ไอ้ไนท์พาผมมาหยุดที่หน้าห้องเรียนห้องหนึ่ง ผมมองมันงงๆ ยังไม่ทันได้เปิดปากถามมันก็ดึงผมเข้าห้อง ชะอุ๊ย! สถานการณ์เหมือนจะล่อแหลม สักพักมันต้องปิดประตู น่าน..ปิดแล้ว จากนั้นไฟต้องดับ ฝนตก ทั้งมืดและอากาศเย็น เราสองคนจึงได้ให้ไออุ่นกันและกัน ตาสบตา..มือประสานมือ แล้ว..
“หน้าลามกว่ะ บอกไว้ก่อนนะว่ากูไม่ได้พามาเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ถ้ามึงจะสานต่อเรื่องเมื่อคืน...”
“อ่ะ..อะไรเล่า เชี่ย มึง ปาก...” ดูมันพูดครับ โคตรใส่ร้าย ผมแค่นึกถึงตอนมือประสานแล้วนอนลงเท่านั้นเอง ยังไม่ทันได้เริ่มให้ความอบอุ่นอะไรเลย หน้าจะลามากได้ไงถามหน่อยเหอะ แล้วไอ้สานต่อเรื่องเมื่อคืนอะไร ไอ้เวย์ขอสาบานด้วยเกียรติของสมาคมคนหน้าโง่เลยว่า ต่อไปมันจะไม่มีอีกแล้ว!
“หึ ตัวเองก็ออกจะชอบแท้ๆ” มันยกยิ้มมุมปากอย่างที่โคตรหล่อในสายตาผม อ้าว แล้วกูจะชมมันเพื่อ?
“ไอ้เชี่ยไนท์” ผมสบถด่ามันด้วยความเขิน ใจก็นึกไปถึงไอ้ตัวดีเจ้าของคำแนะนำ ไอ้นุ ไอ้เพื่อนรัก พรุ่งนี้เถอะมึง กูจะแสดงความรักกับมึงให้ถึงอกถึงตีนเลย
“หน้าแดงไปถึงหูแล้ว” ผมสะดุ้งเมื่อมือที่ค่อนข้างชื้นเหงื่อสัมผัสกกหูผมแล้วคลึงเบาๆ สายตากับรอยยิ้มที่เดี๋ยวนี้ชักมีบ่อยขึ้นชวนให้ผมหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนจะเป็นไข้ ไอ้ไนท์...มันต้องเจ้าชู้ประตูดินชัวร์ ถึงจะรู้มานานแล้ว แต่ ณ เวลานี้ ขอย้ำว่า มันโคตรเจ้าชู้!
มันดึงแขนผมให้เดินไปยังโต๊ะเรียนตัวหลังห้องซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่าง มองออกไปข้างนอกคือลานอเนกประสงค์ที่มักใช้จัดกิจกรรมต่างๆ ภายในคณะ มันนั่งลงแล้วดึงผมให้นั่งบนตักตัวเอง เดี๋ยวนี้มันชักจะหน้าด้านใหญ่แล้วครับ
“กูไม่เมื่อย จะยืน”
มันไม่ตอบ แต่ไม่ยอมปล่อยผมแถมยังยื่นหน้าเอาคางมาเกยไหล่อย่างหน้าตาเฉย ลมหายใจร้อนๆ บริเวณซอกคอทำให้ผมนิ่งโดยอัตโนมัติ จริงๆ แล้วก็เริ่มชินกับอาการแสดงออกแบบไม่เลือกที่ของมันแล้วล่ะครับ แต่ไอ้บรรยากาศอย่างกับจะสร้างโลกส่วนตัวเนี่ย ผมยังไม่ค่อยอยากจะชินไปกับมันสักเท่าไร
