A 150
เช้าวันถัดมา ผมตื่นขึ้นมาแต่หัววันทั้งๆที่เมื่อคืนก็แทบนอนไม่หลับแม้แต่นิดเดียว ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวให้ทันแม่ เพื่อที่ผมจะได้ติดรถของแม่ไปโรงพยาบาลด้วยเลยทีเดียว และเมื่อผมไปถึงที่ห้องของโจแล้ว เขาก็มองผมด้วยสายตาแปลกใจ
“ทำไมมาแต่เช้าวะ แล้วเมื่อวานเห็นบอกว่าวันนี้จะไม่มาไม่ใช่รึไง”
“กูมาเพราะกูมีเรื่องอยากบอกมึงน่ะ”
เขานิ่วหน้าเล็กน้อย “อะไร”
“คือออ กูคิดว่าคงดีกว่าถ้ากูจะบอกมึงด้วยตัวเองอะว่ะ กูไม่อยากคุยทางโทรศัพท์......”
“ก็แล้วอะไรล่ะวะ” เขายังคงตีสีหน้าแบบเดิม
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หัวใจของผมเต้นแรงจนแทบไม่เป็นจังหวะ มันคือความรู้สึกแบบเดียวกับเมื่อตอนก่อนที่ผมจะคุยกับนัทเมื่อคืนนี้เลย แต่ทว่าสิ่งที่ผมกำลังจะบอกโจนั้นกลับแตกต่างจากสิ่งที่ผมบอกนัทไปเมื่อคืนนี้อย่างสิ้นเชิง
“กูคิดว่ากูชอบมึงว่ะ ไอ้โจ”
เขาจ้องหน้าผมกลับราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไป สีหน้าของเขานิ่งเฉยแบบที่ว่าแม้แต่ขนคิ้วขนเดียวก็ยังไม่กระดิกเสียด้วยซ้ำ
“อ้อเรอะ” เขาพูดออกมาในที่สุด
“หือ ‘อ้อเรอะ’ งั้นเหรอ” ผมผงะไปกับปฏิกิริยาตอบรับที่ได้กลับมา
“มานี่ดิ๊ มาใกล้ๆกูนี่มา” เขากวักมือเรียก และผมก็เดินเข้าไปหาเขาแบบงงๆ “ยังไม่พอ ใกล้อีก มาที่ขอบเตียงนี่เลย”
“อะไรวะ ไอ้....”
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ โจก็ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นโอบรัดตัวของผมเอาไว้เสียก่อน
“เฮ้ย!”
เขามองหน้าผมแล้วยิ้มน้อยๆ “มึงคิดว่ากูไม่รู้รึไงว่ามึงคิดแบบนั้นกับกูน่ะ”
ผมผลักเขาออก “เออออ ไอ้เหี้ย กูไม่น่าพูดออกไปเลยใช่มั้ยล่ะ”
“ไม่ พูดน่ะดีแล้ว” เขาคว้ามือของผมเอาไว้ “มึงไม่รู้หรอกว่ากูรอคำพูดนี้ของมึงมานานแค่ไหนแล้วน่ะ.... กูดีใจนะเว้ย ไอ้นนท์ ดีใจมากจนอยากจะจูบปากมึงซะตอนนี้เลยด้วยซ้ำ”
ผมหน้าแดงฉ่าจนรู้สึกร้อนไปหมด เหงื่อที่ไหลซึมอยู่เต็มฝ่ามือของผมนี้เกิดจากตัวของผมเองหรือเป็นเพราะว่าแอร์ในห้องนี้มันเสียอยู่กันแน่นะ
“น้อยๆหน่อยเหอะมึง ไอ้โจ” ผมยกมือขึ้นบีบจมูกของเขา “แค่กูยอมรับว่ากู..... กู.... กูชอบมึ...ง...” ผมพูดออกไปอย่างยากลำบาก “ก... ก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะยอมให้มึงทำอะไรกูแบบนั้นหรือยอมเป็นแฟนกับมึงง่ายๆนะเว้ย กูแค่อยากจะบอกมึงเฉยๆว่า ‘เออ กูชอบมึง’ แค่นั้นแหละ พอใจยัง”
เขายักไหล่ “ไม่รู้สิ”
“อะไรของมึงอะ”
“แล้วไอ้นัทล่ะ มึงตัดใจได้แล้วรึไง”
ผมมองหน้าเขาครู่หนึ่งเพื่อพยายามจับความรู้สึกของเขาว่าเขากำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไรอยู่เมื่อถามคำถามนั้นออกมา จากนั้นก็ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ได้ว่ะ เพราะมันไม่มีอะไรที่จะต้องตัดใจสักหน่อย กูรักนัท แต่กูชอบมึง มึงไม่เห็นความแตกต่างเหรอวะ”
โจดูจะแปลกใจกับคำพูดของผม นิ้วที่ขมวดเข้าหากันเป็นปมของเขาทำให้ผมต้องอมยิ้มออกมาน้อยๆ
“เหออ มึงว่าไงนะ”
“ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ.....” ผมตอบพร้อมกับนึกย้อนไปถึงสิ่งที่ผมคุยกับนัทเมื่อคืน
“นัท นนท์มีเรื่องสำคัญอยากบอกนัทนะ.....”
