My wife is a big boss เรื่องโดน katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My wife is a big boss เรื่องโดน katesnk  (อ่าน 161686 ครั้ง)

katesnk

  • บุคคลทั่วไป
การเมืองดุเดือดขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงทำให้เรย์รมณ์ขึ้น

ว่าจะลางานมั่งสักเดือนจาได้ป่าวหว่า  :m17:

************************************************
เมนท์นิยายต่อ

เรื่องนี้พี่เคทต้องเขียนสลับคนแน่เรย ท่านประทานน่าจะเปงซะมีมากกว่านะ

นานเคนหน่ะเปงภรรยา  :a2:  :a2:

 :angry2: อ๊า....เข้ามาอ่านพอดี แอบนินทาเรา  :m14: :m14: :m14:
เอียงหูมาค่ะ จะบอกเหตุผล  :m26: ก็เดี๋ยวนี้ เกย์มีหลายแบบนี่นา บางทีหล่อล่ำ แต่สาวแตก และอยากเป็นฝ่ายทำก็มี
นี่นา   :m21: แล้วก็ยังคงอยากเป็นภรรยาด้วย มันน่ารักดีนะ ว่าไหม อะคริ อะคริ :m1: :m1:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หุหุ มีลางบอกเหตุว่านายเคนอาจจะต้องย้ายที่อยู่เร็ว ๆ ไม่เช่นนั้น ของจะเต็มห้อง ไม่มีที่เดิน  :a1:  :a1:  :a1:

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
เหอเหอ ช่วงเวลาปกปิดความจริง  :m21: :m21:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
โลกเรานี่สับสนเจงๆ บางทีมองไม่ออกเลยใครจะเป็นแบบไหน
 :a3: :a3: :a3:
*********************
บทที่ 13 พยาบาลหนุ่มจอมวุ่น

ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยอาการมึนตึบ ปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดจากเป็นไข้ หรือเพราะว่ามีคนตัวใหญ่มานอนกอดจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้กันแน่

ผมพยายามขยับตัวออกจากอ้อมแขนของเขา ทว่าในยามหลับสนิทแบบนี้ เคลวินก็ยังคงแข็งแรงมากจนผมไม่สามารถจะดิ้นออกไปจากตัวเขาได้

ผมเหลือบดูนาฬิกาปลุกที่หัวเตียง มันเป็นเวลา 7 โมงเช้าแล้ว ตามปกติเคลวินจะตื่นเร็วกว่านี้ เพราะเขาต้องกลับบ้านเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดทำงาน แต่วันนี้เขายังไม่ตื่นขึ้นมาเลย เดี๋ยวได้ไปทำงานสายแน่ๆ

ตามปกติ เคลวินจะรักษาภาพพจน์ของตัวเอง เขาเป็นเจ้าของบริษัทที่ไปทำงานแต่เช้า เนื่องจากเขามีบริษัทในเครือมากมาย ทำให้ต้องรีบไปเพื่อที่จะคอยเซ็นต์เอกสาร ประชุม รับฟังรายงาน บางครั้งก็ต้องออกไปเยี่ยมบริษัทในเครือ และพบปะลูกค้าอีกด้วย

เขาเป็นคนตั้งกฏระเบียบให้พนักงานปฏิบัติงาน ดังนั้น เขาจึงต้องทำให้ทุกคนดูเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่ผมได้ร่วมงานกับเขา ผมก็เฝ้าชื่นชมเจ้านายหนุ่มคนนี้

ถึงแม้เขาจะเข้มงวดกวดขันกับลูกน้องในเรื่องการทำงาน โดยเฉพาะกับผม แต่ทุกอย่างที่ท่านประธานคนนี้ตัดสินใจ ล้วนแล้วแต่ไม่เคยเกิดความผิดพลาด

ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ทำให้บริษัทที่เขาดูแลเติบโตก้าวหน้าและขยายกิจการใหญ่ขึ้น ผมต้องอ่านรายงานผลประกอบการของบริษัทตามคำสั่ง จึงทำให้ผมได้รู้ว่าเขาเป็นนักบริหารหนุ่มที่มีฝีมือพอตัว

“เคลวินครับ ตื่นได้แล้ว สายแล้วนะ กลับบ้านได้แล้วครับ เดี๋ยวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไปทำงานไม่ทันนะ”

ผมเขย่าตัวเขาเบาๆ เมื่อเขาปรือตาขึ้นมา ผมจึงบอกเขาด้วยความเป็นห่วง เคลวินยิ้มให้ผม แต่ยังไม่ยอมลุกขึ้น กลับโน้มคอผมไปจูบปาก เนิ่นนานทีเดียวกว่าเขาจะยอมถอนตัวออก จนผมเกรงว่าเขาจะติดไข้หวัดไปจากผม

“ทำอย่างนี้เดี๋ยวจะไม่สบายนะครับ”

บอกเขาด้วยความเป็นห่วง เคลวินทำท่าซึ้งเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด เขากอดผมแน่น แล้วเอาจมูกของเขามาถูไถที่จมูกผม

“ไม่กลัวหรอก ถ้าป่วยก็ป่วยด้วยกันนี่แหละ จะได้ผลัดกันดูแล”

“ไม่ได้นะ คุณเป็นประธานบริษัท ถ้าป่วยไป แล้วใครจะมาดูแลทุกอย่างแทนล่ะ คุณต้องแข็งแรง สุขภาพดีนะครับ”

“เฮ้อ เบื่อจัง หัวโขนอันนี้ บางทีผมก็อยากเป็นคนธรรมดา ที่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของผมได้บ้าง

ผมอยากอยู่กับสามีของผม ตอนที่คุณป่วยแบบนี้ ผมไม่อยากจากไปไหนเลย อยากดูแลคุณ เผื่อว่าคุณต้องการอะไร ผมจะได้ช่วยหยิบช่วยทำให้”


--------------------




 คำพูดนั้นของเขาทำให้ผมรู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เคลวินบอกว่าผมเป็นคนในครอบครัวของเขา และเขาอยากจะดูแลผมในยามป่วยไข้

มันทำให้ผมนึกถึงชีวิตการแต่งงานขึ้นมาทันที อยากมีใครสักคนที่เราจะอยู่ด้วยกันไปตลอด ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน อยู่เคียงข้างกัน หากเคลวินเป็นผู้หญิง เขาคงจะเป็นคนๆนั้นของผมได้ โดยที่ผมไม่ต้องลังเลใจสักนิด

“ลางานดีไหมน๊า ผมจะได้อยู่ดูแลคุณทั้งวัน”

เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินประโยคนี้จากปากเขา ประธานเคลวินผู้เอางานเอาการ ผู้ที่ปฏิบัติตัวตามกฏกติกาทุกอย่าง กลับจะมาละเมิดสิ่งที่ตัวเองวางไว้เสียเองเพื่อผม แม้จะรู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ผมก็ไม่อาจจะเห็นแก่ตัวได้

“ไม่นะครับ อย่าทำอย่างนั้นนะ ผมจะไม่สบายใจเลย หากว่าคุณต้องเสียงานเสียการเพราะผม อย่าลืมสิครับ ว่าเคลวินเป็นเจ้านายนะ หากใครเขารู้เรื่องนี้เข้า คุณจะเสื่อมเสียเอาได้”

“โถ เคนเป็นห่วงผมด้วยหรือครับ น่ารักจริงๆ สุดที่รักของผม”

เคลวินอุทาน พลางจูบที่ปากผมอีกครั้ง คราวนี้กว่าที่เขาจะถอนริมฝีปากออกก็เนิ่นนานมากกว่าครั้งแรก จนผมแทบหายใจไม่ออก

“ก็ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมจะไปทำกับข้าวให้คุณทานก่อนนะ”

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมหากินแถวนี้ก็ได้ เคลวินรีบไปเถอะ เดี๋ยวมันจะสายนะ”

ท่านประธานเอื้อมมือมาแตะศีรษะผม

“เคนยังตัวร้อนอยู่เลย ลุกไปทำไม่ไหวหรอก อย่าฝืนตัวเองเลย ให้ผมทำเองดีกว่านะ”

“แต่คุณจะไปทำงานไม่ทันนะครับ”

“ไม่ต้องห่วงนะครับที่รัก เดี๋ยวผมไปอาบน้ำที่ทำงานเลยก็ได้ ที่ตึกที่ทำงานมีเพนท์เฮ้าส์ของผมอยู่ชั้นบน จำไม่ได้เหรอครับ ผมสามารถแต่งตัวจากที่นั่นได้เลย ใช้เวลาไม่นานก็ลงมาทำงานได้แล้ว ไม่สายมากหรอก”

จริงสินะ ผมลืมไปสนิทใจ นอกเหนือจากบ้านพักสุดหรูของเขาแล้ว ประธานเคลวินยังมีห้องพักที่ตึกทำงานของตัวเองอีก พี่นนนี่เล่าให้ฟังว่า บางครั้งท่านประธานทำงานดึกๆ ก็จะพักที่นี่ เพื่อสะดวกในการไปกลับ และสามารถเข้างานได้แต่เช้า

“งั้นไม่ต้องทำมากหรอกนะครับ เอาอะไรง่ายๆก็พอนะ คุณจะได้ไม่เสียเวลานะครับ”

ผมบอกเขาด้วยความห่วงใย เคลวินยิ้มกริ่ม จูบผมที่หน้าผากอีกครั้งก่อนที่จะกระวีกระวาดลุกไปทำครัว ผมยิ้มให้กับตัวเอง รู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก ไม่น่าเชื่อเลยว่าสิ่งที่เคลวินทำ จะก่อให้เกิดความรู้สึกดีๆกับผมได้ถึงเพียงนี้

ในเวลาไม่นานนัก เคลวินก็กลับเข้าห้องมาพร้อมด้วยถ้วยข้าวต้มกุ้งร้อนๆควันฉุย อาหารง่ายๆที่เคลวินเริ่มที่จะทำเป็นแล้ว ถึงแม้ว่าลิ้นผมจะไม่ค่อยรับรสเท่าไหร่ แต่ก็ยังพอจะบอกได้ว่าเขาทำอร่อยมาก

เคลวินไม่ได้รีบไปทำงานเหมือนเคย แต่กลับนังมองผมทานอาหารที่เขาทำ สายตาที่มองมาเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ผมไม่อยากให้เขาเสียใจเลยพยายามทานข้าวต้มจนหมด


--------------------



 “เก่งจังครับ ทานหมดเลย เดี๋ยวทานยาหน่อยนะครับ จะได้หาย”

เคลวินยื่นยาและแก้วน้ำให้ผม และรอดูจนกระทั่งเห็นผมทานยาเรียบร้อยแล้ว เขาถึงรับแก้วไปเก็บ จากนั้นก็เดินมาหาผมที่เตียงนอน แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมให้

“พักผ่อนเยอะนะครับ ไม่ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรนะ เดี๋ยวตอนกลางวัน ผมจะให้คนเอาข้าวมาให้ทาน และช่วยดูแลคุณกว่าผมจะมานะครับ”

“ไม่ต้องลำบากถึงขนาดนั้นก็ได้ครับ เที่ยงๆบ่ายๆก็น่าจะหายแล้วนะครับ”

อยากให้เขาสบายใจ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับตัวผม ที่จริงเขาไม่ต้องลำบากหาคนมาดูแลผมก็ได้ ผมคงไม่เป็นอะไรไปง่ายๆหรอก

“อย่าคิดมากเลยนะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะรู้สึกแย่กว่านี้นะ ที่จริงสามีไม่สบายอย่างนี้ ภรรยาที่ดีไม่ควรทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว เกิดคุณป่วยหนักขึ้นมาจะว่าไงล่ะ

อย่าห้ามผมเลยนะครับ ที่ผมจะหาคนมาช่วยดูแลคุณ ไม่อย่างนั้นผมคงทำงานไม่ไหวแน่ เพราะจะเอาแต่คอยห่วงเคนตลอดเวลา หากมีคนอยู่ด้วย เขาจะได้ช่วยทำโน่นทำนี่ให้เคน แล้วคอยดูให้คุณทานยาด้วย”

เมื่อได้ฟังเหตุผลและเห็นหน้าตาวิงวอนของเขาแล้ว ผมก็อดใจอ่อนไม่ได้ พร้อมกับรู้สึกดีกับเคลวินมากขึ้น ความห่วงใยที่เขามีต่อผมเริ่มกัดกร่อนกำแพงหัวใจที่ผมตั้งไว้กันเขาทีละน้อย

“ก็ได้ครับ แต่เคลวินต้องรีบกลับมานะ”

ในความหมายของผมคือ ไม่ต้องการรบกวนคนเฝ้าไข้ที่เขาจะส่งมาดูแล ถ้าเคลวินกลับบ้านเร็ว คนๆนั้นจะได้ไม่ต้องมาดูแลผมนาน แต่เคลวินกลับเข้าใจไปอีกทาง เขายิ้มหวานใส่ตาผม พร่ำถามคาดคั้นเหมือนเด็กที่จะเอาคำตอบจากผู้ใหญ่ให้ได้

“เคนคิดถึงผมหรือครับ อยากให้ผมกลับมาหาไวไวใช่ไหม ทนห่างจากผมไม่ได้สักวินาทีใช่หรือเปล่าครับ อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีผมใช่ไหม”

“คิดไปได้เรื่อยๆเลยนะครับ เข้าข้างตัวเองก็เป็น”

อดเหน็บเขาไม่ได้ เคลวินทำหน้าทะเล้น เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดของผม

“ก็แหม เราเป็นสามีภรรยากันนี่ครับ ผมเองก็รู้สึกแบบนั้น แล้วก็คิดว่าคุณเองก็ต้องรู้สึกเช่นเดียวกันกับผม ใช่ไหมครับ แต่เคนขี้อาย แถมซ้ำยังปากแข็งอีกด้วย คงไม่กล้าบอกความจริงออกมา แต่ไม่เป็นไรนะครับ ผมรอได้นะ”

ท้ายประโยคเขาพูดออดอ้อนเอากับผม หูตาวาววาม ผมชักผ้าห่มขึ้นคลุมโปงทันทีที่เขาพูดจบ หนีหน้าตาทะเล้น และสายตาหวานฉ่ำนั่น แอบยิ้มขำเขา เวลาเคลวินทำท่าอ้อนๆน่ารักดีไม่หยอก ดูดีกว่าตอนทำท่าเคร่งเครียดเยอะเลย

“แหม เคนล่ะก็ ไม่ต้องอายนะครับ ถ้ารักผมก็เปิดใจให้ผมนะ”

เสียงของท่านประธานสุดหล่อยังดังลอดผ้าห่มเข้ามาให้ผมได้ยินอีก

“ไปทำงานได้แล้วคร้าบ”


--------------------




 ผมพูดเสียงดังอยู่ในโปงนั่น เขาทำเสียงง๊องแง๊งใส่

“ใจร้าย ไล่กันแล้วเหรอ”

“เปล่าครับ ก็มันสายแล้ว เดี๋ยวไปทำงานไม่ทันนะ”

ผมลดผ้าห่มลง แล้วพูดเตือนเขาดีๆ

“งั้นขอจูบเป็นกำลังใจหน่อยได้ไหมครับ”

“ผมเป็นหวัดอยู่นะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ผมแข็งแรง ไม่ติดโรคง่ายๆหรอก”

เคลวินยังดื้อดึง ในที่สุดก็ปล้ำจูบผมจนสำเร็จ เขามองผมอย่างอ่อยอิ่งก่อนจะไป จนผมต้องไล่ซ้ำ เขาถึงจะยอมลุกจากเตียงของผม พอได้ยินเสียงรถของเขาแล่นจากไป ผมก็ปิดเปลือกตาลง และหลับไปด้วยฤทธิ์ยา มาตื่นอีกที เมื่อได้ยินเสียงเคาะห้องติดๆกันหลายครั้ง ผมเดินไปเปิดประตู ก็พบผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่งถือข้าวของพะรุงพะรังยืนอยู่หน้าห้อง

ทันทีที่เห็นหน้าผม เธอก็แนะนำตัวว่าเธอชื่อ ป้าหมี่ เป็นคนที่เคลวินส่งมาดูแลผมตลอดบ่ายนี้ ผมลอบสังเกตคนตรงหน้า อายุอานามของเธอน่าจะประมาณ 60 ปีเห็นจะได้ แต่ท่าทางยังกระฉับกระเฉง

พอผมอนุญาตให้ป้าหมี่เข้ามาได้ เธอก็กุลีกุจอพาผมไปนอนบนเตียง แล้วบอกว่าจะจัดการทุกอย่างให้ พอผมจะลุกไปช่วยเธอ ป้าหมี่ก็ทำเสียงดุใส่ผมบอกให้ไปนอนไม่ต้องมายุ่งเรื่องในครัว เดี๋ยวเธอจัดการเอง ผมเลยต้องยอมให้เธอลงมือทำตามที่ต้องการ

สักพักหนึ่งขณะที่นอนอยู่บนเตียง ฟังเสียงกระทะและตะหลิวกระทบกันอยู่ตรงส่วนที่ผมกันเป็นครัวอันน้อยนิดของผม เสียงโทรศัพท์มือถือจากที่ไหนสักแห่งก็ดังขึ้นมา

ผมเหลียวหาต้นเสียง ก็พบมือถือขนาดใหญ่หน้าตาแปลกๆ อยู่ในแท่นชาร์ตแบตตรงปลั๊กไฟใกล้ๆกับเตียงนอนของผม นึกสงสัยว่าเคลวินคงจะรีบร้อนไปทำงานเลยลืมหยิบไป เขาคงหาไม่เจอเลยพยายามโทรเข้าเครื่องตัวเอง

ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ออกมาจากแท่นชาร์ต มองหาปุ่มกดรับจนเจอ และกรอกเสียงลงไป เป็นเคลวินจริงๆด้วย เขาส่งเสียงมาอย่างฉุนๆ

“ทำอะไรอยู่ ถึงได้รับช้าล่ะครับ”

“ไปเปิดประตูรับป้าหมี่ครับ”

ตอบเขาไปอย่างใจเย็น รู้ดีว่าที่เขาโมโห เพราะเขาเป็นห่วงผม

“อ้าว เหรอครับ ผมเป็นห่วงแทบแย่ นึกว่าที่คุณไม่รับ เป็นเพราะคุณเป็นลมเป็นแล้งไปเสียอีก ป้าหมี่มาก็ดีแล้ว เขาทำอะไรให้เคนทานหรือยังล่ะครับ”

“กำลังทำอยู่ครับ”

“ถ้างั้นก็โล่งอกไปหน่อย ป้าหมี่ทำอาหารอร่อยนะครับ รับรองได้”

“ทำไมถึงส่งป้าหมี่มาล่ะครับ สงสารแกนะ อายุก็มากแล้ว คุณยังจะให้แกมาดูแลผมอีก”

ผมถามด้วยความสงสัย


--------------------





 “นี่อย่าไปพูดเรื่องความแก่ให้แกได้ยินนะ ถูกโกรธเอาไม่รู้ด้วย แกไม่ยอมรับความจริงหรอก อีกอย่างแกแข็งแรงดี ป้าหมี่เป็นคนที่ผมไว้ใจที่สุดครับ แล้วแกก็ดูแลคนดีครับ”

เคลวินไขข้อข้องใจให้ฟัง

“เป็นคนเก่าคนแก่หรือครับ”

“อื้ม เป็นแม่นมของผมน่ะ เลี้ยงผมมาตั้งแต่ยังเด็กเลย ถึงผมโตแล้ว ทางบ้านก็ยังจ้างแกอยู่ แกก็คอยดูแลผมครับ แกรักผมมาก ผมก็รักแก ผมเลยส่งแกมาดูคนที่ผมรักมากที่สุดด้วย แกต้องดูแลเคนดีแน่ๆ แต่แกจะชอบดุนะครับ อย่าไปดื้อกับแกนะ”

ผมเต็มตื้นในหัวอก เมื่อฟังสิ่งที่เคลวินพูด นี่เขาห่วงใยผมมากมายถึงเพียงนี้เชียวเหรอ ทำไมต้องมาดีกับผมแบบนี้ด้วย ผมไม่อยากใจอ่อน ผมไม่อยากจะรักเกย์นะ ผมยังอยากจะแต่งงาน อยากมีครอบครัว อยากมีลูก ไม่อยากมีเมียเป็นผู้ชาย แล้วผมก็ไม่อยากเป็นฝ่ายถูกทำด้วย

ข้อสุดท้ายนั้นผมคิดอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก ครั้งแรกที่ผมโดนล่วงเกินโดยรู้ตัว ผมว่าผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่พอหลายครั้งเข้า ทำไมผมถึงยินยอมพร้อมใจร่วมไม้ร่วมมือกับเขาก็ไม่รู้

ไม่แสดงทีท่าจะขัดขืนเขาบ้างเลย ด้วยเหตุนี้หรือเปล่านะ ที่ทำให้เคลวินเข้าใจผิดคิดว่าผมมีใจให้กับเขา สงสัยต้องเร่งทำความเข้าใจกันใหม่เสียแล้ว

“ครับ เอ้อ เคลวินครับ คุณลืมโทรศัพท์นี่ไว้หรือเปล่า มันอยู่ในห้องนะครับ”

ผมเปลี่ยนเรื่อง โดยการพูดถึงโทรศัพท์ที่เขาลืมทิ้งไว้

“อ๋อ ครับ เอาไว้นั่นก่อนแล้วกัน ผมไม่ได้รีบใช้”

เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่ เล่นเอาผมถึงกับอึ้ง อุตส่าห์เป็นห่วงกลัวเขาจะเป็นกังวลว่ามันหายไปไหน แต่เขากลับทำเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญซะงั้น แหมเป็นคนรวยนี่มันดีอย่างนี้นี่เอง เขาคงจะมีมือถือหลายต่อหลายเครื่องสำหรับการใช้งาน หายไปก็คงไม่เดือดร้อนอะไรเท่าไหร่

“เคนเอาไว้ใช้เลยก็ได้ครับ”

“พูดอะไรอย่างนั้น ของของคุณ ผมไม่กล้าใช้หรอกครับ เอาเป็นว่าผมเก็บไว้ให้คุณในลิ้นชักตรงหัวเตียงแล้วกันนะครับ คุณกลับมาแล้วก็เปิดเอาไปได้เลย ผมไม่ได้ล็อคกุญแจไว้”

อยู่ๆเขาก็ยกมาให้ผมดื้อๆซะงั้น แต่ผมไม่เอาหรอก แล้วผมก็ไม่ชอบใจด้วยที่เขาไม่รู้คุณค่าของข้าวของที่ซื้อมา นึกอยากจะให้ใครก็ให้ ทำเหมือนว่าเงินไม่มีความหมาย

แล้วผมก็ไม่ใช่คนที่เขาจะต้องมาทุ่มเทอะไรให้ด้วย ดังนั้นผมจึงปฏิเสธเขาไปอย่างนุ่มนวล ท่าทางเขาคงจะไม่พอใจ เพราะผมได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังมาตามสาย แต่ผมไม่สนหรอก ผมไม่ชอบเอาของๆใคร แม้ว่าเขาจะให้ด้วยจิตเสน่หาก็ตาม

“งั้นก็ได้ครับ แล้วเคนอย่าลืมทานข้าวกับพักผ่อนให้เยอะๆนะ ทานยาด้วยจะได้หายไวๆ เรื่องงานไม่ต้องห่วงนะครับ ผมบอกนนนี่ไว้แล้วว่าคุณป่วย จะขอหยุดสักวันสองวัน เย็นนี้ผมจะรีบกลับมาหาคุณนะครับ”


--------------------





 เขาสั่งเสียก่อนจะวางหู ผมเปิดลิ้นชัก และหย่อนมือถือที่ชาร์ตแบตจนเต็มลงไป

จากนั้นก็เดินไปถอดปลั๊กไฟก่อนจะกลับมาซุกตัวอยู่ในเตียงตามเดิม ไม่ถึงสิบนาที เสียงป้าหมี่ก็เจื้อยแจ้วจากในครัวออกมาให้ได้ยิน

“อาหารเสร็จแล้วค่ะ คุณหนู เดี๋ยวป้าเอามาให้ทานที่เตียงนะคะ”

คะ..คุ..คุณ..หนะ หนู เหรอ ผมแอบทวนคำป้าหมี่ออกมา หูผมไม่ฝาดไปแน่ๆ แกเรียกผมอย่างนั้นจริงๆ เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า

ผมไม่ใช่ลูกคนร่ำรวยอะไร ทรัพย์สินเงินทองก็ไม่ได้มีมากมาย สงสัยป้าหมี่คงจะคิดว่าผมเป็นเพื่อนไฮโซของท่านประธานเคลวินกระมัง โถ ป้าหมี่ ตาคงจะฟาง ไม่งั้นแกคงมองออกว่าสภาพห้องของผมมันกระจอก ซอมซ่อเพียงไหน

“ผมไปช่วยยกนะครับ”

ยังไม่ทันที่จะก้าวลงจากเตียง ป้าหมี่ก็โผล่หน้าเข้ามาหาพลางร้องห้ามเสียงหลง

“อุ้ยไม่ต้องหรอกค่ะ คุณหนู ป่วยอยู่ ไม่มีเรี่ยวมีแรง ป้ายกมาให้เอง”

โดยไม่รอฟังคำทัดทานจากผม แกก็ผลุบหายไปหลังม่าน แล้วก็โผล่มาอีกที ในมือถือถาดใส่อาหารเอามาวางบนโต๊ะพับที่ผมเพิ่งกางออกเมื่อครู่นี้

ผมมองอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า มีข้าวสวยร้อนๆควันฉุย กับแกงจืดลูกรอกใส่เต้าหู้ไข่กับหมูสับด้วย กลิ่นหอมน่าทาน อีกจานเป็นผัดหน่อไม้ฝรั่งใส่กุ้งดูน่ากิน มีไข่เจียวแถมมาให้ด้วย ป้าหมี่ทำแต่อาหารจืดๆให้ผมทาน เคลวินคงกำชับป้ามาเป็นอย่างดี ว่าให้ทำอาหารอ่อนๆให้ผม

“ทานด้วยกันไหมครับ”

ผมเอ่ยปากชวนป้าหมี่ให้ร่วมวงด้วย เนื่องจากป้าทำอาหารให้ผมเสียเยอะแยะ แต่มีผมนั่งกินเพียงคนเดียว กินไม่หมด มีของเหลือก็น่าเสียดาย

“ตามสบายเลยค่ะ คุณหนู เดี๋ยวป้าจะไปเก็บกวาดห้องหับให้ค่ะ”

“ป้ารังเกียจผมหรือครับ กลัวจะติดไข้จากผมเหรอ”

แสร้งถามไปอย่างนั้น ที่จริงรู้แล้วล่ะว่า ป้าคงเกรงใจไม่อยากตีเสมอเพื่อนเจ้านาย แต่ผมไม่ใช่สักหน่อย ผมก็เป็นลูกจ้างเขาเหมือนกัน ดังนั้นศักดิ์ศรีของป้าจึงเทียมเท่ากับของผม

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะคุณหนู ป้าทานมาแล้วค่ะ ก่อนที่จะมาที่นี่ค่ะ”

“นึกว่าท่านประธานเคลวินห้ามเสียอีก ว่าไม่ให้มาทานกับผม”

“เปล่านะคะ คุณหนูเคลวินท่านใจดีออก เหมือนคุณหนูนี่แหละ ชอบชวนป้าทานข้าวร่วมวงด้วย ถ้าป้าไม่กินก็จะโกรธเอาน่ะค่ะ ขี้งอนจะตาย”

ฟังป้าเล่าถึงเคลวิน ทำให้ผมถึงกับสำลักข้าวที่กินเข้าไป นึกภาพหนุ่มฝรั่งตัวใหญ่ทำท่ากระเง้ากระงอดป้าแก่ๆแล้วอดขำไม่ได้ คงจะดูตลกพิลึก

ตอนที่เขาทำท่างอแงใส่ผม นั่นก็นับว่าแปลกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายที่กุมอำนาจการบริหารไว้ในมือ มีบริษัทในเครือ และมีลูกน้องมากมาย จะมีช่วงเวลาทำตัวเหมือนเด็กกับเขาด้วย

“งั้นหรือครับ เสียดายจัง ไม่มีเพื่อนเลย ทานคนเดียวมันเหงานะครับ”



--------------------
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2007 08:05:38 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หุหุ ตาเคนยังไม่เห็นโต๊ะกินข้าววุ้ย  :a10:  :a10:  :a10:

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
เป็นคนป่วยก็ดีงี้แหละ  :m21: :m21:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
ป่วยแบบนี้ คงถูกดูแลน่าดู อิอิ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ขอบคุณพี่เคทที่มาไขข้อข้องใจ  :m23:

มีภรรยาแบบเคลวินก็น่าสนมั้ยน๊า  :m21:  :m21:

รอลุ้นต่อไป  :m19: 

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
เราป่วยจะมีใครมาเห็นใจบ้างหนอ กระซิกๆ
 :m17: :m17: :m17:
****************************
บทที่ 14 คุณคือคนสำคัญ

“ป้านั่งทานเป็นเพื่อนก็ได้ค่ะ”

ในที่สุดป้าหมี่ก็ใจอ่อน ยอมมานั่งทานข้าวกับผม ระหว่างที่ทานกันไป ก็นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ท่าทางป้าหมี่เป็นคนคุยเก่ง และท่าทางจะรักเจ้านายตัวเองมาก พูดคุยถึงท่านประธานเคลวินไม่ขาดปาก ผมเลยได้ล่วงรู้ชีวิตในวัยเด็กของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ

“คุณหนูเคลวินชอบเมืองไทย ชอบอาหารไทย แล้วก็ชอบคนไทยด้วย”

“คงเป็นเพราะอยู่เมืองไทยมานานหรือเปล่าครับ”

ผมตั้งข้อสังเกต เพราะคนต่างชาติที่มาอยู่เมืองไทยนานๆ ก็อดไม่ได้ที่จะซึมซับเอาวัฒนธรรมประเพณีของคนไทยเอาไว้ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน นิสัยและความเป็นอยู่ บางคนก็พูดไทยได้คล่องปร๋อ และเป็นคนที่รักในวัฒนธรรมไทย ยิ่งกว่าคนไทยบางคนเสียอีก

“นั่นก็เป็นเหตุผลหลักค่ะ คุณหนูเคลวินแกบอกว่าคนไทยอัธยาศัยดี มีน้ำใจ คุณหนูบอกว่า ถ้าจะแต่งงานก็จะแต่งงานกับคนไทยตามพี่ๆนะค่ะ บ้านนี้ ลูกสาวเขาแต่งงานกับคนไทยหมดทั้งบ้านเลย แล้วก็มีครอบครัวที่มีความสุขทุกคนค่ะ”

ผมอยากจะถามเหลือเกินเรื่องที่ท่านประธานเกิดอาการเบี่ยงเบนทางเพศ อยากรู้ว่าเป็นตั้งแต่เด็ก หรือมาเป็นเมื่อตอนที่โตแล้ว แต่ก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะถาม เพราะมันอาจจะเป็นความลับของเขาที่คนในบ้านไม่รู้ก็ได้ ทว่าป้าหมี่กลับเป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นมาเสียเอง

“คุณหนูเคลวินชอบเล่นเป็นเจ้าสาวตั้งแต่เด็กๆคะ แถมยังประกาศว่าจะต้องหาเจ้าบ่าวคนไทยมาแต่งงานด้วยให้ได้ ทุกคนพากันหัวเราะใหญ่ เพราะคิดว่าคุณหนูแกพูดไปด้วยความไม่รู้ประสีประสา ไม่มีใครคิดว่าคุณหนูจะทำจริงๆ”

ท้ายประโยค ป้าหมี่หันมาจ้องหน้าผมอย่างมีความหมาย ผมกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก ตอนแรกผมประหลาดใจมากที่ป้าหมี่เอาความลับของเจ้านายมาเปิดเผยเหมือนไม่กลัวเกรงว่าพวกเขาจะรู้

และยิ่งตกใจหนักที่แกทำราวกับว่ารู้ระแคะระคายเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับท่านประธานเคลวิน ผมมองตอบ พยายามจะทำไม่ให้มีพิรุธ ในขณะที่ลอบสังเกตุใบหน้าของป้าไปด้วย แต่สิ่งที่ผมเห็นคือแววตาแห่งความจงรักภักดีที่มองตอบมา จนผมนึกงง

อะไรกันนี่ ป้าหมี่แกรู้ว่าผมเป็นอะไรกับเคลวินอย่างนั้นหรือ แกถึงมองและยิ้มแบบนั้น ไม่นะ แกจะรู้ได้ไง ผมยังไม่ทันพูดอะไรเลย เอ หรือว่าจะเป็นอีตายักษ์ปักหลั่นนั่นที่เอาไปโพนทะนาให้คนอื่นฟัง

แต่ก็ไม่น่าจะพูดให้กับคนใช้ในบ้านฟังนี่นา เกิดพวกเขาเอาไปนินทา ตัวเองนั่นแหละจะเสียหาย แล้วถ้าเคลวินไม่ได้พูด แล้วป้าจะรู้ได้ไง ผมยังสงสัย

หรือว่าผมจะคิดมากไปเอง ที่จริงป้าคงไม่ได้รู้อะไรหรอก แกคงจะมองหน้าผมตามปกติของคนที่พูดคุยกัน จะให้หลบหน้าหลบตาก็คงไม่ได้ ผมคงเป็นพวกวัวสันหลังหวะ แอบทำเรื่องผิดๆมาก็กลัวคนจะจับได้ ความรู้สึกแบบลักกินขโมยกินแบบนี้มันไม่ดีเลย แต่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มันเกิดนี่นา อีตาประธานสองหน้าโรคจิตนั่นต่างหาก ที่ทำให้ชีวิตผมเป็นแบบนี้

“ป้าเอาเรื่องคุณเคลวินมาพูดแบบนี้ ไม่กลัวว่าเขามาได้ยินแล้วจะโกรธหรือครับ”



--------------------

หัวใจ...จะคอยบอกว่าเรารักได้ เพราะมีสิทธิ์จะรัก

สมอง...จะบอกว่ารักแล้วสามารถแสดงออกได้มากแค่ไหน
   
-------------------------

 ผมอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ ป้าหมี่ส่ายหน้า แล้วพูดยิ้มๆ

“คุณหนูเคลวินไม่โกรธป้าหรอก ป้าน่ะ เลี้ยงดูคุณหนูเคลวินมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย มีอะไรคุณหนูก็จะมาเล่าให้ฟังเสมอ ไม่เคยปิดบัง บางเรื่องพ่อแม่ของคุณหนูไม่เคยทราบมาก่อน แต่ป้าเป็นคนเดียวที่รู้ ซึ่งป้าก็เก็บความลับให้คุณหนูเคลวินอย่างดี และเขาก็ไว้ใจป้ามาก เพราะป้าไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้เลย จะมีก็แต่คุณนีแหละที่ป้าเล่าให้ฟัง ที่เล่าเพราะเห็นว่าเป็นคนสำคัญของคุณหนูหรอกนะ จึงอยากให้รู้ไว้”

เอาอีกแล้ว ตาของป้าหมี่ที่มองมา มันมีความหมายแฝงชวนให้ขนลุกอย่างไรพิกล อย่าบอกนะว่าท่านประธานเจ้าเล่ห์จะบอกป้าหมี่ไปแล้ว ว่าผมอะไร รวมถึงบอกถึงความตั้งใจของเขาที่จะเป็นเจ้าสาวของผมให้ป้าหมี่ฟัง

ตาย ตายแน่ๆ หากมีคนรู้เรื่องนี้มากไปกว่าผมกับเขาสองคน หากป้าหมี่เอาไปเล่าให้คนฟังต่อๆไป แล้วเรื่องมันดันรู้ไปถึงคนในบริษัท ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ใครต่อใครคงจะหาว่าผมเป็นพวกวิปริต ชอบไม้ป่าเดียวกัน แถมซ้ำยังหาทางไต่เต้าทางลัด โดยอาศัยท่านประธานเป็นบันไดไปสู่ความสำเร็จเป็นแน่

รู้สึกปวดหัวจิ๊ดขึ้นมากระทันหัน นี่ผมคิดวุ่นวายอะไรอยู่กันแน่เนี่ย คนในบริษัทจะรู้ได้ไง เพราะป้าหมี่คงไม่รู้จักใครในบริษัทที่พอจะพูดคุยเรื่องแบบนี้ด้วยได้ แล้วอีกอย่างผมจะมานั่งวิตกกังวลทำไม ในเมื่อคนที่ควรจะเดือดร้อนน่าจะเป็นเคลวินมากกว่า เขามีตำแหน่งออกใหญ่โต ถ้ามีเรื่องมัวหมองเพราะลูกน้อง เขาจะโดนพวกคณะกรรมการบริษัทเพ่งเล็งหรือไม่ แล้วถ้าหากใครรู้ว่าเขาเป็นเกย์ เขาจะทำอย่างไร

ใครๆก็จะพากันครหาทำให้เขาเสียชื่อเสียงมากกว่า หน้าที่การงานเขาสูงกว่าผม ย่อมได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรง ผมมันเป็นเพียงแค่พนักงานตัวเล็กๆ คงไม่ค่อยมีความหมายอะไร หากมีปัญหาขึ้นมา ผมก็คงต้องออกจากงาน ไปสมัครที่ใหม่

แต่เขาล่ะ นี่มันบริษัทของเขา แต่ถ้าพวกผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่งไม่ไว้วางใจ จะพากันถอนหุ้นออกไปหมดหรือเปล่า เขาต่างหากที่น่าห่วงมากกว่าผม

โอ๊ย อยู่ๆผมก็ดันนึกห่วงประธานโรคจิตขึ้นมา ทั้งๆที่เขาหาเรื่องมาให้ผมแท้ๆ แต่นึกไปนึกมา สิ่งที่เขาทำมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายต่อผม เขาให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง ผมพ้นสภาพพนักงานรองมือรองไม้ของเพื่อนพนักงานด้วยกัน มาทำงานให้กับเขาเพียงแค่คนเดียว เงินเดือนก็ได้ปรับ แถมมีโอกาสได้เป็นพนักงานประจำอีกด้วย

เรื่องภายในบ้านเขาก็ดูแลอย่างดี แม้จะทำเกินไปหน่อย แต่ทุกอย่างเขาก็ทำเพื่อผม ในส่วนลึกผมก็รู้สึกดี ที่เขามาทำอะไรต่อมิอะไรให้ ไม่ได้ขัดขืนโกรธเคืองอย่างจริงจัง ดังนั้นถ้าจะด่าเขา ก็ต้องด่าตัวเองด้วย ที่ยินยอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น



--------------------



 “ผมไม่ใช่คนสำคัญอะไรหรอกครับป้าหมี่ ก็เป็นเพียงพนักงานบริษัทธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น เผอิญได้เจ้านายใจดีอย่างท่านประธานคอยเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งท่านก็คงจะทำกับลูกน้องในสังกัดคนอื่นๆเหมือนกัน ไม่มีอะไรพิเศษหรอกครับ”

ผมพยายามเบี่ยงเบนความคิดของป้าหมี่ อยากให้แกเข้าใจเสียใหม่ว่าผมไม่ใช่คนสำคัญของท่านประธาน และแกก็ไม่จำเป็นต้องเอาใจผมด้วย

“พูดอะไรแบบนั้นล่ะคะคุณหนู ถ้าคุณไม่ใช่คนสำคัญของคุณหนูเคลวิน แล้วเขาจะส่งป้ามาดูแลคุณทำไม ถ้าเป็นพนักงานทั่วไป เขาก็คงส่งเจ้าหน้าที่บุคคลของบริษัทมาดูแลสิ เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมไม่เข้าใจ ป้าไม่ได้เรียนมามาก ไม่เคยทำงานบริษัท ป้ายังรู้เลย คุณหนูเคลวินส่งป้ามาดูแลบ้าน ทำความสะอาด และทำอาหารให้ ช่วยดูแลจนคุณหนูกลับมา เรื่องแบบนี้ ถ้าไม่ใช่ทำให้คนพิเศษ แล้วจะทำไปเพื่ออะไร”

คำพูดของป้าหมี่ เล่นเอาผมถึงกับอึ้ง นึกไม่ถึงว่าคนแก่ที่เป็นเพียงคนเลี้ยงเด็กในบ้าน จะฉลาดเฉลียวและเดาใจเจ้านายได้เก่งแบบนี้ ผมเสียอีกที่คิดไม่ถึง ที่เป็นอย่างนี้เพราะผมมัวแต่ปฏิเสธความรักของเคลวิน

ใส่ความคิดลงไปในหัวตัวเองว่าสิ่งที่เขาทำให้ผมนั้นเป็นเพียงหน้าที่ของเจ้านายที่พึงจะทำต่อลูกน้องตามกฏหมายแรงงาน ดวงตามืดบอดต่อความรักที่เขามีให้ เพียงเพราะผมเห็นว่าประธานเคลวิน เป็นเกย์ และเพี้ยนๆอีกต่างหาก ผมไม่อยากเป็นอย่างเขา ไม่อยากเป็นสามีของเคลวิน อยากกลับไปแต่งงานกับคนรักเก่าที่บ้านเกิดมากกว่า

“ขอโทษนะ ที่ป้าพูดตรงๆ แต่อย่างที่บอกนั่นแหละ คุณหนูเคลวินน่ะมอบความไว้วางใจให้กับป้ามาก ถึงคุณหนูจะไม่บอกว่าคุณเป็นอะไรกับเขา แต่ป้าก็รู้ว่าคุณหนูของป้าต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งเป็นพิเศษกับคุณแน่ๆ

แต่เอาเถอะ เรื่องของหนุ่มๆ ป้าไม่อยากจะยุ่งเกี่ยว หรือจะมาโน้มน้าวอะไร มันเป็นการตัดสินใจของคุณสองคนว่าจะคบกันแบบไหน แต่ในฐานะที่ป้าเป็นบ่าว เป็นคนที่เฝ้าดูแลการเติบโตของคุณหนู และรักคุณเคลวินมาก อะไรคือความสุขของคุณหนู ป้าก็มีความสุขด้วย และใครก็ตามที่คุณหนูรัก ป้าก็จะรักเขาเช่นกัน และจะดูแลปรนนิบัติเขา เพื่อให้คุณหนูของป้าสบายใจและมีความสุข”

ป้าหมี่พูดเสียยืดยาวเลย แต่เป็นคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกอยากจะร้องไห้เมื่อได้ฟังสิ่งที่ป้าหมี่พูดจนจบ รับรู้ได้ถึงความจงรักภักดีที่ป้ามีต่อคุณหนูของแก แถมซ้ำยังเผื่อแผ่ไปถึงคนที่เคลวินรักด้วย นี่แกคงเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัยว่าผมคือใครคนนั้น และแกก็พยายามที่จะดูแลผมอย่างดี ให้สมกับที่เคลวินมอบหมาย ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีใครทำให้ผมแบบนี้เลย ผมนึกถึงเคลวินขึ้นมาทันที

น่าแปลกที่พอนึกถึงเขา หัวใจของผมก็รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา ทำไมท่านประธานสองหน้า ต้องมายุ่งเกี่ยววุ่นวายกับชีวิตของผมด้วย ก็บอกแล้วไงว่า ผมไม่มีวันจะเป็นเจ้าบ่าวของเขา ผมไม่เอาเจ้าสาวที่เป็นผู้ชาย แล้วทำไมถึงต้องมาทำดีแบบนี้ รู้บ้างไหม ว่าใจผมอ่อนลงทุกทีแล้ว



--------------------




 “ป้าหมี่น่ารักจังเลยครับ”

กล่าวชมอย่างจริงใจ ป้าหมี่ยืดตัวตรง ยิ้มอย่างภาคภูมิ ทำท่าว่าจะพูดต่อ แต่ผมหมดเรื่องคุยแล้ว รู้ดีว่าขืนพูดกับแกต่อไป ไม่แคล้วเรื่องคงต้องวกเข้าตัวผม ดังนั้นผมจึงรวบช้อนส้อม ทำท่าอิ่ม ป้าหมี่เห็นก็ทำตาโต บอกว่าผมทานข้าวน้อยไป

ผมก็บอกว่าสองจานมันไม่น้อยแล้วสำหรับคนป่วยที่กินอะไรไม่ค่อยได้อย่างผม ซึ่งทั้งปากขมไปหมด แถมยังเวียนหัวด้วย แต่เพราะป้าทำอาหารอร่อย ผมก็เลยทานได้เยอะ แกยิ้มปลื้มกับคำชมของผม และบอกว่า ถ้าคุณหนูเคลวินอนุญาต ป้าก็จะมาทำอาหารให้ทานทุกวัน

ผมเลยได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆให้แก ไม่กล้าพูดอะไร แต่ในใจก็คิดว่า อย่าดีกว่า ผมไม่อยากให้ป้าหมี่เห็นผมกับเคลวินที่นี่ เพราะไม่รู้เมื่อไหร่ที่พ่อตัวดี จะทำบ้าๆบอๆเพี้ยนๆขึ้นมา ผมอายป้าหมี่ และผมก็ไม่อยากทำให้แกเข้าใจว่าผมจะมาเป็นเจ้านายของแกอีกคน

ป้าหมี่เอายามาให้ผมทาน จากนั้นก็ประคองผมไปนอนพักบนเตียง ผมร้องห้ามแกก็ไม่ยอมฟัง แถมซ้ำยังมาทำหน้าดุๆใส่ผมด้วย ผมนึกถึงคำของเคลวินขึ้นมาได้ ว่าอย่าไปขัดใจแก อย่าเห็นว่าแกเป็นคนแก่ แล้วจะมาเกรงอกเกรงใจ เพราะแกจะโกรธหาว่าไปดูถูก ผมเลยปล่อยให้แกทำในสิ่งที่แกได้รับมอบหมายมาตามสบาย

“คุณหนูนอนหลับพักผ่อนนะคะ เดี๋ยวป้าจัดการเรื่องในบ้านเองไม่ต้องห่วง”

เสียงพูดของป้าหมี่ดังลอดเข้ามาให้ได้ยินถึงเตียงที่ผมนอนอยู่ ผมยิ้มและตะโกนตอบรับไป จากนั้นก็ปิดเปลือกตาลง ฟังเสียงเคลื่อนไหวของป้าหมี่ และนึกเดาว่าตอนนี้แกทำอะไรอยู่

ถ้วยชามกระทบกันก๊องแก๊ง แสดงว่าแกกำลังล้างจาน สักพักเสียงแกเดินไปมา คงกำลังเก็บกวาดถูบ้าน เสียงน้ำเปิดในห้องน้ำ เสียงลากกาละมัง ตอนนี้คงกำลังซักผ้าให้ผม อยากจะบอกว่าไม่ต้องผมบอกเองได้ แต่ก็มึนงง ง่วงงุนเหลือเกิน ฤทธ์ยาของทำให้ผมง่วง ในที่สุดเสียงที่ได้ยินก็แว่วไกลออกไป จากนั้นผมก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย

รู้สึกตัวอีกที ก็ต่อเมื่อรู้สึกหนักๆตัว พอลืมตาตื่นขึ้นมา ก็พบคนตัวใหญ่ยักษ์กำลังนอนหลับทับอยู่บนตัวผม ไม่รู้ว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วมานอนอยู่แบบนี้นานหรือยัง แต่จากเสียงหายใจที่สม่ำเสมอ ผมก็คะเนว่าเขาคงจะหลับนานพอดูเหมือนกัน เหลียวไปมองนาฬิกาปลุกที่ตรงหัวเตียง มันบอกเวลาสองทุ่มแล้ว นี่ผมหลับยาวตั้งแต่บ่ายถึงเย็นเลยหรือนี่

ป้าหมี่อยู่ไหนกัน กลับไปแล้วหรือยังอยู่ ตายล่ะ ป้าจะเห็นไหมเนี่ย ว่าเจ้านายของตัวเองมานอนกอดผมอย่างนี้ ประธานเจ้าเล่ห์นี่ก็ชอบทำอะไรประเจิดประเจ้อตลอด ถ้าป้าเห็น แกก็ต้องยิ่งมันใจว่าผมคือคนที่เจ้านายของแกอยากแต่งงานด้วย ไม่นะ ป้าหมี่จะคิดแบบนั้นไม่ได้ เพราะผมไม่ยอมรับการเป็นสามีของเคลวิน เรื่องนี้จะต้องเป็นความลับของผมกับเขาสองคนเท่านั้น

ผมพยายามเงี่ยหูฟัง เผื่อว่าจะได้ยินเสียงแปลกปลอมอะไรบ้าง แต่ห้องทั้งห้องก็เงียบสงัด ปราศจากสำเนียงใดๆ นอกจากเสียงหายใจของประธานเคลวิน ผมพยายามเอี้ยวตัวมองผ่านม่านกั้นออกไป ไฟในห้องเปิดสว่าง ไม่รู้ว่าเคลวินเปิดตอนเข้ามา หรือว่าป้าหมี่เปิดเอาไว้ มันเลยทำให้ผมเห็นสภาพห้องได้อย่างชัดเจน

เลยจากผ้าม่านไปไม่เห็นเงาอะไรที่จะบอกว่ามีคนอยู่ในห้องนี้นอกจากผมกับเขา แต่ผมก็ไม่อาจจะวางใจได้ บางทีป้าหมี่อาจจะอยู่ข้างนอก ตอนที่เจ้านายตัวเองอยู่ในนี้ หรือบางทีอาจจะถูกใช้ให้ไปซื้ออะไรก็ได้



--------------------




 เมื่อตอนกลางวันป้าหมี่พูดอะไรบ้างนะ อืมมมม....ดูเหมือนว่าป้าแกจะถูกมอบหมายให้มาทำกับข้าวให้ผมทาน จัดการทำความสะอาดบ้านช่องให้ และช่วยดูแลผมจนกว่าเคลวินจะมา ใช่สิ ตอนนี้เคลวินมาแล้ว แกคงถูกไล่กลับไป

แต่ก่อนที่แกจะไป แกได้เห็นเคลวินทำอะไรกับผมหรือเปล่านะ โตขนาดนี้ เป็นเจ้าคนนายคน คงไม่ทำตัวรุ่มร่ามให้ใครเห็นกระมัง แต่ก็ว่าไม่ได้ หมอนี่ยิ่งเพี้ยนๆ เอาแต่ใจตัวเองสุดๆแบบนี้ อาจจะทำอะไรประเจิดประเจ้อก็ได้ แล้วเขาจะทำอะไรผมกันล่ะ ในเวลาที่ผมหลับเพราะฤทธิ์ยาแบบนี้ อย่างดีก็คงจะแค่กอดแค่หอมกระมัง

ผมคิดวนเวียนวุ่นวายใจอยู่สักพัก ก็เลิกคิด เพราะถึงคิดไปก็ปวดหัว เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าระหว่างที่ผมนอนหลับ ทางที่ดีก็ควรจะปลุกคนที่นอนทับผมขึ้นมาซักถามดีกว่า ผมขยับตัวเพื่อให้หลุดจากการกอดก่ายของเคลวิน แต่เขาก็ยังคงนอนนิ่งเฉย ตาหลับพริ้ม ขนตาสีทองหนาเป็นแพไม่เขยื้อนยุกยิก แสดงให้เห็นว่าเขากำลังเข้าสู่ช่วงนิทรา

เห็นเขานอนหลับแบบนั้น ผมก็เลยเลิกล้มความตั้งใจที่จะปลุกเขา แม้จะรู้สึกหนักที่ร่างกายสูงใหญ่มาทับผมไว้ทั้งตัวจนไม่สามารถกระดุกกระดิกไปไหนได้ เมื่อยก็เมื่อย ป่วยอีกต่างหาก แต่พอนึกว่าเขาเหนื่อยกลับมาจากการทำงานทั้งวัน มันทำให้ผมอยากให้เขานอนพักผ่อนไปก่อน ถ้าหากการนอนแบบนี้มันจะทำให้เขารู้สึกสบาย ก็คงต้องปล่อยเขาไป แม้ว่าผมใกล้จะเป็นตะคริวไปทั้งตัวแล้วก็ตาม

ประมาณ 10 นาที ที่ผมต้องทนนอนอยู่ในท่านั้น กว่าที่ประธานตัวแสบจะตื่นขึ้นมา ทันทีที่ลืมตา ไม่สิ ทันทีที่รู้สึกตัวมากกว่า คนสองหน้าก็โน้มคอผมมาจูบและแทรกลิ้นเข้าในปากผมทันที ไม่มีการถามไถ่ หรือขออนุญาติใดๆ เจ้านายเคลวินถือวิสาสะในร่างกายของผมทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเต็มที่ และผมก็ไม่อาจจะเลี่ยงหนีได้พ้นเสียด้วย

“ตื่นแล้วหรือครับ”

คำแรกที่พูดหลังจากถอนริมฝีปากออกแล้ว ที่จริงผมควรจะถามคำถามนี้กับเขาต่างหาก ผมพยักหน้า เขาก็ยิ้มอายๆ ก่อนจะต่อว่าต่อขานผม

“ตื่นนานแล้วหรือยัง แล้วทำไมไม่ปลุกผมล่ะ”

“ก็นานแล้วล่ะ พยายามจะปลุกเหมือนกัน แต่คุณไม่ตื่น เลยปล่อยให้นอนต่อ เพราะคิดว่าเคลวินคงจะเหนื่อยกลับมา”

“โถ ทีหลังก็ปลุกได้นะ ผมนอนทับคุณแบบนี้ คุณคงเมื่อยแย่เลย”

รู้เหมือนกันเหรอ ขนาดรู้ยังทำ ทับเอาผมแทบจะหลังหัก ดีนะเนี่ยที่ไม่มารู้ตัวตอนร่างกายผมแหลกเหลวไปแล้ว

“เดี๋ยวผมนวดให้นะ”

นึกแล้วว่าต้องมาฟอร์มนี้ มุขหลอกกินไข่แดงของผม เหอะ อีตาประธานโรคจิต



--------------------




 “ทานข้าวกันก่อนดีกว่านะครับ เดี๋ยวผมค่อยมานวดให้ ป้าหมี่ทำอาหารเย็นอร่อยๆไว้ให้ทานเยอะแยะเลย แกบอกว่าคนป่วยต้องทานอาหารบำรุงสุขภาพกันหน่อย ผมอุ่นไว้แล้วครับ”

เคลวินลุกขึ้นนั่ง และดึงผมให้ลุกตาม ผมเลยถามถึงป้าหมี่ด้วยความสงสัย ว่าแกกลับบ้านไปแล้วหรือ เคลวินให้คำตอบว่า ป้าหมี่กลับไปตั้งแต่หกโมงแล้ว พอเคลวินมา ป้าหมี่ก็ทำกับข้าวเสร็จพอดี เขาเลยให้คนขับรถของตัวเอง พาป้าหมี่กลับไปบ้านโน้นเพื่อให้ป้าหมี่ได้พักผ่อนก่อนที่จะกลับมาดูแลผมในวันพรุ่งนี้

“ไม่ต้องหรอกครับ ลาวันเดียวก็พอนะ อย่าหยุดหลายวันเลย เสียการเสียงานแย่ ที่จริงผมก็หายแล้วล่ะครับ พรุ่งนี้ก็ไปทำงานได้”

ที่จริงผมก็ยังไม่ได้หายดีสักเท่าไหร่ ยังรู้สึกมึนๆอยู่เลย แต่ไม่อยากให้เขาเป็นห่วง และไม่อยากใช้อภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่น ผมอยู่ในช่วงทดลองงานด้วย ลามากไม่ดี จะมีคนครหานินทาเอาได้

“จริงเหรอครับ ไหนดูสิ หายตัวร้อนหรือยัง”

คนพูดแทนที่จะเอามืออังหน้าผากผมแบบคนอื่นเขาทำกัน แต่กลับเอาหน้าผากของตัวเองมาถูไถหน้าผากของผม พลางทำหน้าดุๆใส่

“ยังตัวร้อนอยู่เลย ยังไม่หายเสียหน่อย”

“เดี๋ยวทานข้าว แล้วทานยากับพักผ่อน พรุ่งนี้ก็คงหายไปทำงานได้ครับ”

ยังคงดื้อดึงเถียงเขา เคลวินส่งยิ้มหวานให้ เขารับรู้ถึงความตั้งอกตั้งใจทำงานของผม ถึงแม้ตอนเป็นประธานเคลวินเขาจะไม่เคยชื่นชมผมก็ตาม แต่เมื่อเป็นภรรยาผู้อ่อนโยนน่ารัก เขาจะให้กำลังใจผมอยู่ตลอดเวลา และมักจะพูดเสมอว่าผมทำดีแล้ว

เอ๊ะ เมื่อกี้ผมว่าอะไรนะ ภรรยาผู้อ่อนโยนน่ารักเหรอ สงสัยคงจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่กินเข้าไปเมื่อตอนกลางวันเป็นแน่ ยาที่หมอให้มาช่างแรงจัง มีผลข้างเคียงด้วย ทำให้ประสาทผมกลับ เห็นคนเจ้าเล่ห์สองหน้า กลายเป็นคนอ่อนหวานไปได้

“งั้นนอนตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปยกกับข้าวมาให้นะ ทานที่นี่ดีกว่า ลุกออกไปอาจจะเวียนหัวได้”

พร้อมคำพูดเคลวินก็รีบกดผมลงนอนกับเตียงทั้งๆที่เมื่อกี้เพิ่งดึงผมลุกขึ้น ท่าทางลนๆผิดสังเกตุ แต่ผมก็คิดเอาว่า อาจจะเป็นเพราะเขาเหนื่อยจากการทำงาน แถมต้องมาดูแลผมอีก คงอยากทานข้าวเร็ว อาบน้ำ และนอนเร็วๆ ผมเลยไม่อยากขัดใจเขา

ไม่ถึงอึดใจอาหารทุกอย่างก็จัดวางไว้ที่โต๊ะพับเรียบร้อย เขามาอุ้มผมลงไปนั่งทานบนพื้น ทำราวกับผมป่วยหนัก พอผมจะดิ้นหนี เขาก็ขู่ว่าถ้าไม่ยอมดีๆเขาจะจับนั่งตักและป้อนข้าวป้อนน้ำเหมือนทำกับเด็กตัวเล็กๆ ผมรู้ว่าตาประธานเพี้ยนคนนี้ไม่ได้พูดขู่ แต่เขาเอาจริง จึงยอมทำตามใจเขา ไม่อยากทำตัวมีปัญหา เดี๋ยวจะได้อับอายกันไปเสียเปล่าๆ

“อีกสองอาทิตย์ บริษัทจะจัดให้มีสัมมนาต่างจังหวัด และถือโอกาสจัดงาน staff picnic ด้วย เพื่อให้พนักงานทุกคนได้เที่ยวกัน คุณก็ได้ไปด้วยเหมือนกันนะ”



--------------------
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2007 08:04:18 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
ท่าทางคนโพสต์จะอามรณ์มะดี

กัวกัว

 :m8: :m8: :m8:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ฮันนีมูนคราวนี้จะมีลุ้นไหมหนอ
******************
บทที่ 15
ข่าวนี้ทำให้ผมตื่นเต้นอย่างประหลาด ที่ผมได้รับโอกาสร่วมงานสังสรรค์ของบริษัทกับเขาด้วยทั้งๆที่ผมยังเป็นเพียงพนักงานที่ยังไม่พ้นช่วงทดลองงานเลย เป็นกฎเกณฑ์ของบริษัทในการให้สวัสดิการกับพนักงาน หรือเป็นเพราะเขาอยากเอาใจผมกันหนอ

“เตรียมตัวให้พร้อมแล้วกัน งานก็ต้องเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อนไปนะครับ มาบอกแค่นี้แหละ ไม่ใช่บทบาทของท่านประธานเคลวินที่จะมาโผล่ตอนนี้ อยากรู้อะไร ก็ไปถามกันตอนไปทำงานนะครับ”

เคลวินพูดยิ้มๆ จนผมรู้สึกหมั่นไส้ หนอยแน่ะ ก็ท่านประธานเคลวิน กับภรรยาจอมวุ่นเคลวินมันก็คนเดียวกันนี่นะ เล่นสลับบทบาทกันไปมาให้ปวดหัวเล่นซะงั้น ทำให้เนียนแล้วกัน อย่าเผลอทำตัวเป็นภรรยาในที่ทำงาน แล้วเป็นเจ้านายผมที่บ้านเข้าล่ะ คงได้วงแตกแน่

เอาเถอะ ไม่บอกผมก็ไม่ง้อ เดี๋ยวไปถามพี่นนนี่เอาก็ได้ แค่รู้ว่าผมได้ไปเที่ยวกับเขาด้วยแค่นี้ก็ดีใจแล้ว มันเหมือนกับว่าบริษัทนี้ได้เปิดรับผมเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกเขา ไม่ใช่เพียงแค่ลูกจ้างชั่วคราวที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจอีกต่อไป

“วันนี้เป็นไงบ้างครับ ป้าหมี่ดูแลดีไหม”

“ดีครับ ดีจนรู้สึกเกรงใจ ที่จริงไม่ต้องทำให้ผมขนาดนี้ก็ได้”

“ไม่ได้หรอกนะ คุณเป็นคนสำคัญของผมนี่นา”

คนสำคัญอีกแล้ว ผมคิด นี่คงเอาคำพูดนี้ไปฝังใส่หัวป้าหมี่สิท่า แกถึงได้เอาอกเอาใจผมแบบนั้น

“อยากได้ป้าหมี่มาช่วยดูแลหรือเปล่าครับ”

“ไม่เอานะ ทำไมล่ะ เคลวินจะไปไหนเหรอ”

แว่บแรกผมคิดว่าเขาคงไม่อยากจะดูแลผมอีกแล้ว รู้สึกใจหายขึ้นมาทันที

“ไม่ได้ไปไหนหรอกครับ ก็อยู่ด้วยกันนี่แหละ ทำไมเหรอ ไม่อยากได้ป้าหมี่ดูแล แต่อยากให้ผม
ปรนนิบัติให้ใช่ไหมครับ”

ทั้งน้ำเสียงและหน้าตาสอดใส่ความหวานมาจนเลี่ยน

“ใครเขาพูดแบบนั้นกันล่ะครับ ผมหมายถึงว่าไม่อยากรบกวนป้าหมี่เพราะแกแก่แล้วหนะครับ แล้วที่จริงผมก็ดูแลตัวเองได้ครับ”

“แหม ผมก็นึกว่าคุณจะอยากให้ผมช่วยดูแลเสียอีก น่าน้อยใจจังครับ”

เขาแสร้งทำเป็นงอน แต่ผมนั่งเฉย อยากงอนก็งอนไปสิ อารมณ์แปรปรวนแบบนี้ ใครจะปรับตัวตามไหว แล้วผมก็ไม่ได้ใช้ให้เขามาดูแลผมเสียหน่อย ถ้าไม่พอใจก็ปล่อยผมไปสิ มายุ่งวุ่นวายกับผมทำไมล่ะ



--------------------------------
“ช่างมันเถอะ ผมไม่คิดมากหรอก ถึงอย่างไร ที่ผมทำให้เคน ก็เป็นเพราะว่าผมรักคุณ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ชอบ หรือไม่เห็นคุณค่า แต่ผมก็ไม่ท้อถอยง่ายๆหรอกนะ”
เมื่อเห็นผมยังเฉย เขาก็พูดต่อ คำพูดของเขา มันชวนให้ผมใจอ่อน และถามตัวเองด้วยความสงสัย ว่าผมใจดำกับเขาเกินไปหรือเปล่า เขาอุตส่าห์ดีกับผม ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือที่บ้าน ถึงแม้จะมีบุคลิกที่ต่างกันออกไป แต่เขาไม่เคยสักครั้งที่จะหวังร้ายกับผม

“ที่คุณทำให้ผมทั้งหมด ผมเองก็ซาบซึ้งใจมากนะครับ ผมไม่รู้จะตอบแทนคุณอย่างไรดี ผมเองก็ชอบให้เคลวินดูแลเหมือนกัน”

ในที่สุดผมก็ใจอ่อนให้กับความดีของเขาจนได้ พอผมบอกสิ่งที่อยู่ภายในใจออกไป ท่านประธานเคลวินก็ยิ้มกริ่ม แทบจะกระโจนมากอดผม

“ผมไม่ต้องการอะไร นอกจากหัวใจของเคนเท่านั้นครับ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันนะ ที่เคนจะรักผม แต่ถึงอย่างไร ผมก็จะรอนะ”

เขาพูดเสียงอ้อน ผมแทบจะสำลักข้าวน้ำเมื่อฟังเขาพูดจบ ใจปวดแปลบขึ้นมาทันที นั่นสิ เมื่อไหร่ดีล่ะ ผมเองก็ยังตอบไม่ได้ ไม่รู้ว่าชาตินี้ ผมจะรักเขาได้หรือเปล่าด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าผมจะยอมรับว่าเขาดีกับผมมากจริงๆ แต่ความรู้สึกดีๆที่มีให้ กับเรื่องของความรัก มันไม่เกี่ยวข้องกันนี่นา ผมอาจจะหาโอกาสตอบแทนบุญคุณเขาอย่างอื่น โดยไม่ต้องรักตอบเขาก็ได้

ตาสีฟ้าที่มองมาอย่างมีความหวังนั้น ทำให้ผมรู้สึกละอายใจ เหมือนตัวเองเป็นคนเอาแต่ได้ รับความรักจากเขาเพียงแค่อย่างเดียว โดยไม่เคยให้เขาบ้างเลย รู้สึกสงสารเคลวินขึ้นมาเสียแล้วสิ ไม่นึกว่าท่านประธานที่เข้มงวด ดุดันแบบเขา จะมาอ้อนขอความรักจากลูกน้องตัวเองแบบนี้ และยินดีที่จะรอคอย ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยก็ตาม

“ขอบคุณนะครับ ”

ตอบได้แค่นั้น ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ที่จริงก็อยากจะบอกว่า อย่ารอผมเลย ผมไม่มีวันรักคุณในแบบนั้นหรอก แต่จะให้รักและเคารพในฐานะลูกน้องภักดีต่อเจ้านาย หรือเพื่อนที่ดีต่อกัน อันนั้นผมทำได้ แต่เมื่อเห็นหน้าตาของเขาแล้ว ก็จำต้องหุบปากตัวเองไว้ ไม่กล้าเอ่ยอะไรที่จะทำให้เคลวินเสียใจ

“เสาร์อาทิตย์นี้ เราไปออกกำลังกายกันดีไหมครับ ฟิตซ้อมร่างกายเอาไว้สำหรับวันไปเที่ยว เขาจะมีให้แข่งขันกีฬาด้วยนะ เผื่อว่าเคนจะอยากสนุกกับเขาบ้าง”

วกกลับมาเรื่องเที่ยวอีกแล้ว แต่ก็ดี ถ้ายังขืนพูดเรื่องความรัก ผมก็คงไม่มีคำตอบดีๆให้เขาเหมือนกัน

“เคนต้องออกกำลังกายบ้างนะครับ ผอมไปก็ไม่ดีนะ โรคภัยไข้เจ็บก็จะถามหา ดูผมสิ ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วยง่ายๆ เพราะออกกำลังบ่อยๆ แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปเลย”

ก็แน่ล่ะสิ มาขลุกอยู่กับผมตลอดเวลานี่นา



--------------------



   
“ที่เพนเฮ้าส์ของผม มีสระว่ายน้ำ และมีที่ออกกำลังกายด้วย วันหลังไปกันนะ”
“จะดีหรือครับเคลวิน เอ้อ เดี๋ยวมีคนเห็นเข้า เขาจะเอาไปนินทาได้นะครับ”

ผมถามอย่างไม่แน่ใจ ก็เพนเฮ้าส์ของเคลวิน มันอยู่ชั้นบนสุดของอาคารที่ทำงาน และชั้นที่เป็นสระว่ายน้ำ กับห้องฟิตเนส อยู่ต่ำลงมาอีกชั้น ถึงแม้ตึกนี้ จะเป็นตึกของตระกูลเคลวิน แต่เขาก็ได้ใช้เพื่อนที่ประมาณ 90 % เป็นออฟฟิศของบริษัทในเครือ อาจจะมีใครเห็นเข้า และเอาไปปล่อยข่าวให้เกิดความเสียหายแก่ตัวเขาซึ่งเป็นประธานบริษัทก็ได้

“ไม่ต้องกลัวหรอกครับ เคนก็รู้ว่า สองชั้นข้างบน เป็นพื้นที่ส่วนตัวของผม ถ้าไม่มีกิจธุระจริงๆ จะไม่มีใครได้ผ่านขึ้นไปหรอกนะ มียามอย่างแน่นหนา คอยตรวจตรากันคนอีกชั้น แล้วอีกอย่างในวันเสาร์ และอาทิตย์ ส่วนนั้นจะปิดไม่ให้ใครเข้า ลิฟท์ก็จะล็อคสองชั้นนี้ไว้ ผมมีลิฟท์ส่วนตัวเฉพาะประธานและคนที่ได้รับอนุญาตที่จะขึ้นไปได้ เราก็เข้าตรงส่วนนั้นครับ”

โหย ลึกลับซับซ้อนจริงนะ ระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา ทำให้ไม่มีใครเข้าถึงตัวเขาได้ ซึ่งมันก็คงเป็นเรื่องจำเป็น เพราะชั้นบนสุด นอกจากจะเป็นที่พักอาศัยของประธานบริษัท ซึ่งมีกิจการใหญ่โตมากมายในมือแล้ว ยังเปรียบเสมือนศูนย์บัญชาการย่อยๆของเขาอีก เวลาสั่งงานบริษัทในเครือ ก็จะทำจากที่นี่ มันสะดวกดีสำหรับเขาที่จะไม่ต้องเดินทางไปไหนมาไหนไกลๆให้เสียเวลา

“เดี๋ยวเสาร์นี้ ผมจะพาเคลวินไปดู ว่าแต่อย่าลืมสัญญาอะไรที่ให้ไว้กับผมนะครับ”

“สัญญาอะไรเหรอครับ”

ผมทำหน้างงๆ

“ก็ที่บอกว่าจะให้กุ๊กกิ๊กด้วยในวันสุดสัปดาห์ไง เคนอ่ะ แค่นี้ก็ลืมไปได้”

โอ๊ย เรื่องนี้เองเหรอ ผมลืมไปเลย พอเขาพูดขึ้นมา ผมก็เลยระลึกชาติได้ทันที ว่าเคยพูดจาตกลงไปแบบนั้น แต่นั่นเป็นเพราะผมตัดรำคาญต่างหาก ไม่คิดว่าเขาจะทวงขึ้นมา ผมรู้สึกเหมือนอาการไข้กำเริบขึ้นมากะทันหัน ปวดหัว ตัวร้อนไปหมด อยากจะเป็นลมล้มพับ จะได้ถือโอกาสทำเป็นไม่ได้ยินเรื่องนี้

“ผมอิ่มแล้วละครับ รู้สึกปวดหัวนิดๆแล้ว เดี๋ยวทานยาเสร็จ ก็ว่าจะนอนแล้วครับ”

เปลี่ยนเรื่องเฉยเลย เคลวินมองหน้าผมอย่างรู้ทัน แต่เขาก็ไม่ว่าอะไร เขาลุกมาพยุงผมไปที่เตียง ทำเหมือนว่าผมป่วยหนักอีกแล้ว จากนั้นก็ไปเก็บจานชามเข้าครัว สักพักก็กลับเข้ามาพร้อมแก้วน้ำ เขารอดูผมทานยาเสร็จ ก็เก็บแก้วกลับออกไปอีกครั้ง ผมหลับตาลง รู้สึกเหนื่อยอ่อนขึ้นมาจริงๆ จนอยากจะพัก

เตียงที่ผมนอนอยู่ยุบยวบลง ผมลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นคนตัวใหญ่นั่งยิ้มให้กับผม ในมือถือกาละมังใส่น้ำอุ่นมาด้วย เขาวางมันลงที่โต๊ะหัวเตียง จากนั้นก็เอื้อมมาปลดกระดุมเสื้อนอนของผม แล้วบอกว่าจะเช็ดตัวให้ จะได้นอนหลับสบายขึ้น ผมรับรู้ถึงเจตนาดีของเขา จึงปล่อยให้เคลวินทำ ไม่อยากบ่ายเบี่ยง เพราะรู้สึกสงสารเขาที่ขัดขืนมาตลอด ถึงไงเขาก็คงทำอะไรผมไม่ได้ในคืนนี้


--------------------



   
เสื้อผ้าถูกถอดออกไปจากตัว ร่างกายเหลือแค่เพียงกางเกงชั้นในเท่านั้น ตอนแรกผมทำท่าจะปฏิเสธไม่ให้เขาทำ แต่มานึกอีกที ผมก็ไม่เหลืออะไรที่จะปกปิดเขาแล้ว เคลวินเห็นผมทุกซอกทุกมุมจนหมด ระหว่างเราไม่มีความลับทางร่างกายกันอีกต่อไป ผมจึงยอมให้เขาถอดโดยดี

ผมพยายามข่มความอายเอาไว้ ขณะที่มือใหญ่ถือผ้าชุบน้ำเช็ดถูไปตามใบหน้า และส่วนต่างๆตามร่างกายผม ตาหวานๆของประธานเคลวินจ้องมองผมอยู่ตลอดเวลา ใบหน้ามีรอยยิ้มระบายบางๆ เขาไม่ได้มีทีท่าว่าจะล่วงเกินร่างกายผม มีแต่ความจริงใจที่จะดูแลผมในยามป่วยไข้ ท่าทางตั้งอกตั้งใจ ทำให้ใจผมไหวยวบ

หลังจากทำความสะอาดร่างกายผมเสร็จ เขาก็เอาเสื้อผ้าชุดนอน ซึ่งซักเรียบร้อยมาสวมใส่ให้ผม กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มแทรกซึมอยู่ตามเส้นใยเนื้อผ้าหอมกรุ่น ผมไม่ได้ซักผ้าเองตั้งแต่เขามาอยู่ด้วย เคนแอบเอาเสื้อผ้าใส่ถุงไปให้แม่บ้านซัก แล้วก็จะเอากลับมาที่ห้องผมในวันถัดไป เขาจัดการดูแลเรื่องในบ้านให้หลายอย่าง จนผมไม่ต้องวุ่นวายดูแลมันเลย

“นอนได้แล้วนะครับ พักผ่อนเยอะๆนะ จะได้หายไวๆ”

เขาบอกผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จากนั้นก็ห่มผ้าให้จนถึงคอ และก้มลงจูบเบาๆที่แก้มผม

“แล้วเคลวินละครับ”

“ผมว่าจะไปอาบน้ำ แล้วจะมานอนครับ”

เคลวินตอบ พลางปูเสื้อพับของผมลงกับพื้น ผมมองหน้าเขาเหรอหรา อย่าบอกนะว่าเขาจะนอนบนพื้นนี่ ทุกทีไม่เคยเห็นเขาจะอยากไปนอนแยกจากผม มีแต่จะมาเบียดเสียดอยู่บนเตียง แล้วก็กอดผมไว้ในวงแขน ห้ามเท่าไหร่ ก็ไม่ฟัง จะหนีก็ไม่พ้น แต่คราวนี้มาแปลก กลับเจียมเนื้อเจียมตัวขึ้นมาซะงั้น

หรือว่าเคลวินจะเป็นห่วงผมจริงๆอย่างที่พูด เขาเห็นว่าผมไม่สบาย กลัวว่าจะปวดเมื่อยเนื้อตัวนอนไม่หลับ เลยไม่อยากจะรบกวนผม แล้วถ้างั้นทำไมไม่กลับไปนอนที่บ้านตัวเองล่ะ จะมาทนลำบากทำไม ห่วงใยผมอย่างนั้นหรือ กลัวว่าผมจะเป็นอะไรขึ้นมาเวลาอยู่คนเดียวใช่ไหม โธ่เอ๊ยเคลวิน ทำไมถึงทำแบบนี้นะ

“เคลวินจะทำอะไรน่ะ จะนอนตรงนั้นเหรอ”

ผมถามสิ่งที่คิดออกไป คนตัวโตพยักหน้าหงึกๆ

“ครับ เตียงมันเล็กไป ผมไม่อยากให้เคนอึดอัด ยิ่งไม่สบายอยู่ด้วย อยากให้นอนสบายๆครับ”

เขาเดินมาหยิบหมอนจากเตียงของผมจะเอาไปวางบนเสื่อ แต่ผมยึดมือเขาไว้

“มานอนด้วยกันบนเตียงนี่แหละครับ เคลวิน ไม่อึดอัด มากมายอะไรนักหรอก ถ้าคุณลงไปนอนข้างล่าง ผมคงจะรู้สึกแย่มากทีเดียว ที่ปล่อยให้คุณต้องไปนอนลำบากแบบนั้น”

อยากจะพูดออกไปว่า คุณเป็นประธานบริษัทนะครับ คุณเป็นคนมีเกียรติ มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต ไม่จำเป็นต้องลดศักดิ์ศรีของตัวเองมาทำเพื่อผมแบบนี้ แต่ผมก็พูดไม่ออก รู้สึกมันตื้นตันไปหมด ไม่อยากให้เขามาทำดีกับผมแบบนี้เลย


--------------------



   
“แต่คุณไม่สบายอยู่นะครับ เดี๋ยวคุณจะอึดอัด”

“ไม่เป็นไรนะ ผมไม่ได้นอนกินเนื้อที่มาก ผมต่างหากที่ต้องเกรงใจคุณ และให้คุณนอนบนเตียงด้วยซ้ำ เกรงว่าคุณจะติดหวัดจากผม แล้วก็ไม่อยากหมิ่นเกียรติของคุณด้วยครับ เพื่อให้เราต่างสบายใจ เคลวินมานอนบนเตียงกับผมนะครับ”

ใบหน้าของเคลวินบานเป็นกระด้ง ตาสีฟ้าเปล่งประกายแพรวพราว เขาจับมือผมมากุมไว้ แล้วยกขึ้นมาจูบ ท่าทางดีอกดีใจ

“ดีใจจัง ที่เคนอนุญาตให้ผมมานอนบนเตียงด้วย งั้นเดี๋ยวผมรีบไปอาบน้ำก่อนนะ เคนหลับไปก่อนก็ได้นะครับ ไม่ต้องรอผมนะ พักผ่อนๆเยอะๆนะครับคนดี”

พูดเสร็จเขาก็รีบเด้งตัวออกจากที่นอน ตรงไปยังห้องน้ำทันที ผมแอบยิ้มด้วยความขำที่เห็นท่านประธานจอมเฮี้ยบ ทำตัวเหมือนเด็กหนุ่มๆที่กำลังมีความรัก ใครให้ทำอะไรก็ทำหมดทุกอย่าง รู้สึกว่าเขาน่ารักดีจัง คงจะเป็นคนรักที่ดีได้แน่ๆ นี่ถ้าเขาเป็นผู้หญิง ผมคงรักเขาหมดใจ

15 นาทีผ่านไป ผมยังไม่ทันจะหลับ ประตูห้องน้ำก็เปิดออก แล้วร่างของท่านประธานในชุดผ้าขนหนูพันกายผืนเดียวก็ก้าวออกมาแล้วเดินไปยังตู้เสื้อผ้า ผมมองร่างกายที่สมบูรณ์แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของคนหนุ่มอายุ 30 ปี อย่างชื่นชม เคลวินหุ่นดีจริงๆ นี่ถ้าเขาไม่ดูแลธุรกิจมากมาย ผมว่าไม่แคล้วที่จะถูกคนทาบทามไปเป็นนายแบบหรือดาราเป็นแน่

เหมือนเขาจะรู้ว่ามีคนมอง เขาหันหน้ามาตรงเตียงที่ผมนอนอยู่ ผมรีบปิดเปลือกตาลงทันที หูก็คอยฟังเสียงต่างๆ แต่ไม่ได้ยินอะไร มีเพียงเสียงเปิดปิดตู้เท่านั้น ผมทิ้งเวลาไว้สักอึดใจหนึ่ง คาดคะเนว่าตอนนี้เขาคงกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ จึงค่อยๆลืมตาขึ้นมามอง แล้วผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเคลวินยืนโป๊อยู่ข้างเตียง ไม่มีอาภรณ์ประดับกายสักชิ้น เขายิ้มหวานใส่ตาผมที่เบิกโพลงทันที

“แอบดูคนเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือครับ”

“ปละ..เปล่านะ ไม่ใช่สักหน่อย”

ตอบเขาไปแบบตะกุกตะกักนิดๆ รู้สึกตัวเองหน้าแดง จนต้องซ่อนหน้าด้วยการพลิกตัวหันไปอีกทาง มีเสียงหัวเราะน้อยๆดังมาให้ได้ยิน จากนั้นเสียงพูดเชิงล้อเลียนก็ดังขึ้น

“อยากให้ผมไปนอนด้วยแล้วใช่ไหม ถึงแอบดูว่าผมอาบน้ำแต่งตัวใกล้จะเสร็จหรือยัง แป๊บเดียวนะครับ ผมกำลังจะใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้แหละ”

มีเสียงสวบสาบดังให้ได้ยิน เพียงชั่วเวลาไม่ถึง 5 นาที เคลวินก็สอดตัวเข้ามาในผ้าห่มเดียวกับผมเสียแล้ว และดึงตัวผมมากอดไว้แนบอก

“นอนกันได้แล้วนะ ราตรีสวัสดิ์นะครับ”

คนพูดจูบแก้มผมเบาๆ จากนั้นก็กดหน้าผมไว้แนบอกกว้างของเขา ไม่มีคำพูดใดๆหลุดจากปากของเคลวินอีก มีแต่เสียงลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอ เขาคงเหนื่อยและเพลียจริงๆ ผมซุกตัวเข้าหาเขา และหลับตาลงบ้าง เพียงครู่เดียว ผมก็เข้าสู่ห้วงนิทรา



--------------------


........................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2007 07:59:31 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ช่วงเวลาแห่งความสุข  :m1: :m1:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
รอลุ้นตอนต่อไปจ๊ะ  :a4:  :a4:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หุหุ ยังไม่เห็นโต๊ะกินข้าว  :a10:  :a10:  :a10:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ขอแค่มีเขา ก็มีความสุขแล้ว
 :m1: :m1: :m1:
***************************************

บทที่ 16 คนป่วยจอมเจ้าเล่ห์

เป็นเวลากว่า 8 โมงแล้ว ตอนที่ผมตื่นขึ้นมา ผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามีกำลังวังชา หายปวดหัว หรือปวดเมื่อยเนื้อตัว สงสัยการได้พักผ่อนเต็มที่หนึ่งวันเต็มๆ คงจะช่วยทำให้ผมฟื้นไข้ได้อย่างรวดเร็ว ผมขยับตัว แต่ก็ยังรู้สึกอึดอัดเหมือนเดิม เหมือนมีอะไรหนักๆร้อนๆมาทับเอาไว้

ผมสังหรณ์ใจ เลยมองไปด้านข้างของตัวเอง ก็พบเคลวินนอนกอดผมไว้แน่น ตาผมเหลือบแลไปยังนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหัวเตียงอีกครั้ง นี่มันสายแล้ว เคลวินไม่เคยตื่นสายแบบนี้มาก่อน รวมถึงตัวผมเองด้วย เราสองคนมีภารกิจต้องไปทำงาน ผมหายแล้วผมไม่ควรจะนอนอยู่กับบ้าน ในขณะที่เคลวินก็ต้องไปดูงานของทั้งบริษัท เพราะเขาเป็นหัวเรือใหญ่

ไม่ได้การแล้ว ถ้าผมกับเขาไปสายด้วยกันทั้งคู่ หรือเข้าบริษัทพร้อมกัน คนได้สงสัยแน่ๆผมรีบจับตัวเขาเขย่าทันที แล้วก็ต้องชักมือกลับเมื่อสัมผัสเข้ากับความร้อนในกายเขา เคลวินตัวร้อนมาก สงสัยติดหวัดจากผมแน่ๆ ก็เล่นมากอดมาจูบผมตลอด แถมซ้ำยังมานอนด้วยจะไม่ติดไปได้อย่างไร ห้ามก็ไม่ฟัง ยังจะดื้ออีก แต่จะว่าไปเมื่อคืนผมเองนั่นแหละที่เชิญชวนเขามานอนด้วยกันทำให้ไข้จากตัวผมถ่ายทอดไปสู่เคลวิน

ไหนบอกว่าร่างกายแข็งแรงไง ออกกำลังกายบ่อยๆ ไม่เจ็บไม่ไข้ ยังไม่ทันไรก็ป่วยเสียแล้ว ทำเป็นอวดเก่งดีนัก ท่านประธานขี้เก๊กเอ๊ย อ่อนแอกับเขาก็เป็นเหรอ ดูไปก็น่าสงสารจัง นอนนิ่งหน้าซีดหน้าเซียวไปเลย ตัวร้อนจัดแบบนี้ คงไปทำงานไม่ไหวกระมัง

จะทำยังไงดีล่ะทีนี้ จะพาเขาไปหาหมอก็ไม่มีเงินเลย ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือใช้เพียงแค่ 500 บาทเท่านั้น เพราะผมโอนเงินให้แม่ไปบางส่วนแล้ว ยังเหลืออีกก้อนหนึ่งที่ต้องส่งไปให้ จะหยิบยืมใครก็ไม่กล้า เงินเดือนผมก็ยังไม่ได้เสียด้วยสิ เพราะยังไม่ถึงสิ้นเดือน สงสัยคงต้องแบ่งยาของผมให้เขาทานไปก่อน หลังจากนั้นคงต้องโทรไปบอกคนในครอบครัวของเขา

แต่ผมจะบอกยังไงดีล่ะ เบอร์โทรศัพท์ที่บ้านเขาผมก็ไม่มี มีแต่เบอร์ที่บริษัท พี่นนทรีจะรู้ไหมหนอ เธอเป็นเลขาของเคลวิน น่าจะรู้เกี่ยวกับเรื่องของเขาเยอะพอสมควร ถ้างั้นผมโทรถามเอาจากพี่นนทรีดีกว่า แต่ตอนนี้ไปเอาน้ำเอายามาให้เขากินก่อนดีกว่า

ผมดึงมือของเขาที่กอดก่ายผมไว้ ออกจากตัว จากนั้นก็ค่อยๆเลื่อนตัวลงจากเตียง แล้วเดินออกไปยังส่วนที่กั้นไว้เป็นพื้นที่ทำครัว มีขวดน้ำที่ยังไม่ได้แช่เย็นอยู่สองสามขวด เคลวินคงซื้อมาให้ผมเพื่อเอาไว้ทานตอนป่วย เพราะทานน้ำเย็นไม่ได้ เขาคงไม่นึกว่าตัวเองจะได้ดื่มด้วย

ปกติเคลวินติดน้ำเย็นจะตาย ตอนบ่ายๆเวลาผมชงกาแฟไปให้เขาทาน ซึ่งเป็นงานส่วนหนึ่งของผู้ช่วยเลขา ผมจะต้องมีน้ำเย็นไปให้เขาด้วยทุกครั้ง แก้วน้ำลวดลายน่ารัก วางอยู่ในถาดบนหลังตู้ ตอนหยิบมาเพื่อรินน้ำใส่ ผมจึงได้มีโอกาสเห็นว่ามันพิมพ์คำว่า ผมรักคุณ หมดทุกใบ ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ตาประธานสองหน้าคนนี้ ช่างโรแมนติกดีจัง



--------------------
ตอนที่ผมหันออกมาจากตู้เย็น สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นความผิดปกติบางอย่าง จนผมต้องหันกลับไปมองซ้ำ ตรงซอกแคบๆห่างจากตู้เย็น มาสักเล็กน้อย มีชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับรับประทานอาหารขนาดสองคนตั้งอยู่ ผมรู้สึกจี๊ดขึ้นมาทันที

หนอยไอ้เจ้าประธานตัวแสบ แอบไปซื้อข้าวของมาใส่บ้านผม โดยไม่บอกไม่กล่าวอีกแล้ว มิน่า ท่าทางถึงมีพิรุธนัก ไม่ยอมให้ผมออกจากห้อง อ้างว่าผมไม่สบายอยากให้ผมพักผ่อนเยอะๆ แต่ที่จริงเป็นเพราะไม่อยากให้ผมเห็นของที่เขาซื้อมาต่างหาก

ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เฟอร์นิเจอร์ชุดนั้นอย่างเดียว ยังมีจักรยานเสือหมอบวางแอบๆอยู่ข้างประตูด้วย อะไรกันนักหนานี่ พูดไม่เป็นคำพูด สัญญาว่าจะบอกกันก่อน แต่ก็ละเมิดคำพูดนั่น แล้วทำตามใจตัวเอง ถ้าเป็นคนไม่รักษาคำมั่นแบบนี้ จะลั่นวาจาทำสัญญากับผมทำไม

นึกแล้วก็น่าโมโหนัก เป็นไข้ตายไปเลยก็ดี ไอ้คนบ้า ไอ้ประธานโรคจิต เห็นว่าหัวใจของผมมีเอาไว้เพื่อซื้อขายหรือไง หรือเห็นว่าผมเป็นคนจน จะเอาเงินฟาดหัว ทำอะไรกับผมก็ได้ ปล่อยให้นอนซม ไม่ต้องดูแลพยาบาลกันดีมั๊ง เก่งนักนี่ คงจะหายได้เองแหละ

ผมคิดอย่างโมโห และนั่งมันอยู่ตรงเก้าอี้สำหรับทานข้าวนั่นแหละ ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเอายาให้คนป่วยทาน ไม่รู้ว่าผมอยู่ในห้วงของความโกรธนานสักเท่าไหร่กว่าที่ผมจะได้สติ เรื่องแบบนี้จะปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องเล่นงานที่คนเจ้ากี้เจ้าการ ที่ป่วยนี่ก็คงจะสำออย ไม่ได้ป่วยจริงหรอก ตาประธานสองหน้านี่เจ้าเล่ห์ออกจะตาย

คิดได้ดังนั้น ผมก็ลุกขึ้นเตรียมจะไปต่อว่าต่อขานคนที่ยังนอนไม่ลุกอยู่บนเตียง ทว่ายังไม่ทันจะได้เข้าไปอาละวาด เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ผมเดินไปเปิดประตูอย่างโมโห ลุงเทพคนขับรถรูปร่างท้วมลงพุงของท่านประธานเคลวิน ยืนนอบน้อมอยู่หน้าประตู ตามปกติแกจะขับมารับประธานเคลวินทุกเช้า นี่คงเห็นว่าสายมากแล้ว แต่เขายังไม่ออกไปซักที คงเป็นห่วงเลยเข้ามาตาม

“ขอโทษครับ คุณหนู ที่ผมมารบกวน คืออยากจะถามว่า......”

“ถามว่าอะไร”

ผมแหวใส่ไปอย่างฉุนเฉียว ที่ลุงเทพมาขัดจังหวะ แถมซ้ำยังมาเรียกผมว่าคุณหนูอีก ไอ้คนบ้านนี้มันเป็นอะไรกันไปหมดนะ ถูกสอนให้เรียกคนอื่นเป็นแต่คำนี้คำเดียวหรือไง ผมไม่ใช่คุณหนูของบ้านเคลวิน แล้วผมก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเขาด้วย ผมนึกอย่างเดือดดาล

ลุงเทพมองผมอย่างงุนงง ที่เห็นผมซึ่งตามปกติสุภาพเรียบร้อย โมโหใส่แกแบบนี้ จนผมเองก็นึกเสียใจที่ทำตัวร้ายๆกับแกลงไป ทว่าความโกรธเจ้านายของลุงเทพยังคงอยู่ ทำให้ผมไม่ยอมเอ่ยปากขอโทษออกไปตอนนี้

“คือ ผมเห็นว่าสายมากแล้ว แต่คุณหนูเคลวินยังไม่ออกมาจากห้อง ท่านจะไปทำงานหรือเปล่าครับ”

คนขับรถเก่าแก่ถามด้วยความเกรงอกเกรงใจ

“คงไม่ไปมั๊ง จนป่านนี้ยังนอนไม่ตื่นเลย”



--------------------
ตอบไปด้วยเสียงห้วนๆ

“เหรอครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“จะเป็นอะไรล่ะ นอกจากโรคสำออย”

พูดไปแล้ว ก็ตกใจตัวเอง นี่ผมกล้าว่าประธานเคลวิน ต่อหน้าลูกน้องเก่าของเขาเลยหรือ ตายแล้ว ปากพาจนจริงๆ ถ้าลุงเทพไปฟ้องเจ้านายแก ผมมีหวังถูกไล่ออกจากงานแน่ หรือไม่ก็คงจะถูกเคลวินภาคประธานบริษัทดุด่าแรงๆเป็นแน่ นึกแล้วสยองนัก

“งั้นหรือครับ สงสัยต้องให้คุณหนูช่วยรักษาท่านนะครับ คงจะช่วยแก้โรคนี้ได้ คุณหนูเคลวินคงไม่ได้ไปทำงานวันนี้ คงไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถ ถ้างั้นผมไปดีกว่านะครับ”

ลุงเทพหันหลังกลับไปดื้อๆ ผมมองด้วยดวงตาเคืองขุ่น จนกระทั่งแกขึ้นรถและขับจากไป นานทีเดียว กว่าที่ผมจะสำนึกได้ว่าลุงเทพเป็นอีกหนึ่งแหล่งข้อมูลที่จะบอกกล่าวเรื่องเคลวินไปยังครอบครัวของเขาได้ เพราะความที่โมโหจนขาดสติ ทำให้ผมลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย แล้วนี่ผมจะต้องมารับมือกับคนที่ไม่รู้ว่าป่วยหรือเปล่า แถมซ้ำยังเป็นโรคจิตอีกด้วย คนเดียวนี่นะ

“เคลวิน ตื่นๆได้แล้วครับ ลุกขึ้นมาพูดกันเดี๋ยวนี้”

ผมเดินไปที่เตียง แล้วเขย่าตัวเคลวินแรงๆ พลางพูดด้วยเสียงอันดัง แต่เคลวินก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ผมนึกโมโหขึ้นมาอีก

“นี่ อย่ามาทำเป็นแกล้งนอนหลับนะครับ ตื่นขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลย”

เคลวินยังคงนอนนิ่ง คิ้วขมวดมุ่น พูดอะไรบางอย่างออกมาฟังไม่ได้ศัพท์ ผมเอามือแตะหน้าผากเขาอีกครั้ง แล้วก็สะดุ้ง มันร้อนมากจริงๆ สงสัยเคลวินคงไม่ได้แกล้งป่วย เพราะใครจะแกล้งได้เหมือนขนาดนี้ อารมณ์โกรธเมื่อครู่ลดวูบลง เหลือแต่ความห่วงใยเข้ามาแทน ผมเดินกลับไปที่โต๊ะอาหารที่วางแก้วน้ำเอาไว้ และนำกลับมันเข้ามาให้เคลวินทานอีกครั้ง

“เคลวิน ลุกไหวไหมครับ”

ถามเขาเสียงอ่อนลงกว่าเดิมขณะที่ประคองเขาให้ลุกขึ้นนั่ง ให้ร่างหนาหนักที่ร้อนรุ่มด้วยพิษไข้นั้นพิงที่ตัวผม ไม่นึกอยากจะหาเรื่องเขาแล้วตอนนี้ รู้สึกว่ามันคงจะเป็นการกระทำที่แย่มาก หากจะไปต่อว่าต่อขานเอากับคนป่วยที่ไม่รู้สึกตัวแบบนี้ รอให้เขาหายก่อน แล้วค่อยโมโหโทโสใส่ คงยังไม่สายเกินไปกระมัง

เปลือกตาคนป่วย ค่อยๆเปิดขึ้นอย่างช้าๆ พอเห็นหน้าผม เขาก็ส่งยิ้มให้ ใบหน้านั้นดูอ่อนระโหยโรยแรงอย่างเห็นได้ชัด

“ทานยาก่อนนะครับ คุณไม่สบายนะ ตัวร้อนมากเลย สงสัยว่าคงจะติดหวัดจากผม”

“ครับ”

เขาตอบรับ และยิ้มให้ ผมวางร่างเขาบนที่นอน แล้วเอาหมอนมาซ้อนหลังเขาไว้ เพื่อให้พิงได้สะดวก จากนั้นก็เอายาแก้ไข้ของผม และน้ำมาให้ รอดูจนกระทั่งเขาทานยาเสร็จ ผมก็เก็บแก้วไปวางไว้ในครัว และเอากาละมังใส่น้ำ เพื่อจะเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เขาเพื่อลดไข้



--------------------
“เคนเลยต้องมาพยาบาลผมเลย”

เสียงของเคลวินแหบแห้งมาก ยามพูดกับผม สงสัยไข้หนักจริงๆ

“ไม่ต้องพูดแล้วครับ เสียงคุณไม่ดีเลย เจ็บคอไหมครับ ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวบ้างไหม”

เขาพยักหน้าแทนคำตอบ ผมเอาหลังมือแตะที่แก้มเขาเบาๆ

“ตัวก็ร้อนมากเลย ไปหาหมอดีไหมครับ”

“ผมไม่เป็นไรมากหรอกนะ เดี๋ยวทานยาแล้วก็หายนะครับ”

คนพูดยังคงดื้อดึง ทั้งที่เสียงก็แทบจะไม่ค่อยมีแล้ว แถมซ้ำพูดจบก็ไอโขลกๆด้วย รู้สึกเหมือนจะเป็นหนักกว่าผมอีก ผมเลยทำหน้าดุใส่เขา

“ไม่เป็นไรได้ไง ดูสิ ตัวก็ร้อน เสียงก็แห้ง แถมไออีกด้วย ขืนปล่อยไว้จะยิ่งไม่หายนะครับ ไปหาหมอดีกว่าไหม”

“ไม่เอาอ่ะ”

“ทำไมล่ะ กินยาอย่างเดียวมันแก้ไม่ได้หรอก มันต้องให้หมอดูอาการนะครับ”

“ไม่อ่ะ ไม่อยากไป”

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ผมถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นเคลวินปฏิเสธ เขาไม่ยอมสบตาผม ท่าทางเหมือนมีพิรุธ ผมเลยแกล้งถามเล่นๆว่า

“กลัวหมอเหรอ หรือว่ากลัวเข็มฉีดยา”

เคลวินหน้าแดงก่ำ นิ่งเงียบไม่ยอมตอบ
ผมนึกรู้ในทันทีว่าอะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้เคลวินไม่ยอมไปหาหมอ ผมถึงกับหลุดหัวเราะก๊ากออกมา ที่จับจุดอ่อนเขาได้ โถ ช่างน่าสงสารเสียจริง ตัวใหญ่เบ้อเร่อเบ้อร่า กลับกลัวเข็มฉีดยาอันเล็กนิดเดียว

“ใช่จริงๆด้วย”

