ตอนที่ 20.
เสียงซุบซิบเหมือนมีคนคุยกัน แต่ก็เบาจนจับใจความไม่ได้ทำให้ภัทรขมวดคิ้ว ทว่าหนึ่งในเสียงนั้นกลับมีเสียงเล็กๆ ที่คุ้นหูอยู่ด้วย พอเขาขยับพลิกตัวเพื่อจะจับความว่านั่นเป็นเสียงของใคร เสียงเล็กๆ นั้นก็พลันดังขึ้นใกล้หู
"อ๋า...น้าภัทรตื่นแล้วล่ะค่ะ!"
มายูมิส่งเสียงอย่างดีใจ เมื่อภัทรลืมตาขึ้นก็พบกับรอยยิ้มสดใสของหลานสาวที่กำลังยืนเกาะขอบเตียงและจ้องเขาอยู่ ชายหนุ่มตกใจจนเผลอดีดตัวขึ้นนั่ง ทำให้พบว่านอกจากคุณเชษฐ์ที่กำลังเอนหลังพิงหมอนอยู่ข้างๆ ภายในห้องยังมีคนอีกสี่คนนั่งอยู่ตรงชุดโซฟารับแขกด้วย
หนึ่งในสี่คนนั้นคือแพน พี่สาวของภัทรเอง อีกหนึ่งคือคุณปรีชาซึ่งเป็นท่านประธานบริษัท ส่วนคู่ชายหญิงวัยกลางคนที่นั่งถัดไป เขาเคยเห็นแค่ในรูปถ่าย แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เจอกันครั้งแรกในที่แบบนี้
พ่อกับแม่ของคุณเชษฐ์...
“อ๊ะ ขอโทษครับ”
ความงัวเงียหายวับเป็นปลิดทิ้ง ภัทรรีบตลบผ้าห่มออกและตวัดขาเพื่อลงจากเตียง ดูเหมือนเมื่อครู่เขาจะหลับสนิทจนไม่รู้ตัวเลยว่ามีแขกเข้ามาในห้อง เมื่อคิดว่าทั้งสี่ได้มาเห็นเขานอนกินที่คนเจ็บนานแค่ไหนแล้ว ภัทรก็นึกอยากให้บนพื้นห้องมีหลุมเพื่อจะได้มุดหนีไปตรงนั้น
“จะรีบลุกไปไหนล่ะ เพิ่งนอนพักได้ไม่นานเองนะ”
แขนแข็งแรงข้างหนึ่งเอื้อมมารั้งเอวไว้ ความผอมบางที่ได้สัมผัสทำให้เชษฐ์ขมวดคิ้ว แต่ภัทรไม่สนใจและรีบดึงมือใหญ่ออกจากตัว
“แค่นั้นก็พอแล้วครับ เอ่อ...สวัสดีครับทุกคน ผมขออนุญาตแป๊บนึงนะครับ”
ภัทรหันไปไหว้ผู้อาวุโสแล้วก็รีบเดินไปเข้าห้องน้ำ เขาค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่านอกจากขอบตาที่ค่อนข้างบวมเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ตอนนี้ผิวหน้าก็คงจะแดงด้วยเนื่องจากโดนเห็นตอนอยู่ใกล้ชิดคุณเชษฐ์เสียขนาดนั้น
โชคดีว่าประตูห้องน้ำอยู่หลบเข้าไปหลังฉากกั้นตรงมุมห้อง เมื่อพ้นจากสายตาทุกคนแล้วภัทรจึงค่อยหายใจโล่งขึ้น เสียงฝีเท้าเล็กๆ ที่เดินตามมาและใช้มือดึงชายเสื้อเรียกให้คุณน้ายังหนุ่มก้มลงไปมอง
“มิมิ หนูมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?”
ชายหนุ่มย่อตัวลงกระซิบถามหลานสาวตัวน้อย มายูมิจึงดึงข้อมือข้างที่คาดนาฬิกาของน้าชายไปเอียงคอมอง จากนั้นก็ใช้นิ้วเล็กๆ จิ้มบนหน้าปัด
“ตอนมิมิกับแม่มาถึง เข็มสั้นอยู่เลขสอง ตอนพวกคุณลุงคุณป้ามาถึง เข็มสั้นอยู่เลขสามค่ะ”
เวลาตอนนี้สามโมงครึ่ง เท่ากับว่านอกจากพี่แพนแล้ว อีกสามคนที่เหลือได้มาเห็นเขานอนเบียดข้างคุณเชษฐ์อย่างน้อยก็ครึ่งชั่วโมง นี่ถ้าหากด้านหลังห้องน้ำมีประตูอีกบาน ภัทรคงใช้ประตูนั้นหนีอายออกไปให้รู้แล้วรู้รอด
แต่ว่า...ไม่ได้สิ...อายก็ส่วนอาย แต่สิ่งที่สมควรต้องทำในตอนนี้คือไปขอโทษคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณเชษฐ์ที่ทำให้ต้องบาดเจ็บเพราะเขาต่างหาก
“น้าภัทร?”
แม่หนูน้อยเรียกเมื่อจู่ๆ น้าชายก็ทำหน้าขรึมขึ้น ภัทรยิ้มแล้วลูบผมหลานสาวเบาๆ จากนั้นจึงเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา เมื่อออกมาอีกครั้ง มายูมิก็ดึงชายเสื้อเขาขณะเดินกลับเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยอีกครั้ง
“มิมิ หนูมานั่งนี่ดีกว่าลูก”
แพนเรียกเมื่อเห็นลูกสาวเอาแต่เดินตามน้าชายต้อยๆ แม่หนูจึงยอมเดินไปนั่งข้างแม่แต่โดยดี ท่าทางที่ไม่ตื่นคนแปลกหน้าแสดงว่าคงได้ทำความคุ้นเคยกับผู้ใหญ่ทั้งสามพอสมควรแล้ว
“ภัทร นี่คุณชาญ แล้วก็คุณมาศ พ่อกับแม่ของเชษฐ์เขา”
คุณปรีชาที่นั่งอยู่ข้างผู้สูงวัยอีกสองคนหันมาแนะนำ ภัทรจึงยกมือขึ้นไหว้อย่างเป็นทางการอีกครั้ง ทั้งคู่ยกมือขึ้นรับไหว้พร้อมกับมองเขาอย่างพินิจพิจารณา ไม่ได้มีแววรังเกียจเดียดฉันท์...แต่ก็ทำให้ภัทรประหม่าไม่น้อย บางทีคุณเชษฐ์คงแนะนำเขาคร่าวๆ ไปแล้วระหว่างที่ยังมัวแต่หลับกระมัง
ถ้าเป็นไปได้...ก็ไม่อยากต้องทำความรู้จักกับท่านทั้งสองในสถานการณ์เช่นนี้เลย
“สวัสดีครับ เอ่อ...เรื่องของคุณเชษฐ์ ...ผมต้องขอโทษ”
“อุ๊ย! ลุกขึ้นมาเถอะลูก อย่าทำอย่างนั้น”
คุณเพียงมาศรีบรั้งไหล่ภัทรเมื่อเขาก้มลงไปกราบแทบเท้า แม้แต่เชษฐ์ที่อยู่บนเตียงก็ยังทำสีหน้าตกใจ ทว่าภัทรไม่ยอมลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ทั้งที่หญิงสูงวัยพยายามจะดึงให้เขาขึ้นไปนั่งข้างๆ
“ผม...เป็นเพราะผมคุณเชษฐ์ถึงบาดเจ็บ ช่วงที่คุณเชษฐ์ยังไม่ฟื้นผมทำอะไรไม่ถูกเลย เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะผมเอง ผมขอโทษครับ”
เมื่อเอ่ยถึงช่วงเวลาก่อนที่คนเจ็บจะฟื้น ภัทรก็หวนระลึกได้ว่าเขาทรมานใจมากแค่ไหนในช่วงไม่กี่วันนั้น ถ้าหากว่าผู้สูงวัยทั้งสองได้มาเยี่ยมตั้งแต่ก่อนที่คุณเชษฐ์จะรู้สึกตัว เขาอาจจะรู้สึกผิดบาปมากยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้
ชายหนุ่มนั่งบนพื้นและก้มหน้านิ่งด้วยความรู้สึกผิด จึงไม่ได้เห็นว่าผู้สูงวัยทั้งสามรวมทั้งพี่สาวของเขามองหน้ากันด้วยแววตาแบบไหน ฝ่ายคนเจ็บที่อยู่บนเตียงจึงร้อนใจจนพยายามดันตัวขึ้นเพื่อลงจากเตียงเสียเอง
“รู้ตัวว่ายังไม่หายดีก็อยู่เฉยๆ แม่เขาเกือบจะเป็นลมไปรอบนึงแล้วตอนที่รู้ข่าว พ่อไม่อยากต้องอุ้มแม่แกไปนอนบนเตียงอีกคน”
คำสั่งห้ามจากผู้เป็นบิดาทำให้เชษฐ์ขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็จำต้องทำตามเมื่อมารดาส่งยิ้มอย่างเข้าใจมาให้ คุณเพียงมาศก้มลงมองภัทรอีกครั้งก่อนจะยกมือลูบผมเบาๆ
“ยอมรับว่าตอนพ่อกับแม่ได้ยินเรื่องนี้จากคุณปรีชาก็ตกใจ แต่พวกเราคุยกันแล้วว่าคนผิดไม่ใช่ภัทรหรอกจ้ะ อีกอย่างตอนนี้เชษฐ์เขาก็ฟื้นแล้ว ภัทรก็อย่าโทษตัวเองอีกเลยลูก”
ลูก...ช่างเป็นคำที่ฟังแล้วอบอุ่นเหลือเกินจากคนที่เพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งแรก ทว่ายิ่งได้รับความอ่อนโยนมากเท่าไหร่ ภัทรก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ทำให้ผู้สูงวัยทั้งสองต้องเป็นกังวลกันเรื่องของคุณเชษฐ์ถึงเพียงนั้น
เมื่อเห็นว่าภัทรยังนั่งนิ่งโดยไม่มีทีท่าจะลุกขึ้น ทว่าขอบตากับปลายจมูกแดงเรื่อ คุณปรีชาก็มองหน้าผู้มีศักดิ์เป็นอาซึ่งอายุมากกว่าตัวเองเพียงไม่กี่ปีเขม็ง คุณชาญมองตอบก่อนจะย่นคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ทำในสิ่งที่ทำให้ทั้งภัทรและแพนตกใจด้วยการย่อตัวลงนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้าภัทรและจับไหล่เขาเอาไว้
"ฟังนะภัทร พ่อกับแม่ไม่ได้คิดโทษภัทร ถึงจะไม่พอใจที่ตาเชษฐ์ถูกทำร้ายจนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่พ่อกับแม่แยกแยะได้ว่าคนที่ทำผิดจริงๆ คือใคร เราน่ะเลิกคิดมากเถอะนะ"
เมื่อเอ่ยจบผู้สูงวัยก็รั้งไหล่เขาให้ลุกขึ้นนั่งบนโซฟาข้างๆ ภรรยา จากนั้นตนก็นั่งลงประกบอีกด้าน มือที่เริ่มเหี่ยวย่นเล็กน้อยตามวัยยกขึ้นลูบผมของเขาอย่างอ่อนโยน ซึ่งทำให้ภัทรรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวเหมือนน้ำตาจะไหลอีกครั้ง
"ขอบคุณมากครับ"
ภัทรยกมือขึ้นไหว้บนไหล่ของผู้สูงวัยที่นั่งอยู่ทางซ้ายและขวาของตนเอง จากนั้นก็เหลือบตามองไปทางคนเจ็บที่กำลังมองเขาอยู่และยิ้มน้อยๆ ให้ เมื่อได้พบกับบุพการีของอีกฝ่าย เขาก็ไม่สงสัยอีกแล้วว่าทำไมคุณเชษฐ์ถึงเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง และพร้อมจะมอบความรักให้เขาอย่างไม่มีเงื่อนไขได้ถึงขนาดนี้
เป็นเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าตัวก็ได้รับความรักอันเปี่ยมล้นและกำลังใจอันมากมายจากคู่ชายหญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาในเวลานี้นี่เอง...
คุณปรีชาระบายลมหายใจยาวเมื่อเห็นสถานการณ์อันน่าอึดอัดเริ่มผ่อนคลายลง ท่านประธานเหลือบมองคนเจ็บบนเตียงก่อนจะหันกลับมาสบตากับคุณชาญที่ตอนนี้นั่งอยู่ข้างๆ ภัทรอีกครั้ง
"เอาล่ะ ไหนๆ ก็มีโอกาสได้คุยกันพร้อมหน้าทุกคนแล้ว ตกลงพี่ชาญตั้งใจว่ายังไงกับคนที่ทำให้เชษฐ์เข้าโรงพยาบาลครับ?"
สีหน้าของคนถูกถามขรึมลงทันที ทว่าประกายในแววตาดุดันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด "ต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุดแน่นอนอยู่แล้ว ตาเชษฐ์เจ็บตัวถึงขนาดนี้ ยังไงไอ้คนที่ทำก็ต้องรับผิดชอบ"
"ผมเห็นด้วยกับพี่ชาญ ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่รอพี่กับคุณมาศมาถึงเมืองไทยก่อนจะได้มั่นใจว่าเห็นตรงกัน ภัทร...รบกวนช่วยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นอีกทีได้ไหม? เพราะฉันก็ได้ฟังมาจากนินนาทอีกทอดหนึ่ง ยังไงก็คงไม่ละเอียดเท่ากับถามเธอที่อยู่ในเหตุการณ์เอง"
ภัทรหน้าตื่นเมื่อคุณปรีชาหันมาถาม เขาชำเลืองมองคุณเชษฐ์ก็พบว่ากำลังทำสีหน้าที่อ่านไม่ออก แต่เมื่อเหลือบไปมองแพนก็เห็นพี่สาวพยักหน้าให้ คุณเพียงมาศเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของเขาจึงดึงมือไปบีบเบาๆ
"เล่าให้พวกแม่ฟังหน่อยเถอะนะภัทร เราจะได้ไปปรึกษาทนายต่อได้ถูกต้องนะจ๊ะ"
น้ำเสียงและแววตาอ้อนวอนของหญิงสูงวัยมีน้ำหนักจนใครก็ไม่อาจปฏิเสธ ดังนั้นต่อให้ไม่อยากนึกถึงเรื่องราวในคืนนั้นมากเพียงใด ภัทรก็จำต้องรวบรวมสติและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟังไปตามตรง
++------++
เมื่อพระจันทร์ทอแสงนวลบนกึ่งกลางม่านฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ความสงบเงียบก็กลับมาเยือนห้องพักผู้ป่วยอีกครั้ง หลังจากทุกคนกลับไปได้พักใหญ่เพราะหมดเวลาเข้าเยี่ยม ในห้องพักวีไอพีเวลานี้จึงเหลือเพียงคนเจ็บที่กำลังเอนหลังดูข่าวโทรทัศน์อยู่บนเตียง กับคนเฝ้าที่กำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำเท่านั้น
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงวอร์มขายาว ภัทรก็ใช้ผ้าขนหนูซับผมที่เพิ่งสระและยังหมาดอยู่หน้ากระจก หลังจากวันอันแสนยาวนานจบลง ตอนนี้เขาก็ไม่นึกอยากทำอะไรนอกจากพักผ่อนเช่นกัน
"ภัทร..."
"อ๊ะ ครับ"
ชายหนุ่มรีบเดินออกจากห้องน้ำไปตามเสียงเรียก ถึงแม้เชษฐ์จะรู้สึกตัวแล้วและไม่ปรากฏอาการข้างเคียงที่น่าเป็นห่วงหลังจากส่งตรวจร่างกายอีกครั้งเมื่อตอนบ่าย แต่แพทย์ก็ยังขอให้นอนที่โรงพยาบาลต่ออีกสองคืนเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีอาการแทรกซ้อนจริงๆ
"ขอโทษที อาบน้ำเสร็จรึยัง?"
"เสร็จแล้วครับ พอดียังเช็ดผมไม่แห้งก็เลยใช้เวลานานไปหน่อย"
ภัทรเอ่ยพลางยกเหล็กกั้นขอบเตียงลงเพื่อจะได้ขึ้นไปนั่งข้างๆ คนเจ็บ เวลานี้นอกจากผ้าพันแผลบนศีรษะกับชุดคนไข้ของโรงพยาบาล คนที่กำลังนั่งเอนหลังอยู่ก็ไม่มีอาการใดที่น่าวิตกกังวลอีก และภัทรก็โล่งอกเหลือเกินที่เป็นเช่นนั้น
"อืม...ยังไม่แห้งจริงๆ ด้วย"
เชษฐ์ยกมือขึ้นลูบเรือนผมที่ยังชื้นเล็กน้อยของภัทรเบาๆ ก่อนจะเลื่อนปลายนิ้วต่อไปยังผิวแก้มที่เนียนลื่นหลังจากเพิ่งอาบน้ำ ภัทรหลับตาลงเมื่อปลายนิ้วนั้นค่อยเลื่อนขึ้นสัมผัสส่วนอื่นบนใบหน้า ไม่ว่าจะเปลือกตา จมูก หรือว่าหน้าผาก นัยน์ตาเรียวเปิดขึ้นช้าๆ เมื่อสุดท้ายปลายนิ้วนั้นหยุดนิ่งอยู่บนริมฝีปากของเขา และได้พบว่านัยน์ตาคมเข้มจับจ้องมาอยู่ก่อนแล้ว
"...เมื่อตอนบ่ายขอโทษด้วยนะ ที่พ่อกับแม่ฉันถามถึงเรื่องนั้น"
ภัทรรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องไหน จึงส่ายหน้าพลางจับมือข้างที่อ้อยอิ่งอยู่บนริมฝีปากให้แนบแก้มตัวเองไว้
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าไม่ถูกซักต่างหากถึงจะแปลก อีกอย่างตอนนี้ผมพูดถึงเรื่องนั้นได้โดยไม่เป็นไรแล้วล่ะ คุณเชษฐ์ปลอดภัยแล้วนี่นา"
เขายิ้มน้อยๆ พลางหวนนึกไปถึงเมื่อตอนบ่ายที่คุณชาญกับคุณเพียงมาศขอให้เล่าเรื่องในคืนที่คุณเชษฐ์ถูกทำร้ายอย่างละเอียดอีกครั้ง ถึงแม้จะยังลมหายใจติดขัดเมื่อต้องคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ภัทรก็พบว่าเมื่อได้เริ่มเล่าแล้ว เขาก็ไม่อึดอัดมากเท่าที่หวั่นกลัวในตอนแรก
เชษฐ์มองรอยยิ้มบนมุมปากของภัทรโดยไม่ได้ยกมือออก ทว่านัยน์ตาคมเข้มขรึมลงเล็กน้อย "แล้วถ้าฉันถามแค่ความเห็นเธอล่ะ อยากให้เอาเรื่องกับหมอนั่นหรือเปล่า?"
"เอ๊ะ?"
ภัทรเลิกคิ้ว แต่เมื่อเห็นคนถามยังจ้องเขานิ่ง ชายหนุ่มก็หลุบตาลงนิดหนึ่ง
"...ถึงผมจะไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไม...เขา...ถึงทำแบบนั้นในคืนนั้น แต่ใครทำอะไรไว้ก็สมควรได้รับผลที่ตามมาครับ"
ถึงแม้จะรู้ดีว่าคืนนั้นธราธรก็โดนเล่นงานปางตายเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณเชษฐ์โดนกระทำแล้ว ภัทรก็ไม่อาจทำตัวเป็นกลางแล้วนำทั้งสองเรื่องมาหักล้างกันได้ เพราะเขาย่อมจะลำเอียงเข้าข้างคนที่เขารักมากกว่าอยู่แล้ว
นี่ยังดีว่าคุณเชษฐ์ฟื้นและไม่เป็นอะไร แต่ถ้าหากไม่ฟื้นขึ้นมาล่ะ...
แค่นึกถึงฝันร้ายเมื่อเช้าภัทรก็รู้สึกหนาวไปทั้งตัว เชษฐ์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นไหล่ผอมสั่น แต่ยังไม่ทันถามว่าเป็นอะไร ภัทรก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นมาก่อน
"คุณเชษฐ์...คืนนี้ผมขอนอนข้างๆ เหมือนเมื่อกลางวันได้ไหมครับ?"
ร่างสูงใหญ่เลิกคิ้วแต่ไม่ได้ตอบในทันที และนั่นทำให้ภัทรรู้สึกร้อนหน้าขึ้นมากับคำขอเหมือนเด็กๆ ของตัวเอง "คือ...ถ้าคุณเชษฐ์ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ ผมนอนที่โซฟาข้างๆ นี่ก็ได้"
"เดี๋ยวสิ ยังไม่ได้บอกสักคำว่าไม่สะดวก จะรีบไปไหน?"
มือแข็งแรงรั้งศอกของคนที่กำลังจะลงจากเตียงได้ทัน เมื่อภัทรหันกลับไปเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคนตัวใหญ่กว่าก็ให้เก้อเขินยิ่งขึ้นจนต้องหลบตา
"ถ้างั้น...ขอผมไปเช็ดผมให้เสร็จแล้วปิดไฟก่อน คุณเชษฐ์ดูข่าวไปก่อนก็ได้ครับ"
ร่างสูงใหญ่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะยอมปล่อยมือ ฝ่ายภัทรได้แต่รีบลุกหนีเข้าห้องน้ำแล้วจัดการธุระส่วนตัวต่อให้เสร็จ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลังจากที่ยอมรับความรู้สึกของตัวเองไปแล้ว และความวิตกกังวลถูกขจัดจากหัวใจ ตอนนี้เขายิ่งขัดเขินยามถูกหยอกเย้าจากคุณเชษฐ์มากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
แต่ขณะเดียวกัน...มันก็เป็นความรู้สึกที่ทำให้ในอกอบอุ่นไม่น้อยเลย...