b30
วายุ
เมื่อผมได้ยินเสียงของไอ้คริส ผมก็รู้ได้ในทันทีว่าต้องมีบางอย่างที่ไม่ดีมากๆกำลังเกิดขึ้นกับมันอยู่อย่างแน่นอน มันก็จริงที่ผมเคยเป็นคนคอยให้มันปรับทุกข์ รวมทั้งเคยเห็นและเคยได้ยินมันร้องไห้มาก็หลายครั้งหลายหนแล้ว แต่ว่านี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่ผมรู้สึกถึงความกลัวจากน้ำเสียงของมันมากถึงขนาดนี้ และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ก็ทำให้ผมต้องรู้สึกไม่สบายใจมากด้วยเช่นเดียวกัน
“ยุ กู....... กูรักมึงนะเว้ย กู...........”
ผมถอนหายใจเบาๆ “กูรู้ คริส..... กูรู้.........”
“กู......... กูอยากเจอมึงอ่ะ ยุ กูอยากให้มึงมาอยู่กับกูตรงนี้ด้วยจริงๆว่ะ”
ที่จริง...... ผมก็อยากจะไปอยู่ตรงนั้นกับมันด้วยเหมือนกัน ผมรู้ว่ามันเป็นคนที่อ่อนไหว ขี้กลัว และชอบคิดมากขนาดไหน แต่ผมไม่ได้ดูถูกมันว่ามันเป็นคนที่ดูแลตัวเองไม่เป็นหรอกนะ แต่ทว่าตรงกันข้ามเลย เพราะที่จริงผมก็แค่อยากไปอยู่ตรงนั้นกับมันเพื่อที่จะแสดงให้มันเห็นว่า ที่จริงแล้วมันเองก็มีความแข็งแกร่งอยู่ในตัวเองมากพอที่จะผ่านพ้นมันไปได้ต่างหาก
หลังจากวางสายจากคริสแล้ว ผมก็หันมามองหน้าเพื่อนๆทุกคนที่กำลังมองผมอยู่ด้วยสายตาที่ทั้งเป็นกังวลและอยากรู้อยากเห็นกันแบบสุดๆ
“อะไรวะ ไอ้ยุ ไอ้คริสมันเป็นอะไร มันร้องไห้อีกแล้วเหรอ” เจย์ถามผมขึ้นทันทีที่ผมวางสายไป
“ใช่.......” ผมตอบพร้อมกับลุกขึ้นยืน “โทษทีว่ะพวกมึง เดี๋ยวกูมานะ”
“มึงจะไปไหน ไอ้ยุ” ป๊อปถาม
“โทรศัพท์ เดี๋ยวกูมา” และเมื่อพูดจบ ผมก็เดินออกจากโต๊ะที่พวกเรานั่งกันอยู่ไปทันที
ผมรู้ว่าตอนนี้ไอ้คริสกำลังคิดอะไรอยู่ และผมก็รู้ด้วยว่าผมควรจะทำอย่างไรดี ที่จริง ผมคงต้องพูดว่า ผมเองก็เคยคิดและเคยคุยกับพ่อๆของผมมาบ้างแล้วเหมือนกันด้วยซ้ำว่าถ้าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริงๆแล้วล่ะก็ ผมควรจะต้องทำอย่างไร
“พ่อกอล์ฟครับ ตอนนี้พ่ออยู่ไหนอ่ะครับ” ผมพูดใส่โทรศัพท์มือถือของผมทันทีที่พ่อรับสาย
“พ่อก็อยู่บ้านน่ะสิ มีอะไรรึเปล่า ลืมของรึไง”
“อ๋อ เปล่าหรอกครับ แต่ยุกำลังคิดว่ายุอาจจะกลับบ้านน่ะครับพ่อ”
“อ้าว ทำไมล่ะ มีปัญหาอะไรเรอะ นี่ไอ้ซันมันก็เพิ่งไปส่งเราได้ไม่นานนี่เองไม่ใช่รึไง”
“ใช่ครับ แต่ว่าตอนนี้ยุคิดว่า........ คือไอ้คริสอ่ะครับ พ่อ เมื่อกี๊มันเพิ่งโทรหายุแล้วแบบว่าตอนนี้มันกำลังมีปัญหากับที่บ้านน่ะครับ ยุเลยคิดว่ายุอาจจะต้องไปรับมันมานอนกับยุที่บ้านด้วย แต่ยุก็ยังแค่คิดไว้เฉยๆอ่ะนะพ่อ ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรแน่นอนหรอก ต้องรอมันไปเคลียร์กับพ่อแม่มันให้เรียบร้อยก่อนอีกทีน่ะครับ”
“อ้าว อย่างนั้นเหรอ แต่พ่อคงออกไปรับยุไม่ได้นะ แม่เค้าเอารถออกไปข้างนอกน่ะ ส่วนรถพ่อก็ยังจอดอยู่ที่บ้านไอ้ซันมันอยู่เลย” พ่อผมบอกโดยที่ไม่ได้ถามรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของคริสเลยแม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่ไหนแต่ไร พ่อกอล์ฟก็ไม่ใช่คนที่ชอบวุ่นวายหรือซักถามอะไรผมมากมายอยู่แล้ว และผมก็รักพ่อที่เป็นแบบนี้จริงๆ
“ถ้างั้นเดี๋ยวยุโทรบอกแม่ก็แล้วกันนะครับว่ายุจะกลับบ้านอ่ะ แล้วเดี๋ยวยุค่อยโทรบอกให้พวกพ่อเล็กสักคนมารับยุนะ ได้มั๊ยครับ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพ่อโทรบอกแม่เค้าให้เอง ยุโทรไปบอกพวกไอ้ซันเถอะ แต่พ่อรู้สึกว่าไอ้ซันมันน่าจะไปหาไอ้เมฆที่ไหนต่อล่ะมั๊ง เพราะงั้นยุลองโทรไปหาอาไคล์รึไม่ก็อาพีดูจะดีกว่านะ”
“งั้นเดี๋ยวยุลองโทรไปคุยกับพ่อเล็กดูก่อนก็แล้วกันนะครับ ถ้างั้นแค่นี้ก่อนนะครับพ่อ” ผมกดปุ่มวางสาย และจากนั้นก็กดเบอร์ของพ่อเล็กอย่างรวดเร็ว
“ว่าไง ไอ้แสบน้อย ลืมของรึไง” พ่อเล็กรับสายอย่างอารมณ์ดี “แต่พ่อออกมาไกลแล้วนา จะให้วนเอากลับไปให้ก็คงไม่ไหวแล้วนะ”
“ป่าวว ไม่ใช่ครับพ่อ คือ เมื่อกี๊ไอ้คริสมันโทรมาหายุน่ะครับ แล้วมันก็ร้องไห้ด้วย มันบอกว่า...... มันบอกว่าพ่อแม่มันรู้เรื่องของมันแล้วน่ะครับ”
“อ้าว” น้ำเสียงของพ่อเล็กเปลี่ยนไปทันที “แล้วตอนนี้เพื่อนเราเค้าเป็นยังไงบ้างแล้ว”
“ยังไม่รู้เลยครับ คือ แม่มันเพิ่งจะจับได้น่ะครับ แต่เค้าก็ยังไม่ได้คุยไม่ได้พูดอะไรกับมันน่ะ ยุก็เลยบอกให้มันลงไปเจอหน้าเค้าก่อน ลองไปคุยดูว่าจะเป็นยังไงแล้วค่อยโทรกลับมาหายุอีกที......... ยุกลัวว่ามันจะเป็นอย่างที่เราเคยคุยกันน่ะครับ พ่อเล็ก ยุก็เลยคิดว่ายุอยากจะไปรับมันมานอนที่บ้านเราสักพักน่ะครับ อย่างน้อยๆก็แค่คืนนี้อ่ะนะ พ่อเล็กคิดว่าไงอ่ะครับ”
“อืมม.......” พ่อเล็กเงียบไปพักหนึ่ง “จริงๆมันก็ยังไม่ใช่เรื่องอะไรของเราเลยนะ ยุ พ่อว่าถ้าพ่อแม่เค้ากำลังโกรธและครอบครัวเค้ากำลังมีปัญหากัน แล้วจู่ๆเราก็ไปพาตัวลูกเค้าออกมาแบบนั้นมันก็อาจจะยิ่งทำให้เกิดปัญหามากขึ้นอีกก็ได้นะ พ่อว่าเรารอดูเหตุการณ์ไปสักพักก่อนจะดีกว่า บางทีพ่อแม่คริสเค้าอาจจะเข้าใจหรือไม่ได้ว่าอะไรก็ได้”
“มันก็จริงนะครับ....... แต่..........”
“เอางี้ เดี๋ยวพ่อโทรบอกให้อาพีเค้าไปรับยุกลับมาบ้านก่อนก็แล้วกัน แล้วพ่อก็จะคุยกับอาไคล์เค้าให้ด้วยเลย นี่แปลว่าเค้าก็เพิ่งจะสอนคริสเสร็จใช่มั๊ยล่ะ พ่อจะได้รีบโทรบอกให้เค้ารออยู่แถวๆนั้นไปก่อน ถ้ามันเกิดปัญหาอะไรขึ้นจริงๆล่ะก็ พ่อก็จะได้ให้อาไคล์นั่นแหละพาคริสออกมา แบบนี้โอเครึยัง”
“ครับ งั้นยุก็ไม่ต้องโทรหาอาพีหรืออาไคล์แล้วใช่มั๊ยครับ”
“ไม่ต้องแล้ว ยุไปเตรียมตัวเก็บของเถอะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกันอีกทีว่าจะเอายังไง”
“ครับ”
หลังจากที่ผมกลับเข้าไปในโรงอาหาร ผมก็บอกกับทุกคนว่าผมคงจะต้องกลับบ้านแล้ว พวกมันทุกคนต่างก็สงสัยและเป็นห่วงเรื่องของคริสกันมาก แต่ผมก็ยังคงไม่สามารถให้รายละเอียดอะไรกับพวกมันในตอนนี้ได้ด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าไอ้คริสมันขอร้องผมเอาไว้ และอีกส่วนหนึ่งก็คือ แม้แต่ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าผมจะสามารถเล่าอะไรให้พวกมันฟังได้บ้าง ในเมื่อผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ ณ ตอนนี้มันเป็นอย่างไรแล้ว.......
ในขณะที่ผมกำลังเก็บของในห้องของไอ้นัทอยู่นั้น อาพีก็โทรเข้ามาหาผมแล้วบอกว่าอาจะเป็นคนเข้ามารับผมเอง ส่วนตอนนี้อาไคล์ก็กำลังขับรถกลับไปที่บ้านของคริสอีกครั้ง เผื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นแล้วมันจะได้ไม่สายจนเกินไป
หลังจากที่ผมขึ้นรถของอาพีได้ไม่นาน คริสก็โทรเข้ามาหาผม แต่คราวนี้ น้ำเสียงของมันกลับฟังดูย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“เฮ้ย ไอ้คริส เกิดอะไรขึ้นวะ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง และแม้แต่อาพีที่กำลังขับรถอยู่ก็ยังชำเลืองมองมายังผมด้วยสายตาที่แสดงความกังวลด้วยเช่นเดียวกัน
“ยะ..... ยุ ฮึกก ยุ กูไม่อยากอยู่........ ที่นี่แล้ว........ ฮือออ” เขาพูดไปสะอื้นไปจนผมฟังแทบจะไม่รู้เรื่อง “พะ พ่อกับแม่กู เค้าเกลียดกูมากเลยใช่มั๊ย ยุ กูมัน...... ฮึออๆๆ กูมันเหี้ยขนาดนั้นเลยใช่มั๊ยวะ ฮือออ.......”
“ยุ เปิดสปี๊คเกอร์ให้อาฟังที” อาพีพูดกับผม ผมจึงกดปุ่มเปิดเสียงสปี๊ดเกอร์บนมือถือ และหลังจากนั้นเสียงร้องไห้และเสียงสะอื้นของไอ้คริสก็ดังขึ้นทั่วทั้งรถ
“แม่ แม่กู เค้าด่ากู เค้าว่า.....ฮึก เค้าว่ากูทำตัวให้เค้าเสียใจ” คริสพูดต่อ “เค้าบอกว่าเค้าไม่เคย...... ไม่เคยเลี้ยงดูให้กูโตมาทำตัวเหี้ยๆต่ำๆแบบนี้ ฮืออๆๆๆ แค่กูชอบผู้ชายนี่กูก็ทั้งเหี้ยและต่ำขนาดนี้เลยใช่มั๊ยวะ!”
“คริส มึงใจเย็นๆก่อน มึงไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกนะเว้ย พ่อแม่มึงเค้าคงกำลังตกใจ เค้าก็เลยอาจจะพูดอะไรแรงไปบ้างเท่านั้นเอง” ผมพยายามปลอบโยนเขา
“กูอยู่บ้านนี้ไม่ได้แล้ว ยุ กูไม่รู้กูจะต้องทำยังไงดีแล้ว ฮืออออ!!” เขาร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“ทำไมวะ คริส ทำไมมึงถึงพูดแบบนั้น พ่อแม่มึงเค้าทำไม”
“มะ แม่เค้าด่ากู ละแล้ว เค้าตบหน้ากูด้วยนะเว้ย....... ตะ ตั้งแต่เกิดมา ฮึก กูยังไม่เคยโดนเค้าทำอะไรแบบนี้กับกูมาก่อนเลย ยุ กูเจ็บ........ กูเจ็บไปหมดแล้ว กูแค่พยายามจะอธิบาย ตะ แต่ว่า....... ฮืออๆๆ”
“แม่มึงเค้าตบหน้ามึงเลยเหรอ” ผมถามด้วยความตกใจ ผมเหลือบไปมองอาพีแล้วก็เห็นว่าอาเขาก็กำลังนิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน “แล้วพ่อมึงล่ะ พ่อมึงว่ายังไงบ้าง”
“เค้าไล่กูออกจากบ้านแล้ว ยุ เค้าไล่กูออกจากบ้านของเค้าแล้ว! กูไม่ใช่ลูกของเค้าอีกต่อไปแล้ว!!” คริสระเบิดออกพร้อมกับเสียงร้องไห้โฮ
“เฮ้ยย ไอ้คริส เค้าพูดอย่างนั้นจริงๆเหรอวะ”
“ฮื่ออ! เค้า...... เค้าบอกว่าเค้าไม่อยากเห็นหน้ากูอีกแล้ว บอกให้กูไปที่ไหนก็ไป อยากจะไปนอนกับเพื่อนที่เป็นแบบกูนักก็ไป........”
“เพื่อนที่เป็นแบบมึงงั้นเหรอวะ”
“ฮึกก..... ใช่ เค้าบอกว่ากูเป็นแบบนี้ก็เพราะ....... เพราะกูมีเพื่อนที่เป็นเกย์ เค้าหาว่า......... หาว่าพวกมึงเป็นเกย์แล้วพาให้กูเสียคนแบบนี้........”
“เฮ้ยยย” ผมร้องออกมาด้วยความตกใจ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่ผมได้ยินมาเมื่อครู่นั้นเป็นเรื่องจริง
“และ แล้วกูก็เลย ฮึกก........ วิ่งขึ้นห้องมาโทรหามึงนี่แหละ”
ผมเงียบไปพักหนึ่ง ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดีจริงๆ ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มันหนักหนากว่าที่ผมคิดไว้มากเลยทีเดียว
“คริส นี่อาพีนะครับ คริสได้ยินเสียงอาใช่มั๊ย” ในที่สุดอาพีก็พูดขึ้น
“อะ อาพี...........” น้ำเสียงของไอ้คริสฟังดูทั้งตกใจและแปลกใจเล็กน้อย
“ครับ อาเอง ตอนนี้อาอยู่กับยุนะ อากำลังจะพายุกลับบ้าน พวกอารู้เรื่องหมดแล้ว แล้วเดี๋ยวอาจะโทรบอกอาไคล์ที่รออยู่แถวบ้านของเราให้กลับไปที่นั่นอีกครั้งเอง คริสฟังอาดีๆนะ อาไคล์เค้าจะไปพาคริสมานอนที่บ้านของพวกเราสักพักนะครับ ตอนนี้อาอยากให้คริสเก็บของใช้เสื้อผ้าหนังสือทุกอย่างที่จำเป็นใส่กระเป๋าให้หมดเลย เมื่ออาไคล์ไปถึงที่นั่น อาเค้าจะเข้าไปคุยกับพ่อแม่ของเราให้เอง ถ้าทุกอย่างมันออกมาดี อะไรๆมันก็คงจะง่ายขึ้น แต่ถ้าไม่..........” เสียงของอาพีจางหายไป และผมก็เพิ่งจะเคยเห็นแววตาของอาพีที่ปกติจะสะท้อนความอ่อนโยนออกมาอยู่เสมอ ฉายแววแห่งความเจ็บปวดออกมามากถึงขนาดนี้เป็นครั้งแรก “เอาเป็นว่า ยังไงๆ อย่างน้อยๆวันสองวันนี้ คริสก็คงจะต้องมาอยู่กับยุแน่ๆล่ะครับ แต่จะนานขนาดไหนนั้น เดี๋ยวเราค่อยดูกันอีกที”
“ตะ แต่ว่า........” คริสพูดขึ้นเบาๆ
“ไม่ต้องห่วงครับ พวกอารู้ว่าควรจะทำยังไง อาไคล์เองเค้าก็รู้ว่าควรจะพูดยังไงเหมือนกัน เรื่องของผู้ใหญ่ เราก็ปล่อยให้ผู้ใหญ่อย่างพวกอาจัดการกันเองเถอะ ส่วนตอนนี้เราไม่ต้องคิดอะไรแล้วนะครับ รีบเก็บของ เตรียมตัวให้พร้อมที่จะออกจากบ้านได้ทันทีเท่านั้นพอ เข้าใจนะ”
“แต่....... แล้วพ่อกับแม่ผม เค้า....... เค้าจะยอมให้ผมไปเหรอครับ”
“เค้าเพิ่งจะพูดให้คริสไปเก็บของออกจากบ้านไม่ใช่เหรอครับ” อาพีตอบ “แต่ไม่ต้องห่วงหรอก อาไคล์เค้าช่วยคุยให้เราได้จริงๆ เชื่ออาเถอะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาไคล์เค้าต้องจัดการกับเรื่องพวกนี้หรอกนะครับ........”
คำพูดของอาพีทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่า ผมเคยได้ยินพ่อเล็กกับป๊าก็คุยกันถึงเรื่องที่ว่าอาพีเองก็เคยมีปัญหากับครอบครัวแบบนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน ถ้าผมจำไม่ผิด รู้สึกว่าจะเป็นเหตุการณ์เมื่อหลังจากที่อาพีกลับจากอังกฤษมาอยู่ที่ไทยได้ไม่นาน และพอพ่อกับแม่ของอาพีรู้เรื่องลูกชายของตัวเองกับอาไคล์แล้ว พวกเขาก็มีปัญหากันรุนแรงมากจนทำให้อาพีกับคนในครอบครัวไม่ได้คุยไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยเป็นเวลาเกือบสิบปีทีเดียว
คราวนี้ผมก็รู้แล้วว่าทำไมอาพีถึงได้เป็นกังวลและดูซีเรียสกับเรื่องนี้มากถึงขนาดนี้ และผมก็เริ่มคิดและภาวนาอยู่ในใจเงียบๆแล้วด้วยว่าขออย่าให้เรื่องของคริสจะต้องจบลงแบบเรื่องราวของอาพีเลย........