมเกือบจะร้องออกมาแบบนั้น แต่กลัวจะเสียจริต ภาพลักษณ์ของประธานบริษัทจอมเฮี๊ยบไป ผมมีอะไรที่เหมือนกับสเปคของนายเคนสุดที่รักของผมหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคนที่รักครอบครัว ทำกับข้าวเก่ง ตอนนี้ผมก็ไม่ค่อยจะชอบเที่ยวไหน เลิกงานก็กลับบ้าน มันเบื่อเพราะสมัยวัยรุ่นผมเที่ยวมามากเพื่อหารักแท้ ตอนนี้ผมหยุดแล้ว และถ้าผมได้เป็นภรรยาของเขา ผมก็จะทำหน้าที่แม่บ้าน ไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลย

แล้วผมก็เชื่อว่าผมมีอารมณ์ดีร่าเริงเข้ากับเขาได้ด้วย ในงานผมอาจจะซีเรียส แต่เมื่อผมมีเวลาเป็นส่วนตัวแล้ว ผมก็เป็นคนสนุกสนานเฮฮาคนหนึ่ง ถ้าสเปคของเขาเป็นแบบนี้ ผมก็น่าจะเป็นภรรยาของเขาได้ ชักเริ่มจะมีหวังเสียแล้ว อย่างนี้สู้ตาย เป็นไงเป็นกัน

หลังจากที่กินไปดื่มไป พร้อมทั้งตอบคำถามชนิดล้วงควักจากผม เคนก็เมาคอพับคออ่อน นายชาตรีส่งสายตาสมเพชมาทางว่าที่สามีของผม ซึ่งมันทำให้ผมไม่พอใจมาก อยากควักลูกตาออกมาเดาะเล่นเหลือเกิน โทษฐานที่ทำมาเป็นดูถูกคนที่ต่อไปจะเป็นสามีประธานบริษัท แต่เอาเถอะเห็นแก่เขาเป็นคนทำงานดีคนหนึ่ง ผมจะไม่เอาความ แต่ถ้ามีอีกวันหลัง ผมเอาเรื่องแน่

tae

  • บุคคลทั่วไป
“แย่จริงเชียว รู้ว่าคออ่อน ยังกินเข้าไปตั้งเยอะ เมาต่อหน้าท่านประธานเสียด้วย ขายหน้าจัง แล้วนี่จะเมาหยำเป จนพรุ่งนี้มาทำงานทำการไม่ได้หรือเปล่านี่ ท่านประธานก็ไม่น่าจะไปใจดีกับเขาเลยนะครับ”

นายชาตรีอดไม่ได้ที่จะตำหนิ ผมรู้สึกโกรธขึ้นมา

“อย่าไปว่าเขาเลยคุณชาตรี คุณว่าเขาก็เหมือนกับว่าผมนั่นแหละ เพราะผมเป็นคนอนุญาตให้เขาดื่ม แล้วก็พาเขามาทานด้วยที่นี่ ผมจะบอกให้นะคุณชาตรี คนเราน่ะ มันต้องมีน้ำใจไมตรีต่อกัน ถึงเขาจะเป็นลูกจ้างของเรา แต่ตอนนี้ผมว่าเขากำลังขวัญเสีย ต่อเหตุการณ์เมื่อกลางวัน เขาคงกลัวว่าผมจะไล่เขาออกเพราะความผิดเรื่องนั้น ผมไม่อยากทำให้เขารู้สึกว่าบริษัทของเราโหดร้ายกับลูกจ้างนะคุณชาตรี”

ปรามไปนิดหน่อย หวังว่าคงจะพอเข้าใจ

“แต่ต่อไปเขาจะเหลิงนะครับ ไม่แน่นะ เขาอาจจะเอาไปคุยฟุ้งให้ใครต่อใครฟังก็ได้ ว่าได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับท่านประธาน แถมซ้ำ ยังกินเหล้าชนแก้วกันอีก ผมเป็นห่วงภาพพจน์ของท่านครับ”

ยังดื้ออีก แต่ผมก็พอจะเข้าใจความหวังดีของเขานะ นายชาตรีคงไม่อยากให้ใครเอาเรื่องที่ผมพาเคนมาทานข้าวไปพูดกันปากต่อปาก เดี๋ยวมันจะนำความเดือดร้อนมาสู่ผม แต่ถึงอย่างไร ผมก็ไม่กลัวหรอก เรื่องที่นายชาตรีต้องวิตก มันยังมาไม่ถึง หากเขารู้ว่าผมคิดอย่างไรกับเคน เขาอาจจะตกใจมากไปกว่านี้ก็ได้

“ขอบคุณที่เป็นห่วงผม บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ พวกพนักงานจะได้รู้สึกดีว่าผมยังห่วงใยพวกเขาอยู่ และผมไม่ใช่คนที่เข้าถึงตัวไม่ได้ น่าจะทำให้พวกเขาเกิดขวัญกำลังใจในการทำงานนะ”

ผมกล่าวสรุป ถึงแม้นายชาตรีจะไม่เห็นด้วย แต่เขาก็ไม่กล้าเถียงผม

“เด็กนี่เมาแล้ว เราส่งเขาขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้านไปเลยดีกว่าครับ”

ผู้จัดการฝ่ายเปลี่ยนเรื่องพูด โดยการเสนอความคิด แต่ผมตัดสินใจไว้แล้วว่าจะไปส่งเคน ดังนั้นผมจะไม่ให้ใครมาขัดขวางหรอก

“ไม่ต้องหรอก ผมไปส่งเขาเองก็ได้ เมาแบบนี้ เด๋วเกิดเจอแท็กซี่ไม่ดี อันตรายแน่ ผมเป็นคนชวนเขามา ผมต้องรับผิดชอบ คุณกลับไปเถอะ ไม่ต้องกังวลกับเรื่องเขาหรอก พรุ่งนี้เขามาทำงานทันแน่”

จบคำพูดเพียงเท่านั้น แล้วก็ไม่พูดอีก ในเมื่อผมยืนยันแบบนี้ นายชาตรีก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากช่วยผมประคองร่างของเคนไปขึ้นรถของผม
_________________

tae

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 4 ท่านประธานจอมเฮี้ยบ

“อ๊ากกกก”

ผมร้องตะโกนก้อง เมื่อความทรงจำกลับคืนมาแล้ว เมื่อคืนนี้ ผมถูกท่านประธานพากลับมาที่บ้าน จากนั้นมันก็เหมือนกึ่งฝันกึ่งตื่น ผมคิดว่าผมกำลังอยู่กับเจ้าสาวของผม เรามีอะไรกัน แต่เจ้าสาวของผม กลับเป็นฝ่ายทำกับผมเสียเอง ผมคิดว่าผมฝัน ไม่ทันคิดว่า มันจะกลายเป็นเรื่องจริง โธ่นี่ผมเสียความบริสุทธิ์ให้กับท่านประธานแล้วหรือนี่

ความตกใจผสมกับความโกรธ ทำให้ผมสะบัดตัวจากการเกาะกุมของเขาอย่างรุนแรง แต่อ้อมแขนของเขาแข็งแรงมาก ดิ้นไม่หลุดเลย เขากลับกอดผมไว้แน่น แล้วก็พยายามพูดปลอบขวัญผมเพื่อให้ผมผ่อนคลายจากความเครียดที่รู้ว่าตัวเองได้เสียหนุ่มให้เขาแล้ว

