3. “อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่ภัทร วันนี้มาเช้าจังเลย”
เสียงของรีเซพชันนิสต์สาวเอ่ยต้อนรับอย่างสดใสจนร่างผอมเพรียวที่เพิ่งผลักบานประตูออฟฟิศเข้ามายิ้มตอบ
“กุ้งก็มาเช้าเหมือนกันแหละ โชคดีวันนี้ทางที่พี่มารถไม่ติดน่ะ ต้องขอบคุณที่โรงเรียนปิดเทอมนะเนี่ย”
ภัทรเอ่ยทักทายตอบก่อนจะเดินเลี้ยวผ่านเคาน์เตอร์รีเซฟชันไปยังฝั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองตั้งอยู่ เนื่องจากบริษัทของเขาครองพื้นที่ชั้นบนสุดของอาคารทั้งชั้น จึงมีการแบ่งผังการทำงานให้ปีกตะวันออกเป็นห้องของผู้บริหาร ห้องแผนกกราฟฟิคดีไซน์และพนักงานทั่วไป ส่วนปีกตะวันตกประกอบด้วยห้องประชุมยาวที่สามารถเลื่อนฝากั้นเป็นห้องประชุมย่อยได้สามห้อง ห้องสำหรับฝ่ายไอทีกับคอลเซ็นเตอร์ ห้องพักสำหรับเมสเซนเจอร์และห้องเก็บของ และทั้งสองฝั่งมีห้องน้ำกับครัวขนาดเล็กเหมือนกันเพื่อความสะดวกของพนักงาน
ด้วยความที่มาถึงก่อนเวลาเข้างานถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่งจึงยังไม่มีคนอื่นในฝั่งเดียวกันมา ภัทรแวะที่โต๊ะของตัวเองเพื่อวางกระเป๋ากับเปิดคอมพิวเตอร์ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว แล้วก็จ๊ะเอ๋กับพนักงานทำความสะอาดที่กำลังใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดเคาน์เตอร์อยู่พอดี
“อ้าวคุณภัทร โทษทีนะคะ พอดีน้าเพิ่งจะเสียบปลั๊กกระติกน้ำไปเมื่อกี้เอง น้ำยังไม่ร้อนเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับน้าหมู เดี๋ยวผมรอก็ได้ เช้าๆไม่ดื่มกาแฟแล้วหัวไม่ค่อยแล่น”
แม่บ้านวัยกลางคนในเครื่องแบบพนักงานทำความสะอาดยิ้มแล้วก็ขอตัวออกไป ภัทรเลยหยิบถ้วยแก้วประจำตัวออกจากชั้นมาตักกาแฟรอ ที่จริงการมาแต่เช้าก็ดีตรงที่เขาไม่ต้องรอคิวชงกาแฟเพราะสาวๆในบริษัทชอบเข้ามาเม้าท์กันแล้วติดลม ทำให้ปกติเขาต้องคอยจนทุกคนเริ่มนั่งประจำโต๊ะกันแล้วจึงค่อยได้ใช้ครัวบ้างเพราะห้องครัวที่นี่เล็กมากขนาดที่ยืนสี่คนก็อึดอัดแล้ว
“ไง วันนี้มาเช้านะ”
เสียงทุ้มที่คุ้นเคยจากด้านหลังทำให้ภัทรหันขวับไปหาต้นเสียง ใบหน้าหวานยิ้มให้ก่อนจะหันกลับไปกดน้ำร้อนใส่แก้วหลังกระติกไฟฟ้าส่งสัญญาณว่าน้ำเดือดแล้ว
“ถึงจะขี้เซา แต่วันที่ต้องมาทำงานผมก็ตื่นเช้าได้นะครับคุณเชษฐ์ นาฬิกาปลุกผมก็มีนี่นา”
ภัทรย้อนแบบไม่จริงจังเพราะจำได้ว่าตัวเองเคยโดนแซวว่ายังไง คนทักจึงหัวเราะในคอก่อนจะเดินเข้ามายืนเคียงข้าง นัยน์ตาคมทอยิ้มล้อเลียน
“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย แบบนี้เขาเรียกร้อนตัวรู้หรือเปล่า?”
คนถูกแซวค้อนให้ก่อนจะยกกาแฟตัวเองขึ้นจิบ แล้วก็ต้องกระพริบตามองแก้วที่อีกฝ่ายยื่นมาให้อย่างงงๆ
“ชงให้มั่งสิ เอาแบบที่เธอดื่มนั่นแหละ”
“แต่ปกติคุณเชษฐ์ดื่มกาแฟดำไม่ใช่เหรอครับ ถ้าชงสูตรผมอาจจะเลี่ยนก็ได้นะ ผมชอบหนักครีมอยู่ด้วย”
ภัทรท้วง เพราะเขาพอจะรู้รสนิยมอีกฝ่ายอยู่บ้าง นอกจากจะติดบุหรี่แล้ว เชษฐ์ยังไม่ค่อยชอบอาหารที่มีรสหวานๆ เวลาดื่มกาแฟก็จะชงเสียเข้ม แถมยังไม่เติมน้ำตาลหรือครีมเทียมตัดรสจนเขาไม่รู้ว่าทนดื่มเข้าไปได้ยังไง
“ไม่เป็นไร ฉันอยากรู้ว่าปกติเธอดื่มกาแฟรสไหน วันหลังเวลาไปที่บ้านจะได้ชงให้ถูก”
เชษฐ์ตอบแล้วก็ยิ้ม ภัทรเลยรีบรับแก้วไปแล้วทำเป็นง่วนตักกาแฟและน้ำตาลกับครีมเทียมแก้เขิน ในใจก็ให้รู้สึกเสียเปรียบที่ตัวเองเหมือนโดนแกล้งอยู่เรื่อยแต่ไม่รู้จะเอาคืนยังไงดี พอเติมน้ำร้อนใส่แก้วและคนจนกาแฟละลายดีแล้วชายหนุ่มก็หันกลับไปหาคนที่ยืนรออยู่
“เสร็จแล้วครับคุณเชษฐ์ ยังไงชิมก่อนนะ ถ้าหวานไปผมจะได้เติมกาแฟให้”
มือใหญ่รับแก้วกาแฟไปจิบแล้วก็เงียบไป ภัทรเลยถามด้วยความกังวลว่ารสชาติที่ตัวเองชอบจะไม่ถูกใจอีกฝ่าย
“เป็นไงมั่งครับ?”
“อืม...จะว่าไงดี”
เชษฐ์ทำท่าคิดนานจนภัทรหน้าเสีย สงสัยกาแฟที่เขาชงจะไม่ถูกปากจริงๆด้วย
“ไม่อร่อยใช่ไหมล่ะ ผมก็บอกแล้ว ถ้าไงผมชงกาแฟดำธรรมดาให้ใหม่ดีกว่า”
ชายหนุ่มกำลังจะหันไปหยิบแก้วใหม่ แต่โดนเสียงอีกฝ่ายรั้งไว้ก่อน
“ไม่ต้องหรอก ยังไม่ได้บอกสักคำว่าไม่อร่อย แค่กำลังคิดว่า กาแฟที่เธอชง...รสชาติเหมือนเธอดี”
คนถูกถามพูดยิ้มๆก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบอีกอึก แต่คำตอบเปรียบเปรยอย่างจงใจทำเอาภัทรหน้าแดงอย่างหยุดไม่อยู่ คนคนนี้เคยกระดากปากเรื่องอะไรกับเขามั่งไหมเนี่ย!?
“คุณเชษฐ์! มันจะไปเหมือนกันได้ไงล่ะครับ เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว...โอ๊ย!”
“ภัทร เป็นอะไร?”
คิ้วเข้มเหนือกรอบแว่นขมวดก่อนจะรีบวางแก้วในมือลง ภัทรยกมือขึ้นขยี้ตาข้างหนึ่งที่จู่ๆก็แสบขึ้นกะทันหัน
“สงสัยอะไรปลิวเข้าตาน่ะครับ คุณเชษฐ์...จะทำอะไรครับ?”
ภัทรถามอย่างตกใจเมื่อโดนมือใหญ่รั้งข้อมือเขาที่กำลังขยี้ตาอยู่ คนสูงวัยกว่าทำเสียงดุ
“อย่าขยี้สิ ตายิ่งแดงเข้าไปใหญ่กันพอดี เงยหน้าซิฉันจะได้ดูให้”
มือที่จับมือเขาอยู่เลื่อนไปเชยคางเรียวขึ้นแทน ขณะที่อีกมือหยิบผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อแล้วใช้ปลายผ้าเขี่ยเศษผงที่ติดอยู่ให้
“ขนตาเธอคงปลิวเข้าไปน่ะ อย่าเพิ่งกระพริบตานะ ลืมตานิ่งๆก่อน”
“อื๊อ~”
ภัทรรู้สึกแสบตานิดหน่อยเมื่อโดนขอบผ้าเช็ดหน้าเขี่ยที่ผิวบอบบางจนเผลอกระพริบตาอีกหลายครั้ง แต่แล้วสัมผัสอ่อนโยนที่แนบอยู่บนแก้มกับลมหายใจอุ่นๆที่รดลงบนปลายจมูกทำให้เริ่มรู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายยืนอยู่ชิดตัวเองแค่ไหน ร่างโปร่งเผลอกลั้นหายใจเมื่อรับรู้ถึงไออุ่นของร่างตรงหน้าราวกับอุณหภูมิในห้องครัวสูงขึ้นทั้งที่เครื่องปรับอากาศทำงานเป็นปกติ
ราวกับท่าทางที่เกร็งขึ้นกะทันหันของคนตัวเล็กกว่าจะทำให้อีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัวเช่นกัน มือใหญ่ที่จับผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือจึงชะงักการเคลื่อนไหว นัยน์ตาคมหลังแว่นมองสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่สั่นระริกด้วยแววตื่นอายระคนคาดหวัง แล้วคนถูกจ้องก็เบิกตากว้างเมื่อร่างสูงใหญ่ค่อยๆย่นระยะที่กั้นกลางระหว่างทั้งสองด้วยการก้มลงหา
“ภัทร มาแล้วเหรอ เดี๋ยวมาช่วยพี่หาเอกสารของงานปีที่แล้วหน่อยสิ อุ๊ย!”
เสียงแหลมสูงของคนที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าครัวทำเอาทั้งสองสะดุ้ง แต่แทนที่เชษฐ์จะถอยห่าง ชายหนุ่มกลับยังคงประคองใบหน้าเรียวไว้ทั้งที่ภัทรพยายามจะยกแขนอีกฝ่ายออก
ราวผู้มาใหม่จะถูกภาพที่เห็นตรงหน้าสะกดให้ชะงักจนอ้าปากค้าง พอเห็นสายตาของร่างสูงใหญ่ที่หันมามองผ่านเลนส์แว่นเลยสะดุ้งสุดตัวทันที
“เอ้อ! คุณเชษฐ์ ขอโทษค่ะ เอ่อ...งั้นป๋วยขอตัวก่อนแล้วกันนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก พอดีภัทรเขาเข้ามาชงกาแฟแล้วฝุ่นเข้าตาฉันเลยช่วยดูให้ รู้สึกจะออกแล้ว ยังไงเอาน้ำสะอาดล้างตาอีกรอบแล้วกัน”
ท้ายประโยคเชษฐ์หันกลับมาพูดกับคนใกล้ตัวก่อนจะหยิบแก้วกาแฟของตัวเองเดินออกไป ภัทรรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนวูบวาบไปหมดจนต้องหันหน้าเข้าหาอ่างล้างจานแล้วทำเป็นวักน้ำขึ้นลูบหน้าเพื่อหนีคำถามของรุ่นพี่
ตกลงเมื่อครู่อีกฝ่ายเช็ดขนตาออกไปจากตาเขานานแล้วหรือไงกันนะ? แล้วถ้าเมื่อกี้ไม่มีใครเดินเข้ามาขัดจังหวะจะเกิดอะไรขึ้น? ภัทรยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกร้อนหน้าจนต้องเอาน้ำเย็นๆลูบมากเข้าไปอีก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงเดินจากไปเสียที แล้วทำไมพี่ป๋วยต้องมายืนรอเขาด้วยเนี่ย!
“พอได้แล้วภัทร นี่เธอจะถูให้ลูกตามันหลุดติดออกมากับมือเลยรึไงยะ เช็ดหน้าได้แล้ว”
ลำแขนระหงยื่นมาปิดก๊อกน้ำแล้วก็ดึงกระดาษทิชชูส่งให้ ภัทรเลยยิ้มเจื่อนๆก่อนจะรับกระดาษเนื้อนิ่มมาซับน้ำที่เกาะพราวอยู่บนหน้า นัยน์ตาเฉียบคมของรุ่นพี่ที่กำลังกอดอกแล้วก็จ้องหน้าเขาอย่างเต็มไปด้วยคำถามทำให้ชายหนุ่มไม่กล้าสบตาด้วย
คุณเชษฐ์นะคุณเชษฐ์! ตัวเองเป็นต้นเหตุแท้ๆ ดันทิ้งระเบิดไว้ให้เขากู้คนเดียวเลย!!
ภัทรคิดค่อนขอดคู่กรณีในใจ แล้วก็ให้รู้สึกเหมือนโดนธนูยิงเข้ากลางหน้าอกเมื่อได้ยินคำถามจากหญิงสาวรุ่นพี่ที่ยืนเงียบอยู่นาน
“ภัทร พี่ขอถามตรงๆนะ เธอกับคุณเชษฐ์คบกันอยู่หรือเปล่า?”
“พี่ป๋วย! ทำไมถามผมอย่างนั้น!?”
ภัทรรีบหันไปมองหน้าทางเข้าครัวด้วยความตระหนกว่าอาจจะมีคนอื่นเดินเข้ามาอีก ฝ่ายคนถามพอได้เห็นอากัปกริยาร้อนตัวของคนตรงหน้าก็ถอนหายใจ
“ปิดบังความลับไม่เก่งเลยนะเราน่ะ ถ้าคนอื่นถามเหมือนพี่ ภัทรห้ามลนลานแบบนี้รู้มั้ย?”
ชายหนุ่มหน้าถอดสีทันที นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มตวัดขึ้นสบกับนัยน์ตาอีกฝ่ายแล้วก็ก้มหลบสายตาเหมือนเดิมก่อนเอ่ยถามเสียงเบา
“พี่ป๋วย...หมายความว่าพี่รู้อยู่แล้วเหรอ?”
คนถูกถามเอียงคอมองสีหน้าของรุ่นน้องที่ตอนนี้ซีดเผือดแล้วก็รู้สึกเห็นใจ หญิงสาวชะโงกหน้าออกไปดูหน้าครัวให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบฟังอยู่ก่อนจะหันกลับมาพูดด้วยเสียงเบา
“พี่แค่ลองถามดู เพราะมันผิดสังเกตตั้งแต่วันวาเลนไทน์ที่คุณเชษฐ์เขาโทรมาบอกว่ารอภัทรแล้ว ก็ทีมเราไม่ได้ทำงานให้โปรเจ็กต์เขานี่นา แล้วอีกอย่าง ถึงพวกเธอจะไม่ได้ทำอะไรผิดสังเกตกันในที่ทำงาน แต่สีหน้าเธอตอนมองคุณเชษฐ์เดินออกไปเมื่อกี้น่ะ ไม่ว่าใครมาเห็นก็ต้องสงสัยแน่ๆ”
“ผมเหรอ? ผมมองคุณเชษฐ์แบบไหน?”
ภัทรลูบหน้าตัวเองอย่างเป็นกังวล เพราะปกติเวลาอยู่ในออฟฟิศเขาแทบไม่เคยอยู่ใกล้เชษฐ์ต่อหน้าคนอื่น เขาจึงไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเผลอแสดงสีหน้าหรือแววตาแบบไหนไปเวลาอยู่กับอีกฝ่าย ป๋วยได้ยินคำถามแล้วก็ค้อนหนุ่มรุ่นน้องตาคว่ำ
“ไปส่องกระจกดูเอาเองสิแล้วจะได้รู้ เอาเป็นว่ายังไงต่อไปนี้ระวังตัวให้มากหน่อยก็แล้วกัน พวกปากหอยปากปูในบริษัทนี้มันไม่ได้มีกันคนสองคน เธอคงไม่อยากให้คุณเชษฐ์เดือดร้อนไปด้วยใช่ไหม?”
ท้ายประโยคหญิงสาวถามเสียงเข้ม ภัทรหลบตาอีกฝ่ายแล้วก็พยักหน้า เสียงคนคุยกันที่ดังมาจากห้องทำงานทำให้รู้ว่าคนอื่นๆเริ่มทยอยเข้าออฟฟิศกันแล้ว หญิงสาวรุ่นพี่จึงหันมาตบบ่าเขาเบาๆ
“เอาล่ะ อย่าเพิ่งคิดมากเลย ถ้าเธอทำตัวปกติอย่างเดิมไปก็คงไม่มีใครรู้หรอก แล้วก็ระวังอย่าอยู่กับคุณเชษฐ์สองต่อสองในออฟฟิศอีกแล้วกัน ถ้าคราวต่อไปคนเห็นไม่ใช่พี่จะแย่เอา”
หญิงสาวว่าแล้วก็เดินออกไปก่อน ภัทรยิ้มให้เพื่อนร่วมงานอีกคนที่เดินสวนเข้ามาในครัวก่อนจะหยิบแก้วกาแฟของตัวเองกลับไปที่โต๊ะ ทว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับคำเตือนของรุ่นพี่ก็ติดอยู่ในหัวเขาแน่นจนสลัดไม่หลุดไปแทบทั้งเช้า
โชคดีว่าวันนั้นเชษฐ์ต้องออกไปประชุมกับสมาคมที่เป็นพันธมิตรของบริษัททำให้ภัทรไม่ต้องเห็นหน้าคู่กรณีทั้งวัน ส่วนตัวเขาเอง พอได้เริ่มทำงานแล้วก็กดตัดสวิทช์เรื่องกวนใจทั้งหลายทิ้ง ชายหนุ่มจึงมุอยู่กับงานจนไม่ยอมลงไปทานข้าวกลางวันแต่ฝากคนอื่นซื้อแซนด์วิชขึ้นมาให้
ทว่าพอถึงช่วงบ่ายที่งานในส่วนของเขาเริ่มเคลียร์ไปเกือบหมด ความกังวลใจกับเรื่องเมื่อเช้าก็เริ่มแทรกกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง เพราะถึงแม้ป๋วยจะแสดงความเข้าใจและกำชับให้สบายใจว่านอกจากเธอแล้วคนอื่นไม่รู้ แต่ภัทรก็คิดได้ว่าอาจจะยังมีคนรู้อยู่อีกคน แถมคนคนนั้นอาจรู้มาก่อนรุ่นพี่ของเขาเสียอีกด้วย ก็คนที่จองห้องพิเศษในร้านอาหารที่เชษฐ์พาเขาไปเมื่อวันวาเลนไทน์ไงล่ะ
+------+
“กุ้ง...พี่ขอคุยด้วยแป๊บสิ”
สาวน้อยผู้ถูกทักเงยหน้าจากโทรศัพท์และกระดาษจดโน้ตที่คาอยู่ในมือแล้วก็มองหน้าภัทรอย่างประหลาดใจ แต่ชายหนุ่มยังไม่ทันพูดอะไรอีกฝ่ายก็รีบยกมือห้ามก่อน
“เดี๋ยวนะคะพี่ภัทร พอดีตอนนี้กุ้งต้องรีบจองไฟลต์ด่วน เอเจ้นต์ไหนๆก็เต็มหมดเลย ขอกุ้งจัดการตรงนี้เรียบร้อยแล้วเดี๋ยวโทรบอกพี่ภัทรนะ ค่ะ...ค่าพี่ยู ไฟลต์แรกสุดไม่ว่างเลยเหรอคะพี่ แต่นายหนูต้องเดินทางด่วนพรุ่งนี้นะ พี่ช่วยดูรอบที่เวลาใกล้กันให้หนูหน่อยสิ”
ภัทรต้องยอมถอยแต่โดยดีเมื่อเห็นท่าว่าอีกฝ่ายคงยังไม่ว่างในเวลาอันใกล้ เขาจึงเสเดินเข้าไปชงโอวัลตินในครัวแล้วก็เดินกลับมาเช็คเมล์ที่โต๊ะ ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมากุ้งก็โทรมาเรียก ภัทรจึงลุกออกไปหาที่เคาน์เตอร์หลังถามอีกฝ่ายจนแน่ใจว่าไม่มีใครนั่งอยู่ด้วย
“ว่าไงคะพี่ภัทร มีอะไรจะคุยกับกุ้งเอ่ย?”
สาวน้อยรุ่นน้องเอ่ยถามแล้วยิ้มให้อย่างสดใส ภัทรอดนึกอิจฉาไม่ได้ที่อีกฝ่ายดูจะร่าเริงและเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาตลอดเวลาไม่ว่าจะเพิ่งผ่านเรื่องเครียดมาแค่ไหน ไม่แปลกที่ใครๆในบริษัทจะให้ความเอ็นดู
ภัทรวางแก้วโอวัลตินที่เพิ่งชงติดมือมาให้ลงบนเคาน์เตอร์ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ว่าง แต่แล้วชายหนุ่มก็เกิดอาการอิหลักอิเหลื่อที่จะถามขึ้นมากะทันหัน เพราะถ้าหากว่ากุ้งไม่ได้รู้เรื่อง ไม่เท่ากับเขากินปูนร้อนท้องเองหรือ แต่สายตาที่รอคำถามทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจออกปากแม้จะไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือเปล่า
“คือว่า กุ้งจำได้ไหมว่าเมื่อวันวาเลนไทน์คุณเชษฐ์เขาให้กุ้งจองร้านอาหารให้...”
ชายหนุ่มเอ่ยถามเหมือนชวนคุยเรื่องทั่วไป คนถูกถามจึงกระพริบตาปริบๆก่อนจะยิ้มกว้าง
“อ๋อ...จำได้สิคะ ขนาดคุณเชษฐ์บอกกุ้งล่วงหน้าตั้งเกือบอาทิตย์ยังแทบไม่ได้ห้องพิเศษแน่ะ กุ้งก็ไม่รู้มาก่อนว่าร้านนั้นจะป๊อบขนาดนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าตกลงวันนั้นคุณเชษฐ์พาใครไป แต่น่าอิจฉาคนคนนั้นจริงๆเลย”
คนถามถามคำเดียวแต่คนถูกถามร่ายคำตอบยาวเหยียด ทว่าภัทรก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกกับคำตอบที่ได้ โชคดีไปที่ท่าทางเชษฐ์คงไม่ได้บอกรายละเอียดตอนที่ให้จองว่าตั้งใจจะพาเขาไป แต่แล้วกุ้งก็ถามคำถามที่ทำให้เขาสะดุ้งโหยง
“แต่ว่า เรื่องที่คุณเชษฐ์ให้กุ้งจองโต๊ะเมื่อวันวาเลนไทน์เนี่ย แกกำชับกุ้งว่าห้ามบอกใครเด็ดขาดเลยนะคะ แล้วทำไมพี่ภัทรถึงได้รู้ล่ะ?”
สาวน้อยยกนิ้วชี้ขึ้นแตะแก้มแล้วก็เอียงคอมองเขา ภัทรเลยชักเริ่มไม่แน่ใจว่าคนถามไม่รู้จริงๆหรือกำลังแกล้งปั่นหัวเขาเล่นกันแน่
“ก็...วันนั้นที่กุ้งฝากเอกสารพี่ลงไปให้คุณเชษฐ์ใช่มั้ยล่ะ ก่อนแยกกันพี่เลยถามว่าคุณเชษฐ์เค้าจะไปไหน เค้าก็เลยบอกไง”
ชายหนุ่มตอบแบบตะกุกตะกักแล้วก็ทำเป็นมองไปนอกหน้าต่างที่เห็นรางรถไฟฟ้าวิ่งผ่านด้านล่าง ได้แต่หวังว่าคำตอบตัวเองคงฟังแล้วมีเหตุผลพอที่จะกันคำถามอื่นๆไม่ให้ตามมา แต่ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากให้ความร่วมมือสักเท่าไหร่
“เหรอคะ เอ...แล้วตกลงร้านนั้นบรรยากาศดีจริงๆหรือเปล่า?”
กุ้งถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น ภัทรเลยหันกลับมายิ้มบางๆตอบ
“ก็ดีนะ เค้าแต่งร้านสวยดี...กุ้ง!!”
ชายหนุ่มยกมือปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าตกหลุมพรางเสียแล้ว คนตรงหน้าเลยอมยิ้มอย่างภูมิใจที่หลอกถามได้สำเร็จ
“ฮั่นแน่! สุดท้ายก็ยอมหลุดปากออกมาจนได้ พี่ภัทรนี่เป็นประเภทอำใครไม่ขึ้นนะเนี่ย รู้ตัวมั้ยคะ?”
“กุ้ง...ตกลงนี่รู้มาก่อนแล้วจริงๆใช่มั้ย?”
ภัทรเอ่ยถามเสียงแห้ง รู้สึกเหมือนตัวเองปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มไปถึงสองตัวในวันเดียวกัน ตกลงนี่เขาเป็นประเภทปิดความลับจากคนอื่นไม่ได้หรือไงกันนะ?
“เปล่านะคะ แต่พี่ภัทรไม่คิดว่ามันน่าสงสัยเหรอ ก็วันนั้นจู่ๆคุณเชษฐ์ก็โทรเข้ามาให้ต่อสายหาพี่ภัทร บอกให้เอาเอกสารลงไปให้ทั้งที่ไม่เกี่ยวกับงานของพี่ภัทรสักหน่อย แล้ววันนี้พี่ภัทรก็มาถามกุ้งเรื่องนี้ จะไม่ให้กุ้งสงสัยยังไงไหว”
ภัทรยกมือนวดขมับ สรุปแล้ว ถ้าจะมีใครทำให้เรื่องที่เขาคบกับเชษฐ์ความแตกในออฟฟิศ ก็เห็นท่าว่าจะเป็นเพราะเขาเองนี่แหละ
“กุ้ง พี่ขอร้องล่ะ อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครได้มั้ย?”
ภัทรเงยหน้าซีดเซียวขึ้นหาคนข้างตัว เพื่อนรุ่นน้องเลยยิ้มให้ก่อนจะเอื้อมมือบีบไหล่อย่างให้กำลังใจ
“พี่ภัทรล่ะก็ เห็นกุ้งคุยเก่งอย่างนี้ แต่กุ้งก็เก็บความลับเก่งนะคะ เชื่อใจได้เลย ยังไงกุ้งก็เป็นกำลังใจให้พี่ภัทรนะ”
ชายหนุ่มยิ้มตอบแม้จะไม่เต็มที่ แล้วก็อดถามสิ่งที่ยังสะกิดใจอยู่ไม่ได้
“ว่าแต่ กุ้งคิดว่า นอกจากกุ้งแล้วมีคนอื่นที่ดูพี่กับคุณเชษฐ์ออกหรือเปล่า?”
“เอ...ไม่น่ามีนะคะ คุณเชษฐ์แกนิ่งออกจะตายไป อีกอย่างก็ไม่ค่อยมีใครเห็นพี่ภัทรอยู่กับคุณเชษฐ์ด้วยกันในออฟฟิศเท่าไหร่ ไม่น่าจะต้องห่วงหรอกค่ะ”
รุ่นน้องสาวทำท่าคิดก่อนจะส่ายหน้า ภัทรจึงรับคำในคอก่อนจะถอนหายใจ แต่แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นก็ต้องตกใจที่ได้เห็นร่างสูงใหญ่กำลังผลักประตูหน้าเข้ามาพอดี ใบหน้าคมเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นภัทรนั่งอยู่ในที่ที่ไม่ใช่โต๊ะทำงานของตัวเอง
“ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะ งานเสร็จหมดแล้วเหรอ?”
พอถูกทักภัทรเลยรีบลุกทันที ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ต้องวางท่า “เจ้านาย-ลูกน้อง” ไว้ก่อน ต่อให้สาวน้อยที่นั่งอยู่ข้างเขาจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่แล้วก็เถอะ
“เปล่าครับ พอดีผมเบรกมาคุยกับกุ้งเฉยๆ”
เชษฐ์พยักหน้าก่อนจะหันไปหารีเซพชันนิสต์สาวที่ยิ้มหวานให้ ภัทรไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่าว่าแววตาของอีกฝ่ายดูดุชอบกลจึงถอยออกจากเคาน์เตอร์ กลิ่นบุหรี่เจือโคโลญจน์จากคนที่เพิ่งเข้ามาลอยมากระทบจมูกเจือจาง แต่พักหลังมานี้เขาเริ่มชินแล้วเลยไม่ได้ย่นจมูกอีก
“ตกลงว่าไฟลต์ของฉันสำหรับวันพรุ่งนี้เรียบร้อยหรือยัง?”
“เรียบร้อยค่ะ พอดีไฟลต์เช้าสุดไม่ว่าง แต่ไฟลต์ถัดไปมีคนแคนเซิลกุ้งก็เลยบุ๊คไว้ให้คุณเชษฐ์แล้วก็ปริ๊นท์ e-ticket วางไว้บนโต๊ะให้แล้วค่ะ”
“คุณเชษฐ์มีบินไปต่างประเทศพรุ่งนี้เหรอครับ?”
ภัทรหันไปถามคนข้างตัวอย่างตกใจ ได้แต่หวังว่าน้ำเสียงของตัวเองจะไม่ฟังแล้วหงอยจนเกินไป เพราะอีกฝ่ายหันมาสบตากับเขาด้วยแววตาที่อ่อนลงกว่าตอนแรกนิดหน่อย
“อืม พอดีมีเทรนนิ่งด่วนของ regional office ตอนแรกฉันนึกว่าคุณปรีชาจะให้คนอื่นไป แต่เค้าเพิ่งโทรบอกเมื่อเช้าว่าตกลงจะให้ฉันไป ก็กะทันหันเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแหละนะ”
เชษฐ์อธิบายด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ ภัทรเลยเห็นใจคนตรงหน้าขึ้นมาจับใจ เมื่อก่อนเขาพอรู้อยู่บ้างว่าระดับผู้จัดการโปรเจ็กต์ของบริษัทขึ้นไปมักโดนท่านประธานมอบหมายให้บินไปประชุมต่างประเทศด่วนกันบ่อยๆ แถมบางครั้งอาจต้องบินไปถึงสามสี่ประเทศติดกันในเวลาไม่กี่วันซึ่งไม่ใช่เรื่องสนุกเลย แต่ว่าเขาไม่เคยเก็บมาใส่ใจเพราะรู้สึกว่าเป็นภาระของผู้บริหารที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง ทว่าตอนนี้คนใกล้ชิดกับเขาเป็นคนที่โดนเองจึงอดใจหายไม่ได้
“เห็นว่าไปสัปดาห์เดียวใช่ไหมคะคุณเชษฐ์ เพราะกุ้งบุ๊คไฟลต์กลับไว้ให้แล้ว ยังไงถ้าต้องเลื่อนวันก็โทรบอกกุ้งแล้วกันนะคะ”
ราวกับสาวน้อยจะรู้ว่าภัทรอยากถามอะไรจึงช่วยพูดออกมาให้ เชษฐ์หันไปพยักหน้าขอบใจก่อนจะทำหน้าบุ้ยคางให้ภัทรเดินตาม ชายหนุ่มจึงเดินตามร่างสูงอย่างเหม่อๆ
“เย็นนี้งานยุ่งหรือเปล่า?”
พอโดนเสียงนุ่มกระซิบใกล้หูภัทรก็กระพริบตาแล้วถึงรู้ตัวว่าเดินตามอีกฝ่ายเข้ามาในห้องน้ำ คนถูกถามเอียงคอคิดแล้วก็ส่ายหน้า
“ไม่ค่อยยุ่งแล้วครับ พวกที่เป็นงานด่วนเคลียร์เสร็จหมดแล้ว ที่เหลือค่อยมาตามเก็บพรุ่งนี้ก็ได้”
“โอเค งั้นหลังเลิกงานไปรอที่เดิมแล้วกัน ฉันจะวนรถไปรับ”
คนตัวโตเอ่ยก่อนจะวางแฟ้มเอกสารกับสูทลงบนขอบอ่างล้างหน้าแล้วถอดแว่นออกพลางวักน้ำขึ้นลูบหน้า ภัทรยืนเงียบแล้วก็กัดริมฝีปาก
“เอ่อ...พอดีเย็นนี้ผมนัดทานข้าวกับพี่สาวน่ะครับ คุณเชษฐ์กลับได้เลย ไม่ต้องรอผมหรอกครับ”
มือใหญ่หมุนปิดก๊อกน้ำก่อนจะขมวดคิ้วสบตากับเขาผ่านกระจก
“ก็ไม่เป็นไรนี่ เดี๋ยวฉันขับรถไปส่งให้ก็ได้ หรือมีอะไรไม่สะดวกหรือไง?”
ภัทรเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของนัยน์ตาคมที่ไร้กรอบแว่นบังแล้วก็รู้สึกหนาวเยือกในใจ แต่สิ่งที่ทำให้หนักใจมากยิ่งกว่าคือสายตาของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนกระจก ชายหนุ่มจึงรีบตัดบทก่อนจะถูกอีกฝ่ายซัก
“ไม่เป็นไรจริงๆครับ ผมนั่งรถไฟฟ้าไปสะดวกกว่า คุณเชษฐ์จะได้กลับไปเก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางด้วย ยังไงผมกลับไปที่โต๊ะก่อนแล้วกันนะครับ แล้วค่อยคุยกันครับ”
ภัทรพูดจบแล้วก็รีบเดินหนีออกมาก่อนอีกฝ่ายจะทันทักท้วง เขากลัวว่าถ้าหากใครเดินเข้ามาในห้องน้ำตอนนี้แล้วเห็นว่าเขามองคนตัวใหญ่ด้วยสายตาแบบไหนอยู่ คราวนี้เขาคงแก้ตัวไม่ถูกแน่
ที่พี่ป๋วยเตือนเขาว่าให้ระวังตัวเวลามองคุณเชษฐ์ ภัทรเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายหมายความว่ายังไง...
+---tbc---+
คิดถึงคนอ่านทุกคนนะค้า มาลงตอนใหม่เสร็จแล้วก็ขอตัวไปทำงานต่อละ ว่างๆจะมาตอบเม้นท์เน้อ (เห็นป้ามันก็ชอบทำตัวเหมือนว่างทั้งวัน เวงกำ -_-")