หลิ่วตาล้อเลียนเขา ยังไม่หยุดขำ เคลวินหน้าแดงยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอายหรือพิษไข้
“หัวเราะทำไมล่ะครับ ก็เวลาฉีดยาแล้วมันเจ็บนี่นา”

“อ้าว แล้วที่ผ่านๆมา เคลวินทำอย่างไรล่ะครับ เวลาป่วยขึ้นมา”

ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็ก รู้สึกเอ็นดูท่านประธานเคลวินขึ้นมาทันที ทั้งที่เมื่อกี้โกรธเขาอยู่ เวลาคนเห็นคนตัวโตๆ กลัวเรื่องอะไรที่มันเล็กน้อยในสายตาเรา มันอดที่จะรู้สึกขำไม่ได้

“ก็กินยาอย่างเดียวครับ ถ้าต้องฉีดยาก็ต้องวิ่งหนีกันอุดตลุด”

เขาตอบอายๆ นี่คงเป็นความลับของเขาที่ไม่ค่อยอยากบอกใครแน่ๆ ผมรู้สึกดีที่ได้มีส่วนร่วมรู้ความลับอันนี้


--------------------
“คราวนี้ถึงยังไงก็ต้องไปหาหมอก่อนนะ มันไม่ได้ต้องฉีดยาทุกครั้งนี่นา
อาจจะแค่ทานยาแล้วกลับบ้านก็ได้ ไปนะครับ”

“ไม่ไปไม่ได้เหรอครับ ไม่อยากไปนะ โรงพยาบาลอ่ะ เหม็นกลิ่นยาด้วย”

คนป่วยโวยวายเสียงแหบแห้ง นี่ถ้าเป็นอายุเท่ากัน ผมคงเตะก้นโด่งไปแล้ว คนอะไรดื้อจัง

“อย่างอแงสิครับเคลวิน เมื่อวานนี้ ผมยังยอมกินยา ยอมให้คุณทำทุกอย่างโดยไม่ขัดขืนเลยนะ ตอนนี้ถึงตาคุณบ้างแล้ว ต้องไปหาหมอสิ”

“ไม่เห็นจะยอมให้ผมทำอะไรได้ทุกอย่างเลย เมื่อวานก็ไม่ได้นวดเคนด้วย”

เคลวินทำหน้างอ เหมือนเด็กที่ไม่ได้สิ่งของที่ต้องการ จนผมรู้สึกหมั่นไส้
อีตาประธานจอมสำออยนี่จัง แทนที่จะเป็นคนป่วยที่สงบเสงี่ยมเสียหน่อย กลับฤทธิ์มาก ทั้งที่ตัวก็ร้อน เสียงก็เปลี่ยน แถมซ้ำพูดจบก็ไอออกมาอีกยกใหญ่

“อ้าว ก็ใครล่ะ หลับไปก่อนเลย ไหนว่าแข็งแรงไม่ป่วยไม่ไข้ล่ะ แล้วนี่อะไร ป่วยหนักยิ่งกว่าผมอีก ทั้งตัวร้อน ทั้งไอแบบนี้ มันแย่แล้วนะ ถ้าทำตัวดื้อไม่ยอมไปหาหมอ ผมก็จะไม่ยอมตามใจเคลวินอีกแล้ว และไม่ยุ่งกับคุณอีกด้วย”

ผมขู่ ซึ่งคงจะได้ผลอยู่บ้าง เคลวินหยุดงอแง หันมาอ้อนผมต่อ

“อย่าทำแบบนั้นนะครับ”

“ถ้าไม่อยากให้ผมทำแบบนั้น ก็ไปหาหมอกันนะครับ เดี๋ยวผมพาไปนะ”

อาสาเขาแล้ว ก็นึกขึ้นมาได้ว่าไม่มีเงินพอจะพาเขาไปหาหมอ รู้สึกอายถ้าหากไปถึงแล้ว ต้องให้เคลวินออกเงินเอง ทว่าผมไม่ต้องกังวลใจกับเรื่องนี้มาก เมื่อเคลวินเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาว่า

“ก็ได้ครับ แต่ไม่ไปโรงพยาบาลนะ โทรหาหมอประจำดีกว่า คนที่เคยรักษาคุณเมื่อวานไงครับ คนนี้ไว้ใจได้ เขารักษาเก่งใช้มือถือของผมก็ได้ครับ ในนั้นมีเบอร์คลีนิคอยู่ ชื่อคุณหมอเต้ครับ”

คนป่วยยื่นโทรศัพท์ของเขาที่วางบนหัวเตียงมาให้ ผมรับมาแล้วกดไล่หาเบอร์จากมือถือ พอเจอเบอร์แล้ว ผมก็โทรทันที โชคดีที่หมอเต้เป็นคนรับสาย ผมเลยเล่าอาการของเคลวินให้เขาฟัง เขารับปากว่าจะรีบมาตรวจให้

“เรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้ก็นอนพักผ่อนรอหมอมาตรวจนะ อ้อ แล้วจะให้ผมโทรไปบอกให้ที่บ้านทราบหรือเปล่าครับ”

“ไม่ต้องหรอกครับ ไม่อยากให้ใครเป็นห่วง”

“แล้วที่ทำงานล่ะวันนี้คุณมีนัดกับผู้จัดการฝ่ายบุคคลเรื่องการจัดสรรพนักงานในองค์กรตอนบ่ายสอง ให้โทรไปเลื่อนไหมครับ"

ในฐานะผู้ช่วยเลขาผมต้องคอยจดจำเรื่องกำหนดการนัดหมายต่างๆของท่านประธานเคลวินเพื่อคอยย้ำเตือนเขา ตามปกติหน้าที่นี้พี่นนนี่จะเป็นคนทำ แต่บางครั้งหากพี่นนนี่ไม่อยู่ หรือไปทำธุระ
ผมก็ต้องตอบเรื่องนี้ได้ด้วยเหมือนกัน รวมถึงต้องเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมด้วย


--------------------
“เคน ช่วยโทรไปหาคุณนนทรีว่า วันนี้ผมไม่ไปทำงาน ลาป่วยหนึ่งวัน
ให้เขาทำใบลาป่วยให้ผมด้วย เดี๋ยวผมจะกลับไปเซ็นต์
แล้วให้แคนเซิลการนัดหมายของวันนี้ให้ผมด้วย ช่วยเปิดเมล์ผมดูว่ามีเรื่องอะไรที่สำคัญบ้าง หากมีเรื่องสำคัญก็โทรเข้ามือถือผม เท่านั้นก็พอครับ”

กว่าที่เคลวินจะสั่งจบ ก็ไอโขลกเขลกไปหลายครั้ง จนผมนึกสงสาร เอาโทรศัพท์ของเขามาจิ้มเบอร์โทรหาพี่นนนี่ในโทรศัพท์ของเขา แต่เขาร้องห้ามเสียก่อน

“อย่าใช้โทรศัพท์ผมโทรไป”

ผมงงอยู่สักพักถึงได้เข้าใจ ว่าทำไมถึงไม่ให้ผมโทรโดยใช้เบอร์ของเขา มันคงจะเป็นเรื่องแปลกถ้าหากผมจะโทรออกจากมือถือของเคลวินเพื่อไปแจ้งข่าวเรื่องเขาให้คนอื่นทราบ ถึงแม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นเลขาของเคลวินก็ตาม เพราะความสงสัยจะบังเกิด ว่าทำไมผมถึงมาใช้เบอร์นี้ ผมมีความสัมพันธ์กับประธานบริษัทแค่ไหน สารพัดที่คนจะคิดและเข้าใจไปเองต่างๆนานา แถมเราสองคนจะถูกนินทาว่าร้ายเสียด้วย แต่ถ้าไม่ใช้โทรศัพท์ของเขาแล้วจะใช้โทรศัพท์ของใครล่ะ

“อีกเครื่องหนึ่งไงครับ”

พอเขาบอก ผมจึงนึกขึ้นได้ ว่าเคลวินลืมโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งไว้ที่บ้าน และผมเก็บมันไว้ในลิ้นชักตรงหัวเตียง ผมหยิบมันออกมาทันที และไล่ดูเบอร์จากมือถือเคลวิน จากนั้นก็กดโทรศัพท์อีกเครื่องเพื่อโทรหา

“อื้อ รู้แล้วล่ะ ว่าต้องเป็นแบบนี้”

พี่นนนี่ไม่มีท่าทีแปลกใจ จากการพูดคุยทำให้ผมรู้ว่า เคลวินมีอาการไข้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เห็นบ่นกับพี่นนนี่ว่าปวดหัว แต่ก็ยังทนฝืนใจทำงานจนกระทั่งหกโมงเย็น ถึงได้กลับไป ผมสงสัยว่าเขาคงติดหวัดผมตั้งแต่คืนแรกที่มานอนด้วย เขาคงห่วงงานเลยพยายามทำตัวเข้มแข็ง ไปทำงานทั้งที่ตัวเองไม่สบาย สุดท้ายก็ต้องมานอนซมไปทำงานไม่ได้อยู่ดี

“แล้วทำไมเราถึงเป็นฝ่ายโทรมาหาพี่ได้ล่ะ ท่านประธานโทรไปหาเหรอ หรือว่าตอนนี้อยู่ด้วยกัน”

โดนเข้าจนได้ ลืมไปเลยว่าถึงโทรหาพี่นนนี่ก็ต้องโดนสงสัยอยู่ดี
เพราะอยู่ๆผมจะโทรมาแจ้งเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน ทั้งๆที่เคลวินก็สามารถโทรไปสั่งการพี่นนนี่เองได้ การให้ผู้ช่วยอย่างผมโทรไปบอกเลขาส่วนตัวของเขามันอาจจะทำให้พี่นนนี่คิดมาก เหมือนว่าเธอไม่มีความหมาย และพอดีพอร้ายเธอจะคิดว่าผมเล่นเส้นกับประธานเคลวินด้วย

“เอ้อ คุณเคลวินโทรมาบอกครับ”

โกหกนิดหน่อย หวังว่าคงไม่บาปมาก

“อื้ม นึกว่าอยู่ด้วยกัน เห็นหายไปทั้งคู่ เมื่อวานนี้ท่านประธานบอกว่าเธอไม่สบาย วันนี้เธอโทรมาบอกว่าท่านประธานไม่สบาย ช่างบังเอิญดีแท้”

พี่นนนี่เหมือนจะรู้ทัน ช่างน่ากลัวจริงๆ คนเป็นเลขานี่เขามีเซนส์ของนักสืบด้วยเหรอ หรือว่านี่เป็นเรื่องปกติของคนที่อยู่ใกล้ชิดเจ้านาย จึงต้องละเอียดมากเป็นพิเศษแบบนี้



--------------------

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ผลัดกันป่วยผลัดกันดูแล  :-[  :-[

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
อิอิ ผลัดกันป่วยผลัดกันดูแล เดี่ยวก็เห็นใจกัน อิอิ

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
เวลาป่วยก็ดีงี้แหละ  :m18: :m18:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
บทที่ 17 ความลับแตก(หรือเปล่านะ)??????

วางสายจากพี่นนนี่ด้วยความใจหายใจคว่ำ กลัวว่าพี่นนนี่จะซักถามอะไรอีก แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร นอกจากอวยพรให้ผมและท่านประธานหายป่วย พลางฝากให้บอกประธานว่า เรื่องทางนี้ไม่ต้องห่วง เธอจะช่วยจัดการดูแลให้ เธอทำราวกับว่ารู้ว่าผมกับเคลวินอยู่ด้วยกัน แต่ในเมื่อเธอไม่พูดอะไรออกมา ผมก็ถือเอาว่าพี่นนนี่ยังไม่ได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ และผมก็ไม่ควรจะทำตัวให้เป็นที่สงสัย ใครจะระแคะระคายก็ช่าง หากผมไม่ยอมรับเสียอย่าง ใครก็จับผิดผมไม่ได้

ผมลืมเรื่องป้าหมี่ไปสนิทใจ จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตู แล้วป้าหมี่ก็เข้าห้องมาทันทีที่ผมเปิดให้ ทันทีที่เห็นป้าหมี่ กับข้าวของพะรุงพะรังที่แกถือมา ผมก็นึกขึ้นมาได้ เมื่อวานนี้ป้าหมี่บอกว่าจะมาดูแลผมอีกวันตามคำสั่งของเจ้านายแก ไม่รู้ป้าหมี่รู้หรือเปล่าว่าคนที่สั่งนอนป่วยอยู่บนเตียงในห้องของผมตอนนี้ หรือว่ารู้แล้วแต่ก็ยังอยากจะมาอีก

“ต๊ายยย คุณหนูเคลวินของป้า ไม่สบายหรือคะ ทำไมไม่กลับไปบ้านล่ะคะ”

เสียงกรี๊ดของป้าหมี่ทำให้ผมได้คำตอบ ตอนที่ผมหันหลังไปปิดประตู แกก็เอาของไปวางบนโต๊ะที่เคลวินซื้อมา แล้วก็เดินไปแหวกม่านที่กั้นส่วนที่เป็นเตียงนอนของผมออก ผมเดาเอาว่าแกคงรู้เรื่องนี้จากลุงเทพคนขับรถของเคลวินแล้ว และคงอยากมาดูแลคุณหนูของแกกับผมด้วย

คนป่วยยังคงนอนไม่รู้สึกตัว ป้าหมี่มองหน้าผมอย่างหวาดวิตก ผมเลยต้องปลอบแกว่า คุณหมอจะมาดูอาการคุณหนูของแก ไม่ต้องเป็นห่วง ผมให้ยาทานไปบ้างแล้ว พักผ่อนเสียหน่อยก็คงหาย แกทำท่าอิดออดว่าจะนั่งเฝ้าข้างเตียง ผมต้องบอกให้แกออกไปทำงานตามที่มอบหมายแล้วปล่อยให้เคลวินนอนพัก ถูกรบกวนมากๆจะยิ่งไม่สบายกันใหญ่ แกเลยยอมออกไปแต่โดยดี

“ไม่สบายแทนที่จะกลับบ้าน กลับมานอนอุดอู้อยู่ในห้องเล็กๆแบบนี้ จะหายได้ยังไง”

แกบ่นกระปอดกระแปดด้วยความเป็นห่วง แต่สิ่งที่แกพูดทิ่มแทงใจผมนัก ผมเหลียวมองไปรอบห้องเช่าสี่เหลี่ยมแคบๆของตัวเอง ซึ่งบัดนี้มันแคบยิ่งขึ้น เมื่อมีโต๊ะเก้าอี้สำหรับรับประทานอาหาร และตู้เย็นเพิ่มเข้ามา

เดิมทีผมแบ่งห้องออกเป็นสองส่วน โดยเลื่อนตู้และเตียงขนาดนอนคนเดียวของเดิมมารวมอยู่ในมุมเดียวกัน หาผ้าม่านมากั้น และแบ่งส่วนหนึ่งไว้ทำเป็นห้องครัวเล็กๆ ซึ่งมีเตาแก๊สปิคนิค และพวกชั้นวางของสำหรับเก็บถ้วยชามและอุปกรณ์ทำครัวของผม เวลาจะทำกับข้าว ก็ทำกันบนพื้น ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำกับข้าวมากมายอะไร แต่ที่ต้องเตรียมเอาไว้ก็เผื่อเวลาแม่หรือน้องมาหา จะได้ไม่ต้องออกไปหาซื้อกินที่ไหน กินกันที่ห้องเช่าของผมนี่แหละ เพราะผมคงไม่มีปัญญาพาพวกเขาออกไปกินข้าวข้างนอกแน่ๆ

เมื่ออยู่คนเดียวผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่พออยู่สองคนกับเคลวิน ซึ่งเที่ยวซื้อหาข้าวของมาใส่ห้องของผม พื้นที่ที่มีอยู่ก็เลยแคบลงไปถนัดตา แล้วฝรั่งตัวโต เงินหนาอย่างเขาซึ่งเคยชินอยู่กับข้าวของแต่งบ้านที่หรูหราฟู่ฟ่า ในคฤหาสน์ใหญ่โต จะอยู่ในห้องเล็กแคบอย่างสบายๆได้อย่างไร



--------------------




 “อุ้ย ขอโทษค่ะ คุณหนู ป้าไม่ได้ว่าอะไรนะคะ เพียงแต่ห่วงคุณเคลวินเท่านั้น”

ป้าหมี่คงจะนึกได้ว่าคำพูดของแกอาจจะทำให้ผมรู้สึกแย่ เลยรีบขอโทษ ผมยิ้มให้แก แล้วบอกไปว่าไม่เป็นไรหรอก บ้านผมมันก็คับแคบจริงๆนั่นแหละ ผมก็อยากจะมีห้องใหญ่ๆนะ เวลาใครมาบ้าน จะได้อยู่กันได้นั่งเล่นนอนเล่นกันได้สบาย ไม่คับแคบเหมือนที่เป็นอยู่นี้

“แล้วทำไมคุณหนูถึงไม่ย้ายไปอยู่กับคุณเคลวินล่ะคะ”

อยู่ดีๆป้าหมี่ก็เกิดถามผมขึ้นมาแบบนี้ เล่นเอาผมสะดุ้งเฮือก มองหน้าแกอย่างจับผิด เดาว่าแกรู้อะไรบ้าง เคลวินมานอนป่วยในบ้านผมแบบนี้ แกต้องคิดอะไรบ้างล่ะ เมื่อวานก็พูดเป็นนัยๆทีหนึ่งแล้ว หากแกรู้เรื่องเคลวินจากปากลุงเทพ แกคงปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆได้แน่ๆ หรือบางทีเจ้านายตัวแสบของแกก็คงจะบอกทุกอย่างจนหมดแล้ว

“ย้ายไปอยู่ได้ยังไงล่ะครับ ป้าหมี่ ผมเป็นแค่พนักงาน ไม่ได้เป็นอะไรกับท่านนี่”

แสร้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน ทำเหมือนว่าเรื่องที่ป้าหมี่พูดเป็นเรื่องที่น่าขันและไม่มีทางเป็นไปได้ พี่เลี้ยงผู้จงรักภักดีของเคลวินมองผมด้วยดวงตาวาววับ ผมคิดว่าผมเห็นความฉลาดฉายแวบอยู่ในดวงตาที่เจนโลกนั่น

“คุณหนูเคนคะ ป้าน่ะ อยู่กับคุณหนูเคลวินมานาน ถึงแม้ท่านจะไม่บอกอะไรป้าทุกอย่าง แต่ความที่เลี้ยงดูคุณหนูมาตั้งแต่เล็ก ทำให้ป้าพอจะเดาความคิดของคุณหนูได้ การที่คุณเคลวินให้ป้ามาดูแลคุณเคนเป็นพิเศษมันก็บอกอะไรป้าได้มากมายนะคะ คุณหนูอาจจะอายป้าไม่อยากให้รู้ ป้าก็ไม่ว่าอะไร แต่อยากจะบอกว่าป้ารู้แล้วว่าคุณหนูเคนอยู่ในสถานะอะไร ไม่ต้องห่วงนะคะ ป้าไม่พูดมากหรอก เชื่อใจป้าได้ ถ้าคุณหนูเคลวินยังไว้ใจป้า แล้วทำไมคุณหนูเคนถึงไม่ยอมเชื่อละคะ”

สีหน้าและแววตาที่จริงใจของป้าหมี่ ขณะที่พูดให้ผมฟัง ทำให้ผมอึ้ง แต่ผมก็ยังไม่ยอมจำนนอยู่ดี ป้าหมี่บอกว่าแกรู้จากการคาดเดาเอาเอง ไม่ได้รู้ความจริงจากปากเคลวิน ดังนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องรับ การเป็นสามีของผู้ชายคนหนึ่งที่คอยจะปล้ำผมอยู่ตลอดเวลามันน่าอายน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ ใครจะหน้าชื่นตาบานอยู่ได้ ผมไม่ได้อยากเป็นเกย์ซะหน่อย

“ผมว่าป้าเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรกับท่านประธานนะครับ เราแค่เป็นนายจ้างกับลูกจ้างกันเท่านั้น”

“เจ้านายของป้า มีข้อเสียตรงไหนคะ คุณหนูเคนถึงยอมรับรักท่านไม่ได้ ถึงแม้คุณหนูจะเพี้ยนๆอยู่บ้าง เป็นคนเจ้าเล่ห์แสนกลไปนิด แต่ไม่เคยทำร้ายใคร ท่านก็เป็นคนน่ารัก จิตใจดีมาก รักใครรักจริงนะคะ ป้าไม่อยากให้คุณหนูเคนด่วนตัดสินใจปฏิเสธคุณเคลวิน โดยไม่ยอมให้โอกาสท่านได้พิสูจน์ความรักที่มีต่อคุณหนูนะคะ”



--------------------


..............................................


น้ำเสียงนั้นดูจริงจังเหลือเกิน ผมรู้สึกลำคอตีบตัน พูดไม่ออก สิ่งที่ป้าหมี่พูดใช่ว่าผมจะไม่เห็น และผมก็ซาบซึ้งในสิ่งที่เขาทำให้ ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตนจนถึงทุกวันนี้ ผมอาจจะเคยได้รับความรักมาบ้าง แต่ไม่เคยมีใครทำให้ผมเหมือนกับที่เคลวินทำให้มาก่อนเลย

ความดีของเขามันทำให้ผมเริ่มใจอ่อนลงเรื่อยๆ และผมจำเป็นต้องหยุดมันไว้ ก่อนจะถลำตัวและใจมากกว่านี้ ผมรู้ว่าป้าหมี่พูดเพื่อเจ้านายของแก ไม่ได้ต้องการกดดันผม และผมก็ไม่โกรธแกด้วย ถ้าหากแกจะล้ำเส้นตำหนิผมบ้าง เพียงแต่ผมไม่สามารถจะเป็นเจ้านายอีกคนของแกได้เท่านั้น

“ป้าครับ ผมน่ะไม่ได้ชอบคุณหนูของป้าแบบนั้นนะครับ ผมเคารพท่านในฐานะเจ้านาย ผมไม่บังอาจจะตีเสมอท่านด้วย ป้าอย่าทำให้เหาขึ้นหัวผมเลยครับ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ การรักกับคุณหนูเคลวินของป้า คงไม่ทำให้ขี้กลากหรือเหาขึ้นได้หรอก คุณหนูเคนพูดแบบนั้นไปเพียงเพื่อจะปกปิดความรู้สึกตัวเองใช่ไหมคะ ป้ารู้ว่ามันอาจจะผิดธรรมชาติไปบ้าง ที่ผู้ชายจะลุกขึ้นมารักกันเอง

ป้าก็ไม่ได้อยากจะส่งเสริมให้ผู้ชายทุกคนทำแบบนี้ แต่ป้ารู้ว่าคุณเคลวินนั้นไม่สามารถจะรักผู้หญิงได้แน่นอน การฝืนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบก็จะทำให้เจ็บปวดกันไปเปล่าๆ

ตอนนี้คุณหนูรักคุณเคน และคงจะเป็นรักแท้ของท่าน เพราะป้าไม่เคยเห็นคุณหนูทุ่มเทให้ใครมากกว่านี้เลย ถ้าคุณหนูเข้าใจคุณเคลวิน คุณหนูของป้าก็คงจะมีความสุขมาก”

ป้าหมี่พูดยืดยาวเห็นแล้วเหนื่อยแทน ถึงจะรู้ว่าป้าหมี่พยายามโน้มน้าวใจผมให้รักคุณหนูเคลวินของป้า แต่ผมก็ไม่ยักจะโกรธแกซักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าผมเห็นดีเห็นงามคล้อยตามไปกับสิ่งที่ป้าพูด แต่เป็นเพราะผมรู้ว่าป้าทำเพราะรักและภักดีกับคุณหนูของป้ามากกว่า

พร้อมกันนั้นผมก็นึกไปถึงคนที่ถูกกล่าวถึงด้วย เขาคงมีอะไรดีในตัวจริงๆ ใครๆถึงได้รักเขากันนัก ไม่ว่าจะเป็นป้าหมี่ ลุงเทพ พี่นนนี่ และพนักงานเกือบทั้งบริษัทที่รู้สึกดีต่อนายฝรั่งคนนี้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่รักเขาอย่างคนรัก แต่ผมก็ไม่สามารถปฏิเสธตัวเองได้ว่า ผมไม่ชอบเขา

“แล้วคุณหนูเคนล่ะคะ หายดีแล้วเหรอ”

แกถามผมด้วยความห่วงใย ผมพยักหน้า แกก็ยิ้มออกมา แล้วบอกว่าดีแล้ว ผมจะได้ช่วยดูแลคุณหนูของแกด้วย ถ้ามีผมคอยอยู่ใกล้ๆคุณหนูเคลวินคงจะหายเร็วเป็นแน่แท้

ผมยิ้มให้แก รู้สึกเขินนิดหน่อย แต่ต้องแสร้งทำเป็นว่าสิ่งที่แกพูดไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผม ถึงแม้ป้าหมี่จะไม่ใช่คนโง่ แกดูออกว่าผมกับเคลวินเป็นอะไรกัน

แต่ผมก็ยังอยากมีความลับอยู่บ้าง ไม่อยากให้ใครล่วงรู้ความจริงทั้งหมด เพราะยังนึกภาพตัวเองไม่ออกว่าจะวางตัวอย่างไร

“แล้วนี่ทานข้าวหรือยังคะ ป้าหมี่ทำอาหารมาจากที่บ้านโน้นเลยนะคะ ที่โน่นมีอุปกรณ์ครบครันกว่า ทำเสร็จก็รีบมาทันที อาหารยังร้อนๆอยู่รับรองได้ คุณหนูจะทานก่อนไหมคะ หรือว่าจะรอทานพร้อมคุณเคลวิน”

“ผมรอทานพร้อมท่านประธานก็ได้ครับ ป้าหมี่ เขาเองก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลย ทานยาแล้วก็นอนหลับไป ตอนตื่นขึ้นมาคงจะหิว จะได้มีคนทานเป็นเพื่อนด้วยครับ”

“ดีจริง คุณหนูเคนน่ารักมาก แบบนี้ป้าก็หมดห่วงแล้วล่ะ ท่าทางคุณเคลวินจะได้พยาบาลดีกว่าป้าซะแล้ว”

ป้าหมี่ยังไม่วายหยอด เล่นเอาผมอายหน้าแดงอีกแล้ว ไม่รู้จะเชียร์กันไปถึงไหน



--------------------



 “สู้ป้าหมี่ไม่ได้หรอก ป้าหมี่ดูแลคุณเคลวินมาแต่เล็กแต่น้อย ย่อมรู้ใจดีท่านดีกว่าผมนะครับ ผมว่าผมยกหน้าที่ดูแลท่านประธานให้ป้าดีกว่า ผมจะได้กลับไปทำงาน”

ถือโอกาสโบ้ยให้แกเสียเลย ป้าหมี่ไม่ยอม ร้องโวยวายเสียงดัง

“ทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ ในยามนี้คุณหนูของป้ากำลังอ่อนแอ ไม่สบายมาก ท่านต้องการกำลังใจ และต้องเป็นคุณเคนเท่านั้น ถึงจะช่วยดูแลคุณหนูของป้าได้ ห้ามทิ้งคุณหนูของป้าเด็ดขาด นึกว่าสงสารคุณเคลวินและสงสารป้าเถอะ”

เจอมุขนี้เข้า ผมถึงกับพูดไม่ออก ถึงคุณป้าไม่ขอร้อง ผมก็คงทิ้งเขาไม่ได้ แต่ที่พูดเพราะผมอายป้าต่างหาก ไม่อยากดูแลเคลวินตอนที่แกอยู่ เพราะกลัวว่าเคลวินจะมาทำออดอ้อนออเซาะผมต่อหน้าแก เดี๋ยวป้าหมี่จะล้อเอาอีก

เลยคิดว่าจะให้แกเป็นคนดูแลจะดีกว่า ส่วนผมจะคอยช่วยห่างๆ แต่ดูท่าทางแกจะรักคุณหนูของแกมาก พอได้ยินว่าผมจะผลักภาระให้กับแก และหนีไปทำงาน แกก็เลยทำตัวเป็นปากเสียงแทนเคลวินซึ่งนอนหลับไม่รู้เรื่อง ป้าพูดมาแบบนี้ สงสัยผมคงหนีเคลวินไปไหนไม่ได้เสียแล้ว

“ครับ ได้ครับป้า ผมไม่ไปไหนทั้งนั้นล่ะ จะดูแลคุณหนูของป้าจนกว่าจะหาย ผมสัญญาครับ”

บอกให้แกสบายใจ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องอะไรของผมเลยที่ต้องไปรับปาก เคลวินออกจะร่ำรวยล้นฟ้า จะหานางพยาบาลมาดูแลกี่คนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ผม ทว่าเมื่อเห็นป้าหมี่ยิ้มอย่างดีใจ ผมก็คิดว่าบางทีการเฝ้าไข้เคลวินในครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสให้ผมได้ตอบแทนป้าหมี่ที่ดูแลหาข้าวน้ำให้ผมกินในยามเจ็บป่วย และเหนือสิ่งอื่นใด ผมก็จะได้ชดใช้เคลวินด้วย เพราะที่เขาเป็นไข้เพราะเฝ้าดูแลผมนั่นเอง

หลังจากรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าจะไม่ทิ้งเคลวินไปไหน ผมกับป้าหมี่ก็ช่วยกันจัดโต๊ะรับประทานอาหาร เอาสำรับกับข้าวมาวางตั้ง รอเวลาที่ท่านประธานสองหน้าจะตื่น ระหว่างนั้นเราก็ช่วยกันทำความสะอาดห้องของผมไปพลางๆ

เคลวินหลับไปไม่นานก็ตื่นขึ้นมา พอลืมตาก็เรื่องมากทันที เขาเรียกหาผมเสียงดังลั่น ผมกำลังช่วยป้าหมี่เก็บกวาดห้องอยู่เพลินๆถึงกับสะดุ้ง ความหมั่นไส้ ทำให้ผมคิดอยากจะแกล้งให้เรียกอยู่อย่างนั้นจนคอแห้งตาย แต่ป้าหมี่ก็สะกิดผม และมองด้วยแววตาขอร้องให้ช่วยไปดูคุณหนูของแก ผมเลยต้องเดินไปหาเขาอย่างเสียไม่ได้

คนเจ้าเล่ห์ยื่นมือออกมาและคว้ามือผมไปกุมไว้ ตาของเขาแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษไข้ หรือกำลังจะร้องไห้กันแน่ เขามองผม และเอามือผมไปกอดจูบ ท่าทางดีอกดีใจ จนผมนึกขวาง

“นึกว่าหนีผมไปแล้ว ดีใจจังที่คุณยังอยู่เพื่อผม”

“นี่เคลวินครับ คุณเห็นผมเป็นอะไรน่ะ นี่ห้องผมนะ ทำไมผมต้องหนีด้วย แล้วที่คุณไม่สบาย ก็เพราะติดไข้จากผม ถ้าทิ้งคุณไปก็ใจดำเกินควรแล้วล่ะครับ”




--------------------
 
.................................

“ขอโทษนะครับ ที่คำพูดของผมทำให้เคนโกรธ แต่เมื่อกี้ตื่นมาแล้วไม่เห็นคุณ ผมก็กลัวว่าคุณจะแอบหนีไปทำงาน เพราะผมรู้ว่าคุณห่วงงานมาก และคุณไม่อยากให้ใครมาว่าว่าคุณไม่รับผิดชอบใช่ไหมครับ”

นี่พูดจริง เพราะเขาเห็นว่าผมเป็นคนแบบนั้น หรือพูดเอาใจ แก้ตัวที่กล่าวหาผมกันแน่ ผมมองตาเขาอย่างค้นคว้าก็เห็นตาใสซื่อมองมา ผมไม่เห็นความเจ้าเล่ห์ในนั้น เอาเถอะ ยอมยกให้สักวันหนึ่ง เพราะเห็นว่าป่วยหรอกนะจึงยอม ถ้าหายดีกว่านี้ คงได้งอนใส่กันบ้าง

“ป้าหมี่มาแล้วนะครับ ทำกับข้าวมาเผื่อด้วย เคลวินลุกไหวไหมครับ จะได้ไปทานข้าว แล้วทานยา ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ เดี๋ยวผมเอากับข้าวมาให้ทานที่นี่”

เปลี่ยนเรื่อง ด้วยการชวนให้เขากินข้าว คนป่วยรีบพยักหน้า พลางทำท่าจะลุกลงจากเตียง แต่แล้วเขาก็ล้มแผละลงไปบนที่นอนอีก เอามือกุมหัว ผมมองเขาอย่างงงๆ ไม่แน่ใจว่าเขาแกล้งหรือปวดหัวจริงๆกันแน่ แต่ความห่วงใยมีมากกว่าความสงสัย ผมผวาเข้าไปหาเขาทันที

“เป็นอะไรไปครับ ปวดหัวเหรอ ทานที่นี่ไหม”

“ไม่เป็นไรครับ ผมลุกไปทานด้วยดีกว่าจะได้ทานกับป้าหมี่ด้วย”

ผมมองหน้าตาคนที่ดื้อดึงไม่ยอมฟัง ก็เห็นเขายิ้มประจบกลับมา ผมเลยใจอ่อน ประคองเขาออกไปนั่งทานข้าวด้วย ป้าหมี่ถามไถ่อาการด้วยความเป็นห่วง เคลวินก็ตอบป้าหมี่โดยไม่มีทีท่ารำคาญแถมอ้อนป้าหมี่ด้วย

“คุณหนูเคลวินไม่ดูแลตัวเองเลย น่าตีจริงๆ”

“ป้าหมี่ครับ ผมไม่เป็นไรมากหรอก แค่เป็นหวัดเอง ได้พยาบาลดีๆ เดี๋ยวก็หายแล้ว จริงไหมครับเคน”

เคลวินโต้ตอบป้าหมี่ ท้ายประโยคหันมาทำเสียงหวานใส่ผม ช่างไม่อายคนในบ้านของตัวเองเลย ไม่กลัวเขาจะนินทาเอาหรือไงนะ ผมอายป้าหมี่เลยไม่ตอบ เคลวินเลยยิ้มเจื่อนๆไป

มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมรีบเดินไปเปิดประตู เพราะไม่อยากจะร่วมวงสนทนาที่อาจจะวกมาถึงตัวของผม คุณหมอเต้ยืนถือกระเป๋าร่วมยาอยู่หน้าประตู เขามาตรวจร่างกายของเคลวินตามที่รับปากไว้ ผมเชื้อเชิญเขาเข้าห้องมาทันที

“ไง ประธานเคลวินคนเก่ง คราวนี้ถึงกับน็อคเลยเหรอ”

คุณหมอแซวคนป่วยที่กำลังนั่งอ้อนป้าหมี่อยู่ มือก็ดึงอุปกรณ์ตรวจรักษาออกมาจากกระเป๋า เคลวินยิ้มให้คุณหมอ แล้วก็บ่นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย ผมกังวลไปเอง คุณหมอเต้เลยบอกว่าคนป่วยที่ดื้อรั้นอย่างเขาไม่ยอมรับอะไรง่ายๆหรอก ต้องตรวจรักษาดูก่อนถึงจะบอกได้

แถบวัดไข้ถูกแปะเข้าที่หน้าผากของเคลวิน ผมอดรู้สึกขำไม่ได้ เพราะโดยปกติจะเห็นเขาใช้อุปกรณ์แบบนี้กับเด็กเล็กมากกว่าคนโตอย่างเคลวิน แต่นั่นแหละ คนป่วยที่ขี้กลัวเข็มอย่างเคลวินอาจจะไม่ชอบใช้ปรอทวัดไข้ก็ได้ เขาเอาแต่ใจตัวเองจะตาย คนที่บ้านและคนที่ทำงานด้วยคงจะรู้ดี เลยระมัดระวังเรื่องข้าวของเครื่องใช้ที่ให้บริการกับเขากระมัง



--------------------
.................................................

“ต้องฉีดยาไหมครับคุณหมอ”

ผมแกล้งถามหมอ และลอบมองเคลวินเห็นเขาสะดุ้งทำหน้าเลิกลั่ก ผมเกือบจะหัวเราะออกมาที่ได้ทำให้เขาตกใจ เคลวินหันมามองผม พอรู้ว่าผมแกล้งถามหมอเล่นๆ เขาก็ทำหน้างอใส่ แต่ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ข้างฝ่ายหมอก็เล่นด้วยหยิบเข็มฉีดยาอันใหม่ออกมา

“อื้ม ต้องดูว่าคนไข้เป็นหนักหรือเปล่า ถ้าเป็นเยอะคงต้องฉีดยา”

“ผมไม่เป็นไรมากหรอกครับหมอ พรุ่งนี้มะรืนนี้ก็หายแล้ว คิดว่าแค่ทานยาก็พอนะครับ”

ประธานเคลวินรีบพูดแทรกขึ้นมา ผมกับคุณหมอเต้หันมามองหน้ากัน และกลั้นยิ้ม ผมรู้สึกทั้งขำทั้งสงสารเคลวิน ท่าทางเขากลัวเข็มจริงๆ เลยไม่คิดอยากแกล้งเขาอีกต่อไป

คุณหมอตรวจอาการของเคลวิน แล้วก็บอกว่าเขาเป็นไข้หวัดใหญ่ คงต้องนอนพักไปสักสองสามวัน ช่วงนี้จะมีอาการปวดหัวตัวร้อน เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ถ้าทานยาและพักผ่อนอย่างเพียงพอก็จะหาย คุณหมอเขียนใบสั่งยาให้ผมไปซื้อมาให้เคลวินด้วย ผมเลยจะติดรถคุณหมอออกไปซื้อยาแต่ป้าหมี่แย่งใบนั้นมา และบอกว่าจะไปซื้อเอง ให้ผมดูแลเคลวินดีกว่า ผมเลยต้องจำยอม

พอป้าหมี่กับคุณหมอเต้พ้นสายตาไป คนป่วยก็เริ่มอ้อนทันที บอกกับผมว่าหิวข้าว อยากให้ผมป้อนให้ เพราะทานเองไม่ไหว ผมรู้สึกหมั่นไส้มากๆ แต่เพราะเห็นแก่เขาที่ดูแลผมอย่างดีตอนป่วย ผมก็เลยยอมเอาใจเขาด้วยการตักข้าวป้อนให้ถึงปาก คนป่วยที่เมื่อกี้ทำท่าจะเป็นจะตาย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ท่าทางมีความสุขมาก

“ต้องนอนพักสองสามวันแบบนี้ ก็อดทำน่ะสิ ทำไงดีล่ะครับ”

อยู่ๆเขาก็พูดขึ้นมา แถมยังทำตาเป็นประกายเหมือนกำลังขอความเห็นใจจากผม แต่ผมไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เลยเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะถามเขา คำตอบที่ได้รับทำเอาผมถึงกับอึ้ง นึกไม่ถึงว่าในหัวสมองของคนป่วยจะมีแต่เรื่องแบบนี้

“ก็อดกุ๊กกิ๊กกับเคนไงครับ ที่ตกลงกันไว้เป็นทุกวันหยุดศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ไง ก็ไม่ได้ทำเลยน่ะสิ อย่างนี้เคนต้องชดเชยเวลาให้ผมนะครับ”

“อะไรกันล่ะ ทำไมผมต้องชดเชยเวลาให้ด้วย ก็คุณทำไม่ได้เอง ผมไม่ได้ผิดสัญญาเสียหน่อย”

ผมโวยวายเอาบ้าง ไม่สนหรอกว่าเขายังป่วยอยู่ ลองได้คิดถึงเรื่องลามกอยู่ในหัวแบบนี้ แสดงว่าไม่ได้ป่วยมาก ไม่ต้องดูแลอย่างดีก็ได้

“ก็ถ้าทำตอนที่ผมยังป่วยอยู่ เคนก็จะติดไข้กันอีก ติดกันไปติดกันมา มันก็จะไม่หายนะครับ ผมไม่อยากให้เคนกลับมาป่วยอีกครั้ง รู้เลยว่าเวลาไม่สบาย มันทรมานแค่ไหนที่ต้องนอนอยู่ทั้งวันทำงานทำการอะไรไม่ได้ ผมอยากให้คุณแข็งแรงดี ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยมากกว่าครับ”

ดูสิ ไม่สบายขนาดนี้ ยังมีแก่ใจห่วงผม ถึงแม้เขาจะชอบลวนลามล่วงเกินผมตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะหักหาญน้ำใจ จนกระทั่งผมต้องติดไข้จากเขา สงสัยผมคงจะคิดถึงเคลวินในแง่ร้ายไปหน่อยกระมัง ที่จริงแล้วเขาก็เป็นคนดี ห่วงใยผมอยู่เสมอ ผมต่างหากที่คิดมากเกิน



--------------------

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
เคลวินเจ้าเล่ห์สุดๆ  :m26: :m26:
เอาไงดีอ่ะเคน  :m21: :m21:
จะชดเชยม่ะ  :m12: :m12:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
เริ่มใจอ่อนหล่ะ
 :a11:
**************************


บทที่ 18 สัญญาต้องเป็นสัญญา

“ก็ได้ แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ถ้าหากคราวหน้า คุณทำไม่ได้เพราะตัวคุณเอง ไม่เกี่ยวกับผม ก็จะมาเรียกร้องให้ผมชดเชยอะไรไม่ได้อีก”

ในที่สุดผมก็ใจแข็งกับเขาไม่ลง ต้องยอมเขาอีกจนได้ แต่ผมก็ต้องขู่เขาไว้ก่อน ว่าขอให้มันเป็นครั้งสุดท้าย ผมไม่อยากจะเสียเปรียบเขาไปตลอด ที่จริงผมไม่จำเป็นต้องสัญญาอะไรกับเขาเลย เพราะเขาทำเรื่องที่ไม่ถูกต้องกับผมก่อน

แล้วเราก็ไม่ได้ทำสัญญาผูกมัดว่าจะเป็นแบบนี้ มีแต่เขาที่พูดเอง เออเองอยู่คนเดียว ผมยอมตามเงื่อนไขของเขาก็บุญแล้ว นี่ยังมาต่อรองแบบนี้อีก แต่ช่างเถอะลูกผู้ชายรับปากอะไรไว้ก็ต้องทำตาม ถือว่าตอบแทนที่เขาทำดีกับผมก็แล้วกัน

“ครับ ได้ครับ”

คนป่วยรับคำอย่างกระดี๊กระด๊า จากนั้นก็นัดแนะว่าวันจันทร์ถึงพุธ ผมจะต้องชดเชยให้กับเขา ผมรับปากอย่างเซ็งๆ นึกไปถึงว่าจะต้องเพลียไปทำงาน หรือนอนตื่นสายไปไม่ทัน แค่นี้ก็รู้สึกวิตกแล้ว คงโดนแซวหรือจับตามองอีกแน่ๆเลย

“เคนใจดีจัง น่ารักที่สุดในโลกเลยครับ”

เคลวินกล่าวชื่นชมผม ดูเกินจริงไปหน่อย แต่ก็รู้สึกดีเหมือนกัน

“แค่ไม่อยากผิดคำสัญญานะครับ”

ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่ จากปรายหางตา ผมมองเห็นเคลวินอึ้งไปนิดหนึ่ง แววตาของเขาดูเศร้าอย่างประหลาด แต่แล้วในชั่วพริบตามันก็กลับมาสดใสเหมือนเดิม

“ครับ ไม่ว่าคุณจะยอมด้วยเหตุผลอะไร ผมก็รู้สึกดีใจนะ ที่คุณยอมเพื่อผม และผมก็จะไม่ทำตัวนอกเหนือไปจากสัญญาที่เราตกลงกันไว้นะครับ”

เขารับคำอย่างแข็งขัน จากนั้นเราสองคนต่างก็นิ่งเงียบ หัวสมองคิดไปคนละทิศละทาง จนกระทั่งป้าหมี่กลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง พร้อมกับถุงยาที่ซื้อมา ผมรับยาจากมือป้าหมี่ และเริ่มปฏิบัติการบังคับคนป่วยให้กินยาเพื่อรักษาตัวเอง เคลวินยอมทานโดยดี พอเขาทานหมด ผมก็ประคองเขาไปที่เตียงนอน ส่วนป้าหมี่ก็รับอาสาล้างถ้วยชาม

เคลวินไม่ยอมนอนหลับง่ายๆ เขาขอให้ผมนั่งเป็นเพื่อนเขาบนเตียง พอผมขึ้นไปนั่ง แทนที่เขาจะนอนหนุนหมอนให้สบายๆกลับเลื่อนศีรษะมาหนุนตักผม การกระทำของเขามันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ไม่เคยชินกับการที่ถูกใครมานอนหนุนตัก มีเขาทำเป็นคนแรก และแถมซ้ำยังเป็นผู้ชายเสียด้วย

ตอนแรกตั้งใจว่าจะผลักเขาออก แต่เมื่อเห็นหน้าตาซีดเซียวด้วยพิษไข้ กับอาการไอโขลกเขลกผมก็ทำไม่ลง ปล่อยให้เขาหนุนหัวตามสบาย จนกระทั่งเคลวินหลับไป ผมจึงค่อยเคลื่อนย้ายเขาไปนอนให้ถูกท่าถูกทางตามเดิม

“หลับฝันดีนะครับ เคลวิน พักผ่อนให้เยอะๆนะครับ”



--------------------
ผมกระซิบเบาๆที่ข้างหูเขา ก่อนจะผละออกมา ป้าหมี่ยืนรอผมอยู่ข้างนอกห้องเช่า แกทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะขออนุญาตผมกลับบ้าน

โดยป้าหมี่ให้เหตุผลว่า แกต้องกลับไปทำงานที่บ้านใหญ่โน่น ไม่งั้นพ่อแม่ของเคลวินจะดุเอา ผมเลยปล่อยแกไป เพราะไม่อยากให้แกมีปัญหากับเจ้านาย

ตอนนี้ทั้งห้องเลยเหลือผมกับเคลวินแค่สองคน ระหว่างที่เฝ้ารอการตื่นขึ้นมาของเคลวิน ผมก็เริ่มหาอะไรทำ เหลียวมองไปรอบห้อง ทุกอย่างก็ถูกจัดการไปเรียบร้อยแล้วโดยฝีมือของป้าหมี่

แกทำทุกอย่างให้จนหมด ทั้งกวาดถูบ้าน ล้างห้องน้ำ ล้างถ้วยชาม ผมไม่เหลืองานให้ทำเลย งานที่บริษัท ก็ไม่ได้เอาติดมา ผมเคลียร์ไปจนเกือบหมดแล้ว เหลือแต่รองานใหม่เท่านั้น หันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็นึกออกว่าจะต้องทำอะไร

วันก่อนผมแวะไปที่ร้านขายหนังสือ และซื้อหนังสือคู่มือสนทนาภาษากฤษมาเล่มหนึ่ง ผมต้องการพัฒนาภาษาให้แข็งแรงขึ้นจากเดิม เพราะว่าผมสำเนียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และการพูดจาเรียบเรียงประโยคยังไม่ค่อยดี ครั้นจะให้เคลวินช่วยสอนให้ก็กะไรอยู่ ผมเลยคิดที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง

ผมหยิบหนังสือจากชั้นวางของเล็กๆข้างเตียง แล้วเดินมานั่งยังเก้าอี้ที่เคลวินซื้อมา มีเทปเสียงให้ฝึกฟังและพูดตามด้วย

ผมเก็บเทปเอาไว้ก่อน กะว่าพอเงินเดือนออก จะเจียดเงินซื้อวิทยุเทปขนาดเล็กเอาไว้ติดตัวไปไหนต่อไหนด้วย ว่างเมื่อไหร่ อยู่บนรถเมล์ หรือรถมอเตอร์ไซด์ก็จะได้ฟังได้ ซึ่งการได้ฟังได้หัดพูดบ่อยๆก็คงจะช่วยให้ผมพูดดีขึ้น

หนังสือภาษาอังกฤษที่ผมซื้อมาเป็นการสนทนาเรื่องทั่วๆไปในชีวิตประจำวัน ทั้งการทักทาย การรับโทรศัพท์ การสอบถามทาง การพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ การทำงาน และความสนใจพิเศษ ผมเปิดไปที่บทแรก และเริ่มอ่านและฝึกการพูดออกเสียงตั้งแต่ต้น


.......................................


..............................................



“Hi, I’m Ken”

“Oh, hi”

“What do people call you?”

“My name is Kelvin the Killer”

“Excuse me , what’s your surname again?

“the Killer”

“How do you spell your First name?

“K-e-l-v-i-n”

“Nice to meet you, Mr. Kevin”

“Nice to meet you too”

“…………………”

เคลวินคนสำออยกลายมาเป็นตัวละครในบทสนทนาภาษาอังกฤษของผมโดยที่ไม่มีทางเลี่ยง เพราะมัวแต่นอนหลับ

ผมซึ่งเบื่อๆกับการออกเสียงภาษาอังกฤษที่แม้จะเป็นคำง่ายๆ แต่ออกเสียงให้เหมือนกับฝรั่งเป๊ะๆเลยมันแสนยาก ก็เลยหาเหตุจูงใจในการให้รู้สึกอยากฝึก การได้เหน็บแนมเขาทางอ้อม ช่วยทำให้ผมรู้สึกสนุกกับการอ่านหนังสือนัก

ผมไม่รู้เลยว่า ตลอดเวลาที่ผมนั่งท่องบทสนทนาอยู่นั้น มีสายตาคู่หนึ่งคอยจ้องมองผมอย่างจับผิด พอผมท่องจนจบบทนั้น เสียงแหบๆก็ดังขึ้น



--------------------
.....................................................................

“อยากฝึกพูดภาษาอังกฤษ ทำไมไม่บอกผมล่ะครับ ผมช่วยฝึกให้ก็ได้นะ”

ซวยล่ะสิ ได้ยินเข้าพอดีเลย ไม่รู้ตอนที่ผมว่าเขาเป็นพวกนักฆ่า เขาจะได้ยินไหมนะ ทำไมถึงตื่นไวนักก็ไม่รู้ คนป่วยอะไรไม่ยอมนอนพักผ่อนให้มากๆ ยังอุตส่าห์ตื่นมาสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้านอีก

“ไม่เป็นไรครับ ผมคิดว่าจะลองฝึกพูดด้วยตัวเอง พอดีผมมีหนังสือ กับเทปครับ”

บอกปัดทางอ้อม เพราะไม่อยากไปรบกวนเขา อีกอย่างก็ไม่อยากได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเหนือกว่าลูกน้องคนอื่นๆด้วย เคลวินขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ตามองผมหวานฉ่ำ จนผมอยากจะร้องห้าม ไม่ให้เขาใช้สายตาแบบนี้ประกอบกับการทำความดีให้ผม

“มันจะสู้สนทนากับเจ้าของภาษาตัวต่อตัวได้ไง คุยกับฝรั่งตัวจริง ได้ฝึกทั้งภาษา และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วย แถมซ้ำได้รับฟีดแบ็คเลย ว่าพูดถูกหรือเปล่า”

มาล่ะ การหว่านล้อมของประธานผู้ชอบเอาแต่ใจตัวเอง ทำท่ายื่นมือมาช่วยเหลือแบบนี้ คงไม่ยอมให้ผมปฏิเสธเป็นแน่ แต่ยังไงผมก็ยังอยากฝึกเองอยู่ดี ไม่อยากเอาตัวไปพัวพันกับเขาไปมากกว่านี้ แค่เป็นลูกน้องในที่ทำงาน ถูกบังคับฝืนใจให้เป็นสามีเมื่ออยู่บ้าน แล้วยังจะมามอบตำแหน่งลูกศิษย์ให้ผมอีก บุญคุณที่มีต่อกันมันจะทำให้ผมตีจากเขาได้ยากกว่าเดิม

“ไม่อยากรบกวนเลยครับ คุณเองก็มีงานยุ่งๆอยู่แล้ว ถ้าผมเอาภาระไปเพิ่มให้กับคุณอีก จะทำให้คุณเหนื่อยเปล่าๆ”

หุหุหุ ผมพูดปฏิเสธให้มันดูดีนิดหน่อย เหมือนกับว่าจะห่วงเขา แต่ที่จริงไม่อยากจะอยู่ใกล้เคลวินมากกว่า ผมกลัวว่าเขาจะทำให้ผมเผลอใจหลวมตัวกับเขาจนเสียเชิงชาย

“น่ารักจังเลย เคนของผม คุณเป็นคนดีมาก ไม่เคยเอาเปรียบผมเลยแม้แต่น้อย ขนาดผมเต็มใจช่วยเหลือ คุณก็ยังไม่ยอมรับ เพราะเกรงว่าผมจะลำบาก ยิ่งคุณเป็นแบบนี้ ผมยิ่งอยากช่วยเหลือ”

เป็นงั้นไป คำปฏิเสธไม่ให้เขาเข้าใกล้ กลับกลายเป็นเรื่องดีเสียอีก เคลวินทำท่าปลาบปลื้มผมมาก ส่วนผมอยากจะเป็นบ้าตาย

“เคลวินครับ มันจะดีเหรอ ผมน่ะหัวขี้เลื่อยนะ เรียนรู้อะไรได้ช้า ผมอาจจะทำให้คุณเกิดความรำคาญก็ได้”

อ้างถึงความไม่เอาถ่านของตัวเอง บางทีเคลวินอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้

“ไม่หรอก ผมไม่เบื่อเคนหรอก ผมชอบนะ ถ้าจะได้สอนให้คุณได้เรียนรู้อะไรต่ออะไร แล้วก็ใช่ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมสอนคุณ เรื่องอื่นที่คุณไม่เป็น ผมก็สอนจนเดี๋ยวนี้คุณก็เริ่มจะคุ้นเคยกับมันแล้ว คุณเป็นนักเรียนที่หัวไวมากกว่าที่คิดเสียอีก”

นอกจากจะไม่ท้อถอยแล้ว ยังพูดเป็นปริศนาชวนคิดอีก ตอนแรกผมมัวแต่งง ว่าเขาสอนผมเกี่ยวกับเรื่องอะไร แล้วในที่สุดผมก็นึกออก เมื่อได้เห็นสายตาที่มองตอบกลับมาอย่างมีความหมาย มันหวานเยิ้มและดูหื่นๆอย่างไรพิกล ชวนให้เสียววาบไปทั่วช่องท้องและบั้นท้าย อีตาประธานโรคจิตเคลวิน ต้องหมายถึงเรื่องที่เขาปลุกปล้ำขืนใจผม และพยายามทำให้ผมเป็นเกย์แบบเขาแน่ๆ นี่ไม่ใช่การสอน แต่มันเป็นการบังคับต่างหาก



--------------------
...............................................



อีตาประธานโรคจิตเคลวิน ต้องหมายถึงเรื่องที่เขาปลุกปล้ำขืนใจผม และพยายามทำให้ผมเป็นเกย์แบบเขาแน่ๆ นี่ไม่ใช่การสอน แต่มันเป็นการบังคับต่างหาก

“ขอบคุณครับ สำหรับความมีน้ำใจของเคลวิน แต่อย่าเพิ่งคิดมาสอนผมตอนนี้เลย ตัวเองยังไม่สบาย เสียงแหบแห้ง แล้วยังไม่ยอมพักผ่อนอีก ตื่นขึ้นมาทำไมกันครับ นอนต่อสิ พักผ่อนมากๆ จะได้หายไวๆ”

เล่นแบบนี้เสียเลย จับให้นอนซะให้เข็ดจะได้ไม่ต้องตื่นมาวุ่นวายแบบนี้อีก เคลวินยิ้มกรุ้มกริ่ม ดวงตาเป็นประกายวาววาม ไม่เหมือนคนที่กำลังป่วยเลย หรือว่าผมจะหลงกลคนเจ้าเล่ห์อีกครั้งกันนะ

“นอนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว วันนี้ก็นอนไปตั้งครึ่งวันแล้วครับ ไม่อยากนอนอีกแล้วล่ะ อยากทำอย่างอื่นมากกว่า”

บอกพลางทำตาเจ้าชู้ใส่ผม ช่างน่าหมั่นไส้เสียจริงๆ คนอาไร้ หื่นได้ไม่จำกัดเวลา

“ถ้างั้นเคลวินคงหายแล้ว อยากกลับบ้านไหมละครับ”

พอเจอคำถามนี้เข้า หน้าเจ้าชู้เมื่อครู่ ก็เปลี่ยนเป็นเศร้าขึ้นมาทันที เห็นแล้วรู้สึกสงสาร
“เคนไม่อยากอยู่กับผมถึงขนาดนี้เลยหรือครับ อยากไล่ผมไปไกลๆงั้นเหรอ”

น้ำเสียงตัดพ้อ ต่อว่า

“เปล่าครับ ก็ผมกลัวว่าทางบ้านจะห่วงเคลวินน่ะครับ”

“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ที่บ้านผมคงรู้แล้ว อีกอย่างก็แค่ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนักหนา พ่อแม่ผมเขาไม่มากังวลใจหรอกครับ ดังนั้น อย่าพูดทำนองไม่ต้องการให้ผมอยู่นี่เลยนะ ผมไม่สบาย ผมต้องการกำลังใจจากคนที่ผมรัก ผมอยากอยู่ใกล้ๆคุณครับ เคนทำให้ผมรู้สึกเป็นสุข และหายป่วยครับ”

เฮ้อ ผมถอนหายใจออกมาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง นี่ผมเป็นอะไรไปนะ ทำไมจะต้องรู้สึกสะเทือนใจไปกับคำพูดของเคลวินด้วย รู้สึกสงสารเขา ไม่อยากทำร้ายจิตใจ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งหวั่นไหว และพร้อมจะยินยอมทำตามที่เขาต้องการ ความรู้สึกแบบนี้ คงไม่ได้ทำให้ผมรักเขาขึ้นมาหรอกนะ

“ถ้างั้นก็นอนพักเยอะๆสิครับ นอนมากๆจะได้หายป่วยไวๆ ตอนนี้คุณอาจจะคิดว่าไหวอยู่ แต่ถ้าฝืนทำอะไรตอนที่ยังป่วย อาจจะยิ่งไม่สบายหนักนะครับ”

ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เพื่อไถ่โทษที่พูดเหมือนเสือกไสเขา เคลวินมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น ตาที่มองมา มีแววเจ้าชู้ดังเดิม

“ถ้าเคนดีกับผมมากๆแบบนี้ ผมก็ไม่อยากหายป่วยหรอกครับ อยากนอนซมอยู่แบบนี้ เคนจะได้มาเอาใจใส่ตลอดเวลาไงครับ”

“ดีล่ะ ถ้างั้นผมจะทิ้งคุณให้อยู่คนเดียวในห้อง ผมจะไปทำงาน ขาดมาหลายวันแล้ว”



--------------------
.........................................

“ไม่ได้นะครับ ผมต้องการกำลังใจอย่างมาก ถ้าคุณไปแล้ว ผมจะอยู่กับใครกันล่ะ”

“นี่ เจ้านายที่ไหนกัน อ้อนขอให้ลูกน้องลาหยุดงานเพื่อเรื่องส่วนตัว ความเข้มงวดหายไปไหน ทุกทีเคร่งครัดในกฎระเบียบจะตาย เมื่อกี้พูดผิดหรือเปล่าครับ”

ได้โอกาสเหน็บแบบนี้ มีหรือจะพลาด เคลวินทำหน้าใสซื่อเหมือนไม่รู้ว่าผมพูดอะไร

“ที่นี่ไม่มีประธานบริษัทนะครับ มีแต่เคลวินภรรยาสุดที่รักของเคนเท่านั้น และผมขอร้องคุณในฐานะภรรยาที่กำลังป่วย ย่อมมีสิทธิ์อ้อนสามีให้ดูแลนะครับ”

คนป่วยปากเก่งแบบนี้ ใครจะอยากดูแลกัน น่าหมั่นไส้ มากกว่าน่าสงสาร ผมว่าเขาไม่ได้ป่วยมากสักหน่อย แค่ไม่สบาย ปวดหัวเป็นไข้ตัวร้อน กับไอโขลกเขลก แต่ไม่ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อป่วยเข้าขั้นโคม่า เจ้าตัวอ้อนเกินจริงมากกว่า

“พักเยอะๆเดี๋ยวก็แข็งแรงขึ้นนะครับ ผมหนะถึงยังไงก็ต้องไปทำงานทำการ จะหยุดมากๆไม่ได้หรอกครับ เกรงใจบริษัทด้วย ที่ทำงานได้ไม่เต็มที่ เคลวินเองก็น่าจะทราบดีว่าพนักงานที่ขาดงานบ่อยๆจะเป็นพวกที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ งานที่ได้รับมอบหมายก็ทำได้ล่าช้าไม่เต็มที่ เอาเปรียบเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆด้วย ผมไม่อยากให้ใครมองผมว่าเป็นคนแบบนั้นครับ”

ตอบไปตามความรู้สึกของตนเอง ด้วยละอายใจที่หยุดมาหลายวันแล้ว ถึงผมจะรู้สึกห่วง อยากดูแลเขาตอบแทน แต่ผมก็ไม่อยากโดนใครมานินทาว่าร้ายว่าผมได้รับอภิสิทธิ์มากกว่าพนักงานคนอื่นๆ เคลวินมองผมอย่างเข้าใจ

“ผมเข้าใจครับเคน ว่าคุณห่วงงานแค่ไหน ผมคิดว่าเคลวินที่เป็นประธานบริษัทคงรู้ดีว่าคุณไม่คิดที่จะหนีงาน และเขาคงเข้าใจความจำเป็นของคุณที่ไม่สามารถกลับไปทำงานได้ เพราะที่ผ่านมาคุณก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าคุณมุ่งมั่นจริงจังแค่ไหน

หลังจากที่คุณจัดการเรื่องความป่วยไข้ของตนเองและดูแลเกี่ยวกับครอบครัวให้เรียบร้อย เมื่อคุณกลับไปทำงานอีกครั้งคุณก็คงจะใช้ความขยันหมั่นเพียรที่คุณมีอยู่สะสางงานให้แล้วเสร็จลงได้ใช่ไหมครับ”

ท้ายประโยคเหมือนเขาจะตั้งคำถามเอากับผม เราสองคนสบตากัน และผมรู้ว่าเขาคงได้คำตอบจากสีหน้าและแววตาของผมแล้ว โดยไม่ต้องโต้ตอบออกไปเป็นคำพูด

“ส่วนผมเคลวินซึ่งเป็นภรรยา ผมอยากจะให้กำลังใจคุณ ไม่อยากให้คุณคิดมากหรือกังวลอะไรไป คุณป่วย คุณพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายสดชื่น แข็งแรง นั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วครับ เพราะหากคุณฝืนไปทำงานตอนที่คุณสุขภาพไม่ดี คุณก็จะทำให้เสียงานเสียการเปล่าๆ ผมรู้สึกขอบคุณมากที่ตอนนี้ผมป่วยและคุณก็ดูแลเอาใจใส่ผมอย่างดี ผมซาบซึ้งมากครับ”

น้ำเสียงของเคลวินอ่อนโยนทว่าจริงจัง ท่าทางพึงพอใจอย่างที่พูด ดวงตาขี้เล่นหายไปมีแต่ความเข้าอกเข้าใจฉายให้เห็น เขากล่าวกับผมต่อ



--------------------
“ถึงแม้ว่าผมอยากจะให้คุณอยู่กับผมมากแค่ไหน แต่ผมก็เข้าใจว่าคุณก็มีภาระหน้าที่การงานที่ต้องทำ ผมไม่อยากรั้งคุณไว้ หรือสร้างปัญหาให้กับคุณ แต่ไปทำงานตอนนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรนะครับ มันจะบ่ายแล้ว กว่าจะเดินทางไปบริษัทก็เย็นพอดี

พรุ่งนี้ก็วันหยุดเสาร์อาทิตย์ สู้เก็บตัวพักผ่อนแล้วไปทำงานตอนเช้าวันจันทร์ในสภาพที่แข็งแรงดีกว่า ที่ผมพูดนี่ มันอาจจะเป็นคำพูดซ้ำซาก แต่ผมอยากจะพูดเพื่อให้คุณเลิกกังวลใจเสียทีนะครับ ไม่มีใครว่าเคนหรอกครับ”

เฮ้อ .....ผมแพ้น้ำเสียงนุ่มนวลนั่น กับความมีเหตุมีผลของเขาอีกแล้ว ที่จริงผมก็ไม่ได้อยากไปทำงานในขณะที่เขายังไม่สบายอยู่แบบนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เป็นมาก แต่ผมก็อดห่วงไม่ได้ แต่ความกังวลใจเรื่องงาน กับกลัวว่าคนที่บริษัทจะรู้เรื่องของผมกับเขาสองคนมันทำให้ผมวิตกจริตเกินเหตุ

ผมคงจะสติแตกมากเกินไปจริงๆ ด้วยความที่ผมถูกกดดันในที่ทำงาน ใครๆก็นินทาในได้ยินว่าผมใช้เส้นใช้สาย ทั้งที่ผมก็พยายามพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงานหนัก ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าผมทำงานได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยเคลวินผมก็ยืนหยัดด้วยตนเอง

มันควรจะเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ ลูกผู้ชายคนหนึ่ง ควรจะเข้มแข็งเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องให้ใครช่วย จริงอยู่ผมได้เข้ามาทำงานตรงนี้อาจจะเป็นเพราะเคลวินหยิบยื่นโอกาสให้

แต่ผมก็ไม่ควรดูถูกเขาและตัวเองด้วยการเกาะเขากิน ใช้เขาเพื่อเป็นบันได ถึงแม้ว่าผมกับเขาจะมีอะไรกันแล้ว แต่ผมก็ไม่ควรใช้ความสัมพันธ์ที่เร้นลับของเราเป็นเครื่องมือถีบตัวเองให้สูงขึ้น

ผมว่าการกระทำแบบนั้นมันไร้เกียรติ และไม่ยุติธรรมกับคนที่เราคิดจะหลอกใช้เขา ไม่ควรจะเอาความรักมาเล่นเกมส์ เพราะการได้ชัยชนะจากการเหยียบย่ำทำร้ายคนอื่นจะก่อให้เกิดความภาคภูมิใจได้อย่างไร
คนที่เป็นหัวหน้าครอบครัวควรจะแกร่งขึ้นมาด้วยตนเอง จะแบมือขอความช่วยเหลือจากภรรยาอยู่ตลอดเวลาได้ไง

เคลวินเป็นภรรยาที่เอาแต่ใจตัวเองมากไปหน่อย แต่เขาก็รักและหวังดีกับผม อยู่ใกล้เขาบางครั้งผมก็รู้สึกมีความสุข เขาทำให้ผมอบอุ่นใจ ทำให้ห้องเช่าที่เงียบเหงา มีเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ ยิ่งเคลวินดีกับผมเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งไม่อยากเอารัดเอาเปรียบเขา

รู้สึกสงสารเห็นใจในความรักของเคลวิน จนบางครั้งผมก็อยากจะใจอ่อนตกลงปลงใจกับเขาจริงๆ แต่ไม่ใช่เพราะเงินของเขา แต่เพราะเขาเอาใจของตัวเองมาซื้อใจของผมต่างหาก

โอ๊ย ....อะไรกันนี่ ผมรู้สึกตกใจกับความคิดของตัวเอง คิดเรื่องงานอยู่ดีๆ ไหงมาลงที่เรื่องการตกลงปลงใจกับเคลวินได้ล่ะ ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ผมหลับตา สลัดศีรษะไปมา พยายามลบความคิดเกี่ยวกับการที่จะยอมรับเคลวินเป็นภรรยาออกไปจากหัวสมอง มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ

ก็เคลวินเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง จะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ......สังคมที่ไหนจะยอมรับ พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนพ้องของผมจะคิดอย่างไรกัน แค่ตอนนี้เขามาอยู่กับผมใครรู้เข้าก็คงจะถูกนินทาว่าร้ายต่างๆนานาแล้ว ผมต้องต่อต้านมากกว่าที่จะยอมรับสิ........

“เคน เป็นอะไรไปหรือครับ ปวดหัวหรือเปล่า”

พร้อมกับคำพูดเชิงตระหนกตกใจ เคลวินก็ไถลตัวพรวดลงจากที่นอนมานั่งข้างๆผม และจับตัวผมมากอดไว้ในอ้อมแขน และเอามือแตะที่แก้มผมเบาๆ ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างงงๆ และนึกขึ้นได้ว่าอากัปกิริยาของผมเมื่อครู่คงทำให้เคลวินเข้าใจผิดแน่ๆ

......................................

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-08-2007 07:56:48 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ช่วงเวลาอ่อนไหว   :m21: :m21: :m21:
 :m18: :m18: :m18:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-08-2007 23:41:56 โดย Lucifer »

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
รอลุ้นฉากเคนบอกรักท่านประธานดีกว่า อิอิ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
คงต้องลุ้นด้วยอีกคน

กร้ากกกกกกกกกกกก

 :m23:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ดีแบบนี้จะไม่รักจริงเหยอ
 :a14: :a14: :a14:
***************************

บทที่ 19 เดทครั้งแรก

“เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไร ผมสบายดี”

เคนตอบปฏิเสธผมหน้าตาเหรอหรา แต่ผมคิดว่าเขากำลังโกหกผม เขาต้องมีอะไรในใจแน่นอน เหมือนเขากำลังต่อสู้กับความคิดอะไรบางอย่างที่เขาไม่อยากจะยอมรับมัน แต่ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ถึงจะคั้นให้ตาย เขาก็คงไม่ยอมบอกให้ผมรู้

“อย่าคิดมากนะครับ ปล่อยใจให้สบายนะ อย่าไปฝืนมัน ถ้าเราไปต่อต้านมันมากๆในขณะที่ใจเราส่วนหนึ่งอยากยอมรับ มันอาจจะทำให้เราไม่มีความสุข ถ้าเคนเลิกยึดมั่นถือมั่น แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ สักวันคงค้นพบทางออกที่ดีได้ครับ”

บอกเขาไปแบบนั้นเพื่อให้เขาสบายใจ ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากังวลคือเรื่องงาน หรือเกี่ยวกับตัวผมกันแน่ แต่ผมก็อยากให้เขามีความสุข ไม่อยากให้เขากังวลมากเกินเหตุ

“ขอบคุณมากครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เคลวินไม่ต้องกังวลนะ นอนพักเสียเถอะ ผมไม่ชอบดูแลคนป่วยที่ไม่ยอมช่วยเหลือตัวเองนะครับ ถ้าเคลวินอยากให้ผมอยู่ด้วย ก็ต้องทำให้ผมเห็นว่าเคลวินอยากจะหายไม่อยากป่วยอยู่ตลอดนะครับ”

สามีสุดที่รักขู่ผมอีกแล้ว แหมอยากจะอ้อนหน่อยก็ไม่ได้ กำลังรู้สึกดีอยู่ทีเดียวที่มีเขาคอยอยู่ใกล้ๆ แต่นอนอยู่บนเตียงทั้งวันก็ไม่ไหว ผมขอดื้อหน่อยเถอะ

“ไม่อยากนอนบนเตียงอย่างเดียวครับ เราไปหาอะไรอย่างอื่นทำกันไหม เช่นเดินเที่ยวอะไรแบบนี้”

“ไหวหรือครับ คุณหมอบอกให้พักต่ออีกสองสามวันนะครับ ลุกออกไปเที่ยวเล่นเผ่นผ่านได้ไงกัน เดี๋ยวก็ไม่หายกันพอดี”

ดูเหมือนเคนจะเคร่งครัดกับคำสั่งของหมอเต้จนน่าขัน ผมรู้ว่าเขาห่วงผม แต่ความรั้นที่มีอยู่ทำให้ผมดึงดันจะออกไปข้างนอกให้ได้

“ไหวสิ แค่ปวดหัวตัวร้อน ไม่ได้พิกลพิการนี่ครับ ขาก็ยังเดินได้ กินยาและนอนพัก มันก็ค่อยยังชั่วบ้างแล้วล่ะ เห็นไหม เหงื่อเต็มตัวผมไปหมดเลย ผมอยากจะไปเดินยืดเส้นยืดสาย รับอากาศบริสุทธิ์บ้าง ไม่ต้องไปไกลก็ได้ ไปห้างแถวๆใกล้ๆนี้ก็พอ นะครับ ออกไปข้างนอกด้วยกันนะคนดีของผม”

พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ หวังว่าเขาจะเห็นใจ

“ไปห้าง แล้วจะได้อากาศบริสุทธิ์ตรงไหนกันครับ มันต้องไปสวนสาธารณะไม่ใช่เหรออยากไปตากแอร์น่ะสิไม่ว่า ห้องของผมมันร้อนใช่ไหมล่ะ มันคงไม่สะดวกสบายแบบที่คุณคุ้นเคย”



--------------------
เคนถามอย่างจับผิด เขาคงคิดว่าผมเป็นคนรวยติดหรู อยู่ห้องเช่าที่ร้อนยังกับเตาอบของเขาไม่ได้ ที่จริงมันก็เป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง กลางวันห้องของเขามันช่างร้อนเหลือเกิน ผมไม่สบาย ร่างกายก็ร้อนรุมอยู่แล้ว มาเจออากาศร้อนเข้าไปอีก ยิ่งอึดอัด พอสัมผัสกับอากาศที่ร้อนมากๆ บวกกับการที่ไม่มีอะไรทำนอกจากนอนอยู่บนเตียงอย่างคนที่ไร้สมรรถภาพ ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด ทั้งปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดหัว ปวดกระบอกตา ไปหมด ถึงจะกินยาตามที่หมอสั่ง แต่อาการไข้ก็ยังหลงเหลืออยู่ อีกทั้งผมนอนจนเบื่อแล้ว ขืนให้ผมจมอยู่กับเตียงอีก ผมต้องบ้าตายแน่ๆ

มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมอยากจะออกไปข้างนอก นั่นคือผมนึกขึ้นมาได้ว่าข้าวของที่ผมซื้อให้เคนอยู่ในห้อง เคนคงเห็นแล้ว แต่ที่ยังไม่ได้พูดเพราะว่าผมยังป่วยอยู่ เมื่อผมหายแล้วเขาต้องเล่นงานผมแน่ๆ ถ้าเขาโกรธมากๆ เขาอาจจะทิ้งผมให้อยู่คนเดียว ผมก็เลยคิดว่าจะไปเดินเล่นให้มันเหนื่อยๆเพลียๆก่อนกลับบ้าน เคนจะได้ลืมเรื่องต่างๆ แล้วก็ทุ่มเทเวลาให้กับการอยู่ดูแลผม

