ตอนที่ 2
...ในวันที่ความสัมพันธ์เพิ่มพูน...
พลิกมาหน้าที่สองของอัลบั้ม พลาสติกที่กันไม่ให้รูปเป็นรอยตอนนี้เก่าจนออกสีเหลืองๆเล็กน้อย
ภาพนั้นเป็นภาพแรกที่ผมถ่ายคู่กับไอ้ต้า...ในภาพมันดูตัวสูงกว่าผม...นั่นก็เพราะ...ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ไงล่ะครับ
มือหนึ่งของไอ้ต้าถือท่อนเฝือกที่ตัดออกแล้ว อีกมือก็ชี้เหมือนจะโชว์...ทั้งๆที่เฝือกนั้นน่ะ มันตัดมาจากขาผม มันไม่ได้เป็นคนใส่เองสักหน่อย
ใบหน้ามันยิ้มร่าเชียวครับ ในขณะที่ผมกลับยิ้มมุมปากแหยๆ เพราะ...คันขาชิบหาย...สังเกตจากมือนึงยังเอื้อมลงไปเกายิกๆอยู่เลย
....
...
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน เราก็สนิทกันมากขึ้น ตัวติดกันแทบจะเป็นตังเมเลยทีเดียว
“พ่อเดือนคณะรูปหล่อ ล่อตาล่อใจสาวเล็กสาวใหญ่ ดั๊น~ไร้น้ำยา ลอดรั้วหนีออกมาซะได้ เอ๊ะ! หรือจะเรียกว่าหยิ่งดีวะ?”
ไอ้ต้าร้องเพลงไม่เป็นทำนอง ขอแค่ใส่เสียงสูงต่ำได้มันก็บอกว่านั่นคือ ‘เพลง’ และเพลงของมันก็ไม่พ้นแต่งมาเพื่อล้อเลียนกวนตีนผมนั่นเอง
“ก็ใครเป็นต้นทางล่ะ” ผมตอกกลับ...ก็มันเองแหละครับที่เป็นคนแอบกวักมือหยอยๆชี้ช่องทางให้ผมลอดหนีตามออกมาน่ะ...
ไอ้ต้าหัวเราะร่าไม่สนใจ เอาสองมือคว้าขอบกำแพงไว้แล้วโหนตัวขึ้นไปยืน...ไวอย่างกับลิง
พูดถึงเรื่องเดือนคณะ...ก็ความผิดมันล่ะครับ ที่คะยั้นคะยอจนผมต้องยอมรับ ทั้งเสียเวลา ทั้งไร้สาระ รู้สึกว่าการเป็นเป้าสายตาอย่างกับของแปลกให้คนมาเลือกชมนี่มันไม่เวิร์คเอาซะเลย
“ฮึ่ยๆ” มันทำท่าชกอากาศ ฮุกหมัดซ้ายขวา ดูแล้วมีทักษะดีพอควร
“มึงไม่ต้องมาฮึ่ยหรอก เก่งยังไงก็ไม่ได้ลง”
งานกีฬาเฟรชชี่ใกล้เข้ามาแล้ว ตอนแรกไอ้ต้าลงแข่งชกมวยครับ แต่พี่ๆในชมรมไม่อนุมัติ...สาเหตุว่าเพราะกลัวหน้าหวานๆของมันเป็นรอยหมด
“ไรวะ ไม่ยุติธรรมเลย” ไอ้ต้าบ่นพลางเดินต่อเท้าไปเรื่อยๆ พยายามให้ทันความเร็วที่ผมเดิน กลัวมันจะตกลงมาครับ ก็เลยต้องผ่อนฝีเท้าตัวเองลง
“เออน่ะ พี่เค้าทำถูกแล้ว อย่างมึงน่ะ ไปลงวิ่งแข่งซะก็พอ...แล้วก็ลงมาได้แล้ว เดี๋ยวตกลงมาจะเลี้ยงไม่โตนะเว้ย” ผมเดินอยู่บนพื้นข้างๆมัน แหงนหน้ามองไอ้ต้า แต่ตอนนี้เห็นหน้ามันไม่ชัดครับ เห็นแต่เงาดำๆเพราะตะวันแยงตาพอดี
“ไม่เอา กูเล่นกีฬาอย่างอื่นไม่เป็น...ว่าแต่มึงเหอะ นักบาสเก่าเล่นแต่บาสน่าเบื่อตายห่า ไมไม่ลงอย่างอื่นบ้างวะ?”
“...ก็กูเล่นกีฬาอย่างอื่นไม่เป็นนี่หว่า” ผมตอบเลียนแบบมัน มันก็หัวเราะเอิ๊ก
“ทำเป็นพูดดี ตัวเองก็เหมือนกันล่ะวะ” มีหน้ามาทับถมอีกครับ ไอ้ต้ายังคงเดินอยู่บนกำแพง แถมยังซ่ากระโดดเล่นอีก เห็นแล้วหวาดเสียวจริงๆ
“ไอ้เป้งเป็นไงบ้าง” ไม่อยากบอกว่าตัวมันชักจะเป้งสมชื่อแล้วครับ สงสัยพ่อแม่มันเป็นหมาพันธุ์ใหญ่ แถมขนก็เริ่มยาวๆสวยๆดูมีสกุลรุนชาติมากขึ้นแล้วด้วย หรือมันจะเป็นลูกผู้ดีพลัดหลงมาวะ
“ก็ดี” ผมมัวแต่ทุ่มสมาธิกับท่าเดินของต้า เลยไม่ได้ตอบเป็นเรื่องเป็นราวสักเท่าไหร่
“ก็ดีของมึงน่ะ มันไงวะ...ก็กินดีอยู่ดี หรือว่าไปดีแล้ว?” ไอ้นี่กวนได้อีกครับ
“...ก็ดี” โบราณว่าไว้ โดนกวนก็ต้องกวนตอบ ผมก็เลยกวนอย่างที่โบราณว่า ไอ้ต้าคงฉุน เลยหันขวับมาตั้งท่าจะด่าพ่อล่อแม่ เจ้ากรรมขามันยืนไม่มั่น มันเลยเซไถลแล้วหล่นลงมา
ผมที่คอยเหล่มองมันอยู่เกือบจะตลอดเวลาเห็นภาพราวกับสโลวโมชั่น หัวใจเริ่มเต้นรุนแรง พอๆกับความรู้สึกร้อนวาบที่ไขสันหลัง
วินาทีที่ขาของมันหลุดออกจากพื้นที่มันยืนอยู่ คือวินาทีที่ขาของผมเตะตัวเองเพื่อพุ่งเข้าไปรับมัน
“โอ๊ย!!!” รู้ตัวอีกทีเสียงที่ได้ยินกลับกลายเป็นเสียงของตัวเองไปซะอย่างนั้น พร้อมๆกับแรงกระแทกเต็มน้ำหนักของไอ้ต้า ที่ตอนนี้นอนแผ่อยู่บนตัวผม
“ธี! เฮ้ย! ไอ้ธีเป็นไรเปล่าวะ??” ไอ้ต้าร้องกระวนกระวาย ผมอยากตอบว่าไม่เป็นไรเหมือนกันครับ แต่ตอนนี้เจ็บจนพูดไม่ออกแล้ว
“ไอ้ธี!! ไอ้ธี มึงอย่าตายนะ!!” กูยังไม่ตาย แต่มึงช่วยกรุณาลุกออกไปจากตัวกูได้มั้ยวะ
ก็ได้แค่คิดแหละครับ ฟันมันขบกันระงับความเจ็บปวดซะจนเหลือแค่เสียงลมหายใจหนักๆเท่านั้นเอง ไอ้ต้าก็ยังคงจับบ่าผมเขย่าอยู่อย่างนั้นแหละ
…เจ็บโว้ย!!!...
ชั่วขณะที่คิดอย่างนี้ ความคิดอีกอย่างหนึ่งก็ตามมาเป็นระรอก
...ทำไมผมต้องเอาตัวเองไปรองรับมันด้วยเนี่ย...
...
...
สรุปคราวนั้น ผมกับไอ้ต้าอดลงกีฬาเฟรชชี่ทั้งคู่ สำหรับมันเพราะรุ่นพี่ไม่ให้ลง แต่สำหรับผม...เพราะขาหัก…
ผมนั่งรถเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล มองซ้ายมองขวา ไปเจอไอ้ต้านั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องยา บ่าของมันลู่ลงจนเหลือนิดเดียว ใบหน้าของมันก้มลงต่ำจนไม่สามารถมองเห็นได้
ผมขอให้คนเข็นรถเข็นเข้าไปหามัน
“ต้า” ผมเรียกมันเบาๆ มันคงได้ยินเสียงล้อรถบดกับพื้นเบาๆอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา พอมันได้ยินเสียงผม บ่ามันก็สั่นระริก
“ธี...กูขอโทษ” เสียงของมันสั่นไหว
“ขอโทษทำไม มึงไม่ผิดซะหน่อย กูเสือกเข้าไปรับมึงเอง” ผมว่าพลางยกแขนขึ้น เอามือขยี้ผมนุ่มๆของมันเล่น มันไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา แต่หยดน้ำใสๆที่หยดลงบนมือที่กำแน่นบนตักของมันทำให้ผมรู้ว่า มันกำลังร้องไห้
“ไม่...กู...ไม่น่าขึ้นไปเดินเล่น...กู...ฮึก...” มันใช้ท่อนแขนปาดน้ำตาออก พอเงยหน้าขึ้นมาถึงได้รู้ ว่ามันคงนั่งกลั้นน้ำตามานานแล้ว เพราะตามันแดงแจ๋ไปหมด
ผมเอานิ้วโป้งปาดน้ำตาให้มัน จับมือมันเอาไว้ แล้วหันไปบอกคนเข็นรถให้พาผมไปที่ลานจอดรถ ที่นั่นมีคนขับรถที่แม่ส่งมาให้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ไปก่อนเหอะ” เป็นภาพที่น่าขำนะครับ เพราะกลายเป็นว่าผมที่มีเฝือกพันขาข้างหนึ่ง กลับต้องมาจูงไอ้ต้าที่เดินตามต้อยๆเช็ดน้ำตาป้อยๆ แทน
+++++++++++++++++++
“ส่งตรงนี้แหละครับ” ไอ้ต้าพูดเสียงขึ้นจมูก พอพูดจบก็ซู้ดน้ำมูกปึ้ดหนึ่ง รถของผมเข้าจอดเทียบฟุตบาธหน้าหอมันพอดิบพอดี
พอรถจอดสนิท มันก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม มองผมอย่างพะวักพะวน จนผมต้องลูบหัวมันอีกที “กูไม่ได้โกรธมึงเลยจริงๆ”
เหมือนมันจะไม่ค่อยเชื่อครับ ผมถอนหายใจ หนังตาเริ่มจะหนักๆแล้ว...คงจะเพราะฤทธิ์ยาแก้ปวดที่หมอฉีดให้นั่นแหละ
สุดท้ายผมเลยหันหน้ากลับไปหาคนขับรถ “พี่ขับกลับบ้านไปเถอะ คืนนี้ผมค้างที่นี่” โชคดีที่แม่จัดกระเป๋าเสื้อผ้ามาให้เผื่อต้องนอนโรงพยาบาลพอดีครับ ก็เลยไม่ต้องกังวลว่าคืนนี้จะไม่มีอะไรใส่
ไอ้ต้าเงยหน้าเอาตาโตๆมองหน้าผม “หอกูนอนไม่สบาย มึงจะมานอนทำไม”
“ตอนนี้กูง่วงจะตายอยู่แล้ว ขี้เกียจนั่งรถกลับบ้านว่ะ อยากนอน” ผมว่าพลางคว้าไม้ค้ำที่วางไว้ข้างคนขับมาถือ ไอ้ต้าได้ฟังเหตุผลก็เงียบไป
จริงๆก็อ้างไปอย่างนั้นเองแหละครับ ที่ต้องยอมกระเผลกเป๋เหลไปนอนห้องมัน ก็เพราะคิดว่า...คืนนี้มันคงจะนอนไม่หลับแหงแซะ...ก็ไอ้นี่มันคิดมากจะตายชักนี่นา
++++++++++++++++++
ไอ้ต้าค่อยๆถอดเสื้อออกให้ผมทั้งๆที่ท่อนบนผมก็ไม่ได้เจ็บอะไรซักหน่อย แต่เห็นท่าทางอยากไถ่บาปของมันแล้วขัดศรัทธาไม่ลงครับ ก็เลยยอมๆมันไป มันไม่ยอมให้ผมอาบน้ำ เพราะดันไปอ่านเอกสารวิธีดูแลเฝือกที่แนบมากับถุงยา
“ห้ามถูกน้ำ” มันว่าอย่างนั้น แล้วก็วิ่งเข้าไปในห้องน้ำ รองน้ำมากะละมังหนึ่ง คว้าผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ในตู้เสื้อผ้ามาชุบ บิดให้หมาดมากๆจนผ้าแทบจะขาดคามือ จับผมนั่งแปะลงบนเตียง ส่วนตัวมันนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น แล้วก็บรรจงเช็ดตามเนื้อตัวให้ผม
“กูเช็ดเองได้ มึงไปอาบน้ำเหอะ” ผมแย่งผ้าขนหนูจากมือมันมา แต่มันไม่ยอม ยืนยันจะเช็ดให้อยู่ได้ จนสุดท้ายมือมันไล่มาถึงกางเกงในของผม มันถึงค่อยนึกได้ มันชะงักกึกค้างอยู่อย่างนั้น
เรานั่งเงียบกันอย่างกระอักกระอ่วน
ผมไม่ได้คิดอะไรมากเลยจริงๆนะ ผมเห็นมันเป็นแค่เพื่อนสนิทเท่านั้น ไม่เคยคิดว่า...ผู้ชาย...จะสามารถทำให้หัวใจเต้นรัวได้
...ไม่เคยคิดว่า...แก้มแดงๆของไอ้ต้า...จะน่ารัก...ขนาดนี้...
มันหันหน้าหนี ลุกขึ้น แล้วก็วิ่งปรู๊ดหายเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตูซะเสียงดัง
...แต่ก็ไม่ดังเท่าเสียงหัวใจของผม...ที่ตอนนี้เต้นจนแทบจะทะลุหน้าอกออกมาแล้ว...
...เพื่อน...มันเป็นแค่เพื่อน...ผมบอกตัวเองอย่างนั้น แล้วหายใจเข้าลึกๆ
ผ้าขนหนูในมือถูกยกขึ้นสูดดม...ไอ้ต้าคงจะเหยาะโคโลญจ์ลงไปด้วย มันถึงได้หอมชื่นใจ...
...
...
ผมไม่รู้ว่าไอ้ต้าอาบน้ำเสร็จเมื่อไหร่ เพราะหลังจากที่ผมเช็ดตัวเองอย่างลวกๆ ดิ้นรนใส่ชุดนอนจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ความง่วงก็เข้ารุกรานอีกครั้ง
ผมนอนหลับอยู่มุมหนึ่งของเตียง ลืมตาตื่นขึ้นมาเล็กน้อยตอนที่รู้สึกว่าพื้นเตียงไหวยวบ พร้อมๆกับไออุ่นจากตัวไอ้ต้าที่แผ่มาถึงร่างกายของผม
มันปิดไฟไปหมดแล้ว ในห้องมืดสนิท
ผมนอนลืมตา ฟังเสียงหายใจของมัน จากที่เหมือนมันจะเกร็งๆกลั้นหายใจเอาไว้ ก็ค่อยๆเป็นจังหวะสม่ำเสมอขึ้นเรื่อยๆ และตัวมันก็ผ่อนคลายเต็มที่
...มันคงจะหลับไปแล้ว...
แต่ผม ที่ตอนแรกคิดว่าคงจะหลับรวดตามมันไปได้...กลับนอนไม่หลับ…
เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของผมกันแน่ วันนี้มัน...แปลกไป...
เกิดอะไรกับใจของผมกันแน่...วันนี้มัน...ไม่เหมือนเดิม...
ไอ้ต้า...มันคือเพื่อน...เพื่อนคนแรกของผม หลังจากที่กลับมาไทย...มันคือเพื่อนที่สนิทที่สุดของผม...เท่าที่ผมเคยมีมา
ผมนอนลืมตาโพลง ในหัวมีแต่ความสับสนยุ่งเหยิง ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเป็นอะไร...ไม่เข้าใจ...และไม่กล้าที่จะทำความเข้าใจ
“ฮึก...”
ผมหยุดหายใจชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงมาจากคนข้างกาย เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจก็ได้ยินเสียงสูดจมูกตามมา
...ไอ้ต้ามัน...ละเมออย่างนั้นเหรอ?...
“ธี...กู...ขอโทษ..” ถึงจะฟังยากเพราะเสียงมันงุบงิบๆ แต่ก็พอจะฟังออก
ผมคว้าบ่าสั่นๆของมันมากอดไว้ ลูบหัวมันไปมา
ไอ้ต้าสะดุ้ง ลืมตาสะลึมสะลือขึ้นมา เห็นหน้าเปื้อนน้ำตามันได้รางๆในความมืด
ผมกดหัวมันไว้กับอกแล้วกระซิบกับหูมัน “นอนไปเหอะ...”
ใช้เวลาไม่นาน มันก็หลับไปได้อีกครั้ง...ต่างกับผม...ที่ทำยังไงก็ไม่ยอมหลับซะที
ผมชำเลืองสายตาลงมองคนที่นอนซบอยู่กับอกของผม...ใบหน้าที่สงบนิ่ง...ใบหน้าที่ดูไร้กังวล
ชีวิตที่เคยน่าเบื่อ หนึ่งเดือนมานี้กลับมีสีสันได้เพราะมัน บางครั้งผมเคยคิด...การที่มันลากผมเข้าไปในกลุ่มเพื่อนมากมาย จะมีสักวันไหมที่เราจะต้องโดนแยกออกจากกัน จะมีวันไหนรึเปล่า...ที่มันจะสนิทกับใครมากกว่าผม...ผมรู้ตัวเองว่าผมค่อนข้างจะติดมันมากทีเดียว อยากจะยึดตัวมันเอาไว้ข้างกาย ไม่อยากให้มีใครมาแทรกระหว่างเรา...มันคืออาการหวงเพื่อนของคนที่ไม่ค่อยจะมีเพื่อนสนิทนั่นเอง
...แวบแรกที่เจ็บตัว ผมถามตัวเองว่าจะเอาตัวเองไปรับมันทำไม...
คงเพราะว่า...ผมต้องการผูกมัดมันเอาไว้ล่ะมั้ง...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
TBC