Special Chapter: วันแรกเจอ
“แม่ครับ ผมไปนะ” ผมบอกลาแม่นิ่ม (บอกชื่อให้ฟัง แต่ห้ามเอาไปล้อนะครับ หวง มีแม่คนเดียว ไว้มีหลายคนเมื่อไร จะยอมแบ่งให้เรียกบ้าง) มือถือกระเป๋า เท้าถีบประตู ก้าวซ้ายก่อนเอาชัยแล้วก็เดินฮัมเพลงไปขึ้นรถไฟฟ้า ข้อดีครับของการที่มีรถไฟฟ้ามาตั้งใกล้ๆ บ้าน เรียนแปดโมงผมตื่นเกือบเจ็ดโมงครึ่ง ฮ่าๆ ทันไม่ทันไม่รู้ล่ะ รู้แต่ว่าพอลงจากรถไฟฟ้าเมื่อไร ถ้าไปสายด่ารถป็อบ มันผิดที่มาช้า ผมถูกที่มาก่อนมัน (แม้หันไปทางซ้ายจะเห็นท้ายรถมันเพิ่งผ่านไปไวๆ ก็เถอะ)
ถึงสถานีก็ยังคงคอนเซ็ปก้าวซ้ายขึ้นบันไดเลื่อนอยู่ดีครับ เห็นได้ชัดผมเป็นเด็กรุ่นใหม่ หัวก้าวหน้าขนาดไหน ไอ้เรื่องเชื่อโชคลางของขลังไม่มี๊ไม่มี แต่แม่สอนว่าทางที่ดีอย่าลบลู่ หรือถ้าจะเอาให้ชัวร์ก็ทำตามเขาไปเถอะ ล้วงมือขวาลงในกระเป๋า..ว่างเปล่า อ๋อ สงสัยอยู่ข้างซ้าย ล้วงมือซ้ายบ้าง...ว่างเปล่า อ๋อ สงสัยอยู่ในกระเป๋า ล้วงมือขวาไปควานหาในกระเป๋า ...ว่างเปล่า หรือว่ามือขวามันโชคไม่ดี ลองเปลี่ยนเป็นใช้มือซ้ายล้วงเผื่อจะเจอ ปรากฏว่า...ว่างเปล่า... หรือมันต้องใช้ทั้งสองมือพร้อมกันวะ?? ว่าแล้วด้วยความหน้าด้านหน้าทน ผมนั่งยองๆ แหวกกระเป๋าออกแล้วเริ่มปฏิบัติการล้วงระดับชาติ งานใหญ่อย่างที่ไอ้พวกหนู G –force มันยังไม่กล้าขันอาสา แต่ไอ้เวย์ไม่มีหวั่น ใครมองไม่มีแคร์ เพราะเป็นเลดี้กาก้าไม่แคร์สื่อ ...กลับเข้าฝั่งดีกว่ามั้ยครับ?
ล้วง ล้วง ล้วง ล้วง ไอ้สัดเอ๊ย...ไม่มี!!!
‘โอ๊ยย ซวยแล้วกู ซวยแล้ว’ ผมโอดครวญอยู่ในใจ วันนี้เป็นวันแรกของการเป็นนักศึกษาของผม ด้วยความรีบเกินพิกัด ทำให้ผมลนลานจนลืมหยิบกระเป๋าสตางค์มา แถมเพิ่งจะรู้ตัวตอนที่เดินมาถึงสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสแล้วซะด้วย ไอ้จะกลับไปเอามันก็ไม่ได้ไกลมาก แต่เวลานี่สิเหลืออีกสิบห้านาทีก็จะเปิดประชุมปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่แล้ว แม่งง ลางไม่ดีตั้งแต่วันแรกเลยโว้ยย
“เฮ้! นาย เป็นอะไรรึเปล่า?” ผมเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้าขาวใส และรอยยิ้มจริงใจของเด็กหนุ่มวัยเดียวกัน ที่สำคัญเขาใส่ชุดนักศึกษามหาลัยเดียวกันกับผม
“เอ่อ..คือว่า เราลืมหยิบกระเป๋าตังค์มา แล้ว..เอ่อ..” เอาไงดีวะกู จะให้ขอยืมเขาหรอวะ ไม่ดีมั้ง? ยังไม่รู้จักกันเลยนี่หว่า มันจะหาว่ากูหลอกเอาเงินมันรึเปล่าฟะ แม่งง ใครจะกล้าไปขอวะ ขณะที่ผมกำลังคิดทบทวนกับตัวเองอยู่นั่น
“อ่ะ” เด็กหนุ่มคนนั้นก็ยื่นบัตรบีทีเอสมาให้ พร้อมรอยยิ้มกวนๆ
“อ่ะ เอ่อ” ผมก็ยังลังเล ไม่ได้เกรงใจแล้วล่ะครับตอนนั้น แต่ยังงงๆซะมากกว่า
“เอ้า เอาไปดิ เดี๋ยวสายนะเว้ย” มันพูดจบก็ยัดบัตรใส่มือผมแล้วเดินเข้าช่องทางเข้าไป เอาวะ ไหนๆคนเขาก็อุตส่าห์มีน้ำใจ จะไม่ใช้ก็เสียเงินฟรีดิ ว่าแล้วผมก็เดินตามมันเข้าไป ร่างสูงๆของมันยืนรอผมอยู่
“ขอบใจนะ” ผมเอ่ยเสียงเบาขณะที่เดินเข้าไปใกล้มัน ไม่ได้เขินมันหรอกครับ แต่ไม่ค่อยได้พูดคำนี้กับใครเท่าไร มันเลยตะหงิดๆในใจ
“ไม่เป็นไรเพื่อน ว่าแต่นายเรียนอยู่คณะไรอ่ะ” มันจะถามทำไมของมันนักหนาวะ วิ่งเข้าสิมึง รถป๊อบเลี้ยวโค้งมาแล้วมึงแหกตาดูสิครับ ถ้ามึงวิ่งไปไม่ถึงลิโด้ก่อนมันมา กูจะฮาให้ ด้วยความที่ผมกลัวว่ามันจะตามมาทวงหนี้ที่ผมคิดจะเหนียว ผมก็เลยต้องหาทางหนีทีไล่ให้ตัวเองซะหน่อยครับ กรุณาทำความเข้าใจด้วยว่า “เป็นการหาทางหนีทีไล่” ไม่ใช่ “หนีเอาตัวรอด” ไอ้คำหลังนี่ห้ามใช้นะครับ เพราะมันทำให้ผมรู้สึกไม่ดี
“อักษร” ตอบไปแบบไม่คิดเพราะตั้งใจว่าต้องหาคณะที่มันไกลจากคณะตัวเองเข้าไว้ ผมวิ่งมาทันรถป็อบพอดี ที่จริงก็ไม่ใช่หรอกครับต้องบอกว่ามันหยุดรอมากกว่า ก็ไหนใครสักคนบอกผมว่ามันมาไวไปไวเหมือนจรวดไง แสดด นี่หมาวิ่งแซง แมวตะแคงตด มึงยังไม่ไปเลย
“รีบทำไมของนายวะ กลัวรถหายรึไง” มันบ่นพึมพำแล้วมายืนข้างผม อ้าว! ไอ้นี่ กูเพิ่งด่าคนที่บอกกูมาผิดๆ ไป ทำไมมึงไม่ฟังเล่า ถ้ากูรู้นะว่ามันจะหยุดรอ กูจะวิ่งให้เหนื่อยเพื่อ?
“เออ กลัวไม่ได้ขึ้น” อ้าว กูก็ปากไว อย่าไปคุยกับมันสิเฟ้ย ได้เงินมาแล้วตั้งใจจะไม่คืน ต้องทำเป็นคนไม่รู้จักเข้าใจมั้ยวะ
“กวนตีน” แล้วมึงล่ะ? ไม่กวนกูเลยเนอะ เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงห้านาที มึงก็เริ่มด่ากูแล้วเนี่ย ไอ้คนคบไม่ได้ (แต่ทีตัวเองจะไม่คืนเงินเขา คบได้มากเลยนะมึง)
“ยัง ตีนไม่ว่าง” หยุด..ไม่ทัน สงสัยต้องหาอะไรยัดปากกันพูดมากไว้ก่อนแล้วมั้งเนี่ย
“แต่ตีนกูว่างว่ะ อยากลองมั้ย” มันหันมายักคิ้วท้าทาย หึ กูไม่โง่หลงกลมึงหรอก
“อยาก แต่พอดีไม่มีส่วนไหนของกูว่างลอง” มันขึ้นมึงขึ้นกู ผมมีหรือจะปล่อยผ่านง่ายๆ
“หึ เด็กอักษรเขาปากหมาเป็นเหมือนกันเหรอวะ นึกว่าจะเรียบร้อยๆ” แล้วกูจะรู้มั้ยวะ กูเรียนเศรษฐศาสตร์ไม่ได้เรียนอักษรเว้ย ภาษาอังกฤษไม่กระดิกหางอย่างกูจะมีปัญญาไปเรียนมั้ย มึงคิด แต่ว่าตามจริงเลขกูก็กระดิกแบบแผ่วๆ ดันเลือกเอาเศรษฐศาสตร์แล้วยังเสือกติดอีก ฆ่าตัวตายทางอ้อมแท้ๆ กู
ผมมองหน้ามัน...พ่อกับแม่มึงผสมกันยังไงวะ ถึงได้มึงออกมาเนี่ย?? กูอยากจะรู้เผื่อเอาเคล็บลับไว้ใช้ในอนาคต ก่อนอื่นมาที่นี่ต้องหาแม่ที่ดีของลูกให้ได้ก่อนครับ มองหน้ามันอีกทีก็อยากจะถอนหายใจด้วยความเสียดาย
หน้าตาไม่เหมาะกับปากหมาๆ ของมันเลย
อ๋อ รู้แล้วปากอย่างมึงต้องอยู่คณะนี้เท่านั้น...วิดวะ
อยู่ตรงสามแยกปากหมานั่นไง ฮ่าๆ โคตรเหมาะ
“เป็นไรวะ มองหน้าแล้วยิ้ม อยู่อักษรด้วย อ้าว..หรือว่ามึง...” มันทำตาโต อ้าปาก ประมาณว่าตกใจมาก เสร็จแล้วก็เริ่มมองผมอย่างหวาดๆ กูทำไม? เกี่ยวไรกับอักษร? ทำหน้าเหมือนรู้ว่ากูจะไม่ยอมคืนเงินมึงงั้นแหละ
“กู? ทำไม”
“ชอบผู้ชาย???” มันพูดด้วยสีหน้าจริง และเสียงที่ถึงจะไม่ดังแต่หลายคนคงได้ยินในเมื่อมันยืนเบียดกันเป็นปลากระป๋องแบบนี้
“....” ผมจ้องหน้ามัน จนด้วยคำพูด บอกไม่ถูกว่าระหว่างความโกรธกับความอายอันไหนมันมีมากกว่ากัน แต่ที่แน่ๆ ผมกำลังสรรหาคำด่าตั้งแต่สมัยทวารดียันปีสองพันห้าด่ามันในใจ ตอนนี้ไม่กล้าหันไปมองหน้าใครเลยครับ ทั้งที่เราไม่มองแต่ก็ยังรู้สึกว่ามีคนมองอยู่ สาดเอ๊ย! จะคิดไปเองหรือปล่าวไม่รู้ล่ะ แต่แม่งโคตรอาย
ผม...เกิดมาสิบเก้าปีมีแฟนเป็นผู้หญิงแท้ๆ ทั้งหมดสี่คน แต่ละคนน่ารักขนาดเชอร์มาลย์ชิดขวา อุษามณีชิดซ้าย เหลือแค่ตุ๊กกี้คนเดียวเท่านั้นแหละครับที่พอจะสู้ได้อย่างสูสี แล้วมัน..มันเป็นใครมาจากไหนบังอาจหาว่าผมชอบ ผู้-ชาย กูจะชอบผู้ชายได้ยังไง ถ้ากูชอบเพศเดียวกับตัวเองแล้ว ลูกสาวลูกชายว่าที่นักแสดงในอนาคตที่กูกำลังจะขอเคล็ดลับจากพ่อแม่มึง กูจะผลิตออกมาได้มั้ย ถามหน่อยสิวะ
“ถึงแล้ว ไม่ลงรึไง” มึงยังมีหน้ามาถาม ไอ้เชี่ยเอ๊ย ทำกูขายหน้าไม่พอ มึงยังจะไล่กูลงจากรถ กูจะลงเพื่อ? นี่ตึกอักษร กูไม่ได้เรียนที่นี่ กูเรียนเศรษฐศาสตร์ ไอ้ฟาย มึงเข้าใจมั้ย กูเรียนเศรษฐศ่าสตร์ กูไม่ได้เป็นเกย์ ไอ้สาดด
ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด่ามัน ใจก็คิดว่าไม่ลงเด็ดขาด ครั้นเหลือบไปมองรอบๆ งานเข้าเลยกู!! เห็นหลายคนมองมาแล้วยิ้มให้ผมเหมือนรู้ทัน มึงรู้ทันอะไรกู๊ กูไม่ช่ายยยยย ไอ้เชี่ย ต้องให้กูไปเปลี่ยนชื่อเป็นนายสมชายให้สาแก่ใจพวกมึงเลยดีมั้ย
สุดท้าย..ไม่อยากลง ก็ต้องลงครับ ใครบอกผมไม่แคร์สื่อ ครับสื่อน่ะผมไม่แคร์ แต่ผมแคร์หน้าบางๆ ของผม ผู้หญิงหลายคนมองหน้าผมตาวาว บ้างก็ถอนหายใจด้วยอาการคล้าย “กูว่าแล้ว” ขนาดเดินลงมายังได้ยินคำนินทาลับหน้า (เดินอยู่ข้างหนาครับ) ว่า
“บอกแล้ว ไม่แอ๊บก็อันโนว์( ยังระบุเพศไม่ได้) เสียดายเนาะ หน้าตาดีด้วย”
ผมกล้ำกลืนฝีนความอัปยศไว้ในใจ จำไว้นะมึง อย่าให้กูเจอที่ไหน กูจะตะโกนว่ามึงชอบหลอกฟันเด็กแปดขวบให้ได้ยินกันทั้งมอเลย กูอายบนรถป๊อบ มึงต้องอายทั้งมหาลัย
.................................................
ผมไม่เสียเวลายืนแกร่วให้โดนแซวครับ แม้ใจจะอยากแซวแอ่วสาวก็ตามที หลังจากหน้าหายชาโดยไม่ต้องพึ่งยา(ฉีด) หรือมือ(ตบ) เท้าก็เริ่มรับคำสั่งจากสมองให้วิ่งสี่คูณร้อยไปตึกเศรษฐศาสตร์ทันที นาฬิกาใส่อยู่ที่ข้อมือแต่แน่นอนว่าผมไม่ดูให้เสียอารมณ์
เพราะมัน...ไม่ทันชัวร์!!!
ไอ้เวย์ใส่เกียร์ม้า(จะลดตัวเป็นหมากันเพื่อ?) ควบตัวโก่งแบบไม่กลัวเสียศูนย์ พอเห็นว่าอีกนิดเดียวจะถึงเส้นชัย ใจมันก็มาเกินร้อยแล้วครับ สปีดมีเท่าไรใส่ไม่ยั้งทั้งเท้าหน้าเท้าหลังทำงานประสานกันอย่างดีเยี่ยม ตาจ้องป้ายคณะเขม็งยิ่งกว่าตอนสเนปท่องมนต์สาปแช่ง
อีกนิดเดียว โกยเข้ามึง โกย โกย โก้ยยย
เฮ้ย!!! พรืดดด พรวดดด สวบ แอ้ก!! (แม่งคล้องกันดีชิบ)
...จบสิ้นกันแล้ว ชีวิตกู...
.
.
.
หมดแล้วสิบแปดปีที่สร้างมา หมดแล้ว หมด หมด โม๊ดดดดแล่ว (มิได้พิมพิ์ผิด แค่ลิ้นลืมสำเนียงปกติชั่วขณะ)
ใครเห็นภาพผมตอนนี้คงนึกได้อยู่ไม่กี่เพลงหรอกครับ ง่ายๆ เลยนะ เพลงนี้ผมว่าตรงสุด
...ก่อนเคยเห็น เอ้ออ.. เอ๋ย.. อยู่หลัดๆ ตอนนี้พลัดตกพุ่ม เอิง..เอ๋ย..ไม้...เอย....
เรามารีเพลย์ภาพช้าให้ดูกันครับ ถามว่าอายไหมที่ต้องประจานตัวเอง อายครับ แต่ยอมเพราะ...ผมเกิดมาเพื่อเป็นคนของประชาชน ก๊ากก
ไม่เกินเมตรจะถึงบันไดขึ้นตึก มีไอ้ถุงพลาสติกหน้าโง่แผ่นหนึ่งมันมานอนแอ้งแม่งอยู่บนพื้น ใจผมก็อยากจะตะโกนบอกให้มันหลบไป แต่เผอิญว่าตามัวแต่จ้องป้ายคณะ รู้ตัวอีกทีเท้าก็ลอยจ่อหัวมันอยู่แล้วครับ (ใครว่าถุงพลาสติกไม่มีหัว ผมนี่เถียงขาดใจเลย มันจะไม่มีหัวได้ยังไงในเมื่อมันต้องมีหัวไว้คั่นหูทั้งสองข้างของมัน ...เออ กูก็คิดได้เนาะ = =;
ผมเหยียบมันเข้าเต็มเท้า จากนั้นดูเหมือนว่าไอ้ถุงบ้านั่นมันจะหนักจนทนไม่ไหว สะบัดตัวหน่อยเดียวเท้าข้างนั้นของผมก็ลอยขึ้น ร่างกายเริ่มเสียสมดุล ด้วยความที่ไม่อยากดังตั้งแต่วันแรก ผมจึงพยายามยื้อยุดชุดกระชากตัวเองไว้เต็มที่ แต่ว่า..ผลของมันนี่ออกจะดูอุจาดสายตาไปหน่อยเท่านั้น
เพราะแทนที่ร่างกายซึ่งเสียสมดุลไปแล้วของผมมันจะหงายหลังให้ก้นได้ร้องอรุณสวัสดิ์กับพื้น กลายเป็นว่ามันโน้มไปข้างหน้าจนหัวผมทิ่มทะลุพุ่มไม้ ให้หน้าได้เซย์ไฮกับไอ้ใบสีเขียวๆ นี่แทนน่ะสิครับ!!
สรุปนี่ผมจะพยายามไปเพื่อ????
ไม่เกิดคราวนี้ มึงจะไปเกิดคราวไหนวะไอ้เวย์
“เฮ้ย! คนตกต้นไม้!” นั่นไง..มันมาแล้วไอ้คนสร้างกระแส ผมจะเรียกมันว่าป๋าดันดีไหม แล้วดูมันตะโกนครับ ท่าทางผมมันเหมือนคนตกต้นไม้หรือไงครับ แล้วไอ้พุ่มเตี้ยๆ เนี่ย บ้านเคอิโงะมึงเรียกต้นไม้หรือไงวะ?
“เป็นอะไรหรือปล่าวอ่ะ” ...เออ ไม่เป็นไร กูสบายดี แต่จะสบายกว่านี้ถ้ามึงจะกรุณาช่วยดึงกูขึ้นเงียบๆ ย้ำนะ เงียบๆ
รู้สึกว่ามีมือมาช่วยดึงตัวผมขึ้น พอหัวโผล่มาปะทะกับอากาศบริสุทธิ์เท่านั้นแหละ ผมก็แทบอยากจะเอาหัวมุดลงไปอยู่ที่เดิมอีกรอบ คำเตือนสั้นๆ คำเดียวครับ ...ระวัง! มันกำลังจะมา...
“กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกก”
นั่นไง...มันมากันแล้ว
บอกแล้วไง ไม่เกิดงานนี้จะรอเกิดงานไหน ดีใจกับตัวเองชิบ อยากตะโกนบอกแม่ แม่ครับผมดังแล้ว ดังกร๊ากยาวๆ เลยด้วย ฮ่วย! เพราะมึงเลยไอ้ปากหมา ทำกูซวยแต่เช้า
“ฮ่าๆ นาย..นาย ฮ่าๆ ผม กร๊ากกกก” ผมเงยหน้ามาเห็นผู้ชายตัวสูงหน้าตี๋คนหนึ่งยืนแหกปากหัวเราะผมอย่างเอาเป็นเอาตาย ขอชมจากใจจริง มารยาทมึงดีโคตร
“ผม? ทำไม”
“ฮ่าๆ ไม่มีอะไร เท่ดีวะ กร๊ากก ปีหนึ่งเหมือนกันใช่ป่ะ เราชื่อนุ นายอ่ะ”
“เวย์”
มันมองหน้าผมอึ้งๆ ไปสักพัก ทำไมวะ หรือชื่อผมมันแปลกมาก สักพักมันก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วก็เริ่มแหกปากหัวเราะเต็มแรงอีกครั้ง
“กร๊ากกกก งั้นเมื่อกี้ก็รองเวย์ (wrong way) อ่ะดิ ฮ่าๆๆ บันไดมีไม่ขึ้น จะกระโดดข้ามต้นไม้เหรอวะ กร๊ากกกก ปวดท้องโว้ย ม้ามจะระเบิดแล้วเนี่ย” งั้นมึงก็หยุดขำซะทีสิไอ้สัด ดูแลม้ามมึงด้วย น่าสงสารชิบมีเจ้าของอย่างมึง ถ้ากูเป็นมันนะกูชิงระเบิดตัวเองไปนานแล้ว แล้วไอ้นี่เขาเรียกว่าพุ่มไม้เว้ย มึงดูปากกูชัดๆ นะ พุ่มไม้ ไม่ใช่ต้นไม้
“เหนื่อยยัง” ผมถามผมด้วยสายตาแกมสมเพช ที่จริงสมเพชตัวเองมากกว่าครับ แต่เอาไปลงกับมันแทน ช่วยไม่ได้ครับแม่สอนมาให้รู้จักรักตัวเองก่อนจึงค่อยรักคนอื่น
“เออ เหนื่อยว่ะ” ... สมควร
“ดี จะได้ไปสักที แม่งสายโคตร”
“กร๊ากกกก ก็ถ้านายไม่อุตริไปขี่ต้นไม้ มันคงไม่สายจนขนาดนี้” เอ๊ะ ไอ้เวรนี่ ตกลงมึงจะเอายังไงแน่วะ จะให้กูตกหรือขี่ ส่วนไอ้เรื่องต้นไม้ของมึง กูปลงแล้ว ชาตินี้ยังไงมึงก็คงแยกระหว่างพุ่มไม้กับต้นไม้ไม่ออกหรอก
“ขำเข้าไป เดี๋ยวกูต่อยม้ามแตก” ไม่ต้องรักษาภาพพจน์มันแล้วครับ เจอคนกวนตีนขนาดนี้ ดิบๆ กับมันไปเลย
“โอ๊ย ไม่ต้องต่อยๆ มึงโดดเข้าไปที่เดิมอีกที รับรองแม้แต่ตับกูก็ยอมระเบิด” อ้าวๆ นี่มึงกำลังท้ากูอยู่เหรอ มึงรู้ไหมว่ามึงกำลังท้าผิดคน ผมยักคิ้วให้มันแล้วทำท่าจะเอาหัวทิ่มพุ่มไม้จริงๆ มันร้องเฮ้ยแล้วรีบดึงแขนผมไว้ ไอ้สาด ยุเองห้ามเอง ทีหลังไม่ต้องยุกูให้เหนื่อยนะมึง
“ เฮ้ย จะทำไรวะ”
“ทำให้ตับมึงระเบิดไง” ผมยักคิ้วให้มัน
“กร๊ากกกกก โอ๊ย ขำโว้ย มึงนี่กวนตีนสาด มาเป็นเพื่อนกันเหอะว่ะ คนบ้านเดียวกัน” ...แค่มองตากันก็เข้าใจอยู่ รู้ว่าเหนื่อยเพียงไหน ฮ่วย ไอ้บ้า... รู้ด้วยเหรอมึงว่าตัวเองกวนตีน นี่ถ้ามึงยังไม่รู้ตัว กูว่าจะอัญเชิญหลวงพ่อมารดน้ำมนต์เบิกสมองมึงแล้วนะเนี่ย
“เออ” ผมตอบตกลง แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะถูกใจเหตุผลคนบ้านเดียวกันของมัน แต่เป็นเพราะว่าหลังจากเหตุการณ์หัวทะลุพุ่มเมื่อกี้นี้ ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าจะยังมีใครกล้าคบผมเป็นเพื่อนอีกหรือเปล่า