ตอนที่ 10ว่ากันว่าคนที่รักการกินเป็นชีวิตจิตใจมักจะมีวิธีทำอาหารง่ายๆให้อร่อยเสมอ ผมเพิ่งได้พิสูจน์วันนี้เองแหละครับ
หลังจากที่ไอ้เปี๊ยกถือถุงเซเว่นเข้าครัวไปพักหนึ่ง มันก็ตะโกนให้เข้าไปหยิบอาหาร ผมเดินเข้าไปเห็นแต่ขนมปังปอนด์ที่นึ่งไมโครเวฟแล้ววางเป็นตั้งๆบนจานใบใหญ่ ข้างๆกันมีครีมแซนวิชเสปรดกับน้ำสลัดมายองเนสใส่ขวดวางอยู่
“อ้าว ไหนบอกจะทำข้าว” ผมถามมัน หันไปเห็นไอ้เปี๊ยกมันกำลังหั่นใส้กรอกซีพี่ที่ซื้อมาเมื่อกี้ให้เป็นแว่นๆอยู่
มันยังไม่ยอมตอบ ก้มหน้าก้มตากวาดกองใส้กรอกใส่จานก้นลึกหลังจากนั้นก็หั่นเนยชิ้นใหญ่...เน้นว่าโคตรใหญ่ใส่ลงไป ตอกไข่ตาม เอาส้อมตีให้พอเละ ราดนมจนท่วม แล้วก็ยัดไมโครเวฟ
มันจะกินได้เหรอวะเนี่ย วิธีทำแปลกๆชอบกล ผมขมวดคิ้วมองมันอย่างไม่เชื่อถือ มันก็หันกลับมามองผมแวบหนึ่ง
“ยกออกไปได้แล้ว” ดีใจครับ ในที่สุดมันก็ยอมคุยกับผมจนได้ ถึงจะเป็นประโยคไล่ก็เหอะ
ต้องง้อหน่อยครับ เดี๋ยวเด็กมันจะหาว่าละเลย ผมเดินไปยืนซ้อนหลังมัน เอามือคว้าเอวมันดึงเข้ามาหลวมๆ “งอนอะไร?” ผมมันยังหมาดๆอยู่เลยครับ กลิ่นแชมพูลอยฟุ้งหอมเป็นบ้า
“ไม่ได้งอน ปล่อย” มันขืนตัวหน่อยๆ เรื่องอะไรจะปล่อย...ไม่ได้งอนก็แปลว่าเขินน่ะสิ หึๆ
“พี่ต้า เห็นไม้เบสบอลที่ต้อยใช้ประจำเปล่า ว่าจะเอามาหวดเห็บหวดไรเล่นซะหน่อยหายไปไหนไม่รู้ แม่ง..แถวนี้แมลงเยอะจริงๆ เห็นแล้วรำคาญลูกตาว่ะ”
เสียงสยองสั่งตายของไอ้ต้อยดังมาจากห้องนั่งเล่น เล่นซะผมเสียวชะงัด ต้องปล่อยมือออกจากเอวของไอ้เปี๊ยกอย่างแสนเสียดาย
ไอ้เปี๊ยกตะโกนกลับไป “บ้าเปล่า ไม้เบสบอลมันจะไปหวดแมลงโดนได้ไง เอาไบกอนอัดเข้าไปดิวะ รับรอง เกิดใหม่ยังเมายาอยู่เลย”
เปี๊ยกมันพูดจริงหรือมีความหมายแฝงผมไม่กล้าคิด รู้แต่ว่าพี่น้องคู่นี้...น่ากลัวว่ะ
กลิ่นหอมเนยแผ่อวลทั่วครัวเลยครับตอนนี้ สักพักเตาไมโครเวฟก็ส่งเสียงกริ๊ง ไอ้เปี๊ยกกดเปิดฝาดึงจานออกมา แม่เจ้า...มัน...สุดยอดจริงๆครับ ไอ้เปี๊ยกมันทำออมเล็ตไส้กรอกได้ใน 5 นาที แถมน่ากินสุดๆด้วย...แฟนใครเนี่ย น่าภูมิใจจัง
พอมันเทไข่คนลงในจานกระเบื้องเสร็จ ก็เดินออกไปไม่หันมาแลผมเลย ก็เลยต้องเดินถือขนมปังกับซอสตามมันไปครับ
“โหย ไม่ได้กินตั้งนาน โคตรคิดถึงฝีมือพี่ต้าเลยว่ะ” ไอ้ต้อยร้องพลางคว้าส้อมกับมีดจ้วงไข่ใส่ขนมปัง