โชคชะตาทำไมเล่นตลกกับผมอย่างนี้ เมื่อวานผมทำงานพลาด รับโทรศัพท์จากลูกค้าที่นัดให้คนของบริษัทไปนำเสนองาน ไว้หลายราย แต่ผมพลาดตรงที่ไม่ได้บอกให้ผู้ที่รับผิดชอบทราบ เนื่องจากงานมันประดังประเดเข้ามาเยอะมาก จนผมลืมไปเลย จนกระทั่งบ่าย ลูกค้าโทรมาเล่นงาน คุณชาตรี จังหวะเหมาะที่ท่านประธานยังไม่ได้เข้าบริษัท ท่านจึงไปพบลูกค้าเพื่อรับหน้าแทนไปก่อน ไม่งั้นโปรเจคในการทำธุรกิจร่วมกันระดับ 1000 ล้านคงสูญสลายไปในพริบตา

มันเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ผมสมควรโดนโกรธ และถูกไล่ออก แต่สิ่งที่ท่านประธานหยิบยื่นให้ คืองานใหม่ ที่ต้องไปทำงานใกล้ชิดเขา ผมนึกไม่ถึงเลยว่า ของแลกเปลี่ยนที่เขาต้องการ คือร่างกายของผม ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกขยะแขยงตัวเอง และนึกเกลียดเขาขึ้นมา นี่ผมกลายเป็นผู้ชายขายตัวไปแล้วหรือไร ถึงผมจะจน แต่ผมก็มีศักดิ์ศรี เรื่องแบบนี้ผมไม่ยอมให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นความมัวหมองของวงศ์ตระกูลผมหรอก

“ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะครับ ท่านประธาน”

“ไม่นะ เคน คุณยังไม่เข้าใจ ผมไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆหรอก จนกว่าคุณจะฟังผม”

“ยังต้องมีอะไรอธิบายอีกละครับ ผมรู้แล้วว่าทำไมท่านถึงใจดีกับผมนัก ที่แท้ก็ต้องการทำแบบนี้กับผมนี่เอง เสียแรงที่ผมหลงชื่นชมท่าน คิดว่าท่านจะเมตตาผมอย่างแท้จริง ไม่นึกว่าท่านทำเพื่อหวังเพียงร่างกายของผมเท่านั้น ท่านใจร้ายมากจริงๆ ผมไม่น่าไปกินเหล้ากับท่านเลย ถ้าผมมีสติดีกว่านี้ ผมจะไม่ยอมปล่อยให้ท่านข่มขืนผมหรอก”

ผมต่อว่าเขาด้วยเสียงอันดัง นึกโมโหที่ตัวเองเชื่อใจคนง่ายๆ จนตกมาอยู่ในสถานการณ์แย่ๆแบบนี้ หน้าของท่านประธานเปลี่ยนเป็นเฉยชา แววตาดุดันขึ้นมาทันที ผมเห็นแล้วนึกกลัว แต่พยายามข่มความรู้สึกของตัวเอง ผมจะไม่ยอมหงอให้เขาอีกแล้ว

“สงบสติอารมณ์ก่อนได้ไหม แล้วฟังผมพูดก่อนสิ แล้วจะรู้ว่าผมทำแบบนี้ทำไม ถ้าคุณเอาแต่โวยวาย ไม่ฟังเหตุผล เราสองคนก็จะเข้าใจผิดแบบนี้กันไปตลอด ได้โปรดรับฟังหน่อย”

tae

  • บุคคลทั่วไป
น้ำเสียงนั่นดูมีอำนาจในการที่จะบีบบังคับให้ผมต้องหยุดโวยวาย และนิ่งฟังเขา ท่านประธานกอดกระชับผมไว้ในวงแขนแนบแน่น ราวกับกลัวว่าผมจะหนีหายไปไหน

“ที่ผมทำไปทั้งหมดนั้น เพราะว่าผมรักคุณ ผมอยากจะเป็นเจ้าสาวของคุณครับ”

“เจ้าสาว.....หึหึ ....ตลกล่ะ เราผู้ชายด้วยกัน จะอยู่กินกันอย่างไร ท่านประธานเป็นเจ้าสาวผมไม่ได้หรอก ผมมีคนที่ผมจะแต่งด้วยแล้ว”

“แต่คุณแต่งกับเขาไม่ได้หรอก คุณเป็นของผมแล้วนะ แล้วผมจะไม่มีวันให้คุณไปเป็นเจ้าบ่าวของใคร นอกจากผม ถ้าหากคุณยังดื้อที่จะแต่งงานด้วย ผมจะไปพูดกับผู้หญิงคนนั้น ตกลงกันไปเลย เขายังไม่ได้เป็นอะไรกับคุณ แต่ผมเป็นเมียคุณแล้ว ผมคิดว่าเขาคงไม่ใจร้ายจนคิดจะทำลายหัวอกคนเป็นเมียอย่างผมหรอก”

ท่าทางคนพูดดูน่าหมั่นไส้เหลือเกิน มั่นใจตัวเองจริงนะ

“อะ...อะไร กัน เป็นเมียได้อย่างไร ก็ท่านประธานเป็นคนล่วงเกินผม ผมยังไม่ได้ทำอะไรท่านสักหน่อย”

“ก็ทำไมล่ะ ผมเป็นภรรยาแบบที่ชอบเป็นฝ่ายทำยังไงล่ะ ไม่เห็นจะแปลก เอาแบบนี้แหละ ผมเป็นเมีย คุณเป็นสามี ผมรักคุณผมถึงทำแบบนี้ นี่คือสิ่งที่ผมอยากให้เคนรู้ เรื่องอื่นๆเอาไว้ค่อยพูดกันทีหลังได้ไหม ตอนนี้มันเจ็ดโมงแล้ว งานเข้าแปดโมงไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่อยากไปสายแล้วถูกเจ้านายเขม่นตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงานใหม่ละก็ รีบไปอาบน้ำและทำงานได้แล้ว ผมก็ต้องกลับไปบ้านก่อน ไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาสำรอง ต้องกลับไปเปลี่ยน เย็นนี้ค่อยคุยกันนะครับที่รัก”

เขาบอกอย่างรัวเร็ว จากนั้นก็ผละออกจากผม พลางตบก้นผมเบาๆแล้วรุนหลังผมให้เข้าห้องน้ำ ตลอดเวลาเหล่านั้น ผมได้แต่งง สับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจจะเป็นเพราะผมคิดช้า เลยทำให้ไม่ค่อยจะเข้าใจอะไรง่ายๆ กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาก็ผลุนผลันออกจากห้องเช่าของผมไปแล้ว ทิ้งให้ผมตีอกชกหัวอยู่เพียงลำพัง ด้วยความแค้นใจที่ถูกหลอกฟัน

หลังจากรีบจนสุดชีวิต เพราะกลัวเข้างานสาย ผมก็ตะเกียกตะกายขึ้นรถสองแถว ไปต่อรถเมล์เพื่อไปทำงาน ถึงบริษัทสายไปห้านาที แต่กระนั้น เจ้านายเก่าของผม คุณชาตรี ก็มองอย่างไม่พอใจ เขาเรียกผมไปต่อว่าทันทีที่เห็นหน้า แล้วก็บ่นด่าเรื่องที่ผมมาสาย ผมไม่มีโอกาสได้โต้ตอบ เพราะแกเอาแต่ใส่ผมฉอดๆ แต่ก็ดีแล้วที่เป็นแบบนี้ เพราะต่อให้ผมอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม เขาก็คงไม่เชื่อ ศักดิ์ศรีของท่านประธานบริษัท กับ พนักงานชั่วคราวอย่างผม มันเทียบกันไม่ได้