“มึงพากูมาที่นี่ทำไม”
“มึงรู้มั้ย ตอนเจอกันครั้งแรก มึงปากเสีย กวนตีนมาก จนกูหมั่นไส้”
“อ้าว ก็ตอนนั้นมึงกวนกูก่อน” ผมรีบเถียงกลับแทบจะในทันที มั่นใจว่าตัวเองแม้จะอยู่เฉียดๆ กับคำว่า “กวนตีน” แต่ก็ไม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนแน่นอนครับ จำได้ว่าตอนนั้นไอ้ไนท์มันชอบมองหน้าหาเรื่องผม ไม่ยกคิ้วก็ยกปาก แล้วสายตามัน เหอะ ไม่รู้รอดยำตีนมาจนป่านนี้ได้ยังไง
“กูพยายามจะพูดดีๆ กับมึงแล้วนะ แต่มึงพอเจอหน้ากูก็ตั้งท่าจะด่ากูตลอด”
“มึงต่างหากชอบกัดกู” ผมบ่นอุบอิบ พลางยกนิ้วเกาจมูก นึกตามมันก็ยอมรับอย่างไม่เต็มใจครับว่า ตอนนั้นไม่ถูกชะตากับมัน เห็นช่องหน่อยไม่ได้ ผมแอบด่ามันตลอด ถึงแม้หน้าตามันจะชวนให้ใช้เป็นโมเดลสร้างลูกก็เถอะ
“แต่ที่ห้องนี้ มึงพูดดีๆ กับกูเป็นครั้งแรก”
“หืม?”
“หน้าแดง พึมพำขอยางลบกู” ยางลบ? อ้อ ตอนนั้น..คิดแล้วก็อาย นั่นน่ะถ้าไม่ใช่เพราะจะสอบแล้วไม่มีใครที่รู้จักนั่งอยู่ใกล้ๆ นอกจากมันนะ ผมไม่ยอมเสียฟอร์มไปขอมันหรอก เอ๊ะ แต่จริงๆ ตอนนั้นก็ไว้ฟอร์มพอควรอยู่เหมือนกันนะครับ ผมถือคัตเตอร์ไว้ในมือเสร็จสรรพ แล้วบอกมันว่า ‘ขอแบ่งยางลบครึ่งหนึ่ง’ ยังจำหน้ามันได้เลยครับตอนที่เลิกคิ้วมองผม แล้วเลื่อนสายตาไปเจอมีดคัตเตอร์ในมือผม มันหลุดหัวเราะ ทำให้หน้ามู่ๆ ในสายตาผมดูอ่อนโยนขึ้นเยอะ ผมไม่รอให้มันอนุญาตก็จัดการตัดแบ่งยางลบเป็น 70 – 30 แน่นอนว่าผมต้องได้มากกว่าเพราะอุตส่าห์ข่มความอายไปขอมัน ไอ้ไนท์เห็นยางลบที่มันได้คืนแล้ว นอกจากจะไม่โกรธอย่างที่ผมแอบหวังไว้ ยังหัวเราะออกมาซะอย่างนั้น เล่นเอาคนขออย่างผมเสียเซล์ฟไปแล้ว
“ตอนนั้นกูคิดว่ามึงตลกดี” อ้อ...ไอ้ที่ขำนั่นน่ะเหรอ กูก็นึกว่ามึงเครียดจนเพี้ยนไปแล้วเหอะ
ผมยิ้มให้มัน ไอ้ไนท์แตะแก้มผมให้มองไปนอกหน้าต่าง เห็นลานอเนกประสงค์ที่ยังมีคนเดินอยู่ประปราย แล้วพูดว่า
“ที่ลานนั้น ถ้ามึงยังจำได้ สมัยปีหนึ่งมึงต้องเดินเอาขนมไปให้ไอ้ลักกี้ทุกวันก่อนกลับบ้าน แล้วบางทีก็อยู่เล่นกับมันจนเย็น” ไอ้ลักกี้ ก็ไอ้หมาก้นด่างตัวนั้นไงครับ ไอ้หมาผู้มีพระคุณที่ผมใช้เป็นข้ออ้างตอนมาปฐมนิเทศสาย ถ้ามันไม่บังเอิญผ่านมา มุกช่วยหมาตกพุ่มไม้ของผมกับไอ้นุคงเหลวไม่เป็นท่าไปแล้ว ฉะนั้นเมื่อมีเวลาผมก็มักจะพยายามตอบแทนบุญคุณมันเสมอครับ “ตอนนั้นกูยังนึกว่ามึงเป็นพวกขาดความอบอุ่น ไม่อยากกลับบ้าน หึ แล้วก็เลยกลายเป็นว่ากูต้องหาอะไรทำอยู่จนเย็นทุกวัน รอมึงเล่นกับหมาเสร็จ”
ไอ้บ้า คนอย่างกูมีแต่แบ่งปันความอบอุ่นให้กับคนอื่นเว้ย แต่ผมก็เพิ่งรู้นะครับว่าที่เจอมันตอนเย็นบ่อยๆ นั่น เพราะมันนั่งดูผมเล่นกับหมา ว่างจริงนะพ่อคุณ เห็นผมเป็นของแปลกไปได้ ตอนปีหนึ่งที่เริ่มสนิทกันนอกจากเรื่องบาสก็คงเพราะ “บังเอิญ” เจอมันตอนเย็นนั่นแหละ
แต่เดี๋ยวนะ ไอ้ไนท์..นี่มัน เรื่องตอนปีหนึ่ง!! ผมตาโตหันขวับไปมองมันอย่างต้องการคำอธิบาย ก็ในเมื่อมันจำอะไรไม่ได้ แล้วมันรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน
“น่ะ..ไนท์”
“อย่าเพิ่งพูด ไปที่อื่นต่อกัน”
ผมพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ในใจยังสับสนไปหมด เมื่อมันยื่นมือมาปัดผมตรงหน้าผากให้อย่างแผ่วเบา ก่อนจะลากผมออกจากห้อง ในสมองผมยังมีแต่ภาพตอนปีหนึ่งหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย บางอย่างอุ่นวาบในหัวใจคล้ายความหวังอะไรสักอย่างที่ผมเองก็ไม่แน่ใจ รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวจนผมต้องกระพริบถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาออกไป ไนท์...มึงจะไม่ทำให้กูผิดหวังอีกครั้งใช่ไหม
ผมเดินตามแรงลากของมันจนมาหยุดอยู่สระกว้างข้างหอประชุม ก่อนเข้ามาเรียนที่นี่ผมได้ฟังเรื่องเล่ามาหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของสระนี้ ว่ากันว่าถ้าใครได้มาลอยกระทงด้วยกันจะได้เป็นแฟนกัน แต่คนที่เป็นแฟนกันอยู่แล้ว ถ้าลอยด้วยกันก็จะเลิกกัน เรื่องเล่าที่พิสูจน์มาแล้วว่าไม่จริงครับ
“วันลอยกระทงที่กูไม่มีทางลืมคือตอนปีหนึ่ง ตัวมึงตกไปพร้อมกระทง” ไอ้ไนท์ทอดสายตามองตรงพร้อมรอยยิ้มบางๆ เหมือนกำลังนึกภาพวันนั้น สายตามันอ่อนลงจนผมนึกว่าตัวเองตาฝาด ปกติมันมองผมอย่างนั้นเหรอ?
“ตอนนี้นึกแล้วก็ขำ ตอนนั้นกูขำไม่ออก เพราะมึงป่วยแล้วดื้อจะมา สุดท้ายก็ต้องห้ามส่งโรงพยาบาล” มันหันมาสบตาผม แถมยังส่งสายตาดุๆ มาให้ทั้งที่เรื่องก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว ผมไม่ตอบ ที่จริง ปฏิกิริยาตอบสนองของผมดูเหมือนจะพากันหยุดทำงานเอาเสียดื้อๆ ไนท์มันจำได้แล้ว ผมเชื่อว่าอย่างนั้น เชื่อว่ามันจำได้จริงๆ จากสายตาของมัน และคงจำได้ด้วยตัวเอง ไม่ได้ไปฟังจากใครมา ความรู้สึกของผมอธิบายได้ยากครับ เหมือนจะดีใจแต่ก็ยังไม่สุด เหมือนจะสมหวังแต่ก็ยังมีความกังวลเคลือบอยู่บางเบา และอาจจะมีความโกรธ ความน้อยใจอยู่ด้วยเช่นกัน
“มึงอาจไม่รู้ แต่กูเป็นห่วงมึงมาก”
ผมสบดวงตาที่เหมือนจะยิ้มได้ของมัน ใจสั่นแปลกๆ ด้วยคำพูดตรงๆ เพียงประโยคเดียว ตอนนั้นไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว ไม่ว่าอยู่ในฐานะอะไร มันก็เป็นคนแรกที่ช่วยเหลือผมเสมอ
ที่ต่อมาคือโต๊ะมานั่งยาวที่ผมชอบแอบโดดเรียนมางีบหลับ เพราะลมพัดเย็นดี บวกกับมีต้นไม้ใหญ่ค่อยกันแดด แถมมองขึ้นก็จะเห็นห้องเรียนประจำทำให้ง่ายต่อการส่งซิก เมื่อมีเรื่องด่วนอย่างเช่นอาจารย์แจกเทสย่อยกะทันหัน
“โต๊ะตัวนี้ มึงทำให้กูหึงด้วยการนอนมองหน้ากับไอ้นัท” มันว่าแล้วนั่งลงแนบแก้มกับโต๊ะจนผมหลุดขำ เมื่อผู้บรรยายไม่พูดเปล่าแต่ถึงขนาดลงทุนสาธิตด้วยตัวเอง ผมเดินไปนั่งลงข้างๆ แล้วเลียนแบบมันด้วยการสวมรอยเป็นพี่นัท ปิดท้ายด้วยการทำใจกล้าตบแก้มมันเบาๆ
“ตอนนั้น กู ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังหึง เพียงแต่ไม่เคยร้อนใจเท่านั้นมาก่อน” ฟังมันพูดจบ ความใจกล้าผมก็ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว เพราะความอายมันมีมากกว่า เออเว้ย ดูสลับกันชอบกล เมื่อก่อนผมยึดคติด้านได้อายอด ดับเครื่องชนเดินหน้าเข้าหามันตลอด แต่พอเจอพ่อคนดีมันรุกหนักๆ เครื่องมันก็ชักไม่ไหวครับ ผมกลายเป็นนักมวยใจไม่สู้ที่พออีกฝ่ายต่อยมา ก็ได้แต่โยกหลบท่าเดียว
“ดีแล้ว ที่มันไปเมืองนอก กูจะได้วางใจ”
นั่งให้ลมพัดเย็นๆ จนผมเริ่มเคลิ้ม ไอ้ไนท์ก็ฉุดผมลุกขึ้นเดินทัวร์ต่อ ได้แต่หวังว่ามันคงไม่บ้าจี้พาผมระลึกความหลังจนทั่วมหาลัย
มันพาผมมาสนามบาส แล้วเดินไปหยิบไอ้ลูกกลมสีส้มเพื่อนสนิทของผมและมัน ก่อนจะโยนมาให้ มันยิ้มให้ผม ผมยิ้มตอบมันแล้วเริ่มเดาะบอลตรงไปใต้แป้น ชู้ตลงไปอย่างง่ายดาย โดยมีไอ้ไนท์ยืนมองยิ้มๆ ผมจับบอลแล้วส่งไปให้มันบ้าง มันโยนยาวจากเขตสามคะแนนลงห่วงดังสวบก่อนที่เกมส์ของจริงระหว่างเราสองคนจะเริ่มขึ้น