“เรียนกรุงเทพไม่ใช่เหรอ ไม่ได้เจอกันเลยเหรอ” ผมถามไอ้ต้อย มันเรียนอยู่ปีสามปิดเทอมแล้ว กำลังจะขึ้นปีสี่ครับ
“ตอนพี่ต้ายังไม่จบก็อยู่ด้วยกัน แต่พอเรียนจบก็ย้ายออกจากหอแถวมหาลัยไปอยู่คนเดียว ขอไปอยู่ด้วยก็ไม่ยอม” ต้อยบ่นหงุงหงิง
“ก็จะไปอยู่ได้ไง มันไกลมหาลัย ไปมาไม่สะดวก พูดตั้งหลายทีแล้วไม่รู้เรื่อง บ่นอยู่ได้” ไอ้เปี๊ยกดุกลับ น้องชายคงกลัวพี่มันเหมือนกันครับ นั่งหงอคอหดเชียว ทีเมื่อกี้ยังจะเอาไม้เบสบอลโฮมรันกูอยู่เลย ฮ่าๆๆ
++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากกินข้าวเสร็จเราสามคนก็ไปโรงพยาบาลเยี่ยมพ่อไอ้เปี๊ยกต่อครับ เยี่ยมได้ไม่นานไอ้ต้อยก็ชวนพี่ชายมันยิกๆ “พี่ๆ เมื่อคืนไอ้แชมป์โทรมาหา นัดไปกินข้าวเที่ยงกัน”
ไอ้เปี๊ยกหันไปหา “ไอ้แชมป์น่ะหรอ เออ มันเป็นไงบ้างวะ ไม่เจอตั้งนาน”
“ก็นี่แหละ มันก็อยากเจอพี่เหมือนกัน” ใครแชมป์วะ อยากเจอแฟนกูได้ไง บอกก่อนนะเว้ย ว่าหวง
“อืม งั้นไปดิ จะเที่ยงแล้วไมเพิ่งบอก เดี๋ยวก็เลทหรอก” ไอ้เปี๊ยกคว้ากระเป๋าลุกขึ้นยืน ผมก็จะลุกตามครับ แต่ไอ้ต้อยหันมาก่อน
“พี่ธีอยู่นี่คุยกับพ่อก่อนก็ได้นะ ผมกับพี่ต้าไปหาเพื่อนเก่าแป๊บเดียว เดี๋ยวกลับมา”
ผมอ้าปากค้างครับ พ่อไอ้เปี๊ยกก็พูดขึ้นมาบ้าง “เออ ดีเหมือนกัน แม่เราไปทำผมถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ พ่ออยู่คนเดียวไม่มีเพื่อนคุยมันเหงาว่ะ”
สุดท้ายผมเลยต้องอยู่กับพ่อไอ้เปี๊ยกสองคน หมอเพิ่งเริ่มให้ท่านกินอาหารเหลวครับ ผมเลยโทรสั่งข้าวโรงพยาบาลมากินเป็นเพื่อน
“อืม...เราน่ะ แก่กว่าเจ้าต้าเยอะเลยใช่มั้ย” มาแล้วครับ บทสัมภาษณ์ลูกเขย (ผมคิดเอาเองน่ะ) ของพ่อตา หลังกินข้าวเสร็จพ่อไอ้เปี๊ยกก็เปิดประเด็น
“ครับท่าน ร่วมเจ็ดแปดปีได้”
พ่อไอ้เปี๊ยกหัวเราะเอิ้ก “ท่านเทิ่นอะไร เรียกพ่อก็ได้...แล้วสนิทกันได้ยังไงล่ะ”
ซึ้งครับ พ่อตายอมรับแล้ว (คิดเอาเองเหมือนกัน) “ก็...ไปเจอระหว่างเที่ยวน่ะครับ คุณพ่อ”
“อืมๆ...แล้วทำงานอะไรล่ะเรา”
“ท่องเที่ยวครับ เป็นบริษัทพ่อแม่ผมเอง”
คุณพ่อทำตาโต “โห อย่างนี้พ่อต้องไปอุดหนุนบ้าง เผื่อจะพาไอ้พวกลูกน้องไปเที่ยว...อ๊ะ โทษทีนะ ช่วยหยิบตะกร้าในตู้หน่อยได้มั้ย แม่เค้าเอาไปซ่อนไม่ยอมให้พ่อเล่นน่ะ”
ผมก้มลงไปหยิบของตรงตู้เตี้ยๆข้างเตียงครับ ข้างในเป็น...ลูกดอก...
คุณพ่อรับมันไปโยนเล่นในมือ “แล้วไม่ลำบากเหรอ มาคบกับเด็กอย่างไอ้ต้าน่ะ มันค่อนข้างเอาแต่ใจอยู่นา” ว่าแล้วก็ถือลูกดอกเสมอหน้า เพิ่งสังเกตครับ ว่ากำแพงตรงข้ามเตียงมีเป้าแขวนอยู่
ฉึก!
แม่นมาครับพ่อ กลางเป้าเดี๊ยะ ผมเริ่มกลืนน้ำลายไม่ลง
“ไม่หรอกครับ ผม...ผมว่ามันก็เป็นผู้ใหญ่ดี” อยากบอกว่าเพราะผมชอบเด็ก แต่ยังเกรงๆอยู่ครับ
“ว่าแต่ ไอ้หนูเนี่ยมันมีผู้หญิงมาติดบ้างรึยังล่ะ? ตอนมันเรียนมัธยมอยู่ที่นี่นะ ไม่เห็นมีเรื่องนี้เลย อยู่แต่กับน้องมันสองคน พ่อล่ะกลัวมันเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วจริงๆ”
ฉึก!!
อีกฉึกยังคงความแม่นครับ เบียดลูกดอกเก่าที่ปักอยู่ซะจนกระเด็น
“ย...ยังไม่มีครับ” มีแต่ผู้ชายมาติดครับพ่อ
“เฮ้อ! เมื่อไหร่จะมีซักทีนะ ไอ้เจ้านี่น่ะ มันพวกขี้ขลาดไม่สมชายชาตรีเลยว่ามั้ย? มีอะไรในใจก็ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ ไม่รู้เป็นลูกพ่อได้ยังไง นี่เห็นว่าน้องมันโอ๋พี่มันหรอกนะ พ่อถึงไม่อยากจะไปจู้จี้กับมันมากมาย”
ฉึก!!!
คุณพ่อครับ ถ้าผมพูดออกไปตรงๆ คุณพ่อจะเอาผมเป็นเป้าแทนมั้ยครับเนี่ย...
“คุณพ่อครับ...ผม...”
คุณพ่อหันมา พร้อมกับลูกดอกในท่าเล็ง เล่นซะผมแทบจะกระโดดหนีออกจากห้อง “หือ ว่าไง มีอะไรเหรอ?”
“คือ...ผม...ไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนะครับ”
ได้ยินเสียงหัวเราะไล่หลังดังฮ่าๆๆ ตามด้วยเสียงฉึก!!!! ผมก็งับประตูห้องน้ำดังปังแล้วนั่งบนโถส้วมปลอบขวัญตัวเอง
...ไอ้เปี๊ยก กลับมาเร็วๆเหอะ...
+++++++++++++++++++++++++++++++
กว่าไอ้เปี๊ยกกับน้องชายมันจะกลับมา กว่าจะลาพ่อกับแม่เสร็จก็บ่ายสามแล้วครับ แผนที่คิดว่าจะพามันไปนั่งรถเล่นก่อนกลับก็เลยต้องพับไป พรุ่งนี้วันอาทิตย์ครับ แต่ผมต้องกลับไปเคลียร์งานที่บริษัทหน่อย
ถึงนาทีระทึกล่ะครับ
“ต้อย...กลับกรุงเทพด้วยกันเลยมั้ย?” กลับมาบ้านเก็บของเสร็จ ไอ้เปี๊ยกก็ถามน้องชายมัน
“อืม” ไอ้ต้อยมันทำท่าคิดหนัก แถมมีแอบเหล่ตามาทางผมอีกครับ
“จะว่าไป...ต้อยอยากได้มือถือเครื่องใหม่ว่ะ”
“อยากได้ก็ไปเลือกดิ เดี๋ยวช่วยออกให้ครึ่งนึง” ไอ้เปี๊ยกยังคงไม่รู้เรื่องครับ แต่ผมงี้ พยักหน้ายิกๆอยู่ด้านหลังมัน
“อืมม~~” ไอ้ต้อยทำท่าคิดหนักอีกที แต่ผมเห็นมุมปากมันแอบยกขึ้นนะ...ไอ้ตัวแสบเอ๊ย!!
“ออกให้หมดเลยไม่ได้หรอ?”
ไอ้เปี๊ยกด่ามัน “ไอ้เวร! ออกเองบ้างดิวะ มือถือมันของใช้ฟุ่มเฟือย ต้องออกเงินเองด้วย จะได้รู้คุณค่า ไม่เปลี่ยนทิ้งบ่อยๆ”
แต่ผมพยักหน้ายิกๆครับ ไอ้ต้อยยิ้มแฉ่ง
“อย่าดีกว่าพี่ต้า ต้อยว่าอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่อีกหน่อยดีกว่า ยังไงๆ ก็เพิ่งปิดเทอม ไว้จะตามกลับไปละกัน” มันเดินมาตบบ่าพี่มันแปะๆ แล้วหันมาตบบ่าผมปั้บๆ
“ขับรถดีๆนะครับพี่ธี” มันยิ้มแย้มส่ง แล้วชะโงกหน้าเข้ามาใกล้หูผม “ถ้าทำพี่กูเจ็บ...มึงตาย...” ว่าแล้วมันก็ถอยออกไป ยิ้มโบกมือบ๊ายๆส่งผมกับพี่มันขึ้นรถ...ดีใจครับ ลาจากครอบครัวนี้ซักที...ฮือๆ แม่ครับ ผมคิดถึงแม่จัง...แม่ที่ใจดีดุจนางฟ้าของผม...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้วครับ ป้ายบอกทางชี้ทางเข้ากรุงเทพอีกประมาณสองร้อยกิโล มองนาฬิกาเลยทุ่มมานิดๆ ไอ้เปี๊ยกยังไม่หลับเลยครับ น่าแปลกแฮะ
ตาผมจ้องอยู่ที่ถนน แต่จากหางตาแอบเห็นมันมองมาทางผมอยู่บ่อยครั้ง พอหันไปมองมัน มันก็แกล้งหันหน้าไปมองวิวข้างทาง เห็นแก้มมันแดงๆด้วยครับ หึ...คิดอะไรอยู่วะ ไอ้เปี๊ยก
“ต้า” มันสะดุ้งโหยง
“อ...อะไร?”
“หิวน้ำ” ในมือมันมีกระบอกน้ำอยู่ครับ
มันเทน้ำใส่แก้วเล็กๆ ยื่นมาให้ผม “อะ”
“ป้อนหน่อย” อารมณ์นี้อยากอ้อนมันครับ ก็ใครใช้ให้มันทำหน้าน่ารักขนาดนี้ล่ะ
มันอึกอักไปพัก ผมเลยเร่งมัน “ป้อนหน่อย พี่ขับรถอยู่ ปล่อยมือไม่ได้”
สุดท้ายมันเลยป้อนผมครับ...ไม่เคยกินน้ำเย็นที่ไหนชื่นใจขนาดนี้มาก่อนเลย ระหว่างกินผมแกล้งทำเป็นตั้งใจขับรถครับ มองไปข้างหน้าตรงแหนว แต่แอบเห็นมันมองหน้าผมไม่วางตาเลย
“ต้า” พอเรียกมัน มันก็ก้มหน้างุดครับ
“อะไรอีก...”
“ขอน้ำแข็งด้วย” ไอ้เปี๊ยกเบิกตากว้าง
“น้ำอย่างเดียวก็พอแล้ว” มันไม่ยอมครับ
“พี่ง่วงนอน ขออมน้ำแข็งหน่อยนึง ตาจะได้สว่าง” ตอแหลครับงานนี้
สุดท้ายมันเลยยอมเทน้ำแข็งลงมาใส่แก้ว จ่อปากผมให้ ผมก็ทำท่ากินทุลักทุเลล่ะครับ สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นแล้วบอกมัน “หยิบมาป้อนให้หน่อย พี่กินไม่ถนัด”
มันถลึงตามองผมเงียบ
“นะ....เมื่อวานขับรถตั้งห้าชั่วโมง วันนี้ยังต้องมาขับอีกห้าชั่วโมง เพลียชะมัดเลย”
“รู้ทันหรอก ไม่ต้องมาพูดเลย ไอ้ลุงหื่น เพลียก็หยุดรถพักดิวะ” มันว่าแต่สุดท้ายก็ยอมหยิบน้ำแข็งมาป้อนผมล่ะครับ แต่พอน้ำแข็งเข้าปากปุ๊บ มันก็ถอนมือออกไปปั๊บ
“เฮ้ย!” ผมร้องอย่างเสียดาย แต่มันหัวเราะร่า...แกล้งคนแก่สนุกนักใช่มั้ยวะ ไอ้เปี๊ยกตัวแสบ
“เอาอีกก้อน” ผมขอมัน มันก็ป้อนอีกครับ แต่ก็หดมือกลับเหมือนเดิมอีก ทำอย่างนี้อยู่สองสามครั้ง สุดท้ายทนไม่ไหวเลยจอดรถกระพริบไฟมันข้างทางซะเลย
ผมคว้าตัวมันเข้ามากอด กดจูบลงกับริมฝีปากมันแล้วสอดลิ้นเข้าไปเอาคืน
“ฮ่า...” จนพอใจถึงค่อยปล่อยมันครับ แอบเม้มปากล่างมันหน่อยๆ ปากมันแดงเจ่อเลย ไอ้เปี๊ยกหอบแฮ่กๆ น้ำแข็งจากปากผมละลายเลอะไปถึงคางทั้งของผมของมัน
“ไอ้บ้า” มันด่าผมครับ แต่ท่าทางตอนมันด่านี่น่ารักจนใจเต้น
“ก็ใครไม่รู้ แอบมองมาตลอดทาง คนถูกมองเลยทนไม่ไหวน่ะสิ” ผมเขี่ยจมูกมันเล่น มันก็เอามือมาปัดทิ้ง
“ไม่ได้มอง!”
“มอง!”
“ไม่ได้มอง!”
“มอง!”
“ไม่ได้มอง! มองวิวอีกฝั่งเว้ย!”
เอาวะ แกล้งเชื่อมันก็ได้ เดี๋ยวมันจะเขินไปมากกว่านี้ ผมกลัวมันระเบิดตัวเองครับ แก้มแดงซะขนาดนี้
“ไม่ต้องหัวเราะเลย แล้วเมื่อไหร่จะแวะกินข้าววะ หิวแล้ว” มีหน้ามาตวาดอีกนะครับ
ผมเลยกลับไปนั่งที่คนขับดีๆ แล้วออกรถ “แวะกินแถวนี้ละกัน”
ผมเลี้ยวเข้าวัดที่เปิดไฟสว่าง...ข้างในคงเป็นงานวัดเพราะเห็นไฟจากชิงช้าสวรรค์...ไหนๆก็อุตส่าห์มาต่างจังหวัดแล้ว ขอสัมผัสบรรยากาศหน่อยเหอะ
มันก็ตกลง กลับไปนั่งชมวิวมืดตื๋อข้างทางของมันต่อไปล่ะครับ
พอลงจากรถก็หาร้านก๋วยเตี๋ยวนั่งกินกันไป ไอ้เปี๊ยกชอบกินโค้กครับ แต่สำหรับผมต้องน้ำส้ม...แล้วก็ต้องน้ำส้มแฟนต้าเท่านั้นด้วย อิอิ กินเสร็จก็แวะร้านน้ำแข็งไสต่อ หลังจากนั้นผมก็ชวนมันเดินเที่ยว
อย่างแรกที่ต้องทำก็ไหว้พระนี่ล่ะครับ เข้าไปในโบสถ์ฟังพระท่านให้พร ระหว่างนั้นก็แอบเห็นนะครับ ไอ้เปี๊ยกมันแอบมองผม...ทำไมวันนี้มันทำตัวน่ากอดจังวะ?...พอก่อนครับ คิดเรื่องอกุศลในวัดไม่ดีครับ บาป
รู้สึกดีนะครับ ผมกับมันได้ทำบุญด้วยกัน ไม่ต้องชาติหน้าได้เจอกันหรอกครับ ผมขอแค่ให้ได้อยู่ด้วยกันในชาตินี้ก่อนก็พอ...ก็รักมันซะขนาดนี้ ถ้าปล่อยให้มันหนีไป ผมคงเสียใจแย่
ออกมาเดินรอบๆวัดเข้าซุ้มนั้นออกซุ้มนี้ครับ ที่ไอ้เปี๊ยกชอบก็ยิงปืนลมน่ะแหละ สมกับที่มีพ่อเป็นตำรวจครับ แต่ฝีมือมันไม่เอาอ่าวเอาซะเลย ยิงยังไงก็ไม่โดน
“มานี่!” ผมแย่งปืนในมือมันไป ใส่กระสุนยางลูกสุดท้ายเข้าไป เล็งไปที่ตุ๊กตาหมีตรงหน้า
“เอ้า” พอยิงโดนล้ม เด็กคุมซุ้มก็วิ่งหยิบตุ๊กตามายื่นให้ผมครับ ผมก็ยื่นให้มันต่อ แต่มันกลับทำหน้าบึ้ง
“ไม่ได้จะเอาอันนี้” มันว่า
“อ้าว? ก็เห็นเล็งตัวนี้ตั้งนาน” ผมถามมันกลับ
มันชี้ไปที่ตุ๊กตากบที่ห่างจากตัวที่ผมยิงถูกไป...สี่ช่วงตัว “จะเอาตัวนั้น!”
ผมหัวเราะหึๆเหยียดหยามมันให้ยั๊วะพอเป็นกระสัยครับ แล้วก็ล้วงกระเป๋าจะควักตังค์แลกกระสุนมายิงให้มันต่อ แต่มันห้ามเอาไว้
“ไม่ต้อง เอาตัวนี้ก็ได้” มันกอดหมีน้อยไว้แล้วก็เดินออกไป ผมก็เลยต้องเดินตามมันต่อ
หน้าร้อนอย่างนี้ถึงจะเป็นตอนกลางคืนแต่อากาศก็อบอ้าวน่าดูครับ ตอนนี้เหงื่อชุ่มไปทั้งตัวแล้ว ผมพาไอ้เปี๊ยกมานั่งพักที่เก้าอี้หินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ ห่างจากเขตงานพอสมควร บรรยากาศเลยค่อนข้างมืด ได้ยินเสียงเพลงลูกทุ่งเบาๆ แว่วมาไกลๆ
ไอ้เปี๊ยกนั่งกอดตุ๊กตานิ่ง
“ลุง” มันเรียกผมแต่ก็ยังไม่หันหน้ามามอง
“หือ?”
“ไอ้ต้อยมันว่าตอนที่มันโทรหาผมไม่เจอ มันโทรหาไอ้ธี”
“...” ผมไม่ตอบมันครับ แต่กำลังร้อนใจว่าเรื่องแย่ๆที่ผมทำจะแตกออกมารึเปล่า
“มันบอกว่าไอ้ธีโกรธผม...ธีมันบอกว่าเพื่อนแค่คนเดียวผมยังไม่สนใจ...ต่อไปมันจะไม่ยุ่งกับผมอีกแล้ว...” ...ดีว่ะ...
ผมดีใจ แต่ไอ้เปี๊ยกดูหนักใจ ผมเลยปลอบมัน “เพื่อนต้ามันคงแค่งอน ลองห่างๆกันซักพักให้หายโกรธไปก่อนสิ แล้วค่อยตามไปง้อ” แอบหยอดให้แตกแยกครับ อิอิ
“ลุง...” ท่าทางมันคงมีเรื่องหนักใจจริงๆครับ ปกติมันไม่เคยเรียกผมเสียงอ้อนขนาดนี้ ยกเว้นเวลาที่มันมีเรื่องเพื่อนมันในใจ...แต่ตอนนี้มันก็มีเรื่องเพื่อนมันในใจนี่หว่า
“กับเพื่อน...มันยังหาว่าผมไม่สนใจ...ลุงทนอยู่กับผมได้ยังไง?”
ผมคว้าไหล่มันเข้ามาใกล้ ให้หัวซุกอยู่กับบ่าผม “พี่ไม่ได้ทน...พี่เต็มใจ...เพราะรัก”
“ลุงไม่เจ็บบ้างรึไง? รู้ตัวรึเปล่าว่าเป็น...”
มันยังพูดไม่จบ ผมชิงจูบมันซะก่อน เอามือกุมแก้มมันถึงได้รู้ว่า...มันกำลังร้องไห้
ที่ผ่านมาผมคิดแต่ว่าผมเป็นคนเดียวที่เจ็บ...ไม่ทันได้คิดเลยว่าไอ้เปี๊ยกก็เจ็บเหมือนกัน มันมาเจอผม มันมาคบกับผม ทั้งๆที่ยังลืมเพื่อนมันไม่ได้...บางชั่วขณะที่มันเผลอ มันเห็นผมเป็นคนอื่น...มันคงรู้ว่าผมเจ็บ ผมไม่พอใจ...แล้วอย่างมันที่อ่อนไหวขนาดไม่กล้าบอกรักเพราะกลัวเสียเพื่อน จะไม่รู้สึกเสียใจได้ยังไง...
ปากเราแยกจากกัน มันเอาแขนโอบรอบคอผมไว้ ซุกหน้าลงกับอกผม แล้วร้องไห้โฮ
ผมกอดมันไว้ ตอนนี้ความร้อนไม่ใช่อุปสรรค ต่อให้ร้อนขนาดไหน...ลำบากขนาดไหน...ผมก็จะกอดมันไว้อย่างนี้...จะไม่ปล่อยมันไป
...ถ้าชอบกันก็อย่าทิ้งกันซะก่อนล่ะ...
...ถ้ารักกันจริงก็อย่าทิ้งต้า...อย่าละเลยต้า...
ก่อนหน้านี้ผมคิดว่ามันพูดเพราะเห็นผมเป็นเพื่อนมัน เพราะมันอยากบอกกับเพื่อนมันอย่างนั้น...แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า...มันพูดกับผม...มันเสียเพื่อนมันไปคนหนึ่งแล้ว...มันคงทนเสียใครไปไม่ได้อีก...
“ต้า” ผมเรียกชื่อมัน ย้ำว่าผมยังอยู่กับมัน ลูบหัวมันที่ตอนนี้กระตุกตามแรงสะอื้น “พี่รอได้...หยุดร้องได้แล้วนะครับ...พี่รอได้...”
ผมปลอบมันนานทีเดียว จนเห็นว่าเริ่มดึกแล้ว กลัวจะกลับบ้านดึก ก็เลยจูงมันกลับมาร้องไห้ต่อในรถเย็นๆ
“พี่ธี” ท่ามกลางเสียงสะอื้น ผมได้ยินมันเรียกผม แต่ตอนนี้ผมละทิ้งความหวาดระแวงทั้งหมดไป มันเรียกพี่ธี ก็หมายถึงผม ไม่ใช่ใครอื่นทั้งนั้น
ผมลูบหัวมัน จูบหน้าผากมัน “ครับ?”
“ขอบคุณ” มันกอดตุ๊กตาที่ได้จากผมแน่น “ถึงมันจะไม่ใช่ตัวที่อยากได้...แต่มันก็มาอยู่กับผมแล้ว...ผมจะดูแลมันดีๆ...จะรักมันให้มากๆ...”
มันร้องไห้จนเพลียแล้วก็หลับไป ผมถึงค่อยมีสมาธิขับรถต่อได้
คืนแรกที่ได้คุยด้วยติดใจ...คืนที่สองเอาแต่คิดถึงคือหลงใหล...คืนที่สามละสายตาออกจากดวงตากลมโตของมันไม่ได้คือชอบ...คืนที่ห้าหลังจากได้เป็นแฟนมาหนึ่งวัน รู้ตัวว่ารัก...
...คืนนี้คืนที่เจ็ด ผมบอกตัวเองว่า...รัก...จนขาดมันไม่ได้...
ตุ๊กตาหมี...มันไม่อยากได้ แต่มันดันได้มา...แต่มันสัญญา...มันจะดูแลดีๆ...จะรักให้มากๆ...
แค่นี้...ผมก็ยินดีจะเป็นตุ๊กตาหมี...ตัวที่มันบังเอิญได้มาแล้วล่ะ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
TBC แก้เนื้อหาที่หายไปแล้ว ขอบคุณคุณ bellbomb ค่ะ
ปล. กำลังจะไปบริจาคเลือดค่ะ ช่วงนี้ได้ข่าวว่าเลือดกรุ๊ป o ขาดแคลน...แต่จริงๆเค้าก็ต้องการทุกกรุ๊ปล่ะนะ
คิดแล้วก็เสียดาย ตอนสึนามิคนแห่ไปบริจาคจนเลือดเหลือทิ้ง ใช้ไม่ทันจนหมดอายุ...
ดังนั้นเพื่อรณรงค์การทำบุญ ลูกหมูจะงด NC เพื่อให้ผู้อ่านเหลือเลือดไปบริจาคกันนะคะ 