ตอนที่ 16.
เสียงน้ำที่เพิ่งหยุดไหลในครัวเป็นสัญญาณว่าพี่สาวของเขาล้างจานเสร็จแล้ว ภัทรจึงหยิบกระเป๋าสะพายใบเก่งขึ้นพาดบ่า จากนั้นก็หันไปจับมือเล็กๆ ของมายูมิที่รีบเดินมาหาเมื่อเห็นน้าชายเตรียมจะออกจากบ้าน
“งั้นเดี๋ยวภัทรไปทำงานแล้วนะพี่แพน”
ภัทรร้องบอกพลางเดินไปเปิดประตูบ้าน แพนซึ่งเพิ่งเดินออกมาจากในครัวจึงถามขึ้น
“อื้ม แน่ใจนะว่าจะไม่ให้พี่ขับรถไปส่ง?”
“อย่าดีกว่า แค่เดินออกไปหน่อยก็ถึงรถไฟฟ้าแล้ว พี่แพนจะได้ไม่ต้องออกไปเจอรถติดด้วย”
คุณน้ายังหนุ่มเอ่ยก่อนจะย่อตัวลงแล้วเขย่ามือมายูมิเบาๆ “เดี๋ยวน้าภัทรไปทำงานก่อน แล้ววันหลังเราค่อยไปเที่ยวกันใหม่นะคะ”
มายูมิดูไม่ค่อยอยากปล่อยมือนัก ริมฝีปากเล็กยื่นขึ้นนิดๆ ส่วนนัยน์ตาก็มีน้ำตาคลอ “แล้ววันเสาร์น้าภัทรจะมานอนกับมิมิอีกไหมคะ? แม่บอกว่าอาทิตย์นี้พ่อก็ยังไม่กลับ”
ภัทรมองหน้าหลานแล้วก็สงสาร เพราะจากที่ตอนแรกเขากะว่าจะมาค้างด้วยแค่ช่วงสุดสัปดาห์เดียว ไปๆ มาๆ แพนก็ชวนมาค้างที่บ้านด้วยเกือบครบเดือนแล้ว เพราะครั้งนี้สามีต้องไปญี่ปุ่นนาน ทั้งบ้านจึงมีกันเพียงสองคนแม่ลูก ช่วงนี้หลานสาวจึงติดเขาแจ
“ไว้ถ้ามาได้น้าภัทรจะบอกนะ ไหนมาให้น้าภัทรหอมก่อนไปทำงานหน่อยเร็ว”
แม่หนูน้อยค่อยหน้าตาแจ่มใสขึ้น ร่างเล็กโผเข้ากอดคอน้าชายแล้วหอมแก้มฟอดใหญ่ ภัทรเลยหอมแก้มยุ้ยๆ คืนก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วลูบผมหลานสาวเบาๆ
“งั้นเราค่อยคุยกันใหม่นะ บ๊ายบายจ้ามิมิ”
“บ๊ายบายค่าน้าภัทร”
เด็กหญิงร้องเสียงสดใสพลางยกมือโบกให้เขาสุดแขน ฝ่ายแพนเองก็โบกมือให้ยิ้มๆ ภัทรมองภาพคนที่ยืนส่งอยู่หลังรั้วแล้วก็เดินจากมาด้วยความรู้สึกอิ่มเอมในใจ
น่าอิจฉาพี่เขยของเขาจริงๆ ที่มีครอบครัวอบอุ่นแบบนี้...
ภัทรแวะซื้อของกินง่ายๆที่ตลาดหน้าหมู่บ้านก่อนจะขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงาน ถึงแม้การมาค้างแรมที่บ้านพี่สาวจะทำให้เสียเวลาส่วนตัวไปบ้างเพราะต้องช่วยเลี้ยงหลาน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งคู่ช่วยให้เขาคลายเหงาจากความคิดถึงคุณเชษฐ์ไปได้มากทีเดียว
ช่วงเช้าภัทรช่วยรุ่นพี่เตรียมงานเอกสารที่จำเป็นเพราะใกล้ช่วงจัดงานของบริษัทเข้ามาทุกที เขาสั่งพิมพ์รายงานแล้วนำไปส่งให้นินนาทที่ห้องประจำตำแหน่ง เมื่อกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง ภัทรก็เลิกคิ้วเมื่อเห็นว่ามีกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ เสียบคั่นอยู่ในสมุดจดของเขา พอหยิบออกมาดูก็พบว่าเป็นข้อความจากป๋วย
'เที่ยงนี้พี่ขอแยกไปกินข้าวกับคุณนินนะจ๊ะ'
ภัทรอ่านข้อความในกระดาษโน้ตแล้วก็ยิ้ม เพราะปกติทั้งคู่มักไปทานมื้อกลางวันด้วยกันพร้อมกับเพื่อนๆ ในทีม แต่เนื่องจากตอนนี้นินนาทไม่ใช่ชายที่มีพันธะอีกต่อไปเพราะหย่าขาดจากภรรยาแล้ว ดังนั้นเจ้านายกับรุ่นพี่ของเขาจึงสามารถสานความสัมพันธ์ได้โดยไม่ต้องห่วงว่าจะถูกครหาอีก
ถึงแม้จะอายุเท่าไหร่หรือมีตำแหน่งสูงแค่ไหน แต่ถ้าคนเรามีความรัก...มันก็ทำให้มีชีวิตชีวาขึ้นแหละนะ...
ภัทรคิดระหว่างนั่งรอให้เพื่อนๆ ในออฟฟิศลงไปพักเที่ยงกันก่อน พอเห็นว่าคนเริ่มซาแล้วจึงค่อยลงไปชั้นล่างบ้าง เพราะเขาไม่อยากไปแย่งโต๊ะทานข้าวหรือต่อคิวยาวๆ ในศูนย์อาหารสักเท่าไหร่
เที่ยงครึ่ง...ป่านนี้คนอื่นก็คงกินข้าวกันเกือบเสร็จแล้วล่ะมั้ง...
ภัทรคิดในใจขณะเดินออกจากลิฟต์ แต่เมื่อสายตาปะทะเข้ากับใครคนนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงล็อบบี้ชั้นล่าง เขาก็ชะงักและทำท่าจะหมุนตัวกลับไปที่ลิฟต์ทันที
โชคร้ายที่ยังช้ากว่าคนคนนั้นที่สาวเท้ายาวๆ มายืนขวางตรงหน้า
“เดี๋ยวสิภัทร จะออกไปกินข้าวไม่ใช่หรือไง? ธรมานั่งรอตั้งแต่ก่อนเที่ยงแล้วนะ”
เสียงนั้นดังขึ้นมาจากเหนือศีรษะของภัทรที่ก้มอยู่ ชายหนุ่มจึงได้แต่พยายามข่มใจให้เยือกเย็นแล้วถึงค่อยเงยหน้าขึ้น
“มีธุระอะไรกับผมเหรอครับ?”
ภัทรพยายามปรับน้ำเสียงให้ราบเรียบ เหตุการณ์ในห้องประชุมเมื่อเกือบหนึ่งเดือนก่อนวาบขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง ทั้งที่นึกว่าอีกฝ่ายคงล้มเลิกความคิดที่จะมาตอแยเแล้วหลังจากถูกเขาใช้คำพูดเย็นชาใส่ แต่กลับกลายเป็นว่าธราธรยังมาหาเขาเองถึงที่
ร่างสูงใหญ่เพียงแต่เอามือล้วงกระเป๋าแล้วยกมุมปากขึ้น ทว่ารอยยิ้มที่เห็นทำให้ภัทรกระวนกระวาย เพราะถึงแม้จะเลิกติดต่อกันมาสองปี แต่ความทรงจำของวันคืนเก่าๆ ก็ไม่ได้เลือนหาย ดังนั้นเขาจึงจำได้ว่านั่นเป็นรอยยิ้มที่ภัทรจะได้เห็นเวลาธราธรมั่นใจว่าถึงอย่างไรก็ง้อเขาได้ ไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือที่จะบีบหรือคลายก็ได้ตามใจชอบ
ตอนนั้นเขาหลงรักผู้ชายคนนี้ได้อย่างไรกัน...
“ภัทรเปลี่ยนไปนะ”
คนพูดเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงสบายๆ เหมือนกำลังชวนเพื่อนเก่าคุย แต่ภัทรกลับยิ่งขมวดคิ้วมุ่นอย่างระแวง เพราะแววตาที่จับจ้องมาฉายประกายระยับ ซึ่งเป็นแววตาเดียวกับที่ภัทรจำได้ว่ามักได้เห็นยามธราธรเจอสิ่งที่ทำให้รู้สึกถูกใจหรือท้าทาย แต่เขาไม่ต้องการเป็นเป้าหมายของความท้าทายนั้น จากวันที่ธราธรยุติความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เวลาก็ผ่านมานานเกินกว่าที่เขาจะอยากกลับไปเล่นเกมนั้นอีก
“ขอบคุณ ถ้าหากคุณไม่มีธุระอะไรอีก ผมจะกลับขึ้นไปที่ออฟฟิศ”
“ไม่เอาน่าภัทร ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แค่ไปกินข้าวกับเพื่อนเก่าไม่ได้รึไง?”
ภัทรส่ายหน้าและทำท่าจะเบี่ยงตัวหนี “ไม่จำเป็น...นี่!!”
ชายหนุ่มร้องอย่างตกใจด้วยไม่คาดว่าจะถูกดึงข้อมือไปทางประตู และเสียงเมื่อครู่ก็เริ่มจะดึงดูดความสนใจของผู้คนที่อยู่บริเวณล็อบบี้ ธราธรดูเหมือนจะอ่านความคิดของเขาออกจึงหันกลับมาหา
“จะไปด้วยกันดีๆ ได้หรือยัง? หรือว่าต้องให้จูงไป?”
ร่างสูงใหญ่ก้มหน้าลงกระซิบโดยไม่ผ่อนแรงบีบบนข้อมือแม้แต่น้อย รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาดูนุ่มนวล แต่น้ำเสียงและแววตาที่ไม่ต่างจากคำว่า 'ข่มขู่' ก็ทำให้ภัทรเย็นเยือกไปถึงสันหลัง
อย่างน้อยสมัยที่ยังคบกัน ต่อให้เขาทำตัวไม่ถูกใจบ้างก็ไม่เคยถูกใช้กำลังด้วยแบบนี้
“ไปก็ได้ แต่ช่วยปล่อยมือผมก่อน แล้วก็ให้ผมเลือกร้านเองด้วย”
ภัทรพยายามบังคับเสียงให้หนักแน่นขณะจ้องตากลับ เขาไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอก็จริง แต่ก็รู้ตัวดีว่าสู้แรงธราธรไม่ไหว ท่าทางที่ได้เห็นตอนนี้ทำให้เขานึกหวั่นว่าถ้าถูกทำให้ไม่พอใจมากๆ เข้า อีกฝ่ายอาจจะทำอะไรที่แย่ยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้
ธราธรหรี่ตาลง แววตายังแสดงออกว่าไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน แต่เมื่อเห็นว่าภัทรไม่ได้แสดงท่าทางจะหนีอีก จึงค่อยผ่อนแรงที่มือลงและยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“ว่าง่ายๆ ตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง”
ทันทีที่มือเป็นอิสระ ภัทรก็รีบเบี่ยงตัวออกห่างทันที เขาเม้มปากแน่นขณะเดินนำไปที่หน้าอาคารและผลักประตูออก แต่กลับเลี้ยวไปยังทิศทางตรงข้ามกับศูนย์อาหารที่ตั้งใจจะไปตอนแรก
ชายหนุ่มตั้งใจเดินเร็วๆ เพื่อสร้างระยะห่าง แต่ช่วงขาที่ต่างกันทำให้คนที่เดินตามหลังไม่มีปัญหากับการเดินตามให้ทัน ภัทรเห็นท่าทางสบายๆ ของคนข้างตัวจากหางตา แล้วก็ได้แต่พยายามควบคุมตัวเองให้สงบสติอารมณ์เอาไว้
ธรตั้งใจจะทำอะไรกันนะ...
ภัทรได้แต่คิดอย่างว้าวุ่น ท่าทีของธราธรเมื่อครู่ทำให้เขาไม่สบายใจเอาเสียเลย ทำไมคนที่ลาจากกันอย่างไม่ทิ้งเยื่อใยในคราวนั้นจะต้องกลับเข้ามาในชีวิตเขาอีก แล้วยัง....คนที่อีกฝ่ายควรจะใส่ใจที่สุดในเวลานี้อีกล่ะ...
“ภรรยาคุณสบายดีเหรอ?”
ภัทรเอ่ยคำถามนั้นออกไป และทันใดก็เห็นไหล่ของธราธรเกร็งขึ้นทันที ความกดดันแผ่ซ่านออกมาจากร่างสูงใหญ่จนภัทรแทบหยุดหายใจเมื่อถูกปรายตาเยียบเย็นมามอง
“ไม่จำเป็นต้องสนใจผู้หญิงคนนั้นหรอก”
++------++
ภัทรกลับมาทำงานช่วงบ่ายอย่างไม่สดชื่นนัก ซึ่งสาเหตุหลักก็เป็นเพราะมื้อกลางวันอันแสนจะชวนให้อึดอัดนั่นเอง
เป็นเพราะท่าทางมุทะลุของอีกฝ่ายเมื่อตอนที่บังคับให้ไปทานข้าวด้วย ภัทรจึงตั้งใจพาไปร้านอาหารที่อยู่ค่อนข้างไกลบริษัท เนื่องจากไม่อยากให้เพื่อนร่วมงานมาเห็นหรือได้ยินหากธราธรพูดถึงเรื่องในอดีตของทั้งคู่อีก แต่แล้วเขาก็ถูกทำให้แปลกใจซ้ำ เพราะนอกจากธราธรจะเพียงแค่นั่งทานอาหารไปเงียบๆ โดยไม่ชวนคุยสักคำแล้ว บางครั้งเจ้าตัวก็จะมองเขาด้วยแววตาครุ่นคิด แต่บ่อยครั้งกว่าก็จะมองไปไกลๆ อย่างยากจะคาดเดาว่ากำลังมองอะไรกันแน่
ภัทรเกือบจะวางใจได้แล้วว่าธราธรคงแค่มาทำธุระแถวนี้จริงๆ และที่มารอเขาทานข้าวด้วยเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่หลังจากจบมื้ออาหารลง เขาก็ถูกทำให้หนักใจอีกครั้งเมื่อได้ยินคำว่า 'แล้วเจอกันใหม่'
ภัทรพยายามไม่คิดว่าธราธรตั้งใจจะมาชวนเขาไปทานข้าวอีก เพราะเป็นไปได้ว่าที่พูดอย่างนั้นเนื่องจากบริษัทของลุงต้องทำงานร่วมกับบริษัทของเขา ทว่าสีหน้าท่าทางใจลอยของเจ้าตัวระหว่างทานข้าวด้วยกันก็ทำให้ภัทรไม่สบายใจ อาจเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่นึกกลัวใจคนเคยรู้จักกันมากขนาดนี้
ชายหนุ่มพยายามปัดความคิดอันรกสมองทิ้ง เขาตัดสินใจว่าตอนเย็นจะโทรหาเชษฐ์แล้วเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ถึงแม้จะรู้ว่านั่นคงไม่ช่วยเร่งให้คุณผู้จัดการกลับจากเวียดนามเร็วขึ้น แต่ถ้าหากได้เล่าเรื่องอันคับข้องใจนี้ให้รู้ บางทีเขาอาจสบายใจขึ้นว่าตนไม่ได้ปิดบังเรื่องอะไรจากอีกฝ่ายก็เป็นได้
เวลาล่วงไปจนบ่ายคล้อย ภัทรลุกขึ้นจากโต๊ะโดยหยิบถ้วยกาแฟที่ดื่มหมดแล้วเพื่อไปชงเพิ่ม แต่พอกำลังจะเดินเข้าไปใกล้ครัว ร่างสูงเพรียวก็ชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินบทสนทนาจากด้านใน
"อะไรนะ! แกแน่ใจเหรอ? ท่านประธานจะให้คุณเชษฐ์ประจำที่เวียดนามไปเลยจริงๆ น่ะ!?"
ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวชาไปทั้งร่าง ขณะเดียวกันมือที่จับถ้วยกาแฟอยู่ก็อ่อนเปลี้ยขึ้นมาดื้อๆ จนเกือบจะปล่อยหูจับให้หล่นลงกับพื้น แต่ยังดีที่เขาควบคุมสติไว้ได้ทัน กระนั้นสิ่งที่เพิ่งได้ยินก็ทำให้ภัทรขาแข็งจนก้าวจากตรงนั้นไปไหนไม่ได้
"ชู่ว!! เบาๆ หน่อยไอ้เปิ้ล!! ฉันแค่ได้ยินคุณปรีชาปรึกษากับคุณนินเฉยๆ เห็นว่าลูกค้าส่วนใหญ่ที่เวียดนามก็เซ็นสัญญาเพราะคุณเชษฐ์มากกว่าคุณอั๋น พวกท่านๆ ก็เลยกะเสนอชื่อคุณเชษฐ์ให้ทางสำนักงานใหญ่พิจารณาล่ะมั้ง"
"ตายๆๆ แล้วงานทางนี้จะทำไงล่ะ นี่ก็มีคอนแทรคต์ตั้งหลายตัวที่รอคุณเชษฐ์กลับมาเซ็นนะ ถ้าแกไปประจำที่เวียดนามแล้วทางนี้จะโปรโมทใครขึ้นแทน?"
"จะยากอะไรเล่า ระหว่างนั้นก็ให้คุณนินหรือคุณอั๋นช่วยดูโปรเจ็คต์ของคุณเชษฐ์ไปก่อนสิ แต่แกอย่าเพิ่งไปปูดให้คนอื่นฟังล่ะ รอให้เขาประกาศเป็นทางการก่อน"
ภัทรยิ่งฟังก็ยิ่งหน้าซีดเผือดลงทุกที มือที่พยายามจับหูถ้วยกาแฟไว้แน่นอ่อนแรงจนเผลอปล่อยให้หล่นกระทบพื้นแตกเป็นเสี่ยงในที่สุด
"ว้าย!!"
สองสาวในห้องครัวและคนที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นส่งเสียงอย่างตกใจพลางรีบก้าวออกมาดู ทำให้ได้เห็นภัทรกำลังนั่งคุกเข่าและพยายามใช้มือเปล่าๆ เก็บกวาดเศษกระเบื้องอย่างลนลาน ถ้วยกระเบื้องเนื้อหนาเมื่อแตกออกก็มีทั้งส่วนที่เป็นเศษชิ้นใหญ่และเล็กกระจัดกระจาย ป๋วยซึ่งเพิ่งออกจากห้องน้ำก็รีบเดินมาดูเหมือนกัน เมื่อเห็นฝ่ามือทั้งสองข้างของรุ่นน้องมีเลือดไหลเพราะโดนเศษกระเบื้องบาด แต่เจ้าตัวก็ยังจะทู่ซี้เก็บกวาดเศษเสี้ยวที่แตกมากองรวมกันเหมือนไม่รู้สึกตัว เธอก็ทำตาโตและรีบเข้าไปยื้อมือภัทรไว้ทันที
"ภัทร! หยุดเก็บได้แล้ว! ไม่เห็นรึไงว่านิ้วเหวอะไปหมดแล้วน่ะ!!"
น้ำเสียงของป๋วยกระตุ้นภัทรที่กำลังใจลอยให้รู้สึกตัว ชายหนุ่มค่อยๆ หงายมือทั้งสองข้างขึ้นแล้วมองรอยเลือดสีแดงบนมืออย่างงุนงง ความจริงแล้วคำว่าเหวอะนั้นค่อนข้างจะเกินความจริงไปหน่อย แต่ร่องรอยที่โดนกระเบื้องขูดจนเลือดซึมเลอะไปทั่วก็ยังชวนให้คนที่เห็นขนลุก
"แม่บ้าน! ใครตามแม่บ้านมากวาดเศษแก้วตรงนี้เร็ว!"
หนึ่งในเพื่อนร่วมงานที่มุงอยู่รีบร้องเรียกแม่บ้านเมื่อตั้งตัวได้ ส่วนป๋วยรีบรั้งแขนภัทรขึ้นยืนแล้วหันไปบอกคนอื่นๆ
"ใครช่วยไปหยิบกระเป๋าของพี่กับของภัทรให้ที พี่จะพาภัทรไปโรงพยาบาล"
"พี่ป๋วย...ไม่ต้อง...."
ภัทรพยายามแย้งเพราะไม่อยากให้ทุกคนทำราวกับการที่เขาโดนเศษกระเบื้องบาดมือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แต่พอเห็นรุ่นพี่สาวหันมาถลึงตาดุใส่ก็ได้แต่เงียบ เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งมีน้ำใจช่วยถือกระเป๋าของทั้งคู่ตามลงไปส่งถึงที่รถของป๋วยซึ่งจอดอยู่ชั้นใต้ดิน พอภัทรขึ้นรถเรียบร้อย หญิงสาวก็รีบขับรถพาไปโรงพยาบาลทันที
แผนกฉุกเฉินในช่วงบ่ายของโรงพยาบาลมีคนไข้ไม่มากนัก พอภัทรไปถึงแล้วนางพยาบาลจึงรีบพาเขาเข้าไปทำแผล และทั้งๆ ที่ตอนโดนบาดนั้นภัทรไม่ค่อยรู้สึกเจ็บสักเท่าไหร่ พอโดนทำความสะอาดและใส่ยาให้ เขาถึงเพิ่งรู้สึกว่าเจ็บจนน้ำตาแทบไหล
"ขอโทษทีนะครับ ยามันจะแสบหน่อยนึง"