พนักงานที่ถูกล่วงเกินทางเพศในที่ทำงาน เขาจะรู้สึกคับแค้นอึดอัดอย่างผมหรือเปล่าหนอ พูดไม่ออก บอกใครก็ไม่มีใครเชื่อ หรือผมจะแจ้งความดี เอาเรื่องเขาให้ถึงที่สุด ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายให้หมดตัวไปเลย แต่เอ๊ะ แน่ใจหรือเปล่าว่าเขาข่มขืนผมอย่างเดียว ทำไมมันคลับคล้ายคลับคลาว่าผมก็ร่วมมือไปด้วย แต่ไม่นะ ไม่มีทางหรอก ผมไม่ได้ชอบผู้ชายนี่นา ท่านประธานนั่นล่อลวงผม มันไม่ได้เกิดจากความเต็มใจของผม และเขาจะทำกับผมได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น

tae

  • บุคคลทั่วไป
“มัวแต่คิดอะไรอยู่ นี่ขนาดถูกดุขนาดนี้ ยังจะเหม่อลอยได้อีกเหรอ เธอเป็นคนประเภทไหนกันเนี่ย แล้วอย่างนี้จะไปทำงานกับท่านประธานได้อย่างไร เอาใจใส่สิ่งที่บอกหน่อยสิ”

เสียงตวาดดังลั่น เล่นเอาผมสะดุ้งสุดตัว ผมกล่าวขอโทษขอโพยหัวหน้าที่เผลอใจลอยไปหน่อย จากนั้นผมก็ยืนฟังคำด่าจากเขาอีกยาวเหยียด กว่าที่เขาจะปล่อยผมออกไปจากห้อง โดย ไม่วายสั่งว่าให้ผมรีบปฏิบัติงานที่คั่งค้างให้เสร็จก่อนเที่ยง แล้วตอนบ่ายค่อยย้ายขึ้นไปยังห้องชั้นบน เพื่อทำงานเป็นผู้ช่วยเลขาของท่านประธาน

ผมเดินไหล่ห่อ ท่าทางหดหู่กลับมานั่งที่โต๊ะ ท่ามกลางสายตาที่มองมาและเสียงซุบซิบ ทุกคนคงรู้เรื่องที่ท่านประธานย้ายผมไปทำงานร่วมกับเขาแล้ว พวกที่กำลังนินทาผมอยู่คงสงสัยว่า คนที่ทำงานห่วยแตกอย่างผม ทำไมจึงได้รับความไว้วางใจให้มาทำงานกับท่านประธานของบริษัท ผมเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งทะนง ที่จริงผมแทบไม่มีศักดิ์ศรีอะไร เมื่อเทียบกับพนักงานพวกนี้ แต่ผมก็เป็นคนมีหัวจิตหัวใจเหมือนกัน ทำงานก็หวังก้าวหน้า แต่ผมยังไม่ทันพิสูจน์ตัวเองว่าทำได้หรือไม่ พวกเขาก็ประเมินผมว่าไร้ความสามารถเสียแล้ว บางทีการที่ท่านประธานให้โอกาสผม มันอาจจะทำให้ผมค้นพบตัวเองว่าผมถนัดในเรื่องอะไรก็ได้ การรับข้อเสนอของเขา น่าจะทำให้ผมก้าวหน้าในการงาน แม้ว่าเขาจะมีเจตนาอื่นแอบแฝงก็ตาม พอคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็แอบเศร้าใจยิ่งนัก

ยังไม่ทันที่เก้าอี้จะอุ่นจากการนั่งของผม โทรศัพท์ที่โต๊ะก็ดังขึ้น แม่ผมเองโทรทางไกลมาหาจากบ้านนอก แกคงออกมาที่ตัวเมือง แล้วหาโอกาสโทรมาหาผม โชคดีที่ส่วนหนึ่งของงาน คือการรับโทรศัพท์ จากลูกค้า และการโทรติดต่อนัดหมาย รวมถึงการตามงาน ทำให้ผมได้รับอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ได้เครื่องหนึ่ง ผมจึงไม่ต้องรับโทรศัพท์ผ่านใคร แต่กระนั้นการที่แม่ของผมโทรมาหาด้วยเรื่องส่วนตัว ก็ทำให้ผมต้องรีบรับ แล้วก็เร่งให้แม่เข้าสู่เรื่องที่ต้องการจะพูดกับผม

“บักหำน้อย มันไม่สบายมาก นังแก้วต้องจ่ายค่าเทอมสิ้นเดือนนี้ ทางธกส.ทวงเงินที่เรากู้เขาไว้นานแล้ว แม่ไม่รู้จะพึ่งใคร เลยโทรมาหาลูกนี่แหละ”

นั่นไง ธุระของแม่ โทรมาทีไร ไม่พ้นเรื่องเงิน ทำไงได้ล่ะ ก็ผมดันเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวที่เรียนจบแล้วมีงานทำ นอกนั้นแต่ละคนยังเอาตัวไม่รอด พ่อแม่ไม่พึ่งผม ก็ไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว ผมนึกถึงเงินในกระเป๋าตัวเอง ตอนนี้ ผมมีอยู่ประมาณ 5000 บาท ที่เหลือมาจากสิ้นเดือน ผมพยายามใช้จ่ายอย่างกระเบียดกระเสียร เพราะลำพังลูกจ้างรายวันอย่างผม เงินที่ได้บวกโอทีแล้ว บางเดือนยังไม่ถึงหมื่นเลย ผมต้องทนทำงานให้เขาจิกหัวใช้สารพัด เพื่อเอาเงินจุนเจือทางบ้าน และหวังว่าโอกาสที่ผมจะทำงานเข้าตาเจ้านายคงมาถึง แล้วเขาจะได้บรรจุผมเข้าทำงานประจำ ผมและครอบครัวจะได้ลืมตา อ้าปากอย่างมีความสุขกับเขาเสียที

แต่ความหวังช่างเลือนรางเหลือเกิน ผ่านไป หกเดือนผมยังคงเป็นได้แค่ลูกจ้างรายวันเท่านั้น จนท้อใจ ร่อนใบสมัครงานไว้หลายที่ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครติดต่อมา ผมเลยต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน จะออกก่อนก็ไม่ได้ เพราะทุกคนฝากความหวังไว้ที่ผม น้องสองคน คนหนึ่งกำลังเรียน อีกคนใจแตก หนีตามผู้ชายไป แล้วเอาลูกมาให้ยายเลี้ยง ซึ่งก็ไม่พ้นผมที่ต้องรับภาระ ผมเห็นใจพ่อแม่มาก ที่ต้องเหนื่อยยากเพราะเรา แล้วยังจะต้องมารับภาระเลี้ยงหลาน ทั้งที่ควรจะสบายได้แล้ว ผมเลยทิ้งท่านไปมีความสุขสบายตามลำพังไม่ได้ ตั้งใจไว้แล้วว่า ไม่ว่าลำบากแค่ไหนก็จะไม่ปริปากบ่น กัดฟันสู้เพื่อครอบครัวของผม เมื่อทุกคนสบายดีแล้ว ผมก็จะได้มีช่วงเวลาที่จะแสวงหาความสุขใส่ตัวเสียที นี่จึงเป็นเหตุให้ผมชะลอความคิดที่จะแต่งงานกับคนที่หมายปองไว้ก่อน ผมไม่อยากดึงเธอมาลำบาก ไม่คิดเลยว่าในจังหวะที่ผมทำงานหาเงิน และรอเวลาที่จะไปสู่ขอเธอมาเป็นภรรยา ผมกลับได้เจ้าสาวมาโดยไม่ตั้งใจ แถมซ้ำเขายังมีอำนาจเหนือผมในหน้าที่การงานอีกด้วย
_________________

tae

  • บุคคลทั่วไป
“เดี๋ยวจะส่งไปให้สิ้นเดือนนะแม่”

ตอบไปเป็นภาษาไทย ไม่กล้าคุยภาษาท้องถิ่น แอบอายนิดหน่อย เพราะคนที่นี่ไฮโซกันเหลือเกิน แค่นี้พวกเขาก็ดูถูกผมจะแย่อยู่แล้ว มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า สงสัยผมคงแต่งตัวมอซอไม่สมเกียรติกับสถานที่ทำงานสุดหรูนี่กระมัง

ป้าตู่ แม่บ้านที่ดูแลทำความสะอาด ผู้ซึ่งมีความเมตตาต่อผม เคยแบ่งข้าวน้ำให้ผมทานบ่อยๆ เคยพูดกับผมว่า ผมเป็นคนหน้าตาดี ถึงแม้จะไม่หล่อเหลา หน้าตาทันสมัยเหมือนคนกรุง แต่ผมก็มีความหล่อเหมือนสุภาพบุรุษลูกทุ่ง เป็นหน้าตาคนไทยแท้แต่โบราณ ซึ่งหาได้ยาก เดี๋ยวนี้มีแต่หน้าตี๋ หน้าลูกครึ่งกันไปหมด แกชอบหน้าตาไทยๆแบบผม มันชวนให้นึกถึงพระเอกหนังไทยสมัยเก่า ผมเคยหัวเราะให้กับคำชมของแกแม้ว่าผมจะนึกหน้าพระเอกเหล่านั้นไม่ออกก็ตาม แต่เอาล่ะ ชมว่าผมหล่อก็ดีใจแย่แล้ว ป้าตู่ยังบอกอีกด้วยว่า ถ้าผมแต่งตัวดูดีกว่านี้สักหน่อย สาวๆคงจีบผมมากมายแน่ เพราะผมเป็นคนจิตใจดี และอ่อนโยน เป็นคุณสมบัติชายในฝันทั้งหลาย ผมก็แซวแกกลับว่า คงจะมีแต่สาวรุ่นแกเท่านั้นที่สนผม เพราะผู้หญิงสมัยนี้ เขาสนคนมีฐานะร่ำรวย และหน้าที่การงานดี หน้าตาและจิตใจเป็นแค่องค์ประกอบอย่างหนึ่ง แต่มันช่วยให้กินอิ่มไม่ได้ ป้าตู่ปลอบใจผมว่า สักวันหนึ่งคงมีคนดีๆมารักผม คนที่สามารถมองเห็นไปถึงเห็นหัวใจทองคำของผม และผมจะมีความสุขในอนาคต ผมยกมือท่วมหัวขอให้มันเป็นจริง

ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ ผมต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อมีเสียงดังขึ้นตรงหน้าโต๊ะที่ผมนั่งทำงานอยู่

“ทำไมยังไม่ย้ายขึ้นไปทำงานอีก จะขัดคำสั่งหรือไง”

เสียงของคนตรงหน้าช่างมีอำนาจเหลือเกิน จนผมเริ่มรู้สึกกลัวเขาขึ้นมาอีก หน้าตาตอนนี้ของท่านประธานดูดุดัน ต่างจากเมื่อเช้าที่อยู่ด้วยกันอย่างสิ้นเชิง

“เอ้อ ท่านผู้จัดการให้เคลียร์งานตรงนี้ให้เสร็จก่อน แล้วขนของขึ้นไปน่ะครับ”

ผมตอบเขาไปหลังจากหายตกใจแล้ว

“ไม่ต้อง ให้เขาจัดการกันเอง ผมหาคนใหม่ให้เขาเรียบร้อยแล้ว คุณขนของขึ้นไปชั้นบนได้เลย ไปหาเลขาของผม คุณนนทรีน่ะ คุณคงรู้จักดี เพราะคุณเคยไปงานแต่งงานเขามาแล้วนี่ นนนี่เขาเตรียมทุกอย่างไว้ให้คุณพร้อมแล้ว เอาของไปเก็บเสร็จก็ขึ้นไปหาผมที่ชั้นเพ้นท์เฮ้าส์นะ ผมจะรอคุณอยู่ที่นั่น”

tae

  • บุคคลทั่วไป
สั่งเสร็จ ท่านประธานก็เดินเข้าห้องผู้จัดการฝ่าย คุณชาตรีไป ผมกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก รีบเก็บข้าวของบนโต๊ะวางไว้ให้เข้าที่เข้าทาง คนมาใหม่จะได้ไม่ต้องหาให้วุ่นวาย ตอนที่ถือกล่องกระดาษหอบสมบัติของตัวเองเตรียมจะขึ้นไปยังส่วนงานของท่านประธาน ผมเห็นเพื่อนร่วมงานในฝ่ายต่างสุมหัวกับซุบซิบนินทาผม มันทำให้เลือดในกายผมฉีดพล่าน รู้สึกอยากจะเอาชนะลบคำดูถูกของคนพวกนี้ขึ้นมาทันที ผมเดินคอแข็งผ่านพวกเขาไป ได้ยินเสียงนินทาตามหลัง

“ไม่รู้ว่าท่านประธานตาบอดหรือไง ถึงเอาเด็กฝึกงานที่ทำผิดพลาดอยู่บ่อยๆไปร่วมงานด้วย เดี๋ยวคอยดูนะ ต้องทำเรื่องเสียๆหายให้ท่านประธานเดือดร้อนแน่”

“ยังไม่ทันไร ก็ทำเป็นคอแข็งแล้ว อีกหน่อยคงเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวเรา คางคงขึ้นวอก็งี้แหละ”

“จะไปได้สักกี่น้ำกันเชียว คนทำงานแย่แบบนั้น”

“บลา บลา บลา........”

เสียงพวกนั้นจางหายไปแล้ว แต่ก็ยังคงดังก้องในหูของผม นี่นะหรือเพื่อนร่วมงาน ลับหลังก็นินทากัน ผมสู้อุตส่าห์ทนทำงานให้พวกเขามาถึง 6 เดือน ใครใช้ให้ทำอะไรก็ทำ แต่พวกเขากลับไม่เคยให้เกียรติผม คงนึกว่าเราเป็นเพียงแค่เด็กลูกจ้างชั่วคราว ศักดิ์ศรีเทียบไม่ได้กับพนักงานประจำเช่นพวกเขา พอมีข่าวว่าผมได้รับความไว้วางใจให้ขึ้นไปทำงานกับท่านประธานบริษัท พวกเขาก็อดที่จะติฉินนินทาไม่ได้ ไม่รู้เพราะว่าริษยาที่ผมได้ใกล้ชิดกับคนใหญ่โตของบริษัท หรือเป็นเพราะว่าพวกเขาเห็นว่าผมไร้คุณค่าไม่คู่ควรกับการทำงานกับบริษัทนี้จริงๆ

“เป็นไง โดนนินทามาล่ะสิท่า”

นนทรี เลขาสาวสุดสวยของท่านประธานเอ่ยทักผมทันทีที่เดินเข้าประตูมา เธอคงเห็นท่าทางหดหู่ห่อเหี่ยวของผมกระมัง น่าแปลกที่สิ่งที่เธอพูดมันตรงกับความเป็นจริงเหลือเกิน ยังกับมีตาทิพย์เห็นทุกอย่างงั้นแหละ