ตอนนี้ผมบอกตัวเองว่าจะไม่คิดอะไร นอกจากเล่นบาสให้สุดเหวี่ยง ให้เต็มที่อย่างที่ไม่ได้เล่นด้วยกันสองคนมานาน ส่วนเรื่องอื่นๆ ผมจะขอรอคำอธิบายจากมัน ไอ้การผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่มีใครยอมใครอย่างนี้ทำให้นึกถึงตอนปีหนึ่งครับ ตอนนั้นไอ้ไนท์มันยั่วโมโหผมด้วยการบอกว่าผมเตี้ย คงจะเล่นบาสไม่ได้เรื่อง ไอ้ผมก็ของขึ้นง่ายท้าแข่งบาส กับมัน สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าเล่นเข้าขากันมากกว่าคนอื่นๆ จนได้จับคู่ซ้อมกันอยู่บ่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็สนิทกับมันไปซะแล้ว และเพราะมันใส่เสื้อผมลงแข่งจนได้แชมป์มานั้น ทำเอาผมตกหลุมที่มันไม่ได้ตั้งใจขุดไปเต็มๆ จนตอนนี้ปีสี่แล้วก็ยังปีนขึ้นมาไม่ได้เสียที เพราะฉะนั้นไอ้ลูกกลมๆ ลูกนี้ ผมจะยกตำแหน่งแม่สื่อกิตติมศักดิ์ให้มันแล้วกัน
เวลาผ่านไปไม่รู้นานเท่าไร แต่คงนานพอสมควรกับเหงื่อที่เปียกชื้นไปหมด ผมยอมแพ้ ทิ้งตัวลงนอนกลางสนาม หอบหายใจอย่างหนัก ดูท่าจะต้องกลับไปฟิตร่างกายอย่างเร่งด่วนครับ เสียงหอบหายใจข้างๆ ทำให้ผมรู้โดยไม่ต้องลืมตาว่าไอ้ไนท์มันมานอนแผ่หราอยู่ใกล้ๆ รอจนมันรับอ็อกซิเจนไปหล่อเลี้ยงหัวใจจนร่างกายเริ่มสงบลงแล้วจึงพูดว่า
“มึงทั้งอวดดี ดื้อ ไม่ยอมคน ตัวเล็กแค่นี้แต่ดันวิ่งทั่วสนาม แถมยังเข้าขากับกูได้ดีสุดๆ ตอนเป็นกัปตันก็ตีหน้าขึงขังทั้งที่ไม่มีใครเคารพสักหน่อย” มันหัวเราะออกมาเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ของวันนี้ สายตาที่ทอดมองมาดูอ่อนโยนไม่ปิดบัง จนผมแทบอยากจะควักลูกตามันเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ความรัก “กูคอยแต่จะมองมึงเพราะมึงตลกดี ดูแล้วสบายใจดี อยู่กับมึงแล้วกูไม่มีเบื่อเลย” หยอดเสร็จ ยังมีการเอื้อมมาเช็ดเหงื่อให้ผม ณ เวลานี้ ต่อให้โลกแตก ผมก็ยอมแล้วครับ ยอมมันอย่างไม่มีมาด ไม่มีฟอร์ม ยอมรับกันตรงๆ แล้วเอ้าว่า ผมโคตรแพ้ทางมัน ยิ่งมันทำอย่างนี้ ไอ้เวย์เหมือนโดนหมัดน็อคเอาท์ครับ เคโอแบบไม่ต้องนับ เห็นดาวแล้วขึ้นสวรรค์ในทันใด
“รู้มั้ยตอนที่กูคิดว่ามึงน่ารัก” มันพึมพำเบาๆ ผมเห็นหูมันแดง หรือมันจะเขินวะ? “ตอนที่รู้ตัวว่าคงชอบมึงเข้าให้แล้ว กูไม่ตกใจเลย กลับดีใจด้วยซ้ำที่คนๆ นั้นเป็นมึง ถ้าไม่มีเรื่องของพ่อซะก่อน กูคงไม่ต้องปล่อยให้มึงรอนานขนาดนี้”
“ไนท์...” ผมครางออกมาด้วยความอึ้ง พูดอะไรไม่ออกนอกจากเรียกชื่อมัน รู้สึกเหมือนความหนักอึ้งในใจคลายลง มันบอกว่ามันไม่เสียใจที่รักผม ผมเข้าใจอย่างนั้นได้ใช่ไหม ไอ้ไนท์เอื้อมมือมากุมมือผมไว้หลวมๆ ผมบีบตอบมัน เอ่ยถามทั้งที่หัวใจบีบรัดแน่นกับคำตอบที่กำลังจะตามมา
“มึงจำได้ตั้งแต่เมื่อไร”
“สักพัก”
แล้วทำไมเพิ่งมาบอกกูตอนนี้ คือสิ่งแรกที่ผมนึก และดูเหมือนมันจะเข้าใจความคิดผม มันบอกว่า
“ขอโทษที่เพิ่งบอกมึง แต่กูอยากให้เวลาพ่อ และตัวเอง ตอนที่กูเริ่มจำได้ กู..” มันถอนหายใจเหมือนไม่รู้จะอธิบายให้ผมฟังยังไงดี ผมบีบมือมันอีกครั้งอย่างเข้าใจ ผมคิดว่าตัวเองพอจะเข้าใจความรู้สึกมัน ถึงจะไม่ทั้งหมด แต่เข้าใจว่ามันคงยากจะทำใจยอมรับเรื่องพ่อ รวมทั้งให้อภัย เพราะตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมามันไม่เคยทำได้ สภาพมันหลังจากแม่มันเสีย ผมก็ยังจำได้ รวมถึงสัญญาที่มันเคยขอจากผมไว้ในวันนั้นด้วย
“แล้วตอนนี้”
“ไอ้ชินบอกกูแล้ว”
“แล้วมึงไม่โกรธ?” มันนิ่งไปสักพัก แล้วถอนหายใจอีกรอบก่อนจะตอบว่า
“ตอนแรกก็โกรธ แต่ตอนนี้กูคิดได้แล้ว” ผมเงียบรอฟัง ขณะที่มันเองก็กำลังใช้ความคิด อดแปลกใจไม่ได้ที่ไอ้ชินมันตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้ไอ้ไนท์ฟัง ทั้งที่มันจะปิดเงียบก็ได้ในเมื่อไอ้ไนท์มันก็จำอะไรไม่ได้ แล้วก็เข้ากับลุงนพได้ดี ภาพครอบครัวกับรอยยิ้มของลุงนพที่ผมไม่ได้เห็นมานาน ก็ได้เห็นตลอดในช่วงหลายเดือนมานี้ หรือมันจะรู้สึกผิดจนต้องพูดออกมา? ความคิดผมหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงคล้ายจะสั่นของคนข้างๆ
“มึงรู้มั้ย ตอนกูอยู่โรงพยาบาล ตอนกูกำลังจะตาย กูได้ยินเสียงมึง เห็นหน้ามึง...มึงคนเดียว” อาจจะเพราะคำพูดของมัน หรือเพราะน้ำเสียงเจ็บปวดที่น้อยครั้งจะได้ยินทำให้ขอบตาผมร้อนแผ่ว ยิ่งนึกถึงตอนที่มันนอนนิ่ง ร่างกายเต็มไปด้วยผ้าพันแผล เข็มน้ำเกลือและเครื่องช่วยหายใจ นึกถึงตอนที่หัวใจมันหยุดเต้น นึกถึงความรู้สึก...ของการสูญเสียแล้วผมจึงได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ อยู่ตอนหน้ามันผมรู้สึกเหมือนตัวเองทั้งอ่อนไหวและอ่อนแอ แปลก...ที่คนๆ หนึ่งมีอิทธิพลต่อเราขนาดนั้น มากจนเหมือนชีวิตครึ่งหนึ่งแขวนอยู่กับมัน ความรู้สึกที่เหนือการควบคุมของเหตุผลที่ต่อให้อกหักซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียใจไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คนเราก็ยังคงยอมแลกเพื่อให้ได้รักใครสักคนและเพื่อให้ได้ความรักนั้นกลับมา
“ถ้าตอนนั้น ถ้ากูตายไปจริงๆ กูคงเสียใจมาก” ผมรู้สึกว่าน้ำตาไหลออกมามากจนหยุดไม่ได้ อาการสะอื้นน้อยๆ นั้นก็เช่นกัน เหมือนเขื่อนความรู้สึกที่เก็บกดมานานได้รับการปลดปล่อย มันทั้งเชี่ยวกรากและรุนแรงจนคล้ายหัวใจจะพังเสียให้ได้
“เสียใจที่ปล่อยให้มึงรอตั้งหลายปี เสียใจที่ดื้อดึงจะเป็นเพื่อนกับมึงทั้งที่มึงสำคัญกว่านั้น เสียใจที่ทำให้มึงต้องร้องไห้” มันเช็ดน้ำตาที่ไม่มีทีท่าจะหยุดง่ายๆ ให้ผม ยิ่งมันเช็ด ผมยิ่งร้อง ทั้งที่อยากจะหยุดแล้วพูดอะไรมากมายกับมัน อะไรมากมายที่เก็บไว้มาตลอด ผมอยากจะบอกให้มันรู้ ความรู้สึกทั้งหมดของผม ทั้งหมด...ที่มันควรจะรับรู้มาเนิ่นนาน แต่ไอ้น้ำตาบ้าๆ นี้กลับทำให้ผมไม่สามารถพูดออกไปได้อย่างใจ ไอ้ไนท์ขยับมากอดผมไว้ กอดแน่นจนผมรู้สึกได้ถึงร่างกายทุกส่วนที่สัมผัสกัน แล้วมันก็กระซิบประโยคที่ยิ่งทำให้ผมร้องไห้หนักขึ้น ร้องไห้เหมือนคนบ้าทั้งที่ควรจะดีใจที่สุด
“เวย์ มึงจะช่วยลืมสัญญาของเรา แล้วรับความรักจริงๆ จากกูได้มั้ย”
ผมกอดตอบมัน มือก็ขย้ำเสื้อมันแน่น นี่ใช่ไหมที่รอมาตลอด คำพูดนี้ใช่ไหมที่อยากได้ยิน ผมพูดไม่ออก เพียงแต่พยักหน้าอยู่กับไหล่มัน จากนี้ไปผมจะมีที่ยืนที่มั่นคงอยู่ข้างๆ มันโดยไม่ต้องถูกเส้นบางๆ ที่เรียกว่า “เพื่อน” คอยกั้นอีกแล้วใช่ไหม? นับจากนี้ผมจะรักมันได้อย่างหมดหัวใจแล้วใช่ไหม
“ขอบคุณที่รอ กูรักมึงนะ”
เวลานั้นผมได้ยินคำบอกรักที่ฟังแล้วดีใจที่สุด อบอุ่นใจที่สุด พร้อมกับจูบที่อ่อนโยนที่สุด
การรอคอยของผมสิ้นสุดลงแล้ว แต่คำว่าเพื่อน..ผมคิดว่าจะคงอยู่ตลอดไป มันจะเป็นคำที่ได้ยินแล้วไม่เจ็บปวดอีกต่อไป เพราะมันกลายเป็นจุดเริ่ม เป็นสิ่งที่คอยประคับประคอง และที่พักที่ปลอดภัย
อาจจะนานไปสักหน่อย แต่ผมอยากบอกว่า
ดีแล้วที่ผมได้รอ…
ดีแล้วที่ได้รัก...
..............................................................................
หลังจากตอนนี้ ยังมีบทส่งท้ายให้อีกตอนหนึ่ง เป็นตอนที่ชื่อว่า “let’s get married” ค่ะ ตัวละครสำคัญเกือบทั้งหมดจะมาปรากฏในตอนนั้น ทั้งพี่หมอ น้องชิน เป้เนม นุแชมป์ และเวย์ไนท์ รวมทั้งคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย ยังไงก็รออ่านในหนังสือนะคะ ขอบคุณที่ติดตามมาตลอด
ps. เหมือนจะมีภาคสองค่ะในหนังสือ ฮาๆ ยังจองได้ถึงสิ้นเดือนในเมล sae_kikung แอด hotmail.com นะคะ