ตอนที่ 13 ครึ่งแรก ช่วงบ่ายวันนั้น ภัทรนั่งทำงานด้วยความสบายใจ เพราะรู้แล้วว่าถึงอย่างไรคุณผู้จัดการก็จะตามไปงานเลี้ยงวันเกิดของหลานเขาแน่นอน หลังจากที่พักเบรกไปกินข้าวกล่องที่ฝากป๋วยซื้อมาให้ในห้องครัว ชายหนุ่มก็กลับมาที่โต๊ะและเริ่มจัดเรียงเอกสารที่ปรินท์ไว้ใส่ลงแฟ้ม
เนื่องจากงานที่เขาต้องรับผิดชอบในวันนี้มีแค่เรื่องนี้เท่านั้น ภัทรจึงไม่ถูกขัดจังหวะด้วยอีเมล์หรือโทรศัพท์จากเพื่อนร่วมงาน แต่หลังจากนั่งจัดเอกสารไปครู่หนึ่ง เขาก็พบว่าแฟ้มที่ต้องใช้มีจำนวนไม่พอ จึงต้องวางงานที่ทำค้างอยู่แล้วเดินไปขอเบิกแฟ้มเพิ่มยังห้องเก็บเครื่องใช้สำนักงานซึ่งอยู่อีกฟากของออฟฟิศ
ห้องเก็บเครื่องใช้สำนักงานนี้มีลักษณะคล้ายกับห้องเก็บของขนาดใหญ่ ด้านหน้ามีช่องบานเลื่อนกระจกใสและกล่องใส่แบบฟอร์มสำหรับเบิกอุปกรณ์ ส่วนด้านในจะมีพนักงานประจำห้องที่คอยรับแบบฟอร์มและจัดของให้คนที่มาเบิก เมื่อภัทรเดินมาถึงด้านหน้าก็ยิ้มให้กับพนักงานที่เลื่อนช่องกระจกออกให้
“แฟ้มใสขนาดเอสี่สามสิบอัน...กับคลิปแล้วก็ลูกแม็กอย่างละสองกล่องเหรอ รอเดี๋ยวนะ”
พนักงานสาวรุ่นพี่รับแบบฟอร์มที่ภัทรกรอกไปอ่านทวน จากนั้นก็หันไปเปิดตู้แล้วหยิบลังใส่แฟ้มลงมา ภัทรเหลือบมองภายในห้องระหว่างรออีกฝ่ายนับจำนวนของให้ และพบว่าบนพื้นมีกล่องลังหลากขนาดวางเรียงกันแน่นไปหมด บางส่วนก็ปิดผนึกและเขียนกำกับด้านข้างไว้แล้วว่าบรรจุอะไร ขณะที่บางกล่องยังคงเปิดอ้าจนเห็นอุปกรณ์ด้านในที่ยังจัดไม่เป็นระเบียบ และภัทรก็รู้ได้ทันทีว่าอุปกรณ์พวกนี้คงถูกขอเบิกไว้เพื่อนำไปจัดงานที่บริษัทของเขาจะเป็นเจ้าภาพในอีกสัปดาห์ที่จะมาถึง เพราะว่าศูนย์จัดนิทรรศการที่บริษัทของเขาเช่าพื้นที่ไว้ไม่ได้มีบริการจัดเตรียมทุกอย่างให้
“ช่วงนี้เลยยุ่งกันทุกแผนกเลยนะครับพี่ตุ้ย”
ภัทรเอ่ยขอบคุณเมื่อได้ของที่เบิกพร้อมกับทักขึ้นมา หญิงสาววัยสามสิบกว่า รูปร่างท้วมเล็กน้อยจึงมองตามสายตาของภัทรไปยังกล่องลังในห้อง จากนั้นก็ยกมือเท้าเอวแล้วยิ้มตอบอย่างเพลียๆ
“ช่วงหน้างานทีไรก็อย่างนี้ตลอดแหละภัทรเอ๊ย แผนกโน้นแผนกนี้มาขอเบิกของกันให้วุ่นไปหมด วันนี้น้องผู้ช่วยของพี่ก็ดันลาป่วยซะอีก พี่เลยต้องมานั่งจัดของอยู่คนเดียวเนี่ย อ้อ...แต่พี่บอกแม่บ้านให้เตรียมของว่างสำหรับงานประชุมลูกค้าของภัทรวันพรุ่งนี้แล้วนะ ฝากไปบอกพี่ป๋วยด้วยก็แล้วกัน เจ๊เขาจะได้เลิกโทรตามพี่สักที”
สาวร่างท้วมบ่นยาวเหยียดให้ฟัง ภัทรจึงพยักหน้าแล้วยิ้มอย่างเข้าใจ “ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมไปบอกพี่ป๋วยให้ ถ้างั้นผมไม่กวนพี่ตุ้ยแล้วนะครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยลาแล้วหอบกองแฟ้มกลับมาที่โต๊ะ เขาแวะบอกป๋วยเกี่ยวกับของว่างสำหรับการประชุมลูกค้าในวันรุ่งขึ้น จากนั้นจึงเดินต่อไปที่โต๊ะและเริ่มจัดการเรียงเอกสารใส่แฟ้มที่เหลือ กว่าเขาจะตรวจทานความเรียบร้อยและเงยหน้าขึ้นดูนาฬิกาอีกที เวลาก็ล่วงไปจนเกือบจะสี่โมงเย็นแล้ว
ยังพอมีเวลา....เดี๋ยวใกล้ๆ จะห้าโมงค่อยเตือนพี่ป๋วยอีกทีว่าวันนี้จะออกเร็วก็แล้วกัน ถึงพี่แพนจะบอกว่าไม่ต้องซื้ออะไรแพงๆ ให้ แต่มิมิก็คงจะดีใจที่ได้ของขวัญอยู่ดี
ภัทรคิดพลางลุกเข้าไปทำธุระในห้องน้ำ จากนั้นก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อชงกาแฟให้ตัวเอง แต่พอเดินกลับมาที่โต๊ะก็พบว่ามีกระดาษโน้ตสีสดแปะอยู่บนคีย์บอร์ด
“คุณนินเรียกประชุมด่วนที่ห้อง 2”
ภัทรอ่านทวนข้อความซึ่งเป็นลายมือของป๋วยแล้วพ่นลมทางปากเบาๆ แต่ก็หยิบสมุดโน้ตกับปากการวมทั้งแฟ้มที่ใส่เอกสารครบแล้วมาหนึ่งชุดโดยไม่รีรอ เพราะคิดว่าการประชุมครั้งนี้คงเกี่ยวกับความพร้อมในการให้ข้อมูลกับลูกค้าใหม่ในวันรุ่งขึ้น หลังจากหยิบกาแฟที่เพิ่งชงขึ้นมาจิบเสียอึกหนึ่ง ภัทรก็รีบเดินไปยังห้องประชุมสองตามที่รุ่นพี่สาวเขียนโน้ตบอกไว้
ตอนที่ภัทรไปถึงห้องประชุมก็พบว่าสมาชิกทีมซึ่งมีประมาณสิบคนกำลังนั่งรอกันอยู่แล้ว รวมถึงนินนาทที่เป็นผู้จัดการโปรเจ็กต์ด้วย ชายหนุ่มจึงรีบออกตัวด้วยรู้สึกผิดที่มาช้า
“ขอโทษครับ พอดีผมเพิ่งเห็นโน้ตว่ามีประชุมเมื่อกี้”
นินนาทส่ายหน้าแล้วยิ้มอย่างใจดี “ไม่เป็นไรหรอก พอดีป๋วยมาบอกว่าเย็นนี้ภัทรจะขอกลับเร็ว แล้วฉันก็เพิ่งนึกได้ว่าน่าจะขอดูพรีเซ้นต์กับเอกสารที่จะแจกลูกค้าพรุ่งนี้เสียหน่อย ก็เลยจะขอประชุมสักครึ่งชั่วโมง ไหนๆ มากันครบแล้วก็เริ่มกันเลยดีกว่า”
ภัทรเหลือบตาไปทางรุ่นพี่สาวที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วยิ้มให้อย่างขอบคุณ ป๋วยจึงยักคิ้วตอบเหมือนจะบอกว่า ‘คราวนี้เธอเป็นหนี้ฉันนะยะ’ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปหน้าห้อง
“ถ้างั้นป๋วยขอเริ่มจากตัวพรีเซ้นต์ที่จะให้ลูกค้าดูวันพรุ่งนี้เลยนะคะ แล้วก็เราจะมีปรินท์เอ๊าท์แจกด้วย ภัทรเอาเอกสารตัวอย่างให้คุณนินดูซิ”
รุ่นพี่สาวหันกลับมาบอกก่อนจะดึงจอฉายสไลด์ลงมาจากช่องหน้ากระดานไวท์บอร์ด จากนั้นก็กดรีโมทเปิดเครื่องโปรเจ็กเตอร์ ไม่กี่วินาทีถัดมา ภาพจากสไลด์สำหรับนำเสนอก็ปรากฏบนหน้าจอ หญิงสาวจึงเริ่มโดยการอธิบายถึงจุดประสงค์ของการประชุมลูกใหม่ ก่อนจะค่อยๆ อธิบายหน้าสไลด์เรียงไปทีละหน้า เนื่องจากพรุ่งนี้เธอก็ต้องเป็นคนนำการประชุมกับลูกค้าด้วยตัวเองเนื่องจากนินนาทไม่ว่าง
ระหว่างที่ป๋วยอธิบายสไลด์ นินนาทก็จะคอยป้อนคำถามเป็นระยะ บางครั้งก็จะแนะนำว่าควรเพิ่มข้อมูลอะไรบ้าง โดยภัทรรับหน้าที่ช่วยพิมพ์หรือแก้ไขข้อมูลในคอมพิวเตอร์ซึ่งเชื่อมต่อกับโปรเจ็กเตอร์โดยตรงให้ ทุกคนในที่ประชุมจะได้รับรู้ในส่วนที่ต้องแก้ไขไปพร้อมกัน โดยขณะที่การประชุมดำเนินอยู่นั้น ภัทรก็ลอบสังเกตว่าทั้งนินนาทและป๋วยต่างก็ไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับงานเลย เพราะทั้งสองต่างไม่แสดงสีหน้าท่าทางใดๆ ที่จะทำให้คนอื่นระแคะระคายว่ามีใจให้กันแม้แต่น้อย
ถ้าหากสองคนนี้ไม่ต้องมีความสัมพันธ์ที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ก็คงดี...พี่ป๋วยกับคุณนินออกจะทำงานเข้ากันได้ดีขนาดนี้...
ภัทรมองทั้งคู่แล้วก็ให้นึกเสียดายแทน และทำให้ลอบถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่พอโดนรุ่นพี่สาวที่กำลังยืนพรีเซนต์หน้าห้องส่งสายตาดุให้เพราะคิดว่าเขากำลังเบื่อ ภัทรก็รีบขยับนั่งตัวตรงขึ้นทันที
ป๋วยใช้เวลาพรีเซนต์และตอบคำถามจากทุกคนในทีมราวสามสิบนาที เมื่อนินนาทพอใจกับลำดับการนำเสนอข้อมูลแล้วก็พยักหน้าพลางกล่าวสรุปสั้นๆ
“ในส่วนของพรีเซนต์คิดว่าคงไม่มีปัญหาแล้ว ยังไงก็ย้ำพวกระเบียบในการขนของเข้าออกสถานที่จัดงานดีๆ ก็แล้วกัน ส่วนพรุ่งนี้ขอโทษด้วยที่ต้องให้ป๋วยช่วยนำการประชุมแทน เพราะฉันต้องไปสัมมนาแทนคุณเชษฐ์ที่ต้องไปเวียดนามแต่เช้า"
คำอธิบายช่วงท้ายประโยคทำเอาภัทรชะงักมือที่กำลังจดโน้ตลงสมุดบันทึก จริงอยู่ที่ระยะนี้เชษฐ์ต้องเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ กับเวียดนามบ่อยๆ แต่ล่าสุดเจ้าตัวก็เพิ่งจะบินกลับมาเปลี่ยนเวรกับผู้จัดการโปรเจกต์อีกคนไปเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วเท่านั้นเอง แล้วทำไมจู่ๆ จึงต้องบินด่วนกลับไปอีกในวันพรุ่งนี้ด้วย?
ป๋วยซึ่งเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้สังเกตเห็นสีหน้าของรุ่นน้องได้อย่างชัดเจน แต่ก็รู้ว่าภัทรคงไม่กล้าถามถึงแม้จะอยากรู้ จึงแสร้งทำหน้าสงสัยแล้วหันไปถามนินนาทให้แทน
“อ้าว? ทำไมคุณเชษฐ์ต้องบินด่วนด้วยล่ะคะ? คุณอั๋นแกยังไม่กลับมาเลยนี่นา?”
นินนาทใช้นิ้วชี้ถูบนหว่างคิ้วพลางถอนหายใจ “เห็นว่าคุณอั๋นที่เพิ่งไปเปลี่ยนเวรกับคุณเชษฐ์เมื่ออาทิตย์ก่อนเกิดไม่สบาย แล้วหมอก็เพิ่งจะวินิจฉัยว่าเป็นไข้เลือดออกน่ะ คุณปรีชาก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากให้คุณเชษฐ์กลับไปช่วยประสานงานแทนระหว่างนี้ ก็คงต้องอยู่ยาวจนกว่าคุณอั๋นจะหายดีนั่นแหละ นี่ผู้จัดการทุกคนก็เพิ่งจะได้รับแจ้งเมื่อชั่วโมงก่อนนี่เอง”
เนื่องจากนินนาทไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเชษฐ์กับภัทร ผู้จัดการโปรเจ็กต์หนุ่มใหญ่จึงไม่ทันสังเกตว่าคำพูดของตนกระทบความรู้สึกของหนึ่งในลูกทีมจนนัยน์ตาหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนป๋วยที่รู้ดีว่าเชษฐ์และภัทรแทบจะไม่ค่อยมีเวลาให้กันในช่วงนี้ได้แต่บีบไหล่ของรุ่นน้องเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
นินนาทยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะปิดแฟ้มเอกสารตรงหน้า “ใกล้จะห้าโมงแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอปิดการประชุมเลยก็แล้วกัน แล้วก็นี่ภัทร ฝากเอาไปซื้อของขวัญให้หลานเธอด้วยล่ะ”
ภัทรค่อยได้สติเมื่อนินนาทยื่นซองจดหมายสีขาวมาให้ และพอจะเดาได้ว่าข้างในคงเป็นเงินสนับสนุนค่าของขวัญ จึงยกมือไหว้ก่อนจะรับมาและยิ้มให้เจ้านายด้วยความขอบคุณ ถึงแม้จะรู้สึกว่ารอยยิ้มบนหน้าของตัวเองไม่ค่อยสดใสสักเท่าไหร่
“ขอบคุณมากครับคุณนิน”
ภัทรหันไปยิ้มให้ป๋วยซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ด้วย เพราะรู้ว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ได้บอกให้ นินนาทก็คงไม่มีทางรู้แน่ว่าสาเหตุที่เขาขอกลับเร็วนั้นเพราะอะไร หลังออกจากห้องประชุมและเดินกลับไปที่โต๊ะแล้ว ภัทรจึงปิดคอมพิวเตอร์แล้วก็หยิบกระเป๋าสะพายเดินออกจากบริษัททันทีด้วยความรู้สึกว้าวุ่นใจ จนกระทั่งเกือบจะลืมบอกลากุ้งซึ่งนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์รีเซปชั่นด้านหน้าด้วยซ้ำ
ไม่ชอบเลยความรู้สึกนี้...ทั้งที่เราก็ไม่ใช่เด็กๆ เหมือนตอนนั้นแล้วเสียหน่อย...
ภัทรอดจะย้อนคิดไปถึงสมัยที่ยังยังคบกับคนรักเก่าไม่ได้ อาจเพราะตอนนั้นเขายังเด็กและทั้งคู่ก็เป็นนักศึกษา ดังนั้นจึงมีเวลาว่างมากมายให้ได้ใช้ร่วมกัน แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่หนุ่มน้อยที่เพิ่งมีความรักเป็นครั้งแรกซึ่งเอะอะก็อยากอยู่ใกล้คนรักตลอดเวลาอีกแล้ว และที่สำคัญเขาก็ไม่ควรจะไปเรียกร้องเวลาเหล่านี้เอากับเชษฐ์ซึ่งมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบเพราะว่าเป็น ‘งาน’ ด้วย
ชายหนุ่มพยายามปัดความมัวหมองออกไปขณะที่นั่งรถไฟฟ้าไปยังห้างสรรพสินค้า เมื่อถึงแล้วก็ตรงไปที่แผนกของเล่นเด็กทันทีเพราะรู้ว่าต้องมีของที่เหมาะกับหลานสาวแน่ๆ ภัทรรู้ดีว่ามายูมิชอบสีชมพู เพราะเวลาเจอกันทีไรก็จะเห็นหลานสาวตัวน้อยใส่ชุดกระโปรงสีชมพู หรืออย่างน้อยก็ติดกิ๊บหรือที่คาดผมสีชมพูทุกครั้ง ดังนั้นหลังจากตัดสินใจว่าจะซื้อตุ๊กตาแบบที่เปลี่ยนเสื้อผ้าได้ ภัทรจึงซื้อมงกุฎอันเล็กสำหรับเด็กซึ่งมีเพชรปลอมและขนนกสีชมพูสลับขาวประดับไปด้วย
“เดี๋ยวรบกวนห่อของขวัญให้ด้วยนะครับ ตรงริบบิ้นขอเป็นสีชมพูก็แล้วกัน”
ภัทรบอกกับพนักงานหลังจากจ่ายค่าของขวัญแล้ว ระหว่างที่ยืนรอก็มีสายเข้าจากพี่สาวของเขาพอดี ภัทรจึงยกมือถือขึ้นกดรับสาย
“ฮัลโหล?”
“ภัทร พวกพี่ถึงร้านกันแล้วนะ ถ้าภัทรมาเมื่อไหร่ก็เข้ามาได้เลย โต๊ะพวกพี่อยู่ตรงโต๊ะใกล้ๆ น้ำพุแถวกลางร้านน่ะจ้ะ”
ต่อจากเสียงของพี่สาว ภัทรก็ได้ยินเสียงแจ๋วๆ จากหลานสาวเมื่อโทรศัพท์ถูกเปลี่ยนมือ “น้าภัทรขา มาเร็วๆ นะ หนูอยากเป่าเค้กไวๆ”
ภัทรหัวเราะเมื่อได้ยินน้ำเสียงสดใสของหลานสาว ดูเหมือนแม่หนูน้อยจะกำลังตื่นเต้นกับการฉลองวันเกิด ‘ล่วงหน้า’ จนลืมเรื่องที่คุณพ่อจะต้องบินไปต่างประเทศเสียสนิท
“ได้เลย เดี๋ยวมิมิรอน้าภัทรก่อนนะ น้าภัทรมีของขวัญจะให้หนูด้วย”
เด็กหญิงส่งเสียงวี้ดว้ายอย่างตื่นเต้น เมื่อนึกถึงใบหน้ากลมยุ้ยที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความขุ่นมัวในใจเมื่อครู่ของภัทรก็ค่อยๆ เจือจางลง หลังจากคุยต่ออีกไม่กี่ประโยค ชายหนุ่มก็พบว่าตอนนี้อารมณ์ของเขาดีขึ้นกว่าตอนที่เพิ่งมาเลือกซื้อของขวัญมาก
จริงสิ...จะเอาแต่คิดถึงเรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่ไปทำไมกัน คืนนี้อุตส่าห์มีงานเลี้ยงให้มายูมิทั้งที เราควรจะไปร่วมฉลองอย่างมีความสุขมากกว่าสิ...
ภัทรคิดหลังจากวางสาย ก่อนจะหันไปยิ้มรับของขวัญที่ห่อเสร็จแล้วจากพนักงาน เมื่อเดินออกมาจากห้างก็พบว่าท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่นเพราะกลุ่มเมฆหนาที่บดบังพระอาทิตย์ยามเย็น แถมยังมีละอองฝนบางเบาโปรยปรายลงมาด้วย ภัทรจึงโบกเรียกแท็กซี่เผื่อว่าถ้าฝนตกหนักขึ้นมาจะได้ไม่ต้องไปถึงร้านในสภาพเปียกมะลอกมะแลก
โชคดีที่คนขับแท็กซี่รู้จักร้านที่ภัทรจะไป จึงพาลัดเลาะเข้าซอกซอยที่เป็นทางลัดแทนถนนใหญ่อย่างคล่องแคล่ว และในครึ่งชั่วโมงถัดมาก็พาเขามาถึงร้านอาหารโดยแทบไม่เจอรถติด เมื่อเข้าไปในร้านแล้วภัทรก็บอกชื่อของพี่สาวซึ่งใช้จองโต๊ะกับพนักงานต้อนรับที่ด้านหน้า หลังจากพนักงานเช็คหมายเลขโต๊ะแล้วจึงผายมือและเดินนำเขาไปยังโต๊ะด้านในด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ภัทรไม่เคยมาสวนอาหารแห่งนี้มาก่อน แต่ก็นึกชื่นชมคนออกแบบที่ใช้เค้าโครงของบ้านทรงไทยสมัยเก่ามาประยุกต์ โดยการสร้างตัวร้านบนเสาที่ตอกลงในบ่อน้ำเทียมขนาดใหญ่และมีหลังคาแหลมสูง ส่วนผังร้านถูกจัดวางเป็นทรงสี่เหลี่ยมล้อมรอบพื้นที่ตรงกลางซึ่งเป็นสระบัวและน้ำพุ นอกจากกลุ่มของพวกเขาแล้ว ภัทรก็พบว่ามีลูกค้าที่มาทั้งที่เป็นคู่และเป็นครอบครัวใหญ่อยู่หลายโต๊ะเหมือนกัน
“ว้ายๆ น้าภัทรมาแล้ว!!”
เด็กหญิงลูกครึ่งญี่ปุ่นตัวน้อยรีบปีนลงจากเก้าอี้เมื่อเห็นน้าชาย จากนั้นก็วิ่งเข้าไปหาแล้วกอดเอวแน่น ภัทรจึงอุ้มหลานสาวขึ้นมาและหันไปขอบคุณพนักงานที่ช่วยรับถุงของขวัญไปถือ มายูมิกอดคอภัทรด้วยแขนเล็กป้อมแล้วก็หอมแก้มซ้ายขวาอย่างดีใจ
“น้าภัทรมาช้าจัง หนูรอจนหิ้วหิวจะแย่”
เด็กหญิงส่งเสียงกระเง้ากระงอด แต่เมื่อภัทรมาถึงโต๊ะแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เพราะว่าบนนั้นมีจานของว่างที่เต็มไปด้วยของโปรดของหลานสาวเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นทอดมัน กุ้งทอด หรือว่าขนมจีบ
“ของกินเล่นเยอะขนาดนี้หนูยังหิวอีกเหรอ สงสัยถ้าน้าภัทรมาช้ากว่านี้มิมิคงอิ่มแย่เลยมากกว่า”
ชายหนุ่มกระเซ้าหลานสาวที่ยกนิ้วชี้ขึ้นจิ้มปากแล้วยิ้มเขินที่ถูกจับได้ แต่พอภัทรปล่อยหนูน้อยลงเพื่อจะเลื่อนเก้าอี้นั่ง มายูมิที่ใส่ชุดกระโปรงสีชมพูฟูฟ่องก็ทำท่าจะปีนขึ้นนั่งตักน้าชายทันที แพนจึงรีบดึงแขนลูกสาวไว้
“มิมิ ไม่เอาน่ะลูก เดี๋ยวน้าภัทรกินข้าวไม่ถนัดนะ”
มายูมิหันไปมองแม่แล้วทำปากยื่น แต่ว่าก็ยอมเดินอ้อมโต๊ะกลมกลับไปที่นั่งของตัวเองซึ่งตั้งอยู่ระหว่างพ่อกับแม่แต่โดยดี เนื่องจากเด็กหญิงยังตัวเล็กอยู่ ทางร้านจึงจัดเก้าอี้สำหรับเด็กซึ่งต่อขาสูงให้จะได้ตักอาหารทานได้สะดวก เมื่อเห็นว่าหลานสาวขึ้นนั่งประจำที่เรียบร้อย ภัทรจึงหันไปไหว้พี่เขยชาวญี่ปุ่นซึ่งนั่งถัดไปจากเขาโดยมีเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งเว้นไว้ และโดยไม่ต้องถามใคร เขาก็มั่นใจว่าเก้าอี้ตัวนั้นคงมีไว้เผื่อเชษฐ์เป็นแน่
ภัทรพยายามไม่คิดถึงคุณผู้จัดการและรับถุงใส่กล่องของขวัญจากพนักงานมายื่นส่งให้หลานสาว ทว่าพอมายูมิยื่นแขนมาจะรับด้วยความดีใจ ชายหนุ่มก็ดึงมือกลับแล้วถาม
“อ๊ะๆ เวลาผู้ใหญ่จะให้ของต้องทำไงก่อน?”
เด็กหญิงตัวน้อยรีบกระพุ่มมือไหว้แล้วร้องตอบเสียงแจ๋ว “ขอบคุณค่าน้าภัทร!”
ภัทรหัวเราะแล้วค่อยปล่อยของขวัญให้หลานสาวแต่โดยดี แต่ว่าแพนกลับห้ามเมื่อเห็นว่าลูกสาวจะแกะกล่องออกเดี๋ยวนั้น เมื่อเด็กหญิงเบะปากอย่างไม่พอใจ กลายเป็นคุณพ่อที่ยอมตามใจเสียเอง
“เอาน่า ไหนๆ ก็ฉลองล่วงหน้าแล้ว ให้ลูกแกะไปเลยก็ได้”
พี่เขยของเขายังคงพูดติดสำเนียงญี่ปุ่นเช่นเคย แต่ก็นับว่าชัดมากแล้วหากเทียบกับชาวต่างชาติที่มาใช้ชีวิตในประเทศไทยเพียงไม่กี่ปี เมื่อมายูมิได้ยินคำอนุญาตจากพ่อจึงยิ้มกว้างแล้วเริ่มแกะของขวัญโดยมีแม่นั่งยิ้มแล้วส่ายหน้าอยู่อีกด้าน
เด็กหญิงส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้นหลังจากเห็นของขวัญชิ้นแรกซึ่งเป็นตุ๊กตาที่เปลี่ยนชุดได้ แต่เมื่อเห็นว่ายังมีของขวัญอีกกล่องซึ่งภายในเป็นมงกุฎประดับเพชรเทียมกับขนนก คราวนี้นัยน์ตากลมโตยิ่งเบิกกว้างและเป็นประกายมากขึ้น
“แม่จ๋าๆๆ มงกุฎล่ะมงกุฎ ดูสิๆ หนูเหมือนเจ้าหญิงมั้ย?”
เด็กหญิงตัวน้อยสวมมงกุฎแล้วหันซ้ายขวาให้พ่อกับแม่ดู จากนั้นก็ปีนลงจากเก้าอี้อีกครั้งแล้ววิ่งอ้อมโต๊ะมาโน้มคอภัทรลงหอมแก้ม ก่อนที่จะวิ่งกลับไปปีนขึ้นนั่งเก้าอี้ของตัวเองอย่างร่าเริง ความยินดีที่เห็นว่าหลานสาวชอบใจกับของขวัญที่เขาเลือกให้ทำให้ภัทรลืมความรู้สึกไม่ดีเมื่อตอนบ่ายไปจนหมด
“เอาล่ะ ของขวัญก็ได้แกะแล้ว แล้วแขกอีกคนจะมาถึงตอนกี่โมงน่ะภัทร? หรือว่าเราจะเริ่มกินกันก่อนไปเลย?”
คำถามของแพนทำให้รอยยิ้มของภัทรจืดลงนิดหน่อย แต่หลังจากใช้เวลาคิดไม่กี่วินาที เขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่โทรตาม
ไหนๆ คุณเชษฐ์ก็บอกไว้แล้วนี่ว่าจะตามมาแน่ๆ...
ภัทรไม่อยากทำตัวจู้จี้ด้วยการโทรเร่งเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในงานเลี้ยงสำคัญ และตัดสินใจว่าหากเชษฐ์จะมาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น จึงเพียงแต่ยิ้มให้พี่สาว “พวกเราสั่งอาหารกันเลยก็ได้พี่แพน พอดีคุณเชษฐ์ต้องไปงานเลี้ยงอีกที่ก่อน ยังไม่รู้เลยว่าจะตามมาได้กี่โมง”
แพนเอียงคอแล้วขมวดคิ้วกับคำตอบ แต่เมื่อเห็นน้องชายหลบสายตาลงมองเมนูอาหารก็ได้แต่ระงับความอยากถามไว้แล้วหันไปช่วยมายูมิเลือกอาหารแทน
หลังจากทุกคนสั่งอาหารกันเสร็จเรียบร้อยและพนักงานนำมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ ภัทรก็พยายามชวนหลานสาวคุยระหว่างทานข้าว รวมทั้งหันไปคุยกับพี่สาวและพี่เขยด้วยเพื่อจะได้เบี่ยงความสนใจตัวเองไปจากคนที่ยังไม่มา ฝ่ายมายูมิเองก็ดีใจที่ได้เจอน้าชาย ดังนั้นจึงคุยทั้งเรื่องที่โรงเรียน เพื่อนๆ และคุณครูให้ฟังแทบไม่หยุดทีเดียว
เวลาล่วงผ่านจนดึกมากขึ้น และหัวข้อสนทนาที่โต๊ะก็เริ่มน้อยลงตามอาหารในจานของแต่ละคนที่พร่องจนเกือบจะหมด ภัทรพยายามไม่เหลือบมองนาฬิกาแม้จะสังเกตได้ว่าแขกของโต๊ะอื่นบ้างก็เริ่มกลับกันไปและมีลูกค้าใหม่มานั่งแทนแล้ว แต่ดูเหมือนไม่ว่าจะพยายามประวิงเวลากันสักเพียงไร คนที่รออยู่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเสียที
จนกระทั่งทุกคนทานอาหารกันเสร็จแล้วและมีเพียงจานเปล่าอยู่ตรงหน้า มายูมิที่นั่งแกว่งขาฟังพวกผู้ใหญ่คุยกันอย่างเบื่อๆ ก็เหลือบมองเก้าอี้ว่างก่อนจะหันไปหาพ่อ
“พ่อขา หนูอยากกินเค้กแล้ว”
โทรุยิ้มให้ลูกสาวที่นั่งแกว่งขาถี่ขึ้นเหมือนจะบอกให้รู้ถึงความกระวนกระวาย จากนั้นก็เหลือบตาขึ้นมองภรรยาที่นั่งถัดไป แพนจึงได้แต่หันมาทางภัทรเหมือนจะขอคำตอบ
สายตาสามคู่ที่มองมาที่เขาทำให้ภัทรได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ มือสองข้างที่วางอยู่บนเข่ากำสลับคลายไปมาด้วยความไม่แน่ใจ แพนมองท่าทางของน้องชายอยู่สักครู่ก็เริ่มทนไม่ไหว
“อะไรของเธอเนี่ยภัทร แค่โทรไปถามว่าตกลงมาได้หรือเปล่านี่มันไม่รบกวนนักหรอกน่ะ ถ้าเกิดเขามาไม่ได้จริงๆ จะได้ไม่ต้องเอาแต่รอกันอยู่อย่างนี้ไง ไม่งั้นก็เอาโทรศัพท์เธอมานี่เลยเดี๋ยวพี่โทรให้เอง”
พอคนพูดยื่นมือมาเพื่อจะหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ ภัทรก็สะดุ้งแล้วรีบเอนตัวหนีทันที “ไม่ต้องหรอกพี่แพน! เดี๋ยวภัทรโทรเองก็ได้”
ชายหนุ่มรีบละล่ำละลักตอบ เพราะสังเกตเห็นหว่างคิ้วของพี่สาวที่เริ่มจะขมวดเป็นปมแล้ว และเขาก็ไม่อยากให้บทสนทนาแรกระหว่างพี่แพนกับคุณเชษฐ์กลายเป็นความประทับใจที่ไม่ดีสำหรับทั้งคู่ด้วย
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาคุณผู้จัดการ ในใจเต้นระทึกระหว่างรอให้อีกฝ่ายรับสาย แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น มือที่ถือโทรศัพท์ก็ค่อยๆ ลดลงเมื่อได้ยินว่า ‘หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’
“อ้าว? ทำไมล่ะภัทร เขาไม่รับสายเหรอ?”
แพนถามเมื่อเห็นน้องชายเก็บมือถือลงกระเป๋าเสื้อ ภัทรจึงส่ายหน้า “สงสัยจะแบตหมดหรือไม่ก็อยู่ในที่อับสัญญาณน่ะพี่แพน ถ้าอย่างนั้นให้มายูมิเป่าเค้กเลยดีกว่า ถ้าเกิดรอก็ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่”
ภัทรตอบแล้วก็ยิ้มให้หลานสาวที่ปรบมืออย่างดีใจ ฝ่ายแพนนั้นเห็นนัยน์ตาหงอยๆ ของน้องชายที่ตัดกับรอยยิ้มแล้วก็พยายามข่มใจไม่ถามซอกแซกเพราะเห็นแก่ลูก จึงเพียงแต่หันไปบอกพนักงานให้นำเค้กมาให้แล้วก็หยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นเช็ดมุมปากให้มายูมิที่เลอะคราบซอสเป็นวง
เสียงเพลง ‘Happy Birthday’ ดังจากลำโพงของร้านขณะที่พนักงานเดินนำเค้กที่ปักเทียนห้าเล่มมาให้ที่โต๊ะ มายูมิส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเมื่อเค้กหน้าสตรอเบอร์รีถูกวางลงตรงหน้า หลังจากทุกคนที่โต๊ะร่วมกันร้องเพลงวันเกิดให้ เด็กหญิงก็หลับตาอธิษฐานแล้วเป่าเทียนจนดับทีละเล่ม แก้มกลมยุ้ยทั้งสองข้างแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“เค้กชิ้นแรกหนูให้พ่อก่อน เอาชิ้นใหญ่ๆ เลยนะคะ”
เด็กหญิงใช้มีดพลาสติกตัดเค้กโดยมีแม่คอยช่วยจับมือ เมื่อได้เค้กชิ้นแรกก็หันไปส่งให้พ่อพร้อมกับหอมแก้มก่อนจะหันมาตัดเค้กต่อ ศีรษะเล็กๆ เอียงมองเค้กที่แหว่งไปเสี้ยวหนึ่งแล้วก็ใช้นิ้วชี้จิ้มบนอากาศเหมือนกำลังนับ แพนจึงเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“หนูนับอะไรเหรอลูก?”
มายูมิทำปากจู๋เหมือนกำลังใช้ความคิด จากนั้นก็หันไปตอบแม่ “ก็แม่บอกว่าคืนนี้น้าภัทรจะพาแขกมาด้วย มิมิก็เลยนับว่าจะแบ่งเค้กยังไงให้ทุกคนได้เท่าๆ กันไงคะ”
“อ๋อ...”
แพนพยักหน้าพลางลากเสียงรับรู้ ก่อนจะเหลือบมองน้องชายด้วยแววตาเห็นใจ แล้วก็พบว่านัยน์ตาของภัทรที่ไม่ค่อยสดใสอยู่แล้วกลับหมองลงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“ไม่เป็นไรหรอกมิมิ หนูตัดที่เหลือตามใจหนูเถอะ บางทีแขกของน้าภัทรอาจไม่มาแล้วก็ได้”
ภัทรพยายามยิ้มให้หลานสาวและพูดด้วยเสียงปกติ แต่หากใครที่รู้จักเขามากพอจะรู้ได้ทันทีว่าคนพูดกำลังพยายามซ่อนอาการผิดหวังไว้อย่างเต็มที่ และแพนก็เป็นหนึ่งในคนที่มองอาการนั้นออกได้ไม่ยาก
“นี่ภัทร...เอ้อ....”
ภัทรหันไปยิ้มและตัดบทพี่สาวก่อนจะทันได้พูดต่อ “เดี๋ยวภัทรไปห้องน้ำแป๊บนึงนะพี่แพน เดี๋ยวผมมานะครับพี่โทรุ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากโต๊ะโดยไม่ทันได้เห็นสายตาของพี่สาวกับพี่เขยที่มองตามด้วยความเป็นห่วง รวมทั้งสายตางุนงงของหลานสาวที่กำลังทำท่าจะตัดเค้กต่อด้วย ชายหนุ่มถามทางไปห้องน้ำจากพนักงานที่เดินผ่านมาก่อนจะตรงดิ่งไปตามทิศทางที่อีกฝ่ายบอก เมื่อเข้าไปด้านในแล้วก็เปิดก๊อกแล้วรองน้ำเย็นๆ ขึ้นลูบหน้าด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย
นัยน์ตาเรียวเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังของร้านก่อนจะเหลือบลงสบตาตัวเองในกระจก จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดมือสีขาวที่วางเป็นม้วนเรียงกันในตะกร้าริมอ่างล้างหน้าขึ้นซับน้ำจนแห้ง ก่อนจะหย่อนผ้าที่ใช้แล้วลงในถังทำจากไม้สานและหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออกอีกครั้ง
สัญญาณอัตโนมัติเสียงเดิมยังคงดังแทนคำตอบ ภัทรจึงกดตัดสายทันทีที่ได้ยิน จากนั้นก็ยกมือหนึ่งขึ้นลูบหน้า
คุณเชษฐ์ทำอะไรอยู่นะ ตกลงว่ามาได้หรือว่าไม่ได้กันแน่ แล้วถ้าไม่สะดวกจะมาจริงๆ ทำไมถึงไม่ติดต่อมาบอกกันบ้าง อย่างน้อยๆ เขาจะได้ไม่ต้องทำให้ครอบครัวของพี่แพนเป็นกังวลไปด้วยแบบนี้...
ภัทรคิดแล้วก็รีบสะบัดหน้าไล่ความคิดนั้นออกไป เริ่มรู้สึกแย่ที่เมื่อตอนกลางวันเขาเองที่ดันแสดงออกให้คุณผู้จัดการรับรู้ว่าคาดหวังจะเห็นอีกฝ่ายมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดหลาน ทั้งๆ ที่คุณเชษฐ์ก็มีภาระเรื่องงานที่จำเป็นจะต้องไปร่วมอยู่แล้วแท้ๆ
ชายหนุ่มพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกยาวๆ ด้วยหวังจะให้ความผิดหวังลดเลือนลง จนกระทั่งมองตัวเองในกระจกและคิดว่าสีหน้าดูดีขึ้นกว่าตอนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องน้ำแล้ว เขาจึงค่อยเปิดประตูแล้วก้าวออกไป แต่แล้วภัทรก็ชะงักเมื่อเห็นชายกระโปรงสีชมพูฟูฟ่องที่หน้าห้องน้ำจากทางหางตา เมื่อก้มไปมองจึงพบหลานสาวตัวน้อยที่ยืนพิงผนังรออยู่หน้าห้องน้ำ พอมายูมิเห็นน้าชายก็กอดอกแล้วเอียงคอพูดทันที
“น้าภัทรเข้าห้องน้ำตั้งน้านนาน หนูรอจนเมื่อยขาแล้วนะเนี่ย”
เด็กหญิงทำเสียงสูงตรงคำว่า ‘น้านนาน’ เหมือนจะเน้นว่าน้าชายเข้าห้องน้ำนานมากจริงๆ แต่ภัทรก็รู้ดีว่าเขาไม่ได้ใช้เวลามากขนาดนั้น จึงยิ้มแล้วก็ก้มลงอุ้มหลานสาวขึ้นมา
“น้าภัทรไม่ได้เข้าไปนานขนาดนั้นซักหน่อย ว่าแต่ทำไมแม่เขาถึงปล่อยมิมิมาห้องน้ำคนเดียวแบบนี้ล่ะคะ?”
เด็กหญิงโยกตัวซ้ายขวาขณะตอบ “ก็ตอนน้าภัทรลุกออกมา มิมิบอกแม่ว่าจะมาเข้าห้องน้ำกับน้าภัทร แม่ก็เลยปล่อยให้มาคนเดียวได้ไงคะ มิมิเห็นน้าภัทรทำหน้าเศร้าๆ ก็เลยตามมาดู”
ภัทรทำตาโต เนื่องจากคิดไม่ถึงว่าท่าทางผิดหวังของเขาจะชัดเจนจนแม้แต่หลานสาวที่ไม่ประสีประสายังดูออก อย่างนี้แสดงว่าเขาคงทำให้ทั้งพี่สาวและพี่เขยเป็นกังวลกันใหญ่แล้วแน่ๆ ชายหนุ่มสบตากลมโตของหลานที่มองเขาตรงๆ ก่อนจะหลุบตาลง ในอกรู้สึกเจ็บขึ้นมาวูบหนึ่งเพราะความผิดหวัง
บางที...คุณเชษฐ์อาจไม่ได้อยากมาเจอครอบครัวของเราหรือเปล่า...
“น้าภัทรไม่ได้เศร้าหรอกจ้ะ น้าภัทรแค่เหนื่อยเท่านั้นเอง มิมิไม่ต้องเป็นห่วงแล้วนะ”
ภัทรพยายามยิ้มแล้วทำเสียงร่าเริง แต่พอกำลังจะหมุนตัวเพื่ออุ้มหลานสาวกลับไปที่โต๊ะ เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นจากด้านหลังก็ทำให้เขาตัวแข็งทื่อ
“ใครทำน้าภัทรของหนูเศร้าเหรอ?”
++---tbc---++
รอพบกับครึ่งหลัง เร็วๆ นี้