หายจากคุณเชษฐ์กับภัทรไปนานมาก ตอนนี้ได้ฤกษ์กลับมาเสียที แต่มาด้วยตอนพิเศษไปก่อนแล้วกันนะจ๊ะ ช่วงนี้ป้าก่งก๊งกับชีวิตตัวเอง แต่คาดว่าต้นปีหน้าจะได้เป็นสมาชิกสภาคนว่างงานชั่วคราว (ก๊ากกก ขำตรงไหน) เนื้อเรื่องของตอนพิเศษนี้จะเท้าความถึงช่วงงานเลี้ยงปีใหม่ ซึ่งเกิดก่อนเรื่องในวันวาเลนไทน์ของปีถัดมาที่ทั้งคู่ตกลงคบกันแล้ว ตอนแรกก็อยากให้บรรยากาศมันคริสต์มาสกว่านี้แต่เขียนจบแล้วมันดูจะหนักไปทางปีใหม่ซะมากกว่า ยังไงก็ขออวยพรให้คนอ่านทุกคนมีความสุขและเอ็นจอยวันหยุดกันนะจ๊ะ
ปล. ใครจะไป countdown ปีใหม่ที่เชียงคาน เจอกันเด้อ (ไม่ได้จะไปตามรอยนาธานนะ)
+------+Special Episode for X-Mas & New Year’s Celebration: อีกปีที่ผันผ่านเสียงดนตรีครึกครื้นดังกระหึ่มผ่านลำโพงตั้งพื้นในสวนอาหารกลางแจ้งแห่งหนึ่ง ขณะเดียวกับที่ผู้คนซึ่งนั่งทานอาหารเฮฮาไปกับการแสดงที่อยู่บนเวที ในเวลาเดียวกัน ที่ด้านในของสวนอาหารซึ่งอยู่ลึกเข้าไปด้านใน ใกล้กับห้องน้ำคือห้องเก็บของของพนักงานร้านที่คืนนี้ถูกหยิบยืมเป็นห้องแต่งตัวชั่วคราว และภายในห้องแต่งตัวนั้น หลายชีวิตกำลังวุ่นวายกับการเติมเครื่องสำอางครั้งสุดท้ายและจัดชุดให้เข้าที่ แม้แต่คนที่เดินผ่านไปมาเพื่อเข้าห้องน้ำที่อยู่ห่างไปไม่กี่เมตรก็ต้องได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดที่หลุดมาจากด้านในได้เป็นระยะ
ภัทรเงี่ยหูฟังเสียงปรบมือและผิวปากหลังการแสดงที่เพิ่งผ่านไปจบลง จากนั้นจึงเคาะประตูเรียกคนในห้อง
“พี่ป๋วย ของกลุ่มคุณเชษฐ์เค้าแสดงจบไปแล้วนะ ข้างในแต่งตัวกันเสร็จหรือยัง?”
“ว้าย! ทำไมเร็วอย่างงั้นล่ะ เดี๋ยวนะเดี๋ยว เฮ้ยนุ่น รองเท้าแกอยู่นี่ แหม่มๆ วิกเอียงอยู่แน่ะ โอ๊ยยยยย! นี่ภัทร เธอไปที่เวทีแล้วพูดอะไรถ่วงเวลาไปก่อนทีซิ!”
ท้ายประโยครุ่นพี่สาวเปิดประตูห้องแต่งตัวออกมาสั่งอย่างเร่งรีบ ยังไม่ทันที่คนถูกสั่งจะอ้าปากก็โดนประตูบานเดิมปิดดังปังใส่หน้า หลังเงี่ยหูฟังความวุ่นวายในห้องที่ยังดำเนินไปไม่หยุด ภัทรก็ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า กับอีแค่การประกวดการแสดงภายในบริษัทเพื่อฉลองส่งท้ายปีนี่ต้องเอาจริงเอาจังกันขนาดนี้เลยหรือ
ชายหนุ่มหมุนตัวเดินจากห้องแต่งตัวเพื่อไปยังส่วนจัดงานที่อยู่ด้านหน้า เนื่องจากคืนนี้เป็นโอกาสพิเศษที่ทางบริษัทจะได้จัดแค่ปีละครั้ง เพื่อเป็นการสังสรรค์ร่วมกันก่อนที่พนักงานทุกคนจะได้หยุดไปพักผ่อนในช่วงปีใหม่ แต่ละปีแผนกบุคคลจึงมักหากิจกรรมมาให้พนักงานได้เข้าร่วมเสมอ และปีนี้ก็ใช้วิธีจองสวนอาหารเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริษัทนักเป็นสถานที่จัดงาน โดยกำหนดให้ทุกคนได้เลิกงานเร็วกว่าปกติ เพื่อที่แต่ละแผนกที่ต้องเตรียมการแสดงส่งจะได้มีเวลาแต่งตัวและซักซ้อม โดยฝั่งธุรกิจหลักหรือ Core Business ที่ภัทรสังกัดอยู่นั้นจะแบ่งเป็นสี่กลุ่มตามสี่ Business Unit โดยเรียกด้วยชื่อย่อว่า ทีม BU 1, BU 2, BU 3 และ BU 4 โดยแต่ละทีมจะมีทั้งพนักงานขาย พนักงานโอเปอเรชัน ก๊อปปีไรเตอร์ พนักงานประชาสัมพันธ์ และผู้ประสานงานโปรเจ็กต์อยู่ด้วยกัน ส่วนฝั่งสนับสนุนหรือ support ก็ใช้วิธีแบ่งตามแผนกไปเลย เช่น แผนกบัญชี แผนกกราฟฟิคดีไซเนอร์ แผนกไอที และแผนกคอลเซ็นเตอร์ ส่วนพนักงานระดับผู้จัดการขึ้นไปได้รับสิทธิ์ยกเว้นไม่ต้องแสดง แต่เป็นเพียงคนดูและกรรมการเท่านั้น
นับว่าฝ่ายบุคคลเลือกสถานที่จัดงานได้เหมาะสมกับขนาดของพนักงานบริษัทซึ่งมีร่วมร้อยชีวิต โดยด้านหน้าของร้านจะมีลานจอดรถที่รองรับได้ประมาณห้าสิบคัน และเมื่อผ่านลานจอดรถเข้ามาแล้วจะพบส่วนจัดเลี้ยงและเวทีซึ่งมีป้ายชื่องานขึงเอาไว้ทันที ที่เยื้องไปด้านข้างเวทีคือต้นคริสต์มาสเทียมและโต๊ะวางของขวัญที่พนักงานนำมาร่วมจับสลาก โดยพนักงานระดับผู้บริหารจะถูกกำหนดราคาของขวัญให้สูงกว่าพนักงานทั่วไปตามลำดับขั้นและความอาวุโส
เนื่องจากทางสวนอาหารไม่ได้มีการจัดงานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้เป็นประจำจึงไม่มีห้องแต่งตัว และห้องน้ำก็มีน้อยและไม่สะดวกสำหรับการเปลี่ยนเสื้อผ้าของหลายๆคนพร้อมกัน ทางผู้จัดการร้านจึงสละห้องเก็บของของพนักงานให้ทางบริษัทใช้แทนห้องแต่งตัว โดยลักษณะของห้องนี้จะเป็นอาคารชั้นเดียวขนาดสามสิบตารางเมตร และนักแสดงของทุกทีมต้องใช้ห้องนี้ร่วมกัน ซึ่งในแง่สะดวกก็ถือว่าสะดวกเพราะอยู่ใกล้ห้องน้ำ แต่ในอีกแง่ก็ลำบากสำหรับเหล่านักแสดงเพราะเท่ากับเวลาไปขึ้นเวทีต้องเดินผ่านเพื่อนร่วมบริษัทคนอื่นที่นั่งทานอาหารอยู่ ไม่สามารถหลบออกไปขึ้นด้านหลังเวทีเลยเพื่อให้ทุกคนประหลาดใจได้
และก็เพราะส่วนของห้องเก็บของนี้ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ร้านเปิดให้บริการนี่เอง ทางเดินโรยกรวดหน้าอาคารซึ่งทอดไปบรรจบกับทางเดินระหว่างบริเวณงานเลี้ยงกับห้องน้ำจึงไม่ค่อยสว่างนัก ภัทรอดนึกเป็นห่วงไม่ได้ว่าหากพวกสาวๆที่ต้องขึ้นแสดงเดินมาตามทางนี้ด้วยรองเท้าส้นสูงจะพากันหกล้มเพราะมองทางไม่ค่อยเห็นหรือเปล่า
ขณะที่กำลังจะเดินเลี้ยวผ่านพุ่มไม้ที่ปลูกขึ้นเพื่อบังทางเดินตรงนี้เอาไว้ ชายหนุ่มก็แทบล้มหงายหลังเมื่อชนเข้ากับคนที่กำลังเดินสวนมาเข้าพอดี ความเจ็บที่ปลายจมูกชนเข้ากับอะไรแข็งๆทำให้เขาต้องยกมือลูบจมูกพลางครางเสียงเบา
“อูย...”
“ภัทรกร? เธอมาทำอะไรตรงนี้น่ะ?”
เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ เพราะทั้งบริษัทมีคนเดียวเท่านั้นที่เรียกเขาด้วยชื่อเต็มยศแบบนี้ และเมื่อสายตาประสานกันท่ามกลางแสงนวลตาจากโคมไฟสูงระดับเอวที่เรียงกันเป็นระยะข้างทางเดิน ภัทรจึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายคือคนที่เขาคิดจริงๆด้วย
“คุณเชษฐ์...ขอโทษครับ ผมรีบไปหน่อย”
คนที่ยังเอามือลูบจมูกเอ่ยเสียงอู้อี้ ปกติเขาไม่ค่อยได้คุยกับอีกฝ่ายซึ่งเป็นผู้จัดการโปรเจ็กต์หนึ่งในสี่ของบริษัทมากนักเพราะไม่ใช่เจ้านายโดยตรง แต่เพราะบริษัทของเขามีพนักงานแค่ราวหนึ่งร้อยคนเศษ และปกติยามรับพนักงานใหม่เข้ามา ฝ่ายบุคคลจะต้องแนะนำบุคลากรใหม่เหล่านี้ให้ทุกคนรู้จักในงานเลี้ยงตอนสิ้นเดือนอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งคู่จะรู้จักและจำกันได้ ทว่าภัทรก็ไม่ค่อยชินกับการถูกอีกฝ่ายเรียกด้วยชื่อเต็มเช่นนี้อยู่ดี เพราะว่าครั้งสุดท้ายที่เขาโดนเรียกด้วยชื่อเต็มยศก็ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งก็ผ่านมานานพอสมควร
เชษฐ์มองคนตัวเล็กกว่านิ่งแต่ไม่ได้เอ่ยตอบ ภัทรไม่ค่อยแน่ใจนักว่าประกายที่เห็นจากนัยน์ตาหลังเลนส์แว่นนั้นคือรอยยิ้มหรือเปล่า พลันเขาก็ให้สำนึกได้ว่ากระดานแข็งๆที่ตนเพิ่งเดินชนเมื่อครู่คือแผ่นอกของคนตรงหน้า และตอนนี้มือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายก็ยังยึดต้นแขนเขาเอาไว้แน่น
ภัทรเผลอเกร็งตัวขึ้นมาทันที ชายหนุ่มถอยหลังก้าวหนึ่งพลางจับมือใหญ่ออกจากแขนตัวเอง แม้จะด้วยท่าทางที่สุภาพแต่ก็ปิดความร้อนรนไม่มิด เขาไม่ชินกับการถูกใครแตะเนื้อต้องตัวมานานมากแล้ว และหากไม่ใช่คนที่ใกล้ชิดกันจริงๆอย่างพี่สาวหรือเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทระดับหนึ่ง เขาก็แทบจะทนการถูกสัมผัสจากคนอื่นไม่ได้เอาเลยทีเดียว
เจ้าของร่างสูงใหญ่เลิกคิ้วกับท่าทางลุกลี้ลุกลนของคนตรงหน้า แต่ว่าก็ตัดสินใจทำเป็นไม่เห็นและถามเรื่องอื่นแทน
“จะรีบไปไหนรึ มืดๆอย่างนี้เดี๋ยวก็เดินสะดุดอะไรกันพอดี”
ภัทรรู้สึกว่าหางตากระตุกขึ้นนิดหนึ่ง ความจริงแล้วที่อีกฝ่ายพูดมาก็ถูก แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เป็นเด็กห้าขวบที่ต้องให้ใครมาเตือนเรื่องนี้เสียหน่อย
“ขอโทษครับ พอดีนักแสดงกลุ่มผมเค้ายังแต่งตัวกันไม่เสร็จ ผมเลยต้องรีบไปประกาศแจ้งที่เวทีก่อน”
เอ่ยจบแล้วชายหนุ่มก็รีบเบี่ยงตัวเพื่อจะเดินอ้อม ‘กำแพง’ ตัวใหญ่ที่ขวางทางเขาอยู่เพื่อไปที่เวที แต่แล้วก็ต้องหันกลับไปด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงย่ำกรวดอย่างไม่รีบร้อน ทำให้ได้เห็นว่าคู่สนทนาเมื่อครู่กำลังเดินล้วงกระเป๋าตามมา จึงอดจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“คุณเชษฐ์ เมื่อกี้กำลังจะไปห้องน้ำไม่ใช่เหรอครับ?”
ถามออกไปแล้วภัทรก็แทบกัดลิ้น นี่เขาจะสงสัยให้วุ่นวายไปทำไมกันนะ อีกฝ่ายจะไปไหนมันใช่ธุระกงการของเขาเสียเมื่อไหร่ ทว่าเชษฐ์กลับยิ้มนิดๆตอบพลางใช้นิ้วชี้ดันแว่นขึ้น
“เมื่อกี้ก็ว่าจะไปห้องน้ำหรอก แต่รอดูการแสดงของกลุ่มเธอก่อนก็ได้”
ภัทรมุ่นหัวคิ้วขึ้นโดยไม่ตั้งใจ นี่คงไม่ใช่ว่าคุณผู้จัดการโปรเจ็กต์คนเก่งจะตามมาให้กำลังใจเขาหรอกนะ ทว่าชายหนุ่มก็ไม่อยากไถ่ถามต่อให้มากความ และที่สำคัญเขาก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการแสดงครั้งนี้ แค่โดนพี่ป๋วยใช้ให้ไปช่วยพูดฆ่าเวลาเฉยๆ ร่างเพรียวจึงหันกลับและเดินต่อ พลางคิดว่าบางทีสาวๆกลุ่มเขาอาจดีใจก็ได้ เพราะถึงคุณเชษฐ์จะขึ้นชื่อเรื่องความเฉียบขาดในเวลางาน แต่หลายคนก็แอบปลื้มบุคลิกแบบนี้ของเจ้าตัวอยู่เหมือนกัน
เมื่อทั้งสองไปถึงบริเวณจัดงาน ภัทรก็ปลีกตัวไปที่เวทีซึ่งพิธีกรกำลังกล่าวถึงมุกตลกเพื่อช่วยฆ่าเวลาระหว่างรอการแสดงของกลุ่มต่อไป ซึ่งพิธีกรของงานก็คือพนักงานจากฝ่ายบุคคลและฝ่ายแอดมินซึ่งเป็นแม่งานนั่นเอง หลังส่งสัญญาณบอกและก้าวขึ้นไปรับไมโครโฟนแล้ว เมื่อหันกลับไปยังเหล่าเพื่อนร่วมบริษัทที่นั่งกันอยู่ตามโต๊ะและกำลังมองเขาเป็นจุดเดียว ชายหนุ่มก็เริ่มจะประหม่าขึ้นมา
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยต้องออกไปพูดหน้าคนจำนวนมากเอาเสียเลย เพราะอย่างน้อยสมัยเรียนก็ต้องออกไปนำเสนอรายงานหน้าชั้นอยู่บ้าง แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ใช่คนที่ชื่นชอบการเป็นจุดสนใจของใครต่อใครนัก แถมเมื่อชำเลืองไปทางเชษฐ์ซึ่งตอนนี้แทรกตัวกลับไปนั่งที่โต๊ะรวมกับเหล่าผู้บริหารด้วยกัน ภัทรก็ให้ยิ่งกระอักกระอ่วนจนต้องสูดหายใจเข้าลึก
....เอาน่ะ คุณเชษฐ์เขาคงแค่สนใจว่ากลุ่มเราจะแสดงอะไรเท่านั้นหรอก ก็พี่ป๋วยเล่นไปอวดไว้เสียเยอะนี่นาว่ารางวัลขวัญใจท่านประธานปีนี้เป็นของทีมเราแน่
ภัทรคิดได้ดังนั้น จึงค่อยหายใจออกอย่างปลอดโปร่งและกระชับไมโครโฟนในมือแน่นขึ้น
“สวัสดีครับ ผมภัทรกร ตัวแทนของ BU 3 นะครับ ขอโทษที่ต้องให้ทุกคนรอ เนื่องจากการแสดงของกลุ่มเราค่อนข้างต้องใช้เวลาเตรียมตัวนิดหน่อย”
คนพูดเว้นจังหวะ ขณะที่เพื่อนร่วมงานปรบมือและรอฟังต่ออย่างคาดหวัง เพราะไม่เคยมีใครเห็นภัทรออกมาพูดต่อหน้าคนในบริษัทมาก่อนจึงค่อนข้างให้ความสนใจในฐานะเด็กใหม่ ขณะที่บางคนที่เริ่มเมาไวน์แล้วถึงกับเป่าปากแซวทีเดียว ภัทรเห็นว่าหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือเอ๋ รุ่นพี่ในแผนกกราฟฟิคดีไซน์ซึ่งเขาค่อนข้างสนิทด้วยนั่นเอง ไม่แคล้วหลังจบงานนี้เขาคงโดนล้อเรื่องขึ้นเวทีจับไมค์อย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะพยายามเค้นความคิดว่าจะพูดอะไรต่อ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าพวกของป๋วยใกล้จะพร้อมแสดงหรือยัง สายตาร่วมร้อยคู่จากสมาชิกร่วมบริษัทก็ทำให้เหงื่อเย็นๆซึมมาตามนิ้วมือที่กำไมโครโฟนเอาไว้ สายตาของภัทรเหลือบไปทางนินนาทซึ่งเป็นผู้จัดการโปรเจ็กต์และเจ้านายโดยตรงอย่างขอความช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายกลับกำลังนั่งจิบไวน์และคุยอยู่กับภรรยาที่พามาร่วมงานด้วย และแล้ว ก่อนที่ภัทรจะตัดสินใจขอตัดบทแล้วไปตามรุ่นพี่ตัวเองจากห้องแต่งตัว เสียงหวานแหลมก็ดังมาจากด้านหลังของทุกคนอย่างได้เวลาเหมาะเจาะ
“มาแล้วค่า ขอโทษทุกคนที่ให้รอ การแสดงแฟนซีของ BU 3 พร้อมแล้วค่ะ”
เสียงของป๋วยดังนำมาก่อน จากนั้นเหล่าสาวๆในทีมของเขาที่แต่งองค์ทรงเครื่องพร้อมสำหรับการแสดงแล้วก็เดินเรียงแถวกันมาที่เวที สีสันจากชุดปักเลื่อมวิบวับและพู่ขนนกที่ประดับบนหมวกและไหล่เสื้อสีสดใสของแต่ละคนทำเอาภัทรอ้าปากค้าง บุญของเขาจริงๆที่เคยขอร้องนินนาทไว้ว่าถึงอย่างไรเขาก็ขอไม่เข้าร่วมในการแสดงครั้งนี้
ปกติการแสดงในงานเลี้ยงฉลองปลายปีของบริษัทนั้น แผนกไหนที่มีคนเยอะหน่อยก็จะกึ่งบังคับให้พนักงานใหม่เป็นคนขึ้นแสดง สำหรับภัทรนั้น ตอนแรกเขาทั้งโดนขู่ทั้งบังคับจากป๋วยที่คอยสอนงานเขาว่ายังไงเขาก็ต้องร่วม แต่ตอนที่ประชุมในกลุ่มเพื่อระดมไอเดียว่าจะส่งการแสดงแบบไหนกัน ภัทรก็ยืนกรานจะขอเป็นฝ่ายสนับสนุนลูกเดียว จนร้อนถึงขั้นต้องขอให้นินนาทช่วยพูดกับป๋วยให้เพราะเขาอ้อนวอนอย่างไรรุ่นพี่สาวก็ไม่ยอม เล่นเอาเขาถึงกับโดนอีกฝ่ายงอนไปสองสามวัน แต่ตอนนี้ภัทรอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองคิดถูกที่ยอมให้รุ่นพี่โกรธไปตอนนั้น ไม่อย่างนั้นคืนนี้เขาคงไม่กล้าแม้แต่จะเดินออกมาจากห้องแต่งตัวแน่ๆ
ป๋วยคว้าไมค์จากมือภัทรก่อนจะบุ้ยคางเป็นเชิงบอกว่าให้ลงจากเวทีได้ ชายหนุ่มจึงรีบพยักหน้าและหลบลงบันไดข้างเวทีเพื่อให้คนคุมดนตรีเปิดเพลงที่คิวกันเอาไว้ หลังจากเสียงดนตรีดังขึ้นและการแสดงเริ่มในที่สุด ภัทรก็เดินไปยืนดูกลุ่มตัวเองแสดงร่วมกับเหล่าพนักงานคนอื่นๆที่อีกด้านของเวที แต่ว่าเขาเลือกที่จะยืนเยื้องไปด้านหลังใกล้กับจุดที่วางอาหารบุฟเฟต์เพราะยังไม่อยากกลับไปนั่งที่โต๊ะ
ท่าทางช่วงบ่ายของแต่ละวันที่สาวๆทีมเขาเบรกไปใช้ห้องประชุมเพื่อซ้อมการแสดงจะไม่เสียเปล่า เพราะท่าเต้นแต่ละท่านั้นทำเอาทุกคนที่ได้ดูปรบมือและเป่าปากกันไม่หยุด ทั้งที่รางวัลจากท่านประธานต่อกลุ่มที่แสดงได้ถูกใจที่สุดนั้นเป็นเงินไม่กี่พัน เมื่อนำมาหักค่าเช่าเสื้อผ้าหรือค่าใช้จ่ายอื่นก็เหลือเพียงไม่กี่บาท หรือเผลอๆถึงขั้นต้องควักเนื้อกันด้วยซ้ำ แต่กิจกรรมครั้งนี้ก็ทำให้เขาได้ซึ้งถึงสัจธรรมอย่างหนึ่ง ว่าสัญชาตญานในการเอาชนะของคนในทีมเขานั้นยากจะเคี้ยวลงเสียจริงๆ
ภัทรยืนกอดอกขณะมองดูรุ่นพี่และเพื่อนร่วมทีมเต้นประกอบดนตรีด้วยเสื้อผ้าอู้ฟู่ แล้วก็ต้องยิ้มให้กับความกล้าของแต่ละคน แต่แล้วก็แทบสะอึกเมื่อโดนมือใหญ่ตบหลังอย่างแรงพร้อมเสียงหัวเราะ
“อะไรวะภัทร เด็กใหม่เหมือนกันไม่ใช่เหรอเรา ทำไมรอดตัวไม่ต้องไปแสดงกับเขาได้ละเนี่ย”
เสียงคนถามยานคางเล็กน้อยแบบคนเมา เมื่อภัทรหันไปเห็นหน้าที่แดงเพราะแอลกอฮอลล์ของคนทักแล้วก็ส่ายหน้า
“อย่าเลยพี่เอ๋ ให้พวกสาวๆเขาแสดงไปแหละดีแล้ว ขืนให้ผมแต่งตัวแบบนั้นไปเต้นบนเวทีคงทำคนดูปวดตาเปล่าๆ”
“เฮ่ย พี่ว่าภัทรทำไม่น่าปวดตาหรอก ไอ้เอ๋นี่สิ ขนาดแต่งตัวธรรมดายังไม่มีใครอยากมองให้ปวดตาเลย”
รุ่นพี่อีกคนในแผนกกราฟฟิคซึ่งอายุมากกว่าเอ่ยแซวเพื่อนตัวเอง ก่อนที่คนอื่นซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆจะพากันหัวเราะพลางแกล้งไล่เตะกันจนไม่น่าเชื่อว่าแต่ละคนอายุมากกว่าเขาทั้งนั้น ภัทรจึงยิ้มตามบ้าง
หลังจากการแสดงของกลุ่มเขาจบลง เสียงปรบมือเกรียวกราวก็ดังขึ้นตลอดทางที่นักแสดงลงจากเวทีเพื่อกลับไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวที่ห้องเก็บของ ด้านพิธีกรก็ขึ้นเวทีเพื่อกล่าวแนะนำการแสดงของกลุ่มต่อไป ส่วนบริเวณที่ตักอาหารบุฟเฟต์ก็มีคนแวะเวียนมาเติมอาหารและเครื่องดื่มกันไม่ขาดสาย และทั้งๆที่ภัทรควรจะตักอาหารไปนั่งทานที่โต๊ะได้แล้ว เพราะอีกไม่นานป๋วยและเพื่อนร่วมทีมคนอื่นของเขาก็คงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและกลับมานั่งด้วย แต่ตอนนี้ความรู้สึกบางอย่างกลับผลักดันให้เขาอยากปลีกตัวไปหาที่นั่งเงียบๆคนเดียว
ความที่ภัทรมาถึงสถานที่จัดงานเร็วเพราะนั่งรถไฟฟ้าหลังออกจากออฟฟิศ เขาจึงมีเวลาสำรวจส่วนต่างๆของร้านก่อนคนอื่นที่ขับรถมาจากบริษัท และทำให้พบว่าด้านหลังของร้านซึ่งอยู่คนละทิศกับห้องน้ำหลักและห้องเก็บของนั้นมีสนามเด็กเล่นอยู่ ความจริงตรงจุดนี้ก็มีห้องน้ำเหมือนกัน แต่ว่าจัดให้สำหรับชายหญิงเพียงอย่างละห้อง เนื่องจากคนที่จะเข้าก็มีแต่เด็กหรือพี่เลี้ยงที่มาดูแลเด็กเวลาเล่นชิงช้าหรือสนามทรายเท่านั้น และเพราะวันนี้ทั้งร้านถูกเหมาเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงให้บริษัทของเขา ส่วนของสนามเด็กเล่นจึงไม่มีใครมาใช้ และทางร้านก็ประหยัดไฟด้วยการไม่เปิดไฟที่แขวนเสาสูงตรงกลางสนาม แต่เปิดเพียงพวงหลอดไฟสีส้มอ่อนขนาดจิ๋วซึ่งพันไว้ตามรั้วไม้รอบสนามเท่านั้น
แสงนวลตาจากพวงหลอดไฟไม่สว่างจัดจ้า เพียงช่วยทำให้เห็นส่วนประกอบต่างๆของสนามเด็กเล่น เช่นม้าหมุน กระดานลื่นหรือชิงช้าได้ลางๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับภัทรในตอนนี้ เพราะเขาเพียงต้องการที่พักหายใจจากบรรยากาศรื่นเริงชั่วขณะ จากนั้นก็จะกลับเข้าไปโดยไม่ให้ใครรู้ว่าเขาหายออกมาเท่านั้นเอง
หลังจากก้าวตัดสนามทรายและหย่อนตัวลงบนชิงช้าตัวหนึ่งแล้ว ภัทรก็เหยียดขาออกแล้วโยกตัวให้ชิงช้าแกว่งเบาๆ ทั้งที่บรรยากาศในงานกำลังสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ แต่ส่วนหนึ่งในใจเขากลับไม่สามารถปล่อยตัวเองให้เพลิดเพลินเช่นเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆได้เอาเสียเลย
อีกปีแล้วสินะที่ไม่ได้ฉลองเป็นส่วนตัวกับใครบางคน... ภัทรแค่นยิ้มกับตัวเองอย่างเหงาๆ ความจริงเขาควรจะเริ่มชินได้แล้ว เพราะนี่ไม่ใช่ปีแรกที่เขาต้องผ่านเทศกาลสำคัญอย่างวันเกิด วาเลนไทน์ สงกรานต์ หรือแม้แต่วันคริสต์มาสและส่งท้ายปีเก่าตามลำพัง จริงอยู่ว่า ณ เวลานี้เขากำลังอยู่ในงานเลี้ยงกับเพื่อนร่วมบริษัทอีกเป็นร้อยชีวิต ดังนั้นเขาควรปล่อยวางความเศร้าหมองแล้วทำตัวรื่นเริงร่วมไปกับทุกคน แต่ทั้งที่รู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำในตอนนี้ เขาก็ไม่อาจบังคับจิตใจของตัวเองและตัดความรู้สึกด้านลบไปได้ราวกับสับสวิตช์ไฟแบบนั้น
ทำไมไม่ยอมลืมเสียทีนะ...หรือเพราะไม่มีใครอยู่ข้างๆถึงได้ฟุ้งซ่านอยู่เรื่อย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ภัทรก็หลับตาลง ขาที่แกว่งชิงช้าเมื่อครู่หยุดนิ่ง ความรู้สึกขมฝาดเอ่อขึ้นในคอเมื่อนึกถึงความทรงจำเก่าๆ ในคืนวันที่เขามีใครอีกคนข้างกายในวันพิเศษเสมอ ทว่าวันคืนเหล่านั้นก็จบสิ้นลงเหมือนม้วนฟิล์มของหนังที่ฉายจบไปแล้ว ต่างกันเพียงในชีวิตจริงนั้น ฟิล์มของหนังเรื่องเดิมไม่สามารถนำกลับมาฉายใหม่ได้ มีแต่ต้องปล่อยให้เนื้อฟิล์มเสื่อมสลายไป เหลือไว้เพียงภาพบางฉากตอนที่ยังคงฝังใจไม่มีวันลืมเท่านั้น และแย่หน่อยที่บ่อยครั้ง ฉากที่เขาไม่อยากจดจำมากที่สุดก็มักเป็นฉากที่ทำให้เขาเจ็บระบมในใจที่สุดเช่นกัน
‘คิดซะว่านี่เป็นโอกาสที่ภัทรจะได้เจอคนอื่นบ้างก็แล้วกัน’
นั่นเป็นคำพูดตัดรอนสุดท้ายที่คนฟังจำได้แม่นยำไม่เคยลืม ก่อนที่คนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นฝ่ายตามตื๊อ คอยดูแลห่วงใย หรือแม้แต่โมโหใส่อารมณ์แล้วตามมางอนง้อขอคืนดีจะจากเขาไปเพื่อแต่งงาน ภัทรไม่ได้ไปร่วมงานมงคลของอีกฝ่าย ไม่ใช่เพราะฝ่ายนั้นไม่ส่งการ์ดเชิญมาให้ แต่เพราะเขาไม่มีความกล้าพอจะเผชิญหน้ากับภาพแห่งความสุขที่ใครๆต่างชื่นชมยินดีโดยไม่หลั่งน้ำตาต่างหาก ทว่าแทนที่ภัทรจะประชดชีวิตด้วยการหาคนรักใหม่ทันที หรือปล่อยตัวใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเพื่อเรียกร้องความสนใจ เขาเลือกที่จะเก็บความเจ็บนั้นไว้ตามลำพังโดยไม่แม้แต่จะเล่าสู่แก่พี่สาวซึ่งเป็นญาติเพียงคนเดียวหลังจากพ่อแม่เสียไป จากนั้นก็ลาออกจากงานซึ่งที่ตั้งบริษัทอยู่ใกล้กับที่ทำงานของอดีตคนรักเพื่อจะได้ตัดใจให้เด็ดขาด และใช้เวลาที่ยังไม่ได้สมัครงานใหม่ไปอยู่บ้านสวนของน้าที่ต่างจังหวัด ก่อนจะเริ่มเรียกความเข้มแข็งคืนมาได้ และตัดสินใจกลับมาหางานสู้ชีวิตในเมืองหลวงใหม่อีกครั้ง
ภัทรถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกสองอุ้งมือขึ้นขยี้ตา เขาเกลียดตัวเองทุกครั้งยามถูกความทรงจำเก่าๆหวนมาย้อนกัดกร่อนให้จิตใจอ่อนไหว ทั้งที่เขาเคยปลอบตัวเองตลอดเวลาหลังเลิกกับธรว่าเขาเคยอยู่คนเดียวได้ และจากนี้เขาก็เพียงต้องปรับตัวกลับไปสู่วันคืนก่อนที่จะรู้จักผู้ชายคนนั้นเท่านั้น แต่ความเจ็บจุกในอกที่มักเสียดยอกขึ้นมายามถึงเทศกาลเปี่ยมความอบอุ่นต่างๆก็ทำให้ภัทรได้รู้ ว่าต่อให้คิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นแล้วแค่ไหน แต่ว่าก็ไม่เคยเพียงพอจะทำให้เขาหลุดจากหล่มความทรงจำในอดีตได้ และแทบจะไม่เคยผลักดันตัวเองให้เปิดใจและก้าวไปข้างหน้าได้เลยเช่นเดียวกัน
เสียงปรบมือและเสียงหัวเราะที่แว่วขึ้นเรียกความสนใจจากคนที่นั่งซึม ภัทรยกนาฬิกาข้อมือซึ่งมีพรายน้ำของตัวเองขึ้นดูเวลา แล้วก็คะเนในใจว่าป่านนี้การแสดงตรงเวทีของทุกแผนกคงจะจบลงและคงประกาศกลุ่มที่จะได้รางวัลแล้ว ต่อจากนั้นก็คงเป็นเวลาจับสลากแลกของขวัญก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันกลับบ้านเสียที ชายหนุ่มจึงยกหลังมือขึ้นปาดไอน้ำที่เอ่อบนขอบตาแล้วแหงนหน้าขึ้นสูดหายใจลึก
จุดแสงเล็กๆของดวงดาวในเมืองหลวงไม่ระยิบระยับพร่าพรายเหมือนที่บ้านน้าของเขาที่ต่างจังหวัด แต่กระนั้นก็ทำให้จิตใจของภัทรสงบลงได้บ้างเมื่อคิดได้ว่าปัญหาของตนเป็นเพียงเรื่องเล็กจ้อยในจักรวาลอันกว้างใหญ่ และเขาก็ควรจะตัดใจไม่จ่อมจมกับเรื่องนี้ให้ได้สักที ถึงแม้สิ่งที่ตั้งใจจะทำนั้นช่างลำบากยากเย็นเหลือเกินก็ตาม
ร่างเพรียวหยัดตัวลุกขึ้นแล้วก้มลงปัดชายกางเกงที่โดนฝุ่นทรายจับ ทว่าขณะที่กำลังจะเดินออกจากสนามเด็กเล่น ภัทรก็แทบสะดุดฝีเท้าตัวเองเมื่อเห็นเงาร่างใครบางคนกำลังยืนล้วงกระเป๋าสูบบุหรี่อยู่ ถึงแม้แสงบริเวณนี้จะไม่ได้สว่างจนทำให้เห็นแล้วชี้บอกได้ทันควันว่าเป็นใคร แต่รูปร่างและท่าทางของคนที่เขาเพิ่งเดินชนไปเมื่อตอนหัวค่ำ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางจำผิดไปได้
“คุณเชษฐ์...”
คนโดนเรียกหันไปหาเจ้าของเสียง บุหรี่ในมือซึ่งถูกสูบไปแล้วเกินครึ่งมวนถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากอีกครั้งช้าๆ
“ไง”
ร่างสูงทักขึ้นก่อนจะหันไปพ่นควันทางทิศใต้ลม ทว่าภัทรกลับไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะสื่ออะไรด้วยคำที่คล้ายคำถามนั้น ทั้งไม่แน่ใจว่าตัวเองจำเป็นต้องตอบไหม แต่แล้วเมื่อเหลือบลงมองพื้นอย่างไม่ตั้งใจ ก้นกรองบุหรี่ที่หล่นอยู่ก่อนแล้วก็ทำให้เขาเงยหน้าพรวดอย่างตกตื่น
“คุณเชษฐ์ มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
ภัทรเอ่ยถามเสียงเบา แต่กระนั้นก็ยังซ่อนเร้นความตระหนกในน้ำเสียงไว้ไม่มิด ตั้งแต่เข้ามาทำงานที่บริษัทใหม่นี้เขาก็พยายามเหลือเกินที่จะรักษาความเป็นส่วนตัวด้วยการไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกมากนัก และพยายามเป็นมิตรกับทุกคนแต่ไม่ให้ความสนิทสนมมากจนเกินไป ความผิดหวังและเจ็บช้ำจากความรักครั้งแรกทำให้เขาไม่กล้าเปิดตัวเองกับคนแปลกหน้าง่ายๆ ดังนั้นความคิดที่ว่าตนเองถูกจับตามองขณะโดนครอบงำด้วยความอ่อนแอเมื่อครู่จึงทำให้เขาทั้งอายทั้งโมโห แต่ตำแหน่งกับความอาวุโสของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่อยู่ในฐานะจะไปติเตียนได้ อีกอย่างภัทรก็เป็นคนไม่ถนัดด้านการขึ้นเสียงกับใคร ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยืนกำมือแน่นเพราะไม่รู้จะรับมือสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรดี
เชษฐ์มองสีหน้าของคนตัวเล็กกว่าที่ประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวแดง แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเอ็นดู ความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะแอบตามมาสังเกตุการณ์อีกฝ่ายเลยสักนิด เพียงแต่หลังจากดูการแสดงหลายกลุ่มติดๆกันเข้าเพราะต้องเป็นหนึ่งในกรรมการ เขาก็เริ่มจะเหนื่อยเลยอยากหลบออกมาหาที่เงียบๆสูบบุหรี่ และเขาก็เล็งที่ตรงนี้ไว้ตั้งแต่ตอนมาถึงและเดินเล่นดูรอบๆร้านก่อนงานเริ่มแล้ว เพราะว่าบริเวณห้องน้ำติดกับห้องแต่งตัวนั้นจอแจเกินไป คิดไม่ถึงว่าจะมีคนใจตรงกับเขาชิงตัดหน้ามาจับจองที่ในสนามเด็กเล่นไปก่อน และตอนแรกเขาก็ตั้งใจจะเดินไปแถวลานจอดรถแทนแล้วเพราะคิดว่าภัทรอาจต้องการความเป็นส่วนตัว แต่เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจและเห็นท่าทางแกว่งชิงช้าอย่างเหงาหงอย เขาก็ให้เกิดเป็นห่วงจนไม่อยากทิ้งอีกฝ่ายไว้ตามลำพัง แต่หากตอบไปตามตรงว่าตนยืนอยู่ตรงนี้นานพอที่จะสูบบุหรี่มวนที่สองเกือบหมดแล้วก็คงไม่เหมาะนัก เชษฐ์จึงเอ่ยตอบเสียงเนิบ
“ไม่นานหรอก ฉันก็เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย เพิ่งจะมาถึงตรงนี้ก็ตอนเธอกำลังเดินออกมานี่แหละ”
นี่เห็นว่าเขาอายุเท่าไหร่กันนะ...ภัทรนึกค่อนคนพูดในใจอย่างอดไม่ได้ ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจความปรารถนาดีของอีกฝ่ายที่คงไม่ต้องการให้เขาอาย แต่ว่าเขาก็ไม่ใช่เด็กอมมือที่จะหลงเชื่อคำโกหกตามมารยาทนี้เสียหน่อย ที่เขาข้องใจคือคุณผู้จัดการโปรเจ็กต์ที่ไม่ใช่เจ้านายตามสายงานของเขาจะสนใจมายืนดูเขาเงียบๆทำไมตั้งนานต่างหาก