“พี่รู้เลย ว่าคนข้างล่างนั่นน่ะ จะพูดอย่างไรที่เห็นเราขึ้นมาทำงานข้างบนนี่ หลายคนใฝ่ฝันอยากทำงานใกล้ชิดกับคนใหญ่คนโตอย่างท่าน แต่น้อยคนนักที่จะได้ขึ้นมาข้างบนนี่ พอเธอซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราว โดนท่านประธานดึงตัวให้มาทำงานข้างบนนี้ ทั้งที่ทำงานพลาดจนเกือบจะโดนไล่ออกแล้ว คนก็เลยอิจฉาเธอไง”

โห รู้ละเอียดดีจังเลย สมแล้วที่เป็นเลขาท่านประธานต้องหูตากว้างไกล และรู้ถึงเรื่องภายในบริษัท เพราะบางครั้งเธอต้องรับเรื่องแทนท่านประธานได้ พี่นนทรีเห็นผมฟังอย่างสนใจก็เลยพูดต่อ

“คุณเคลวินเป็นประธานบริษัทที่ไม่ถือตัวสักเท่าไหร่ แต่ท่านเป็นคนดุมาก ดุกว่าพ่อของท่านซะอีก ถ้าใครทำอะไรไม่ถูกใจมีหวังตายลูกเดียว มีคนที่ถูกไล่ออกเพราะทำงานผิดพลาดมาหลายคนแล้ว”
_________________

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
รออ่านต่ออยู่นะคับ  :impress: :impress: :impress:

มาโพสต่อเร็วๆ น๊า  :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ปูเสื่อรอเหมือนกัน มาต่อไวๆนะค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






FlukeHub

  • บุคคลทั่วไป
งืมๆๆ

นึกภาพผู้ชายตัวโตๆอยากเป็นเจ้าสาวไม่ออกเลย

จิ้นแล้วขนลุกชะมัด

บรื๋อ!!~.....

ต่อเร็วนะครับ   รออ่านๆ

tae

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 5 อุ้งมือปีศาจร้าย

โหย ช่างเป็นคำกล่าวอ้างถึงท่านประธานที่น่ากลัวเสียจริง แล้วอย่างผมเนี่ย จะถูกไล่ออกหรือเปล่านะ ยิ่งเอ๋อๆอยู่ด้วยช่วงนี้ มีอะไรมาให้คิดวุ่นวายไปหมด ทั้งเรื่องที่บ้านของตนเอง เรื่องงาน แล้วไหนจะยังมาเรื่องเกี่ยวกับท่านประธานอีก กลัวเหลือเกินว่าจะทำพลาดจนถูกไล่ออก

หากผมตกงาน ไม่ใช่แค่ตัวผมเองที่เดือดร้อน ปากท้องของพ่อแม่ น้อง และหลานที่อยู่บ้านนอก ซึ่งฝากความหวังไว้กับผม ก็คงจะพลอยอดไปด้วย ผมไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นลูก หรือ พี่ชายที่ไม่เอาไหน ทำให้ครอบครัวมีความสุขไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยสาหัสอย่างไร ผมก็จะทนมันให้ได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าผมยอมแพ้เสียแต่แรก คนที่ทำงานอยู่ข้างล่างคงได้หัวเราะผมด้วยความสะใจที่สิ่งที่เขาดูถูกผมมันเป็นจริง

“แต่นั่นเป็นเพียงภาพลักษณ์ที่ทุกคนมองท่านนะ ที่จริงท่านเป็นคนใจดีมากๆเลย รักลูกน้องด้วย ตอนพี่นนนี่แต่งงาน ท่านเซ็นต์เช็คให้สำหรับการเริ่มต้นครอบครัวใหม่ ตั้ง 99,999 บาทแน่ะ ท่านบอกมันเป็นเลขมงคลไม่ใช่หรือ รู้ซะด้วยนะ แต่พี่กับแฟนไม่ได้เอาไปขึ้นเงินหรอก เก็บใส่กรอบไว้น่ะ ท่านก็เลยให้ชุดเครื่องเรือนชุดหนึ่ง ท่านให้โดยไม่เสียดายเงินเลย แถมซ้ำยังบอกด้วยว่าเป็นของขอบคุณที่พี่นนนี่ทำงานให้ท่านอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแกเหนื่อย คุณเคลวินน่ารักมาก พี่รู้สึกสำนึกในบุญคุณท่านเหลือเกิน เลยไม่ยอมไปไหน จะทำงานให้ท่านไปตลอด”

จริงเหรอ ท่านประธานจอมโหด เจ้าเล่ห์ เอารัดเอาเปรียบ และชอบล่วงละเมิดทางเพศคนอื่นเนี่ยนะ มีความดีกับเขาด้วย แทบไม่อยากจะเชื่อเลย

“ฟังดูเหมือนว่าจะยกยอเจ้านายจนเกินจริง แต่ถ้าเราได้ทำงานกับท่านไปนานๆ จะรู้ว่าท่านเป็นคนไง ไม่ดุหรอก ใจดีจะตาย เฉพาะคนที่ทำให้ท่านหงุดหงิดเท่านั้นแหละถึงจะโดนดี”

พี่นนทรีเหมือนจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ก็เลยพูดยิ้มๆกับผม ใช่สิ ก็พี่นนทรี ได้รับสิ่งดีๆจากท่านประธานนี่ ก็พูดได้ ต้องเข้าข้างเจ้านายตัวเองอยู่แล้ว แต่ดูสิ่งที่เขาทำกับผมสิ มันไม่ใช่พฤติกรรมของเจ้านายที่แสนดีเลย

“คุณนนทรี เด็กใหม่ที่จะย้ายมาจากฝ่ายการตลาด ขึ้นมาแล้วหรือยัง”

เสียงห้วนๆดังขึ้นจากโทรศัพท์ภายใน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเสียงใคร การที่เขาเอ่ยถึงผม ทำให้รู้สึกขนลุกยังไงไม่รู้

“มาแล้วค่ะคุณเคลวิน จะให้เข้าไปพบเลยไหมคะ”

“บอกเขาให้เข้ามาพบผมด่วนเลย ที่เพนท์เฮ้าส์ชั้นบนน่ะ บอกเขาด้วยให้รีบมาภายใน 5 นาทีนี้ ผมรอเขานานมากแล้ว”

“ค่ะ ได้ค่ะ”

“ถ้าช้ากว่านี้มีเรื่องแน่”

tae

  • บุคคลทั่วไป
อะไรกัน น้ำเสียงหงุดหงิดนั่น นี่เขาโมโหผมหรือไง แถมยังบอกด้วยว่าเขารอผมนานแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แต่เอ๊ะ จำได้แล้วตอนที่เขาลงไปข้างล่าง เขาบอกให้ผมรีบมาหาพี่นนทรี แล้วขึ้นไปหาเขานี่ ซวยเลย ผมดันลืมเสียสนิทเลย สงสัยเขาคงโมโหที่ผมล่าช้า คงนึกว่าผมเถลไถลแน่ เริ่มงานวันแรกก็จะโดนดุเสียแล้วหรือนี่

“ได้ยินแล้วใช่ไหม รีบขึ้นไปเลย ที่เพนท์เฮ้าส์ของท่านประธาน ขึ้นลิฟท์ไปเลยเดี๋ยวไม่ทัน ห่างจากนี้ไปสองชั้น ชั้นที่เจอชั้นแรก เป็นพวกชั้นออกกำลังกาย และสระว่ายน้ำ สโมสรของท่านไม่ต้องเข้าไปนะ ให้ไปอีกชั้น แล้วก็ไปทางด้านขวาของลิฟท์ อย่าเผลอเข้าไปด้านซ้ายล่ะ ที่นั่นน่ะเขตหวงห้าม เพราะเป็นโซนพักผ่อนของท่าน ท่านมีห้องนอนอยู่ซีกนั้น เดี๋ยวจะโดนดุเอา”

แน่นอน ผมไม่มีวันย่างกรายไปทางตึกปีกซ้ายนั่นหรอก เรื่องที่ได้รับรู้เมื่อเช้าตรู่ของวันนี้ เป็นเรื่องที่ทำให้ผมช๊อคอยู่ไม่หาย ผมจะไม่มีวันทำให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยอีกแล้ว ท่านประธานจะไม่มีวันได้แตะต้องตัวผมเด็ดขาด

“มัวแต่ทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมาช้าแบบนี้ เวลาที่ผู้ใหญ่นัดก็ควรจะรีบสิ ไม่ใช่เอ้อระเหยลอยชาย ทำงานสายตั้งแต่วันแรกแบบนี้ จะวางใจกันได้อย่างไร”

ทันทีที่ผมโผล่หน้าเข้าไป เสียงที่บ่งบอกถึงความหงุดหงิดของท่านประธานก็ดังขึ้น ผมยังไม่ทันได้นั่งลงด้วยซ้ำ เขาก็เปิดฉากต่อว่า ทำให้ผมซึ่งกำลังกังวลใจอยู่ เพิ่มความกลัวเข้าไปอีก

“ขอโทษครับ”

รีบรับผิดก่อนดีกว่า เถียงไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ท่าทางเขาจะโมโหเอามากๆด้วย พอเห็นผมไม่โต้ตอบ แต่ก้มหน้ารับคำด่า เขาก็นิ่งเงียบ จากนั้นก็ชี้ไปที่โซฟาแล้วบอกให้ผมไปที่ตรงนั้น ผมเดินไปนั่งตามคำสั่งของเขา

“ท่านประธานเรียกผมขึ้นมานี่ มีอะไรจะเรียกใช้ผมหรือเปล่า”

ถามไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่กล้าสบตาเขา ทีแรกตั้งใจว่าจะทำท่าแข็งๆใส่ เพราะไม่พอใจที่เขาทำกับผมเมื่อวาน แต่เวลาที่เจอหน้าเขาแบบนี้ ทำไมถึงกลัวนักกลัวหนาก็ไม่รู้ หรือเป็นเพราะกิตติศัพท์ความร้ายกาจเกี่ยวกับตัวเขาที่ได้ยินได้ฟังมาตลอด 6 เดือน มันฝังหัวทำให้ผมกลัวว่าจะทำอะไรไม่ถูกใจเขา แล้วจะโดนไล่ออกเหมือนคนอื่น

“ไม่มีอะไรจะเรียกใช้ แค่จะเรียกมาพูดคุยเกี่ยวกับกติกามารยาทในการทำงานกับผมที่นี่ พร้อมจะฟังหรือยัง ผมจะพูดครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีการพูดซ้ำอีก”

“ครับ”

“ครับอะไร ไหนล่ะที่เรียกว่าพร้อม”

อะไรกันอีกล่ะ ผมก็พร้อมที่จะฟังแล้วนี่ ไม่ได้สนใจในเรื่องอื่นด้วย อยากพูดอะไรก็พูดออกมา มัวแต่ทำหน้าบึ้งตึงไม่พอใจอยู่ได้

“เอ่อ ผมไม่รู้ว่าท่านหมายถึงอะไร แต่ผมก็พร้อมอยู่แล้วนี่ครับ”

tae

  • บุคคลทั่วไป
“คุณเคน แค่นี้คุณก็สอบไม่ผ่านการเป็นพนักงานตั้งแต่แรกแล้ว คุณบอกว่าคุณพร้อมจะฟังสิ่งที่ผมพูด แล้วไหนล่ะ ปากกา สมุดสำหรับจด ฟังเฉยๆมันจะจำได้เหรอ”

จริงสิ ผมนี่มันซื่อบื้อเสียจริง การเป็นผู้ช่วยเลขา ต้องรับฟังคำสั่งของเจ้านาย แล้วนำไปปฏิบัติ ข้อมูลต้องชัดเจนพลาดไม่ได้ แต่แค่นี้ ผมก็หลงลืมเสียแล้ว ก็สมควรที่จะให้เขาด่า ผมรีบเปิดกระเป๋าเอกสารของตัวเอง ควานหาปากกากับสมุดจดมาถือ และทำท่าตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่เขาจะพูด ท่านประธานยังคงทำหน้าไม่พอใจผมอยู่

“ที่บริษัทนี้ งานเข้า 8 โมงเช้า แต่สำหรับคุณต้องมาที่นี่ตั้งแต่ 7.30 น. ห้ามสายเด็ดขาด”

ใจร้ายจัง ทำไมต้องให้มาทำงานแต่เช้าด้วยนะ บ้านผมก็อยู่ใกลจากสถานที่ทำงานเสียด้วย แบบนี้ไม่ต้องตาลีตาเหลือกตื่นกันแต่เช้ามืดเลยหรือ

“พอมาถึงบริษัทแล้ว ต้องเริ่มปฏิบัติงานทันที งานแรกที่คุณต้องทำในแต่ละวันคือนั่งศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท และงานในแต่ละฝ่าย เพราะบางที คุณอาจจะจำเป็นต้องตอบคำถามเหล่านี้ กับลูกค้าแทนผม ที่พูดนี่เข้าใจหรือเปล่า”

“ครับ เข้าใจครับ”

“งั้นก็ดีแล้ว หลังจากนั้น ตลอดช่วงบ่าย คุณจะต้องไปศึกษางานเกี่ยวกับการเป็นเลขา จากคุณนนทรี แล้วรีบเป็นให้เร็ว ผมให้เวลาคุณเรียนรู้งานเลขาแค่สามวัน หลังจากนั้นคุณต้องเริ่มทำหน้าที่ ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด”

สามวัน จะบ้าเหรอ งานเลขามีตั้งมากมาย จะให้ผมทำให้ได้ในเวลาจำกัด โหดร้ายเกินไปหน่อยแล้ว

“ทำหน้าแบบนั้น หมายความว่าไง ผมให้เวลาคุณน้อยไปหรือไง อย่าลืมสิ คุณมาทำงานที่นี่ได้ 6 เดือนแล้ว ยังเป็นแค่ลูกจ้างชั่วคราวอยู่เลย จะมาเป็นผู้ช่วยเลขาของท่านประธานบริษัท ก็ควรที่จะได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำ แต่ผมคงไม่สามารถเสนอชื่อคุณได้หรอกนะ หากคุณไม่มีความสามารถพอ จะสู้หรือจะถอดใจล่ะ จะลาออกแล้วก็ซมซานกลับบ้านนอกไปแบบไอ้ขี้แพ้ก็ได้นะ ผมไม่ห้ามอยู่แล้ว”

โหยยย ปากหรือนั่น ท่านประธานทำไมปากเสียแบบนี้ หื่นกามชอบล่วงเกินทางเพศลูกจ้าง แถมยังปากไม่ดีอีก พูดแบบนี้มันท้าทายกันชัดๆ ก็ได้ ผมจะทำให้เห็นว่าเด็กบ้านนอกอย่างผม ไม่ใช่คนขี้แพ้ เพื่อนพนักงานคนกรุง กับพวกเจ้านายฝรั่งดั้งขอ จะได้เห็นกันซักทีว่าผมไม่ใช่คนไร้ฝีมือ

“ครับ ผมจะทำพยายามเรียนรู้งาน และเป็นให้เร็วที่สุดตามที่ท่านประธานสั่งนะครับ”

“10 โมงเช้า กับ บ่ายสามเป็นเวลาที่ผมทานกาแฟ คุณต้องขึ้นมาที่นี่ เพื่อชงกาแฟให้ผม แล้วอย่าได้ริแกล้งกันโดยการชงกาแฟขมๆให้ทาน มิฉะนั้นจะโดนดี อยากรู้ว่าผมชอบรสชาติแบบไหน ไปศึกษาจากคุณนนทรี ถ้าชงไม่เป็นก็ไปเรียนจากเขาอีกเช่นกัน”

ร้ายกาจที่สุด ให้ผมชงกาแฟมาให้ ทั้งๆที่มีคนสามารถทำได้อยู่แล้วนี่นะ แกล้งกันหรือเปล่า

FlukeHub

  • บุคคลทั่วไป
เหอ  อ๊ากกกกส์!!~

ต่อครับ  ด่วยเลย

จะลงแดง

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
 :o รอบนี้มาแบบโหดอ่ะ

เคนจะรอดมั๊ยเนี่ย :kikkik: :kikkik:


ลุ้นกันต่อปายยย  :sad4: :sad4: :sad4:

tae

  • บุคคลทั่วไป
“ในแต่ละครั้งที่มีงานต้องไปติดต่อนอกบริษัท คุณต้องตามไปด้วยเสมอ และต้องอยู่ใกล้ๆผมเพื่อคอยจดบันทึกเรื่องต่างๆ ยกเว้นบางครั้งที่มันเป็นเรื่องลับเฉพาะจริงๆ ผมถึงจะไม่ให้คุณไป แต่นอกนั้นคุณต้องตามไปทุกที่”

อะไรกันอ่ะ ทำไมต้องตามเขาไปไหนตลอดเวลาด้วย ผมคิดว่าจะได้ทำงานในออฟฟิศไม่ต้องตามติดตัวเขาเสียอีก บอกตามตรง ไม่อยากอยู่ใกล้เขาเอาเสียเลย มันอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ถ้าต้องให้ติดสอยห้อยตามแบบที่เขาว่า ผมคงได้คลั่งตาย

“เลิกงาน 2 ทุ่มทุกวันจากนี้เป็นต้นไป”

“หา อะไรนะครับ”

“ได้ยินแล้วนี่ ผมบอกว่าจากนี้ไปให้คุณเลิกงาน 2 ทุ่ม”

“แต่ว่า งานเลิก สี่โมงครึ่งนะครับ”

นี่มันใช้แรงงานทาส หรือเปล่านี่ เข้างานเจ็ดโมงครึ่ง เลิกงาน 2 ทุ่มครึ่ง ทำงานวันละ 13 ชั่วโมง มันเกินไปหน่อยมั๊ง

“ใช่ นั่นคือเวลาทำงานปกติ แต่สำหรับคุณมันใช้ช่วงเวลาแบบคนอื่นเขาไม่ได้ คุณยังอยู่ในช่วงทดลองงานของผม คุณต้องทำงานตามแบบที่ผมสั่ง”

“ทดลองงาน ....เอ้อ .....แล้วท่านประธานครับ...มันจะกินเวลาเท่าไหร่อ่ะ”

“คุณประเมินกำลังความสามารถคุณไว้เท่าไหร่ล่ะ ในการที่จะเรียนรู้งานทุกอย่างที่นี่ 6 เดือน หรือ 1 ปี”

น้ำเสียงนั่น มันดูเยาะเย้ย ถากถางอย่างไรพิกล ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง ทำให้ผมเชิดหน้าขึ้น นี่เขากำลังดูถูกผมใช่ไหมเนี่ย คิดว่าผมไม่มีฝีมือเหมือนคนอื่นหรือไง ถ้าไม่เชื่อมั่นในตัวผมแล้วจะชวนมาร่วมงานด้วยเพื่ออะไร แล้วดูเวลาที่ให้มา สิ 6 เดือน หรือ 1 ปี พูดยังกับว่า ผมเรียนรู้ช้าอย่างนั้นแหละ ไม่มีทางหรอก ผมจะเป็นงานให้เร็วกว่านั้น ผมจะได้ไม่ต้องเข้างานวันละ 13 ชั่วโมงไปจนตลอด ถ้างั้นมันควรจะเป็นเท่าไหร่ ดีล่ะ

“ 1 เดือน”

ผมได้ยินเสียงตัวเองพูดออกไป เบามาก ดุจเสียงกระซิบ เหมือนดูไม่มั่นใจยังไงไม่รู้
“พูดดังๆสิ เป็นลูกผู้ชายไม่ใช่เหรอ กล้าพูดกล้าทำสิ”

“1 เดือนครับ”

อยากฟังดังๆนักใช่ไหม แค่นี้พอหรือยังล่ะ ผมนึกในใจ หลังจากที่พูดซะดังลั่นห้อง คนตรงหน้าผมยิ้มอย่างพึงใจ

tae

  • บุคคลทั่วไป

--------------------------------------------------------------------------------
 
“แน่ใจนะว่าทำได้ พูดอะไรไว้ก็ต้องปฏิบัติตามนั้น คุณไม่ได้พูดลอยๆ แต่คุณกำลังพูดกับประธานบริษัท ซึ่งเป็นหัวหน้าของคุณโดยตรง สามารถชี้เป็นชี้ตายคุณได้ อย่าเหลาะแหละเหลวไหล ถ้าคุณทำได้จริงตามที่ปากพูด ผมจะบรรจุคุณเป็นพนักงานประจำทันที หลังจากสิ้นสุดทดลองงาน คุณจะได้เงินเดือน ได้โบนัส ได้สวัสดิการค่ารักษาพยาบาลฟรี มีประกันสังคม และประกันอุบัติเหตุให้ ลาพักร้อนได้ ลากิจลาป่วยได้เหมือนคนอื่นๆ แต่ผมขอให้คุณระมัดระวังไว้อย่างหนึ่งก็คือ ผมเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ถ้าทำไม่ถูกต้อง ผมฟันไม่เลี้ยง งานผิดพลาดได้ แต่อย่าให้บ่อยจนกลายเป็นคนไร้ความสามารถ ทำงานให้เกินเงินเดือนที่ให้ ให้เหนือความคาดหมายของนายจ้าง อย่าให้เขามีความรู้สึกว่ามีคุณหรือไม่ ก็ไม่มีความหมาย รับปากอะไรไว้ ก็ต้องทำให้ได้ นี่คือสิ่งที่ผมอยากเห็นจากคุณ ทำได้ไหม”

คิ้วเข้มของเขาเลิกขึ้นสูงขณะตั้งคำถามเอากับผม ตาของเขาคมกริบ เหมือนกับจะบาดผมไปทั่วตัว ผมสบตากับเขา แล้วพยักหน้า เลือดนักสู้ในกายผมฉีดพล่าน ถ้าท้าทายกันแบบนี้ ผมก็จะลองสู้กันสักตั้ง ให้เขาได้รู้ว่า ผมไม่ได้เหลาะแหละเหลวไหลเหมือนที่ใครๆเขาคิดกัน และท่านประธานตัวดี จะต้องให้ความชื่นชม ยอมรับในตัวผม

“รับทราบ และจะปฏิบัติตามครับ”

เขายิ้มให้ผมอย่างพึงพอใจ เป็นรอยยิ้มแรกที่ดูเป็นมิตรจากเขา หลังจากที่ทำหน้าดุดัน และพูดห้วนๆใส่ผมเกือบครึ่งชั่วโมง

“คุณได้ค่าจ้างวันละ เท่าไหร่ ตอนเป็นลูกจ้างชั่วคราว”

“วันละ 250 บาทครับ”

“ที่จริงก็ไม่เลวนะถ้าคิดเฉลี่ยต่อวันตามอัตราจ้างงานทั่วไป แต่ก็ยังนับว่าน้อยอยู่ดี หากไม่ทำโอที หรือมาทำงานเสาร์อาทิตย์ ก็คงจะมีรายได้เดือนละไม่ถึงหมื่นละสิ เอางี้ คุณรับเงินค่าจ้างแบบนี้ไปก่อน เพราะผมไม่อยากจะไปแทรกแซงเปลี่ยนกฎระเบียบบริษัท เมื่อไหร่ที่คุณผ่านการทดลองงาน ผมจะปรับเงินเดือนให้คุณเป็นเดือนละ 20000 บาท นี่เกินกว่าพนักงานเข้าใหม่จะได้รับ แต่เนื่องจากคุณไม่ใช่พนักงานใหม่ ทำงานมาแล้วถึง 6 เดือน ผมจึงสามารถขอเงินเดือนเท่านี้ให้กับคุณได้ แต่คุณต้องทำให้ผมเห็นนะ ว่าคุณสมควรจะได้มัน ผมจะได้ไม่ต้องหน้าแตกที่แบกหน้าไปการันตีความสามารถของคุณ พอถึงสิ้นปี ค่อยมาดูกันอีกที ว่าสมควรปรับเลื่อนให้คุณอีกหรือเปล่า ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ คุณสงสัยอะไรไหม อยากถามอะไรหรือเปล่า”

ประโยคสุดท้ายเขาหันมาถามผม

“ไม่มีครับ”

ตอบไปตามนั้น เพราะสิ่งที่เขาพูดมันกระจ่างชัดทุกอย่างแล้ว และผมกำลังมึนงง กับสิ่งที่ได้ยิน เงินเดือน 20000 เหรอ มันเป็นอะไรที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ถ้าได้เงินเดือนเท่านี้ คนที่รอคอยผมอยู่ทางบ้าน ก็จะมีความเป็นอยู่ดีขึ้น น้องสาวคงได้เรียนจนจบ พ่อแม่คงได้กินจนอิ่ม ถ้าผมเก็บเงินได้มากพอ คงจะสามารถสร้างบ้านให้พ่อแม่ และเหลือไว้แต่งสาวได้อีก จะว่าไป ก็ไม่เลวเลยที่ทำงานกับท่านประธานคนนี้ ถึงแม้เขาจะพูดจาดุดัน แต่เขาก็ยุติธรรมดี

“เอาล่ะนอนลงสิ”

tae

  • บุคคลทั่วไป
เสียงดุดันนั่นทำเอาผมเด้งตัวลุกขึ้นมาจากโซฟา อะไรกัน ท่านประธานจะมาหื่นอะไรตอนนี้ นี่มันในที่ทำงานนะ แล้วท่านมีสิทธิ์อะไรจะมาทำแบบนี้กับผม ผมเป็นลูกจ้างก็จริง แต่ไม่ใช่ว่านายจ้างจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ หรือว่านี่มันเป็นข้อแลกเปลี่ยนสำหรับงานใหม่ที่เขาให้โอกาสผม ถ้าต้องตอบแทนกันโดยวิธีนี้ ผมก็เห็นจะขอลา

“เอ้อ ท่านจะทำอะไรหรือครับ”

“บอกให้นอนลงบนโซฟานั่นก็นอนสิ ไม่ได้ยินหรือไง”

“ไม่ครับ จนกว่าผมจะรู้เหตุผลว่าทำไมต้องนอนด้วย”

“ขัดคำสั่งหรือไง บอกอะไรก็เชื่อกันบ้าง ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า และถึงคุณคิดจะทำ ผมก็ไม่ยอมหรอก อย่าพูดมากเลย นอนคว่ำลง อ้อ แล้วถอดกางเกงให้เห็นก้นด้วย”

บ้ากันไปใหญ่แล้ว คำสั่งอะไรนี่ ไม่เห็นจะต้องทำตามเลย ผมทำท่าจะเดินหนี แต่เขาเรียกผมไว้ด้วยเสียงอันดัง ทำให้ผมต้องหยุดชะงัก

“กลัวหรือไง คุณคิดว่าผมจะทำอะไรกับคุณงั้นหรือ คิดว่าประธานอย่างผมไม่มีศักดิ์ศรีพอถึงกับจะลวนลามลูกน้องในที่ทำงานหรือไง”

แล้วไม่ใช่หรือไงล่ะ ผมเถียงในใจ แต่อะไรบางอย่างไม่รู้ในน้ำเสียงของเขา มันบอกให้รู้ว่าเขาไม่คิดจะทำอะไรผมจริง เอาเถอะ เปิดก้นให้ท่านประธานดูสักหน่อย ก็คงไม่เป็นอะไรมั๊ง ถึงไง เขาก็เห็นร่างกายของผมไปหมดแล้ว มันจะได้จบกันเสียที คิดได้ดังนั้น ผมก็ปลดเข็มขัดออก แล้วขึ้นไปนอนคว่ำหน้าบนโซฟา จากนั้นก็ถลกกางเกงลงไปจนพ้นก้น หันหน้าหนีมาอีกทาง ไม่อยากมองหน้าเขา

มือนุ่มๆของท่านประธาน แตะที่สะโพกของผม จากนั้นอะไรบางอย่างเหนียวๆลื่นก็ถูกนำมาทาตรงร่องก้นของผม เกือบจะนึกว่าเป็นเจลหล่อลื่นสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ทางประตูหลังเสียแล้ว ถ้าไม่ได้ยินเสียงนุ่มๆดังขึ้น

“ทายานี้แล้ว ก็คงจะค่อยยังชั่วแล้วล่ะ จะได้นั่งทำงานสะดวกๆ เอาล่ะ ลุกขึ้นแต่งตัวแล้วไปทำงานได้แล้ว”

ท่านประธานทายาแก้อักเสบให้กับผม จริงสินะ เมื่อคืนนี้ผมถูกเขาบุกรุกเข้ามาเป็นครั้งแรก จำได้ว่าตื่นขึ้นมารู้สึกเจ็บแสบระบมไปหมด แม้กระทั่งตอนนั่งทำงาน เดินเหินก็ยังปวดๆ แต่เพราะมีสิ่งวุ่นวายเข้ามาตลอด เลยทำให้ผมลืมมันไป พอเขามาพูดและทายารักษาบาดแผลให้ผมแบบนี้ ก็ดูเหมือนความเจ็บปวดจะกลับคืนมา

ผมกล่าวขอบคุณท่านประธาน แล้วรีบนุ่งกางเกง ก่อนจะออกจากห้องเขาไป ความรู้สึกตอนเข้ามา กับตอนออกไปต่างกันโดยสิ้นเชิง ความนุ่มนวลที่เขาแสดงต่อผม ทำให้ผมรู้สึกดีกับเขาขึ้นมานิดหนึ่ง
_________________

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
 :call: ต่อไวไวนะรออยู่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด