b32
โจ
ผมกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมห้อง อากาศภายในห้องนั้นหนาวยะเยือก หลังของผมพิงแนบชิดอยู่ติดกับกำแพง เหงื่อของผมแตกพร่าไปทั่วทั้งร่างกาย หัวใจของผมเต้นแรงจนแทบไม่เป็นจังหวะ ผมกวาดตามองออกไปยังเบื้องหน้าของตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งอื่นใดได้เลยนอกจากความมืดมิดที่ดูราวกับกำลังโอบล้อมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ความหวาดกลัวที่กรีดลึกลงไปถึงขั้วหัวใจทำให้ร่างกายของผมต้องสั่นเทิ้มออกมาอย่างรุนแรง
อะไรบางอย่างกำลังใกล้เข้ามาหาผมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมกลับมองไม่เห็นมัน อะไรบางอย่างที่น่าหวาดกลัวที่สุดเท่าที่ผมจะสามารถจินตาการได้กำลังคืบคลาบเข้ามาหาผม แต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร และผมก็ไม่สามารถหลีกหนีไปจากมันได้เลย
“มะ ไม่....... ไม่!! กูกลัวแล้ว......... อย่าาาา!!!!” ผมกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง และสะดุ้งลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง
ความมืดที่ปกคลุมอยู่รอบกายไม่ได้ช่วยทำให้ผมรู้สึกถึงความแปลกที่และบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจากที่คุ้นเคยได้เลย ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งทำให้ผมรู้สึกสับสนมากขึ้นไปอีกว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ที่ไหนกันแน่ ผมก้มลงมองร่างกายของตัวเองแล้วก็พบว่าผมกำลังนั่งอยู่บนเตียงของใครสักคนอยู่ สภาพแวดล้อมที่แปลกไปทำให้ผมต้องรู้สึกกังวลและหวาดระแวงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จนกระทั่งสายตาของผมเริ่มปรับจนชินกับความมืดและเมื่อสมองของผมเริ่มกลับมาทำงานได้อย่างเป็นปกติแล้ว ผมถึงได้นึกออกว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ที่บ้านของนนท์นั่นเอง
“แฮ่กก แฮ่กกก......” ผมหอบหายใจแรงๆหลายครั้งก่อนจะเริ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆและค่อยๆผ่อนมันออกมาเบาๆ ผมรู้สึกถึงเหงื่อที่เปียกชุ่มไปทั่วทั้งหน้าอกและแผ่นหลังของตัวเอง ดังนั้นผมจึงตัดสินใจถอดเสื้อยืดที่ใส่อยู่ออกและโยนมันลงไปไว้ข้างๆเตียง
ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้าของตัวเองแล้วฟุบลงบนเข่าทั้งสองข้างที่ยกชันขึ้น ความฝันแบบนั้นมันกลับมาหลอกหลอนผมอีกแล้ว และผมก็ยังคงไม่รู้อยู่ดีว่าในฝันนั้นผมกำลังกลัวอะไร บางครั้งผมก็จะยังพอจำรายละเอียดในฝันเหล่านั้นได้บ้างเช่นเดียวกับในคืนนี้ แต่หลายครั้งที่ผมจะไม่สามารถจำได้เลยว่าผมฝันถึงอะไร สิ่งที่หลงเหลืออยู่หลังจากที่ผมต้องกรีดร้องหรือสะดุ้งตื่นขึ้นมานั้นมักจะเหลือแค่เพียงความหวาดกลัว เหงื่อที่เปียกชุ่ม และคราบน้ำตาบนใบหน้าเท่านั้นเอง
ผมลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปเปิดสวิตช์ไฟที่ผนังห้อง เมื่อทั่วทั้งห้องสว่างขึ้นแล้ว ผมก็มองดูนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนทีวี มันบอกเวลาตีสี่สิบห้านาทีแล้ว
ผมเปิดประตูห้องออกและค่อยๆเดินออกจากห้องเบาๆ ผมเดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ และหลังจากนั้นก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของไอ้นนท์ ผมยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหมุนลูกบิดประตูห้องอย่างช้าๆเพื่อให้เกิดเสียงน้อยที่สุด และผมก็รู้สึกดีใจนะ ที่เขาไม่ได้ล็อคห้องอย่างที่ผมขอเขาไว้จริงๆ
ผมยื่นหน้าเข้าไปในห้องแล้วก็เห็นว่าเขากำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องและไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียงของเขา บอกตามตรงว่าถ้าเป็นกับคนอื่นผมคงไม่กล้าทำถึงขนาดนี้หรอก แต่นี่เพราะว่ามันเป็นเขาที่แม่งโคตรจะนอนขี้เซาเลยต่างหาก ผมถึงได้กล้าที่จะทำแบบนี้
ผมใช้มือลูบหัวของเขาเบาๆแล้วก็ยิ้มน้อยๆให้กับตัวเอง ใบหน้ายามหลับของเขาก็ยังคงดูน่ารักไม่เปลี่ยนแปลงล่ะนะ
“สักวัน มึงจะต้องชอบกู ไอ้นนท์ มึงคอยดู” ผมพูดออกมาเบาๆ และแน่นอนว่าเขาก็คงไม่ได้ยินเสียงของผมหรอก ผมรู้สึกอยากจะก้มลงหอมแก้มของเขาเหลือเกิน แต่ผมก็พยายามห้ามใจตัวเองเอาไว้ แล้วจากนั้นผมก็เดินออกจากห้องมา
หลังจากที่ผมกลับเข้ามาในห้องของตัวเองแล้ว ผมก็ได้แต่นอนคิดถึงเรื่องของนนท์เมื่อตอนกลางวัน เรื่องที่ว่าเขาถูกใครบางคนผลักตกบนได และก็ไอ้ใครคนนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นหนึ่งในเพื่อนๆของผมเองด้วยนี่สิ ความไม่สบายใจ ความสับสน และความโกรธ ทำให้ผมไม่สามารถหลับลงไปได้อีกครั้งจนเกือบจะถึงเช้า แต่แล้วหลังจากที่ผมเห็นนาฬิกาบอกเวลาตีห้าครึ่งได้ไม่ทันไร ผมก็ผล็อยหลับลงไปอีกครั้ง........
วันถัดมา แม่ของนนท์ก็ไปส่งเราสองคนกลับหอที่โรงเรียน จริงๆผมก็ไม่ได้รู้สึกชอบใจเท่าไหร่หรอกที่เขาจะได้ไปนอนกับไอ้นัทตั้งอาทิตย์นึงเต็มๆ แต่ลึกๆแล้วผมก็คิดว่ามันก็ยังดีที่ผมก็ยังจะได้เจอหน้าเขาที่โรงเรียนบ่อยมากขึ้นด้วย คือ ผมก็พยายามจะคิดให้ได้แบบนั้นอยู่หรอกนะ แต่พอคิดถึงคำว่า “นอนด้วยกัน” ของไอ้สองคนนี้ขึ้นมาทีไร ผมก็จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นตามมาด้วยซะทุกครั้ง ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องของผมหรอก ก็มันเป็นแฟนกันแล้วนี่ มันจะทำเหี้ยอะไรกันก็เป็นเรื่องของพวกมันสองคน แต่ถึงไงผมก็ยังไม่สามารถยอมรับความจริงข้อนี้ได้ถึงขนาดนั้นหรอก ผมไม่ใช่พระเอกหรือคนดีอะไรขนาดนั้น
พอตกบ่ายซึ่งได้เวลาที่ผมจะต้องไปฝึกซ้อม ผมก็เริ่มรู้สึกลังเลขึ้นมานิดหน่อยว่าผมจะไปซ้อมว่ายน้ำหรือว่าจะออกไปวิ่งที่สนามฟุตบอลดี ซึ่งปกติแล้วเวลาประมาณนี้ของทุกๆวันอาทิตย์ ผมจะออกไปวิ่งเป็นประจำ แต่ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา จารย์โค้ชได้เปิดสระว่ายน้ำให้กับพวกเรานักกีฬาเพื่อที่จะฝึกซ้อมเป็นพิเศษ แต่ก็เพราะแบบนั้น ผมถึงรู้ดีเลยว่าพวกไอ้แม็กซ์ก็จะต้องอยู่ที่นั่นด้วยแน่ๆ และด้วยความโกรธที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้ ผมก็ไม่มีอารมณ์อยากจะไปเผชิญหน้าพวกมันเลยจริงๆ
ผมเดินลงจากหอพักและวิ่งเหยาะๆตรงไปยังสนามฟุตบอลของฝั่งมัธยมต้นของเรา หลังจากที่ผมวิ่งรอบสนามได้สามรอบ ผมก็สังเกตเห็นคนๆหนึ่งกำลังยืนมองผมอยู่ และเมื่อเราสบตากัน เขาก็พยักหน้าเบาๆให้กับผมหนึ่งที ผมจึงวิ่งตรงเข้าไปหาเขา
“มีไรวะ ไอ้เอก” ผมพูดพร้อมกับหอบเบาๆ
“ไม่มีอะไรหรอก มึงไปวิ่งให้เสร็จก่อนก็ได้”
“มึงจะมาวิ่งไปคุยไปกับกูมั๊ยล่ะ”
“เฮ้ยย ไม่ไหวอ่ะว่ะ กูวิ่งเท่ามึงไม่ไหวหรอก มึงไปวิ่งเหอะ เดี๋ยวกูนั่งรอ”
“เออ” ผมพยักหน้าให้กับมันก่อนจะกลับไปวิ่งต่ออีกครั้ง
ในระหว่างที่วิ่งอยู่นั้นผมก็คิดไปด้วยว่าไอ้เอกมันอยากจะคุยกับผมเรื่องอะไรกันแน่ แต่ผมคิดว่าผมก็พอจะรู้อยู่ล่ะนะว่ามันน่าจะเป็นเรื่องอะไร เพราะสิ่งที่ทำให้ไอ้เอกต้องเดินมาหาผมถึงสนามฟุตบอลนี่ก็คงเป็นไปได้แค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นเอง
เมื่อวิ่งครบห้ารอบแล้ว ผมก็เดินตรงไปหามันที่กำลังนั่งรอผมอยู่บนม้านั่งริมสนาม
“เออ กูพอและ มึงมีไรสำคัญป่าววะ” ผมถาม
“มึงแดกน้ำก่อน เมื่อกี๊กูไปซื้อมาให้” มันยื่นขวดน้ำเย็นๆให้แก่ผม
“เออ ขอบใจ” ผมรับมาจิบนิดหน่อยแล้วก็วางขวดกลับลงไปบนโต๊ะเหมือนเดิม
“ไม่นั่งเหรอวะ”
“ไม่อ่ะ ขอยืนยืดเส้นยืดสายสักพักก่อน” เมื่อผมพูดจบ ผมก็ยืดแขนยืดขาออกและบิดตัวไปมาเบาๆ แต่มันที่อุตส่าห์เดินมาหาผมเพื่อที่จะคุยกับผมก็ดันเป็นฝ่ายเงียบซะอีก “เอ้า ตกลงมึงมีอะไรจะพูดกับกูก็พูดมาสิวะ อุตส่าห์เดินมาหากูถึงนี่”
“เฮ้ย กูแค่เดินผ่านมาเจอมึงเฉยๆ ก็เลยแวะมาหามึงแค่นั้นเอง”
“เรอะ”
“เออ”
“งั้นแปลว่ามึงไม่ได้มีอะไรจะคุยกับกูเป็นพิเศษใช่มะ”
“ก็ อืมม.......”
“ก็ดี งั้นกูกลับห้องแล้วนะ”
“งั้นกูไปด้วยดิ่” มันลุกขึ้นยืน
“มึงจะกลับหอเหรอ”
“ก็....... กูนัดพวกไอ้แม็กซ์ไว้ที่สระว่ายน้ำอ่ะว่ะ”
ผมหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะเริ่มออกเดิน “หึ กูก็ว่างั้นแหละ”
“หมายความว่าไงวะ ไอ้โจ” ไอ้เอกเดินตามผมมาติดๆ
“เปล่า ไม่มีอะไร”
เราสองคนเดินกันเงียบๆอยู่ครู่ใหญ่ๆ ถ้าเป็นคนอื่นผมก็คงจะคิดว่ามีอะไรบางอย่างกำลังรบกวนจิตใจของคนๆนั้นอยู่หรอกนะ แต่นี่มันคือไอ้เอก คนที่ปกติก็ไม่ค่อยจะพูดเท่าไหร่อยู่แล้ว ไอ้ผมที่เป็นคนไม่พูดยังเทียบกับมันที่แม่งโคตรจะไม่พูดไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป
เมื่อเดินมาถึงทางแยกที่ผมกับมันต้องแยกกัน มันก็หันมามองหน้าผมแล้วส่งสายตาแปลกๆบางอย่างมาให้กับผม
“อะไร” ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ปล่ะ เปล่า ไม่มีอะไร.........”
“มึงแน่ใจเหรอวะ ไอ้เอก ว่ามึงไม่ได้มีอะไรอยากจะพูดกับกูน่ะ”
“กู...... กูแค่อยากจะบอกมึงว่ากูอยู่ข้างมึงนะเว้ย ไอ้โจ มันก็เท่านั้นแหละ”
“เออ กูขอบใจมึงก็แล้วกัน งั้นกูไปแล้วนะ”
“อืมมม โชคดีเว้ย แล้วไว้เจอกันอีกที”
ผมเดินแยกจากไอ้เอกมาแล้วก็ตรงไปที่ตึกหอพัก และจะเรียกว่าผมโชคดีหรือว่าโชคร้ายดีกันล่ะเนี่ย ที่ผมเจอกับไอ้นนท์ ไอ้นัท แล้วก็ไอ้ยุอยู่กันอย่างพร้อมหน้าในลิฟต์แบบนี้ เราสี่คนแลกเปลี่ยนบทสนทนากันนิดหน่อย ก่อนที่ไอ้นัทจะต้องทำให้ผมต้องรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นอีกด้วยการชวนให้ผมลงไปกินข้าวเย็นกับพวกมันทุกคน
ตอนแรกผมก็รู้สึกลังเลอยู่เหมือนกัน แต่ผมก็ไม่อยากที่จะทำตัวเหมือนกับหนีหรือไม่กล้ารับคำเชิญของมัน และอีกอย่าง ที่จริงนอกจากไอ้เจย์แล้ว ผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ถูกกับใครในกลุ่มของพวกมันเป็นพิเศษอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่าบางทีมันคงถึงเวลาที่ผมจะต้องลองเปลี่ยนแปลงและลองทำอะไรใหม่ๆดูสักทีแล้ว อย่างน้อยๆก็เพื่อที่ผมจะได้สามารถเข้าใกล้นนท์ได้มากขึ้นล่ะนะ ถึงแม้ว่าทุกย่างเก้าที่ผมเดินเข้าไปหาเขาจะต้องมีไอ้นัทยืนอยู่ตรงนั้นด้วยก็ตามที
ระหว่างที่ผมกำลังนั่งกินข้าวและฟังพวกมันคุยถึงเรื่องงานกีฬาสีอยู่นั้น จู่ๆทั้งไอ้นัทและไอ้นนท์ก็ดูมีท่าทางแปลกๆไป และเมื่อผมรู้ต้นเหตุที่ทำให้ทั้งสองคนโดยเฉพาะไอ้นนท์ต้องเป็นแบบนี้แล้ว ผมก็รู้สึกถึงความโกรธและความหงุดหงิดที่พวยพุ่งขึ้นมาจากข้างในอย่างทันที
ผมโกรธที่ผมไม่ได้สังเกตเห็นพวกไอ้แม็กซ์ที่กำลังนั่งมองพวกเราอยู่ก่อนคนอื่นๆ ผมโกรธและหงุดหงิดพวกมันที่กล้ามองหน้าผมด้วยสายตาแบบนั้น และผมก็เริ่มรู้สึกกังวลแล้วด้วยว่านนท์อาจจะต้องมาพลอยติดร่างแหของเรื่องระหว่างผมกับไอ้พวกนั้นไปด้วยก็ได้
ใช่ ผมรู้ว่าพวกมันไม่ได้มองนนท์ ไอ้นัท หรือใครๆในกลุ่มนี้หรอก แต่เป็นผมเพียงคนเดียวต่างหาก.....
“กูกลับห้องก่อนนะ” ผมขอตัวลุกออกจากโต๊ะแล้วเดินตรงกลับไปที่หอพักทันที และผมก็มั่นใจว่าพวกไอ้แม็กซ์มันก็จะต้องเดินตามผมมาในอีกไม่ช้าแน่นอน
และผมก็คิดไม่ผิดจริงๆ เพราะหลังจากที่ผมกลับถึงห้องได้ไม่นาน เสียงเคาะประตูห้องของผมก็ดังขึ้น
“พวกมึงมีธุระอะไร” ผมถามขึ้นทันทีที่เปิดประตูห้องออก “หรือกูควรจะถามว่า ‘พวกมึงมีปัญหาอะไร’ มากกว่า”
“กูต่างหากที่ควรจะถามว่ามึงนั่นแหละ ที่มีปัญหาเหี้ยอะไร ไอ้โจ” ไอ้แม็กซ์พูดพร้อมกับเดินเข้ามาในห้องของผม โดยมีไอ้เค ไอ้ติ๊ก และไอ้เอกเดินตามเข้ามาติดๆ
“ทำไมมึงถึงไปนั่งกับพวกไอ้เจย์แบบนั้นวะ” ติ๊กถาม
“แล้วทำไมกูจะนั่งไม่ได้”
“มึงชักจะทำตัวแปลกไปทุกทีแล้วนะ ไอ้โจ” ไอ้แม็กซ์มองหน้าผม “มึงยังจำคำพูดอะไรของมึงได้อยู่มั่งรึเปล่าวะ ฮะ”
“คำพูดอะไร” ผมถาม แต่ที่จริงผมเองก็รู้อยู่แล้วว่ามันหมายถึงเรื่องอะไร
“ก็ที่มึงเคยบอกว่ามึงจะไม่มีวันทรยศหักหลังพวกกู นี่อย่าบอกนะว่ามึงจำไม่ได้แล้วน่ะ ไอ้สัตว์”
“เออ กูจำได้”
“แล้วทำไมมึงถึงได้ไปคลุกคลีอยู่กับพวกไอ้เชี่ยนัทแบบนั้น ทั้งๆที่แม่งเป็นตัวการที่ทำให้พวกเราถูกลงโทษนะเว้ย” ไอ้ติ๊กถามขึ้นบ้าง
“โว๊ยยยย!! อย่าไปสนใจแม่งเลย ไอ้เหี้ยเนี่ย แม่งขายเพื่อนไปแล้ว!!” ไอ้เคหันมาโวย “กูรู้นะ ไอ้โจ ว่ามึงจ้องจะแดกใครในกลุ่มนั้นอยู่อ่ะ มึงถึงได้กล้าทำแบบนี้กับพวกกู!”
คำพูดของไอ้เคทำให้ผมเดือดขึ้นทันที “มึงหมายความว่าไงวะ!”
“หึ พูดแค่นี้ทำของขึ้นเหรอวะ!” ไอ้เคทำยิ้มเยาะที่มุมปาก “มึงก็เห็นแล้วนี่ ที่แม่งเดี้ยงไปแบบนั้นน่ะ สมน้ำหน้าแม่งชิบหาย! เสียดายว่ะ แม่งน่าจะขาหัก แขนหัก ไม่ก็พิการแม่งให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย จริงมั๊ย!”
“ไอ้เชี่ยเค! มึง!!” ผมพุ่งตัวเข้าไปหามันทันที แต่ก็ติดไอ้แม็กซ์และไอ้ติ๊กที่ยืนกันและรั้งตัวของผมเอาไว้ก่อนที่ผมจะทันคว้าคอของไอ้เคไว้ได้ทัน
“อะไร พูดแค่นี้ก็โกรธรึไง!” ไอ้เคทำหน้าท้าทายผม
“หุบปากไปเลย ไอ้เค!” ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากล็อคของไอ้แม็กซ์และไอ้ติ๊ก แต่ก็ไร้ผล
“พวกมึง พอเหอะน่า!” ไอ้เอกร้องห้ามขึ้น “เดี๋ยวใครได้ยินก็มีปัญหาอีกหรอก ไอ้แม็กซ์ ”
เมื่อได้ยินไอ้เอกพูดแบบนั้น ผมก็เริ่มที่จะหยุดดิ้น ส่วนไอ้แม็กซ์ก็เริ่มคลายตัวผมออก ตามด้วยไอ้ติ๊กที่พอเห็นไอ้แม็กซ์ปล่อยตัวผมแล้ว มันก็เลยปล่อยมือที่ดึงแขนผมเอาไว้ออกด้วยเหมือนกัน
“ไอ้หน้าตัวเมีย!” ผมพูดใส่หน้าไอ้เค
“มึงว่าไงนะ!” ไอ้เคพุ่งเข้ามาคว้าคอเสื้อของผมเอาไว้ แต่คราวนี้ทั้งไอ้แม็กซ์และไอ้เคต่างก็ไม่มีใครพยายามแยกเราสองคนออกจากกันแล้ว
ผมคว้าคอเสื้อของไอ้เคเข้ามาแล้วกำหมัดขวาแน่นพร้อมที่จะต่อยหน้ามันจังๆเข้าให้สักที แต่ผมก็ยังช้ากว่ามันมาก เพราะทันทีที่มันพุ่งตัวเข้ามาคว้าคอเสื้อของผมเอาไว้นั้น มันก็แทงเข่าเข้าที่กลางลำตัวของผมอย่างรวดเร็วทันที ผมพยายามเบี่ยงตัวหลบแล้วแต่ก็ยังหลบไม่พ้น เข่าขวาของมันกระแทกโดนที่หน้าท้องด้านขวาของผมอย่างแรง และถึงแม้ว่าผมจะเบี่ยงตัวหลบเพื่อลดแรงกระแทกลงไปได้กว่าครึ่งแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังรุนแรงพอจะทำให้ผมต้องรู้สึกจุกและเสียการทรงตัวได้อยู่ดี
และเมื่อผมกำลังพยายามจะกลับมายืนบนสองเท้าของตัวเองให้ได้อย่างมั่นคงอีกครั้งนั้น จู่ๆไอ้แม็กซ์ที่ยืนอยู่ติดกับผมก็ผลักเข้าที่หน้าอกของผมจนผมต้องเซถลาไปอีกครั้ง
“มึงอย่าทำแบบนี้สิเว้ย ไอ้โจ! พอได้แล้ว!”
ผมเซไปข้างหลังจนส้นเท้าของผมไปกระแทกเข้ากับขาเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ผมตั้งหลักของตัวเองโดยการจับพนักพิงของเก้าอี้เอาไว้ก่อนที่ตัวเองจะล้มลง
นี่ไอ้แม็กซ์มันบอกให้ผมเป็นฝ่ายพออย่างนั้นเหรอ ผมเนี่ยนะที่ต้องเป็นฝ่ายพอ ไม่ใช่ไอ้เครึไงกัน!
“ไอ้สัตว์แม็กซ์! ไอ้สัตว์เค!!” ผมขบกรามแน่นและกำลังจะตั้งท่ากระโจนเข้าใส่พวกมันทั้งสองคนอีกครั้ง
“เหี้ยอะไรมึงวะ!! ไอ้สัตว์โจ!!” ไอ้เคพุ่งเข้ามาหาผมอีกครั้งพร้อมกับใช้เท้าถีบเข้าที่ท้องของผม มันเล็งถีบตรงตำแหน่งเดียวกับที่มันเข่าใส่ผมเมื่อครู่นี้ และคราวนี้ผมก็เบี่ยงตัวหลบไม่ทันอีกแล้วด้วย
“อั๊กกก!!” ผมร้องออกมาเพราะความจุกพร้อมกับล้มหงายหลังทับลงไปบนเก้าอี้ตัวเมื่อครู่ น้ำหนักตัวของผมทำให้ทั้งผมทั้งเก้าอี้ต้องล้มกลิ้งลงไปนอนหงายอยู่บนพื้นห้องด้วยกันทั้งคู่ ความรู้สึกเจ็บแปลบพุ่งขึ้นจากบริเวณสีข้างของผมและแผ่พุ่งไปจนทั่วร่างกายจนผมต้องงอตัวลงและใช้มือกุมที่ท้องของตัวเองเอาไว้เลยทีเดียว
“เฮ้ยย ไอ้โจ!” ไอ้เอกวิ่งตรงเข้ามาหาผมที่กำลังนอนเอามือกุมสีข้างของตัวเองเอาไว้อยู่ จากนั้นมันก็หันกลับไปหาพวกไอ้แม็กซ์ทั้งสามคน “พวกมึงทำเกินไปนะเว้ย ไอ้เค ไอ้แม็กซ์! นี่เพื่อนมึงนะเว้ย!”
“เกินไปเหี้ยอะไร แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ!” ไอ้เคพูดอย่างสะใจ “และมันก็ไม่ใช่เพื่อนกูอีกแล้วด้วยเหมือนกัน! จำไว้นะไอ้โจ ถ้าคราวหน้ามึงกล้ามาหาเรื่องพวกกูอีกล่ะก็ กูรับรองว่ามึงจะไม่โดนแค่นี้แน่!” และเมื่อพูดจบ มันก็เดินไปเปิดประตูห้องออกแล้วเดินจากไปทันที
“มึงยังจำคำพูดของตัวเองได้สินะ ไอ้โจ.......” ไอ้แม็กซ์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและมองผมด้วยสายตาเย็นชา “แต่กูไม่รู้ว่ามึงจะยังจำคำพูดของกูได้อยู่รึเปล่านะ”
ผมหอบหายใจทางปากอย่างเจ็บปวด ถึงไอ้เคมันจะไม่ได้ถีบผมแรงอะไรมากมาย แต่ตำแหน่งที่ผมโดนเข้าทั้งสองครั้งติดๆกันนั้นก็เป็นจุดที่ทำให้ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกเจ็บและจุกจนเสียศูนย์ไปได้อยู่เหมือนกัน
“กูเคยพูดไว้ว่า ถ้ากูรู้ว่ามึงเปลี่ยนไปเพราะใครแล้วล่ะก็ กูก็จะต้องรู้ให้ได้ว่าใครที่ทำให้มึงเปลี่ยนแปลงไปจนต้องทำแบบนี้กับพวกกู......” ไอ้แม็กซ์พูด “และกูก็จะไม่ให้อภัยทั้งไอ้คนที่กล้าหักหลังกูกับไอ้ตัวต้นเหตุคนนั้นด้วยเหมือนกัน”
ผมกับมันมองหน้ากันอยู่สักพัก ก่อนที่มันจะหันหลังแล้วเดินออกจากห้องตามไอ้เคไปอีกคน
“ไปเหอะ ไอ้เอก” ไอ้ติ๊กพูดกับไอ้เอก ก่อนจะเดินออกจากห้องตามไอ้แม็กซ์ไป
“มึงไปเหอะ กูไม่เป็นไร” ผมหันไปพูดกับไอ้เอกก่อนจะค่อยๆพยายามชันตัวขึ้นยืนโดยมีมันทำท่าช่วยพยุงอยู่ข้างๆ
“ไอ้โจ กู......”
“กูบอกให้มึงไปไง!” ผมขึ้นเสียง
ไอ้เอกเงียบลงไปพักหนึ่ง “กู.......”
ผมหลับตาลงแล้วส่ายหัวเบาๆ “ตอนนี้กูอยากอยู่คนเดียว ไอ้เอก มึงรีบตามพวกมันไปเหอะ ก่อนที่มันจะคิดว่ามึงก็จะ ‘หักหลัง’ พวกมันเข้าด้วยอีกคนน่ะ”
“ว่าแต่มึงไหวแน่นะ ไอ้โจ” มันถามผม
“เออ แค่นี้กูไม่เป็นไรหรอกน่ะ ไอ้เชี่ยเคมันก็ไม่ได้ตีนหนักไม่ได้มีปัญญาทำกูเจ็บได้ขนาดนั้นหรอก”
“ถ้างั้น....... งั้นกูไปก่อนนะเว้ย”
“เออ” ผมพยักหน้า และจากนั้นไอ้เอกก็เดินออกจากห้องไป
เมื่อประตูห้องถูกปิดลง ผมก็เดินไปนั่งอยู่บนขอบเตียงและเลิกชายเสื้อขึ้นดู ผมเห็นรอยช้ำเป็นจ้ำประทับอยู่บนสีข้างของผมจางๆ แต่ผมรู้ดีเลยว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้ มันจะต้องคล้ำลงอีกเยอะมากแน่นอน
“แม่งเอ๊ยยยย!!” ผมสบถเบาๆและมองไปยังเก้าอี้ที่นอนหงายขาชี้ฟ้าแอ้งแม้งอยู่บนพื้น
ไอ้แผลช้ำที่เกิดขึ้นนี่มันไม่ได้เกิดมาจากเข่าของไอ้เคในตอนแรกหรือแม้แต่จากถีบของมันในครั้งที่สองหรอก แต่เป็นเพราะตอนที่ผมล้มลงเมื่อกี๊นี้ ผมดันไปกระแทกเข้ากับมุมของไอ้เก้าอี้เฮงซวยตัวนี้เข้าให้ด้วยต่างหาก
ผมถอนหายใจเบาๆและคิดถึงคำพูดของไอ้เคกับไอ้แม็กซ์เมื่อครู่นี้อีกครั้ง ถึงจะยังไม่มีหลักฐานอะไร แต่ผมก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าคนที่ผลักนนท์ตกบันไดจะต้องเป็นไอ้เคอย่างแน่นอน หรือไม่งั้นก็อาจจะเป็นตัวไอ้แม็กซ์เองก็เป็นได้ แต่มันก็แค่ทำนิ่งเข้าไว้ แล้วให้ไอ้เคที่มีความปากดีกับท่าทางกวนตีนเป็นทุนอยู่แล้วพูดจาข่มขู่ผมไปแบบนั้นเอง แต่ทว่าถึงยังไง สิ่งที่ผมรู้สึกกังวลมากกว่ากลับไม่ใช่เรื่องที่ผ่านไปแล้วอย่างเรื่องนั้น แต่เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นต่างหาก
ผมรู้ว่าไอ้แม็กซ์มันเป็นคนที่พูดแล้วมันต้องทำจริงอย่างแน่นอน และเมื่อครู่นี้มันก็พูดเหมือนว่ามันจะเริ่มทำอะไรบางอย่างแล้วด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ผมจะมามัวเครียดเรื่องของไอ้นัทอยู่ต่อไปคงไม่ได้อีกแล้ว ผมจะต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะดูแลและปกป้องไอ้เผือกนั่นเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะยังไง ผมก็จะไม่มีวันยอมให้มันต้องมาเจ็บตัวหรือเกิดเรื่องอะไรขึ้นจากการที่ผมเลือกที่จะไปรักมันอย่างแน่นอน