นัทที่ดูเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าผมจะพูดเรื่องอะไรไม่ตอบอะไรผมกลับมาในทันที แต่รอให้ผมเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนเอง ซึ่งผมคิดว่าแบบนี้ก็คงจะดีกว่าการที่เขาพูดอะไรขัดขึ้นมาจนทำให้ผมไม่กล้าพูดสิ่งที่ผมตั้งใจเอาไว้น่ะนะ
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วจึงเริ่มพูดต่อ “นัทก็รู้ว่านนท์รักนัทใช่มั้ย”
“อื้อ รู้สิ”
“และนัทบอกนนท์ว่าหลังจากนี้ นัทเองก็จะรักนนท์เหมือนเดิม เราจะเป็นเพื่อนกันไปตลอดด้วยใช่มั้ย”
“อื้อ ใช่”
“ถ้าอย่างนั้น นนท์จะขอรักนัทแบบนี้ไปตลอดเหมือนกันจะได้รึเปล่า..... นนท์จะขอเก็บความรักแบบที่นนท์มีให้แก่นัทนี้ไว้แค่ที่นัทคนเดียว ไม่ให้ใครคนอื่นอีกเลย และเราจะเป็นเพื่อนรักกันไปตลอดแบบที่เราเคยเป็นกันมา แบบนั้นนัทคงจะไม่ว่าอะไรนนท์ใช่มั้ย”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “อื้ออ... นัทไม่ว่าอะไรหรอก”
“นัท.... นนท์.... จะร้องไห้ว่ะ นนท์ไม่อยากร้องไห้เลย”
“ไม่ต้องร้องหรอกนนท์” เขาปลอบผม ถึงแม้ว่าเสียงของเขาก็จะสั่นเครือขึ้นเล็กน้อยด้วยเหมือนกัน “ไม่เห็นมีอะไรต้องร้องเลยนี่หว่า นัทบอกนนท์แล้วใช่มั้ย ว่าที่จริงแล้วเราอาจจะแค่รักกันแบบเพื่อนที่สนิทกันมากๆเท่านั้นก็เป็นได้ เราเองก็น่าจะรู้ตัวเรื่องนี้กันมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ว่าเราเข้าใจมันผิดไปเท่านั้น”
ไม่จริงหรอก เขาไม่ควรจะใช้คำว่า ‘เรา’ แต่ควรจะเป็นผมแค่คนเดียวมากกว่า เพราะผมรู้ว่าที่จริงแล้วเขารักผมมากกว่าคำว่าเพื่อนมากแค่ไหน แต่เป็นผมเองนั่นแหละที่ถือเอาความใกล้ชิดที่เรามีให้แก่กันไปตีความหมายเป็นคำว่ารักแบบแฟน.... ผมมันยังทั้งเด็กและโง่เกินไปที่จะรักใครสักคนจริงๆนั่นแหละ
“นนท์ผิดเอง นนท์ขอโทษ..... นนท์เพิ่งรู้ตัวน่ะนัท นนท์ขอโทษนะ นนท์เพิ่งจะรู้ตัวว่าที่จริงแล้วนนท์รักนัทมากจนเกินกว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ของเราต้องหม่นหมองและบาดหมางกันแบบนี้ ถ้าหากว่าเราเป็นเพื่อนกัน ถ้าหากว่าเราเป็นเหมือนคริสกับเจย์ หรืออย่างวายุกับคริส ถ้าหากว่านนท์ไม่ทึกทักอยากได้นัทมาเป็นเจ้าของทั้งๆที่ยังไม่เข้าใจตัวเองดีตั้งแต่แรก เราก็คงไม่ต้องมาเสียใจกันแบบนี้หรอก นนท์.... นนท์ขอโทษ.....” ผมพยายามกลืนน้ำตาของตัวเองลงคอไป
“บอกแล้วไง ไม่ต้องขอโทษหรอก อะไรที่ผ่านแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะนะ นนท์ คนเราเรียนรู้จากอดีตนะเว้ย และนัทเองก็ใช่ว่าจะเสียนนท์ไปที่ไหน นนท์เองก็ไม่ได้เสียนัทไปนี่ ใช่มั้ย เชื่อนัทเถอะว่าหลังจากนี้ทุกอย่างจะเหมือนเดิมนะ ความสัมพันธ์ ความเป็นเพื่อนของเราสองคนจะไม่เปลี่ยนไปแน่นอน”
ผมรู้ว่าเขาแค่พูดปลอบใจผมและให้กำลังใจตัวเอง เพราะมันไม่มีทางอยู่แล้วที่ ‘ความสัมพันธ์’ ระหว่างเราจะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่อย่างเดียวอย่างที่เขาบอก แต่ทว่าผมก็ยอมที่จะเชื่อคำโกหกเล็กน้อยของเขาและเลือกที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าดีกว่าที่จะยึดติดกับสิ่งๆนั้นแล้วย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหน เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว ผมก็คงจะไม่มีทางมีความสุขกับการที่มีเขาอยู่ข้างกายในสถานะใหม่ที่เราจะต้องเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งได้อย่างแน่นอน
“แล้วไอ้โจล่ะ” นัทพูดขึ้น ทำให้ผมตื่นจากภวังค์ความคิดของตนเอง
“อ้อ ไอ้โจน่ะเหรอ.... นนท์คิดว่าพรุ่งนี้นนท์คงจะบอกมันแล้วล่ะ”
“บอกว่านนท์รักมันและเลือกมันน่ะเหรอ”
“เปล่า ไม่ใช่เลย นนท์จะบอกว่านนท์ชอบมันและนนท์ไม่ได้เลือกมันต่างหาก” ผมยิ้มให้กับตัวเองน้อยๆ
“หือออ....” นัทส่งเสียงในลำคอเบาๆด้วยความสงสัย.....
“อะไรของมึงวะ ไอ้นนท์” เสียงของโจดึงผมให้กลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง “มึงรักไอ้นัท แต่มึงชอบกู มึงถามกูว่า ‘ไม่เห็นความแตกต่างเหรอ’ เนี่ยนะ มึงจะบอกว่ามึงไม่ได้รักกู แต่แค่ชอบกูใช่มั้ยวะ”
“มึงจะว่าแบบนั้นก็ได้.... ใช่”
เขาทำหน้าบึ้งแบบเด็กไม่พอใจเวลาไม่ได้ของเล่นที่อยากได้แล้วบ่นเบาๆ “อะไรวะ แม่งงงง”
“ทำไมวะ แค่นี้ก็จะทำให้มึงเลิกชอบกู..... ไม่สิ เลิกรักกู และยอมแพ้แล้วรึไง”
เขายิงตาขวางใส่ผมทันที “ใครบอกมึง”
“เปล่า ไม่มีใครบอกหรอก แต่โอเค เพื่อที่จะทำให้มึงสบายใจขึ้นนะ ไอ้โจ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว.....” ผมจับมือของเขา สูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง “กูก็จะบอกว่า.... เออ กูชอบมึงมาก มากจริงๆ กูขอบใจมึงที่มึงคอยอยู่เคียงข้างกูมา มึงทำให้กูสดใสขึ้น เป็นตัวของตัวเอง และได้รู้ใจตัวเองว่าจริงๆแล้ว กูคงชอบคนปากแข็ง ปากหมา หยาบคาย เอาแต่ใจ นิสัยไม่ดี ใจดำ เรื่องมาก ขี้บ่น แต่ที่จริงแล้วอ่อนโยน ขี้อาย มีน้ำใจ และจริงใจมากๆแบบมึงนี่แหละว่ะ”
“นี่มึงสาบานได้นะว่ามึงชมกูน่ะ” เขาหรี่ตา แต่แล้วจากนั้นก็ยิ้มออกมา “แต่ก็เอาวะ ยกให้วันนึง” เขายกมือของผมขึ้นจุ๊บที่หลังมือเบาๆ
“ใจเย็นๆเลย ไอ้ตัวแสบ กูบอกมึงแล้วไงว่าให้รอก่อน” ผมชักมือกลับ “กูยังไม่ได้เลือกที่จะคบกับมึงหรอกนะเว้ย”
“แล้วมึงจะให้กูทำไงอีก”
“ก็..... ก็ลองจีบกูดูดิ” เขาพูดทั้งๆที่รู้สึกเขินจนแทบจะมุดพื้นหนี
“ฮะ อะไรนะ” เขาตีหน้าเหมือนไม่เชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
“กูบอกให้จีบกู จีบดีๆ แบบผู้คนดีๆค้าทำกันน่ะ ทำเป็นรึเปล่าล่ะ ลองทำให้กูสามารถพูดได้ว่ากู ‘รัก’ มึง กูสักครั้งสิวะ”
“แบบที่มึงรักไอ้นัทน่ะเหรอวะ”
ผมส่ายหน้า “ไม่มีทางว่ะ ไม่ใช่แน่นอน ความรักที่กูมีให้กับนัท จะไม่มีทางที่ใครหรืออะไรจะมาแทนที่หรือแม้แต่เปรียบเทียบกับมันได้อย่างเด็ดขาด ถ้ามึงเก่งจริงอะ มึงต้องแสดงความรักแบบของมึงให้กูดูสิวะ สร้างความรักแบบของมึงเองขึ้นมาให้ได้ ไม่ใช่มัวแต่เทียบตัวเองกับนัทอยู่น่ะ ไอ้โจ”
“เออ ก็ได้” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ “แล้วมึงคอยดูให้ดีๆแล้วกัน กูจะทำให้มึงรักกูสักวันให้ได้ ไอ้นนท์”
ผมยิ้มและได้แต่คิดในใจว่า ถ้าหากเขาทำไม่ได้ก็แย่เกินจะทนแล้วล่ะ ในเมื่อผมมีความชอบและความผูกพันเป็นฐานให้เขาขนาดนี้แล้ว ถ้าเขายังจะไม่สามารถต่อยอดมันให้กลายเป็นความรักขึ้นมาได้อีก ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วจริงๆ
“ระวังให้ดีๆเหอะมึง เพราะคราวนี้กูจะระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิมเยอะนะเว้ย”
“ระวังอะไรวะ”
“ก็ระวังการที่จะพูดคำว่า ‘รัก’ ออกมาจริงๆน่ะสิ เพราะต่อจากนี้ถ้ากูไม่แน่ใจเสียก่อนว่ามันคือความรักแบบที่คนรักเค้าใช้กันจริงๆแล้วล่ะก็ กูจะไม่ยอมพูดมันออกมาง่ายๆแน่นอน”
“เฮอะ ก็ยิ่งดีน่ะสิวะ”
“หือออ” ผมเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
“ก็เพราะเมื่อเวลานั้นมาถึง กูก็จะได้รู้ว่ามึงรักกูจริงและรักกูแค่คนเดียวแน่นอนยังไง” เขายักคิ้วข้างซ้ายหนึ่งทีพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ทำให้ผมใจสั่นได้แทบทุกครั้งที่เห็น
“กูว่ากูแพ้ทางคนอย่างมึงจริงๆด้วยว่ะ ไอ้โจ”
จบ.... ไม่บริบูรณ์