ถึงมันจะไม่ค่อยดีนักที่ทำให้พนักงานคนหนึ่งต้องเสียงานเสียการในวันนี้ แต่เมื่อคิดคำนวณถึงผลที่จะได้รับมันเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากกว่า การได้ใกล้ชิดกันในยามป่วยไข้ อาจจะทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจกันขึ้นมาก็ได้ เคนจะได้ยอมมอบกายและใจให้ผมเสียที

เขาเป็นคนรักงานรักการ ขยันขันแข็ง ถ้าเพิ่มความรักในตัวผมด้วย เขาคงจะทุ่มเทเป็นกำลังสำคัญให้กับบริษัทผมมากยิ่งขึ้น ถึงจะดูเหมือนว่าผมเป็นคนเห็นแก่ตัว เรียกร้องจากเขามาก แต่ผมก็มีเหตุผลของผม ในฐานะประธานบริษัท พนักงานอย่างเคนเป็นคนที่มีคุณค่า ผมต้องทำทุกอย่างเพื่อดึงเขาไว้ให้อยู่กับบริษัทไปตลอด แต่ทุกอย่างก็ต้องว่ากันไปตามเนื้องาน ผมจะไม่ยอมให้ความรักที่มีต่อเขา มาทำให้เกิดความลำเอียง เอื้อประโยชน์ให้เขาเพียงคนเดียว สิ่งที่ผมหวังจากเขาคือ ความรักที่เขามีต่อผม จะช่วยทำให้เขาคิดช่วยเหลือ ไม่ยอมหนีไปอยู่ที่อื่น

ในฐานะภรรยา ผมไม่มีวันปล่อยเคนหลุดมือผมไปแน่ๆ เคนเป็นคนดีมากๆ จิตใจของเขาอ่อนโยน และมีความซื่อสัตย์ ไม่เคยหาประโยชน์จากตัวผม มีแต่พยายามจะหลีกเลี่ยง เพื่อให้พ้นครหา แต่ยิ่งเขาแสดงทีท่าว่าไม่ต้องการผมมากเท่าไหร่ ผมยิ่งอยากได้เคนเป็นคู่ชีวิตของผมเท่านั้น ผมคิดว่าผมได้เดินมาถึงจุดที่ควรจะสร้างครอบครัวร่วมกับคนที่ผมรักแล้ว

“ไม่ใช่น้า.....อย่าเข้าใจผิดสิ ไม่ว่าสภาพห้องของเคนจะเป็นยังไงมันก็ไม่มีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของผมนะครับ ที่ไหนมีเคนอยู่ผมก็อยู่ที่นั่นได้อย่างมีความสุขนะครับ ที่ผมอยากไปห้าง เพราะว่าผมอยากพาเคนไปทานอาหารอร่อยๆครับ”

พูดปดออกไปเพื่อให้เคนหายความสงสัย จำได้ว่าผมบอกเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน ว่าจะพาเขาไปที่เพนเฮ้าส์ของผมเพื่อไปออกกำลังกาย และไปว่ายน้ำในวันหยุดสุดสัปดาห์ บางทีผมอาจจะหลอกพาเขาไปในวันนี้เลยก็ได้ ไปค้างอยู่ที่นั่นสักสองวัน อยู่ด้วยกันตามลำพังใช้ชีวิตเยี่ยงสามีภรรยาอย่างมีความสุข โดยปกติบริษัทในเครือของผมจะให้พนักงานหยุดในวันเสาร์และอาทิตย์อยู่แล้ว จึงไม่ค่อยมีใครมาทำงาน ยกเว้นแต่พวกคนทำงานเกี่ยวข้องกับการดูแลระบบภายในอาคาร และฝ่ายคอมพิวเตอร์ที่อาจจะมีเวรมาผลัดเปลี่ยนดูแลบ้าง แต่พวกเขาก็จะเข้าทางด้านหน้าซึ่งโอกาสที่จะได้เจอผมน้อยมากอยู่แล้ว ถ้าไปที่เพนเฮ้าส์ ก็คงจะมีอะไรให้ทำได้เยอะ ไม่ต้องมานั่งเหงาบนเตียงแบบนี้
.....................
สำหรับงานที่เขาจะต้องทำ ผมกำหนดแผนในใจไว้แล้วว่าเมื่อถึงวันจันทร์เคนจะต้องทำงานล่วงเวลาสะสางสิ่งที่คั่งค้างเสียให้เสร็จ โดยที่ผมจะอยู่เป็นเพื่อนด้วย และหากว่าเขากลับบ้านไม่ได้ผมก็จะให้เขานอนพักที่ข้างบนกับผม บรรยากาศที่หรูหราแสนสบาย อาจจะทำให้เขาโอนอ่อนผ่อนตามผมบ้างก็ได้ เขาสัญญากับผมแล้วว่าเขาจะยอมให้ผมกุ๊กกิ๊กด้วยในวันจันทร์นี้ ถ้าเราย้ายที่มาทำกิจกรรมอย่างว่าในห้องที่ดูดีกว่าเดิม เคนจะยอมให้ผมเล่นจ้ำจี้กับเขาทั้งคืนหรือเปล่านะ

“เหตุผลแค่นั้นเองเหรอ แล้วทำไมต้องมองหน้าผมยิ้มๆ แล้วทำตาเจ้าเล่ห์ด้วยล่ะ มีแผนอะไรหรือเปล่าเคลวิน”

โอ๊ย ตายแล้ว ผมเผลอทำหน้าตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มออกไปหรือนี่ สงสัยครึ้มอกครึ้มใจมากไปหน่อยที่จะได้หลอกเคนไปเคลมสวาทตามแผนชั่วร้ายของตัวเอง ผมรีบหุบยิ้มทันทีทันใด ตีหน้าเศร้า เริ่มเล่าความเท็จ โกหกหลอกลวงคนที่เรารักคงไม่บาปมากนักหรอกนะ ก็ผมอยากให้เขามีความสุขนี่นา

“เปล่าครับ ไม่มีแผนอะไรจริงๆ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เคนก็รู้นี่นา ผมจะทำอะไรได้ ป่วยออกแบบนี้ ผมก็แค่อยากไปทานข้าวกับคุณแค่นั้นเอง แล้วก็อยากไปเดินเล่น แค่นั้นจริงๆนะ แต่เคนยังไม่ตอบกับผมเลย ว่าเคนจะพาผมออกไปไหม แต่ถ้าเคนลำบากใจ ก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมไม่ไปก็ได้ ผมหนะคงเอาแต่ใจตัวเองมากไป ทำให้เคนยุ่งยาก ช่างเถอะครับ ลืมที่ผมพูดไปซะเถอะ จะอยู่ในนี้ หรือออกไปเดินเล่นข้างนอก สำหรับผมก็ดีทั้งนั้น แค่ได้อยู่กับเคนก็มีความสุขแล้ว”

เล่นบทโศก ทำเสียงเศร้าสร้อย เจียมเนื้อเจียมตัวแบบนี้ เคนจะตกหลุมพรางของผมหรือเปล่าน้า........อ๊ะ....เคนถอนหายใจแล้ว แบบนี้มันหมายความว่ายังไงน้ออออ.....เขาจะตอบว่าอะไร จะปฏิเสธผมหรือเปล่า อาการแบบนี้ เขารำคาญผมใช่ไหม ผมลุ้นจนเหงื่อตก รอฟังคำตอบอย่างตั้งอกตั้งใจ

“งั้นก็ได้ครับ ผมพาไปก็ได้ แต่บอกก่อนนะ ว่าคุณต้องทำตัวดีๆนะครับ ถ้าไปแล้วคุณเกิดเหนื่อย หรือไข้ขึ้น ต้องรีบกลับบ้านนะครับ อ้อ แล้วถ้าจะไปทานข้าวกัน ก็ต้องทานยา ก่อนและหลังอาหารด้วยนะ ห้ามทำอะไรที่มันจะทำให้ไม่สบายหนักขึ้นนะครับ ถ้าไม่ตกลงผมไม่พาไปนะ”

ว้าว....ผมร้องในใจด้วยความลิงโลด เคนของผมน่ารักมาก เขาใจอ่อนยอมออกไปข้างนอกกับผม นี่แสดงว่าเขาก็แคร์ความรู้สึกของผมเหมือนกันใช่ไหม แล้วไอ้ประโยคที่ดูเหมือนจะสั่งทว่าแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยนั่นอีก มันบ่งบอกอะไรบางอย่างได้เป็นอย่างดี นี่ผมจะเหมารวมได้ไหมว่าเคนมีใจให้กับผมบ้างแล้ว
หน้าของผมคงจะบานเป็นจานเชิงด้วยความสุข รู้สึกได้เลยว่าตัวเองปลื้มแค่ไหนที่ได้ยิน หัวใจของผมพองโตคับอก หัวใจเต้นแรง เหมือนว่าผมจะได้ยิน คำว่า “ผมรักคุณ ๆๆๆๆ” ดังแว่วอยู่ในหัวสมอง เกือบจะอดใจไม่ไหวในการที่จะดึงเขามากอดจูบเพื่อขอบคุณความรู้สึกดีๆที่เขามีให้ผม ถ้าหากไม่เห็นว่าตัวเองกำลังหลอกให้เคนออกไปข้างนอก และผมจะพาไปเพนเฮ้าส์ของตัวเอง ผมคงล้มเลิกความตั้งใจ และปล้ำเคน มอบความสุขให้เขาในห้องนี้


.....................
ทว่าผมยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เคนของผมควรจะได้พบเจอกับบรรยากาศดีๆ มันจะช่วยส่งเสริมให้เขาอยากมีเซ็กส์กับผมมากยิ่งขึ้น เผลอๆเราอาจจะจูงมือกันไปสู่ดินแดนสุขาวดีด้วยกันหลายๆครั้งก็ได้ โอ๊ย ยิ่งคิดผมก็ยิ่งอยากพาเคนเดินทะลุประตูมิติแห่งจักรวาลไปโผล่ที่ห้องนอนสุดหรูของผมเสียตอนนี้เลย

พอคิดมาถึงตรงนี้ ปฏิกิริยาอยากจะหม่ำเคนของผมก็แสดงออกทันที น้ำลายมาสออยู่ที่ริมฝีปาก จนผมต้องสูดมันเข้าไป ผมเอามือวางบนตัก บังเจ้ายักษ์ไซครอปส์ที่กำลังจะผงกหัวขึ้นมา เสียงซี๊ดซาดคงจะดังจนเคนได้ยิน เขาขมวดคิ้วมองผมอย่างสงสัย แต่ไม่มีทางที่ผมจะทำให้เจ้ากระต่ายน้อยของผมตื่นหรอก หมาจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์อย่างผมทำได้อย่างเดียวคือปลอบโยนให้ตายใจ และคาบเขาไปหม่ำที่ห้องนอนของตนเอง โฮะๆๆๆ ผมอดขำในความคิดพิสดารของตัวเองไม่ได้ รู้สึกตกใจตัวเองนิดหน่อย ที่เหมือนคนหื่นกามลามก เคนน่ารักจนผมห้ามใจตัวเองไม่ไหว ตั้งแต่อยู่ใกล้เคนผมก็กลายเป็นคนแบบนี้ไปแล้ว

หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมกับเคนก็พร้อมที่จะออกไปข้างนอกแล้ว เขาช่วยเช็ดเนื้อตัว และเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้ผม จากนั้นก็อาบน้ำแต่งตัว ผมลอบมองเสื้อผ้าที่เขาใส่สำหรับออกไปเที่ยว แม้จะเป็นเครื่องแต่งตัวลำลองสุภาพ สะอาดสะอ้าน แต่มันก็ดูเชยๆไปหน่อย ความรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะจับเขามาแปลงโฉมบังเกิดขึ้นในหัวสมองของผมทันที

มันเป็นเรื่องยากมากเลย ในการห้ามใจไม่ให้พูดหรือคิดที่จะเปลี่ยนแปลงเคนออกมา ผมรู้ว่า หากผมพูดออกไป เคนต้องไม่พอใจผมแน่ๆ และผมไม่อยากเสี่ยง สถานการณ์ระหว่างเราตอนนี้กำลังไปได้สวย เคนยอมผมหลายอย่างแล้ว ถ้าหากผมยังขืนยุ่งเกี่ยวกับตัวเขามากไปกว่านี้ ผมคงจะล้มเหลวด้านการเปลี่ยนจิตใจให้เคนกลับมารักผมแน่ๆ

เอาเถอะ ผมจะค่อยๆทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบที่เคนเป็นตัวของเขาเองอย่างที่เป็นอยู่นี้ แต่ผมอยากทำให้เคนดูดีมากๆในสายตาคนทั่วไป เขาเปรียบเหมือนเพชรในตมที่ผมต้องนำมาล้างทำความสะอาด และเจียระไน เพื่อที่จะเอาประดับในเรือนแหวน ผมอยากให้คนเห็นคุณค่าในตัวของเขา เหมือนกับที่ผมเห็น ผมรักเคนมาก และผมปรารถนาที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีความสุข

ลุงเทพขับรถมาจอดรออยู่หน้าห้องพักของเคน ผมให้เขาเป็นคนโทรไปเรียกรถ เพราะจะได้เดินทางสะดวก ตอนแรกเขาทำท่าอิดออดไม่อยากให้รถคันโตเบ้อเริ่มมาจอดรับเราสองคนออกไปข้างนอก คงกลัวคนจะนินทาว่าร้าย หาว่าเป็นเด็กเสี่ยเลี้ยง ทว่าในที่สุดเคนก็ยอมโทรหาลุงเทพเพราะสงสารที่ผมไม่สบาย เขาไม่อยากให้ผมลำบากด้วยการนั่งแท็กซี่ไปมา ก่อนจะขึ้นรถ เขาบอกกับผมว่า รถอาจจะเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยสำหรับคนหาเช้ากินค่ำอย่างเขา แต่สักวันหนึ่ง เขาคงจะต้องหาซื้อมาขับสักคัน จะได้พาผมไปไหนต่อไหนได้โดยไม่ลำบาก แล้วเขาก็ยังพูดออกมาอีกด้วยว่า คนที่เป็นสามี ควรจะทำให้ภรรยามีความสุข ผมไม่รู้ว่าสองประโยคนี้ มันหมายความว่าเขายอมรับว่าผมเป็นภรรยาของเขาหรือเปล่า แต่ผมคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้ว มันทำให้ผมมีความสุขมาก



--------------------
เราเลือกทานอาหารไทยที่ร้านแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้าโก้หรู ผมไม่พาเคนเข้าร้านอาหารฝรั่ง เพราะผมอยากเอาใจเขา ผมรู้ว่าเคนคงไม่ถนัดกับอาหารเลี่ยนๆประเภทนมเนยแป้ง เท่าไหร่นัก ในขณะที่ตัวผมเองก็ชอบทานอาหารไทยมากกว่าอาหารฝรั่งด้วย แม่ครัวที่บ้านทำให้กินบ่อยๆ ป้าหมี่ทำอาหารเก่งมาก ตั้งแต่เล็กๆ ผมก็คุ้นเคยกับอาหารไทยจากฝีมือการทำอาหารของแกแล้ว เดี๋ยวนี้ พ่อแม่ และพี่ๆของผมทานอาหารเผ็ดๆได้เยอะชนิด ผมเองก็ลองพยายามทานอยู่ แต่ถ้าเผ็ดมากก็ไม่ไหว มันปวดท้อง แสบร้อนไปหมด ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไหนๆผมก็รักสามีคนไทยของผมคนนี้มาก อะไรที่เขาชอบ ผมก็ต้องชอบด้วย

“เคลวินจะทานอาหารไทยพวกนี้ได้หรือครับ มันเผ็ดนะ ตอนนี้ยิ่งไม่สบายอยู่ เดี๋ยวเกิดปวดท้อง อาหารเป็นพิษไปอีก จะแย่เข้าไปใหญ่”

สุดที่รักของผมทำหน้าปริวิตก เมื่อเห็นรายชื่ออาหารที่ผมสั่ง ผมยิ้มขำ เพราะเมนูที่ผมเลือกนั้นมันไม่ได้เผ็ดมากมายอะไร แค่แกงเผ็ดเป็ดย่าง ยำถั่วพู ห่อหมกทะเล และปูผัดผงกะหรี่ เท่านั้นที่มีพริกหรือเครื่องแกงเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร นอกนั้นผมก็เลือกอาหารจืดๆ เช่นไข่เจียวกุ้งสับ ผัดผักรวมมิตรไว้ให้ อาหารทั้งหมดผมสามารถทานได้ ดังนั้นเขาไม่จำเป็นจะต้องกังวลใจกับผมเลย

“ไม่เป็นไร อาหารพวกนี้ไม่เผ็ดมากครับ ผมเคยทานแล้ว ผมทานได้นะ แล้วร้านนี้เขาทำอาหารอร่อยมาก รสชาติเหมาะกับทั้งคนไทยและคนต่างชาติครับ เคนจะสั่งอย่างอื่นทานไหมครับ ขอโทษทีนะ ที่ผมผูกขาดการสั่งหมดเลย แต่ถ้าคุณอยากทานอะไรก็สั่งเพิ่มได้นะครับ”

“ไม่ดีกว่า แค่นี้ก็เยอะแล้ว ทานไม่หมดหรอก เคลวินสั่งก็ดีแล้วครับ ผมก็ไม่ค่อยจะรู้จักอาหารมากมายอะไร ที่กินประจำก็มีไม่กี่อย่าง ถ้าให้สั่งก็คงจะได้แค่ข้าวผัด”

เขาตอบผมอายๆ ผมเข้าใจได้ทันที และเกิดความสงสารสุดที่รักของผมอย่างท่วมท้น เคนเป็นเด็กต่างจังหวัดทางภาคอีสาน อีกทั้งเขามีฐานะยากจน อาหารที่เขาคุ้นเคยก็คงเป็นอาหารพื้นเมือง การจะเข้าร้านอาหารเป็นเรื่องเป็นราวก็คงจะน้อยครั้งมาก เรียนจบมาทำงานก็ต้องกระเบียดกระเสียรส่งเงินกลับไปบ้านอีก จะกินข้าวฟุ่มเฟือยก็คงไม่ได้ คิดแล้วผมก็อยากให้เขาประสบความสำเร็จเร็วๆจัง ไม่ใช่ผมทนลำบากไปกับเขาไม่ได้ แต่ผมอยากให้เขาพ้นภาระเรื่องการดูแลพ่อแม่และน้องๆของเขาต่างหาก เขาจะได้มีเวลาคิดเรื่องของตัวเองบ้าง

“ผมจะพยายามทำอาหารไทยหลายๆแบบให้เคนทานบ่อยๆนะครับ ไม่ต้องไปซื้อเขาหรอก ทำกินเองอร่อยกว่า ผมเป็นพ่อครัวที่ไม่หวงเครื่องปรุงด้วย มีอะไรใส่ลงไปเต็มที่เลย เคนจะได้ของอร่อยๆ ที่มีคุณภาพทานฟรีๆเลยครับ”

รีบพูดเอาใจเขาเพื่อให้เขาเลิกคิดถึงความยากลำบากของตัวเอง ตั้งใจไว้แล้วว่า นับจากนี้ไปผมจะเรียนรู้วิธีการทำอาหารไทยให้หลากหลาย และเป็นเร็วกว่านี้ เพื่อให้เคนสุดที่รักของผมได้กินอาหารดีๆ เขาจะได้มีความสุข เวลาอยู่กับผม

“ไม่ต้องลำบากก็ได้ครับ ผมกินง่ายอยู่ง่าย อะไรก็ได้ครับ ไม่อยากรบกวน เกรงใจนะครับ”



--------------------
ท่าทางขณะพูด มันบ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่อยากสร้างความยุ่งยากให้ผมจริงๆ ผมเลยยิ่งเอ็นดูเขามากไปกว่าเดิม ผมดึงมือเคนมากุมไว้ และจ้องลงไปในดวงตาของเขา พลางบอกว่าไม่ต้องคิดมาก เขาเป็นสามีของผม ถึงอย่างไรผมก็ต้องดูแลเขาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เขายิ้มให้ผมท่าทางอายๆ พูดเบาๆแต่ผมก็ยังอุตส่าห์ได้ยินว่า เขารู้สึกตัวว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวที่แย่จัง ไม่ได้ทำอะไรเพื่อคนในครอบครัวเลย คำพูดนั้นแม้ไม่เต็มถ้อยเต็มคำนัก แต่ก็เรียกรอยยิ้มมาสู่ใบหน้าของผมได้อีกครา เหมือนว่าเคนกำลังจะเริ่มยอมรับผมในตัวผมไปทีละน้อยแล้ว เพียงแต่เขายังสับสนในตัวเองเท่านั้น ผมทำได้แค่เพียงรอให้เขากล้าพูดออกมาว่ามีใจให้ผม เพราะขืนพูดสรุปออกไปตอนนี้ เคนคงตั้งกำแพงสูงขึ้นไปอีก เพื่อหลบหนีผมแน่นอน

ขณะที่ผมกำลังดื่มด่ำอยู่กับความคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขามีใจ พนักงานก็ขัดจังหวะด้วยการเอาอาหารมาเสริฟ อารมณ์ของผมสะดุดไปนิดหนึ่ง เคนคงจะอาย ที่ถูกมอง จึงดึงมือของเขาออกจากการเกาะกุมของผมทันที ทำให้ผมรู้สึกเสียดายอย่างมาก เคนอุตส่าห์เคลิบเคลิ้มไปกับผมแล้วเชียว เฮ้อ คงต้องรอลุ้นกันต่อไป ถึงอย่างไร ใจของเคนก็คงจะเอนเอียงมาทางผมพอสมควร

รับประทานอาหารเสร็จ ผมก็ถูกเคนบังคับให้ทานยา ผมยอมตามอย่างว่าง่าย เพื่อไม่ให้สามีของผมไม่พอใจ เดี๋ยวคราวหน้าเขาจะไม่ยอมทำตามที่ผมขอร้องอีก อุตส่าห์พาผมซึ่งไม่สบายมาเที่ยวทั้งที แถมดูแลอย่างดี คอยประคองผม เอามือแตะเนื้อตัวเช็คความร้อนตามร่างกายผมอยู่ตลอดเวลา แม้ท่าทางเขาจะดูเงอะงะเหมือนไม่ค่อยชินกับการพยาบาลใครนัก แต่ช่างน่ารักในสายตาของผม เคนห่วงใยผมแบบนี้ ผมยิ่งรู้สึกดีกับเขามากขึ้นทุกที

“เป็นไงครับ ปวดหัวบ้างไหม ง่วงหรือเปล่า อยากกลับบ้านหรือยัง”

เคนถามผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่ได้รู้สึกง่วงหรือเบื่อหน่ายแต่อย่างใด ตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดชื่นมีชีวิตชีวา คงเพราะได้พยาบาลที่ดีอย่างเคนนั่นเอง ความสุขที่ได้รับจากการอยู่ใกล้ชิดกับเขา ทำให้ผมไม่อยากกลับบ้านเร็ว ในที่สุดผมก็หาข้ออ้างที่จะยังไม่กลับบ้านขึ้นมาได้ ผมรีบอ้อนเขาทันที

“ตอนนี้ยังไม่อยากกลับเลยครับ ผมไม่ง่วงเลย ตอนนี้อยากดูหนังขึ้นมาซะแล้ว เราดูหนังกันไหมครับเคน”

“อะไรกัน ตัวยังอุ่นๆอยู่เลยนะครับ เสียงก็ยังแหบอยู่ แถมไอด้วย จะดูหนังไหวเหรอ”

“ไหวสิ ผมมียาอม และยาน้ำแก้ไอด้วยนะ เดี๋ยวจิบไปด้วยระหว่างดูหนังก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะ นะครับ นะ”

ส่งสายตาอ้อนวอน ในที่สุดเคนก็ใจอ่อนจนได้ เขาให้ผมเลือกหนังที่ผมอยากดู แต่ผมก็อยากตามใจเคน ถ้าหนังฝรั่ง เคนก็ต้องอ่านคำบรรยาย ดูหนังก็คงไม่สนุกนัก ผมเลยเลือกดูหนังไทยกับเคนดีกว่า ช่วงนี้มีหนังฟอร์มยักษ์ เกี่ยวกับการกอบกู้เอกราชของพระมหากษัตริย์ชาวสยาม เห็นโปรโมททางทีวี คิดว่าน่าจะเป็นหนังที่ดีพอสมควร และน่าจะถูกรสนิยมของเคนด้วย เขาว่ากันว่าคนไทย รักชาติไม่แพ้พลเมืองของประเทศอื่น เคนของผมก็เช่นเดียวกัน



--------------------


ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
เคนเริ่มเปิดใจยอมรับขึ้นมาบ้างแระ รอลุ้นต่อไป  :m11:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด