Wait หรือ เมิง จะ เล่น เพื่อน : ปกค่ะ [13/04/54]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Wait หรือ เมิง จะ เล่น เพื่อน : ปกค่ะ [13/04/54]  (อ่าน 498116 ครั้ง)

ออฟไลน์ minsunye

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ไรเตอร์ มาต่อเถอะนะ

PLEASEEEEEEEE

ออฟไลน์ LalaBam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2864
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-2
 :call:
เรียกไรเตอร์มาด่วน

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
 :man1: เรื่องราวน่ารักมากค่ะ
ตอนนี้อ่านจบภาคแรค ภาคสองยังไม่ได้อ่านนะคะ
ไม่ไหวแระ ง่วง :t3:

ออฟไลน์ lionnoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
รอชั้นรอเธออยู่
แต่ไม่รู้เธออยู่หนใด
เธอจะมา เธอจะมา เมื่อใด
ขอให้งานเสร็จไวๆ ได้เกรด A นะคะ
กลับมาอ่านอีกรอบก็สนุกเหมือนเดิม
รีบมาต่อนะคะ

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
อ่านทันแระ
ไรเตอร์รีบมาต่อนะคะ
เวย์กะไนท์น่ารักๆ
ชอบไนท์เวลา้อ้อนอ่ะ
อยากเก็บมาเลี้ยง 55555

ออฟไลน์ หลงไหลในม่านหมอก

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 548
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +298/-2
อ่านทันแล้วววววววว

ตอนนี้ค้างอยู่ เหอะๆ

เรื่องนี้น่ารักมากอ่ะ เป็นเรื่องที่สองในบอร์ดนี้ที่เรารักทั้งพระเอกและนายเอก

ทำออกมาได้น่ารักและไม่น่าเบื่อจริงๆ

ballzz

  • บุคคลทั่วไป
ดีครับพี่นุ่น

อ่านทันแย้วววว

หนุกจัง

มาต่อไวๆหน่อยดิคร้าบบบบบบบ

จะขาดใจตาย :sad4: :sad4:

Crossley

  • บุคคลทั่วไป
รอๆๆๆๆ  :amen:

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
ชอบเรื่องนี้มากเลยเจ้าคร่าาาส์

อ่านแล้วเหมือนโดนเชือดนิ่มๆ ฮ่าฮ่า

แต่...ในบอร์ดเด็กดี เรื่องนี้มันจบไปแล้วนี่??? เหมือนเค้ากำลังวางแผนจะพิมพ์รวมเล่มนี่คะ???

อย่างไรก็ตาม  :กอด1: :L2: :3123: :L1: ให้ไรเตอร์นะคะ

ออฟไลน์ DarKLasT

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 595
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
ถูกครับเจ้านุ่นมันกำลังจะรวมเล่มครับ

เห็นว่ากำลังรวบรวมอยู่ว่ามีใครจะเอากี่คนจะไปคุยกับสำนักพิมพ์อยู่อ่ะครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






kihaezzzzzz

  • บุคคลทั่วไป
มาต่อเหอะนะTT'

whitedemon

  • บุคคลทั่วไป
เนื่องจากนุ่นแก้ไข  เปลี่ยนแปลง  จากภาคสองเหลือแค่ตอนพิเศษค่ะ  อาจจมีอะไรงงๆ นิดหน่อย  ที่จริงคือคงจะเยอะมาก
แต่ว่าจะขออัพรวดเดียวจบเลยแล้วกันนะคะ  ขออภัยที่หายตัวไปนานค่ะ
.............................................................................

Special chapter [way champ]: ปล่อยตัวปล่อยใจ

(ตอนพิเศษนี้เกิดจาก OPV hyukmin = eunhyuk + sungmin 55+  รวมทั้งอาการฝืดที่หาสาเหตุไม่ได้  ทำให้แต่งต่อแล้วมันตัน  = =’’  เพราะฉะนั้นเอาดาร์กไซด์นี้ไปอ่านเล่นๆ ก่อนก็แล้วกันนะคะ)

 

            สองปีก่อน  ผมเกือบจะทำผิดครั้งใหญ่ในชีวิต  ผมเกือบจะหักหลังคนสองคนที่ผมรักเพียงเพราะความผิดหวัง  ...อดีตที่มีเพียงผมเท่านั้นที่รู้  ...อดีตที่ผม (ทำเป็น) ลืม

 

            “เฮ้ย  พวกมึงที่เคารพรักครับ” ไอ้นุมันตบโต๊ะเสียงดังก่อนประกาศเรียกร้องความสนใจเต็มที่  ผมเงยหน้าจากหนังสือเล่มโปรด  ปากขยับยิ้มโดยอัตโนมัติ  ก็ไม่รู้ทำไมนะครับแค่เห็นหน้ามันผมก็อยากจะยิ้มออกมาทุกครั้ง  ไอ้นุ ไอ้ส้มแล้วก็หยกนั่งตรงข้ามกับผม  ส่วนไอ้เวย์กับไอ้ไนท์นั่งอยู่ข้างๆ ผม  พวกมันก็ยังคงทำตัวเป็นติดกันเป็นปลากระป๋องเหมือนเดิม (ผมว่ามันติดกันจนเอาออกจากกันยากยิ่งกว่าปลาท่องโก๋เสียอีกนะครับ  ไม่รู้ทำไมต้องเอาไปแออัดยัดเยียดกันขนาดนั้น)

            “เมื่อไรคำพูดของมึงมันจะเลิกพาราด็อกกันเองสักทีวะ   จะเคารพไม่เคารพพวกกูมึงก็เลือกมาสักอย่างดิ” ไม่ต้องบอกก็น่าจะเดากันถูกนะครับว่าไอ้คนขยันหาเรื่องให้ตัวเองและคนอื่นนี่ใคร   จะเป็นใครได้ครับถ้าไม่ใช่ไอ้เวย์

            “มึงสิไอ้เวย์  อย่าเสือกมาใช้ศัพท์ที่กูฟังไม่รู้เรื่อง  เพราะกูจะเถียงไม่ได้”  ไอ้นุขมวดคิ้วดุเพื่อน  ฮ่าๆ  หน้าตลกชิบ  คิ้วมันสองข้างไม่เท่ากัน  ยิ่งขมวดแบบนี้ยิ่งตลกเข้าไปใหญ่  จมูกโด่งๆ พ่นลมออกมาเสียงดังฟืด  ฮ่าๆๆ  มันคนหรือควายวะเนี่ย  หรือผมจะช่วยใส่เขาเอฟเฟกซ์ให้มันดีครับ  เปิดเพลงให้เข้ากับบรรยากาศหน่อย  เอ้า! ฉันขี่ไอ้ทุยวิ่งลุยท้องนา  ฮุย ฮุย ฮุย  กร๊ากกกก  นึกแล้วก็อยากจะขำแต่ก็ต้องเก็บไว้ครับ  เดี๋ยวมันจะผิดอิมเมจผม  เอ๊ย  เดี๋ยวมันจะหาว่าผมเมากัญชา

            “เออ  ก็ถ้าใช้แล้วมึงเถียงได้  กูคงจะใช้ให้โง่หรอก”

            “อ้าว  ไอ้เตี้ยนี้” ไอ้นุลุกพรวด  เงื้อหมัดขึ้นในท่าเตรียม  มันนี่ก็ไม่เคยจำครับว่าก่อนที่มันจะได้แกล้งไอ้เวย์  ไอ้คนคุมข้างๆ มันก็มือไวกว่าทุกที

            “นุ”   ดีครับที่ไอ้ส้มมันดุขึ้นมาเสียก่อนที่คนคุมอย่างไนท์มันจะขยับ

            “เออเห็นแก่วันนี้เป็นวันดีนะ  กูจะยอมให้มึงวันหนึ่ง”

            “พิเศษยังไงวะ  หรือเพราะกูตื่นมาเรียนทัน”

            “ไอ้เวย์  เงียบสักห้านาทีเหอะ  จะให้กูกราบก็ยอมวะ”  ไอ้นุทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจ  ส่วนไอ้เวย์ก็เงียบ  ผิดปกติครับ!  ทำไมวันนี้มันยอมง่ายจัง  ผมหันไปมองแวบเดียวเท่านั้นเข้าใจเลย  ไอ้เวย์หุบปากแบบสนิทแนบแน่นชนิดไม่ยอมให้ใครง้างออกได้ง่ายๆ  แขนสองข้างยกขึ้นมากอดอก   ขาไขว้กันในท่าของคนรอ  ก่อนที่มันจะพยักหน้าให้ไอ้นุเหมือนจะบอกว่า ...กราบซะสิ  กูรับข้อเสนอแล้วนี่ไง...  สรุปมันไม่ได้ยอมครับ  ไอ้เวย์..เหนือกว่านั้นเยอะ

            “ไอ้...”

            “พอแล้ว  รอพวกแกกราบไหว้กันเสร็จ  ไม่ต้องขึ้นเรียนกันพอดี  คืองี้นะ...เมื่อวานเราสองคนตกลงคบกันแล้ว  แค่นี้แหละ”

            “....”

            เหมือนสมองและร่างกายผมหยุดทำงานไปชั่วขณะกับคำพูดของส้ม  หมายว่ายังไง...พวกมันคบกันแล้ว?   คบกันจริงๆ นะเหรอ  ทำไมผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าเพื่อนผมสองคนจะลงเอยกันได้  หรือผมจะเข้าใจผิด?

            “เออ  คืองี้แหละ  ฮ่าๆๆ  ตกใจล่ะสิพวกมึง  กูมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วนะโว้ย  เอ้าโชนนนนน”

            ไอ้นุมันยกแก้วน้ำขึ้นมาด้วยสีหน้าแดงเรื่อ  มันยิ้มกว้าง...ยิ้มทั้งตาทั้งปาก   นี่พวกมันคบกันจริงๆ เหรอ  คบเป็นแฟนกันจริงๆ  แล้ว...แล้วผมล่ะ  ผมที่...  

ที่ทำไม?  ไม่มีเหตุผลอะไรสักหน่อย  ทั้งที่ไม่มีเหตุผลอะไรเลย  แต่ทำไมหัวใจผมถึงได้เจ็บนัก  ทำไมถึงร่างกายถึงได้สั่นจนเหมือนจะเป็นไข้  ทำไมสมองถึงไม่ยอมให้ผมยกแก้วขึ้นชนแสดงความยินดีกับมัน  ทำไม?

            หรือว่าผมรักมัน?  รักอะไรกัน   รักมันตั้งแต่เมื่อไร?

            คำถามที่ผมยังตอบตัวเองไม่ได้  รู้แต่ว่าภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้ผมตัวชา  หัวใจปวดหนึบ

            “ส้ม  คนฉลาดอย่างมึง  โธ่  เพื่อนกูไม่น่าเลย...”

            “เดี๋ยวเถอะมึงไอ้เวย์  ใครได้กูไปนี่นับว่าโคตรเฮงเลยนะเว้ย  หล่อ  รวย  หมวย  อึ๋มขนาดนี้  หรือมึงไม่ชอบ”

            “ไม่...  แต่ไอ้หมวยอึ๋มนี่กูไม่พลาดว่ะ  ฮ่าๆๆ”

            “ไม่เคยสำเร็จเลยมากกว่ามั้ง”

            “เงียบไปเลยมึง”

            “ฮ่าๆ  ไนท์มึงพูดถูกว่ะ  คนเป็นโสดมาตลอดปีอย่างมึงน่ะเงียบไปเลย  คืนนี้ร้านพี่ต้านะพวกมึง  เลี้ยงสละโสดว่ะ  ฮ่าๆๆ  พวกมึงคนโสดทั้งหลายก็เลี้ยงกูแล้วกัน”

            “ไอ้นุ - -  ถึงกูจะโสดแต่กูไม่โง่นะ”

            “ฮ่าๆๆ”

            ทำไมทุกคนถึงได้ดูมีความสุขกันนัก  ก็ใช่แล้วไง   นี่มันเป็นเรื่องน่ายินดี  ผมควรจะเข้าร่วมกับคนอื่นๆ ใช่ไหม  แต่..ผมควรจะทำหน้ายังไงดี  

            ผมไม่รู้ว่าพวกมันพูดอะไรกันบ้าง  ความคิดวนเวียนอยู่กับภาพไอ้นุกับส้มกอดกันอย่างเขินอายเหมือนไม่ใช่เพื่อนที่ผมรู้จัก  หนังสือในมือผมถูกบีบจนยับยู่ยี่พอๆ กับหัวใจที่กำลังบีบรัดจนเจ็บปวดไปหมด  วูบนึงผมปรารถนาให้ตัวเองได้อยู่ในอ้อมกอดนั้นแทนที่ใครอีกคนที่มันกำลังกอดอยู่  ปรารถนาให้รอยยิ้มอบอุ่นยิ้มเพื่อผมคนเดียว

            ผมรักไอ้นุ...   รักมัน  

            ทำไมมึงเพิ่งรู้ตัวล่ะไอ้แชมป์  ทำไม?  ผมเฝ้าตัวเองอยู่อย่างนั้น

            ผมเคยคิดว่าอยากอยู่กับมันตลอดเวลา  แค่ได้เห็นมันก็มีความสุข  ความเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ ของมันทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียว  เคยคิดอยากผูกขาดมันไว้  แต่นั่นเป็นความหวงแบบ “เพื่อน” ไม่ใช่หรือ?  

            เพราะไอ้นุเป็นเพื่อนคนแรกในมหาลัยของผม  เพราะมันทำให้ผมได้มีเพื่อน  มีชีวิตที่สนุกสนานอย่างทุกวันนี้  เพราะมันคอยถามไถ่ห่วงใยเสมอว่าผมกินข้าวหรือยัง  ผมสบายดีมั้ย  ผมนอนห่มผ้าหรือเปล่า  มันทำในสิ่งที่ไม่มีเพื่อนคนไหนทำให้ผม  เพราะแบบนั้นผมถึงได้หวงมัน...ไม่ใช่หรือไง?

            หรือที่ผมเสียใจเพราะความใจดีของมันไม่มีเพื่อผมเพียงคนเดียว?

            หรือเพราะกลัวว่าจะต้องกลับไปเผชิญกับความโดดเดี่ยวอีกครั้ง

            หรือ...เพราะรัก?

            “แชมป์เป็นไรวะ  ตกใจจนเอ๋อเลยหรือไง  ไหนเพื่อนรักชนแก้วอวยพรหน่อยคร้าบ” ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากเย็น  รู้สึกราวกับคำพูดต่างๆ ที่ควรจะพูดพากันหนีหายไปกับสมองที่หยุดประมวลผล  ผมไม่แน่ใจว่าใช้เวลาไปนานเท่าไรหรือบอกตัวเองด้วยวิธีไหน  แต่ในที่สุดผมก็สามารถยิ้มและดื่มอวยพรให้มันได้

            ดื่มอวยพรให้เพื่อนมีความสุขในความรัก  หึ  อย่างกับวันแต่งงานนะครับ

            “เออ  ดีใจด้วยนะมึง”

 

 

            เวลาหนึ่งอาทิตย์ของผมผ่านไปอย่างล่องลอย  ผมเริ่มปลีกตัวออกมาอยู่คนเดียว  หนึ่งเพราะผมยังไม่พร้อมจะรับความจริง  สองเพราะผมอยากมีเวลาอยู่กับตัวเอง  บางครั้งผมก็นึกถามตัวเองว่าทำไมผมถึงเป็นได้ขนาดนี้  เวลากินข้าวก็มักได้ยินเสียงมันถามว่าอร่อยมั้ย  เวลานอนก็นึกไปว่ามันกำลังห่มผ้าให้ผม  เวลาอ่านหนังสือก็ยังหยุดคิดเรื่องของมันไม่ได้  บางครั้งผมเริ่มคิดว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า

            การที่รู้ตัวว่ารักมันไม่ได้ทำให้ผมตื่นตกใจ  เพราะถ้าลองนึกดูดีๆ แล้ว  ผมก็รักมันจริงๆ มาตลอด  เพียงแต่ยังไม่กล้ายอมรับเท่านั้น  ผมพยายามหลอกตัวเองว่าแค่รัก  แค่หวงมันอย่างเพื่อนคนหนึ่ง  จนวันที่มันกลายเป็นของคนอื่นนั่นแหละ  ผมถึงได้ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง

            ...โง่จนน่าตายนะครับ....

            มันก็สมควรแล้วกับคนขี้ขลาดอย่างผม  คนที่อกหักทั้งที่ยังไม่ทันได้บอกรัก  คนที่ต้องยอมตัดใจตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มพยายาม   “กลัวเสียเพื่อน”  มันกลายเป็นวลีที่งี่เง่าทันตาเห็นสำหรับผม  ก็เพราะว่าตอนนี้ผมเสียมันไปแล้ว..จริงๆ

 

            “ไอ้แชมป์!!!” เสียงตะโกนคุ้นหูทำให้ผมสะดุ้งเฮือก  ตามมาด้วยเสียงป้าบ พร้อมกับน้ำหนักของแขนเหวี่ยงพาดคอผมอย่างไม่ห่วงใยในสวัสดิภาพไหล่ที่กลายเป็นเบาะรองรับ

            “เจ็บ”

            “เออ  ก็มึงมัวแต่ใจลอยอยู่ได้  กูเรียกตั้งนานแถมวิ่งตามมาโคตรเหนื่อยเลยครับ”  ไอ้เวย์มันตีหน้ายุ่ง  เบะปากบ่นผม  ลมเย็นๆ พัดผมมันปลิวระตามใบหน้าและลำคอ  แดดอ่อนๆ สะท้อนเหงื่อข้างไรผม  ยืนยันความพยายามในการวิ่งตามมาของมันได้เป็นอย่างดี

            “อะไร  มองกูตาหวานเชียวนะ  อย่ามายั่วนะมึง  เดี๋ยวกูจับปล้ำแม่งตรงนี้”  ผมตอบรับคำท้าของมันด้วยรอยยิ้ม  ก็มันน่าตลกมั้ยล่ะครับ  ไอ้พวกชอบพูดจาไม่ดูตัวเองเนี่ย  หน้าอย่างมันเงี้ยมีแต่จะถูกเขาปล้ำสิไม่ว่า

            “แน่ะ  กูพูดไม่เชื่อนะ  เป็นของกูซะเถอะมึง”  พูดจบมันก็กระโดดกอดผมแถมยังเอาปากมันเม้มหูผมอย่างแรง  ด้วยความเจ็บบวกกับความหมั่นเขี้ยว  ผมจับเอวมันลอยแล้วพยายามจะเหวี่ยงมันทิ้ง  แต่ไอ้เวย์มันก็เหมือนมีมือตีนตุ๊กแกครับ  เอาขามันรัดเอวผมไว้ได้ทันท่วงที  แถมมือก็ยังไม่ยอมอยู่ว่าง  ขย้ำหัวผมจนมันพันกันยุ่งเหยิงไปหมด

            “โอ๊ย  เจ็บนะมึง  ลงมาจากตัวกูเลย  ไอ้ลิงนี่”

            “ลงก็ได้  แต่มึงห้ามหนีนะ”  ดูมัน  ใหญ่เหลือเกินนะ

            “ทำไม  จะแกล้งไรอีก”

            “เปล่า  ก็มึงหายไปนาน  กูคิดถึง”  ว่าแล้วมันก็กระโดดจากตัวผมมายืนจ้องหน้าด้วยสายตาจริงจัง  สายตาที่แฝงความเป็นห่วงจนผมรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจ

            ...อย่างน้อยมันก็ยังห่วงผม...

            ...อย่างน้อย  เพื่อนคนหนึ่งก็กำลังเป็นห่วงผม...

            ผมไม่ใช่คนอ่อนไหวอะไรมากมาย  แต่คำพูดประโยคเดียวในเวลาอย่างนี้กลับทำให้ขอบตาผมเริ่มร้อนผ่าว  จนต้องแกล้งขยี้หัวมันแล้วกดไว้  เพื่อไล่น้ำตาไม่ให้มันได้เห็น

            “ปล่อยกู  เดี๋ยวหมดหล่อ”

            “เออ  หล่อ  หล่อให้ได้ตลอดนะมึง”

            “It’s a fact” มันพูดคำว่า “fact” ได้ชัดเจนและถูกต้องตามหลักการออกเสียงเสียจนผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้  วูบนึงผมนึกขอบคุณที่มันหาผมเจอ  ขอบคุณที่มันอยู่ตรงนี้  และนึกอยากให้มันอยู่ตรงนี้เพื่อผมในวันต่อๆ ไป

            “ไปหาข้าวกินกัน”  ผมปล่อยให้คนเตี้ยกว่า  เขย่งเพื่อกอดคอผมเดินกับพร้อมกับมัน  ไม่รู้เมื่อไรที่แขนเอื้อมไปกอดเอวมันไว้  ไม่ได้กอดจนแน่น... แค่พอให้รู้ว่าผมไม่ได้กำลังเดินคนเดียว

            

            อยู่ๆ ไอ้เวย์มันก็หยุดเดินกึก  ผมมองเสี้ยวหน้าด้านข้างที่ดูมืดมนลงของมันด้วยความไม่เข้าใจ   สายตามันฉายแววที่อาจเรียกได้ว่าเจ็บปวด  เมื่อผมมองตามไปก็พอเข้าใจว่าทำไมมันถึงได้ทำหน้าอย่างนี้

            คนสองคนกอดกันเดินด้วยท่าทางที่ไม่ต่างจากพวกผมนัก

            ไอ้ไนท์กับผู้หญิงคนที่เท่าไรไม่รู้ของมันเดินกอดเอวกันอยู่ห่างจากผมไปไม่ไกลนัก  เป็นระยะทางที่พอจะเห็นใบหน้ากับท่าทางของคนทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน  

            มันช่างเป็นใบหน้าที่ต่างจากคนข้างๆ ผมเหลือเกิน

            ผม..ไม่เคยนึกโกรธไอ้ไนท์เท่านี้มาก่อนเลยนับตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมันมา

            มันทำได้ยังไง?  ทำในสิ่งที่มันพอใจโดยที่ไม่เคยคิดถึงใจไอ้เวย์เลยสักครั้ง

            ไอ้เวย์มันรักไอ้ไนท์  ใครๆ ก็ดูออก  ส่วนการกระทำหลายๆ อย่างของไอ้ไนท์มันก็แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่ามันก็รักไอ้เวย์  ตั้งแต่ครั้งแรกมันเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายเข้าไปวุ่นวายกับไอ้เวย์ก่อน  มันคือคนที่คอยดูแล  คอยวุ่นวายอยู่ข้างๆ ไอ้เวย์เสมอจนผมนึกว่าพวกมันตกลงเป็นแฟนกันไปนานแล้ว  แต่อยู่ๆ พวกมันก็เปลี่ยนไป  กลายเป็นเพื่อน..เพื่อนที่ไอ้โง่ที่ไหนก็ดูออกว่าไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดา  ผม..ไม่เข้าใจหรอกว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่  แต่ที่รู้ตอนนี้ผมโมโหกับการกระทำงี่เง่าที่โคตรเห็นแก่ตัวของมันจนไม่อยากให้อภัย

            มันทำไม่ถูก!!  ผมรู้แค่นั้น

            ทั้งที่เมื่อก่อนผมไม่เคยสนใจใคร  แต่วันนี้ผมกลับเป็นห่วงคนข้างๆ จนทนไม่ไหว

 

            “ไอ้เวย์  ไปเที่ยวกัน”

            “หืม?  ฮะ  เที่ยว?  แล้วเรียน?”

            “โดด”

            ผมไม่รอให้มันตอบ  แต่ลากมันขึ้นแท็กซี่ทันผ่านมาพอดี

            “สยามครับ”

 

            นึกแล้วก็แอบตลกตัวเองเหมือนกันนะครับ  ทั้งที่ปากก็บอกว่าโมโหแทนไอ้เวย์  แต่จริงๆ แล้วในใจผมก็รู้ว่าส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะผมโมโหไอ้นุ  โมโหที่มันเลือกคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปโกรธมัน  พอหาที่ระบายกับใครไม่ได้  ก็เอาความโกรธไปลงกับไอ้ไนท์  หึ  นิสัยแย่ชะมัดเลยผม

            “ลากกูมาสยามเพื่อ?”

            “เที่ยวไงครับเพื่อน”

            ไอ้เวย์มันขมวดคิ้ว  ทำหน้าเมื่อยกับคำตอบของผม  ไม่รู้ทำไมไอ้หน้าตาแบบนี้ของมันถึงได้ดูน่ารักน่าเอ็นดูนัก

            “ดูหนังมั้ย”

            “ไม่อ่ะ”

            “แล้วจะทำไร”

            “ลิเกมีมั้ย”

            คราวนี้ผมเป็นฝ่ายที่ทำหน้าเมื่อยให้คำตอบของมันบ้าง  ทำเองแล้วก็หัวเราะออกมาเองอย่างไม่รู้สาเหตุ  แค่นึกภาพตัวเองก็รู้สึกตลกจนต้องหัวเราะออกมา  บางที่ผมว่าอารมณ์ผมมันอาจถึงขั้นต้องได้รับการเยียวยาอย่างเร่งด่วนแล้วล่ะมั้งครับ

            สรุปว่าวันนั้นไอ้คนอยากดูลิเกมันก็ได้ดูหนังไปสองเรื่อง  แถมยังดูฟรีอีกต่างหากด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่ามันไม่ได้เต็มใจมาเอง  แต่ผมเป็นคนลากมันมา (ทั้งที่หนังทั้งสองเรื่อง  มันเป็นคนเลือกแล้วก็บังคับให้ผมอยากดูเหมือนกัน)  ด้วยอาการเกร็งจากหนัง (เรื่องอะไรก็ช่างมันเถอะครับ  ผ่านมานานแล้ว  ถึงบอกไปก็ไม่ได้ช่วยเขาโปรโมทอยู่ดี)  เราก็ไปหาอะไรใส่ท้องจนไม่สามารถยัดอะไรเข้าไปได้อีกก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่ม  ตอนแรกผมคิดจะแยกกับมันตรงนี้เลยแต่ไอ้คนไม่อยากเที่ยวกลับเปรี้ยวปากอยากกินเหล้าขึ้นมาซะอย่างนั้น  เราก็เลยไปต่อกันที่ผับดังย่านเอกมัยครับ  โดยไม่ต้องบอก...เราต่างคนต่างหลีกเลี่ยงร้านพี่ต้าที่อาจบังเอิญเจอกับคนที่ไม่อยากเจอ

 

            ผับนี้ผมค่อนข้างถูกใจนะ  ถึงคนจะเยอะไปหน่อย  แต่ก็จัดสถานที่ได้ดี  แถมมีดนตรีสด  นักร้องนักดนตรีก็มืออาชีพ  บรรยากาศดีครับ  ส่วนไอ้คนข้างๆ มันไม่มามัวพูดพล่ามทำเพลงหรือพิจารณาบรรยากาศอะไรทั้งนั้น  สั่งเหล้าอย่างแรงและแพงมาสองขวดโดยไม่รอถามความเห็นผมสักนิด   เอาเถอะครับ  วันนี้ยอมมันวันหนึ่ง

            “แชมป์  ชงให้กูหน่อย”

            มันสั่ง  แต่ก็เหมือนไม่ได้สั่งครับ  เสียงมันอ่อนเหมือนคนหมดแรงเพียงแค่เห็นเหล้าเท่านั้น  สวิตซ์ความเศร้ามันเริ่มทำงานทันที  บรรยากาศสนุกๆ รอบข้างดูเหมือนจะไม่ช่วยให้มันสดใสขึ้นเลย  ผมชงเหล้าแบบที่มันชอบยื่นให้  มันพึมพำว่าขอบใจเบาๆ  ก่อนจะกระดกหมดแก้ว

            “เฮ้ย  ค่อยๆ กินสิมึง  เดี๋ยวก็เมา”

            “อ้าว  ก็กูมากินให้เมา  ไม่งั้นกูจะสั่งเหล้าให้มึงเปลืองเงินทำไม  โค้กกระป๋องก็มี”

            “อย่ากวนนะมึง”  มันไม่ตอบเพียงแต่ส่งแกล้วเหล้าแก้วเดิมมาให้

            ผมก็จำไม่ได้ว่าผ่านไปกี่แก้ว  แต่ไอ้เวย์มันหน้าแดงจัด  ตาเยิ้ม  ตัวอ่อนไปเรียบร้อยแล้ว  ผมประคองจับให้มันนั่งพิงไหล่ไว้  

            “กูบอกแล้วว่าเดี๋ยวจะเมา”

            มันเริ่มหัวเราะออกมาเหมือนทุกครั้งที่มันเมา  หัวทุยๆ ของมันเลื่อนมาหยุดที่หน้าอกของผม  แล้วก็เริ่มพูดอะไรบางอย่างที่ผมไม่ได้ยิน

            “อะไรนะ”

            “กู..กู..เกลียดไอ้ไนท์”  คำพูดที่ผมแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง  เห็นชัดๆ อยู่ว่ามันรักของมันอย่างกับอะไร  อยู่ๆ มาบอกว่าเกลียด  มันเป็นอะไรที่ผมไม่เข้าใจจริงๆ

            “มาน ..ชอบ ทำ .ให้  กูเสีย..ใจ” มันพูดแล้วก็สะอึกออกมา  ก่อนจะเริ่มร้องไห้เงียบๆ กับอกผม  ในตอนนั้นผมจำได้ว่าทั้งเจ็บใจ  ทั้งสงสารมัน  ผมลูบผมมันเบาๆ  กระซิบบอกมันว่า “ไม่เป็นไรๆ” อยู่อย่างนั้น  เพราะไม่มีอะไรที่ผมจะทำได้มากไปกว่านี้

            “กู  เจ็บ.. ตรงนี้  ฮึก ..ฮึก” มันร้องไห้ไม่หยุด  มืออีกข้างทุบที่หน้าอกตัวเองอย่างแรงจนผมต้องจับมือมันไว้  เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นมันร้องไห้  เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้ว่าเพื่อนคนที่สดใส  เข้มแข็งอยู่เสมอ  แท้จริงแล้วกำลังเจ็บปวดมากกว่าใครๆ  ผมเฝ้าถามตัวเองว่ามันเป็นแบบนี้มานานแค่ไหน  ต้องเก็บความเสียใจไว้  ต้องร้องไห้คนเดียวมานานแค่ไหนแล้ว  แล้วไอ้ไนท์ล่ะ..มันเคยคิดสักครั้งไหม  เคยได้เห็นท่าทางทรมานแบบนี้บ้างหรือเปล่า

            “อย่าร้องนะ  อย่าร้อง”  อีกครั้งที่ผมจนปัญญา  ผมไม่รู้จะช่วยมันยังไง  ทำได้เพียงแต่กอดปลอบมันอยู่อย่างนี้  ความรู้สึกหนึ่งที่ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนในเวลานั้นคือ  “อยากดูแลปกป้องคนๆ นี้”  ผมไม่อยากให้มันเสียใจอีก  ไม่อยากให้มันต้องร้องไห้คนเดียวแบบนี้อีก  เพราะถึงผมจะช่วยไม่ให้มันไม่เสียใจไม่ได้  แต่ผมก็ยังปลอบมันได้

            ...เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นความอ่อนแอของไอ้เวย์  และดูเหมือนว่าใจผมกำลังหวั่นไหวอย่างรุนแรง...

            

            เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้กว่าไอ้เวย์จะเลิกร้องไห้  ตอนนี้มันเปลี่ยนมานอนหนุนตักผม  ปากก็ร้องเพลงตามนักร้องในผับด้วยจังหวะกับเนื้อเพลงที่ออกจะผิดอยู่สักหน่อย แต่ก็อภัยให้มันเถอะครับ  มันเมาแล้วนอนร้องเพลง  ก็ยังดีกว่าเมาแล้วระรานหาเรื่องคนอื่น  หรือร้องไห้อย่างหนักแบบเมื่อกี้นี้

            “Hi, I’m Daniel, you can call me Dan”

            “…”  ชาวต่างชาติแปลกหน้าคนหนึ่งเดินมาทักโต๊ะผม  หัวสีทองยังเป็นประกายแม้อยู่ในที่มืด  เค้าโครงใบหน้าที่ติดจะดูดี  แต่อย่างว่าแหละครับ  ไฟในผับมักทำให้คนดูต่างจากตัวจริงอยู่สองสามส่วน

            “Can I have a seat?”

            “Yeahhhhh”

            “No” ผมรีบแก้คำอนุญาตของไอ้คนเมาไม่รู้เรื่องทันที  มีอย่างที่ไหนอนุญาตให้เขานั่งทั้งที่ตายังหลับพริ้ม  

            “Why? I just wanna make friends with you guys”

            “But I don’t want to,” มันสังเกตหน้าผมบ้างมั้ยว่าไม่อยู่ในอารมณ์สานสัมพันธ์กับใคร

            “55+  just thinkin your friend’s so cute”  มันยิ้มกว้าง  พลางมองไอ้เวย์ตาเป็นประกาย  ไม่ต้องรอให้มันรุกล้ำเข้ามามากว่านี้  ผมขยับมือโอบไอ้เวย์ไว้ก่อนประกาศขับไล่เสียงเย็น

            “He’s mine, get out!”

            “Okay, okay boys. Why don’t you just be a little friendlier?”

 

            ผมก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงได้หงุดหงิดนัก  คนครึ่งหลับครึ่งตื่นมันจะรู้ตัวบ้างมั้ยนะว่าตัวเองกำลังถูกเล็ง  ฝรั่งคนนั้นเดินจากไป  แต่สายตาอีกหลายคู่ก็ยังคงมองมาเงียบๆ    

            “คนอย่างมึงนี่  ห้ามวางทิ้งไว้จริงๆ นะ”  

            ผมก้มมองหน้ามัน  ขนตายาวดกดำพอๆ กับคิ้วของมันเลยทีเดียว  จมูกโด่งสวย  ปากแดงๆ ที่กำลังร้องเพลงไม่เป็นเพลง  และที่สำคัญผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันมีคางที่ได้รูปขนาดไหน

            ...ขนตามันยังเปียกชื้น  แก้มมันก็ยังมีคราบหยดน้ำตา...

            ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นว่ามันน่ารัก  แต่เป็นครั้งแรกที่ไอ้เวย์มีเสน่ห์ต่อผมขนาดนี้

            “เวย์  มึงทำอะไรกับกู” เสียงกระซิบของตัวเองแปร่งหูจนผมจำแทบไม่ได้  ขณะที่ผมก้มหน้าลงสัมผัสขมับมันอย่างแผ่วเบาๆ  ก่อนจะขยับเลื่อนไปยังกกหูแดงเรื่อ  จมูกโด่ง  และเมื่อริมฝีปากห่างกันเพียงไม่ถึงนิ้ว

 

            “ไนท์..กูเกลียด..ที่..มึงทำ  แต่..แต่  กู..รักมึง”

            .

            .

            ผมชะงัก  ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

            นี่ผมทำอะไรลงไป  และผมกำลังจะทำอะไรต่อไป?

            ผมยังให้เหตุผลกับการไหวหวั่นในคืนนั้นไม่ได้  ตอบไม่ได้ว่าเพราะไอ้เวย์หรือตัวผมเอง  เพราะวันนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นมันร้องไห้  หรือเพราะผมเองที่เป็นฝ่ายอ่อนแอ  ไม่กล้ายอมรับเรื่องที่เกิดขึ้น  และกำลังพยายามหนี

            แต่คำพูดของไอ้เวย์  คำพูดตอนที่มันไม่รู้สึกตัว ทำให้ผมได้คิด

            ..แท้จริงแล้ว  ไม่ใช่ความผิดของใครเลย  แต่เป็นตัวเราที่ตัดใจไม่ได้..

            ...เพราะถึงแม้จะเกลียดการกระทำของเขาแค่ไหน  ก็ยังรักอยู่อย่างนั้น...

            ...เพราะถึงแม้จะต้องทุกข์ใจ  ต้องร้องไห้  แต่สุดท้ายก็ยังเลือกที่จะรัก...

            …เหมือนไอ้เวย์  เหมือนผม...

 

            คืนนั้นผมพาไอ้เวย์กลับไปนอนด้วยกันที่หอ  ผมนอนมองมันทั้งคืน  นอนกอดมันไว้  แต่สิ่งที่รู้สึกในหัวใจไม่ใช่ความหลงใหล  หรือความหวั่นไหว  แต่เป็นความอบอุ่นและมั่นคงเท่าที่เพื่อนคนหนึ่งจะมีให้แก่กันได้

 

 

……………………….

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-01-2011 14:55:12 โดย whitedemon »

whitedemon

  • บุคคลทั่วไป
Special Chapter: วันแรกเจอ

 

            “แม่ครับ  ผมไปนะ”  ผมบอกลาแม่นิ่ม (บอกชื่อให้ฟัง  แต่ห้ามเอาไปล้อนะครับ  หวง  มีแม่คนเดียว  ไว้มีหลายคนเมื่อไร  จะยอมแบ่งให้เรียกบ้าง)  มือถือกระเป๋า  เท้าถีบประตู  ก้าวซ้ายก่อนเอาชัยแล้วก็เดินฮัมเพลงไปขึ้นรถไฟฟ้า  ข้อดีครับของการที่มีรถไฟฟ้ามาตั้งใกล้ๆ บ้าน  เรียนแปดโมงผมตื่นเกือบเจ็ดโมงครึ่ง  ฮ่าๆ  ทันไม่ทันไม่รู้ล่ะ  รู้แต่ว่าพอลงจากรถไฟฟ้าเมื่อไร  ถ้าไปสายด่ารถป็อบ  มันผิดที่มาช้า  ผมถูกที่มาก่อนมัน (แม้หันไปทางซ้ายจะเห็นท้ายรถมันเพิ่งผ่านไปไวๆ ก็เถอะ)

            ถึงสถานีก็ยังคงคอนเซ็ปก้าวซ้ายขึ้นบันไดเลื่อนอยู่ดีครับ  เห็นได้ชัดผมเป็นเด็กรุ่นใหม่  หัวก้าวหน้าขนาดไหน  ไอ้เรื่องเชื่อโชคลางของขลังไม่มี๊ไม่มี  แต่แม่สอนว่าทางที่ดีอย่าลบลู่  หรือถ้าจะเอาให้ชัวร์ก็ทำตามเขาไปเถอะ  ล้วงมือขวาลงในกระเป๋า..ว่างเปล่า  อ๋อ  สงสัยอยู่ข้างซ้าย  ล้วงมือซ้ายบ้าง...ว่างเปล่า  อ๋อ  สงสัยอยู่ในกระเป๋า  ล้วงมือขวาไปควานหาในกระเป๋า ...ว่างเปล่า  หรือว่ามือขวามันโชคไม่ดี  ลองเปลี่ยนเป็นใช้มือซ้ายล้วงเผื่อจะเจอ ปรากฏว่า...ว่างเปล่า...  หรือมันต้องใช้ทั้งสองมือพร้อมกันวะ??  ว่าแล้วด้วยความหน้าด้านหน้าทน  ผมนั่งยองๆ แหวกกระเป๋าออกแล้วเริ่มปฏิบัติการล้วงระดับชาติ  งานใหญ่อย่างที่ไอ้พวกหนู G –force  มันยังไม่กล้าขันอาสา  แต่ไอ้เวย์ไม่มีหวั่น  ใครมองไม่มีแคร์  เพราะเป็นเลดี้กาก้าไม่แคร์สื่อ  ...กลับเข้าฝั่งดีกว่ามั้ยครับ?

ล้วง  ล้วง  ล้วง  ล้วง  ไอ้สัดเอ๊ย...ไม่มี!!!

 

‘โอ๊ยย  ซวยแล้วกู  ซวยแล้ว’  ผมโอดครวญอยู่ในใจ  วันนี้เป็นวันแรกของการเป็นนักศึกษาของผม  ด้วยความรีบเกินพิกัด  ทำให้ผมลนลานจนลืมหยิบกระเป๋าสตางค์มา  แถมเพิ่งจะรู้ตัวตอนที่เดินมาถึงสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสแล้วซะด้วย  ไอ้จะกลับไปเอามันก็ไม่ได้ไกลมาก  แต่เวลานี่สิเหลืออีกสิบห้านาทีก็จะเปิดประชุมปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่แล้ว  แม่งง  ลางไม่ดีตั้งแต่วันแรกเลยโว้ยย

            “เฮ้!  นาย  เป็นอะไรรึเปล่า?”  ผมเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้าขาวใส  และรอยยิ้มจริงใจของเด็กหนุ่มวัยเดียวกัน  ที่สำคัญเขาใส่ชุดนักศึกษามหาลัยเดียวกันกับผม

“เอ่อ..คือว่า  เราลืมหยิบกระเป๋าตังค์มา  แล้ว..เอ่อ..”  เอาไงดีวะกู  จะให้ขอยืมเขาหรอวะ  ไม่ดีมั้ง?  ยังไม่รู้จักกันเลยนี่หว่า  มันจะหาว่ากูหลอกเอาเงินมันรึเปล่าฟะ  แม่งง  ใครจะกล้าไปขอวะ    ขณะที่ผมกำลังคิดทบทวนกับตัวเองอยู่นั่น  

“อ่ะ”  เด็กหนุ่มคนนั้นก็ยื่นบัตรบีทีเอสมาให้  พร้อมรอยยิ้มกวนๆ

“อ่ะ  เอ่อ” ผมก็ยังลังเล  ไม่ได้เกรงใจแล้วล่ะครับตอนนั้น  แต่ยังงงๆซะมากกว่า

“เอ้า  เอาไปดิ  เดี๋ยวสายนะเว้ย”  มันพูดจบก็ยัดบัตรใส่มือผมแล้วเดินเข้าช่องทางเข้าไป   เอาวะ  ไหนๆคนเขาก็อุตส่าห์มีน้ำใจ  จะไม่ใช้ก็เสียเงินฟรีดิ  ว่าแล้วผมก็เดินตามมันเข้าไป  ร่างสูงๆของมันยืนรอผมอยู่

“ขอบใจนะ”  ผมเอ่ยเสียงเบาขณะที่เดินเข้าไปใกล้มัน  ไม่ได้เขินมันหรอกครับ  แต่ไม่ค่อยได้พูดคำนี้กับใครเท่าไร  มันเลยตะหงิดๆในใจ

“ไม่เป็นไรเพื่อน  ว่าแต่นายเรียนอยู่คณะไรอ่ะ”  มันจะถามทำไมของมันนักหนาวะ  วิ่งเข้าสิมึง  รถป๊อบเลี้ยวโค้งมาแล้วมึงแหกตาดูสิครับ  ถ้ามึงวิ่งไปไม่ถึงลิโด้ก่อนมันมา  กูจะฮาให้  ด้วยความที่ผมกลัวว่ามันจะตามมาทวงหนี้ที่ผมคิดจะเหนียว  ผมก็เลยต้องหาทางหนีทีไล่ให้ตัวเองซะหน่อยครับ  กรุณาทำความเข้าใจด้วยว่า “เป็นการหาทางหนีทีไล่” ไม่ใช่ “หนีเอาตัวรอด” ไอ้คำหลังนี่ห้ามใช้นะครับ  เพราะมันทำให้ผมรู้สึกไม่ดี

“อักษร” ตอบไปแบบไม่คิดเพราะตั้งใจว่าต้องหาคณะที่มันไกลจากคณะตัวเองเข้าไว้  ผมวิ่งมาทันรถป็อบพอดี  ที่จริงก็ไม่ใช่หรอกครับต้องบอกว่ามันหยุดรอมากกว่า  ก็ไหนใครสักคนบอกผมว่ามันมาไวไปไวเหมือนจรวดไง  แสดด  นี่หมาวิ่งแซง  แมวตะแคงตด  มึงยังไม่ไปเลย

“รีบทำไมของนายวะ  กลัวรถหายรึไง” มันบ่นพึมพำแล้วมายืนข้างผม  อ้าว! ไอ้นี่  กูเพิ่งด่าคนที่บอกกูมาผิดๆ ไป  ทำไมมึงไม่ฟังเล่า  ถ้ากูรู้นะว่ามันจะหยุดรอ  กูจะวิ่งให้เหนื่อยเพื่อ?

“เออ  กลัวไม่ได้ขึ้น” อ้าว  กูก็ปากไว  อย่าไปคุยกับมันสิเฟ้ย  ได้เงินมาแล้วตั้งใจจะไม่คืน  ต้องทำเป็นคนไม่รู้จักเข้าใจมั้ยวะ

“กวนตีน” แล้วมึงล่ะ?  ไม่กวนกูเลยเนอะ  เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงห้านาที  มึงก็เริ่มด่ากูแล้วเนี่ย  ไอ้คนคบไม่ได้  (แต่ทีตัวเองจะไม่คืนเงินเขา  คบได้มากเลยนะมึง)

“ยัง  ตีนไม่ว่าง”  หยุด..ไม่ทัน  สงสัยต้องหาอะไรยัดปากกันพูดมากไว้ก่อนแล้วมั้งเนี่ย

“แต่ตีนกูว่างว่ะ  อยากลองมั้ย” มันหันมายักคิ้วท้าทาย  หึ  กูไม่โง่หลงกลมึงหรอก

“อยาก  แต่พอดีไม่มีส่วนไหนของกูว่างลอง”  มันขึ้นมึงขึ้นกู  ผมมีหรือจะปล่อยผ่านง่ายๆ  

“หึ  เด็กอักษรเขาปากหมาเป็นเหมือนกันเหรอวะ  นึกว่าจะเรียบร้อยๆ” แล้วกูจะรู้มั้ยวะ  กูเรียนเศรษฐศาสตร์ไม่ได้เรียนอักษรเว้ย  ภาษาอังกฤษไม่กระดิกหางอย่างกูจะมีปัญญาไปเรียนมั้ย  มึงคิด  แต่ว่าตามจริงเลขกูก็กระดิกแบบแผ่วๆ   ดันเลือกเอาเศรษฐศาสตร์แล้วยังเสือกติดอีก  ฆ่าตัวตายทางอ้อมแท้ๆ กู

ผมมองหน้ามัน...พ่อกับแม่มึงผสมกันยังไงวะ  ถึงได้มึงออกมาเนี่ย??  กูอยากจะรู้เผื่อเอาเคล็บลับไว้ใช้ในอนาคต  ก่อนอื่นมาที่นี่ต้องหาแม่ที่ดีของลูกให้ได้ก่อนครับ  มองหน้ามันอีกทีก็อยากจะถอนหายใจด้วยความเสียดาย

            หน้าตาไม่เหมาะกับปากหมาๆ ของมันเลย

            อ๋อ  รู้แล้วปากอย่างมึงต้องอยู่คณะนี้เท่านั้น...วิดวะ

            อยู่ตรงสามแยกปากหมานั่นไง  ฮ่าๆ  โคตรเหมาะ

 

            “เป็นไรวะ  มองหน้าแล้วยิ้ม  อยู่อักษรด้วย  อ้าว..หรือว่ามึง...”  มันทำตาโต อ้าปาก  ประมาณว่าตกใจมาก  เสร็จแล้วก็เริ่มมองผมอย่างหวาดๆ  กูทำไม?  เกี่ยวไรกับอักษร?  ทำหน้าเหมือนรู้ว่ากูจะไม่ยอมคืนเงินมึงงั้นแหละ

            “กู?  ทำไม”

            “ชอบผู้ชาย???” มันพูดด้วยสีหน้าจริง  และเสียงที่ถึงจะไม่ดังแต่หลายคนคงได้ยินในเมื่อมันยืนเบียดกันเป็นปลากระป๋องแบบนี้

            “....”  ผมจ้องหน้ามัน  จนด้วยคำพูด  บอกไม่ถูกว่าระหว่างความโกรธกับความอายอันไหนมันมีมากกว่ากัน  แต่ที่แน่ๆ ผมกำลังสรรหาคำด่าตั้งแต่สมัยทวารดียันปีสองพันห้าด่ามันในใจ  ตอนนี้ไม่กล้าหันไปมองหน้าใครเลยครับ  ทั้งที่เราไม่มองแต่ก็ยังรู้สึกว่ามีคนมองอยู่  สาดเอ๊ย!  จะคิดไปเองหรือปล่าวไม่รู้ล่ะ  แต่แม่งโคตรอาย

            ผม...เกิดมาสิบเก้าปีมีแฟนเป็นผู้หญิงแท้ๆ ทั้งหมดสี่คน  แต่ละคนน่ารักขนาดเชอร์มาลย์ชิดขวา  อุษามณีชิดซ้าย  เหลือแค่ตุ๊กกี้คนเดียวเท่านั้นแหละครับที่พอจะสู้ได้อย่างสูสี  แล้วมัน..มันเป็นใครมาจากไหนบังอาจหาว่าผมชอบ ผู้-ชาย   กูจะชอบผู้ชายได้ยังไง  ถ้ากูชอบเพศเดียวกับตัวเองแล้ว  ลูกสาวลูกชายว่าที่นักแสดงในอนาคตที่กูกำลังจะขอเคล็ดลับจากพ่อแม่มึง  กูจะผลิตออกมาได้มั้ย  ถามหน่อยสิวะ

            “ถึงแล้ว  ไม่ลงรึไง”  มึงยังมีหน้ามาถาม  ไอ้เชี่ยเอ๊ย  ทำกูขายหน้าไม่พอ  มึงยังจะไล่กูลงจากรถ  กูจะลงเพื่อ?  นี่ตึกอักษร  กูไม่ได้เรียนที่นี่  กูเรียนเศรษฐศาสตร์ ไอ้ฟาย  มึงเข้าใจมั้ย  กูเรียนเศรษฐศ่าสตร์  กูไม่ได้เป็นเกย์  ไอ้สาดด  

ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด่ามัน  ใจก็คิดว่าไม่ลงเด็ดขาด  ครั้นเหลือบไปมองรอบๆ  งานเข้าเลยกู!!  เห็นหลายคนมองมาแล้วยิ้มให้ผมเหมือนรู้ทัน  มึงรู้ทันอะไรกู๊  กูไม่ช่ายยยยย  ไอ้เชี่ย  ต้องให้กูไปเปลี่ยนชื่อเป็นนายสมชายให้สาแก่ใจพวกมึงเลยดีมั้ย

            สุดท้าย..ไม่อยากลง  ก็ต้องลงครับ  ใครบอกผมไม่แคร์สื่อ  ครับสื่อน่ะผมไม่แคร์  แต่ผมแคร์หน้าบางๆ ของผม  ผู้หญิงหลายคนมองหน้าผมตาวาว  บ้างก็ถอนหายใจด้วยอาการคล้าย “กูว่าแล้ว”   ขนาดเดินลงมายังได้ยินคำนินทาลับหน้า (เดินอยู่ข้างหนาครับ) ว่า

            “บอกแล้ว  ไม่แอ๊บก็อันโนว์( ยังระบุเพศไม่ได้) เสียดายเนาะ  หน้าตาดีด้วย”

            ผมกล้ำกลืนฝีนความอัปยศไว้ในใจ  จำไว้นะมึง  อย่าให้กูเจอที่ไหน  กูจะตะโกนว่ามึงชอบหลอกฟันเด็กแปดขวบให้ได้ยินกันทั้งมอเลย  กูอายบนรถป๊อบ  มึงต้องอายทั้งมหาลัย

 

.................................................

            

ผมไม่เสียเวลายืนแกร่วให้โดนแซวครับ  แม้ใจจะอยากแซวแอ่วสาวก็ตามที  หลังจากหน้าหายชาโดยไม่ต้องพึ่งยา(ฉีด) หรือมือ(ตบ)  เท้าก็เริ่มรับคำสั่งจากสมองให้วิ่งสี่คูณร้อยไปตึกเศรษฐศาสตร์ทันที  นาฬิกาใส่อยู่ที่ข้อมือแต่แน่นอนว่าผมไม่ดูให้เสียอารมณ์

เพราะมัน...ไม่ทันชัวร์!!!

ไอ้เวย์ใส่เกียร์ม้า(จะลดตัวเป็นหมากันเพื่อ?) ควบตัวโก่งแบบไม่กลัวเสียศูนย์  พอเห็นว่าอีกนิดเดียวจะถึงเส้นชัย  ใจมันก็มาเกินร้อยแล้วครับ  สปีดมีเท่าไรใส่ไม่ยั้งทั้งเท้าหน้าเท้าหลังทำงานประสานกันอย่างดีเยี่ยม  ตาจ้องป้ายคณะเขม็งยิ่งกว่าตอนสเนปท่องมนต์สาปแช่ง

อีกนิดเดียว  โกยเข้ามึง  โกย  โกย  โก้ยยย

เฮ้ย!!!  พรืดดด   พรวดดด  สวบ  แอ้ก!!  (แม่งคล้องกันดีชิบ)

 

...จบสิ้นกันแล้ว  ชีวิตกู...

.

.

.

หมดแล้วสิบแปดปีที่สร้างมา  หมดแล้ว  หมด  หมด  โม๊ดดดดแล่ว (มิได้พิมพิ์ผิด  แค่ลิ้นลืมสำเนียงปกติชั่วขณะ)

ใครเห็นภาพผมตอนนี้คงนึกได้อยู่ไม่กี่เพลงหรอกครับ  ง่ายๆ เลยนะ  เพลงนี้ผมว่าตรงสุด

...ก่อนเคยเห็น เอ้ออ.. เอ๋ย..  อยู่หลัดๆ  ตอนนี้พลัดตกพุ่ม เอิง..เอ๋ย..ไม้...เอย....

เรามารีเพลย์ภาพช้าให้ดูกันครับ  ถามว่าอายไหมที่ต้องประจานตัวเอง  อายครับ  แต่ยอมเพราะ...ผมเกิดมาเพื่อเป็นคนของประชาชน  ก๊ากก

ไม่เกินเมตรจะถึงบันไดขึ้นตึก  มีไอ้ถุงพลาสติกหน้าโง่แผ่นหนึ่งมันมานอนแอ้งแม่งอยู่บนพื้น  ใจผมก็อยากจะตะโกนบอกให้มันหลบไป  แต่เผอิญว่าตามัวแต่จ้องป้ายคณะ  รู้ตัวอีกทีเท้าก็ลอยจ่อหัวมันอยู่แล้วครับ (ใครว่าถุงพลาสติกไม่มีหัว  ผมนี่เถียงขาดใจเลย  มันจะไม่มีหัวได้ยังไงในเมื่อมันต้องมีหัวไว้คั่นหูทั้งสองข้างของมัน  ...เออ  กูก็คิดได้เนาะ = =;;)

ผมเหยียบมันเข้าเต็มเท้า  จากนั้นดูเหมือนว่าไอ้ถุงบ้านั่นมันจะหนักจนทนไม่ไหว  สะบัดตัวหน่อยเดียวเท้าข้างนั้นของผมก็ลอยขึ้น  ร่างกายเริ่มเสียสมดุล  ด้วยความที่ไม่อยากดังตั้งแต่วันแรก  ผมจึงพยายามยื้อยุดชุดกระชากตัวเองไว้เต็มที่  แต่ว่า..ผลของมันนี่ออกจะดูอุจาดสายตาไปหน่อยเท่านั้น

เพราะแทนที่ร่างกายซึ่งเสียสมดุลไปแล้วของผมมันจะหงายหลังให้ก้นได้ร้องอรุณสวัสดิ์กับพื้น  กลายเป็นว่ามันโน้มไปข้างหน้าจนหัวผมทิ่มทะลุพุ่มไม้  ให้หน้าได้เซย์ไฮกับไอ้ใบสีเขียวๆ นี่แทนน่ะสิครับ!!

สรุปนี่ผมจะพยายามไปเพื่อ????

ไม่เกิดคราวนี้  มึงจะไปเกิดคราวไหนวะไอ้เวย์

 

“เฮ้ย! คนตกต้นไม้!”  นั่นไง..มันมาแล้วไอ้คนสร้างกระแส  ผมจะเรียกมันว่าป๋าดันดีไหม  แล้วดูมันตะโกนครับ  ท่าทางผมมันเหมือนคนตกต้นไม้หรือไงครับ  แล้วไอ้พุ่มเตี้ยๆ เนี่ย  บ้านเคอิโงะมึงเรียกต้นไม้หรือไงวะ?

“เป็นอะไรหรือปล่าวอ่ะ” ...เออ  ไม่เป็นไร กูสบายดี  แต่จะสบายกว่านี้ถ้ามึงจะกรุณาช่วยดึงกูขึ้นเงียบๆ  ย้ำนะ เงียบๆ

รู้สึกว่ามีมือมาช่วยดึงตัวผมขึ้น  พอหัวโผล่มาปะทะกับอากาศบริสุทธิ์เท่านั้นแหละ  ผมก็แทบอยากจะเอาหัวมุดลงไปอยู่ที่เดิมอีกรอบ  คำเตือนสั้นๆ คำเดียวครับ ...ระวัง! มันกำลังจะมา...

“กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกก”  

นั่นไง...มันมากันแล้ว

บอกแล้วไง  ไม่เกิดงานนี้จะรอเกิดงานไหน  ดีใจกับตัวเองชิบ อยากตะโกนบอกแม่  แม่ครับผมดังแล้ว  ดังกร๊ากยาวๆ เลยด้วย  ฮ่วย! เพราะมึงเลยไอ้ปากหมา  ทำกูซวยแต่เช้า

“ฮ่าๆ  นาย..นาย  ฮ่าๆ  ผม  กร๊ากกกก”  ผมเงยหน้ามาเห็นผู้ชายตัวสูงหน้าตี๋คนหนึ่งยืนแหกปากหัวเราะผมอย่างเอาเป็นเอาตาย  ขอชมจากใจจริง  มารยาทมึงดีโคตร

“ผม?  ทำไม”

“ฮ่าๆ  ไม่มีอะไร  เท่ดีวะ  กร๊ากก  ปีหนึ่งเหมือนกันใช่ป่ะ  เราชื่อนุ  นายอ่ะ”  

“เวย์”  

มันมองหน้าผมอึ้งๆ ไปสักพัก  ทำไมวะ  หรือชื่อผมมันแปลกมาก  สักพักมันก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้  แล้วก็เริ่มแหกปากหัวเราะเต็มแรงอีกครั้ง

“กร๊ากกกก  งั้นเมื่อกี้ก็รองเวย์ (wrong way) อ่ะดิ  ฮ่าๆๆ  บันไดมีไม่ขึ้น  จะกระโดดข้ามต้นไม้เหรอวะ  กร๊ากกกก  ปวดท้องโว้ย  ม้ามจะระเบิดแล้วเนี่ย”  งั้นมึงก็หยุดขำซะทีสิไอ้สัด  ดูแลม้ามมึงด้วย  น่าสงสารชิบมีเจ้าของอย่างมึง  ถ้ากูเป็นมันนะกูชิงระเบิดตัวเองไปนานแล้ว  แล้วไอ้นี่เขาเรียกว่าพุ่มไม้เว้ย  มึงดูปากกูชัดๆ นะ  พุ่มไม้  ไม่ใช่ต้นไม้

“เหนื่อยยัง”  ผมถามผมด้วยสายตาแกมสมเพช  ที่จริงสมเพชตัวเองมากกว่าครับ  แต่เอาไปลงกับมันแทน  ช่วยไม่ได้ครับแม่สอนมาให้รู้จักรักตัวเองก่อนจึงค่อยรักคนอื่น

“เออ  เหนื่อยว่ะ” ... สมควร

“ดี  จะได้ไปสักที  แม่งสายโคตร”

“กร๊ากกกก  ก็ถ้านายไม่อุตริไปขี่ต้นไม้  มันคงไม่สายจนขนาดนี้”  เอ๊ะ ไอ้เวรนี่  ตกลงมึงจะเอายังไงแน่วะ  จะให้กูตกหรือขี่  ส่วนไอ้เรื่องต้นไม้ของมึง  กูปลงแล้ว  ชาตินี้ยังไงมึงก็คงแยกระหว่างพุ่มไม้กับต้นไม้ไม่ออกหรอก

“ขำเข้าไป  เดี๋ยวกูต่อยม้ามแตก”  ไม่ต้องรักษาภาพพจน์มันแล้วครับ  เจอคนกวนตีนขนาดนี้  ดิบๆ กับมันไปเลย

“โอ๊ย  ไม่ต้องต่อยๆ  มึงโดดเข้าไปที่เดิมอีกที  รับรองแม้แต่ตับกูก็ยอมระเบิด” อ้าวๆ  นี่มึงกำลังท้ากูอยู่เหรอ  มึงรู้ไหมว่ามึงกำลังท้าผิดคน  ผมยักคิ้วให้มันแล้วทำท่าจะเอาหัวทิ่มพุ่มไม้จริงๆ  มันร้องเฮ้ยแล้วรีบดึงแขนผมไว้  ไอ้สาด   ยุเองห้ามเอง  ทีหลังไม่ต้องยุกูให้เหนื่อยนะมึง

“ เฮ้ย จะทำไรวะ”

“ทำให้ตับมึงระเบิดไง” ผมยักคิ้วให้มัน

“กร๊ากกกกก  โอ๊ย  ขำโว้ย  มึงนี่กวนตีนสาด  มาเป็นเพื่อนกันเหอะว่ะ  คนบ้านเดียวกัน” ...แค่มองตากันก็เข้าใจอยู่  รู้ว่าเหนื่อยเพียงไหน  ฮ่วย  ไอ้บ้า...    รู้ด้วยเหรอมึงว่าตัวเองกวนตีน  นี่ถ้ามึงยังไม่รู้ตัว  กูว่าจะอัญเชิญหลวงพ่อมารดน้ำมนต์เบิกสมองมึงแล้วนะเนี่ย

“เออ”  ผมตอบตกลง  แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะถูกใจเหตุผลคนบ้านเดียวกันของมัน  แต่เป็นเพราะว่าหลังจากเหตุการณ์หัวทะลุพุ่มเมื่อกี้นี้  ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าจะยังมีใครกล้าคบผมเป็นเพื่อนอีกหรือเปล่า

 

 

whitedemon

  • บุคคลทั่วไป
อ้าว  น้องสองคนทำไมเพิ่งมาครับ” ...ก็เพราะผมมาช้าไงพี่  ถ้าผมมาเร็วนะผมก็คงไปนั่งรวมกับเพื่อนคนอื่นตรงโน้นแล้ว  ไม่มายืนเซ่อให้พี่ถามอย่างนี้หรอก...  ใจจริงก็อยากจะตอบอย่างนี้ครับแต่กลัวมันจะเป็นการปีนเกลียวตั้งแต่วันแรก  ซึ่งดูหน้าไอ้เกลียวตัวที่ว่า..ผมว่ามันไม่น่าปีนเท่าไรนะ  กลัวว่ายังไม่ทันถึงครึ่งเกลียว  ตีนมันก็เอี้ยวมายันผมออกก่อนชัวร์

ผมไล่ตามองเห็นเด็กปีหนึ่งนั่งหน้าสลอนบนอยู่พื้น  มีพี่ๆ ยืนล้อมอยู่  ส่วนใหญ่เป็นพี่ผู้ชายครับ  พี่ผู้หญิงมีบ้างแต่ที่น่ารัก..น้อย (เอ่อ..ใครบังเอิญเป็นผู้หญิงคณะดังกล่าวแล้วอ่านมาถึงตรงนี้  คิดซะว่าพวกคุณเป็นส่วนน้อยที่น่ารักในสายตาผมก็แล้วกันนะครับ )  ผมหยุดสายตาอยู่แถวๆ ม้านั่งนานเป็นพิเศษ  เพราะมีพี่ๆ ผู้หญิงน่ารักอยู่สามสี่คนนั่งจับกลุ่มกันอยู่ตรงนั้น  สภาพมันคล้ายๆ นางฟ้าในฝูงควายยังไงยังนั้น  แล้วไอ้พี่คนเดิมมันก็เดินตีหน้าโหดเข้ามาหาผม  หืม..ลำพังมันทำหน้าเฉยๆ ผมยังเผลอมองปากกาแลนเซอร์ (ได้ค่าโฆษณามั่งมั้ยเนี่ยกู) ที่มันควงอยู่เป็น .357  เตรียมไปเอาเลือดหัวใครออกแล้วนะครับเนี่ย  แน่นอน..ว่ามันต้องไม่ใช่หัวผม แต่ถ้าเป็นหัวไอ้เพื่อนใหม่ที่มันกำลังพล่ามวาจาน่าเอาตีนกระทืบกะโหลกอยู่นี่ก็ไม่แน่

“อ๋อ  พอดีเพื่อนผมมันมุดเข้าไปช่วยหมาติดพุ่มไม้น่ะครับ”  ...รู้ตั้งแต่เมื่อไรวะมึงว่ามันเป็นพุ่มไม้  ให้กูแก้แทนในใจตั้งนาน...  มันว่าแล้วหันมายิ้มกว้างให้ผม  ขยิบตาสองที  กระดิกหูอีกที  ความรู้สึกผมตอนนี้เหมือนมีคนโยนขี้มาให้  แล้วบังคับให้เอามือรับน่ะครับ  

จะไม่รับก็กลัวมันตก  จะรับก็กลัวมือเหม็น  แม่ง  ...แล้วก็ช่างเปรียบได้น่าดูเหลือเกินนะกู

“หมาตกพุ่มไม้?” เกลียวหน้าโหดเลิกคิ้วขึ้นเหมือนไม่อยากเชื่อ  ก็สมควรล่ะ  ใครเชื่อมันนี่ก็โคตรควาย  หมาที่ไหนมันจะโง่ตกพุ่มไม้  เอ่อ..ยกเว้นผมไว้คน

“ครับ  แล้วไอ้นี่มันก็เป็นคนดีไงครับ  วิ่งเข้าไปช่วยมัน” นั่น..มึงยังหน้าด้านแถต่อ  มึงจะแถจะไถจนหน้าเรียบ  จมูกปากหายไปรวมที่คอหมดกูก็ไม่ว่า  แต่มึงช่วยอย่าลากกูไปเอี่ยวด้วยได้มั้ย  หน้ากูเป็นแบบนี้กูพอใจแล้ว  ไม่ต้องมาอยากช่วยให้กูหล่อขึ้น  เรื่องแถกูไม่ถนัด

“อ๋อเหรอ  กูเป็นคนดีขนาดนั้น  เพิ่งรู้นะเนี่ย”  ผมกระซิบเบาๆ ให้มันได้ยินแค่คนเดียว  ตอนนี้ดูเหมือนขี้มันกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะแล้วครับ  ทางเลือกของผมน้อยลงทุกที  หัวใจเต้นตึกตัก  รับไม่รับ  รับไม่รับ  แม่งเอ๊ย..มึงนะมึง  ไม่น่าโยนให้กูตั้งแต่แรก

“งั้นสิ  เนี่ย  ใบไม้ยังติดหัวมึงอยู่เลย”  มันเอื้อมมาดึงใบไม้ออกจากหัวผม  ผมล่ะอยากจะขอบคุณมันเหลือเกิ๊น... ไอ้สัดเอ๊ย ทำไมมึงไม่รีบเอาออกก่อนหน้านี้  ไม่ใช่ว่ามึงคิดแผนนี้ไว้ตั้งแต่ตอนนั้นหรอกนะ มันจะฉลาดเกินหน้ามึงไปแล้วโว้ย  ไอ้เวรนุ

มันลอยหย้าลอยตาคลำหัวผม  หยิบบ้าหยิบบออะไรออกให้เต็มไปหมด  เห็นได้ชัดว่ามันจงใจถ่วงเวลา   กวนตีน  และกำลังหาเรื่องให้ผมลำบาก

ผมนี่มันช่างโชคดีนัก!!!!   ได้มีเพื่อนคนแรกเป็นคนอย่างมัน  ฮ่วย

“หมาสีอะไร”  ...มันสำคัญตรงไหนวะพี่?...  ไอ้พี่โหดมันเหลือบมองพวกผมด้วยหางตา  พอจะรู้แล้วครับว่ามันสำคัญยังไง  ที่แท้ก็กำลังจับผิดพวกผมอยู่นี่เอง  แต่แค่รู้มันยังไม่พอครับ  มันต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้ด้วย  ว่าแต่..แล้วกูจะรอดไปได้ไงวะ สีหมามันก็คงมีอยู่ไม่กี่สีหรอก ..ถ้าไอ้คนคณะนี้มันจะไม่อุตริพามันไปย้อมให้ดูเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมาน่ะนะ

ผมก้มหน้าลง  แต่ตาแอบเหลือบมองไปรอบๆ

บิงโก!!  ไอ้ผู้ช่วยมันโผล่หัวโผล่หางออกมาพอดีเลยครับ

ไอ้เวย์เอ๊ย  ชาติที่แล้วมึงต้องทำบุญกับไอ้พวกสี่เท้าไว้เยอะแน่ๆ

 

“อ๋อ  สีขาวครับ แต่ตรงตูด  เอ้ย ก้นสีดำ” ผมเงยหน้าตอบอย่างผู้มีชัย  ใจอยากจะหัวเราะเสียงดังใส่หน้าแกให้รู้แล้วรู้หรอก  แต่อย่างที่บอกครับ  เกลียวตัวนี้มันน่ากลัวเกินกว่าจะปีน

“หืมม  อ๋อไอ้ตัวนั้นเอง” พี่แกพึมพำด้วยสีหน้าดีขึ้น  เหมือนจะยอมเชื่อคำพูดพวกผมเรียบร้อย  “ดีๆ หัดมีน้ำใจช่วยเพื่อนร่วมโลก  พี่ชอบ” ..นั่นไงมันเชื่อจริงๆ ด้วยครับ  ก็จะไม่ให้เชื่อได้ไงล่ะ  ก็ไอ้หมาตัวที่ว่ามันเดินบิดขี้เกียจผ่านหลังแกไปเมื่อกี้  แถมยังเอาเท้าก่ายหน้าผากแบบปลงสังเวชแกอีก  ก๊ากกก  ขนาดหมายังฉลาดขนาดนี้  ผมเรียนที่นี่สี่ปี  คิดดูผมจะฉลาดขนาดไหน

“เนียนนะมึง” ไอ้คนข้างๆ มันขมุบขมิบปากกระซิบผม

“กูยอมเนียนเพื่อมึงแหละ  ไอ้เพื่อนใหม่”

“ฮ่าๆ  ใจว่ะ  เดี๋ยวกูเลี้ยงน้ำ”

“ไอ้งก  ข้าวจานหนึ่งบวกน้ำด้วย” กูทำให้ถึงขนาดนี้  ยอมลดตัวเป็นคนดีเพื่อมึงขนาดนี้  ยังจะเลี้ยงแค่น้ำแก้วเดียว  มึงคิดดิ  คนงกกว่าอย่างกูจะยอมมึงมั้ย  ไอ้นุทำท่าจะแย้งข้อเสนอที่ออกจะสมเหตุสมผลของผม  เสียงพี่โหดก็ดังขัดขึ้นซะก่อนครับ

“เราอ่ะมานี่ดิ”

พวกผมก็เงียบครับ  สองเท้าข้างนี่พร้อมใจกันนิ่งสนิท  เราไหนไม่รู้ล่ะ  แต่คิดซะว่าไม่ใช่ “ตัวเรา” ก็แล้วกัน

“มึงอ่ะ  ออกไป” ไอ้นุมันเอาตีนสะกิดตีนผม  เห็นได้ชัดว่ามันยึดคติเดียวกันกับผมในการใช้ชีวิต  ...เรื่องซวยๆ โยนให้คนอื่นได้  จงอย่าลังเลที่จะทำ...

“เขาเรียกมึงต่างหาก  ออกไปดิ”  ผมเอาตีนสะกิดมันกลับ  คนเริ่มเรื่องมันคือมึงนะโว้ย

“น้องนั่นแหละ  ที่มุดไปช่วยหมาอ่ะ  มาหาพี่เร็วๆ” สิ้นเสียง  เท้าคนข้างๆ มันก็หยุด  แต่ใบหน้ากวนๆ ของมันกลับหันมาแลผมแทนด้วยรอยยิ้มสะใจยิ่งกว่าเห็นไก่กินหมา  มือตบไหล่ๆ ผมป้าบใหญ่  บีบแน่นอย่างให้กำลังใจ  ทั้งที่ปากของมันกำลังสั่นเพราะสะกดกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่

..ขอบใจมากนะมึง  ไอ้เพื่อนใหม่  กูไม่เกิดเพราะใคร  แต่เกิดเพราะมึงจริงๆ...

 

“ปรบมือต้อนรับคนดีของคณะกันหน่อยครับ”  พอผมไปยืนอยู่ข้างพี่โหด  ก็มีไอ้พี่คณะอีกคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาพร้อมเสียงปรบมือนำชาวบ้านเขา  จงใจแกล้งกันชัดๆ ทำไมพี่ไม่ออกไปเอาดีทางด้านนี้เลยล่ะ  รับจ้างเป็นหน้าม้าตามงานวัดท่าจะรุ่งกว่ามั้ย

เสียงปรบมือ  เสียงหัวเราะ  ผิวปากดังมาไม่ขาดสาย  รู้ทั้งรู้ว่าโดนแกล้งแต่ด้วยสปิริตของอะไรสักอย่างมันสั่งให้ผมฝืนยิ้มไว้ครับ  คิดซะกว่าอย่างน้อยๆ มันก็ไม่มีเสียงโห่ล่ะวะ  แต่ดูเหมือนยิ่งผมยิ้ม  เสียงบัดซบนี่มันก็ยิ่งดังขึ้น

เออ  ตลกกันซะให้พอนะพวกมึง  ถึงทีกูบ้างจะตลกไม่ออกกันทั้งคณะ

แถวนี้มันมีถังน้ำมันกับไม้ขีดไฟหรือเปล่าวะ?

 

“เอ้า  น้องแนะนำตัวหน่อยครับ” หลังเสียงหัวเราะเริ่มซาลง  ไอ้คนข้างๆ มันก็สั่งทันที

“สวัสดีครับ  ผมนาย....  ชื่อเล่นเวย์ครับ” พยายามจะทำหน้าให้นิ่งที่สุด  แต่ก็ยังมีคนเสือกหลุดขำ  หรือว่าผมจะย้ายสายอาชีพดีครับ?  หันมาเอาดีทางด้านเอ็นเทอร์เทนจะรุ่งกว่าไหม

“บ่นพึมพำอะไรของน้อง  คนดีเสียงไม่ดังมันไม่เกิดนะน้อง”  ไอ้พี่โหดเริ่มอยากได้ชื่อเพิ่มเป็นไอ้กวน  มันเริ่มหาเรื่องใส่ตัวอีกครั้ง   พี่ครับ  รู้จักผมน้อยเกินไปแล้ว   ก็ได้..ถ้าอยากให้ผมเกิดนัก  ผมจะเกิดให้ดูเป็นบุญตา

...เปิดหู  เปิดตาให้ดีแล้วกัน...

 

“ผมชื่อนายคนดีศรีเมือง  นามสกุลรักคุณธรรมยิ่งชีพ   ...ทีนี้ผมเกิดรึยังพี่”  ผมพูดด้วยเสียงอันดังเหมือนตอนเรียนรด. แล้วยิ้มให้พี่แกที่ตอนนี้กำลังทำหน้าเอ๋อจนแทบจะลบฉายาไอ้โหดไปหมด

.

.

.

“ก๊ากกกกกก”

..เห็นได้ชัดว่ากูเกิดของจริง...

ผ่านวันนี้ไป  ชื่อนี้ของผมคงถูกจำจนตาย

ว่าแล้วคนดีก็เริ่มรู้สึกสำนึกเสียใจ  ... นี่กูทำอะไรลงปายยยยยยยยยยยย

“ฮ่าๆ  อ่ะแฮ่ม  เออ  มึงเกิดแล้วไอ้น้องเวย์  ไปนั่งที่ได้แล้วไป” ไอ้โหดมันกลั้นยิ้มเก๊กหน้าขรึมอีกรอบ  เอามือมาตบไหล่ผมป้าบใหญ่ไม่แพ้ไอ้นุทำเอาไหล่ผมมันร้องโอ๊ย  อยากจะตะโกนด่าตอบ  ติดอย่างเดียว...มันไม่มีปาก

ผมก็ยังคงเก๊กหน้าด้านๆ ของตัวเอง  ฉีกยิ้มที่ออกจะแหยๆ ไปบ้างเดินอ้อมไปนั่งด้านหลัง  แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว  เสียงเดิมก็รั้งผมไว้

“เดี๋ยว!!” อะไรของมึงอีกครับ... “นั่งรวมกับคนไม่ดีอย่างพวกนั้นได้มั้ยวะ” ... ฟังคำถามมันผมถึงกับพูดไม่ออก  ไอ้พี่คนนี้แม่งกวนตีนสาด  มีการยักคิ้วให้ผม  ดีเนาะมึง  พูดให้คนอื่นเขาโห่เล่น  เพราะตอนนี้กลุ่มบุคคลที่ถูกหาว่าเป็นคนไม่ดีกำลังโห่ว่าพี่เขาเสียงดัง  อืม..ช่างมีซิเนียริตี้ (การเคารพผู้อาวุโส) ดีจริงๆ คณะนี้

“โหยยยยยย”

นึกแล้วผมก็ขำ  ตลกดีครับ  ที่แท้ก็โหดไม่จริงนี่หว่า

“ได้ครับพี่  ผมมันคนใจกว้างอยู่แล้ว ^^”

“ฮิ้ววววววว  ฮ่าๆๆ”  คราวนี่เสียงโห่เป็นของผมล้วนๆ  ยืดว่ะ  ไอ้เวย์ยืด  ฮ่าๆๆ  ผมเดินไปนั่งหลังสุด  ตลอดทางมีคนกระซิบทักอยู่เรื่อย  เรียกว่าเวย์บ้าง  คนดีศรีเมืองบ้าง  แน่นอนให้คำหลังมันเยอะกว่าอย่างเห็นได้ชัด

 


whitedemon

  • บุคคลทั่วไป


“ว่าไงไอ้คุณคนดี  เกิดเพราะกูเลยนะมึง”  สุดท้ายผมก็มานั่งข้างไอ้นุเป็นคู่ดูโอ่  เพราะนั่งข้างหลังสุดกันอยู่สองคนครับ  ดูเหมือนพวกไม่มีคนคบซะอย่างนั้น

“ขอบใจว่ะ  ไว้คราวหน้ามึงได้เกิดแทนกูแน่”

“อย่าเลย  หน้าหล่อแค่นี้กูก็ดังจะแย่อยู่แล้ว”  มันว่าแล้วกระพริบตาปริบๆ  ทำปากจู๋อย่างที่หาความหล่อไม่เจอ

“เชี่ย หล่อตายเลยมึง”

จะว่าไปมันก็แปลกนะครับ  คนเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงชั่วโมงดันมานั่งคุยกันเหมือนสนิทมานาน  แถมยังขึ้นมึงขึ้นกูกันเรียบร้อยโรงเรียนหล่อ  เออ..คงจะจริงของมันที่ว่าพกวผมมันคนบ้านเดียวกัน

เสียงรุ่นพี่พูดอะไรสักอย่างอยู่ข้างหน้าแต่ผมไม่ค่อยได้ยิน  เพราะมีไอ้กำแพงตัวหนามันนั่งอยู่หน้าผม  ใครวะตัวใหญ่  ไหล่กว้างชิบ  บังกูหมด  เออ  แต่ก็ดี  หน้าด้านๆ ของผมตอนนี้มันยังไม่พร้อมรับแขก

 

 “ไหนว่าอยู่อักษรวะ” เสียงที่เหมือนจะคุ้นก็คุ้น  จะว่าไม่คุ้นก็อาจใช่ดังขึ้นจากข้างหน้า  แต่ผมไม่อยากจะสนใจ   เพราะกำลังเร่งกระตุ้นความด้านบนใบหน้าให้ตั้งใจทำงานอยู่

“พูดกับมึงนั่นแหละไอ้คนดี  โกหกเก่งแบบนี้  ท่าจะไม่ใช่คนดีแล้วล่ะมั้ง”  ผมเงยหน้ามองในจังหวะเดียวกันกับที่ไอ้คนข้างหน้ามันหันมา

O.O!!!!!

Oh! My god!!!

.

.

.

.

Ship Lost Yet!!! ( ชิบ หาย แล้ว)

 

...นี่กูหนีมึงไม่พ้นใช่มั้นเนี่ย!?...

ไอ้ต้นแบบลูกชายในอนาคต!!!

 

 

“หึ” ไอ้ต้นแบบลูกชายผมมันหัวเราะหึในลำคออย่างน่าเตะที่สุด  หน้าใสปิ๊งยิ่งกว่านางแบบโฆษณาผ้าอนามัยของมันกำลังแผ่รังสีอันตรายให้ใจผมร้อนๆ หนาวๆ   คิ้วเข้มๆ ชักกระตุกคล้ายคนเป็นลมบ้าหมูเสียจนผมไม่กล้าเอ่ยปากด่าสวนอย่างที่ใจคิด  แน่ล่ะสิครับ  ใครจะไปรู้ไม่แน่ว่าไอ้โรคชักกระตุกนี่มันอาจติดต่อกันผ่านสายตาก็เป็นได้

“ว่าไง  ไหนว่าอยู่อักษร” ...แล้วมึงเห็นกูอยู่ที่ไหนล่ะ  กูดังแล้ว  มึงเข้าใจไหม  กูดังแล้ว  กูดัง กูเกิดที่นี่  ก็ต้องอยู่นี่ดิวะ  จะไปอยู่อักษรให้อาร์ทเมน (Arts Men) ข่มเพื่อ?  ถามอยู่นั่น  ย้ำคิดย้ำทำจริง  มึงเป็นออรึไง ไม่ใช่ออทิสติกนะครับ  แต่เป็นออโต้โง่บรม  โง่ง่ายๆ เพียงกดสวิตช์ เหอะๆ

 “เอ่อ..ความจำดีนะนาย  ฮ่าๆ” แต่แน่นอนครับ  สำหรับที่คนเป็นออเช่นกันอย่างผม  (ออเตี้ยนเนียนบรม)  มันก็ต้องมีกรณีลื่นไหลเกิดขึ้นเพราะสัญชาตญาณที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิดก็คือสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดครับ

ผมเกาหัว  ส่งยิ้มที่พยายามจะจริงใจและดูบริสุทธิ์ผุดผ่องที่สุดในชีวิตให้มัน  เอียงหน้าเป็นมุมสี่สิบห้าองศาเพราะเหงื่อเย็นๆ มันกำลังจะไหลเข้าตา  มือทั้งสองประกบกันในท่าอ้อนวอนพระเจ้า  (หรืออาจจะเป็นอ้อนตีนในแง่ที่คนมองตาไม่ถึงพอ) โดยอัติโนมัติ  ไอ้พระเจ้าเหากระโดดคนที่ว่ามันยังเหล่มองผมไม่เลิก  ตาเริ่มวาว  ริมฝีปากกระตุกเหมือนพยายามสะกดกลั้นอะไรสักอย่าง  นี่ถ้าไม่ติดว่าตัวมันโต  ผมเอาตัวเข้าแลกกับมันแล้วนะครับเนี่ย

 “คือ..แบบว่า  เมื่อกี้มันสมองเบลอกระทันหัน  เครื่องช็อตแบบลืมหยอดน้ำมันอ่ะ  เลยหลง จำคณะผิด  ฮ่าๆ  ไม่ได้ตั้งใจจะหนีหนี้เลยนะเนี่ย”  ว่าแล้วก็หัวเราะแห้งๆ ส่งไปสำทับอีกที  แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผลครับ  ชิ  อย่างว่าแหละครับคนมันใจแคบ  ขอโทษ (แก้ตัว) ยังไงก็ไม่ยอมเข้าใจ

“อ้าว  รู้จักกันแล้วเหรอวะ  ไอ้ไนท์” อยู่ๆ ไอ้คนแจ้งเกิดให้ผมมันก็ถามทะลุกลางปล้องแบบไม่รอให้ผมลดมือท่าอ้อนตีนลง  ไอ้ตาวาวมันหันมาสบตาไอ้นุ  ก่อนจะไล่มองผมตั้งแต่ตีนจรดตัว  สุดท้ายมาหยุดที่มือที่ประสานกันแน่นอยู่กลางอกของผม

“ยัง  แต่คิดว่ากำลังจะรู้จัก”  มันตอบ  แล้วฉีกยิ้มที่เล่นเอาผมเสียวสันหลังวาบ  งานไม่เข้างานนี้  จะไปเข้าไหนวะกู

“ฮ่าๆ  สนใจแล้วล่ะสิมึง” ไอ้นุมันเอามือกุมท้องหัวเราะแบบชักดิ้นชักงอได้โอเวอร์น่าถีบที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา  นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังอยู่ระหว่างความเป็นความตายนะ  ผมจะช่วยสงเคราะห์กระโดดถีบมันรู้แล้วรู้รอดไป

“เฮ้ย! ไอ้พวกข้างหลัง  มีไรตลกนักหนาวะ  มาเล่าให้พี่ๆ ฟังบ้างดิ”

= =;;

...ก็บอกแล้ว  ตามฉบับนิยายทั่วไป  งานเข้าไม่ได้หยุดจริงๆ...

แต่คราวนี้  มีคนอยากดังได้แจ้งเกิดกันอีกหลายคนแน่นอนครับ

“ว่าไงมึง  กูบอกแล้วว่ามึงจะได้เกิดเป็นเพื่อนกูแน่”  ผมหันไปเอาเข่ากระแทกขาไอ้คนที่ยังนั่งค้างท่าเดิม  ท่าไหนน่ะเหรอครับ  ก็ท่าของคนที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังจะตายไง  ไอ้นุเด้งกลับมานั่งหลังตรงโดยอัติโนมัติ  เสียงหัวเราะก็ค่อยๆ ลดระดับลงก่อนจะกลืนหายไปในท้อง  ให้ผมเดา  มันคงคิดว่าค่อยลงเฟดเสียงลงแบบหรี่เพลงคงจะทำให้มันดูเนียนมากขึ้น = =;;  เหอะ  ปัญญาอ่อนชิบ

“อ้าว  ว่าไง  คุยเรื่องไรกัน  ออกมาข้างหน้านี่  เร็วๆ อย่าให้พี่ต้องนับถึงหนึ่ง”  พี่ครับ  ถ้าขี้เกียจนับ  หรือถ้ามีปัญหากับตัวเลขขนาดนั้นก็อย่าลำบากเลยครับ  ผมล่ะกลัวพี่จะขาดใจตายจะก่อนเลขสองมันจะโผล่ออกมา

“เวย์  ไหนๆ มึงก็ดังแล้ว  มึงออกไปรับหน้าแทนหน่อยดิ  กูมันคนธรรมดาไม่ชินกับการเป็นข่าวว่ะ” อ้าว  ไอ้นี่นี่  โผล่หางมาแล้วเหรอมึง นี่ตอนนี้ล่ะเรียกกูว่าเวย์ซะเสียงอ่อนเสียงหวาน  เหอะ  มึงลืมอะไรไปหรือเปล่าว่าเรามันคนบ้านเดียวกัน

“นุ  ก็ไหนนายบอกว่าอยากเกิดบ้างก็เลยลงไปนอนดิ้นๆ กับพื้นไง  เนี่ยพี่เขาเรียกแล้ว  ออกไปสิวะ” ผมยืดอกพูดด้วยเสียงอันดังที่รับรองว่าถ้าไม่หูตึง  ต้องได้ยินกับครบถ้วนกระบวนคำ  แล้วตีหน้าซื่อตาใสเหมือนคนประสงค์ดีสุดชีวิต  แน่นอนครับว่ามุมปากยังอดจะฉีกยิ้มน้อยๆ ให้มันไม่ได้

ไอ้นุถลึงตามองผมอย่างหมั่นเขี้ยว  แต่ชาติชายอย่างไอ้เวย์หรือจะมีกลัว  ยกมือขึ้นตบบ่ามันป้าบอย่างให้กำลังใจ  เอาเลยมึง  หึหึ  เอาให้เต็มที่  ฮ่าๆๆ จัดไปอย่าให้เสีย

“อ้าว  นั่งเงียบอยู่ทำไมครับ  ออกไปหาพี่เขาสิครับ หึหึ”  ผมพูดเพราะแต่ยิ้มชั่วร้าย

“อ้อเหรอ  เออ  ไปก็ได้ครับ  แต่งานนี้ไหนเลยผมจะยอมตายคนเดียว  มันต้อง..ตายหมู่”  พูดจบรอยยิ้มที่ชั่วร้ายไม่แพ้กันก็ปรากฏขึ้น  คิ้วขวาผมไม่ทันได้กระดิกเตือนภัย  มันก็จัดการลากผมขึ้นมาทั้งตัว  แล้วเอาแขนกอดเอวผมไว้แน่น  ฉีกยิ้มหวานให้ส้นเท้าผมอยากกระตุก

“ปล่อยกู” ผมฉีกยิ้ม  กระซิบผ่านรอยฟัน

“อย่าฝัน”  มันตอบมาด้วยวิธีแบบเดียวกัน  นั่นคือลอดไรฟัน

“นุครับ  ปล่อยกู”

“ไม่มีวัน” ...ชัดถ้อยชัดคำ...

“กูไม่อยากไปเกิดกับมึงอีกรอบ  ปล่อยกู  กูไม่ใช่คนเริ่มนะเว้ย”  ว่าแล้วก็ต้องตวัดสายตามองไอ้หัวดำข้างล่างที่มันยังนั่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  ผมสบตาไอ้นุ  แล้วบุกใบ้ว่าเพื่อนมันนั่นแหละเป็นตัวการ  แล้วยังมีหน้ามานั่งเฉย  ปล่อยให้คนอื่นเขารับกรรมแทน  คนรักความยุติธรรมอย่างผมทนไม่ได้ครับ  ไอ้นุขมวดคิ้วมองเพื่อนมันที่ยังนั่งหลังตรงแน่วแบบไม่สกทะสะท้านหรือยี่หระใดๆ ทั้งสิ้น  สักพักมันก็คลี่ยิ้มชวนขนลุกออกมา  ลางสังหรณ์ผมมันบอกว่า...ท่าจะไม่สนุกซะแล้ว

“งั้น..ไอ้ไนท์  มึงไปเกิดกันด้วยกัน”

...กลัวแต่ว่าก่อนจะได้เกิด  มึงจะลากพวกกูลงนรกไปชดใช้กรรมก่อนน่ะสิ...

ไอ้นุใช้อีกมือดึงต้นแขนไอ้ไนท์ขึ้นมา  แต่ร่างสูงใหญ่นั้นไม่มีทีท่าว่าจะขยับ  ไอ้นุพยายามอีกอย่างน้อยสองครั้ง  ไอ้คนชื่อไนท์ก็ยังนั่งนิ่งราวกับมีรากแก้วงอกยึดก้นไว้กับพื้น  ผมก็อยากจะช่วยมันอยู่หรอกแต่เกรงว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว  เพราะเท่าที่ผ่านมายังไม่ถึงครึ่งวันนี้  ผมก็ดูจะสร้างเรื่องกับมันไว้ไม่ใช่น้อยแล้ว

แต่ดูท่าท่านยมคงจะเริ่มรำคาญครับ  ท่านก็เลยยื่นกระบอง (ปากาอะไรสักอย่าง) ชี้มาทางพวกผมแล้วออกคำสั่ง

“ทั้งสามคน  ออกมา ...ให้ไว  ย้ำ  ให้ไว!!”

ผมหันไปสบตาไอ้นุเชิงตำหนิ  แล้วเหลือบลงไปมองไอ้คนข้างล่างที่ดึงมือไอ้นุออกจากต้นแขนมันแล้วลุกขึ้นอย่างว่าง่ายผิดปกติ  มันยืนขึ้นเต็มความสูง  หันมามองหน้าผมแล้ว...ยิ้ม!! 

กูขอร้องได้ไหม  มึงอย่ายิ้มให้กู  ถ้ามึงจะยิ้มแบบนี้  มึงไม่ต้องเสือกยิ้ม  T^T  แม่ครับ  ถ้าผมเป็นอะไรอย่าลืมเซ่นไข้พะโล้ส่งมาให้ผมกินทุกวันนะครับ  อ้ะ  อาทิตย์ละครั้งก็แล้วกันเดี๋ยวมันจะเอียนเสียก่อน

หมับ!!

รู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆ ที่ข้อมือ  ผมล่ะไม่อยากจะนึก  แบะปากมองหน้ามันสลับกับมือที่ยื่นมาจับแขนผมอย่างถือวิสาสะ  มันยิ้มอีกแล้ว  ยิ้มทำเอี้ยไรไอ้บ้า   ยิ่งมึงยิ้ม  กูยิ่งอยากร้องไห้ให้ควายงง  มึงรู้ไหม

ผมถูกมันลากมาถึงด้านหน้า  มีไอ้นุเดินตามมาติดๆ เหลือบมองท่านยมเห็นเขาจ้องมือผมที่ถูกจับไว้แน่น  หน้าไอ้เวย์ก็ร้อนขึ้นมาทันตาเห็น  กระชากแขนออกจากมันเท่าไรก็ไม่เป็นผล  มึงนะมึงนอกรากจากแก้วที่ก้น  ยังมีรากฝอยอยู่ตามตัวด้วยรึไงวะ

“อ้าว  ตกลงคุยอะไรกันเสียงดัง  ว่าไงไนท์”  พี่ยม (เอาชื่อนี้ไปก่อนแล้วกันนะพี่) ถามไอ้ไนท์อย่างคุ้นเคยราวกับรู้จักกันมาก่อน   ไอ้คนข้างตัวมันหันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง  ก่อนตอบว่า

“ไอ้เตี้ยคนนี้  มันบอกว่าอยากย้ายไปอยู่อักษร”

O.O!!

กูพูดอย่างนั้นเหรอวะ?  กูพูดเรอะ  ไอ้สัตว์  กูพูดเรอะ!!

 “เฮ้ย  ผมป่าวนะพี่  ไอ้โย่งมึงมั่วแล้ว” ผมมองมันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ  มีอย่างที่ไหน  นึกอยากให้ใครตายก็โยนระเบิดมาให้ง่ายๆ  ไอ้บ้า  กูรับก็โง่เต็มกลืนแล้ว

“หึ  ตัวเองบอกอย่างนั้นแท้ๆ”  ยัง  มึงยังมีหน้ามายิ้มเยาะ ไอ้เอี้ยเอ๊ย  เดี๋ยวมึงจะยิ้มไม่ออก

“บ้า  ที่บ้านไม้เคะหูหมดรึไงวะ  ฟังให้มันถูกๆ หน่อยดิ  กูบอกว่า..เอ่อ..โคตรรักคณะต่างหาก  เหอะๆ  ใช่ไหมไอ้นุ”  ผมสะกิดไอ้นุ  จ้องตามันอย่างคาดคั้น ...ออออกับกูซะ...

“ห้ะ! ไม่รู้เว้ย  กูไม่เกี่ยว  กูนั่งขำของกูคนเดียว” พูดจบมันก็หันหน้าหนีเหมือนคนไม่อยากเสวนา  ยกมือเกาหัวแกรกไม่กลัวรังแคร่วง  มึงนะมึงทำกับกูได้

“เพื่อนเวร”  ผมสถบด่ามัน  เขาว่าคนเรามีเนื้อคู่ทั้งคู่บุญ  คู่สร้างคู่สม  และกูเวรคู่กรรม  ไม่ยักรู้นะครับว่าแม้แต่เพื่อนก็ยังมีแยกประเภท  แถมผมยังซวยได้เจอแต่พวกคู่เวรเสียด้วยสิ

“อ้าว  สรุปยังไง  ทำไมมึงไม่เตี้ยมกันให้ดีก่อนวะ  ดูนี่  กัญ เจมส์พวกมึงมานี่  แสดงให้น้องมันดูหน่อย” ผมล่ะงงกับไอ้รุ่นพี่คณะนี้จริงๆ  แทนที่จะว่าพวกผมคุยกันเสียงดัง  ดันตำหนิที่ไม่เตี้ยมกันใหดีก่อน  จะโกหกทั้งทียังทำไม่เนียน  พี่เลยทนดูไม่ได้ว่างั้นเหอะ  นี่ผมยังย้ายคณะทันไหมครับเนี่ย 

พี่ผู้ชายสองคนลุกมาจากม้านั่งด้านข้าง  ตัวสูงคนหนึ่ง  เกือบสูงคนหนึ่ง  คนตัวสูงหน้าตาธรรมดาครับ  เอาเป็นว่าหาได้ทั่วไปตามท้องถนน  พบมากแถวสวนลุม  ส่วนคนที่เตี้ยกว่าหน้าตาดีทีเดียวครับ ผิวสีน้ำผึ้ง  คิ้วเข้ม  ระหว่างชื่อเจมส์กับกัญ  แกเหมาะจะชื่อกัญมากกว่า  ส่วนอีกคนก็ไม่เหมาะจะชื่อเจมส์  หาชื่อใหม่ดีกว่าครับ  ชื่อวายก็น่าจะเข้าท่าดี  ‘วอดวาย’  เหมาะจะคบหาเป็นพี่เป็นน้องครับ  รวมกันก็เป็น...เวย์วอดวาย = =;; 

“เมื่อกี้พวกมึงคุยไรกันวะ”

“ลมฟ้าอากาศครับพี่” คนตัวเตี้ยตอบ 

“ผมบอกมันว่าวันนี้อากาศดี  แดดกำลังดี  ลมกำลังดี” ...นี่คือเรื่องที่พวกผมควรเอามาพูดว่างั้นเหอะ  แดดจัดสมควรตากผ้า  แดดดีสมควรออกไปเที่ยว  ไม่เคยดูโฆษณาหรือไงพี่  พยากรณ์อากาศเชื่อใจได้ที่ไหน

“แต่ผมไม่เชื่อ  ผมเลยบอกมันว่ามึงเชื่อมั้ยอีกเดี๋ยวฝนจะตก” ไอ้คนตัวเตี้ยกว่า ( คือที่จริงแกก็ไม่ได้เตี้ยหรอกครับ  แต่เตี้ยกว่าอีกคนนิดหน่อยเท่านั้น) พูดแล้วฉีกยิ้มเป็นนัย

“ทำไมวะ?”  ตัวโตขมวดคิ้วถาม  แต่ผมเห็นแกกลั้นยิ้ม  เหมือนรู้อะไรบางอย่าง

“ฟ้ากำลังจะผ่าอ่ะดิ”

“ตรงไหนวะ”

“ตรงนั้น” ว่าแล้วไอ้พี่คนเตี้ยก็ชี้มายังมือที่ถูกจับกุมไว้แน่นของผม  เท่านั้นแหละครับ  เสียงหัวเราะดังสนั่นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้นแทบจะในทันที   คราวนี้ไอ้เวย์ไม่รอช้ารวบรวมแรงทั้งหมดกระชากมือออกได้สำเร็จ  แต่ผมจะทำไปเพื่ออะไรในเมื่อมันไม่ทันแล้ว  โธ่เว้ย! ยังไม่ถึงชั่วโมง  กูเกิดแล้วเกิดอีกจนจะกลายเป็นแมวเก้าชีวิตอยู่แล้วเนี่ย

“ชัดไหม” ไอ้พี่ยม(บาล) มันหันมาถาม

“ชัดครับ” แจ่มเลยพี่  ไม่ต้องมีต่อยกสองสามสี่นะ  ผมยอมแล้วจริงๆ  พี่แม่งเก่งจริง  เทพจริง  เมพจริง  สาดเอ๊ย  อยากผ่าก็ผ่ามาเลย  ตายไม่กลัว  กลัวแต่อายเนี่ยล่ะเว้ย

พี่สามคนยิ้มให้กันอย่างพอใจ  ก่อนคนอื่นๆ จะเริ่มหัวเราะออกมาอีกรอบ  นี่ถ้าไม่เห็นว่าต้องอยู่อีกสี่ปีนะ  ผมจะอาละวาดแม่ง

“ดี  หลังจากให้ความรู้” ..เออ  ช่วยได้มาก  ผมรู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยพี่  อย่างน้อยๆ ก็รู้ว่าเวลาหมดมุก  ควรเอาเรื่องลมฟ้ามาอากาศมาเล่น  แล้วก็หาโอกาสทำฟ้าผ่าใส่หัวใครสักคน... “ก็ถึงตอนสั่งสอน” เท่านี้ยังไม่สะใจอีกใช่ไหมพี่  กระทืบเลยไหม  กระทืบกันเลยดีกว่า  เอาให้ผมไม่ต้องไปผุดไปเกิดที่ไหนอีกเลย  ให้มันตายอยู่ที่นี่แหละ  แต่ขอร้องเถอะ  ตายทั้งทีเอาให้คุ้มนะพี่  ประหยัดงบประมาณชาติ  ตายเดี่ยวๆ ไม่เอา  เอาตายหมู่แล้วกัน

หลังจากผมตัดสินใจเลือกวิธีการตายเสร็จเรียบร้อย  ท่านยมก็ออกคำสั่งที่ดูเหมือนยังพอมีความเมตตาอยู่บ้าง

“ครั้งแรก  พี่จะเอาเบาๆ ก็แล้วกัน  ค่อยๆ ทำ  ไว้เริ่มชิน  แล้วค่อยเล่นหนักๆ” ไอ้พี่ยมหน้าโหด  ช่วยพูดให้มันกระจ่างหน่อยได้ไหมวะครับว่านี่คือการลงโทษรุ่นน้อง  ไม่ใช่จับพวกผมทำเมีย   ฮ่วย!  มีหน้ามาห่วงครั้งแรกครั้งหลัง  สุดท้ายยังไงผมก็ต้องโดนพี่ทำอยู่ดีใช่ไหมล่ะ  งั้นก็รีบทำๆ ให้มันเสร็จไปเลยสิ  (ใครคิดอะไรออกทะเล  เรือโผล่มาพอดี  อาศัยกลับเข้าฝั่งด่วนครับ  ย้ำอีกครั้งนะครับ  ผมกำลังจะถูกลงโทษต่อหน้าเพื่อนๆ  ไม่ใช่บนเตียง = =;; ชัดเจนนะครับ)

 “กล้วยส้มสักสามรอบก็แล้วกัน” ..แม้กระทั่งเลือกเพลง  มึงยังจะไม่ไกลจากเตียงเท่าไรเลยนะพี่..  ผมไม่แน่ใจว่าความคิดในสมองมันไหลออกทางหน้าด้วยหรือเปล่า  ไอ้พี่ยมมันถึงได้ถามว่า  “ทำไม  ไม่พอใจ  งั้นเปลี่ยนเป็น...”

“เปล่าครับพี่  พอใจโคตรๆ  ผมชอบผลไม้” ไอ้เวย์ก็รีบสวนกลับพลางยิ้มประจบทันที  รู้เลยครับว่ามันเริ่มนึกเสียใจที่ตัวเองสั่งเพลงอนุบาลๆ อย่างนี้เลย  ขืนปล่อยให้มันเปลี่ยน   ทุเรียนไม่ยกโขยงมาทั้งสวนก็บ้าแล้ว

“ดี  แต่คนยังขาดไปคนนึง  ไปหาเพื่อนมาดิ๊”

...สั่งจริงสั่งจังนะพี่  ชาติที่แล้วขายอาหารตามสั่งรึไงวะ...

ผมทำท่าจะเดินออกไปหาเพื่อนมาร่วมชะตากรรม  แต่ไอ้คนชื่อไนท์มันดันไม่ยอมปล่อยมือ  แถมยังหันไปสั่งเพื่อนมันเสียงดังฟังชัด  ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น

“นุ  มึงหาเอาใหม่  กูขี้เกียจ”  ฟังคำพูดมันครับ  โคตรน่าคบ  ไอ้ฟายอย่างนี้จะมีใครใจดียอมช่วยไหมเนี่ย

“ไม่ๆ กูขยัน  เดี๋ยวกูจัดการเอง”  ที่จริงก็ไม่ได้ขยันอะไรหรอกครับ  แต่ใครจะโง่ยอมคู่กับมัน  นรกอยู่ใกล้  ผมเดินไปหาสวรรค์เอาดาบหน้าดีกว่า

“เฉยเหอะ”

ดุผมเสร็จ  ก็ส่งสายตาให้ไอ้นุที่ตอนนี้กลายเป็นหมาเชื่องๆ  ยิ้มแป้นเดินไปหากลุ่มเพื่อนที่พากันก้มหน้าก้มตาหลบเป็นแถว  ไอ้นี่ก็ไม่เสียเวลาคิดเลยครับ  มันคว้าแขนเพื่อนแถวหน้าสุดมาคนหนึ่ง  แล้วพูดง่ายๆ ว่า “นาย  ช่วยหน่อย”  ...นี่คือการขอร้องของมึงว่างั้นเหอะ...

เหยื่อ..เงยหน้ามองมันอย่างคาดโทษ  ผมเห็นแล้วอยากจะขำ  เหยื่อคนที่ว่านับวาหน้าตาใช้ได้เลยครับ  เตี้ยกว่าไอ้นุนิดหน่อย  น่าจะประมาณร้อยเจ็ดสิบห้า  ผิวขาว  รูปร่างสมส่วน  ที่สำคัญตามันสวยมากครับ  มันยอมยืนข้างๆ แต่ไม่พูดอะไร  บรรยากาศรอบตัวดูเย็นชาแปลกๆ  ไอ้นุดูท่ามึงจะเจอของจริงเข้าให้แล้วว่ะ

“เอ้า  กลองพร้อม  นักร้องพร้อม  นักเต้นพร้อม   สามสี่...ส้มส้มส้ม  แอปเปิ้ล มะละกอ กล้วยส้ม  ส้มส้มส้ม  แอปเปิ้ล มะละกอ กล้วยส้ม  ส้มส้มส้ม  แอปเปิ้ล มะละกอ กล้วยส้ม  กล้วยส้ม  กล้วยส้ม  กล้วยส้ม  กล้วยส้ม  กล้วยส้ม  กล้วยส้ม  กล้วยส้ม  กล้วยส้ม  กล้วยส้ม  กล้วยส้ม .........................  กล้วยส้ม”

ผมจำไม่ได้ว่าโดนกล้วยส้มไปกี่ครั้ง  แต่มั่นใจว่าจะไม้กินผลไม้ทั้งสองอย่างนี้ไปอีกหลายเดือน  แม่ง  เด้งไปเด้งมาไม่เท่าไรหรอกครับ  ถ้าไอ้คนที่เด้งอยู่ด้วยไม่ใช่ไอ้บ้านี่  เด้งไปยิ้มไป  ไอ้สัตว์เอ๊ย  ขำเอี้ยไรนักวะ

“ซิป” ..พอเพลงหยุดมันก็กระซิบข้างหูผม..  “รูดลง”

.

.

.

ซิปรูดลง  มึงก็รูดขึ้นสิไอ้ง่ะ..  เฮ้ยยย  ซิปกู

ผมแทบจะตะโกนออกไปให้ได้อาย  ดีที่ยั้งไว้ทัน  รีบหอบเอาใบหน้าร้อนๆ กับไอ้ซิปไม่รักดีของตัวเองหลบหลังมันแล้วรูดขึ้นด้วยความเร็วแสง  ไอ้ยินเสียงมันหัวเราะหึๆ อย่างน่าถีบ  ไอ้ฟาย  รู้แล้วก็ไม่รีบบอก  มัวแต่มองอยู่ได้   อ๊ากกกก   กูอยากตาย

ผมจ้องหน้ามันส่งกระแสความแค้นผ่านทางสายตา  แล้วก็เตรียมจะหลบไปนั่งที่ให้พ้นจากสายตาประชาชีที่ดูจะสงสัยเหลือเกินว่าผมหลบไปทำอะไรของหลังมัน  จะให้บอกยังไงครับว่าหลบไปรูดซิป  = =;;

“เดี๋ยว  จะรีบไปไหน”

พี่ครับ..ยังไม่สะใจอีกเหรอ?  ถ้ายังไม่พอ  ผมพูดตามตรงนะ จากใจเลย  กระทืบผมเถอะครับพี่  กี่ตีนไม่ว่า  ขอแค่ตายไปเลยเป็นพอ  ไม่ต้องยั้งไว้แค่เดี้ยงนะพี่

“มาแนะนำตัวให้เพื่อนรู้จักไว้หน่อย  หน่วยก้านดีทุกคน  เผื่อว่ากีฬาเฟรชชี่ปีนี้จะได้หาหลีดกันง่ายๆ  จริงไหมหมวย”  ไอ้พี่ยมยิ้มให้กับสวยผมยาวรูปร่างน่าชมคนหนึ่ง  เธอยกมือจับแว่นดำแล้วพยักหน้ารับ  สวยครับ  สวยมาก  มาดนางพญาอย่างไงอย่างนั้น  และก็คงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ...ถ้าเธอไม่ได้ใส่ชุดนิสิตชาย (รัดรูป)  นี่ถ้าไม่มีเครื่องแบบกำกับไว้  ผู้ชายร้อยทั้งร้อยก็หนีไม่รอดชัวร์

“เอ้า  บอกชื่อจริง  ชื่อเล่น  ของที่ชอบที่เกลียด  อ้อ  ส่วนพ่อแม่ญาติไม่ต้องนะ  ยาวไป  อ้อ  เบอร์โทรก็ไม่ต้องนะ  เดี๋ยวอยากได้แล้วจะไปขอเอง” ดูมันครับ  กวนได้กวนดี  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าที่บ้านงานหลักคืออะไร  ถนอมอาหารแน่นอน

ด้วยความที่เห็นว่าตัวเองอยู่คนแรก  ผมก็เลยก็ถอนหายใจ  เริ่มแนะนำตัวแบบปกติที่สุด

“สวัสดีครับ  ผมชื่อ...”

“เดี๋ยว! น้องคนดี  เอาไว้ทีหลังสุด  ยังไม่อยากฟัง  เอ้า  น้องคนต่อมาก่อน”

ผมอ้าปากค้างมองพี่แกอย่างไม่อยากเชื่อสายตา  อะไรของแกวะ  นึกไม่อยากฟังก็ข้ามกูไปซะอย่างนั้น  อะไรของมึงเนี่ย  ไอ้บ้าอำนาจเอ๊ย

“ผมชื่อนายพัธสุ  ชื่อเล่น นุ  สิ่งที่ชอบ ผู้หญิงสวย  สิ่งที่ไม่ชอบ ผู้หญิงขี้หึง  เบอร์โทร 087 – xxxx  บอกเลยแล้วกัน  รู้ว่าเดี๋ยวต้องมีคนขอ  จะได้ไม่ต้องลำบากกันทั้งสองฝ่าย”  มันพูดจบเสียงโห่ก็ดังขึ้นทันที  ไหนมึงบอกไม่อยากเกิดวะ  นี่ขนาดมึงไม่อยากนะ  กระทั่งเบอร์โทรมึงยังบอกแล้วเลย  ยังไม่ทันได้ด่ามันก็ได้ยินเสียงดังโอ๊ยขึ้นมาเสียงก่อน  ไอ้นุกระโดดจับเท้าแหยงๆ  สีหน้าแหยเก  ส่วนไอ้คนข้างๆ ขมวดคิ้วไม่พอใจ  ผมได้ยินมันพูดเบาๆ ทำนองว่า..  ไอ้สัตว์  เบอร์กู

สรุปไอ้นุมันเอาเบอร์ไอ้ไนท์ประกาศออกไมค์  ขายเพื่อนเพื่อความดังไปเรียบร้อยแล้วครับ 

“นุใช่มั้ย  087 – xxxx  ได้  เดี๋ยวพี่จัดการประกาศให้เอง”

“พี่ต้า  นั่นเบอร์ผม” ไนท์หันไปแย้ง  ที่แท้พี่ยมแกชื่อต้าครับ

“อ้าว  เพื่อนมึงบอกเองว่าเบอร์มัน  กูไม่เกี่ยว”  พอพี่แกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  แถมไอ้นุก็ดันรู้แกวหนีไปซะก่อน  ไอ้ไนท์มันก็เลยไม่รู้จะทำยังไงนอกจากแนะนำตัวเองไปลวกๆ

“ชื่อนิรวัชช์   ไนท์  สิ่งที่เกลียด..” มันไม่พูดแต่ปรายตามองทางไอ้นุ  แล้วมาหยุดที่พี่ต้า  ก่อนพูดต่อว่า “ไม่มี”...นี่ขนาดไม่มีนะเนี่ยมึง  ถ้าฆ่าคนทางสายตาได้  สองคนนั้นคงพรุนไปแล้ว  “สิ่งที่ชอบ...”  คราวนี้มันทำท่านึก  สักพักก็ยิ้มออกมา  แล้วหันมามองหน้าผม  “เด็กอักษร”

วิ้วววว

คนเป่าปากกันตรึมครับ  ขึ้นชื่อว่าสาวอักษรก็ย่อมเนื้อหอมเป็นธรรมดาอยู่แล้ว  (ไม่จริงค่ะ  ไม่จริง  มันเป็นแค่ทฤษฎี)  นี่เล่นประกาศออกมาแบบนี้  คนก็ต้องโห่กันเป็นธรรมดาครับ

“ฮ่าๆ  ไม่เบาๆ  ไว้พามาแนะนำมั่งนะเว้ย” ไอ้พี่ต้านี่ก็แปลก  กับคนอื่นทำโหด  ทีกับไอ้โย่งนี่  ทำสนิทสนม  ฮ่วย  ไอ้พี่ลำเอียง  ไอ้ไนท์ยิ้ม ไม่ตอบ  แล้วมันก็มองหน้าผมอีก  ทำไมวะ  อะไรกับหน้ากูนักหนาเนี่ย  บอกไว้ก่อนนะเว้ยว่าหน้ากูไม่มีซิป  รูดลงไม่ได้

“เอ้า  ตาน้องแล้ว”  พี่ต้าตบบ่าเหยื่อของไอ้นุ  ที่จนบัดนี้ก็ยังไม่ยอมเงยหน้ามองใคร  สงสัยพื้นที่นี่สวยจัดครับถึงขั้นถอนสายตาไม่ได้

“ชื่ออนุทิน   ชื่อเล่นแชมป์ครับ  ไม่ชอบคนเยอะๆ  ชอบคนน้อยๆ”  พูดจบมันก็ทรุดนั่งลงในแถวเดิมทันที  แถมยังก้มหน้าก้มตา  ตั้งท่าจะไม่ยอมตอบคำถามใดๆ อีก  ขนาดพี่ต้าแกยังอึ้ง  แต่ก็ดูเหมือนจะไม่อยากยุ่งด้วยมากนัก  ให้ผมเดานะ  หมอนี่ไม่ใช่คนยอมคน  ขี้หงอเหมือนท่าทางที่แสดงออกมาแน่นอน  แต่ต้องดื้อเงียบ  แล้วก็หัวรั้นไม่เบาทีเดียว  ตัดสินใจแล้วล่ะครับ  คนนี้แหละ  เพื่อนเบอร์สองของผม  เอาไว้ค่อยไปตีสนิททีหลังก็แล้วกัน

“อ้าว  น้องคนดี  ถึงตาน้องแล้วครับ  ทำไมไม่พูดสักที”

...ก็ตอนผมจะพูด  ทำไมไม่เสือกฟังล่ะครับพี่...

แล้วอยู่ๆ  ผมก็เกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา  ตั้งใจว่าจะไม่กวนแล้วนะ  แต่มันก็อดไม่ได้  นึกย้อนเรื่องราวที่ตัวเองเจอมาตลอดครึ่งวันนี้ก็สรุปได้คำเดียวครับว่า..ซวย

“ครับ  พูดก็พูด  ผม..เพิ่งเปลี่ยนชื่อเมื่อกี้จากคนดี  ศรีเมือง  เป็นนายวรเวร ซวยซ้ำซ้อน  ชื่อเล่นเวย์  เบอร์โทร..ใครถามไม่ให้  พอใจจะบอกเอง   ของที่ชอบ..  ไข่พะโล้    สิ่งที่เกลียด  คนบ้าอำนาจ  (ผมเหลือบมองพี่ต้าแล้วยักคิ้วให้  กวนได้ใจเลยกู)  ผลไม้โดยเฉพาะกล้วยกับส้ม (คราวนี้มองไอ้คนข้างตัว) และ...การเต้น (สุดท้ายมองพี่หมวยที่ยืนขึ้นทันทีที่ผมเริ่มแนะนำตัว)”  พูดจบก็โค้งรับเสียงตบมือและเสียงหัวเราะราวกับรู้ล่วงหน้า  เอ้า  ทำซะเป็นธรรมชาติเลยกู

“หึ  รู้ไหมคนเราเกลียดอะไรมักจะได้อย่างนั้น  วรเวร”


...............................................


whitedemon

  • บุคคลทั่วไป
Special Chapter: ลูกไล่?...ต่อไปมึงไล่กูก็ไม่ไปแล้วนะ [1]

 

            ...ถ้าวันไหนคุณรู้ตัวว่าตกหลุมรักคนที่คุณไม่ควรจะรัก  จำไว้...อย่าเสียใจ  อย่าโทษตัวเอง  แต่จงโทษไอ้คนที่ขุดหลุมทั้งกว้างทั้งลึกนั้นไว้โดยไม่ปิดป้ายเตือน....

            ...ก็ในเมื่อมันอุตส่าห์ขุดหลุมล่อกันขนาดนี้    ก็ในเมื่อเผอิญผมดันสายตาไม่ดี  แถมยังไร้ทักษะด้านการปีนป่าย  เพราะฉะนั้นจะว่าไปมันก็เป็นเหตุสุดวิสัยไม่ใช่เหรอครับ...

………………………………………………….

 

            ผมยังจำคำพูดของพี่ต้าได้ขึ้นใจ  แกบอกว่า “เกลียดอะไรก็จะได้อย่างนั้น”   เป็นคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆ นะครับ  บ่อยเกินไปจนไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นตามนั้นจริงๆ   แถมยังได้อย่างที่เกลียดแบบครบถ้วนกระบวนความ  ไม่ตกหล่นแม้สักข้อเดียวอีกด้วย 

            ข้อแรก  ผมบอกว่าเกลียด “กล้วยกับส้ม” ที่พวกพี่แกร้องให้ผมเต้น  ใจจริงอยากจะใช้คำว่า “เด้ง” นะครับ  จะได้เห็นภาพกันอย่างชัดเจน  แต่ก็กลัวว่ามันจะไม่สุภาพ  เดี๋ยวจะไม่เหมาะกับอิมเมจใสซื่อผมด้วย  (อ้าววว  โห่กันทำไมครับ  ผมจำไม่ได้ว่ากำลังจะไปขอลูกสาวบ้านไหน)  ปรากฏว่าไม่รู้ไอ้บ้าที่ไหนมันเอาทั้งกล้วยทั้งส้มมาประเคนไว้หน้าบ้านผมเกือบสิบวัน  บางวันมันมาอย่างเดียว  บางวันมันมาเป็นคู่  แถมจัดใส่ถาดมาอย่างดี  ทำอย่างกับไว้เจ้า  นี่ถ้ามันบอกกันสักหน่อยว่าจะเอามาไหว้ขอพร  ผมจะได้จัดธูปจัดเทียนไปปักให้ฟรีๆ  ตอบแทนความตั้งใจจริงของมัน   แต่ไม่ใช่ว่าไอ้ของสองอย่างนี้มันหายไปเองนะครับ  ผมนี่..ผม  ต้องขุดเซลล์สมองคิดแล้วคิดอีกกว่าจะหาทางจัดการได้

            ไม่เชื่อเหรอว่าผมจัดการด้วยตัวเองจริงๆ   โธ่! ปัญหามันเท่าหนวดแมลงหวี่นะครับ  ไม่ใช่ปัญหาความมั่นคงระดับชาติที่ผมจะแก้คนเดียวไม่ได้  แต่ต้องใช้หลายคน  หลายฝ่ายเข้ามาแก้  มันจะได้ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งเพราะต่างฝ่ายก็ต่างจะแก้แต่ปัญหาของตัวเอง  น่านนน  เป็นไงครับ  คำพูดผม  พอจะยกสติปัญญาให้มันดูมีมากขึ้นมาอีกนิดหนึ่งไหม  ช่วยได้มาก?  ดีครับ  งั้นคราวนี้มองตาผมแล้วลองนึกดูนะครับว่าหน้าตาท่าทางฉลาดๆ แบบนี้จะแก้ปัญหายังไง.... 

            “ฉี่รดเสาและรั้วบ้าน  ประกาศว่าอาณาเขตนี้ของข้า  ใครอย่าแตะ”  ...คิดได้นะครับ  ผมบอกให้มองหน้าผม  ไม่ใช่ไอ้ตูบข้างหลังผม  ถึงผมจะดูใจกล้าหน้าด้านไร้ยางอายขนาดไหน  มันก็ต้องมีขอบเขตกันบ้างนะครับ -*-

            “เอาเลือดไปสาดไว้หน้าบ้าน  ทำพิธีสาปแช่งคนที่เอาของมาวางไว้”  ...ข้อนี้ขอผ่านครับ  อันตรายๆ  หลังคาบ้านผมยังทำจากกระเบื้องตราห้าหกเจ็ดห่วง  กันแดด  กันฝัน  แต่ไม่กันระเบิด  เพราะงั้น...ผ่านครับ

            “ติดลูกศรกับป้ายเขียนว่า  ศาลเจ้าอีก  1oo เมตร”   ...เอิ่ม  ข้อนี้น่าสนใจครับ  ถ้าไม่ใช่ว่าแถวนี้ไม่มีศาลเจ้าไม่ว่าจะอีกร้อยหรือพันเมตร  ถ้าเกิดบังเอิญไอ้เจ้าของกล้วยมันฉลาดน้อยโง่มาก  เดินไปตามลูกศรจริงๆ แล้วหาไม่เจอ  ...บอกไว้ก่อนนะครับว่าผนังบ้านผมก็เคลือบด้วยสีกัปตันธรรมดา  ไม่มีเกราะกันกระสุน

            “แอบดักซุ่มรอดูตัวคนร้าย  เรามันลูกผู้ชายซะอย่าง”  ...ตลก ตำรวจก็ไม่ใช่  นักสืบยิ่งไม่ใกล้เคียง  ทำไมผมต้องมานั่งเสียเวลาทำเรื่องแมนๆ อย่างนี้ด้วยล่ะครับ  โนว์  มันไม่ใช่ทาง  คนฉลาดกล้าหาญอย่างผมหลังจากคิดแล้วคิดอีก  ก็สรุปว่า..ปล่อยมันไปตามบุญตามกรรมครับ  เดี๋ยวพอมันเหนื่อย  มันเบื่อ  หรือไม่ก็คิดได้ว่าไอ้ที่มันทำอยู่น่ะเป็นการเวลา แถมยังเสียเงินฟรี  วันไหนที่มันเริ่มฉลาด  มันก็เลิกทำไปเองแหละครับ

            แล้วมันก็เป็นไปตามการคำนวณตามหลักตรรกะ (?)ของผมเป๊ะ  เจ้าของกล้วยมันเริ่มฉลาดหลังจากเสียเวลามาเก้าวัน  พอวันที่สิบผลไม้หายเหลือแต่ถาดเปล่าวางทิ้งไปหน้าบ้านผม  บนนั้นมีกระดาษขาวเขียนว่า  “หยุดส่งเสบียงชั่วคราว  พี่รหัสเงินหมด”

            จบข่าว....

            ไม่ใช่ไอ้บ้าที่ไหน  พี่รหัสกูเอง....

           

            อย่าเข้าใจผิดว่าคณะผม  หรือใครก็ตามในคณะผมรับน้องรหัสกันแบบนี้  อย่าเข้าใจผิด  อย่า..  ไม่ใช่คณะผม  แต่เป็น “พี่ต้า” คนเดียว   เพราะฉะนั้นต่อให้ผมอยากอยู่ในระบบเคารพผู้อาวุโสขนาดไหน   เจอพี่อย่างนี้  มันก็อดจะปีนเกลียวไม่ได้หรอกครับ   เกลียวแรกที่ผมปีนก็ยังเรียกว่าขั้นทารกได้อยู่มั้งครับ  ทันที่ที่ประกาศเรื่องพี่รหัส  ของที่ผมจัดไปให้แกคือ  เปลือกกล้วยกับเปลือกส้มหนึ่งกล้องใหญ่พร้อมติดกระดาษเขียนว่า “ส่งชิงโชคตั๋วทัวร์ญี่ปุ่นฟรี 3 ที่นั่ง” ตั้งแต่วันนั้นรู้สึกว่าความนิยมของผมในหมู่รุ่นพี่มันพุ่งปรี๊ดเสียจนน่ากลัว  ...กลัวว่าจะโดนดักเก็บแบบไม่รู้ตัว

            ข้อสอง  ผมบอกว่าเกลียด “การเต้น”  วันรุ่งขึ้นก่อนที่ผมจะกลับไปพบกับถาดกล้วยถาดส้ม  พี่หมวยแกก็ยิ้มหวาน  ยื่นใบสมัครให้ผม  พร้อมกับพูดที่โคตรจะเปิดทางให้เลือกว่า  “พี่กรอกให้หมดแล้ว  เซ็นชื่อซะ น้องเวย์”  ไม่รู้ไอ้รุ่นพี่คณะนี้เขาฉีดวิตามินบ้าอำนาจแทนโบท็อกหรือเปล่านะครับ   คำพูดกับการกระทำมันถึงได้เหมือนเคาะมาจากยีนเดียวกันอย่างนี้  ไอ้ลีดคณะนี่ก็เกือบๆ จะได้เป็นอยู่ครับ  แต่โชคดีที่ผมคัดตัวบาสผ่านได้เป็นตัวจริงซะก่อน 

            ข้อสาม  ผมบอกว่าเกลียด “พวกบ้าอำนาจ”  รู้อะไรไหมครับ...นอกจากผมจะได้แต่เจอพวกบ้าอำนาจแล้ว  ยังหนีอำนาจมันไม่พ้นอีกด้วย   มองหน้าผมแล้วทำใจเชื่อไม่ได้ใช่มั้ยครับ  งั้นไปดูตัวอย่างกันครับ  กล้องพร้อม  ไฟพร้อม  กันสาดพร้อม  ฝนพร้อม  เพลงพร้อม  อะไรนะ? เพลงไม่พร้อม?  ...ไม่เป็นไร  เอาฝนมาบิ๊วสร้างบรรยายกาศสลดก่อน  เดี๋ยวเพลง  ผมจัดให้...

 

            ...เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันใย   ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น  ปรักปรำฉันเป็นจำเลยของคุณ  นี่หรือพ่อนักบุญ แท้จริงคุณคือคนป่า...

          ลักษณะเบื้องต้นของคนป่า 

1. ไม่มีมารยาท 

            “เดี๋ยว!!” 

            มาแล้วครับ  ไอ้คนป่า...

            ไอ้คนป่าที่ว่านี่ไม่ได้เปลือยท่อนบน  แล้วใส่เฉพาะกางเกงในที่ทำจากใบไม้  มันใส่ชุดนิสิตถูกต้องตามระเบียบ  แถมยังดูดีจนผิดปกติไปสักหน่อย  มันไม่ได้ไว้หนวดเครารุงรัง  หน้าไหม้แดด  ปากดำใหญ่  จมูกโต  แต่กลับเป็นไอ้คนที่ไปสรรหาหน้ากากหนังเทพมาใส่จากที่ไหนก็ไม่รู้  คำว่า “หล่อ” ก็อาจจะดูน้อยไปที่จะบรรยายอาการยีนหน้าตาดีผิดมนุษย์ของมัน   สรุปว่ามันดูเหมือนคน (เหนือ) ปกติทุกประการ   มันไม่ได้ใช้ภาษามือ  หรือภาษาเผ่า  แต่เข้าใจภาษามนุษย์และมีการศึกษาดี   แล้วทำไม..ผมถึงเรียกมันว่าคนป่าน่ะเหรอครับ?  ก็อย่างที่บอก  ...ไร้มารยาท

            คนป่าชื่อออกจะอินเตอร์ว่า “ไนท์”  มันกระชากคอเสื้อผมจากด้านหลังอย่างแรง  นี่ถ้ามือมันยาวกว่านี้อีกสักหน่อย  มันคงกระชากคอผมแทนไปแล้ว  ผมถอนหายใจเฮือกอย่างรู้ชะตาตัวเองเป็นอย่างดี 

            ...กูอีกแล้ว   ถามจริงๆ  ไม่เคยมีคนบอกมึงเหรอว่าวิธีเรียกคนที่ถูกต้องมันเป็นยังไง...

           

 2. ไร้การขัดเกลาทางภาษา 

          แน่นอนครับว่าผมกำลังเคืองตงิดๆ  แต่ด้วยความที่ผมมีมารยาท (มากกว่ามัน)  ผมพยายามสะกดอารมณ์ตัวเองแล้วหันไปมองหน้ามันช้าๆ  เห็นไอ้ไนท์ยืนกอดอกทำหน้ากวนตีนอยู่  เท้ามันกระดิกเป็นจังหวะเหมือนผมเป็นฝ่ายทำให้มันอารมณ์เสีย  ..เอ่อ.. นี่มึงเข้าใจอะไรผิดอยู่หรือเปล่าวะ

            “อะไร”

“รอกูกลับบ้านด้วย”  อ้อ..กระชากคอเสื้อเหมือนจงใจฆ่ากูเพื่อให้กูรอเมิงกลับบ้าน  ตังฮวย!!!  บ้านก็คนละบ้าน  ทางไปก็โคตรจะคนละทาง  แล้วกูต้องรอมึงเพื่อ?  เอ..ไม่ใช่ว่ามันจะติดใจกับข้าวฝีมือแม่ผม  แล้วตามไปขอส่วนบุญเหมือนเมื่อวานหรอกนะ?  ไม่ม้างงง

            “บ้านใคร” เอาวะ  ถามเพื่อความชัวร์

            “มีดีแต่หน้าเหรอมึง  สมองผุหรือไง”

            .

            .

            ไอ้ฟาย  ที่ผุน่ะไม่ใช่สมองกู  แต่เป็นปากมึงต่างหาก  คนเขาถามดีๆ มึงก็ตอบดีๆ สิวะ  มันด่าผมยังไม่พอครับ  ยังเสือกเอื้อมมือสองข้างมันจับหัวผมพลิกไปพลิกมา  เหมือนต้องการจะหาไอ้รอยผุที่ว่า  ไอ้บ้า! สมองกูแช่ตู้เย็นทุกครั้งที่กลับบ้าน  ยัดสารกันบูดทุกเวลาที่มีโอกาส  มันไม่ผุง่ายๆ หรอกโว้ย  เออ..ถ้าสมองบวมเพราะเซลล์ฉลาดเยอะจัดก็ว่าไปอย่าง

            ผมงึมงำในใจ  แต่แน่นอนว่าไม่ได้ด่ามันออกไป  เพราะอะไรน่ะเหรอครับ?  ก็เพราะผมเป็นคนมีการศึกษาไง  ได้รับการขัดเกลาทางภาษาเป็นอย่างดีแล้วครับ  ผมจึง..ไม่ใช่คำพูดอย่างมัน

 

            3. รู้จักแต่ “สั่ง”  ไม่รู้จักการขอร้องอย่างสุภาพชน

            ผมเม้มปากแน่น  ดึงมือมันออกจากหัวตัวเองช้าๆ  ไม่ใช่ว่าอยากลีลาอะไรหรอกครับแต่กำลังอดกลั้นไม่ให้ดึงมือมันมากัดให้หนำใจ 

“ขี้เกียจรอ  กลับคอนโดไปดิ”  พยายามทำตาดุที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้  ขมวดคิ้วเป็นเชิงรำคาญ  ดูสิว่ามันจะมีเซนส์รู้ไหมว่าคนอื่นเขาไม่เต็มใจ  ไสหัวไปสักที

            “รอ – กู – กลับ – ด้วย”

            “...”  สรุป..นี่มึงไม่รู้หรือมึงรู้แต่ไม่ทำ  ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่  จะทำอะไรได้ล่ะครับนอกจากเดินกลับไปนั่งรอมันที่ข้างสนาม  เฮ้อ! ถือซะว่าฟาดเคราะห์เถอะมึง  ไม่รู้จะต้องอยู่ฟาดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่เลยไหม

 

...ไม่ขอคุกเข่าเฝ้าง้องอน   แม้ใจขาดรอนขอตายดีกว่า  ไม่ขอร้องใครให้กรุณา  ไม่ขอเศร้าโศกา  หรือบีบน้ำตาอ้อนวอนใคร ๆ...

...ห้าวันต่อสัปดาห์...

มันโผล่หัวมาที่บ้านผมอาทิตย์ละห้าวันจนผมสงสัยว่าที่บ้านมันอาหารคงรสชาติแย่ขนาดหมาส่ายหน้า  แมวถอนหายใจ  มันถึงได้ต้องแวะมากินข้าวเย็นบ้านผมทุกวัน  บางทีมันก็จะลากผมไปซุปเปอร์ซื้อของสดมาเก็บไว้ในตู้เย็นเหมือนจะบอกว่า “เดี๋ยวกูก็มากินอีกแน่”   วันหนึ่งผมเลยถามมันไปว่า “ข้าวบ้านกูอร่อยขนาดนั้น  ทำไมมึงไม่จ้างแม่กูไปทำให้กินเลยวะ”  ผมก็นึกว่ามันจะด่ากลับมาเหมือนทุกที  หาว่าผมพูดจาไร้สาระ  สมองผุ  กะโหลกเปื่อย  หรืออะไรก็ตามแต่ที่สมองอันบรรเจิดของมันจะนึกออกได้  แต่ปรากฏว่ามันหันมามองหน้าผมนิ่งๆ ด้วยสายตาโคตรประหลาด  แล้วถามผมว่า “มึงคิดว่ากูมาบ้านมึงทุกวันนี้เพื่อมากินข้าวเหรอ?”  ตอนนั้นผมก็เกือบจะหลงเชื่อแล้วว่ามันอยากจะสนิทกับผมจริงๆ  เกือบจะหลงโทษว่าตัวเองใจแคบอยู่แล้ว  เกือบไปแล้ว  ถ้าไม่ใช่....

 


whitedemon

  • บุคคลทั่วไป
 ลักษณะเฉพาะของคนเถื่อน

            1.ดำรงชีวิตอยู่ด้วยสัญชาตญาณ  หาอาหารเมื่อหิว  ดื่มน้ำเมื่อกระหาย 

          ถ้าไม่ใช่ว่ามาบ้านผมทีไร  มันก็ใช้ผมเป็นเบ๊ส่วนตัวมันทุกที  แถมยังทำได้แบบเป็นธรรมชาติสุดๆ  เหมือนมันเกิดมาเพื่อเป็นคุณชาย  แล้วผมสังกัดสปีชี่ส์ที่เป็นได้แค่คนรับใช้ของมันเท่านั้น

            “หิวน้ำ”

            “หิวข้าว”

            ด้วยเป็นเจ้าของบ้านที่ดี  ผมก็หาน้ำหาข้างให้มันกินครับ  วันนี้บังเอิญแม่ไม่กลับบ้าน  ความซวยทั้งหลายทั้งแหล่มันถึงได้ตกอยู่กับผมคนเดียว   ไอ้คุณชายนั่งเชียร์บอลอยู่หน้าทีวี  ส่วนผมยืนทอดไข่อยู่ในครัว  ดูๆ ไปมันก็เหมือนคู่สามีภรรยาหลังหมดช่วงโปรโมชั่นน่ะครับ  ภรรยาที่เคยเปรียบดังแม่คนที่สอง สุดท้ายก็กลายเป็นแจ๋วก้นครัว

 

            2.บางครั้ง..คนเถื่อนมักไม่พอใจกับของที่มีอยู่  แต่ไม่มีปัญญาพอจะแก้ไข  ได้แต่โทษชะตาฟ้าดิน

            ผมยกข้าวราดไข่เจียวหอมกรุ่นกับน้ำเปล่าไปประเคนมันถึงหน้าทีวี  กะว่ามันต้องขอบใจผมแน่ๆ  ไอ้ไนท์ยื่นมือมารับจานข้าวขณะที่ตายังไม่ละไปจากจอทีวี  ผมนั่งลงข้างๆ มัน ส่ายหัวอย่างปลงๆ  ลืมไปครับว่ามารยาทในสายเลือดมันเจือจางเกินมนุษย์

            “ทำอย่างอื่นนอกจากไข่ไม่เป็นหรือไงวะ”  เป็นคำพูดแรกหลังจากที่มันตักข้าวเข้าปาก  ผมหันไปมองหน้ามันอย่างอึ้งๆ  นี่นอกจากมึงเป็นโรคมารยาทในเลือดเจือจางแล้ว  มึงจะเป็นโรคเม็ดเลือดไร้มารยาทเข้มข้นด้วยนะเนี่ย

            “โตป่านนี้  ทำกับข้าวได้แค่นี้เองเหรอวะ” 

“.... -*- “  มันดุเหมือนผมทำผิดใหญ่หลวง  ถามจริงๆ นะครับ  ไอ้การที่ผู้ชายอย่างผมหุงข้าว  ทอดไข่เป็นนี่มันเป็นความผิดงั้นเหรอครับ  ความผิดเรอะ!!  กูไม่เอาเปลือกไข่บดให้มึงกินก็ดีถมไปแล้ว

            “ไม่พอใจ?”  ...เออ  นี่มึงถามเพราะไม่รู้เรอะ  ไม่รู้จริงๆ เรอะ  ไอ้สมองผุตัวจริง...  นั่นคือสิ่งที่ผมคิด  แต่สิ่งที่ผมพูดก็คือ...

            “...กู (กล้า) พูดเหรอ”  อ้ะ! อย่าเพิ่งคิดว่าผมอ่อนนะครับ  ไม่ใช่อ่อนแอ  แค่อ่อนน้อม  ปาด..ว่าไปนั้น  ไม่พูดเพราะรู้ดีว่านอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว  มันอาจจะให้โทษมหันต์อีกด้วย

 

            3.โลกแคบ  คิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้า  บ้าอำนาจ  หลงตัวเอง

            ผมเบื่อที่จะต้องมานั่งเถียงกับมัน  ก็เลยเดินไปทอดไข่อีกลูกกินเอง  อ้อ  ไม่ใช่ลูกเดียวครับ  สามลูก ..เรื่องอื่นสู้มันไม่ได้  ขอเรื่องกินไว้เรื่องหนึ่งเหอะ...  ผมถือจานข้าวไข่เจียวราดซอสมะเขือเทศสีแดงสดมานั่งข้างๆ มัน  ใจหนึ่งก็อยากให้มันสังเกตว่าไข่ผมมากกกว่ามัน (กรุณาอย่าคิดลึก)  อีกใจก็กลัวว่ามันจะหาเรื่องด่าผมอีก  เอาเป็นว่ากินๆ ไปแล้วกันครับ   แต่แม่ง...สามลูกมันเยอะเกินไป  กินไม่หมด  โคตรอิ่ม  อยากจะอวดมันแต่กรรมดันตกอยู่กับตัวเอง  โง่ได้เก่งจริงๆ กู  พอผมวางจานข้าวลงแล้วดื่มน้ำเท่านั้นแหละ  มันมาเลยครับ

            “กินเข้าไปอีก  ผอมชิบ” มันหันมามองด้วยสายตาเหมือนอาจารย์ฝ่ายปกครองกำลังสอบสวนนักเรียน

            “ตัวของกู”

            “ถ้ามึงผอมกว่านี้  กูจะไม่กอดมึงแล้ว”

            !!!! 

            นี่กูฟังผิดหรือมึงพูดไม่ถูกครับเนี่ย  กูไปอยากให้มึงมากอดตอนไหน  ตอนหนายยยยยยยยย  คนอย่างมึงนี่...คนหลงตัวเองอย่างมึงนี่....  สักวันกูจะโยนออกไปเป็นขยะอวกาศเลย  มึงคอยดู

 

ลักษณะเด่นของคนถ่อย

1.ความผิดคนอื่นเท่าภูเขา  ความผิดเราเท่าเส้นขน

หลังจากได้ฟังคำขู่อันน่าสยองของมัน  ผมก็เผลอปากไวรีบไล่มันกลับบ้าน  ไม่รู้จะไปกลัวมันทำไมทั้งที่ก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน  แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้แม่บอกจะไม่กลับบ้าน  แล้วมันยังมานอนเสนอหน้าอยู่บนโซฟา  แถมพูดจาแปลกๆ  ใจผมก็เริ่มสั่น  สมองสั่งให้ไล่มันออกไปทันที  ไม่นึกว่าไอ้คนถูกไล่นอกจากจะไม่สะดุ้งสะเทือนแล้ว  มันยังลากผมเข้าห้องเหมือนฉากในละครซะอย่างนั้น   แสดงว่าที่กูกลัวมึงนี่กูทำถูกแล้วใช่ไหม  ไอ้เวรไนท์

เฮ้ย!!  มึงช่วยจับกูด้วยท่าอื่นได้ไหม  ท่านี้มันล่อแหลมเกินไปนะเว้ย  ผมกับมันอยู่ท่าไหนน่ะเหรอครับ  ถ้าใครที่ได้ดูหนังเกาหลีหรืออ่านการ์ตูนผู้หญิงบ่อยๆ คงนึกภาพออกได้ไม่ยาก  ก่อนอื่นมันดึงผมเข้าประตูมา  แล้วเอาตีนยันประตูปิดได้อย่างโคตรไร้มารยาท  จากนั้นมันก็จับข้อมือผมสองข้างตรึงไว้เหนือหัว  แล้วโน้มตัวเข้ามา!!!  บอกแล้วใช่ไหมว่าไอ้ฉากอย่างนี้มันมีแต่ในการ์ตูนชัดๆ  อย่าบอกนะว่าหน้าเถื่อน  พฤติกรรมถ่อยอย่างมันจะแอบอ่านอะไรหวานแหววแบบนั้น  เฮ้ยยยย  แล้วหรือว่ามันจะเป็นวะ?

            “มึงทำผิดรู้ไหม”  ไม่เลย..ด้วยความสัตย์จริงนะมึง  เรื่องเดียวที่กูทำผิดคือ  รับไอ้บัตรบีทีเอสเฮงซวยจากมึงนั่นแหละ

            “ถ้ากูตอบว่าไม่”

            “มึงโง่”  เออ  กูยอมโง่ก็ได้  แต่มึงรีบเอาหน้าออกไปห่างๆ จากจมูกกูได้ไหม  กูกลั้นหายใจจนสมองใกล้ตายอยู่แล้วเนี่ย  ถ้ากูตายเพราะไล่เพื่อนกลับบ้าน  รู้ถึงไหน  อายถึงนั่นเลยนะมึง

            “งั้น ใช่  กูผิดเอง”  ผมก้มหน้าตอบมัน  ไม่ใช่รู้สึกผิดอะไรหรอกครับ  แต่เป็นการหาอากาศหายใจ  แล้วก็จะเรียกว่าก้มหน้ายอมรับชะตากรรมก็คงไม่ผิดนัก  ผมนี่เกิดมาเพื่อแพ้คนอย่างมันแท้ๆ

 

            2.ไม่เคารพกฎหมาย  ละเลยกฎบ้านเมือง  เพราะข้านี่แหละ “กฎ”

          “เออ  รู้ก็ดี ” ในที่สุดมันก็ปล่อยผม  โอ้  ขอบคุณพระพุทธองค์  ทรงช่วยขจัดมารร้ายให้พ้นทางแท้ๆ  “มานวดให้หน่อย  ซ้อมบาสโคตรเมื่อย”  ขณะที่ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูก  มันก็ลากผมไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนคว่ำทันที  สรุป..นี่มึงเห็นกูเป็นอะไรไม่ทราบ  บาสกูก็ซ้อมนะครับ  แถมยังซ้อมก่อนมึงที่เสือกมาสายทุกวันอีก  แล้วทำไม  ทำไม...มือผมถึงกำลังบีบน่องแข็งๆ ของมันอยู่นี่เล่า  ไอ้เวย์..มึงยอมมันทำมายยยยย

            “อือ  อืม  ดี  ดี  แรงอีกดิ  เออ...”  สบายเหลือเกินนะมึง  เออ  คราง  คราง  คราง  มึงจะครางทำไม!!  กูนวดดีขนาดนั้นเลยเรอะ  กูเกิดมาเพื่อนวดเมิงเรอะ  ในที่สุดความอดทนของผมก็หมดลง

            “ไอ้บ้า  ครางทำเตี่ยมึงเรอะ”

            “บ้านกูคนไทยแท้  ไม่มีเตี่ย”

            “...” เสียงนิ่งๆ ของมันดับอารมณ์ร้อนๆ ของผมได้ชะงัด  นี่กูบริการมึงขนาดนี้แล้ว  มึงยัง...

            เพี๊ยะ!! มันเอามือตบเตียงเสียงดังจนผมสะดุ้ง  แค่กูไม่รู้ว่ามึงเป็นคนไทยแท้  มึงโกรธถึงขนาดจะลงไม้ลงมือกับกูเลยเหรอ  มึงอยากจะฆ่ากูเลยเรอะ!!

            “ต่อไป  ถ้ามึงทำผิดอีก....”  ไม่ๆ  กูไม่กล้าทำแล้ว  มึงอย่าฆ่ากูเลยนะเว้ย  มันจะดูไม่ดีนะมึง  ตายเพราะด่าเตี่ยเพื่อนในบ้านตัวเองเนี่ย  ไม่งามนะมึง   “กูจะลงโทษด้วยการให้มึงนวด”  พูดจบมันก็หลับตาครางต่อ  นี่มึงบ้าหรือกูเมา  ทำไมเราอยู่ในสภาพนี่ว้า....  ฝ่ายเทคนิคช่วยทำพื้นหลังเป็นสีดำ  แล้วฉายสปอต์ไลท์มาที่ผมด้วยครับ  ผมกำลังจะร้องเพลงทั้งน้ำตาแล้ว

...เชิญคุณลงทัณฑ์บัญชา  จนสมอุราจนสาแก่ใจ  ไม่มีวันที่ฉันจะร้องไห้  ร่ำไรเพราะฉันมิใช่หญิงเจ้าน้ำตา...

 

            3.ไร้จิตเมตตา  เห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นความบันเทิงของตัวเอง

            เสียงครางเริ่มเงียบไป  ร่างกายแน่นิ่ง  ลมหายใจเริ่มแผ่วเบา  มันหลับแล้ว!?  อ้าว  ได้โอกาส  แมวหลับ  หนูจะอยู่ให้โง่หรือไงครับ  เผ่นดิ

            “จะไปไหน”  เอี๊ยดดดดด!!!   สาดดดด  กูยังไม่ทันได้ใส่เกียร์เดินหน้า  มึงก็เอาตีนแตะเบรกกูซะงั้น  เครื่องกูไม่ได้ติดเทอร์โบนะมึง  จะได้เร่งปุ๊บ  พุ่งทะยานปั๊บ  ขอกูได้วอร์มเครื่องบ้างอะไรบ้าง  ผมจำใจต้องปล่อยมือจากพวงมาลัย (อย่าถามมากได้ไหมครับ  ผมบอกว่าพวงมาลัยก็พวงมาลัยน่า)  ถอนหายใจเฮือกแล้วตอบมัน

            “นอน”

            “ที่ไหน”

            “ในส้วมมั้ง” เออ  มึงนี่ก็ถามแปลก  มึงเล่นยึดเตียงกูนี่ครับ  แถมยึดซะเนียนเหมือนกูเป็นฝ่ายมาบุกรุกที่มึงซะอย่างนั้น  เออ  ไอ้เนียนตัวพ่อ  ในเมื่อกูเนียน (ด้าน)สู้มึงไม่ได้  กูขอไปตามทางขอกูดีกว่า  กูจะไปนอนในส้วม  ในครัว  หน้าทีวี  สนามหญ้า  กูนอนที่ไหนก็ได้โว้ยยย  กูเก่ง  มึงได้ยินไหม  ที่กูยอมมึงเนี่ยไม่ใช่เพราะกูไม่สู้นะ  แต่เพราะกูเก่ง  กูนอนที่ไหนก็ได้

            “อย่าโง่”

            “เฮ้ยยยยยย” มันด่าจบก็ดึงผมไปนอนข้างๆ แล้วจัดการเอาแขนขาพาดทับทันที  นี่มึงเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่านี่  กูเป็นเพื่อนมึง..เอ่อ..คนใช้ก็ได้  แต่กูไม่ใช่หมอนข้างอเนกประสงค์นะมึง  กูคนนะมึง คน  ช่วยอย่าลดค่ากูไปมากกว่านี้ได้มั้ย

            “พอดีเลย”

            “พอดีเชี่ยไร  ปล่อยนะสัด” กูเริ่มไม่อยากทนกับมึงแล้วนะ  กูเริ่มจะหยาบกับมึงอย่านะ  นี่ดูด่ามึง “สัด” เลยนะ  มึงสะดุ้งสะเทือน  ลุกมาเตะกูดิ  กูจะได้หนี  ไอ้ปัญญานิ่ม   มึงจะนอนอมยิ้มหาหอกมึงเรอะ  นี่กูด่ามึงว่า “สัด” เลยนะ  ไอ้ฟาย  ขี้หูมึงลุกมาปิดกั้นช่องทางเสียงกะทันหันรึไง

            “นอนนี่แหละ”

            “ไม่เอา”

            “เรื่องของมึง”  เรื่องของกูเชี่ยไร...เรื่องของมึงต่างหาก  เรื่องของมึงเข้าใจมั้ย  มึงอย่าหลับ  ไอ้ไนท์ อย่าเพิ่งหลับ  กอดแน่นขนาดนี้  กูจะไปได้ยังไง  ไอ้สาดดดดดดด

 

...กักขังฉันเถิดกักขังไป  ขังตัวอย่าขังหัวใจดีกว่า  อย่าขังหัวใจให้ทรมาน ให้ฉันเศร้าโศกา  เหมือนว่าฉันเป็นเช่นดังจำเลย...

            คืนนั้นไม่รู้ผมผล็อยหลับไปตอนไหน  แต่จำได้ว่ากลางดึกตื่นเพราะฝันว่าถูกงูเหลือมตัวมหาบักเฮก (แปลว่าใหญ่มาก) รัดจนหายใจไม่ออก  พอตื่นมาก็เจอเลยครับ  ควายหน้าตาดีมันนอนเกยอยู่บนตัวผมไม่ต่างจากปลาพะยูน  แถมยังกรนน้อยๆ เหมือนกำลังสบายมาก  ส่วนผมทำยังไงนะเหรอครับ  ...ก็หาทางเอาชีวิตรอดไงเล่า!!

            จำไว้นะครับ  เห็นคนป่า  คนเถื่อน  คนถ่อยที่ไหน  มีมีดใช้มีด (หั่นผัก  หั่นหมูให้มันกิน)  มีปืนใช้ปืน (ฉีดน้ำให้เวลามันร้อน)  มีเงินซื้อหมอนข้างอย่างดี  เอาแบบที่อุ่นร้อนอุณหภูมิเท่าคนจริงได้ก็ดีครับ  ยื่นให้มันเป็นของขวัญวันพบหน้าไปเลย  ผูกมิตรกันไว้  รณรงค์คนไทยไม่ใช้ความรุนแรงครับ  เพราะคนสามประเภทนี้ต่อให้ต้มหนังสือ “คู่มือมนุษย์” กินต่างข้าวก็ไม่ช่วยให้มันดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหรอกครับ  ฉะนั้นคุณมีทางเลือกแค่สองทาง  หนึ่งคือ..หนี  สอง..ในกรณีที่หนีไม่พ้น  ก็ต้อง..ยอม

 

......................................


whitedemon

  • บุคคลทั่วไป
Special chapter: ลูกไล่?...ต่อไปมึงไล่กูก็ไม่ไปแล้วนะ (2)

ทักทายด้วยมารยาทงามๆ ก่อนแล้วกันนะครับ..โย่ โย่  วอทสับ  แมน? ไอ แอม อะ บิ๊ก บอย อิน เดอะ  เดอะ ไรวะ..  แม่งเอ๊ย  ผมล่ะไม่ได้อยากจะหยาบคายเลย  แต่มันทนไม่ได้ครับ  ไม่ได้จริงๆ  อึกอัดคับข้องในใจมาก  มีใครเคยคิดเหมืนผมมั่งไหมครับว่าทำไมคนบนโลกถึงต้องพูดคนละภาษา? = =;; พระเจ้าจะเอาอะไรกับหอคอยปาเปลนักหนา  ทำไม...  แล้วทำไมคนไทยอย่างผมต้องมาฝึกพูดภาษาปะกิตปะกวยนี่ด้วย  ญาติผมรึก็ไม่ได้  แฟนแหม่มผมก็ไม่เคยนึกอยากได้  แล้วทำไม  ทำมายยยยยยย   กูต้องมานั่งทนเจ็บตัวให้ไปเด็จมันฟาดเอาๆ ด้วยวะ

“ไอ้เวย์”  เสียงไอ้เด็จ  (ย่อมาจาก เผด็จการนะครับ  ไม่ใช่เผด็จศึก) ดังขึ้นเรียบๆ  ผมกำหัวปอยๆ เงยหน้ามองมัน  พยายามเลียนแบบน้องหมาอย่างน่าสงสาร  ตาก็ละห้อยแล้ว  ลิ้นก็เริ่มย้อยลงมา  เอาน่า  เห็นใจกูเหอะ  ท่องเอถึงแซ่ดได้นี่ก็นับว่าบุญมากแล้วนะ

“ก็..เอ่อ..เอ็กซ์..อ่ะ  อ่อ..ดิโด้?”  แม่งงง  ภาษาต่างด้าวๆ ต่างด้าวชัดๆ  ต่างด้าวเด็ดๆ  ไอ้ตัวบ้านี่เอามารวมกันหลายๆ แล้วมันคือคำว่าอะไรวะ  โว้ยยย  แต่ตัวเดียวกูก็ไม่เข้าใจแล้วเว้ย

ป้าบ!!

บ่นไม่ทันจบ  ม้วนหนังสือก็ฟาดลงมากลางกระบาล  นี่มันกะจะเอาไม่ให้ผมเหลือแม้กระทั่งเซลล์สมองเลยไงวะ  หึ  ผิดไรที่กูโง่เนี่ย  คนโง่ก็มีหัวใจนะเฟ้ย

“Export dependent”

“เอ็กซพอร์ท  เด่นเด้น?”  เด่นไรวะ  ไม่เข้าใจ  แม่ง  ยากเว้ย  เซ็งตับว่ะ

“มึงนี่มีดีแต่หน้าจริงๆ”

“อึก” สัด!  ถ้าด่าตรงๆ ผมยังไม่เจ็บเท่านี้ครับ

“เอฟเอฟ” มันลอยหน้าลอยด่าพูดนิ่งๆ  หน้านี่โคตรกวนโมโหเลยครับ  เออ  เมิงมันเทพ  เมิงมันเก่ง  เมิงมันเฮง  เมิงมัน  ไอ้  ไอ้ โคตรจะเพอร์เฟค  ยังต้องการอะไรจากกูอีกมั้ย  เอาเลยมั้ย  เอากะกูเลยมั้ย  สัด

“ปากหมา”

“อะไร”

“ป๊าว”  นี่ขนาดกูงุบงิบให้แค่หูกับขี้หูตัวเองได้ยินเท่านั้นนะ  ยังไม่วาย  เหอะ

“หิว”

...แล้วไง?  บอกกูทำไม  กินเอฟด้วยกันมั้ยละเมิง  เอาให้อิ่มจนท้องแตกตายไปเลย  จะได้เผาพร้อมกันทีเดียว  ไม่โดดเดี่ยวแถมประหยัดงบได้อีกโข

“โอ๊ยยย  หยิกไมวะ”  ไอ้บ้านี่  แม่งนอกจากเผด็จการแล้วยังบ้าพลัง  ไอซาดิสม์  หูคนนะเว้ยไม่ใช่สิว  จะได้เก็บไว้ให้มึงบีบเล่นบีบทิ้ง  แล้วก็ขึ้นมาใหม่ให้มึงบีบทิ้งบีบเล่น

“นึกว่าหูตึง  กูบอกว่ากูหิว”

“เออ  รู้แล้ว  ปล่อยสิฟะ”

“ไม่  หาข้าวให้กินก่อน”

“เออ  ก็ปล่อยสิฟะ  จะได้ไปหาอะไรให้กิน”  ไหนใครด่าว่ากูโง่นะ  เมิงสิ..แม่ง   เล่นจับหูคนอื่นเค้าไว้ทั้งสองข้าง  ยังมีหน้ามาบอกให้หาข้าวให้กินอีก  หรือมึงจะให้กูทิ้งหูไว้ที่เมิง  แล้วเอาส่วนที่เหลือเดินเข้าครัวไปทำกับข้าวมาเสริฟมึงแลกกับหูกูรึไง   ไอ้บ้า!!  หูนะครับ  มิใช่ตัวประกัน

“เอ้า! ลุก  เร็วๆ เข้าเมิง  เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะ”  เพาะแพะไรของเมิง  หูกูนี่สิจะกลายเป็นกระทะเดือดน้ำมัน  ร้อนจนจะไหม้แล้วโว้ย

ท่าทางผมตอนนี้มันออกจะพิลึกพิลั่นอยู่สักหน่อยนะครับ  เหมือนแม่ลิงชิมแปนซีแบกลูกลิงกอลิล่าไว้บนหลัง  อืม..ใช่ครับ  ภาพนี้แหละ  ใช่เลย  แถมไอ้กอลิล่าตัวที่ว่ามันก็ยังเป็นลิงโรคจิต  เล่นหูคนอื่นเขาไม่เลิก  หูตัวเองก็มีไมไม่จับวะ  จับของกู  ขอก็ไม่ขอ  นิสัย!!  หวงหูเหอะเว้ยย

ผมก็ขี้เกียจไปขัดใจมันครับ  เพราะหลังจากผ่านไปเกือบเทอม  ผมเริ่มฉลาดเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตกับคนอย่างมัน  ดีทุกอย่างแหละครับ  ยกเว้นนิสัย

ผมเดินไปเปิดกระทะ  เทน้ำมัน  หยิบไข่ทำไข่เจียว  ไอ้ไนท์ก็ยังคงทำ “หูขยี้” อาหารจานเด็ดของมันต่อไปอย่างร่าเริง  กำหูขึ้นแล้วหมุนๆ  ดึงหูขึ้นบิดไปมา กางหูขึ้นและลง  นิ้วไชลงหมุนไปรอบรู  ถุย!  อุบาทว์สิ้นดี

“มึงจะกินหูกูแทนข้าวเลยมั้ย” เริ่มรำคาญจนทนไม่ไหวแล้วครับ

“ได้เหรอ?”  ได้เอี้ยอะไรครับ  ผมประชัด  ประชัดเด็ดๆ เลยครับพี่  “งั้น..ไม่เกรงใจนะ”

งั่ม!!

O.O!!

งั่ม?  งั่ม?  คือ....  เฮ้ยยยยยยยยย  ผมสะดุ้งโหยงเมื่อสัมผัสได้ถึงลิ้นนุ่มเปียกชื้นของมันกำลัง  กำลัง..เลีย?  อยู่?   อ๊ากกกกก  ไอ้โรคจิต

“ทำบ้าอะไรของมึง  ไอ้  ไอ้....”  ผมถองศอกใส่ท้องมันที่ยังมีหน้ามาหลบได้อย่างเฉียดฉิว  ไอ้คนใจแคบ  แทนที่จะมีน้ำใจแกล้งเจ็บตัวให้กูหายโกรธบ้าง  เฮ้ย  ผิดเรื่องแล้วกู

“ก็กิน..”

“กิน?  หูกูเนี่ยนะ”  นี่ผมฟังผิดหรือสมองไอ้ไนท์มันขัดข้อง  สั่งงานผิดปกติชั่วคราว  หรือว่าเพราะมันหิวเกินไปจนหน้ามืดตาลาย  เห็นหูคนเป็นหูฉลามน้ำแดงไปแล้ว  คิดอะไรของมันวะ  ไอ้ประสาทนี่

“The most delicious ever, even want more and more”

มันพ่นภาษาต่างด้าวอะไรที่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ  เลือกพูดซะเร็วแถมยังใส่สำเนียงอินเตอร์  แม่ง  กัดกูแล้วก็สะบัดตูดหนี  ไอ้เลว  ไอ้  ไอ้  ไอ้ไข่บ้า   จะไหม้ก็บอกกูก่อนสิวะ  อ๊ากกกก   ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว  เดี๋ยวก็คว่ำครัวหนีซะเลยนิ

 

สุดท้ายกับข้าวฝีมือผม  หรือจะพูดให้ถูกก็คือไข่เจียวฝีมือผมก็มีอันเป็นหมันไปครับ  แต่ไอ้เด็จมันก็ไม่เห็นว่า  แถมยังใจดีชวนผมมาซื้อของกินที่โลตัสอีก   เออเว้ย  แปรปรวนดีแท้

            “กินไรดี”  เออ  อารมณ์ดีเหลือเกินนะ  ผิวปาก  อมยิ้ม  เออ  เอาให้เต็มที่เลยนะเมิง  ชอบนักแกล้งกูได้  เห็นหน้ากูมั้ย สังเกตมั่งมั้ย  สนุกด้วยมากกกก  ฮ่วย

            “ไม่หิว”

            “หึ!”

            กวน! กวนนักนะเมิง  “หึ” หาป้าแกเรอะ  ว้อย  เคือง  เคือง  เคือง  อ๊ากกก  เคืองแต่ไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี   สู้ก็สู้ไม่ได้ เถียงก็เถียงไม่ได้  สมองก็ยังสู้มันไม่ได้อีก  ทำไม  พระเจ้าส่งผมเกิดมาแล้วต้องมามันมาเกิดพร้อมกันด้วย  ทำไม

            “ถามอีกครั้งเดียวนะ  มึงจะกินอะไร” นี่มึงถามหรือมึงขู่ครับ  หน้าดุชิบ

            “ไข่พะโล้”

            “อีกแล้ว?” อีกแล้วอะไร  วันนี้ทั้งวันกูยังไม่ได้กินเหลือนะ  เหมือนวานก็ไม่ได้กินต้องทนกินแต่ข้าวไข่เจียวหมูสับ  กุ้งสับ  ทูน่าสับ  ปูอัดสับของมึงเนี่ย  เมนูไข่สุดจะสิ้นคิดกว่าของกูอีก

            “เออ  อยากกิน”

            “ชอบจริงๆ เลยนะ  ไข่ดำๆ เนี่ย  น่ากินตรงไหนวะ”  มันจะเริ่มไม่น่ากินเพราะคำพูดเมิงเนี่ยแหละ  ชื่อของเขามีดีๆ ไม่เรียก  ดันไปเปลี่ยนให้ซะอย่างงั้น  แล้วเปลี่ยนทั้งทีก็เอากูแทบจะหมดความอยากอาหาร

            “เอ้า  เอาไปนั่งรอตรงโน้น”  มันยื่นของให้ผม  สั่งเสร็จก็เดินลิ่วๆ ไปแลกบัตร  เออ ก็ดีครับ  ประหยัดเงินค่าข้าวไปอีกมื้อหนึ่ง  ไม่นานมันก็กลับมาพร้อมกับข้าวไข่พะโล้สองจานที่เอาผมอ้าปากค้าง  ไม่ใช่ตกใจที่เห็นไข่พะโล้หรอกนะครับ  มันไม่ใช่ของแปลกอะไร  แต่ที่แปลกก็คือไอ้จำนวนไข่และหมูที่เยอะจนแทบจะกลบข้าวหมดนั่นต่างหาก

            “เยอะจังวะ”

            “แล้วไม่ดีเรอะ”

            “เปล่า  ดีมาก  ดีสุดๆ  พิเศษเหรอ?”

            “ธรรมดา  แต่ว่าเค้าให้มาเป็นพิเศษ”  มันยิ้มแล้วขยิบตาให้อย่างขี้เล่น  อ้อ.. คงจะทำหน้าทำท่าแบบนี้ตอนไปซื้อล่ะสิ  มิน่า...  ต้องขอบคุณพ่อกับแม่มันนะครับเนี่ยที่ปั้นหน้าตาแบบนี้มาให้  ไม่งั้นอะไรก็กลบข้อเสียเจ็ดพันหกร้อนล้านของมันไม่ได้ชัวร์ๆ

                    ...............................................................................................

 

Special Chapter: เพราะใคร...

            ชีวิตนิสิตกับพวกเพื่อนบ้าๆ นี่ก็เป็นแบบนี้มาตลอดครับ  เป็นชีวิตในมหาลัยที่ผมไม่เคยมีวันไหนที่รู้สึกไม่มีความสุขเลยสักครั้ง  บางคนอาจจะมองว่าพวกผมเล่นกันแรงๆ  ด่ากันเหมือนคนโกรธกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน  แต่จริงๆ แล้ว  ผมว่าเพราะเพื่อนนะ  ผมถึงไม่กลัวการมามหาลัย  ไม่กลัวการทำกิจกรรม  ไม่กลัวที่จะแสดงตัวตนของตัวเองออกมา

            ผมเคยที่เคยกลัวการคบใครอย่างจริงจังมาก่อน  กลับได้มิตรภาพดีๆ จากคนกลุ่มนี้ตั้งแต่วันแรกที่พบ  จนถึงวันนี้   

            ไอ้นุ...คือคนกวนๆ  แข็งๆ  ดูเหมือนไม่ค่อยชอบใส่ใจใคร  กลับสังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนอย่างผมได้ก่อนใคร

            ไอ้แชมป์...คือคนเงียบๆ  แต่ในใจกลับคิดถึงเรื่องของคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ  ผมรู้ดีว่าคนอย่างมันจะไม่ยอมให้ตัวเองมีความสุข  ขณะที่คนอื่นทุกข์ใจ

            ส้มกับหยก...ผู้สองคนที่ต่างกันสุดขั้ว  แต่เข้ากับผู้ชายเถื่อนๆ อย่างพวกผมได้ดี  จัดการอะไรหลายอย่างให้โดยที่ไม่ต้องขอ

            และมัน...ทั้งที่ไม่เคยตามใจ  ไม่เคยเอาใจ  ไม่เคยบอกว่ารัก  ดีแต่ดุ  แต่บังคับ  ทั้งที่เป็นอย่างนั้น..แต่ผมกลับรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่อยู่กับมัน  เพราะผมรู้..รู้ดีว่า  มันจะเป็นคนสุดท้ายในโลกที่หักหลังผม

            ไม่รู้ผมเริ่มติดใจกับการบังคับเพราะห่วงของมันตั้งแต่เมื่อไร  รู้แต่วันนั้น...คือวันที่ผมรู้สึกตัวว่ามันไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดา  แต่เป็นคนสำคัญ...

 

            “มึงไม่เข้าใจ  พวกมึงไม่เข้าใจ  ฮึก  ฮึก..”  แม่ง  ผมมันโคตรซวย  โคตรอ่อนแอ  เป็นผู้ชายซะเปล่าร้องไห้ให้เพื่อนเห็นได้ยังไง  ตัวของตัวเองยังไม่มีปัญญาดูแล  จะไปรับผิดชอบใครได้  จะไปทำอะไรเพื่อใครได้!!

            “เวย์  มึง  ใจเย็นๆ  กูรู้ว่ามึงเจ็บใจ  แต่มึงต้องรักษาตัวเองให้หายก่อน”  ไอ้นุพูดเสียงเครียดต่างจากปกติ  มันบีบไหล่ผมที่นั่งก้มหน้าอยู่บนเตียง  โดยมีสายน้ำเกลือห้อยอยู่ข้างๆ

            ใช่ครับ  อย่างที่มันพูดนั่นแหละ  ผมเจ็บใจ  เจ็บใจตัวเองจริงๆ  ทั้งที่อีกสามวันก็ถึงวันแข่งรอบชิงบาสของกีฬามหาลัยแล้ว  ผมดันมานั่งขาหักทำอะไรไม่ได้อยู่บนเตียงนี่  นอกจากจะช่วยใครไม่ได้  แค่จะเดินไปไหนมาไหนยังช่วยตัวเองไม่ได้เลย  แม่ง  เฮงซวยเอ๊ย

            “มึงไม่ต้องห่วง  พวกกูจะชนะให้ได้  กินข้าวก่อนนะมึง  จะได้กินยา  หมอว่าบอกมึงมีไข้ด้วยนิ”  แล้วไง?  จะกินทำไมวะ  ต่อให้กินไปเท่าไร  กูก็เดินไม่ได้  ลงสนามไม่ได้อยู่  ความพยามต่อหลายเดือนที่ผ่านมาก็สูญเปล่าอยู่ดี

            มันดูเป็นเรื่องเล็กน้อยใช่ไหมครับ  ผมไม่ควรร้องไห้บ้าบออยู่นี่ใช่ไหม?  ไม่ครับ  สำหรับผมการแข่งรอบสุดท้ายมันสำคัญมาก  มีคนที่ผมแพ้ไม่ได้และไม่อยากแพ้อยู่  ไอ้เจตที่เล่นสกปรกทำให้พี่ต้าเจ็บจนลงสนามไม่ได้  ไอ้คนพรรค์นั้น  ผมตั้งใจจะไม่แพ้เด็ดขาด   แล้วไหนคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่รหัสที่กลายมาเป็นเหมือนพี่ชายของผมอีก  สัญญาไว้แล้ว..ว่าจะสู้เต็มที่แทนพี่เขา  ทั้งที่เป็นอย่างนั้น..ผมกลับ....

            “กูไม่หิว  พวกมึงไปซ้อมกันเหอะ  กูอยากนอน”

            ผมหลบตาทุกคนเพราะไม่อยากให้ใครเห็นสภาพแย่ๆ ของตัวเองตอนนี้  ไม่อยากให้รู้ว่าผมมันเห็นแก่ตัว  เอาแต่ใจ  ไม่อยากทำให้คนอื่นเดือดร้อน

            ขยับตัวลงนอน  หลับตาแน่นอย่างไม่สนใจใคร  น้ำตาโง่ๆ ยังไม่วายไหลซึมออกมาอย่างห้ามไม่ได้  ผมกำหมัดแน่นจนเจ็บ  เพราะอยากลืมความเจ็บใจที่เจ็บยิ่งกว่า  แต่ก็ทำไม่ได้  นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ค่า  ไร้ความสามารถเหลือเกิน

 

            “เวย์  ลุกขึ้นมากินข้าว”  ผมได้ยินเสียงมัน  ก็รู้เลยครับว่ามันกำลังโกรธแต่ก็พยายามอดทนไว้  แต่ครั้งนี้ผมไม่เชื่อมัน  ไม่ใช่เพราะอยากลองดี  แต่รู้ว่าถ้ามองตามัน  ผมจะยิ่งอ่อนแอ  ผมไม่เข้าใจหนอกว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น  รู้แต่ว่าตาของมันทำให้ผมแสดงออกในสิ่งที่คิดได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน 

            “กูยังไม่หิว  เดี่ยวหิวแล้วจะตื่นมากินเอง”

            “มึงอย่าทำตัวมีปัญหาได้มั้ย  ต้องทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนอีกเท่าไรมึงถึงจะพอใจ  กูบอกให้ลุกขึ้นมากินข้าวกินยา   มึงทำได้ใช่มั้ย?”

            คำพูดของมันทำให้ผมรู้จักกับคำว่า ปวดใจ  เป็นครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกหวิวในอกปนความเจ็บที่ยากจะบรรยาย  ตัวผมสั่นแต่ผมพยายามจะหยุดมันไว้  และทำเหมือนปกติที่สุด  ผมรู้ว่ามันโกรธ  รู้ว่าตัวเองทำให้มันเดือดร้อน  รู้ว่าทำตัวไม่ดี  แต่ตอนผมหมดแรงยิ่งกว่ารู้ตัวว่าขาหักซะอีก  ไม่มีแรงแม้แต่จะหายใจเลยด้วยซ้ำ  ผมพยายามจะขยับให้น้อยที่สุดเพราะกลัวน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ข้างในจะไหลออกมาประจานตัวเองว่า  คำพูดของมันมีอิทธิพลต่อผมมากขนาดไหน..มากอย่างที่ผมไม่เคยรู้ตัวมาก่อน

            ผมแคร์มัน...ถึงได้เจ็บปวดกับคำพูดของมัน

            และกลัว..ว่าสักวัน  มันจะรำคาญ  จะไม่อยากเป็นเพื่อนกับผม

            และดูเหมือนว่า..วันนั้นจะมาถึงเร็วกว่าที่คิด

           

            “อย่าลืมนะว่า  ที่มึงเป็นแบบนี้ก็เพราะตัวเอง”

          ปัง!!

            มันออกไปแล้ว...

            ผมกลัวเหลือเกินว่ามันจะโกรธจนไม่อยากเห็นหน้าผมอีก  ไม่รู้เมื่อไรผมเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้  ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างช้า  เสียงสะอื้นที่ไม่เคยคิดว่าจะยอมให้ใครได้ยินกลับดังขึ้นเรื่อยๆ  ผมยังไม่กล้าลืมตา  รู้ดีว่าพวกมันต้องเห็นสภาพน่าสมเพชของผม

            “เวย์  ไนท์โกรธเพราะเป็นห่วงนะ  ฮึก..เวย์  อย่าร้องไห้เลยนะ ..”  หยกปลอบผมทั้งที่ตัวเองก็ร้องไห้เหมือนกัน  ร้องไห้ให้ผม?  เศร้าใจกับผม  แต่มัน..เลือกจะเดินหนีผม  เพราะผมทำตัวน่ารำคาญ  ทำให้มันเดือดร้อน  ก็สมควร

            “มึง..พักผ่อนนะ  นอนอีกหน่อยก็ได้  แต่เดี๋ยวต้องตื่นมากินข้าวกินยา  เข้าใจมั้ย”

            “...”  ผมไม่มีแรงตอบ  ไม่มีเสียงจะพูด  นอกจากเสียงสะอื้นที่พยายามเก็บไว้อย่างเต็มที่

            “พวกกูจะไปซ้อมอย่างที่มึงต้องการ  กูสัญญาว่าจะทำให้ได้ในส่วนของมึงด้วย  ไอ้เวย์  พวกกูเป็นห่วงมึงนะ  แล้วไอ้คนที่ห่วงที่สุดก็เป็นธรรมดาที่มันจะโกรธที่สุดที่ช่วยอะไรมึงไม่ได้  จำคำกูไว้”

 

            ไอ้นุมันรู้ดีว่าผมไม่อยากให้ใครเห็นตัวเองเป็นแบบนี้  มันเลยยอมให้ผมอยู่คนเดียว  ผมพยักหน้ารับส่งๆ เพื่อให้มันพาคนอื่นออกไปด้วย

            มันโกรธเพราะห่วงไม่ใช่รำคาญเหรอ?

            ไม่รู้สิครับ ผมไม่กล้าคิด  ไม่อยากคาดหวังเพราะกลัวจะต้องผิดหวัง  และไม่อยากเสียใจเพราะสุดท้ายสิ่งที่ทำได้คือปลอบตัวเอง

            แต่ก็จริงอย่างที่ไอ้ไนท์มันพูด..ที่ผมเป็นอย่างนี้ก็เพราะตัวเอง

           

            ย้อนกลับไปตอนที่รู้ว่าได้เป็นตัวจริง  ผมก็ดีใจครับ  พยายามซ้อมอย่างเต็มที่เพราะรู้ตัวว่าชอบเล่นบาสมาตั้งแต่ไหนแต่ไร  ยิ่งได้เล่นกับคนที่เข้าขากันได้ยิ่งสนุก  ตอนนั้นผมเกิดความคิดหยามใจว่า พวกเราเป็นทีมที่ดี  ดีพอจะเอาชนะใครๆ ได้  แต่นั่นก็คือความภูมิใจ  ไม่ใช่ความอยากชนะ  ความอยากชนะนั้นมาพร้อมกับความแค้นใจ  บวกกับคำสัญญาตอนที่ไปเยี่ยมพี่ต้าที่โรงพยาบาล  อยู่ในสภาพย่ำแย่ครับเพราะถูกรุมซ้อม  แกบอกมีเรื่องขัดใจกับนักเลงนิดหน่อย  แต่ที่จริงแล้วผมรู้ดีว่าเป็นเพราะใครและทำไม

            ผมจับมือแกไว้  บอกว่า..”ถึงพี่ไม่บอก  ผมก็จะเอาชนะมันให้ได้  และได้อย่างใสสะอาดด้วย”  ตั้งแต่วันนั้นผมซ้อมบาสอย่างเอาเป็นเอาตาย  ซ้อมจนลืมทุกอย่าง  ลืมกินลืมนอน  รู้ครับว่าร่างกายมันคงรับไม่ไหว  แต่ใจมันไม่ยอมให้พัก   ไอ้ไนท์มันคอยดุผมตลอด  แล้วผมก็โหกมันตลอดเหมือนกันว่ากินแล้ว นอนพักแล้ว  จนสุดท้ายผลของการไม่ประมาณตนก็ทำให้ผมต้องมานอนเจ็บอยู่อย่างนี้  ผมหน้ามืดเลยถูกมอเตอร์ไซด์เฉี่ยว  ยังดีครับที่แค่ขาหัก  ไม่ได้เป็นอะไรมาก  แต่นั่นแหละไอ้ไนท์มันเดินอยู่หน้าผม  และมัน..อยู่ตรงนั้นตอนที่เกิดอุบัติเหตุ   มันเป็นคนห้ามผมมาส่งโรงพยาบาล   ผมไม่รู้หรอกครับว่าเรื่องมันเป็นยังไงต่อ  รู้ตัวอีกทีก็มานานเดี้ยงอยู่บนเตียงนี้แล้ว

            ผมทำตัวเองแท้ๆ  ยังมีหน้ามาโกรธคนอื่น  ถ้าจะแค้น  จะโกรธ  ก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นแหละครับที่ควรโดน

            เพื่อนๆ ยังขยันมาเยี่ยมผมเสมอไม่เคยขาด  คอยรายงานผมการฝึกซ้อมตลอด  ตอนนี้ผมเลิกคิดมากแล้ว  แต่ก็ยังหวังให้พวกมันพยายามอย่างเต็มที่และเอาชนะพวกนั้นเผื่อผมด้วย  แต่กับใครอีกคนสิครับ..ไม่เคยโผล่มาเลย  เงียบหายไปจนผมเริ่มใจเสีย

            ไนท์..ถ้ามึงมา..  กูจะขอโทษมึง

            เพราะถ้าผมเป็นมัน  ผมก็คงจะโกรธเหมือนกัน

 

……………………………………………………………………………

 

            วันนี้เป็นวันแข่งรอบชิงแล้วครับ  ห้องนี้ก็เลยดูเงียบๆ ไปสักหน่อย  ที่จริงคือเงียบมากเลยครับในความรู้สึกของผม   ตอนนี้เพิ่งเข้าใจว่า ผมก็รู้สึกเหงาได้รุนแรงเหมือนกัน  ที่จริงวันนี้ควรเป็นวันที่ผมได้วิ่งอยู่ในสนามกับทุกคน  ต่อสู้ด้วยกัน  ควรจะเป็นวันที่สนุกสุดๆ   และน่าจดจำสุดๆ   แต่ว่า..มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้  ทำตัวเองจริงๆ

            ผมนั่งเปิดทีวีดูไรไปเรื่องเปื่อย  หลับๆ ตื่นๆ ไม่ทันไรท้องฟ้ามืดแล้วครับ  ที่เขาพูดกันว่ายิ่งดึกยิ่งเงียบเหงานี่  ผมเห็นด้วยสุดใจเลย  อ่า..ไม่รู้ทำไม  สงสัยจิตใจจะอ่อนแอตามสภาพร่างกาย  บอกตรงๆ ตอนนี้ผมโคตรอยากจะร้องไห้เลย

 

            “ไอ้เวยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

            ผมหันไปทางประตูที่เปิดออก  ก็แทบอยากจะยิ้มให้ปากฉีกเลยครับ  พวกมันมากันครบทีมเลย  ทั้งเพื่อนทั้งพี่โผล่หน้ามากันหมด  ทำเอาบรรยากาศในห้องผมเปลี่ยนจากหน้าผากเป็นแก้มก้นเลยครับ  ไม่รู้ไอ้ตัวเหงาเมื่อกี้มันถูกไล่ไปไหนแล้ว

            “สัดเวย์  ฮ่าๆๆ  มึง  อิอิ” ขำบ้าไปแล้วมึง 

            “ไง  น้องเวย์  เดี้ยงยังไง  ปล้ำง่ายเลยนะ”

            “ปากเรอะพี่น็อต  ไง  โผล่มาพร้อมหน้าเลย  ไหนๆ เอาอะไรมาฝากผมป่าว”  โหย  ไอ้เวย์ล่ะมีความสุขมากเลยครับ  เห็นคนมาเยี่ยมเยอะ  รื่นเริงลืมป่วยเลย

            “ต้องดูก่อนว่าอยากได้อะไร” พี่ๆ เข้ามารุมอยู่รอบเตียง  ส่วนพวกไอ้นุไอ้แชมป์แล้วก็เพื่อนๆ ผมออกันอยู่หน้าทีวี  เรียกว่าบังทัศนียภาพทุกอย่างในห้องหมดเลยครับ  โรงพยาบาลนี้ก็ดี  แปลกดี  เล่นให้เข้ามากันทั้งโขยงขนาดนี้

            ผมกวาดตามองจนครบ  คนที่อยากเจอที่สุดก็ไม่มา  ช่างเถอะครับ  เดี๋ยวผมหายดีก่อนแล้วค่อยไปง้อมันเองก็ได้  ก็บอกแล้วว่าแพ้ทุกครั้ง  ไม่เคยชนะมันได้เลย   ผมหันไปตอบพี่น็อตด้วยหน้าตาจริงจัง

            “ของที่ผมอยากได้...  ชัยชนะ”

            ...เงียบ...

            อ้าว..ไหงเงียบกันหมดล่ะครับ   ไอ้เราก็เห็นว่ามากันอย่างรื่นเริงออกนอกหน้า  ก็นึกว่าชนะมาชัวร์  หรือว่าไม่ใช่?

            “เอ่อ...ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรสักหน่อยพี่  ที่สองนี่ก็ตึงโคตรๆ แล้ว เดี๋ยวผมหายให้พี่ต้าเลี้ยงเหล้าทุกคนเลย”

            “ไม่ใช่กูไม่อยากเอาถ้วยชนะเลิศให้มึงนะไอ้เวย์”  เฮ้ย  พี่  อย่าทำหน้าเศร้างั้นดิ  ผมผิดเอง  ผมมันปากพล่อย  ทำลายบรรยากาศ  ผมแม่งโคตรไม่รู้จักคิดให้ดีก่อนพูด

            “เฮ้ย  ไม่เป็นไรพี่  พยายามกันเต็มที่แล้ว  ผมไม่ได้ไปเชียร์ด้วย  ผม...”

            “ที่กูให้มึงไม่ได้  เพราะถ้วยมันไม่ได้อยู่ที่กู  แต่อยู่โน้น....”  ว่าแล้วแกก็ชื่อไปที่หน้าประตู

            ครับ...ถ้วยชนะเลิศจริงๆ ด้วย  แต่ที่ทำให้ผมดีใจจนพูดไม่ออก  ไม่ใช่ถ้วยสีทองใบนั้น  แต่เป็นคนที่ถือมันมา...ไอ้ไนท์  ในที่สุดมันก็มา

            ภาพที่มันถือถ้วยเดินเข้ามาหาผม  เป็นภาพที่ผมไม่เคยลืม  รู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก  ดีใจจนแทบลืมหายใจ

            “ไง  กินข้าวกินยาหรือเปล่า”

            “อืม”  ผมพูดได้แค่นั้นจริงๆ ครับ  มันตื้นตันมากจนบอกไม่ถูก  มันยื่นถ้วยให้ผม  อีกมือก็ลูบหัวผมเบาๆ เหมือนที่มันชอบทำเสมอ  ตอนนั้น..ผมโคตรจะมีความสุขเลย

            “แม่ง  พระเอกตลอดนะเมิง  มาทีหลัง  ถือถ้วยรางวัลมาด้วย  โคตรตัดหน้าพวกกู”

            “เออ  ทีตอนกูให้ลงเป็นตัวจริงงี้ทำเกี่ยง  สุดท้ายก็ต้องมาอ้อนวอนของกูเล่น  ในเมื่อเล่นไปแล้ว  ถอนตัวไม่ได้แล้วนะเมิง   เป็นสมาชิกถาวรไปซะ  นัดไหนกูสั่งมึงก็ต้องลงตามที่สัญญานะเว้ย”  สัญญา?  มันไปสัญญาอะไรกับพวกพี่เขาไว้วะ  แล้วอ้อนวอนอะไร?

            “พูดมากน่าพี่  ผมไม่ผิดสัญญา  พี่ก็เงียบไว้ด้วยแล้วกัน”  ทำไมต้องทำตัวเหมือนมีความลับกันด้วยวะ  ผมละไม่เข้าใจ  ไอ้ไนท์มันก็ดูเหมือนเขินๆ อะไรสักอย่าง  หูแดงด้วย  เรื่องอะไรกันว่า

            “สัญญาไรอ่ะพี่”

            “อยากรู้เหรอ  น้องเวย์”  มากครับพี่  ณ เวลานี้เป็นวาระสำคัญมาก

            “พี่เอ พี่บอกว่าจะเงียบ”

            “กล้าสั่งกูเหรอไอ้ไนท์  หึ  เออ กูไม่บอกก็ได้  ไม่บอกหรอกว่ามึงขอเล่นแทนในส่วนของไอ้เวย์  ไม่บอกด้วยว่ามาให้พวกกูซ้อมหนักสามวันเต็ม  เพื่อเอาถ้วยมาให้คนป่วย  กูไม่บอกร้อก”

            ……..

            ฮะ!!

            ถามจริง?  นี่มัน....   ที่มันหายไป  ที่มันไม่มา... 

            ผมหันไปมองมัน  แต่มันหลบตาผม  เอามือเกาท้ายทอยแล้วเสมองไปนอกหน้าต่าง

            นี่มัน..ทำเพื่อผมขนาดนั้น?

            ทำไม?   เพราะอะไร?  ทั้งที่ไม่รู้คำตอบแต่กลับห้ามไม่ใช่หัวใจเต้นแรงไม่ได้

            “ไม่ต้องมาทำซึ้งใจเลยมึง  กูขอโทษที่ช่วยมึงไม่ทัน  แต่ชัยชนะครั้งนี้เป็นของมึงด้วย”  มันก้มมากระซิบกับผม  พร้อมทั้งจับเสื้อบาสที่มันใส่อยู่  ทันทีที่ผมเห็นหมายเลข 11 บนนั้น  น้ำตาก็พาลไหลซึมออกมาแบบไม่รู้ตัว  ผมโผไปกอดมันไว้อย่างลืมอาย  ลืมไปเลยว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน  ลืมสายตาทุกคู่ที่อยู่ตรงนั้น

            ...มันใส่เสื้อของผมลงเล่น  เพื่อให้ผมเป็นส่วนหนึ่งของชัยชนะในวันนี้…

            ...ผมอยู่ตรงนั้น  อยู่สนามกับคนอื่นๆ ด้วย...

            ผม..  ผมจะขอบคุณมักสักกี่ล้านครั้งดีกับสิ่งที่มันทำ

            มันไม่เคยพูด  ไม่เคยบอก  แต่การกระทำของมันทำให้ผมจดจำไปจนวันตายว่า...ตั้งแต่วินาทีนี้  มันคือคนสำคัญ   คนที่ผมจะไม่มีวันทำให้เสียใจ

 

....................................................................


whitedemon

  • บุคคลทั่วไป
Special Chapter: คำสัญญา

 

ผมเคยบอกตัวเองจะไม่คาดหวัง  เพราะกลัวเกินกว่าจะรับผลที่ตามมาได้  เพราะความเป็นเพื่อนที่มีมันสำคัญเกินกว่าจะยอมแลก  แต่ยิ่งใกล้มันเท่าไร  ผมยิ่งเอาใจออกห่างจากมันไม่ได้  เพราะความห่วงใย  ความใจดีในแบบของมันทำให้ผม...รัก...เกินกว่าจะทำเฉย 

บางที...ผมอาจจะลองเดินหน้าดูสักครั้ง  แค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น..ไม่กี่ก้าว

บางที...ผมจะบอกมัน

 

ผมเดินมาคณะด้วยใจหนักอึ้ง  ไม่มั่นใจสักนิดว่าการตัดสินใจของผมจะนำไปสู่จุดจบแบบไหน  รู้แต่ว่าถ้าผมไม่พูดวันนี้  ผมอาจจะผูกพันกับมันในฐานะเพื่อนจนไม่สามารถพูดว่ารักได้อีกต่อไป

ผมเดินเข้ามาโรงอาหารเป็นที่แรกเหมือนอย่างที่เคยทำเสมอ  ไอ้นุกับส้มมานั่งรออยู่แล้ว  อย่างนี้แหละครับพวกบ้านไกลมักมาเร็ว  ส่วนไอ้พวกที่อยู่หอใกล้ๆ เนี่ย  เรียนแปดโมง  มันตื่นเจ็ดโมงห้าสิบเก้า  อาบน้ำแปรงฟังพร้อมตั้งแต่เมื่อคืนครับ  ดีไม่ดีบอลดึกก็แต่งตัวรอคาบกระเป๋าไว้  นาฬิกาปลุกดังก็มาได้เลย

“ไง ไอ้คุณนุ  อย่าลืมว่าเพื่อนกันไม่กินกันเองนะครับ”  ผมวางกระเป๋าแล้วก็เปิดปากแซวมันทันที  ใบหน้าหนาๆ ของพ่อเจ้าประคุณแดงขึ้นเล็กน้อย  ในขณะที่ผู้หญิงอย่างไอ้ส้มลอยหน้าลอยตายิ้มให้ผมแบบไม่สะทกสะท้าน  เออ  เว้ย  ก็สลับกันได้เหมาะดี

“ปากดีนักนะเมิง  พอพ่อไม่มาคุมก็เอาใหญ่”  มันเกาหัวแกรกๆ  แต่ดูจากคำย้อนที่ไม่ค่อยจะเจ็บแสบ  สร้างสรรค์เหมือนอย่างทุกที  แสดงว่าคงเขินไม่ใช่น้อยแหละครับ  เอาเถอะครับ  มันกับไอ้ส้มก็สมกันดี  ถ้าในกลุ่มจะมีคู่รักเพิ่มขึ้นมาสักคู่จะเป็นไรไป  ดีออกด้วยซ้ำไป  ผมจะไม่มีอะไรให้ได้แซว  ไม่เหงาปาก

“เอ้า  เชิญรุกต่อไปได้เลยครับ  กระผมขอตัวไปหาอะไรใส่ท้องก่อน”

“หึ  เมื่อก่อนกูบอกให้กินเท่าไร ไม่เคยฟัง  เดี๋ยวนี้กินเองได้ไม่ต้องบอก  พัฒนาขาขึ้นนะเมิง ไอ้ไนท์รู้ดีใจตาย”  นั่นไงครับ  พอสมองเริ่มทำงาน  ปากมันก็คิดหาคำพูดสร้างสรรค์มากัดคืนได้เร็วเหลือรับ

“สาด  หิวกูก็กิน  ผิดเรอะ  หาเรื่องนะเมิง  เดี๋ยวกูปากสว่างบอกอะไรๆ ไอ้ส้มมันแล้ว...”

“ไปเลยมึง  หรือต้องให้กูพาไปเลือก  จ่ายให้เลยด้วยดีมั้ย”  ไอ้นุรีบยืนขั้น  ดันหลังผมให้ออกไปหาอะไรปิดปากเร็วๆ  ด้วยกลัวว่าปากดีๆ ของผมจะปิดทางเจริญก้าวหน้าด้านความรักของมัน

“ฮ่าๆๆ  ตัวเมิงไม่ต้อง  เอาแต่เงินก็พอ”  ผมมองหน้าตาเคียดแค้นของมันด้วยความสนุก  แต่ดูเหมือนคนที่สนุกยิ่งกว่าจะเป็นไอ้ส้ม  ที่หันมาสบตาผมอย่างมีเลศนัย  ดูท่าความลับไม่มีในโลกนี่จะเป็นเรื่อจริงนะครับ

ผมกินข้าวจนหมดเหมือนอย่างที่มันสั่งไว้  แต่ก็ยังไม่มีเห็นวี่แววของคนที่เคยมานั่งคะยั้นคะยอให้กิน  จนพวกผมเข้าเรียน  มันก็ยังไม่มา  การที่มันจะโดดเรียนสักวันสองวันมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ  แต่ไม่รู้ทำไมใจผมถึงรู้สึกแปลกๆ  ราวกับว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นอย่างนั้น  ตกเย็นผมตัดสินใจโทรไป   แต่มันไม่รับ   ผมปลอบใจตัวเองว่ามันคงจะยุ่งๆ แต่กลับห้ามความกังวลไร้สาเหตุที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ของตัวเองไม่ได้   บางที..มันอาจจะไม่สบาย  ผมลังเลว่าจะไปหามันดีไหม  แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ไป  เพราะอะไรผมก็ตอบตัวเองไม่ได้  ทำไมตอนนั้นผมไม่ไปหามัน...ด้วยเหตุผลบ้าบออะไรก็แล้วแต่  ผมพลาดไป...

ไอ้ไนท์ไม่มาเรียนตลอดทั้งอาทิตย์  ผมโทรไปโทรศัพท์มันก็ปิดเครื่องตลอด  ไปหาที่คอนโดมันก็ไม่อยู่  ตลอดเจ็ดวันเต็ม  มันหายไปจากชีวิตผม  หายไปโดยที่ผมไม่รู้เลยว่ามันเป็นตายร้ายดียังไง  ไม่รู้ว่ามันทำอะไรอยู่ที่ไหน  สบายดีไหม  ผมไม่รู้อะไรเลย

ผมร้อนใจ  กังวลใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  ครั้งนี้เองที่ผมรู้ตัวว่ามันสำคัญกว่าที่ผมคิด  การไม่มีมันอยู่ข้างๆ ทำให้ผมเสียศูนย์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  มันไม่ใช่รักครั้งแรก  แต่เป็นรักที่ต่างจากทุกครั้งที่เคยพบมา

...เพราะมันเป็นความรักที่ไม่ได้เกิดจากรูปลักษณ์ภายนอก  ไม่ได้เกิดจากคำหวานหรือการเอาใจ  ไม่ได้เกิดจากความเหงา   แต่เป็นความรักที่เกิดการความผูกพันและความเป็นเพื่อน  เป็นความรักที่สำคัญของผม  ดังนั้นไม่ว่ามันจะสมหวังหรือไม่  ผมก็ยังดีใจที่ได้รัก...

วันนี้เป็นอีกครั้งที่ผมนั่งรอมันหน้าประตูห้องที่ไฟปิดสนิท  มันยังไม่กลับมา  ผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนและจะตามหามันได้ยังไง  ก็เลยได้แต่รออยู่อย่างนี้...รอ...ไม่รู้ว่านานเท่าไร  แต่เพราะทำอะไรไม่ได้  ถึงเลือกที่จะรอ

บางคนรอเพราะจำใจเลยทำให้เหนื่อยและเจ็บปวด  จนบางครั้งก็เฝ้าแต่โทษคนที่ตัวเองรอ   แต่ผมไม่ใช่  ผมไม่ได้รอเพราะจำใจ  ผมรอเพราะอยากจะรอ  เต็มใจจะรอ  อย่างน้อยผมก็ยังมีความหวังว่ามันจะกลับมา

เสียงฝีเท้าหนักดังมาไม่ไกลทำให้ผมตาสว่าง  เงยหน้ามองด้วยความหวัง  มันกลับมา?...ครับ  มันกลับมา  หัวใจผมเต้นรัวด้วยความดีใจ  แต่เพียงไม่นาน  เมื่อพบว่ามันไม่ได้มาคนเดียว  มีผู้หญิงคนหนึ่งกลับมากับมันด้วย  ท่าทางของคนทั้งคู่ทำให้ผมเดาได้ไม่ยากเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้

วินาทีนั้นผมตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าผมควรจะดีใจที่มันปลอดภัยหรือเสียใจและผิดหวังดี  รู้อย่างเดียวว่าตัวเองมาอยู่ผิดที่ผิดเวลาเข้าซะแล้ว

 

“มึง  ทำไมมาอยู่นี่”  คำถามมันยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้ว่าผมไม่ควรรออยู่ตรงนี้  แล้วผมมาทำบ้าอะไรตรงนี้วะ  หนาวก็หนาว  ยุ่งก็กัด  แม่ง  โคตรจะเสียเวลา  ไร้สาระ  บ้าบอ!!  มึงมานั่งทำโง่อะไรไอ้เวย์

“เปล่า  ก็เห็นมึงไม่ไปเรียน”

“....” มันไม่ตอบแต่ผมก็ไม่กล้าคาดคั้น  ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้ามัน  กลัวว่าจะทนไม่ได้  กลัวว่าจะยั้งตัวเองไม่ให้ชกหน้ามันไม่ได้  โกรธครับ! อารมณ์ความรู้สึกตีกันวุ่นวายไปหมด  และคงไม่ดีแน่ถ้าผมจะคุยกับมันให้รู้เรื่องว่ามันหายหัวไปไหนมา  ทางที่ดีที่สุดคือออกไปสงบสติอารมณ์ตัวเองให้ได้เสียก่อน

“เออ  ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว  กูไปนะ”

“เดี๋ยว”  ผมลุกเดินไปกดลิฟท์  แต่มันรั้งแขนไว้

“กูง่วง  พรุ่งนี้ไปคุยกันที่มหาลัย  ไปเรียนด้วยนะมึง”

 

ผมนั่งแท็กซี่กลับมาบ้านตัวเองก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว  ทักทายแม่ด้วยสีหน้าปกติ  กินข้าวด้วยท่าทางปกติ  ปกติเสียจนตัวเองยังแปลกใจ  ต้องขอบคุณความอดทนของตัวเองจริงๆ ที่ไม่ทำให้ขายหน้า  นี่ถ้ามีเหรียญรางวัลให้มันสักหน่อย  มันอาจจะทำหน้าที่ได้ขยันขันแข็งขึ้นนะครับ  เพราะทันทีที่ผมเปิดฝักบัวรดหัว  มันก็พากันหมดแรงละเลยหน้าที่กะทันหันเสียจนผมไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตามันไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไร

“โง่  มึงมันโง่  ฮึก.. แม่งเอ๊ย..”  ผมหลับตา ปล่อยให้น้ำจากฝักบัวทำให้อารมณ์เย็นลง  แต่จริงๆ แล้วมันแทบไม่ช่วยอะไรเลย  ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่  และจะต้องทำอะไรต่อไป  เหมือนคนหลงทางอยู่ในเขาวงกต  ไม่ว่าจะเลี้ยวไปทางไหนก็เต็มด้วยความหวาดกลัว  กลัวว่าจะต้องติดอยู่ในนี้ตลอดไป..คนเดียว

ผมลูบหน้าตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกสติ  กับแค่อกหักครั้งเดียวมันจะเป็นอะไรนักหนาวะ  เมิงก็ทำใจไว้แล้วไม่ใช่เหรอวะ  จะมัวมานั่งคร่ำครวญเหมือนคนบ้าทำไม  เห็นอยู่ว่ามันชอบผู้หญิง  แล้วมึง..มึงเป็นใคร  มีสิทธิ์อะไรไปวุ่นวายกับชีวิตมัน  มีสิทธิ์อะไรไปโกรธมัน  แค่หวัง..มึงยังผิดเลยไอ้เวย์

 

 

ตอนเช้าผมตื่นมาด้วยอาการเหมือนคนเมาค้าง  โลกหมุนครับ  มันเบลอๆ บอกไม่ถูก  เห็นหน้าตัวเองในกระจกแล้วแทบจะผงะ  ความหล่อลดหดหายเหลือแต่อาการ “หน้าผี” ที่ไอ้นุมันชอบเรียกไอ้แชมป์เวลาลืมกินข้าว   ผมอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนเหมือนทุกวัน  ต่างกันก็แค่วันนี้ต่อมรับความสุขของผมทำงานบกพร่อง  พาลให้ต่อมหิวหยุดทำงานไปด้วย  ขนาดเห็นไข่พะโล้ในหม้อผมยังไม่ตื่นเต้นเลย  คิดดู!  ว่าเรื่องใหญ่ขนาดไหน  โห  เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมันน่ากลัวนะครับ  หม้อไข่พะโล้หมุนบนเตาแก๊สได้ด้วย

ผมลงจากรถเดินมาถึงหน้าคณะก็บังเอิญเจอไอ้แชมป์ที่มักจะบังเอิญมาสายเหมือนๆ กันเขาพอดี  ผมหันไปยิ้มให้มัน  แต่มันดันขมวดคิ้วมองหน้าผมแปลกๆ

“ไอ้เวย์  อะไรต่อยตามาวะ  บวมชิบ”  อ้าว  จริงดิ! กูก็ว่ามองอะไรไม่ค่อยเห็น  เห็นแต่คนอื่นนี่แหละมองกูจัง

“ป่าว  เมื่อคืนกูดูชิงร้อยชิงล้าน”

“แล้ว?”

“ขำจนร้องไห้ไงเมิง  หยุดไม่ได้ว่ะ”  ผมว่าไม่ใช่เฉพาะหน้าแล้วครับ  สมองผมวันนี้มันต้องมีปัญหาด้วยแน่ๆ  ข้อแก้ตัวโคตรน่าเชื่อ

“ปัญญาอ่อน”  เออ  ก็กูว่างั้นแหละ   ไอ้แชมป์มองผมหน้าเมื่อยแต่ก็เอาแขนมาพาดไหล่ผมไว้อย่างให้กำลังใจ  มันก็เป็นของมันแบบนี้แหละครับ  มันไม่ถามแต่รอให้ผมบอก  มันไม่เซ้าซี้แต่คอยอยู่ข้างๆ เสมอเวลาเพื่อนมีปัญหา   ผมก็น่าจะรู้ว่าความเป็นเพื่อนนี่แหละดีที่สุดแล้ว  ไม่น่าหาเรื่องเจ็บตัวให้ตัวเอง

“เป็นไรวะ  กินข้าวกันมึง  กูเลี้ยง  เดี๋ยวคาบแรกมีพรีเซนส์ มึงจะสลบไปซะก่อน”  ว่าแล้วมันก็ลากผมไปโรงอาหาร  เอาวะ  กินก็กิน  ไม่หิวก็กิน  เพราะ...มันฟรี  ยิ่งไอ้คนเกลียดข้าวเช้ามันลงทุนเลี้ยงซะด้วย  ลาภปากเห็นๆ   แต่เดี๋ยว! พรีเซนส์?

“พรีเซนส์!!”

“เออ  ไง  อย่าบอกนะว่ามึงลืม?”

ผมไม่ตอบ  แต่หันไปสบตามันด้วยสายตาราวกับนักโทษรอการประหาร  ไอ้แชมป์สบถพรืดตามมาด้วยคำด่าเล็กๆ พอน่ารักน่าชังอย่าง “ไอ้โง่”  แล้วมันก็เปลี่ยนทิศ  พาผมขึ้นไปห้องเรียนทันที  ตามด้วยกระดาษสามสี่แผ่นยัดมาในมือผม

“กูเตรียมมาสองเรื่อง  มึงเอาไปเรื่องหนึ่ง  ทีเหลือช่วยตัวเองแล้วกัน”  เพื่อนรัก!!  ไอ้ผู้มีพระคุณ  ไอ้คนช่วยชีวิต  ไอ้  ไอ้  ไอ้หลวงพระรอด  มึงช่างประเสริฐเลิศเลอยากหาใครที่ไหนมาเปรียบ  ไอ้พ่อเจ้าประคุณทูนหัว!!

“ไม่ต้องซาบซึ้งขนาดนั้นมึง  อ่านซะ”

“คร้าบ”  ผมก้มมองกระดาษในมือ  เอ  ทำไมกูอ่านไม่ออกวะ  หรือยังเบลอๆ  ผมสะบัดหัวแรงๆ แล้วก้มลงอ่านใหม่ O.O!!  “ภาษาอังกฤษ!!!!!!!!”

“เออ”

....จบสิ้นกันแล้วชีวิตกู....

 

I’m big, big boy in a big, big world…  ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอลิสหลงอยู่ในวันเดอร์แลนด์มากครับ  ประมาณหลงอยู่ที่ไหนสักที่ที่มีแต่ตัวบ้าบอที่อ่านไม่เข้าใจ  ผมก้มลงฟุบกับโต๊ะเรียนอย่างหมดปัญญา  มีไอ้แชมป์อาสาไปซื้อเสบียงฉุกเฉินให้  สักพักเริ่มได้ยินเสียงเอะอะรอบตัว  คาดว่าคงถึงเวลาเรียนแล้วครับ  ตั้งใจจะเงยหน้ารับชะตากรรม  แต่กลับยกหัวหนักๆ ราวกับท่อนเหล็กของตัวเองไม่ขึ้น  หรือว่าใครที่ไหนมันกดหัวผมไว้  หรือ..ว่า  โดนผีอำ?  ไอ้ผีชั่ว  ออกไป  นะโม  มะตามา  โอม ผี...

“ไอ้เวย์  ไอ้เวย์”  ได้ยินแล้วโว้ย  แต่ไอ้ผีบ้านี่มันไม่ปล่อยกู  จะให้ไงล่ะวะ  “มันเพ้ออะไรไม่รู้วะ  กูฟังไม่รู้เรื่อง”  กูไม่ได้เพ้อไอ้พวกบ้า  สวดมนต์ไล่ผีอยู่เว้ย  นะโม ...

สักพักเริ่มรู้สึกว่าบทสวดมนต์ของตัวเองมันแปลกๆ  แต่ผมก็อดทนสวดต่อไป  สวดไป  สวดไป....

 

 

รู้ว่าตัวเองหลับไปแต่ไม่รู้ว่านานเท่าไร  คงไม่นานมั้งครับเพราะไม่เห็นไม่มีใครปลุกให้ลุกไปพรีเซนส์ซะที  ไอ้เรื่องที่เอามาอ่านก็โคตรจะยาก  แค่ภาษาไทยผมยังจะเอาตัวไม่รอดเลย  ดันเป็นภาษาต่างด้าวแบบนี้ไม่หลับสักงีบไม่ไหวครับ

ผมพยายามลืมตาขึ้น  รู้สึกว่าลำคอแห้งผาก  แค่กลืนน้ำลายยังเจ็บเลย  หรือว่าจะสวดมนต์ไล่ผีนานเกินไป  แถมดูเหมือนนอกจากจะไล่ไม่ไปแล้ว  มันยังบังอาจไปตามเพื่อนมาช่วยด้วยแน่นอน  เพราะนอกจากหนักหัว  ตอนนี้รู้สึกว่าผมจะหนักไปหมดทั้งตัว

“เวย์  เป็นไง  ดีขึ้นมั้ย”  รู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆ บนหน้าผาก  ไล่ไปที่แก้มและลำคอ  ผมพยายามจะลืมตาขึ้นมองแต่ไม่สำเร็จ  ผีมันยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ครับ  ตาลืมไม่ขึ้น  ปากอ้าไม่ได้  โคตรจะน่าแค้นใจเลย  สัมผัสเย็นๆ นุ่มๆ ไล้ไปทั่วทั้งตัว  ไม่อยากบอกเลยครับว่าสบายมาก  เย็นๆ เพลินๆ  แถมไม่เหนื่อยด้วย  นี่หรือครับข้อดีของการถูกผีอำ  แหม  ถ้ารู้นอกจากไม่น่ากลัวอย่างที่คิดแล้วยังสบายขนาดนี้  ผมจะไม่สวดมนต์ให้เหนื่อยเลย  ดีไม่ดี  รับจ้างเชิญผีมาอำหารายได้พิเศษอีกต่างหาก

“มึงห้ามเป็นอะไรนะ”  เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นที่ข้างหู  เสียงที่ผมคุ้นเคยดีแต่ไม่อยากจะเชื่อตัวเอง  หรือว่าผมกำลังฝันไป  เอาวะ  ในเมื่อความจริงมันเป็นไปไม่ได้  งั้นฝันต่อแล้วกัน

สัมผัสเย็นแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นข้างแก้ม  นิ้วมือทั้งสากทั้งใหญ่  แต่ผมกลับชอบสัมผัสนี่มากกว่าสัมผัสไหนๆ  ผมกำลังฝันดี...  ฝันว่ามันนอนอยู่ข้างผม   มือหนึ่งลูบแก้มผมอย่างอ่อนโยนในแบบที่คนอย่างมันไม่มีวันทำ  แขนข้างหนึ่งกอดเอวผมไว้หลวมๆ  แต่เหมือนมันยังไม่พอใจ  สักพักมันก็ยกหัวผมข้ามาหนุนแขนตัวเอง  ใบหน้าคมก้มลงมาจนจมูกเราห่างกันเพียงเส้นผมคั่น  ผมกลั้นหายใจรออย่างไม่รู้ตัวทั้งที่นี่เป็นความฝันของตัวเองแท้ๆ  ทั้งที่จะจัดการให้มันทำอะไรก็ได้ในความฝันนี้  แต่ตัวผมกลับกำลังเกร็งรอรับสัมผัสนั้นด้วยใจเต้นถี่   ลมหายใจอุ่นจนร้อนนั้นทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก   ทว่ามันกำลังชะงักอยู่อย่างนั้น  ตัวมันสั่นจนผมรู้สึกได้

“ไม่ได้”  สิ้นเสียง  สัมผัสที่ผมรอก็ถอยห่างออกไป  ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก  แต่อีกใจหนึ่งกลับทั้งเสียดายและเจ็บอยู่ลึกๆ  ทำไมถึงไม่ได้  ทำไมถึงเป็นผมไม่ได้  เพราะอะไร   ทั้งที่นี่เป็นความฝันของผมแท้ๆ   แม้แต่ในฝัน...ก็ยังไม่ได้...

 

เก็บเธอไว้แค่ฝัน ได้ไหม เพราะหัวใจฉันกระซิบว่า  รักไม่ได้ บอกกับตัวเอง หัวใจตัวเอง
ต้องห้ามตัวเอง บอกมันอย่าหวั่นไหว   รักเขาไม่ได้ เขาดียังไง
ชอบเขาเท่าไหร่ก็ต้องหยุดไว้เอง

 

 

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง  คราวนี้รู้สึกนี้ว่าตัวเบาขึ้นเยอะทีเดียว  แต่คอนี่สิครับโคตรเจ็บ  หัวก็ปวดตุ้บๆ อาการเหมือนคนมีไข้   เออใช่  เนี่ยแหละ  อาการแบบนี้แหละเหมือนตอนที่ผมป่วยเลย!  เหมือนมาก

“ป่วย?” 

“เออ  มึงป่วย  นี่ไข้ลดลงแล้ว  หิวมั้ย?”

ผมแทบผงะเมื่อเห็นไอ้ไนท์นอนอยู่ข้างๆ  หน้ามันอยู่ใกล้เสียจนผมไม่กล้าหายใจ  ความรู้สึกแรกที่เห็นหน้ามันคือดีใจ  แต่อยู่ๆ ภาพวันนั้นก็กลับมาฉายซ้ำๆ ตรงหน้าผม  ผมไม่รู้เลยว่าเริ่มคุยกับมันยังไง  ต้องคิดกับมันยังไง  ต้องทำตัวแบบไหน  บอกตรงๆ ว่ายังหาที่ยืนให้ตัวเองอยู่ข้างมันแบบสบายใจเหมือนแต่ก่อนไม่ได้  ตอนนี้..ผมควรมองมันในฐานะอะไร

“ทำไมมองกูอย่างนั้น”  มันทำหน้าเหมือนเจ็บอะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจ  และไม่เคยเห็น  ผมมองมันยังไงนะ  เมื่อก่อน..และหลังจากนี้  สายตาผมเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า

โครกกกกก

แต่ก่อนที่บรรยากาศจะกระอักกระอวนไปมากกว่านี้  เพราะสมองตื้อๆ ของผมมันไม่อนุญาตให้ผมใช้ความคิดสร้างสรรค์ใดๆ ในการกู้สถานการณ์ให้ไหลไปได้อย่างทุกที  ท้องเจ้ากรรมก็อาสาออกหน้าเสียก่อนครับ

“มานั่งดีๆ  กูซื้อข้าวต้มไว้ให้แล้ว”

ผมที่ยังมึนงงก็ได้เลยนั่งให้มันป้อนข้าวป้อนน้ำ  ตามด้วยยาอีกหลายเม็ด  ที่แท้ก็ป่วย  ไอ้ผมก็บ้าสวดมนต์ซะเหนื่อยเลย  นึกว่าถูกผีอำ

“เช็ดตัวอีกรอบดีมั้ย  เหงื่อมึงออกเยอะเลย”  ไอ้ไนท์พูดเสียงนุ่ม  นานมากแล้วนะครับที่ผมไม่ได้ฟังมันพูดแบบนี้  ตั้งแต่ที่มันหายไปนั่นแหละ  ผมนั่งเฉยๆ ยอมให้มันเช็ดตัวดีๆ เพราะคบกันมานานเกินกว่าจะมัวมานั่งอิดออดแล้วครับ  ถึงผมอยากทำเองแค่ไหนมันก็คงไม่ยอมอยู่แล้ว  ดีไม่ดีถูกด่าว่าไม่เจียมสังขารอีกเปล่าๆ

ท่าทางการเช็ดตัวมันออกจะทุลักทุเลแถมพิลึกอยู่ไม่น้อยครับ  ไอ้ไนท์มันนั่งซ้อนหลังผม  ให้ผมพิงมันเพราะนั่งคนเดียวแล้วตัวมันชอบเอนล้มไปเองเหมือนคนสมดุลทางร่างกายเสีย  กำลังนั่งเพลินๆ ก็ต้องตกใจเพราะอยู่ๆ ไอ้พ่อพยาบาลจำเป็นมันก็กอดผมไว้  แถมยังซบหน้ากับไหล่ผม  ท่าทางเหมือนจะอ้อนของมันทำให้ผมทำตัวไม่ถูก

“มึง  อย่าป่วยอีกได้มั้ย” 

ผมอยากจะเถียงมันว่าคนมันจะป่วยห้ามได้ที่ไหน  นึกๆ ดูแล้วมันนี่แหละครับที่เป็นต้นเหตุให้ผมนั่งตากน้ำฝักบัวอยู่หลายชั่วโมง 

“กูเหลือมึงแค่คนเดียว”

ผมชะงักกับคำพูดและเสียงอ่อนแรงของมัน  มันหมายความว่ายังไงที่บอกว่าเหลือผมแค่คนเดียว  ครอบครัวมัน  พ่อกับแม่มันล่ะ   เพื่อนคนอื่นล่ะ  ทำไมถึงจะเหลือแค่ผมคนเดียว

“ไนท์  มึงไม่ได้..”  อ้อมกอดมันกระชับแน่นขึ้น  สัมผัสอุ่นชื้นที่ไหล่ทำให้ผมหันไปมองอย่างแทบไม่เชื่อสายตา  ร้องไห้?  มันกำลังร้องไห้?  “ไนท์..”  ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก  อยากถามว่าเกิดอะไรขึ้น  อยากรู้ว่ามันเป็นอะไร 

“อยู่เฉยๆ”  เสียงที่ฟังดูไม่เหมือนเป็นคำสั่ง  แต่ฟังคล้ายคำขอร้องนั่นทำให้ผมไม่กล้าขยับตัว  ผมนั่งให้มันกอดอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร  เราทั้งคู่ต่างไม่มีใครพูดอะไร  แต่กลับรู้สึกว่าเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักกันและกันอย่างแท้จริง  ราวกับมีเชือกที่มองไม่เห็นเส้นหนึ่งมัดผมไว้กับมันตั้งแต่นาทีนั้น  เชือกที่ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันรัดแน่นขึ้นทุกวันๆ  จนผมไม่สามารถแยกออกมาได้

เชือกที่เรียกว่า...ความผูกพัน

หลายคนเคยบอกตัวเองให้เลือกระหว่างความรักกับความผูกพัน

หลายคนบอกว่ารักและผูกพันไม่เหมือนกัน

สำหรับผม...ความรักครั้งนี้เริ่มจากความผูกพันและอยู่มาได้ด้วยความผูกพัน

 

 

คืนนั้นมันนอนกอดผมไว้  มือข้างหนึ่งกดหัวผมให้พิงอยู่กับหน้าอกมัน  และเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น  เหตุผลที่มันไม่ยอมมาเรียน  พ่อกับแม่มันทะเลาะกันเพราะแม่จับได้ว่าพ่อมันรักผู้ชายอีกคน  สุดท้ายแม่มันก็รถคว่ำตาย

ผมกอดมันแน่น  ฝังหน้ากับหน้าอกมัน  ร้องไห้หนักกว่าครั้งไหนๆ  หนักกว่าตอนที่คิดว่าตัวเองอกหัก  หนักกว่าตอนที่รู้ว่าผมไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของแม่   ร้องไห้ไม่แค่เพราะเสียใจกับมัน  แต่เพราะตอนที่มันเจ็บปวดขนาดนั้น  ผมไม่ได้อยู่ข้างๆ มัน  เพราะวันนั้นผมไม่ยอมตามหามัน  ร้อง..เพราะว่าผมช่วยอะไรมันไม่ได้เลย

ไอ้ไนท์มันกอดผมแน่นขึ้นเหมือนกัน  และกลับเป็นฝ่ายปลอบผมเสียเอง  บอกผมว่ามันไม่เป็นไรแล้ว  ห้ามไม่ให้ผมร้องไห้เพราะกลัวไข้กลับ  ผมเพิ่งรู้ว่าระหว่างผมกลับมันไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ  เพราะเราต่างคิดถึงอีกคนเสมอ  มันเป็นความสัมพันธ์ที่ให้และรับอย่างเท่าเทียม  เป็นสิ่งที่ผมเพิ่งเคยเจอ

ไอ้ไนท์ลูบหลังผมเบาๆ  เราต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง  พอเสียงสะอื้นผมเบาลง  มันก็จับคางให้ผมเงยหน้าสบตามัน

สายตาแน่วแน่ของมันทำให้ผมอดใจสั่นไม่ได้  ปล่อยให้มันเช็ดน้ำตาให้โดยที่ผมก็ไม่ได้หลบตา  มันก้มหน้าลง  กดริมฝีปากบางกับหน้าผากผม  เลื่อนลงมาที่เปลือกตา   วินาทีนั้นผมคิดอะไรไม่ออกเลย  สมองตื้อจนปล่อยให้ความรู้สึกล้วนๆ นำพาร่างกาย   ยามที่ริมฝีปากสัมผัสกัน  ผมบอกตัวเองว่าไม่เสียใจเลยที่รักมัน  กระทั่งตอนที่ตอบรับคำสัญญาของมัน  ผมก็นึกไม่เสียใจเลย

 

“เวย์  มึงจะเป็นเพื่อนรักของกูไปตลอดชีวิตได้มั้ย”

“ได้  กูสัญญา”

 

เพราะผมรู้ว่าผมจะเป็นคนสำคัญของมัน  ไม่ว่าอยู่ฐานะไหนผมก็จะเป็นสิ่งสำคัญของมัน..ตลอดชีวิต  เหมือนที่ผม..เลือกจะรักมันไปตลอดชีวิตเช่นกัน

 

..........................................................................

 

ผมวางปากาลง  ปิดสมุดบันทึกเล่มเล็กแล้วลูบปกสีฟ้าครามนั้นเบาๆ  ทะนุถนอมสิ่งที่จดบันทึกความทรงจำดีๆ ของผมกับมันไว้   ความทรงจำที่มันอาจจะลืมไปแล้วแต่ผมก็ยังเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คงจะหลงเหลืออยู่ที่ไหนสักแห่งในหัวใจมัน

คุณลุงพาไอ้ไนท์ออกไปข้างนอก  ผมเลยได้โอกาสเขียนบันทึกจนจบปีหนึ่ง  กะว่าจะเริ่มอ่านใหม่อีกครั้งก่อนจะเริ่มบันทึกช่วงเวลาของปีสอง  ผมก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังหวังอะไรอยู่  หรือทำไปเพื่ออะไร  จดไว้ทั้งที่จะไม่มีวันให้มันได้อ่าน   หรือเพราะผมยังหวังลึกๆ ว่ามันจะจำได้ในสักวันหนึ่ง

ผมดีใจที่มันรักผม  ดีใจที่มันอยู่ข้างๆ ผม  แต่ไม่เคยไม่เสียใจที่มันลืมไปแล้วว่ารักผมเพราะอะไร  จริงอยู่ครับที่ความรักไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล  แต่ความผูกพันไม่มีวันก่อตัวได้ในวันเดียว  ความผูกพันต้องใช้เวลานาน  ผ่านเรื่องราวต่างๆ หลายหลากจนกลายเป็นเชือกเส้นหนึ่งที่พันรอบตัวเราไว้รอบแล้วรอบเล่า

ในขณะที่เชือกเส้นนั้นมัดผมไว้แน่น  ในขณะที่ผมรู้จักความยาว  ขนาด  สีสันของมันดี  ผมจึงยอมอยู่ภายใต้การผูกมัดของมันได้โดยไม่รู้สึกอึดอัดหรือกังวล   แต่ไอ้ไนท์ล่ะ  มันยังถูกมัดอยู่ด้วยกันกับผมหรือเปล่า  ผมไม่แน่ใจ

 

มือเล็กเปิดสมุดอีกครั้ง  สายตาไล่อ่านตั้งแต่หน้าแรก  สีหน้าหลากหลายเกิดขึ้นตามเรื่องราวที่เจ้าตัวเขียนบันทึกไว้  เปลี่ยนไปมาราวกับกำลังย้อนเวลาไปอยู่ในจุดนั้น  เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนปลิวตามแรงลม  ไม่นานศีรษะทุยๆ นั้นก็ค่อยๆ โคลงเคลงจนสัมผัสกับหัวเตียง  แล้วนิ่งไป...

ในความฝันเขากำลังวิ่งเล่นไปกับความทรงจำในอดีต  ขณะที่ในความเป็นจริง  ใครบางคนอุ้มเขาให้นอนลงในท่าทีคิดว่าน่าจะสบาย  ห่มผ้าและจูบหน้าผากเขาอย่างอ่อนโยน  ก่อนที่สายตาคมจะเหลือบไปเห็นสมุดบันทึกเล่มนั้น  ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งลงบนเตียงข้างๆ คนหลับ  ก่อนจะเปิดอ่านทีละหน้า…

ตราบจนถึงหน้าสุดท้าย  มือใหญ่ที่ถือสมุดอยู่ก็สั่นจนสังเกตได้  น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงบนกระดาษแผ่นสุดท้าย  ข้างๆ คำสัญญาที่เขาเป็นฝ่ายร้องขอ....

 

......................จบ(ไม่) บริบูรณ์.........................

 


whitedemon

  • บุคคลทั่วไป
เปิดสั่งจองและโอนเงินอย่างเป็นทางการ

หนังสือ Wait หรือ เมิง จะ เล่น เพื่อน  จำนวน 650 – 700 หน้าโดยประมาณ  เนื่องจากระยะเวลาสองเดือนที่ให้เปิดจองและโอนเงิน  ตอนพิเศษและเนื้อหาตอนตรวจทานมันคงจะเพิ่มขึ้น = =;;

แบ่งเป็นสองเล่ม  เล่มละ 330 – 350 หน้า  ปกหน้าสีเคลือบด้าน  ไสกาว  กระดาษ green read ถนอมสายตา  ภายในมีภาพประกอบฉากบางฉากซึ่งรอติดตามในหนังสือค่ะ

ราคา  เล่มละ 300 บาท  รวมสองเล่มเป็นเงิน 600 บาท  ไม่รวมค่าจัดส่งทั่วประเทศ 50 บาท  ชุดที่ 2 คิดเพิ่มอีก 30 บาท  ชุดที่ 3  เพิ่มอีก 20 บาท (ใส่กล่องกันกระแทกอย่างดี)

ตอนพิเศษ

1. A Way in Wonderland by Garnet

   “เฮ้ย!  ไอ้บ้าที่ไหนเอาชุดนี้มาแต่งให้กูวะ   สัด”   หมดเลยครับหมด   ภาพลักษณ์สุดเท่ที่ผมอุตส่าห์สร้างมากับมือหมดไปแล้วบัดเดี๋ยวนี้   ชุดเมดสีน้ำเงินมากับผ้ากันเปื้อนสีขาว   หัวเหอนี่ไม่ต้องพูดถึง   สไตลิสต์จัดเตรียมวิกผมบลอนด์ทองยาวสลวยมาให้เสร็จสรรพ   ไอ้หน้าไหนมันกล้าทำกับกูอย่างนี้วะ   บอกมานะ   มึงบอกกูมานะ   มิน่า   ตอนวิ่งเมื่อกี้ถึงเย็นวาบ ๆ  กูนุ่งกระโปรงอยู่นี่เอง  เชี่ยเอ๊ย! เสือกซิวไนกี้กูไปด้วยซะงั้น

 

2. SP Pae+Name  By N’ palm  “ Just be friend”  

            “ไม่ใช่แค่นั้น... แต่...โว้ยย! จะให้กูพูดมาให้ได้เลยใช่ไหม!?” ผมสะดุ้งกับเสียงดังๆ ของมัน คนรอบๆ เริ่มหันมามองแล้ว

            “เบาๆ สิวะ เสียงดังไปเพื่อ?”

            “ก็...ก็กู...พูดไม่ถูกนี่หว่า”

            “หึ...” เสียงหัวเราะของผมลอดออกมาจากริมฝีปากแผ่วเบา

            “แล้วยังไง ก็กูไม่ชอบที่มึงเดินหนีกูนี่”

            “?”

 

3. Sp  Champ’s Talk:  “เส้นตรงที่จากไป”

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คนเลิกรัก

ความไม่เข้าใจ  ความเหนื่อยหน่าย  หรือความเห็นแก่ตัว?

สำหรับผม...เหตุผลที่ทำให้เลิกรักนั้นไม่มี

แต่เหตุผลให้ตัดใจนั้น  ชัดเจนอยู่ตรงหน้า...

 

4. Sp Nu’s Talk:  “เมื่อหัวใจบรรจบกัน”

“ผมเคยคิดว่า  หากการได้รักมันคือการต้องหลบซ่อน  ก็จะขอซ่อนไปจนวันตาย  เพราะผมคงปล่อยมันไม่ได้  แต่ผมไม่เคยถาม  ว่ามันเจ็บไหมที่ต้องทนอยู่กับคนเห็นแก่ตัวอย่างผม  จนกระทั่ง...มันหนีผมไป”

 

5. The End: ปลายทางแห่งการรอคอย  

            ไม่มีสปอยล์  รออ่านในเวบ  อีกไม่นานค่ะ

 

6. บทส่งท้าย “Let’s get married”

            ไม่มีสปอยล์  รออ่านเองในเล่มค่ะ

 

ของที่ระลึก   ที่คั่นหนังสือรูปเวย์ไนท์  นุแชมป์  เคลือบและร้อยไหมทองอย่างสวยงาม (ตามฝีมือคนทำและคนช่วยทำ  ฮา)  

 

กรุณาส่งรายละเอียดการสั่งจองดังต่อไปนี้

 ชื่อ-นามสกุล  
 ที่อยู่                            
 จำนวนที่สั่ง  
 ชื่อที่ใช้ในการจอง login หรือ ชื่อสมมุติ
 เบอร์ติดต่อ
รับเอง/ ไปรษณีย์


 มาที่ E-mail: sae_kikung [at] hotmail.com  เพื่อรับรายละเอียดการโอนเงินค่ะ  กรุณาตั้งชื่อเมลว่า “ขอรับรายละเอียดการโอนเงิน WAIT”

(เปิดให้โอนเงินตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม ถึง 31 มีนาคม 2554   ได้รับหนังสือหลังจากนั้นไม่เกินหนึ่งเดือนค่ะ)

 

หากมีข้อสงสัยแล้วต้องการคอตอบเร่งด่วนสามารถติดต่อที่ได้

http://www.facebook.com/#!/profile.php?id=100000152756701  หรือ

yochistunae_nunอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com

 

 

ระวัง!!!!  ตอนจบกำลังจะมา  ^^  กรุณารอรับ

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-01-2011 15:52:19 โดย whitedemon »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






whitedemon

  • บุคคลทั่วไป


ตอนนี้กำลังปั่นตอนจบอยู่ค่ะ  ปาดเหงื่อ

แล้วรีบเอามาลงให้อ่านนะคะ

ขอบคุณหลายคนที่รอ  ขอบคุณหลายคนที่ให้กำลังใจ

ในที่สุดมันก็จบ(สักที) ... :m15: :bye2:

ออฟไลน์ Vesi

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +204/-3
เมลล์มัน กลายเป็นห้ามแสดงเมลล์บนบอร์ดนะครับ ลองใส่ [at] หรืออื่นๆ ลงไปแทน @ ทีครับ

whitedemon

  • บุคคลทั่วไป
^
^

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ @Iriz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-2
รอมานานเรื่องนี้ ในที่่สุดหนังสือก็คลอด  :mc4:
ขอบคุณคุณนุ่นมากๆนะคะ  :กอด1: :L2:

Muzik

  • บุคคลทั่วไป

jokirito

  • บุคคลทั่วไป
มาซะที  เยอะมากกกกกกกกกกกกก  จะตามอ่านไหวมั้ยนี้

ออฟไลน์ DarKLasT

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 595
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
5555

+1จ๊ะที่รัก

เดี๋ยวส่งเมลล์ไปให้นะ


ออฟไลน์ puppyluv

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2539
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2000/-20
อูยยยย จุใจ สาแก่ใจ เอาอีกๆๆๆ

ออฟไลน์ Rukki

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
อร้ายยยยยย
ชอบเรื่องเน้ แต่กว่าจะได้โอนเงิน คงต้องเป็นประมาณ 31 มีนาแน่ๆ เลยฮ๊าาา
เพราะุตอนนี้ไม่มีแม้กระทั่งตังค์จะกิน 555+
แถบจะขายมือถือกินอยู่แล้ว 55555555

ไม่ได้การรร ต้องเก็บเงินนน อยากได้เรื่องนี้ !!1

ออฟไลน์ @Iriz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-2
โอนเงินและแจ้งรายละเอียดไปแล้วนะคะ  :o8:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด